collapse

ผู้เขียน หัวข้อ: โอวาท 4 ท่านเหลี่ยวฝาน : วิธีสร้างความดี : เกริ่นนำ  (อ่าน 18317 ครั้ง)

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382

       ฉะนั้น ถ้าเราไม่ให้ความแตกต่างระหว่างความรวยกับความจน ความสุขกับความทุกข์ ความตกต่ำกับความรุ่งเรือง หรือ ความมีอายุยืนกับอายุสั้น ก็จะสามารถสร้างสรรค์ชีวิตให้เป็นไปตามความต้องการของเราได้ ถ้าเราไม่ให้ความแตกต่างกับสิ่งเหล่านี้เสียก่อนแล้ว เราจะไม่สามารถสร้างชีวิตให้ดีตามความต้องการของเราได้เลย จะยกตัวอย่างให้ดู เด็กสองคน คนหนึ่งเกิดมาเป็นลูกคนรวย อีกคนเกิดมาเป็นลูกคนจน ถ้าเด็กรวยคิดว่าตนเองวิเศษกว่าผู้อื่นเพราะความรวยกว่าผู้อื่นแล้วไซร์ ก็จะเกิดความลำพองถือเงินเป็นอำนาจบาตรใหญ่ เที่ยวระรานข่มเหงเอาแต่ใจตนเอง ส่วนลูกคนจนนั้น ถ้าคิดว่าตนเองยากจนไม่มีเงินเหมือนลูกคนรวย ก็จะมีความน้อยเนื้อต่ำใจ เมื่ออยากได้อะไรไม่ได้ดั่งใจ ความกดดันก็จะเป็นแรงขับ ให้เริ่มฉกชิงวิ่งราวลักเล็กขโมยน้อย จนถึงปล้นจี้ฆ่าเจ้าทรัพย์รุนแรงขึ้นทึกที แม้จะต้องโทษก็ไม่กลัว ได้กินข้าวหลวงสบายไปเสียอีก ถ้าเราแยกแยะความรวยความจนเช่นนี้ ก็จะเป็นคนดีไปไม่ได้เลย แต่ถ้าไม่คิดว่าเรารวย จะทำอะไรก็ระมัดระวัง ไม่ให้กระทบกระเทือนถึงผู้อื่นคิดแต่จะช่วยเหลือเจือจานไปทั่วหน้า ใช้เงินที่ตนเองมีมากให้เป็นประโยชน์แก่ผู้ที่น้อย อาศัยความรวยที่ตนเองได้เปรียบผู้อื่นโดยสภาวะธรรม มาเกื้อกูลผู้อื่นที่มีน้อยถึงกับขาดแคลน ตามสภาวะธรรม ความเมตตากรุณาที่เกิดจากความรู้จริงในสภาวะธรรมนี้ก็จะหล่อหลอมให้ช่องว่างระหว่างความรวยความจนนั้นปิดสนิท ไม่สามารถเกิดความแตกแยกได้เลย ส่วนเด็กที่เกิดมายากจนอันเป็นสภาวะธรรมหนึ่งนั้น ถ้าไม่ให้ความแตกต่างในความรวยกับความจนแล้ว ก็จะไม่มีความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ รู้จักขยันหมั่นเพียร สันโดษในความเป็นอยู่ ซื่อตรงในความประพฤติ รู้จักใช้แรงกายช่วยเหลือผู้อื่นแทนแรงเงินที่ตนขาดแคลน ไม่คอยคิดที่จะให้ผู้อื่นมาช่วยตนแต่ไม่รังเกียจที่จะช่วยผู้อื่น ตั้งหน้าทำมาหากิน หนักเอาเบาสู้ อดออมถนอมตน ไม่นานนักคนจนก็จะกลายเป็นคนรวย คนรวยก็จะไม่จน ถ้ามีนิสัยเหมือนเด็กทั้งสองคนนี้ เมื่อถึงวันนั้นความแตกต่างจักมีได้อย่างไร
       แม้อายุสั้นอายุยาวก็เช่นกัน ถ้าเราไม่เชื่อว่าชะตาชีวิตได้ลิขิตให้เรามีอายุสั้น เราก็จะไม่พะวงถึงความตายตั้งหน้าประกอบกรรมดี ไม่ใช่อยู่รอความตายไปวันหนึ่ง ๆ ผู้ที่ไม่เชื่อว่าชะตาชีวิตลิขิตมาให้อายุยืน ก็จะไม่ทนงตนว่ามีชีวิตอยู่อีกยาวนาน เกิดความประมาทเกียจคร้านที่จะประกอบกรรมดี ผัดวันประกันพรุ่ง ดื่มสุราหานารี เล่นพาชีกีฬาบัตร เผาผลาญชีวิตไปทุกวัน ๆ อายุจักยืนนานไปได้อย่างไร
      ความเกิดความตาย เป็นสิ่งสำคัญที่สุดของมนุษย์ ถ้าเราไม่ให้ความแตกต่างกับสิ่งที่กล่าวมาแล้วไซร์ เราจะเกิดในสภาวะธรรมใดก็ตาม ย่อมจักดำรงชีวิตอยู่ได้ ด้วยจิตใจที่ปราศจากความกดดัน รู้จักดำรงชีวิตด้วยดี ตายดี และไปเกิดในสภาวะธรรมที่ดีต่อไป
      ทำไมหรือ เพราะความชั่วร้าย มิได้อยู่ที่ความรวยความจน มิได้อยู่ที่ความีอายุสั้นหรือยาว ความสุขความทุกข์นั้นย่อมขึ้นอยู่ที่เราจะสามารถประกอบคุณงามความดีได้มากน้อยเท่าใดต่างหากเล่า การฝึกฝนตนเองให้รู้จักประกอบกรรมทำดีนั้นย่อมเป็นการสั่งสมบุญบารมีโดยแท้ เราจะต้องหมั่นสังเกตุพฤติกรรมเราเอง มีสิ่งใดผิดพลาดก็พยายามแก้ไข เหมือนดั่งหมอที่พยายามรักษาคนไข้ให้หายจากโรค ฉะนั้นการสั่งสมบุญบารมีก็ต้องพยายามอยูาทุกขณะจิตค่อยทำค่อยไปไม่หวังผลจนเกินกำลัง ไม่หย่อนยานจนไม่ก้าวหน้า เมื่อจิตได้รับการอบรมทีี่ดี บ่มใจจนได้ที่แล้วนั่นคือความสำเร็จที่จะได้รับในการประพฤติปฏิบัติธรรม ท่านบอกกับพ่อว่า จิตนั้นเกิดดับอยู่ทุกขณะขอให้หมั่นบริกรรมอย่าได้หยุดยั้ง จะขาดการสืบต่อ เมื่อบริกรรมจนเกิดความชำนาญแล้ว ก็จะกลายเป็นนิสัยไม่ว่าปากจะบริกรรมหรือไม่ จิตก็จะทำไปเองโดยอัตโนมัติเมื่อจิตดิ่งเป็นเอกัคตาแล้วไซร์ ย่อมรวมมนต์คาถาที่บริกรรม ตัวคนบริกรรม และจิตที่บริกรรมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ไม่แยกออกจากกัน เมื่อนั้นการบริกรรมก็จะประสบความสำเร็จทันที อธิษฐานไว้เช่นไรก็จะสมปรารถนาเช่นนั้น

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382

      พ่อนั้น แต่ก่อนมีชื่อว่า "เสวียห่าย" ในวันนั้นพ่อเปลี่ยนชื่อใหม่ว่า ""เหลี่ยวฝาน"" เพราะพ่อรู้ซึ้งแล้วว่า การสร้างอนาคตนั้นจะต้องเริ่มที่ตนเองมิใช่รอคอยโชคชะตามาผลักดันให้เป็นไปตามยถากรรม พ่อจะต้องหลุดพ้นจากความเป็นปุถุชนให้ได้ ไม่ยอมตกอยู่ในอิทธิพลของคำพยากรณ์อีกต่อไป นี่คือความหมายในชื่อใหม่ของพ่อ ตั้งแต่นั้นมาพ่อสำรวมระวังบทบาทของกาย วาจา ใจอยู่ตลอดเวลาที่ตื่นอยู่ ทำให้ผิดแผกไปกว่าแต่ก่อนมา ความักง่ายตามใจตนเอง ความไม่สำรวมอินทรีย์ได้ลดน้อยลง มีแต่ความระแวดระวังตั้งสติไม่ประมาท ดุจดั่งเตรียมพร้อม ตั้งรับภยันตรายที่กำลังคืบคลานมาหาพ่อ ฉะนั้นแม้จะอยู่ในที่มืดหรือในที่รโหฐานก็ยังเกรงว่าผีสางเทวดา คอยจ้องจับตามองพ่ออยู่ ต่อหน้าและลับหลังคน จึงประพฤติตนไม่ต่างกัน หากมีผู้ใดแสดงความไม่พอใจพ่ออย่างไร วิพากษ์วิจารณ์รุนแรงเพียงใด พ่อกลับรับฟังได้โดยดุษดีไม่เคยต่อล้อต่อเถียงกับผู้ใดอีกเลย
     เมื่อกาลเวลาผ่านไปอีกหนึ่งปี พ่อได้โอกาสเข้าทำการสอบไล่อีกครั้ง คราวนี้สอบได้ที่หนึ่ง พลิกความคาดหมายของผู้เฒ่าข่ง ที่พยากรณ์ไว้ว่าจะสอบได้ที่สามท่านว่าหลังจากสอบครั้งนี้แล้ว ต่อไปจะสอบไม่ได้อีกแต่เมื่อพ่อไปสอบ ก็สอบได้อีก เป็นอันว่าคำพยากรณ์ไม่สามารถกุมชะตาชีวิตของพ่อได้อีกต่อไป
    แต่การทำความดีนั้น มิได้ง่ายอย่างที่นึกไว้สำรวจดูแล้วก็พบข้อบกพร่องอย่างมากมาย เช่น ไม่มีความอาจหาญพอ ที่จะเสี่ยงชีวิตเข้าช่วยเหลือผู้ประสบภัยบางทีจิตใจรังเลไม่สามารถช่วยได้สุดกำลัง บางทีก็ช่วยไปบ่นว่าไป อดติเตือนเสียมิได้ ปกติยังมีสติควบคุมตัวเองดีอยู่ บางทีดื่มเหล้าเมามาย ความประพฤติดั่งเดิมก็กลับมามีบทบาทอีกคะแนนของกรรมดีกรรมชั่วลบไปเสียมากทำให้ต้องใช้เวลาเกือบ 11 ปี คือ ตั้งแต่ พ.ศ.2112 - 2122 จึงสามารถรวบรวมการทำความดีได้ครบสามพันครั้ง บังเอิญขณะนั้น พ่อไปเที่ยวนอกด่านกับเพื่อนจึงมิได้ประกอบพิธีอุทิศบุญกุศล ดังที่ตั้งจิตอธิษฐานไว้จนกระทั่งรุ่งเช้าอีกปีหนึ่ง พ.ศ. 2123 เมื่อกลับมาทางใต้แล้ว จึงไปนิมนต์ท่านซิ่งคงและท่านเฮว่ยคง ซึ่งล้วนเป็นพระเถระที่ทรงคุณวิเศษมาประกอบอุทิศกุศลผลบุญ ที่ได้เพียรทำต่อเนื่องมาได้รวมสามพันครั้งตามที่ได้ตั้งจิตอธิษฐานไว้ แล้วเริ่มตั้งจิตอธิษฐานใหม่ครั้งนี้ขอให้ได้ลูกที่ดี จะทำความดีอีกสามพันครั้ง พอรุ่งขึ้นอีกปี พ.ศ. 2124  พ่อก็ได้เจ้ามาจึงตั้งชื่อให้ว่า "เทียนชี่" แปลว่า ฟ้าประทาน
    เวลาใดที่พ่อได้กระทำความดีทางกายกรรมก้ดี มโนกรรมก็ดี วจีกรรมก็ดี พ่อจะใช้พู่กันบันทึกไว้ทันที แต่แม่เจ้าเขียนหนังสือไม่เป็น เมื่อได้ช่วยพ่อกระทำความดีตรงใด ก็ใช้ก้านขนห่านจิ้มชาดกวงไว้บนปฏิทิน บางวันให้ทานคนยากจนหลายครั้ง ปล่อยสัตว์มีชีวิตมากวันหนึ่ง ๆ แม่เจ้าวงไว้ถึงสิบกว่าวงด้วยกันเพียงสิบปีกว่า ก็ทำได้ครบสามพันครั้งอีก คราวนี้พ่อนิมนต์พระเถระรุ่นก่อน ๆ มาทำพิธีอุทิศบุญกุศลที่บ้านเราเอง และเริ่มตั้งจิตอธิษฐานขอให้สอบตำแหน่งจิ้นสือได้ จะทำความดีให้ครบหนึ่งหมื่นครั้ง ต่อมาอีกสามปี พ่อก็สอบได้และได้เป็นนายอำเภอในปีนั้นเอง ประมาณพ.ศ. 2129 (ค.ศ. 1586)

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382

       พ่อได้ทำสมุดขึ้นมาเล่มหนึ่ง ให้ชื่อว่าสมุดบริหารใจ ตอนเช้าอันเป็นเวลาที่พ่อนั่งชำระความ พ่อก็ให้คนนำสมุดนี้มาวางไว้บนบัลลังก์ด้วย ในแต่ละวันพ่อชำระคดีไว้อย่างไรบ้างก็จะบันทึกไว้ในสมุดเล่มนี้อย่างละเอียด เพื่อไว้ตรวจสอบดูว่าจะมีอคติในการชำระความอย่างไรบ้างหรือไม่ มีความยุติธรรมเพียงพอไหมให้ความเมตตากรุณาเพียงพอไหม เพื่อจะได้ไว้แก้ไขใในวันต่อไป พอตกกลางคืน พ่อก็ตั้งโต๊ะที่กลางลานบ้าน พ่อแต่งตัวเต็มยศเพื่อแสดงความเคารพต่อฟ้าดิน แล้วจุดธูปเทียนบูชาฟ้าดินคุกเข่าลงอ่านบันทึกนั้น แล้วเผาถวายฟ้าดินหนึ่งชุด เก็บไว้หนึ่งชุด ที่พ่อทำเช่นนี้ก็เพราะพ่อเห็นตัวอย่างอันดีงามนี้มาจากขุนนางผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง ในสมัยราชวงศ์ซ้องที่ได้รับการจารึกไว้ในประวัติศาสตร์จีนด้วยความเคารพอย่างสูงว่าเป็นผู้ที่มีความซื่อสัตย์สุจริต มีความรับผิดชอบต่อหน้าที่ของท่านเท่ากับชีวิตของท่านเอง ไม่ยอมสยบต่อขุนนางกังฉินดูแลความทุกข์สุขของราษฏรและขุนนางใหญ่น้อยอย่างไม่กลัวตาย ถ้าการฉ้อราษฏร์บังหลวงมีการอาศัยหน้าที่หรืออิทธิพลก่อกรรมทำเข็ญกับชาวบ้านหรือขุนนางผู้น้อยแล้วไซร์ แม้ผู้นั้นจะเป็นขุนนางผู้ใหญ่เป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้สักเพียงใรก็ตามท่านก็ไม่เกรงกลัว เป็นต้องนำหลักฐานทูลเกล้าฯถวายฮ่องเต้ให้ได้รับโทษานุโทษจงได้ เมื่อท่านสิ้นอายุขัยแล้วจึงได้รับพระราชทานเกียรติยศอันสูงส่ง ได้รับสถาปนาเป็นที่ชิงเชี่ยงกง หมายถึง ผู้ที่กราบทูลด้วยความสะอาดบริสุทธิ์ใจ พ่ออ่านชีวประวัติอันเกริกเกียรติของท่านแล้วประทับใจมาก จึงถือเป็นตัวอย่างอันดีงามที่จะต้องปฏิบัติตามให้ได้ เพื่อป้องกันการชำระความของพ่อ มิให้ด่างพร้อยเสียความยุติธรรมไปได้ พ่อจึงกระทำเช่นนี้ทุกคืน
       แม่ของเจ้าแสดงความวิตกกังวลให้พ่อฟังว่า แต่ก่อนนี้อยู่บ้านเราเอง ก็ช่วยกันทำบุญทำทานมีโอกาสประกอบกรรมดีมาก ไม่กี่ปีก็ได้ครบสามพันครั้ง แต่ตอนนี้เราอยู่ในสถานที่ราชการ ไม่มีโอกาสสัมผัสกับคนยากจนเหมือนแต่ก่อน ความดีหนึ่งหมื่นครั้ง เมื่อใดจะทำสำเร็จได้เล่า พ่อก็ได้แต่รับฟัง ในคืนวันนั้น จะว่าบังเอิญหรือไม่หนอ พ่อฝันเห็นเทวดาองค์หนึ่งพ่อจึงปรับทุกข์กับท่านถึงเรื่องที่แม่เจ้าวิตกกังวล ท่านบอกกับพ่อว่าพ่อนั้นไม่รู้ตัวเลยพ่อได้ทำความดีครบหนึ่งหมื่นครั้งแล้ว เพียงแต่ลดภาษีข้่าวให้ราษฏรเป็นสุขขึ้น พ่อตื่นขึ้นมาก็นึกขึ้นได้ว่า พ่อได้ทำไปเช่นนั้นจริง ๆ เพราะสงสารราษฏรที่ต้องเสียภาษีหนักเกินไปทำไมเรื่องราวเหล่านี้ ซึ่งพ่อเห็นเป็นเรื่องเล็กน้อยแต่ก็ล่วงรู้ถึงเทวดาฟ้าดินได้ และก็ยังสงสัยอยู่ว่าทำเพียงแค่นี้น่ะหรือ ก็เป็นความดีได้ถึงหนึ่งหมื่นครั้ง บังเอิญท่านฝานเอวี๋ย์เถระมาจากภูเขาอู่ถายซาน พ่อจึงกราบถามท่านเพื่อให้หายสงสัย ท่านตอบว่า กุศลใดก็ตามถ้าทำด้วยความจริงใจ บริสุทธิ์ใจไม่หวังตอบแทนเป็นส่วนตัวแล้วไซร์แม้กระทำครั้งเดียว ก็เท่ากับกระทำได้หมื่นครั้งทีเดียว การที่พ่อเห็นความทุกข์ยากของราษฏร หาทางแก้ไขผ่อนหนักเป็นเบา ความสุขที่ราษฏรทั้งอำเภอได้รับย่อมเป็นกุศลกรรมอันยิ่งใหญ่ พ่อจึงเอาเงินเดือนของพ่อเดือนนั้นถวายแก่ท่านฝานอวี๋ย์เถระ เพื่อให้ทำอาหารมังสวิรัติถวายพระภิกษุในวัดของท่าน ซึ่งมีประมาณหนึ่งหมื่นรูป และอุทิศกุศลกรรมทั้งมวลไปตามที่อธิษฐานเอาไว้

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382

      ท่านผู้เฒ่าข่งเคยพยากรณ์พ่อไว้ว่า พ่อจะมีอายุอยู่ได้ 53 ปีเท่านั้น พ่อก็มิได้อธิษฐานให้ตนเองมีอายุยืนยาวแต่อย่างใด แต่ปีนั้นพ่อก้ไม่เป็นไรอยู่มาจนบัดนี้พ่อมีอายุได้ 69 ปีแล้วโบราณท่านกล่าวไว้ว่าฟ้าดินนั้นสุดที่จะหยั่งรู้ได้ ชะตาชีวิตจึงเอาแน่ไม่ได้ ชีวิตของใครคนนั้นก็ต้องสร้างอนาคตเอาเองจะให้คนอื่นสร้างให้หาได้ไม่ คำพูดนี้เป็นความจริงที่พ่อพิสูจน์ได้ด้วยตนเอง พ่อจึงเชื่อมั่นด้วยความประจักษ์แจ้งแก่ใจของพ่อเองว่าความสุขความทุกข์ ล้วนแต่เกิดจากการกระทำของตัวเองทั้งสิ้น ทำดีก็ดี ทำชั่วก็ชั่ว เป็นคำที่นักปราชญ์โบราณกล่าวกันต่อ ๆ มาจนถึงบัดนี้ถ้าใครยังเชื่อว่า สุขทุกข์เป็นสิ่งลิขิตมาแล้วอย่างแน่นอนแก้ไขไม่ได้แล้วไซร์ แม้ผู้นั้นจะแสนฉลาดปราดเปรื่องอย่างไร เขาก็ยังเป็นปุถุชนอยู่หาความก้าวหน้ามิได้เลย
     สำหรับตัวของลูกนั้น พ่อก็ยังไม่ทราบอนาคตว่าเป็นอย่างไรแต่ขอให้ลูกจำไว้ว่า แม้ลูกจะมีบุญวาสนาชะตาสูงก็อย่ายึดมั่นว่าจะเป็นเช่นนั้นเสมอไป อาจจะมีวันที่ตกต่ำลงได้ ถ้าลูกไม่รู้จักการระวังตัว ยามใดที่ลูกรู้สึกชีวิตมีแต่ความราบรื่นปลอดโปร่งสดวกสบายไปทุกอย่างลูกก็อย่ายึดมั่นจะเป็นเช่นนั้นตลอดไป อาจจะมีวันประสบความยุ่งยากเดือดร้อน ถ้าลูกไม่ตั้งตนอยู่ในศีลในธรรมเสมอ ยามใดที่ลูกมีความเหลือเฟือเงินทองไหลมาเทมามีความสมบูรณ์พูนสุขทุกประการก็อย่ายึดมั่นว่าจะเป็นเช่นนั้นเสมอไป อาจจะมีสักวันหนึ่งที่ลูกจะต้องตกระกำลำบาก ระหกระเหิน แม้จะหาที่ค้างกายสักคืนยังหายาก หากลูกไม่รู้จักใช้เงินให้เป็นประโยชน์ในทางที่ถูกที่ควร ทั้งแก่ตนเองและแก่ผู้อื่น ยามใดที่มีคนยิ้มชมชอบเคารพนบนอบต่อลูก ลูกก็จะต้องยิ่งทำตนให้เป็นที่น่าเคารพยิ่ง ๆ ขึ้น ถ่อมเนื้อถ่อมตัวด้วยความจริงใจมิใช่เสแสร้งแกล้งทำ ปากอย่างใจอย่าง อวดดีวางอำนาจ ยามใดที่ลูกได้รับยศถาบรรดาศักดิ์อันสูงส่ง ลูกก็อย่ายึดมั่นในโลกธรรมอันนั้นว่าจะแน่นอนเสมอไป ต้องเตือนสติตนเองอยู่เสมอว่า สักวันหนึ่ง ยศศักดิ์ ชื่อเสียง เงินทอง และความสุขทั้งมวลอาจจะพังพินาศไปในพริบตาเดียวก็ได้ ถ้าลูกไม่หมั่นประกอบความดียิ่ง ๆ ขึ้นไป แม้ลูกจะมีความรู้ความสามารถเพียงใด ก็จงอย่าทะนงตนว่า ใครก็สู้ไม่ได้ลูกจะต้องหมั่นฝึกฝนเพื่อให้ความรู้นั้นแตกฉานยิ่งขึ้น ถ้าลูกทำได้เช่นนี้ ลูกก็จะเป็นผู้ที่มีคุณธรรมอันสูงส่ง แสดงความสูงส่งนั้นไว้ได้ ไม่มีวันที่จะตกต่ำนอกจากวิบากแห่งกรรมเก่าซึ่งไม่มีใครรู้ว่าในชาติปางก่อน ๆ นั้นลูกได้เคยทำอกุศลกรรมอะไำรไว้บ้าง วิบากแห่งอกุศลกรรมนั้นย่อมให้ผลเมื่อถึงเวลาเสมอ แต่ถ้าลูกมีความดีมากจริง ๆ แล้ว อกุศลกรรมบางอย่างก็จะกลายเป็นอโหสิกรรมไปคือกรรมตามไม่ทัน
       ลูกต้องเคารพบูชาบรรพชนสรรเสริญคุณงามความดีของบรรพชนให้แผ่ไพศาล ลูกจะต้องปกปิดความผิดพลาดของพ่อแม่ไว้อย่าให้เป็นที่เสื่อมเสียแห่งวงศ์ตระกูลได้ ชาติบ้านเมืองเป็นสิ่งที่จะต้องเทิดทูนรักษาไว้ด้วยชีวิตต้องมีความซื่อสัตย์สุจริตจงรักภักดีต่อองค์ฮ่องเต่ไม่เสื่อมคลาย ลูกจะต้องสร้างครอบครัวให้มีความสุขความอบอุ่นใจ ตลอดจนคนรับใช้ลูกจะต้องช่วยเหลือเกื้อกูลผู้ที่ยากไร้ให้ทันท่วงที ลูกจะต้องมีจิตสำรวมระวังอินทรีย์อยู่ตลอดเวลาเพื่อป้องกันความผิดพลาดที่จะเกิดขึ้น ทั้งทางกาย วาจา และใจ
      ลูกจะต้องสำรวจข้อบกพร่องในตัวของลูกเองทุก ๆ วันอย่าได้ขาดและจะต้องแก้ไขความผิดพลาดให้ทันท่วงทีทุก ๆ วันเช่นกัน วันใดที่ลูกมองไม่เห็นความผิดพลาดของลูก ก็แสดงว่าการปฏิบัติธรรมของลูกไม่ได้ก้าวหน้าไปเลยและกำลังถอยหลังแล้ว เพราะฉะนั้นลูกจะต้องหาความผิดพลาดของตนเองให้พบและแก้ไขให้ได้ทันท่วงที มิฉะนั้นแล้ว ลูกจะก้าวหน้าต่อไปไม่ได้เป็นการเสียชาติเกิด
      คำสั่งสอนของท่านอวิ๋นกุเถระนั้น ซึ่งลึกล้ำตรงตามสภาวะธรรมและความเป็นจริงทุกประการ ซึ่งลูกจะต้องนำมาครุ่นคิดวิเคราะห์วิจัยหาเหตุผลเพื่อให้ประจักษ์แจ้งแก่ใจของลูกเอง และยึดถือนำมาปฏิบัติตามคำสั่งสอนของท่านอย่างเคร่งครัด ให้เกิดเป็นจริงเป็นจังขึ้นมาให้ได้ จึงจะไม่เสียแรงที่เกิดมาแล้วชาติหนึ่ง มิได้ปล่อยเวลาอันมีค่าให้ผ่านไปโดยไร้ประโยชน์เลย

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382

       ในยุคชุนชิว  (ก่อนพุทธศักราช 227 ปี) ก่อน พ.ศ.227 - พ.ศ.67 เป็นระยะเวลาที่อำนาจของราชวงศ์จิว (ก่อนศตวรรษที่ 11 ก่อน พ.ศ. 228)เสื่อมถอย หัวเมืองใหญ่น้อยต่างแข็งข้อ ตั้งตนเป็นใหญ่ จิตใจคนจีนในยุคนี้ เสื่อมทรามโหดเหี้ยมมาก ลูกฆ่าพ่อ ขุนนางฆ่าฮ่องเต้ ท่านนักปราชญ์ขงจื่อก็เกิดในยุคนี้ ท่านเห็นว่าเหตุการณ์จะรุนแรงยิ่งขึ้นไม่เป็นผลดีต่อประเทศชาติ จึงนำหนังสือเล่มหนึ่งมีชื่อว่า " ชุนชิว " ซึ่งเป็นของแคว้นหลู่ มาแก้ไขปรับปรุงเสียใหม่ ส่วนที่ดีคงไว้ ส่วนที่ขาดเพิ่มเติม บันทึกความชั่วร้ายในยุคนั้นไว้ในหนังสือชุนชิวนี้อย่างละเอียดลออ เพื่อไว้เตือนใจคนไม่ให้นำมาเป็นเยี่ยงอย่าง ขุนนางในสมัยนั้น ช่างดูคนโดยสังเกตุกิริยาวาจา ก็สามารถคาดคะเนอนาคตของคน ๆ นั้นได้ สังคมขุนนางในสมัยนั้นจึงมักนำบุคลิกของใครต่อใครมาเป็นหัวข้อในการสนทนา พ่อจึงอยากให้ลูกค้นหาส่วนดีส่วนเสียของหนังสือเล่มนี้ แม้จะเป็นของโบร่ำโบราณ ห่างจากยุคเราเกือบสองพันปีก็ตาม แต่ลูกก็จะได้ประโยชน์จากหนังสือเล่มนี้อย่างเหลือล้น นอกจากเล่มนี้แล้วก็ยังมีอีกหลายเล่ม ที่บันทึกประวัติศาสตร์ในระยะสองพันปีนี้ ลูกอ่านแล้วจะได้เข้าใจชีวิตดีขึ้น รู้จักนำส่วนดีของอดีตมาเสริมสร้างชีวิตอนาคตของลูกเองให้เพียบพร้อมด้วยความเป็นคนที่มีศีลมีธรรมหลุดพ้นจากความเป็นปุถุชนได้ในที่สุด
       ธรรมดานิมิตหรือลางสังหรณ์นั้นมักจะเกิดทางใจแล้วปรากฏให้เห็นเป็นอริยาบท บุคคลิกลักษณะจึงเปรียบประดุจกระจกเงา ฉายให้เห็นบุญวาสนาหรือเคราะห์กรรมที่บุคคลนั้น ๆ จะต้องได้รับในอนาคต ปุถุชนมักมองไม่เห็นบุคคลิกลักษณะอันน่าศึกษานี้ กลับเห็นว่าเป็นการคาดคะเนที่ไม่แน่นอน ธรรมชาตินั้นมีความซื่อตรงยิ่งนัก หากเราเอาอย่างธรรมชาติได้ จิตใจของเรานี้ก็จะผสมผสานเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับธรรมชาติ ซึ่งก็คือฟ้าดินนั่นเอง ฉะนั้นลูกจงสังเกตุพฤติกรรมของบุคคล ต่าง ๆ ว่าเขาชอบทำกรรมดีหรือว่ากรรมชั่ว ถ้าเขาชอบทำแต่กรรมดี ทำได้ครบตามมาตรการและสูงถึงมาตรฐานแล้วไซร์ ก็จงแน่ใจเถิดว่าเขาจะต้องได้รับผลดีแน่ แต่ถ้าเขาชอบทำแต่กรรมชั่ว ลูกก็จงแน่ใจเถิดว่าเขาจะต้องได้รับผลเลวร้ายตอบแทน หากลูกต้องการความสุขและห่างไกลจากความทุกข์ ลูกจะต้องรู้จักวิธีแก้ไขความผิดพลาดของตนเองเสียก่อน
     ข้อที่ 1. ลูกจะต้องมีความละอายต่อการทำชั่ว ไม่ว่าจะอยู่ต่อหน้าหรือลับหลังผู้คน ลูกลองคิดดูสินักปราชญ์แต่ครั้งโบราณมา ท่านก็เป็นชายอกสามศอกเช่นลูกนี้ แต่ไฉนท่านเหล่านั้นจึงได้รับความเคารพบูชาเป็นปูชนียบุคคล แม้กาลเวลาจักได้ผ่านไปแล้วเป็นร้อยชั่วคนก็ตาม ส่วนลูกนั้นเล่ายังคงเป็นกระเบื้องที่แตกอยู่เป็นเสี่ยง ๆ ในชีวิตยังไม่ได้สร้างอะไร เป็นชิ้นเป็นอันเป็นแก่นสาร ให้ปรากฏเลย ทั้งนี้ก็เพราะลูกมัวหลงระเริงอยู่กับความสุขทางโลก เหมือนผ้าขาวที่ถูกสีต่าง ๆ แปดเปื้อนเสียแล้ว ย่อมหมดความบริสุทธิ์ผุดผ่อง มักจะทำอะไรที่ไม่สมควรทำ แต่คิดว่าผู้อื่นไม่ล่วงรู้ ต่อไปก็ยิ่งเหิมเกริมทำผิดมากขึ้นทุกที โดยไม่มีความละอายต่อบาป ลงท้ายก็จะเหมือนกับสัตว์เดรัจฉาน ที่ไม่สามารถรู้ว่าตนเองกำลังทำอะไรอยู่ในโลกนี้ จะมีสิ่งใดอีกเล่าที่จะน่าละอายไปกว่าที่ตนเองไม่รู้ดีรู้ชั่ว ท่านนักปราชญ์เมิ่งจื่อจึงได้กล่าวไว้ว่า ความละอายและความเกรงกลัวต่อบาปนั้น เป็นความยิ่งใหญ่ของมนุษย์ในโลกนี้ ผู้ใดมีไว้ย่อมได้ชื่อว่าเป็นนักปราชญ์ ผู้ใดมิได้มีไว้ย่อมเหมือนสัตว์เดรัจฉาน ลูกจึงต้องเริ่มต้นแก้ไขความผิดพลาดของตนเองด้วยกุศลธรรมข้อนี้ก่อน

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382

      ข้อที่ 2. ลูกจะต้องมีความเกรงกลัวต่อการทำชั่วเทพยดาอยู่เบื้องบน ผีสางวิญาณล้วนมีร่างโปร่งแสงมีอยู่เกลื่อนกลาด ทุกหนทุกแห่งซึ่งนัยน์ตาของมนุษย์ธรรมดาย่อมมองไม่เห็นไม่ว่าลูกจะทำผิดอะไรที่คนไม่รู้ผีสางเทวดาก็รู้หมด ถ้าลูกทำความผิดร้ายแรง ลูกก็จะได้รับเคราะห์กรรมไม่เบาทีเดียวล่ะ ถ้าลูกทำผิดเพียงนิดเดียว ก็จะทำให้ลูกได้รับความสุขที่กำลังให้ผลอยู่ในปัจจุบันลดน้อยลงทันที ลูกจะไม่กลัวได้หรือ ไม่เพียงเท่านั้น แม้เราจะอยู่ในบ้านของเราเอง ในที่รโหฐานก็ตาม ก็หนีไม่พ้นสายตาของผีสางเทวดาไปได้ แม้ลูกจะปกปิดความผิดไว้ดีเพียงไรแต่จะปกปิดผีสางเทวดาหาได้ไม่ เพราะแม้แต่ตัวลูกมีไส้กี่ขด ท่านเหล่านั้นก็มองเห็นทะลุปรุโปร่งอยู่แล้ว หากวันใดบังเอิญมีคนแอบรู้เห็นเข้าก็จะกลายเป็นคนไร้ค่าไปทีเดียว อย่างนี้แล้วลูกยังจะไม่กลัวอีกหรือ ไม่เพียงเท่านั้น หากลูกยังมีลมหายในอยู่แม้จะทำความผิดล้นฟ้า ก็ยังมีโอกาสแก้ตัวได้ ถ้าลูกสำนึกในความผิดนั้นได้ทันท่วงที ในกาลก่อนมีชายคนหนึ่งตลอดชีวิตของเขาชอบทำแต่ความชั่ว ครั้นพอใกล้จะตาย ได้สำนึกผิดเพียงขณะจิตเดียว และจิตสุดท้ายที่รู้จักผิดชอบชั่วดี ก็ยังสามารถทำให้จิตที่เกิดต่อจากจิตสุดท้าย (จุติจิต) ได้ปฏิสนธิในสุคติภพทันท่วงที รอดจากการไปสู่ทุคติภพอย่างหวุดหวิด และเมื่อเขาได้ไปสู่สุคติถพเสียก่อนเช่นนี้จิตที่เรารู้จักผิดชอบชั่วดีแล้วในวินาทีสุดท้ายนี้ก็ย่อมเป็นปัจจัยให้เขาประกอบแต่กรรมดี หากเขาสามารถสั่งสมความดีได้มากกว่ากรรมชั่ว ที่เคยกระทำมาเป็นหมื่นเท่าพันทวีแล้วไซร์ วิบากแห่งกรรมชั่วที่มิใช่กรรมหนักจักติดตามมาให้ผลไม่ทันเสียแล้ว ดุจในถำ้ที่มืดมิดมานานนับพันปีเพียงแต่จุดไฟให้สว่างเพียงดวงเดียว ก็สามารถขับไล่ความมืดที่มีมานานนับพันปีให้หมดสิ้นไปในพริบตาเดียว ฉะนั้นลูกจงจำไว้ว่า ความผิดที่ลูกกระทำไว้นานแล้วหรือเพิ่งกระทำ ขอให้รู้สำนึกและแก้ไขเสียทันทีจึงจะเอาตัวรอดได้ ไม่ต้องไปสู่ทุกคติภพที่เต็มไปด้วยความทุกข์ทรมาน แต่ลูกจะต้องจำไว้ให้ดีว่า แม้ความผิดนั้นเป็นสิ่งที่แก้ไขได้ ก็อย่านอนใจที่จะทำผิดบ่อย ๆ  อย่านึกว่าเราทำผิดแค่นี้ไม่เป็นไร พรุ่งนี้เราจะแก้ไขไม่ทำอีกแล้วก็แล้วกัน ถ้าคิดเช่นนี้ ก็ผิดจากวัตถุประสงค์ที่พ่อพร่ำสอนลูกมา อันความผิดที่เกิดจากรู้ว่าผิดแล้วยังจงใจทำ ""เป็นมโนกรรมที่มีโทษหนัก"" แม้ลูกตั้งใจจะแก้ไขนั้นพรุ่งนี้ก็อาจจะสายไปเสียแล้ว เพราะในโลกแห่งความวุ่นวายนี้ ใครจะรับประกันได้ว่าเราจะมีชีวิตอยู่จนถึงวันพรุ่งนี้ มนุษย์มีชีวิตอยู่ได้ด้วยลมหายใจ ถ้าลูกขาดหายใจเพียงครั้งเดียวชีวิตนี้ก็ไม่ใช่ของลูกเสียแล้ว ทุกสิ่งลูกก็นำติดตัวไปไม่ได้ เพราะทุกสิ่งเป็นรูปธรรม มีใครเป็นเจ้าของรูปธรรมได้ชั่วนิรันดร์ สิ่งที่ติดตามลูกไปได้มีเพียงกรรมดีและกรรมชั่วเท่านั้น อันเป็นนามธรรมที่มนุษย์มองไม่เห็นจะสัมผัสได้ด้วยใจเท่านั้น หากบุญยังมีเหลือพอได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีกก็จะเป็นคนที่มีชื่อเสียงไม่ดีเป็นร้อยเป็นพันปี แม้จะมีลูกหลานที่ดีก็ไม่สามารถช่วยลูกได้ หากกรรมหนักไม่สามารถมาเกิดเป็นมนุษย์อีก ก็จะต้องตกนรกหมกไหม้ทนทุกข์ทรมานไปชั่วกัปชั่วกัลป์ แม้พระพุทธองค์ก็ทรงโปรดไม่ได้ เพราะผู้ใดทำกรรมไว้ผู้นั้นเองเป็นผู้ได้รับผลแห่งกรรมนั้น ลูกยังจะไม่กลัวได้หรือ

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382

       ข้อ 3. ลูกจะต้องมีความกล้าที่จะแก้ไขตนเอง มีกำลังใจที่จะแก้ไขอย่างจริงจังไม่ท้อถอยมีความเพียรอย่างสม่ำเสมอ ไม่ใช่ทำบ้างหยุดบ้าง ความผิดเล็ก ๆ น้อย ๆ นั้น เปรียบประดุจหนามตำอยู่ในเนื้อ ถ้ารีบบ่งหนามออกเสียก็จะหายเจ็บทันที หากเป็นความผิดใหญ่หลวงก็เปรียบประดุจถูกงูพิษที่ร้ายแรงขบกัดเอาที่นิ้ว ถ้าลูกไม่กล้าตัดนิ้วทิ้งพิษก็จะลุกลามไปถึงหัวใจและตายได้ง่ายๆ ลูกจึงต้องมีจิตใจเด็ดเดี่ยวกล้าเผชิญ ความจริงรู้ตัวว่าผิดตรงไหน ต้องแก้ตรงนั้นทันที อย่ารีรอลังเลจะเสียการในภายหลัง ลูกจึงศึกษา"" วิชาโป๊วก่วย ที่ว่าด้วยความแข็งแกร่งของฟ้า ความอ่อนโยนของดิน ความมีพลังของไฟ ความเย็นของน้ำ ความกึกก้องของเสียงฟ้าร้อง ความแรงกล้าของลม ความมั่นคงของขุนเขา และความเป็นกระแสของสายธาร แล้วลูกจะเข้าใจถึงธรรมชาติแปดประการนี้ "" ซึ่งต่างก็เป็นปัจจัยให้กันและกัน ในยามที่พายุมา เสียงฟ้าร้อง ลมก็จะกลายเป็นปัจจัยช่วยให้ฟ้าร้องดังยิ่งขึ้น ฟ้าก็จะช่วยลมให้มีกำลังพัดรุนแรงขึ้น ตัวอย่างเหล่านี้ ถ้าลูกศึกษาให้เข้าใจแล้ว ก็จะสามารถนำวิชาโป๊ยก่วยนี้ มาประยุกต์ในชีวิตประจำวันให้เกิดประโยชน์สุขแก่ลูกเอง ความผิดถูกความดีชั่วลัวนเป็นปัจจัยแก่กันและกัน เมื่อรู้ว่าผิดรีบแก้ไขเสีย ความถูกก็จะกลับคืนมา เมื่อทำความดีอยู่ ความชั่วไหนเลยจะกล้ำกราย ทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับความเด็ดเดี่ยวกล้าหาญของลูกเอง เท่านั้นจงจำไว้
       เมื่อลูกมีความละอาย มีความเกรงกลัว และมีความกล้าหาญเด็ดเดี่ยว ที่จะแก้ความผิดพลาดของตนเองแล้วไซร์ ความผิดนั้นก็ย่อมลดน้อยถอยลงจนหมดไปในที่สุด เปรียบประดุจสายน้ำที่รวมตัวกลายเป็นน้ำแข็งในฟดูใบไม้ผลิ เมื่อถูกแสงอาทิตย์ก็ย่อมละลายกลายเป็นดั่งเดิม แต่ความผิดพลาดของมนุษย์นั้นไม่ง่ายดั่งว่าเป็นเสียทั้งหมดบางสิ่งต้องแก้ที่เหตุการณ์ บางสิ่งต้องแก้ที่เหตุผล บางสิ่งต้องแก้ที่ใจ วิธีการแก้ไขย่อมแตกต่างกันออกไป ผลที่ได้ก็ไม่เหมือนกัน ลูกจงฟังให้ดี
      เช่นเมื่อวานเราฆ่าสัตว์ วันนี้เราตั้งใจไม่ฆ่าอีกต่อไป หรือ เมื่อวานเราโกรธ ผรุสวาทไปมากมาย วันนี้เราตั้งใจไม่โกรธอีกต่อไป นี่คือการแก้ไขที่เหตุการณ์ ทำผิดแล้วจึงได้คิด ซึ่งไม่ค่อยจะได้ผลเพียงระงับได้ชั่วคราว เผลอเมื่อใดเราก็จะทำผิดได้อีก
     การแก้ไข จึงต้องแก้ก่อนที่จะมีการกระทำผิดที่เกิดขึ้น คือ ต้องรู้เหตุที่ก่อให้เกิดความผิดได้เสียก่อน เช่นการฆ่าสัตว์ ถ้าเราเข้าใจเสียก่อนว่าชีวิตใคร ๆ ก็รัก ไฉนจึงฆ่าสัตว์อื่นเพื่อเลี้ยงชีวิตเราให้ยืนยาวเล่า ถ้ามีใครทำกับเราบ้างอย่างนี้ลูกจะยอมหรือ อนึ่ง การฆ่าสัตว์นั้น ทำให้เกิดความทรมานเจ็บปวดแสนสาหัส นำสัตว์ต้มในกะทะร้อน ๆ กว่าจะตายก็แสบร้อนไปทุกขุมขน บริโภคอาหารเนื้อสัตว์เอร็ดอร่อยเพียงใด เมื่อเข้าไปอยู่ในท้องเราแล้วก็จะเปลี่ยนเป็นปฏิกูลต่อไป ถ้าเราบริโภคแต่พืชผักผลไม้ เราก็อยู่ได้อย่างเป็นสุขเช่นกันไม่เดือดร้อนอะไร ไฉนจึงต้องไปทำลายชีวิตผู้อื่นเพื่อความอิ่มเพียงชั่วยาม แต่ต้องทำลายบุญที่มีอยู่แล้วให้น้อยลง และเพิ่มบาปให้มากขึ้นด้วยเล่า
     ชีวิตที่ประกอบขึ้นด้วยเลือดเนื้อนั้น ย่อมมีวิญญาณคือความรู้สึกนึกคิดเช่นเดียวกับเรา ถ้าเราไม่สามารถทำให้สัตว์เหล่านั้น มารักนับถือเราไว้วางใจเราและอยากอยู่ใกล้เราแล้ว เราก็อย่าสร้างความเคียดแค้นชิงชัง จนถึงจองเวรจองกรรมกันขึ้นเลย ถ้าลูกคิดได้เช่นนี้แล้วลูกก็จะกลืนเนื้อสัตว์เหล่านั้นไม่ลงคอ เมื่อสมัยโบราณกาลในยุคหินใหม่ เรามีผู้นำซึ่งเปี่ยมด้วยพระเมตตากรุณาและทรงปรีชาสามารถยิ่งพระองค์หนึ่ง ซึ่งมีพระนามว่า ""ตี้ซุ่น"" ก่อนเสวยราชย์โดยราษฏรพร้อมใจกันเลือกท่าน ท่านเป็นชาวนาที่ทำนาอยู่นั้นจะมีช้างมาช่วยท่านไถนา มีนกมาช่วยท่านถอนหญ้า ซึ่งปัจจุบันนี้ ภาพเช่นนี้หาดูไม่ได้อีกแล้ว ก็เพราะมนุษย์ขาดความเมตตากรุณาอย่างจริงใจนั่นเอง
    เรื่องความโกรธก็เช่นกัน ถ้าเรารู้จักคิดสักนิดว่าคนนั้นแตกต่างกันทั้งนิสัย สติปัญญา กรรมในอดีตและปัจจุบัน ภูมิหน้าภูมฺหลังของแต่ละคนจึงไม่เหมือนกัน บางอย่างเขาสู้เราไม่ได้ บางอย่างเราสู้เขาไม่ได้ เมื่อเขาพลาดพลั้งไปก็ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เป็นความโง่เขลาเบาปัญญา น่าสงสารมากกว่า น่าให้อภัยมากกว่า ถึงแม้เขาจะให้ร้ายเราก็เป็นเรื่องที่เขาทำผิดเอง เราไม่เดือดร้อนนัก ก็จะไม่เกิดความโกรธขึ้นมาเลย

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382

     ลูกจะต้องคิดให้ได้ว่า ในโลกนี้ไม่มีใครเลยที่ไม่เคยทำความผิด คนที่อวดดี อวดวิเศษนั้นหาใช่ปราชญ์ที่แท้จริงไม่ คนที่มีความรู้สมเป็นนักปราชญ์นั้น ท่านมักถ่อมตน คอยจับผิดตนเอง ไม่กล้าโกรธเคืองผู้อื่น ไม่จับผิดผู้อื่น คอยสำรวตตนเองว่าได้ล่วงเกินใครอย่างไรบ้างหรือเปล่า ยามที่มีคนล่วงเกินตน ก็จะต้องถามตนเองเสียก่อนว่า ได้เคยล่วงเกินเขาไว้ก่อนหรือไม่ เรามัวคิดเสียเช่นนี้ เราก็จะไม่ทันได้โกรธผู้อื่น ยิ่งถามตนเองแล้วปรากฏว่า ไม่เคยล่วงเกิน ไม่เคยไม่จริงใจต่อเขามาก่อน เราก็ยิ่งสบายใจ รับเอาความผิดพลาดของผู้อื่นมาเป็นบทเรียนฝึกฝนตนเองต่อไป เราก็จะกลายเป็นคนดียิ่ง ๆ ขึ้น เมื่อคิดได้เช่นนี้ ใครทำไม่ดีกับเรา เราก็รับบทเรียนไว้ด้วยความยินดี จิตใจไม่ขุ่นมัวจักมีความโกนธมาแต่ไหน
    ถ้ามีคนนินทาว่าร้ายลูก ลูกก็จะต้องคิดให้ได้ว่าเหมือนคนจุดกองไฟเผาฟ้า แม้กองไฟจะใหญ่มหึมาเพียงได แต่ฟ้านั้นว่างเปล่าไม่มีเชื้อที่จะติดไฟได้ กองไฟจะลุกโชติช่วงสักเพียงใด ก็จะไหม้และมอดไปข้างเดียวในที่สุด คนที่ว่าร้ายลูก เห็นลูกอยู่ในความสงบไม่โกรธ ไม่ตอบเขาก็จะหยุดไปเองเช่นกัน เพราะการนินทาว่าร้ายนั้นเหมือนนำสีมาป้ายที่ผ้าขาวนั้น ย่อมยากที่จะขาวได้ดั่งเดิม แม้ลูกจะมีเหตุผลดีอย่างไร ก็ไม่สามารถจะโต้แย้งให้ขาวกระจ่างได้ เปรียบประดุจตัวไหมในฤดูใบไม้ผลิหลงกินใบหม่อนไปดิ้นไป ยิ่งกระดุกกระดิกมากเท่าไร ใยไหมก็ยิ่งผูกมัดตัวเองมากเท่านั้น ความโกรธก็เช่นกัน มีแต่โทษหามีคุณไม่ ถ้าลูกสามารถใช้เหตุผลใคร่ครวญดูแล้ว ทุกสิ่งก็จะไม่น่าโกรธ ความโกรธก็จะไม่เกิดขึ้นกับลูกอีกเลย
    วิธีแก้ไขความผิดพลาดที่พูดไปแล้ว มีแก้ไขเมื่อเกิดความผิดขึ้นแล้ว และแก้ไขเมื่อยังมิได้ทำ ความผิดวิธีที่ดีที่สุดก็คือ การแก้ที่ใจนั่นเอง โบราณท่านว่าไว้กิเลสพันห้าตัณหาร้อยแปด ก็ล้วนเกิดที่ใจทั้งสิ้น ถ้าเราห้ามใจมิให้เกิดกิเลสตัณหาได้ ความผิดใด ๆ ก็เกิดขึ้นไม่ได้ ดุจดั่งดวงตะวันสาดแสงส่องมาคราใด ความมืดก็หมดไป ปีศาจก็ยังต้องหลบ ๆ ซ่อน ๆ ไม่กล้าออกมาเพ่นพ่าน เปรียบได้กับการโค่นล้มต้นไม้ที่มีพิษ ลูกจะต้องขุดรากถอนโคลนให้หมดสิ้น ไม่ใช่ค่อย ๆ ลิดกิ่งปลิดใบ ซึ่งไม่ทันการ
    สรุปแล้ว การแก้ที่ใจ จึงจะเข้าถึงความบริสุทธิ์ผุดผ่องได้อย่างแท้จริง เพียงเกิดรู้สึกว่าจะทำผิด ก็รู้สึกตัวเสียก่อนแล้วด้วยสติสัมปชัญญะ ความผิดจึงเกิดขึ้นไม่ได้ นี่คือการยับยั้งชั่งใจที่ต้องอบรมบ่มเพาะ ให้สติประคองใจเราไว้ตลอดเวลาทั้งหมดนี้ ลูกจะต้องใช้วิจารณญาณให้ถูกต้องว่า คราใดที่ควรจะใช้วิธีใดจึงจะเหมาะจะควร ถ้าลูกนำวิธีมาใช้ไม่เหมาะไม่ควรก็จะไม่ทันการ แล้วลูกก็จะต้องตกอยู่ในความโง่ต่อไปไม่มีทางได้ดี
    การตั้งปณิธานอันแน่วแน่ ที่จะแก้ไขความผิดพลาดของตนเองก็ดี การอธิษฐานจิตอยู่บ่อย ๆ ตลอดวันตลอดคืนก็ดี ล้วนแต่จะช่วยกระชับความหนักแน่นให้แก่ลูก นอกจากนี้ยังจะต้องมีกัลยาณมิตร คอยช่วยเหลือตักเตือนมีผีสางเทวดาคอยช่วยดลใจิจตใจของลูก ต้องเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ทั้งกลางวันกลางคืน ทุกขณะจิต ทุกลมหายใจเข้าออก เพียงสักหนึ่งหรือสองสัปดาห์ อย่างช้าก็ไม่เกินสามเดือน ย่อมปรากฏผลอย่างแน่นอน
   ลูกจงคอยสังเกตุถึงจิตใจที่จะสงบขึ้น สติปัญญาแจ่มใสสมองโปร่งไม่ปวดศรีษะ ทำอะไรก็ดูจะง่ายขึ้นเร็วขึ้น ไม่มีผิดพลาด ไม่เครียดจนหงุดหงิด ถ้าลูกพบคนที่ไม่ถูกโรคกันมาก่อน กลับรู้สึกเฉย ๆ  แทนที่จะเกิดความอิดหนาระอาใจอย่างที่เคยเป็นมา กลางคืนอาจจะฝันว่าตนเองได้อาเจียนของดำ ๆ ออกมา บางทีก็จะฝันเห็นนักปราชญ์โบราณมาสั่งสอนแนะนำ บางทีก็จะฝันว่าได้บินไปเที่ยวบนท้องฟ้า บางทีก็จะฝันเห็นเครื่องบูชาพระพุทธเจ้า ล้วนเป็นนิมิตดี เพื่อให้ลูกรู้ว่าบาปกรรมนั้นได้ลดน้อยถอยลงแล้ว แต่ลูกอย่าได้ลำพองใจเป็นอันขาด มิฉะนั้นความเพียรของลูกจะหยุดก้าวหน้าได้ทันที
    แต่ก่อนนี้สมัยซุนซิว มีขุนนางในแคว้นเอว้ย ท่านหนึ่งเมื่ออายุได้ยี่สิบปี ท่านก็รู้สึกว่าตนเองได้ทำผิดอะไรมาบ้าง และสามารถแก้ไขได้หมดสิ้น ครั้นเมื่อท่านอายุได้ 21 ปี ท่านก็รู้อีกว่า ที่คิดว่าแก้ไขหมดแล้วนั้น ที่แท้ยังไม่หมดจนดี ครั้นเมื่อท่านอายุได้ 22 ปี ท่านก็ยังเห็นอีกว่าเหลือความผิดอะไรอยู่บ้างเช่นนี้ทุกปีมา จนเมื่อท่านอายุ 50 ปี ก็ยังรู้ว่าเมื่ออายุ 49 ปีนั้น มีความผิดอะไรที่ยังไม่ได้แก้ไขบ้าง ลูกจงดูไว้เป็นตัวอย่างว่าคนโบราณนั้น ท่านมีความจริงใจต่อการแก้ไขเพื่อพัฒนาตนเองเพียงไร
    พวกเราสมัยนี้ล้วนแต่เป็นคนหยาบ มีความผิดติดตัวกันอย่างมากมาย ราวกับตัวเหลือบที่เกาะเต็มไปหมด แต่เราก็ไม่เห็นไม่รู้สึกว่าอดีตนั้น เราได้ทำอะไรผิดพลาดมาบ้าง นี่ก็เพราะความหยาบของจิตมีดวงตาก็หามีแววไม่นั่นเอง ลูกจงสังเกตุคนที่บาปหนา มักจะปรากฏบุคคลิกภาพที่อาภัพให้เห็นได้ง่าย ๆ  เช่น เป็นคนขี้หลงขี้ลืม ปวดหัวมึนงง ง่วงเหงาหาวนอน แม้จะไม่มีเรื่องร้ายแรงอะไรเกิดขึ้น ก็มีจิตใจที่หงุดหงิด เศร้าซึมเลื่อยลอย ขี้หวาดกลัวหาความสุขความร่าเริงไม่ได้ เห็นคนก็ไม่กล้าสบตาด้วย ไม่ชอบฟังเทศน์ ฟังธรรม  บางทีทำดีกับใครก็กลับได้ผลในทางตรงกันข้าม กลางคืนนอนก็ฝันร้าย พูดจาเลอะเลือน จิตใจท้อแท้ เหล่านี้ล้วนเป็นนิมิตของคนบาปหนาทั้งสิ้น ถ้าลูกรู้สึกตัวว่าเป็นเช่นนี้ ก็จงรีบหาทางแก้ไขโดยด่วน อย่าได้รั้งรออยู่เลย   

Tags:
 

มหาปณิธาน

พระโพธิสัตว์กษิติครรภ์ (地藏王菩薩)

มหาปณิธานพระโพธิสัตว์กษิติครรภ์ (地藏王菩薩)

“...เพื่อหมู่สัตว์ทั้งหกภูมิผู้มีบาปทุกข์ ข้าพเจ้าจะใช้วิธีการต่างๆ ช่วยให้หลุดพ้นจนหมดสิ้น แล้วตัวข้าพเจ้าจึงจะสำเร็จพระพุทธมรรค”