collapse

ผู้เขียน หัวข้อ: บทสำรวจตนเอง  (อ่าน 16122 ครั้ง)

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
บทสำรวจตนเอง
« เมื่อ: 15/02/2011, 09:01 »
                                                     
                                                        ๑.

    เหตุใดพวกเราจึงรับธรรมะ ? การรับธรรมะนั้นมีประโยชน์อย่างไร ?  คุณวิเศษแห่งธรรมะมีอะไรบ้าง ? สิ่งเหล่านี้ล้วนต้องทำความเข้าใจให้ถ่องแท้ หากไม่รู้ว่าเหตุใดจึงต้องรับธรรมะ  เห็นเขากราบเราก็กราบ ฉะนี้เรียกว่างมงาย

                                                       ๒.

    ไตรรัตน์ที่เธอได้รับ เป็นยันต์คุ้มภัยและสัจวัตถุที่สื่อถึงฟ้าของเธอเอง เพียงแต่ประสิทธิผลแห่งไตรรัตน์จะมีมากหรือน้อยนั้นก็ขึ้นอยู่กับบุญกุศลของผู้ใช้นั้นมีมากน้อยเพียงใด ?  หากบุญกุศลยิ่งมาก ประสิทธิผลแห่งไตรรัตน์ก็ยิ่งมาก ซึงก็เปรียบเสมือนกับปากกาหนึ่งด้าม ที่สำหรับเด็กสองสามขวบแล้วก็เป็นได้แค่ขีดเขียนให้ระเกะระกะ แต่ถาหากเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย ปากกานี้ไม่เพียงแต่สามารถเขียนการบ้านได้เท่านั้น หากยังสามารถเขียนบทความได้อีกด้วย แต่หากไปอยู่กับนักวรรณกรรมผู้ยิ่งใหญ่ ก้จะเป็นคุณากรที่ยิ่งใหญ่  (บ่อเกิดแห่งความดี) มากขึ้นอย่างไพศาล เพราะเขาสามารถประพันธ์หนังสือที่เป็นคุโณปการแก่ชาวโลก กระทั่งสามารถคงชื่อจารึกไว้บนโลกานี้ได้ ฉะนั้น เจ้าได้รับธรรมะแล้ว หากแม้นไม่ได้ประพฤติมิชอบ แต่ก็มิได้ประกอบกุศลความดี อย่างน้อยไตรรัตน์นี้ก็จะคุ้มภัยให้เจ้าสวัสดี แต่หากได้สร้างบุญกุศลไว้บ้างแล้ว ไตรรัตน์นี้ไม่เพียงแต่จะเปลี่ยนแปลงบุคลิกและราศีของเจ้าได้เท่านั้น หากยังสามารถปัดเป่าภัยร้ายให้กับเจ้าได้อีกด้วย แต่หากเจ้าได้สร้างมหากุศล ไตรรัตน์ไม่เพียงแต่จะช่วยให้เจ้าแคล้วคลาดปลอดภัย หากยังจะช่วยให้เจ้าพ้นจากเขตควบคุมแห่งพญายมและได้สำเร็จเป็นพระพุทธะอริยเจ้า ตราบจนชื่อเสียงกึกก้องขจรไกลเป็นนิรันดร์ จากจุดนี้จึงรุ้ได้ว่า บุญกุศลนั้นเป็นเรื่องที่สำคัญมากไฉน !
                                     
                                                              ๓.

       อะไรเรียกว่าบุญกุศล ? คือไม่ว่าจะเป็นการสละแรงกาย แรงใจ แรงทรัพย์ มุ่งทำเพื่อผู้อื่น โดยมิใฝ่ทำเพื่อตน มุ่งทำความดีมิสร้างความชั่ว เช่นนี้เรียกว่าบุญกุศล  แต่เนื่องด้วยเธอพึ่งรับธรรมะใหม่ ๆ ก้แน่นอนว่าจะยังไม่เข้าใจความสำคัญแห่งบุญกุศล ดังนั้น เหตุผลที่ต้องจ่ายเงินทำบุญเมื่อคราวที่เจ้ารับธรรมะก็อยู่ที่ตรงนี้นั่นเอง  โดยอาวุโสจะนำเงินก้อนนี้ไปพิมพ์หนังสือธรรมะและประกอบกุศลจิต จุดประสงค์ก็เพื่อจะสร้างบุญให้แก่เจ้า เพื่อที่จะช่วยให้เจ้าได้ใช้ไตรรัตน์อย่างสัมฤทธิ์ผลมากยิ่งขึ้นนั่นเอง

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
บทสำรวจตนเอง
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: 16/02/2011, 14:33 »

                                                                   ๔

        พระอริยเจ้าเคยกล่าวไว้ว่า "เช้าสดับธรรมะ เย็นตายก็ไม่เสียดาย" จึงรู้ได้ว่าธรรมะนั้นมีความวิเศษมากเพียงใดอันธรรมะนี้เป็นสิ่งวิเศษที่ไท่ถ่ายทอดโดยง่ายมาแต่บูรพกาล เป็นสุจธรรมที่มิกล่าวโดยง่ายมาแต่อนันตสมัย หากไม่ชอบด้วยเวลาก็จะไม่ประสาท หากไม่ชอบด้วยบุคคลก็จะไม่ถ่ายทอด ดังนั้น หลังจากที่ได้รับธรรมะแล้ว จะต้องครองมั่นด้วยศรัทธา มากล้นด้วยปฏิปทาแห่งการบำเพ็ญยิ่งยวด ด้วยเหตุนี้ จึงมิควรละเลยบกพร่องเป็นอันขาด หากเจ้าควรจะนำประทับไว้ในใจ ฉะนี้จึงเรียกได้ว่าเป็นผู้ที่ปราดเปรื่อง และจึงจะถือได้ว่ามิได้เสียทีที่ได้รับอนุตตรธรรมในชาตินี้ได้ โบราณว่าไว้ว่า "ตามฟ้าเกิด ขัดฟ้าม้วย" ดังนั้น หลังจากรับธรรมะแล้วจะต้องตั้งใจสร้างสมกุศลคุณความดี กล่อมเกลาชาวโลกฉุดช่วยผู้คน นี่ก็คือการตามฟ้า ปฏิบัติตามฟ้าก็จักเกิด และจะอยู่ต่อเป็นเผ่าพันธ์ต้นตระกูลแห่งชาวโลกสืบไปในภายภาคหน้า แต่สำหรับคนที่มิได้รับธรรมะ มีโลภะแลอุปาทาน ไม่ปฏิบัติกิจตามมโนธรรมสำนึก ฉะนี้คือการขัดฟ้า หากขัดฟ้าก็จักมอดม้วยและต้องผจญกับเภทภัย แลตกสู่ขุมอเวจีตราบนานแสนนาน

                                                                  ๕

      เนื่องด้วยเผ่าพันธ์ ประเพณี ความเคยชิน ภาษา อักษรที่แตกต่างกัน พระแม่องค์ธรรม จึงทรงมีพระบัญชาให้พระอริยเจ้าแห่ง 5 ศาสนา ลงอุบัติในแต่ละแดนดินเพื่อปลุกตื่นชาวโลก และฟื้นฟูความวิสุทธิ์จากความลุ่มหลงตามแต่เวลา สถานที่ และบุคคล เพื่อไม่ให้เราหลงลืมมาตุภูมิทิพยสถาน ( ๐ ) ที่แท้จริง  อันหลักเมตตาแห่งศาสนาพุทธ หลักอกรรม แห่งศาสนาเต๋า   หลักภัคดีอภัยแห่งศาสนาปราชญ์    หลักความรักอันยิ่งใหญ่แห่งศาสนาคริสต์   หลักความบริสุทธิ์แห่งศาสนาอิสลาม  แม้นต่างฝ่ายต่างมีคำสอนที่แตกต่าง แต่หลักนั้นก็เป็นหนึ่งมิได้ผิดเพี้ยน โดยทั้งหมดล้วนกำลังชี้ทางให้กลับสู่ชุณหบท (หนทางอันสว่างไสว) แห่งบ้านเดิมทั้งสิ้น แต่ทว่า สัจธรรมแก่นแท้แห่งอริยเจ้าของ 5 ศาสนาล้วนได้สูญหาย ในปัจจุบัน ศิษยานุศิษย์ของแต่ละศาสนาหากมิใช่เคาะเกราะสวดท่อง วอนเทพขอพระ หวังลาภขอบุญแล้ว ก็จะเป็นเทศนาสวดท่องพระคัมภีร์ อรรถาตีความตามตัวอักษรกันทั้งนั้น ฉะนี้แล้ว หลักเมตตาแห่งพระพุทธองค์  หลักอกรรมแห่งท่านเหลาจื้อ   หลักภัคดีอภัยแห่งท่านขงจื่อ   หลักความรักอันยิ่งใหญ่แห่งท่านเยซู   หลักความบริสุทธิ์แห่งท่านมูฮัมหมัด จึงไม่มีใครไปใคร่ครวญอีก ฉะนั้น อันเรื่องของการกลับสู่เมืองเดิมอย่างไรก็ยิ่งไม่มีใครเอ่ยถึง โดยล้วนแต่หวังกันเพียงให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ปกปักรักษา แต่กลับมิเคยคิดที่จะเรียนรู้ซึ่งพระจริยวัตรแห่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์เสียเลยนับหลายพันปีที่ล่วงมา การที่ทวยเทพเท้าทั้งสากลสามารถเป็นที่เคารพบูชาจากหมู่นิกรนับแสนนับล้ายได้นั้น ก็เพราะท่านเหล่านั้นมีความเมตตา ความอกรรม  ความภัคดีอภัย  ความรักอันยิ่งใหญ่   และความบริสุทธิ์ผุดผ่อง นั่นเอง ฉะนั้น  ก่อนที่จะหวังให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ประสาทพรคุ้มครอง เจ้าก็จงลองถามใจตนเองก่อนว่าเป็นเช่นใด ?  หากเจ้าสามารถมีความเมตตา   สามารถอกรรม   สามารถภัคดีอภัย   สามารถมีความรักอันยิ่งใหญ่   สามารถบริสุทธิ์ไร้ราคีได้แล้วมาตรว่าเจ้าจะมิเคยขอต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์  สิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็จะทรงคุ้มครองอยู่เคียงข้างเจ้าเป็นเสมอ แต่หากเจ้ามิได้มีกตัญญุตาธรรม   ภราดรธรรม   ภักดีธรรม   สัตยธรรม  อีกยังไร้ จริยธรรม   มโนธรรม   สุจริตธรรม   หิริธรรม ด้วยแล้วในใจเอาแต่หวังให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองให้ราบรื่น หวังแต่ให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ประทานโชคลาภให้ร่ำรวย ฉะนี้ จะมิเป็นเรื่องที่น่าขันดอกหรือ ?   ตัวเจ้าเต็มไปด้วยบาปเวรกรรมความคิดเจ้ามากด้วยมิจฉาดำริ มิจฉาความคิด ฟุ้งซ่านเพ้อฝันแล้วยังจะมายืนขอต่อหน้าพระมหิทธา (สิ่งศักดิ์สิทธิ์ผู้มีฤทธานุภาพที่ยิ่งใหญ่)  อย่างมิรู้ละอายได้อีกหรือ ? ในปัจจุบันได้มีมหาธรรมปรกโปรด ทั้งหมดล้วนได้ชี้ตรงซึ่งพระหฤทัยแท้แห่ง 5 ศาสดาแลมรรควิถีอันแท้จริงแห่งการกลับสู่มาตุภูมิ นี่จึงเป็นศุภโอกาสที่ประสบหาพบได้ยากยิ่งนับแต่บรรพกาลเป็นต้นมา ดังนั้น หากไม่รับธรรมะนี้ ก็เป็นเรื่องที่น่าเสียดายนัก

คำว่าอกรรม  ในภาษจีนนั้นคือคำว่าอู่เหวย (การไร้กระทำ) ตรงกับศัพย์อู๋เหว๋ยที่แปลมาจากคำว่าอสังขตะ  อันเป็นศัพท์บาลีสันสกฤตที่ใช้ในพระพุทธศาสนา  เนื่องจากในสำนวนการแปลคัมภีร์เต๋าเต๊กเกงของนักแปลบางท่านในประเทศไทยได้แปลไว้สองอย่างคือ อกรรมหนึ่ง และ การไร้กระทำหนึ่ง ผู้แปลจึงขอใช้คำว่าอกรรมไว้ในที่นี้ ทั้งนี้เพื่อให้เกิดความแตกต่างจากศัพท์ที่ว่าอสังขตะที่ใช้ในพุทธศาสนา แม้นว่าทั้งสองจะมีความหมายที่ใกล้เคียงกันมากก็ตาม

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
บทสำรวจตนเอง
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: 17/02/2011, 09:25 »

                                                     ๖

       เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่า การที่ชาตินี้สามารถรับธรรมะได้นั้น ช่างเป็นเหตุปัจจัยอันแสนวิเศษที่หาพบได้ยากยิ่ง เพราะในช่วงเวลา 129,600 ปี จึงจะมีสักครั้งหนึ่งเท่านั้น ดังนั้น เจ้าจึงควรเร่งสร้างกุศลชำระปณิธาน  เร่งทำความเข้าใจและเชื่อมั่นต่อวิถีธรรม มิฉะนั้น หากได้พลาดจากเหตุปัจจัยอันแสนวิเศษที่จักหาพบได้ยากในครั้งนี้ไป เจ้าก็จักต้องรอคอยไปอีก 129,600 ปีี  ในกาลคราวหน้า แต่หากเจ้าต้องตกสู่ห้วงแห่งการเวียนว่ายตายเกิดอันแสนเนิ่นนาน ได้เปลี่ยนหน้าผลัดโฉมเป็นจำนวนนับครั้งมิถ้วนแล้ว ในอนาคต ใครจักกล้ารับรองได้ว่าเจ้ายังจักได้เกิดเป็นคนที่เมืองจีนและประสบพบพระวิสุทธิอาจารย์ในการปรกโปรดคราวหน้าได้อีกหละ ?

                                                       ๗

       คนเรามักอยู่ในกองบุญโดยไม่รู้ค่าของบุญ ดูอย่างการบำเพ็ญในอดีตนั้นช่างยากเย็นแสนเข็ญจนสุดจะพรรณาได้ เพราะไหนจะต้องลาบุพการี ห่างจากบ้านเกิดไปอาศัยอยู่ในป่าเขาลำเนาไพร ไหนจะต้องทำการเพาะปลูกหาเลี้ยงชีพ หรือจักต้องออกบิณฑบาตเพื่อประทังชีวิต กิจการน้อยใหญ่ล้วนต้องทำด้วยตัวเองทั้งสิ้น โดยเฉพาะในเรื่องการได้ประสบพบพระวิสุทธิอาจารย์และมหาธรรมก็ยังเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ต้องคอยกลัดกลุ้มกังวลอยู่เสมอ แต่ผู้บำเพ็ญในกาลปัจจุบันช่างสุขสบายเสียเหลือเกิน เพราะทุกคนล้วนมั่งมีในปัจจัยสี่ ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนสะดวกสบายไร้กังวล อีกไม่ต้องออกบวชเพื่อเข้าป่าอาศัย ทั้งยังสามารถสร้างบุญกุศลได้ทุกที่ ชำระปณิธานได้ทุกคราว โดยเฉพาะยังได้ประสบวาระมหาธรรมออกโปรด พระวิสุทธิอาจารย์ออกช่วยได้อีก จึงกล่าวได้ว่า หากได้รับธรรมะในชาตินี้แล้วยังมิรู้เจริญธรรม ก็ช่างเป็นคนเขลาหมายเลขหนึ่งแห่งโลกนี้จริง ๆ

                                                       ๘

      โลกนี้คือด่านมอมญาณสถานใหญ่ เวียนว่ายแล้วรู้กลับจักมีสักกี่คน ? เมื่อคราวเข้าวนคือคนเป็น  เห็จเหเร่ออกมากลายเป็นกองกระดูกขาว โลกนี้คือเวิ้งสมุทรมอมญาณสถานใหญ่ ก้นสมุทรดิ่งลึกเคว้งคว้างว่างเปล่าสุดลูกตา ผู้ดิ่งธารายากหวนทวนคืนฝั่ง รังแต่ลอยล่องวนเวียนไร้วันคืน แต่บัดนี้ คือกาลเวลาแห่งยุคขาว ทุก ๆ ถิ่นแขวงล้วนมีมหาธรรมพรั่งพราว ครารับธรรมจงลุธรรมกุศลสร้าง มิต่างต้องผจญทุกข์สมุทรเหว แต่หากมิใฝ่ขึ้นธรรมนาวาอย่างรี่เร็ว ก็จักเหลวทุกขเวทนาในอเวจี

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
บทสำรวจตนเอง
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: 17/02/2011, 10:06 »

                                                             ๙

       ครั้นสิ้นลมหายใจ ร่างกายเรือนนี้ของเจ้ากฌป็นเพียงซากอันไร้ค่าที่ใครเห็นมีแต่ใจผวา ไม่กี่ทิวาก็เน่าเปื่อยสุดทน ลูก ๆ แลภรรยาที่ปกติสุดรักใคร่กันนักหนา บัดนี้ก็มิกล้าจะเข้าใกล้ อีกร่างเจ้าก็มิอาจไว้ในเรือนนิเวศอีกต่อไป ลองคิด ๆ ดู จวบจนบัดนี้ ยังมีอะไรที่เจ้าครองได้ ? ไม่เพียงแต่ภรรยา บุตรธิดาที่แสนรัก อีกสมบัติโภคทรัพย์เคหะฐานะที่สุดหวง ทั้งหมดล้วนมิใช่ของเจ้าอีกแล้ว หรือแม้แต่ร่างของเจ้าก็ยังมิใช่ของเจ้าอีกเลย เป็นเพียงซากศพที่ส่งกลิ่นเหม็นโขลงในกองดินเท่านั้น เจ้ายังจะมีอะไรอีกเล่า ? หากเจ้าคิดว่ายังมีอะไรในโลกนี้เป็นของเจ้า และยังคงหลงใหลหึงหวงมิปล่อยวาง ฉะนี้ก็ช่างน่าเวทนานัก

                                                             ๑๐

        กาลจวบจนบัดนี้ มหันตภัยรี่อยู่เบื้องหน้า เธอควรตื่นได้แล้วหนา และก้มหน้าบำเพ็ญธรรม ครั้นลองถามใจตน ก็สุกทนน่าละอาย รับธรรมแม้นนานหลาย ก็หาได้เจริญจริง ไร้การสร้างกุศล อีกไม่สนลุปณิธาน ปกติชอบเกียจคร้าน ปล่อยวารกาลหลุดลอยไป โลกีย์เหนี่ยวรัดไว้ มิสนใจวิริยา ผิดต่ออาวุโสนักหนา ที่นำพาคอยห่วงใย จงเร่งจิตสำนึก รู้ตรองตรึกเร่งกลับใจ ดุจทะยายอาชาไนย ยังมิสายพอตามทัน แต่หากมิรู้ตื่น ยังระรื่นมิแจ้งฝัน ทำเฉื่อยแฉะไปวันวัน มิบากปั่นปล่อยละเลย ครั้นภัยล้างม้วนชีวี ฝังอเวจีตราบแสนนาน

                                                             ๑๑

         ลองพิจารณาดูชาวโลกแล้ว มีใครบ้างที่ไม่ผ่อนผันอภัยตน ? มีใครบ้างที่ไม่ปล่อยตัวปล่อยใจตน ? มีใครบ้างที่ไม่โลภหลงใหลในความสุขสบาย ? มีใครบ้างที่ไม่คลั่งไคล้ในความสุขเพียงชั่วแล่น ? เจ้าพึงต้องระวังไว้เพราะการปล่อยกายใจแลผ่อนผันอภัยตนนั้น แท้จริงคือกำลังถูกเวรกรรมร้อยรัดเอาไว้ และการหลงไหลในความสบายและความสุขใจเพียงชั่วแล่นนั้น ก็คือสิ่งที่จะกัดกร่อนรากธรรมได้ง่ายดายที่สุด ดังนั้นจึงทำให้เจ้าต้องเร่ร่อนเวียนว่ายในส้งสารวัฎตราบนิรันดร์       

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
บทสำรวจตนเอง
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: 18/02/2011, 02:44 »

                                                     ๑๒

      บนโลกนั้นมีผี แต่เห็นได้จากที่ใด ? พวกชอบดื่มเหล้าก็คือผีขี้เมา  พวกบ้ากามก็คือผีลามก  พวกโลภสมบัติก็คือผีหวงทรัพย์  พวกขี้โมโหก็คืออสูรร้าย  ผีเหล่านี้ล้วนเป็นผีที่มีเปลือกนอกเป็นคนทั้งสิ้น ในเมื่อชาตินี้เป็นผี ไยชาติหน้าจะเกิดเป็นคนได้ ? ดังนั้นเจ้าจึงพึงระวังให้ดี อันกับดักใหญ่แห่งสุรา  โลภะ  โมหะ  โทสะทั้งสี่นี้ ติดกับได้ง่าย แต่จะหลุดรอดได้นั้นแสนยากนัก

                                                       ๑๓

      ตลอดชีวิตของนกและไก่ในกรง ล้วนต้องใช้ชีวิตอยู่ในกรงที่คับแคบอับชื้นอย่างมิอาจเห็นเดือนเห็นตะวันได้ เมื่อเจ้าได้เห็นภาพอย่างนี้แล้วเจ้ามีความรู้สึกเช่นได ? ตามตรอกเล็กซอยน้อย เรามักจะได้เห็นสุนัขทั้งที่ผอมลีบ สกปรกและเหม็นเน่าอยู่ตากลมตากฝุ่น ตากแดดตากฝน หิวโหยทุกข์ทน หรือกระทั่งต้องเจ็บไข้ทรมานอย่างแสนสาหัส นี่ช่างเป็นภาพอันน่าเวทนา และชวนให้หดหู่ใจเสียยิ่งนัก แต่แท้จริงแล้ว ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นภาพนรก ฉะนั้น เจ้ายังต้องไปหาดูนรกที่ไหนอีก ? เพราะหากชาตินี้เจ้าได้ก่อกรรมทำเข็ญ ไม่เคารพฟ้าดิน ไม่ธำรงจิตมโนธรรมสำนึก มีแต่เอาเปรียบโลภมากฉะนี้แล้ว ในชาติหน้า เจ้าก็จะเป็นเช่นเหมือนพวกเขา ฉะนั้น เมื่อได้เห็นความน่าเวทนาของพวกเขา ก็จงสังวรณ์ถึงตัวเองเสียบ้าง เพราะภาพนรกก็ปรากฏอยู่เบื้องหน้าให้เห็นแล้ว อเวจีก็ฉายซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่เสมอ หรือว่าเจ้าไม่กลัว ? เจ้าจงรีบเร่งพิจารณาตนเองจะดีกว่า !

                                                         ๑๔

      คนบ้าที่วิกลจริต หรือคนที่ต้องทุกขเวทนากับความเจ็บไข้ได้ป่วยตลอดทั้งวัน หรือคนที่ต้องยากจนเข็ญใจกับชีวิต อีกคนที่ลุ่มหลงงมงายอยู่กับการปลูกเหตุแห่งการเวียนว่ายตายเกิดไม่รู้หยุด.....เมื่อเจ้าได้เห็นภาพเหล่านี้แล้ว เจ้ามีความรู้สึกเช่นใดหละ ? พวกเขาก็เป็นเสมือนกระจกเงา เมื่อเห็นพวกเขา ก็ควรจะเข้าใจตัวเองให้ดีขึ้นบ้าง พระพุทธองค์ตรัสว่า "ประสงค์รู้เหตุแต่ปางก่อน ผลที่รับในปัจจุบันชาตินั่นแหละใช่ ประสงค์รู้ผลในอนาคตชาติ เหตุที่ก่อในปัจจุบันนี้นั่นแหละใช่" ทำดีได้ดี  ทำชั่วได้ชั่ว  หากหวังใจในนิพพาน เจ้าก็ต้องหมั่นทำความดีให้มาก ๆ ไว้   

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
บทสำรวจตนเอง
« ตอบกลับ #5 เมื่อ: 18/02/2011, 03:11 »

                                                         ๑๕

      ใครกันหละที่ใช้ให้เจ้าทำร้ายตนเองถึงเพียงนี้ ที่ยอมปล่อยให้โลภ โกรธ หลง  อกุศลกรรมสิบบทมาบดบังความสงบแห่งธรรมญาณ ใครกันหละที่ใช้ให้เจ้าหยามย่ำตนถึงปานนี้ ที่ยอมปล่อยให้มิจฉาทิฎฐิ  มิจฉาสังกัปปะ  มิจฉาวาจา  มิจฉากัมมันตะ  มิจฉาอาชีวะ  มิจฉาอุปาย  มิจฉาสติ  มิจฉาสมาธิ  มากัดกร่อนรากธรรมจนฟอนเฟะ   เจ้าจงอย่าได้ดูเบาตนเอง หากมิใช่เพราะเจ้าได้สะสมบำเพ็ญมาแต่อดีตชาติ  ชาตินี้เจ้าไยมีส่วนได้รับธรรมะได้  ขอให้เจ้าจงถนอมรากบุญของเจ้าไว้ให้ดี เพราะหากชาตินี้เจ้าต้องตกหล่น ก็จักยากได้เกิดกายเป็นคนได้อีกต่อไป

                                                         ๑๖

      วางในสิ่งผู้อื่นมิอาจวาง  ตัดในสิ่งที่ผู้อื่นมิอาจตัด  สละในสิ่งที่ผู้อื่นมิอาจสละ  ทำในสิ่งที่ผู้อื่นมิอาจทำ  ผจญต่อทุกข์ที่ผู้อื่นมิอาจผจญ  อดทนต่อสิ่งที่ผู้อื่นมิอาจอดทน  ฉะนี้จึงจะนามว่าผู้บำเพ็ญธรรมได้  นับแต่จำเนียรกาลเป็นต้นมา มีพระมหิทธาองค์ใดบ้างที่มิได้ผจญสิ้นซ่งทุกข์ลำเค็ญแล้วสำเร็จธรรม  ฉะนั้น  หากเจ้ามิมีใจจะบำเพ็ญธรรมก็แล้วไป แต่หากจะบำเพ็ญธรรม ก็จำต้องมีการตื่นแจ้งอย่างเฉียบขาด เพราะเรื่องนี้มิใช่เรื่องว่าเล่น

                                                         ๑๗

      เจ้าบอกว่าการบำเพ็ญเป็นเรื่องยาก  การบำเพ็ญเป็นเรื่องยาก ที่กล่าวเช่นนี้จะทำให้เกิดประโยชน์อันใดแก่เจ้าบ้างหละ ? การที่เจ้าสามารถปล่อยวาง  ตักวาง  สละ  ทำและอดทนอดกลั้นต่อความทุกข์ยากได้ ชีวิตของเจ้าก็จะหมดไปวัน ๆ อยู่ดี หรือหากเจ้าจะไม่สามารถปล่อยวาง  ตัดวาง  สละ  ทำและอดทนอดกลั้นต่อความทุกข์ลำเค็ญก็เถอะ   ชีวิตของเจ้าก็จะหมดไปวัน ๆ เช่นกัน แต่ความเหนื่อยยากเพียงไม่กี่ปีแห่งการบำเพ็ญที่เห็น กลับต้องแลกมาซึ่งความทุกข์ทนและความอ้างว้างอีกนับหมื่นปี เจ้าลองชั่งใจดู แบบใดจึงจะคุ้มค่าหละ ?

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
บทสำรวจตนเอง
« ตอบกลับ #6 เมื่อ: 19/02/2011, 03:00 »

                                                         ๑๘

     เจ้าไยต้องทำตัวเศร้าสร้อยชวนให้คนสงสาร  แล้วรำพันอะไรทำนองว่ามีแต่เรื่องวุ่นวายใจจนแยกแยะไม่ถูก  ยากตัดวาง  เจ้าไยต้องตำหนิด่าว่าแต่ตนเอง   แล้วรำพันอะไรทำนองว่ามีผิดบาปทับถมมหันต์   ผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่รู้เลิกยากกลับตัว   การที่เจ้าโอดครวญหวนโหยตำหนิโทษแต่ตัวเองอย่างนี้แล้วมันจะเกิดประโยชน์อะไรขึ้นได้ ? พญายมก็ไม่เห็นว่าจะสงสารเห็นใจเจ้าดอก  จะโทษก็ต้องโทษตัวเองที่ไม่ยอมฮึดสู้มั่นหมายอย่างมิลดละต่างหาก  เพราะเคราะห์ภัยอาเพศที่เกิดล้วนเพราะตนเองเป็นผู้เรียกหามาเองทั้งสิ้น

                                                           ๑๙

      การบำเพ็ญธรรมมีหรือที่จะสบาย  ดังนั้นเจ้าจึงต้องบำเพ็ญปฏิบัติอย่างจริงจัง   หากเจ้าเพียงแต่ทำรับหน้าไว้อย่างเสียมิได้  ไม่มีใจที่คิดจะจริงจังต่อการบำเพ็ญปฏิบัติเลยสักนิด   สุดท้ายก็มีแต่จะทำให้ตนเองต้องเสียหายไปเท่านั้นเพราะเจ้าอาจจะทำรับหน้าต่ออาวุโสหรือต่อญาติธรรมได้  แต่เจ้าก็ไม่มีวันที่จะทำรับหน้าต่ออนิจจังและภัยพิบัติได้หรอก

                                                           ๒๐

      อย่าบอกว่ายาก   อย่าบอกว่ายุ่ง   ที่บอกว่ายากและยุ่งเสียมากมาย  สุดท้ายก็ยากจะรอดพ้นอนิจจังได้อยู่ดี   เมื่อรู้ว่าธรรมะนี้เป็นสิ่งวิเศษ   ธรรมะนี้เป็นสิ่งประเสริฐ  ก็จงเร่งรี่บำเพ็ญธรรม   เพราะหากมิยอมเจริญธรรมบรรลุธรรมแล้ว   เมื่อถึงคราวที่พญายมมาเรียกหา   เวลานั้นจะมารนรานตื่นผวา  เสียใจพร่ำร้องซมซานอย่างไรก็เถอะ  มันก็สายเกินแก้เสียแล้ว

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
บทสำรวจตนเอง
« ตอบกลับ #7 เมื่อ: 19/02/2011, 03:21 »

                                                          ๒๑

        หนึ่งวันผ่านไปคือหนึ่งวันหาย   หนึ่งปีผ่านไปคือหนึ่งปีวาย  คืนนี้หลับไหลสบายใจกาย   รู้ไยจักได้ชมตะวันคืน  ครานี้พบหน้ายังดีอยู่   ยากรู้คราหน้ายังได้เห็น  อย่างไรจึงพ้นหัตถ์ยมเย็น  รีบเร่งบำเพ็ญกาลปัจจุบัน  กระหายแล้วขุดบ่อนั้นไร้ค่า   หากนานมาพึงบุกบั่นวิริยา

                                                           ๒๒

        พลังใจหาญแกร่งขึ้นฝั่งธรรม   หากใฝ่ต่ำจิตโลเลดิ่งทุกข์ธาร   จะสำเร็จต้องครองมั่นทุกวารกาล   หากซมซานเดี๋ยวเข้าออกทุกข์สามกาล (สามกาลคือ อดีต ปัจจุบัน อนาคต) เนื่องนานมาที่สำเร็จเพราะเกรงใจ  ล้วนสำแดงปัญญาวุธแสงอำไพ  มือเงื้อมฉับจิตสับสนมิห่วงใย  เพียงว่าตัดก็ตัดไปไร้เยื่อใย   จิตมานะจึงคือฐานธรรมสำเร็จ   นี่คือเคล็ดที่โลดโผนทิศน้อยใหญ่  หากโลเลเดี๋ยวขึ้นลงตกเวียนตาย  จงฟันใฝ่มุ่งเจริญบรรลุเอง

                                                            ๒๓

        อย่าได้คิดเชียวนะว่า  เจ้ายังมีเวลาอีกนาน  อย่าได้หลงเชียวนะว่า  เจ้ายังมีสุขภาพที่แข็งแรง   เจ้าต้องตระหนักให้ดีว่า   พญายมนั้นไร้เยื้อใย   อนิจจังนั้นช่างว่องไว  การเกิดตายนั้นสุดจะคะเนได้  พลันแค่ลมหายใจนี้หยุด  ทุกสิ่งก็จบสิ้นเท่านั้น   และชาติหน้าก็ยังมิอาจรู้ได้ว่าเจ้าจะเปลี่ยนหน้าผลัดโฉมไปเป็นอย่างไร ?    หากยังมีอีกหนึ่งวันที่ยังอยู่บนโลกนี้ได้   เจ้าก็ควรรู้ค่าถนอมรักษาหมั่นเร่งสร้างสมกุศลบุญญา  รีบนำพาปฏิบัติสุดแรงใจ   หากปกติทำตัวมิรู้ค่า   ไม่รักษาคุณค่าแห่งเวลา  พลันอนิจจังเคาะประตูเยือนฉุดคร่า  จิตใจก็ฟั่นเฟือนวิปราสมือเท้าสับสนรนราน   แล้วค่อยมาได้คิดว่าจะต้องสร้างบุญสร้างกุศลแต่นานมาแต่มันก็มิได้เกิดประโยชน์อันใดได้เสียแล้ว   เพราะเพียงแค่เราพลาดจากการเป็นคน   มาตรว่าเจ้าจะมีใจที่ตั้งมั่นต่อการบำเพ็ญธรรมอย่างไร  แต่ขอถามว่าเป็นไปได้ไหม ?

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
บทสำรวจตนเอง
« ตอบกลับ #8 เมื่อ: 21/02/2011, 04:11 »

                                                           ๒๔

     มโนธรรมแห่งเราได้มีพร้อมมาแล้วแต่กำเนิด และก็ยังเป็นสิ่งที่คงอยู่แต่เดิมแล้วในใจของทุก ๆ คน โดยมิจำต้องไปแสวงได้จากภายนอกแต่อย่างใด ขอเพียงแต่เราค้นหาด้วยตน บ่มเพาะบารมีแห่งตน ทำการแจ้ง ทำการเข้าใจ ก็เท่านั้น

                                                            ๒๕

     ในเวลาอันเนิ่นนานเมื่อครั้งอดีต ธรรมญาณแห่งมนุษย์นั้นแสนผ่องใสฟ้าคนรวมเป็นหนึ่งมิแยกฝ่าย จนมิอาจมีสิ่งมดจะมาพรรณาซึ่งความวิเศษได้ แต่นับจากที่ได้ถูกบดบังด้วยโลกียวัตถุ อีกอายตนวิญญาณที่มอมหลงไหล อีกอำนาจทรัพย์สินที่ยั่วยวนไป เพื่อคว้าไขว่ระบายกิเลสที่อัดอั้นใจนั้นแล้ว จึงทำให้ได้คลาดหายจากคุณธรรมดั้งเดิมที่เคยมี และการแย่งชิงดีจึงมีีเกิดทุกหย่อมหญ้า กิเลสตัณหาคลุ้งกระจายลอยสะพัด จนส่งผลให้โลกแห่งพระพุทธาแต่เดิมมาต้องสาบสูญมลายไร้ร่องรอย ระบอบธรรมจารีตล้วนมอดม้วน คุณธรรมแปดมิอาจได้คงมี จึงทำให้โลกแห่งพระพุทธาต้องกลับกลายเป็นโลกโสโครก เหล่านี้ช่างเป็นนรกบนดินโดยแท้ และด้วยฟ้าทรงประสงค์เตือนตักชนชาวโลก ด้วยความจนพระทัย จึงต้องประทานภัยให้ลำเค็ญ โดยจุดประสงค์ก็เพียงเพื่อให้ชาวโลกได้รู้ตื่น ด้วยการเตือนต่อทุรชน ก็หวังเพียงให้ผู้คนรู้ผิดเร่งกลับใจ โดยหาได้มีเป้าหมายเป็นอื่นใดไม่  ดังนั้น  พระแม่เบื้องนิพพานจึงทรงบัญชาให้เหล่าอสูรลงจุติ  จนเกิดก่อเก้าเก้ามหันตภัย  อีกอาศัยเหล่ามารร้ายมาสอบเพื่อดูความจริงเท็จ  ทั้งนี้ก็เพื่อกำหนดมรรคผลฐานะในเบื้องหน้า ทว่า  การคุกคามแห่งมหันตภัยนี้นั้น ก็ยังผลให้สุรชนอีกมากมายต้องมอดม้วยตามไปด้วย เพื่อจะช่วยบุตรคนดีเหล่านี้ จึงได้มีมหาธรรมออกโปรดอย่างกว้างขวาง  ให้พระวิสุทธิอาจารย์ลงอุบัติ ให้ธรรมะออกถ่ายทอดอย่างทั่วถึง ทั้งนี้ก็เพื่อฉุดช่วยเหล่ากุลบุตรกุลธิดา ให้กลับคืนสู่อนันตภูมิตราบชั่วนิรันดร์

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
บทสำรวจตนเอง
« ตอบกลับ #9 เมื่อ: 22/02/2011, 07:54 »

                                                        ๒๖

     บำเพ็ญธรรมบำเพ็ญจิตนำพิชิตเสมอต้นปลาย ไม่ว่าจะเป็นเพศฆราวาสหรือเพศบรรพชิต หากได้มีปณิธานที่มาดหมายในทางบำเพ็ญธรรม และดำรงค์จิตคิดช่วยเพื่อนมนุษย์แล้ว เจ้าก็จำต้องฝึกฝนบำเพ็ญด้วยความเหนื่อยยากด้วยมาตรว่าจะเป็นงานหยาบอย่างการตัดฟืนหาบน้ำก็ตาม ทั้งหมดนี้ก็ล้วนเป็นการปฏิบัติฌานขั้นสูงแห่งมหายานธรรมทั้งสิ้นในทางการงานจะใช้เพียงมือและกาย แต่ในทางบำเพ็ญจะใช้ใจและปาก หากเจ้าดำรงจิตโพธิสัตว์ เจ้าก็คือพระดพธิสัตว์ ซึ่งเจ้าจำต้องทำอย่างเป็นหนึ่งเดียวทั้งปากและใจอย่างสม่ำเสมอทุกเวลากาล แต่หากเจ้าพากเพียรเมื่อตอนเริ่มและเกียจคร้านเมื่อตอนปลายละทิ้งเอาตอนกลางคัน ฉะนี้ก็หาได้มีการสำเร็จไม่ ในการบำเพ็ญธรรม เจ้าต้องถือเอาธรรมะมาเป็นแก่น   ถือเอาคุณธรรมมาเป็ยคุณานุภาพ   อันธรรมะและคุณธรรมที่พึงมีแห่งชีวิต  ไม่ว่าจะเป็นความเคารพนบนอบ   ความศรัทธามุ่งมั่น   ความแข็งเกร่งเที่ยงตรง   ความทะนงศักดิ์หาญกล้า   ความอุทิศเสียสละ ความอบอุ่นเป็นกันเอง   ความเมตตากรุณา   ความอ่อนน้อมถ่อมตน   ความสุภาพเรียบร้อย   อีกความอ่อนโยนเป็นมิตร   ความขยันหมั่นเพียร   ความประหยัดมัธยัสถ์   ความถือสัตย์เคร่งวาจา   อีกทั้งการมีจิตใจอันสูงส่ง    การมีกำลังใจอันกล้าแกร่ง    การมีจิตใจอันอารี    การเคารพอาชีพ    การทำดีแก่ฝูงชน   การปิดทองหลังพระอย่างไม่ตัดพ้อต่อว่าต่าง ๆ  อันเป็นคุณธรรมที่สามารถกระทำให้เป็นจริงได้เหล่านี้ ล้วนเป็นสิ่งที่ชีวิตพึงมีอีกเป็นสิ่งที่มวลมนุษย์พึงครอง  ซึ่งเหล่านี้ล้วนเป็นกฏคุณธรรมของการไปมาหาสู่แห่งสังคมมนุษย์ที่มิควรขาด ทั้งนี้ก็เพื่อจะได้ชำระจิตใจแห่งเราให้บริสุทธิ์ ตราบจนส่งผลให้เราได้หยุดสงบอยู่ ณ ที่สุดแห่งความดี  แล้วค่อย ๆ ขยายอาณาบริเวณไปสู่สังคมโลก  เหล่านี้ก็คือภาระกิจของเรา ซึ่งหากเรามิมีพลังใจอันกล้าแกร่งและไปคล้อยตามกระแสธารแห่งสามัญโลกแล้ว ก็มิไยต้องเอ่ยถึงเรื่องการบำเพ็ญธรรมเลย

Tags: