collapse

ผู้เขียน หัวข้อ: โอวาท 4 ท่านเหลี่ยวฝาน : วิธีสร้างความดี : เกริ่นนำ  (อ่าน 18071 ครั้ง)

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
             เกริ่นนำ

       ลัทธิที่มีอิทธิพลอย่างยิ่งในประเทศจีน ก็คือลัทธิของท่านขงจื่อ กับ ท่านเหลาจื่อ  
ท่านขงจื่อ    ท่านดึงคนให้เข้ามาอยู่ในกรอบแห่งจริยธรรม ประเพณี และพิธีกรรมเพื่อให้สังคมอยู่เย็นเป็นสุขชั่วนิรันดร์  
ท่านเหลาจื่อ ท่านแก้คนให้หลุดจากขอบข่ายทั้งมวลในสังคมให้ดำรงชีวิตผสมกลมกลืนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับธรรมชาติอันเสรี ให้ชีวิตเป็นอมตะชั่วนิรันดร์
สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของชาวพุทธทรงเห็นว่า แม้จะร้อยรัดชีวิตให้อยู่ในขอบเขตได้ดีเพียงไรหากเกิดความขัดแย้งทางจิตใจซึ่งเป็นปกติวิสัยของชาวโลก ความทุกข์ย่อมเข้าครอบงำทันที ครั้นเมื่อแก้คนให้หลุดพ้นจากพันธนาการของสังคมได้แล้ว ก็ยังหนีความทุกข์อันเป็นไปตามกฏแห่งไตรลักษณ์หาพ้นไม่ ตราบใดที่ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสาร ตราบนั้นก็ย่อมหนีความทุกข์ในวัฏจักรแห่งกรรมไปมิได้เลย นอกจากจะพัฒนาตนเองตามขบวนการของศีล สมาธิ และปัญญา ด้วยวิปัสสนากรรมฐาน จึงจะหลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งมวลได้โดยสิ้นเชิง
       ท่านเหลี่ยวฝานเป็นผู้หนึ่งที่เข้าใจและเข้าถึงคำสั่งสอนของพระบรมศาสดา ท่านจึงนิพนธ์หนังสือนี้อันเป็นประสบการณ์ของท่านเอง เพื่อชี้ให้ลูกท่านเห็นว่า ชีวิตที่อยู่ในกรอบแห่งจริยธรรมก็ดี หรือจะหลุดจาดขอบข่ายทั้งมวลในสังคมก็ดี ล้วนแ่เกิดจากเจตนารมณ์ของตนเองทั้งสิ้น มิได้ขึ้นอยู่กับลิขิตของฟ้าดิน ชะตาชีวิตมิใช่ข้อชี้ขาดที่จะแก้ไขมิได้ จะดีจะชั่วมิใช่ฟ้าดินจะบันดาลให้โดยไม่คำนึงถึงเหตุผลตัวเราเองต่างหากคือผู้กำหนดอนาคตของตนเอง ปุถุชนมักมองชีวิตว่าถูกลิขิตมาแล้วแน่นอนก่อนเกิดเสียอีก ความจน ความรวย ความสูงศักดิ์ ความต่ำต้อย ความบุญมั่นขวัญยืนหรือไม่ ล้วนแต่เกิดจากผลแห่งกรรมอันเป็นการกระทำด้วยเจตนาที่ดีบ้างชั่วบ้าง ทัศนคติที่มีต่อกรรมเช่นนี้แม้จะถูกต้องแต่ก็มิใช่ทั้งหมด
     ท่านเขียนหนังสือนี้ เพื่อสั่งสอนอบรมบุตรของท่าน ต่อมาท่านเห็นควรพิมพ์แจกเป็นธรรมทาน หนังสือนี้จึงแพร่หลายมาจนทุกวันนี้ คำว่า ""พ่อ""ในหนังสือนี้จึงหมายถึงท่านเหลี่ยวฝานนั่นเอง

                                                    เจือจันทร์ อัชพรรณ (มิสโจ)
                                                 อังคารที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ.2524                        
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11/12/2010, 00:25 โดย jariya1204 »

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
        7 กรกฏาคม ร.ศ. 199  เทียนแล่มแรกได้ถูกจุดขึ้นโดยคุณจรูญ โหราทัย  และครอบครัวเป็นปัจจัยให้เทียนดวงต่อ ๆ มา ถูกจุดสว่างไสวและยังไม่ขาดสาย ซึ่งเป็นใครใคร่แจก...แจก ใครใคร่ขาย...ขาย สบายใจดีทุกฝ่าย
     คุณจรูญส่งหนังชีวประวัติของท่านเหลี่ยวฝานและท่านอวิ๋นกุเถระมาให้ จึงได้ย่อมาเป็นอภินันทนาการแด่ท่านผู้อ่าน ในโอกาศปีทองฉลองความเป็นเอกราชของชาติไทยที่ยืนยงคงอยู่และจะคงอยู่คู่โลกเรา ชาติไทยใฝ่ธรรมชาวไทยส่วนมากยังคงประพฤติดีปฏิบัติชอบ คุณงามความดีของทุกท่านเมื่อรวมกันแล้วย่อมเป็นเกราะป้องกันผองภัย เป็นพลังกำจัดอธรรม เป็นกุศลวิบากที่จักส่งผลให้ประเทศไทยบังเกิดความผาสุขและไพร่ฟ้าหน้าใสอีกวาระหนึ่งอย่างแน่นอน  ท่านผู้จารึกชีวประวัติของท่านเหลี่ยวฝานมีนามว่า ""เผิงซ่าวเซิง"" ท่านเป็นพุทธศาสนิกที่เคร่งครัดในศีล จริงจังในการฝึกกรรมฐานชอบอยู่ตามป่าเขาลำเนาไพรและวัดวาอาราม ท่านแต่งตำราทางพระพุทธศาสนาไว้มากมาย ท่านเกิดและสอบ จิ้นซื่อ ได้ในรัชสมัยพระเจ้าเฉียนหลงฮ่องเต้ระหว่างพ.ศ.2275-2338 (ค.ศ1732-1795) ท่านมีความเฉียบแหลมในสรรพวิทยาทั้งหลาย เมื่อท่านอายุ 20 เศษ ๆท่านมีความมุ่งมั่นจะประกอบวีรกรรมให้ชื่อเสียงเกียรติคุณปรากฏในประวัติศาสตร์เหมือนบรรพชนทั้งหลาย ต่อมา "ท่านกลับเห็นว่าทางธรรมดีกว่าทางโลก" หากปฏิบัติได้ตามที่รู้แจ้งเห็นจริงแล้วย่อมจักต้องไม่เป็นผู้ที่วกกลับ ท่านจึงถือศีลกินเจกลางคืนนอนวัด กลางวันเขียนหนังสือธรรม วันที่ท่านจะจากโลกไป ท่านสวดมนต์หันหน้าสู่ทางทิศตะวันตก สวดจนหมดลมไปด้วยอาการนั่งอย่างสงบ ท่านมีชีวิตอยู่ในโลกเพียง 57 ปีแต่ก็เป็น 57ปีที่ทรงคุณค่า ผลงานของท่านเป็นคุณประโยชน์ต่อชนรุ่นหลังอย่างมหาศาล ผู้ด้อยปัญญาขอน้อมคารวะต่อท่าน และกราบขออนุญาตย่อประวัติท่านเหลี่ยวฝาน ณ บัดนี้
      ท่านเหลี่ยวฝานเป็นชาวเจียงหนาน (กังหนำ) อายุ 437 ปี ในปีนี้หากท่านยังมีชีวิตอยู่ ท่านสอบ จิ้นซื่อ ได้และเข้ารับราชการเมื่ออายุ 37 ปี คนสมัยก่อนมีเวลาร่ำเรียนมากกว่าพวกเราสมัยนี้ ท่านจึงมีความรู้กว้างขวางลึกซึ้งยิ่งนัก เชี่ยวชาญในวิชาการเกือบทุกแขนง นอกจากพุทธธรรมที่ท่านสนใจมาก จนสามารถเข้าถึงพระพุทธศาสนาอย่างถ่องแท้แล้ว ท่านยังเป็นนักปราชญ์ในทางอักษรศาสตร์ โราณคดี คณิตศาสตร์ ดาราศาสตร์ ดหราศาสตร์ ไสยศาสตร์ เกษตรศาสตร์ อุทกศาสตร์ ธรณีวิทยา นิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ ปรัชญา ฯลฯ แม้ยุทธศาสตร์ท่านก็ช่ำชอง สามารถใช้ปัญญาเอาชนะโจรสลัดญี่ปุ่นที่โจมตีท่าน ในขณะปฏิบัติการทางทหารที่ชายแดนได้อย่างงดงาม ตำแหน่งหน้าที่ราชการของท่านนั้นดำรงทั้งฝ่ายบุ๋นและฝ่ายบู๊ ซึ่งน้อยคนนักจักมีความสามารถเช่นนี้ เมื่อท่านถึงแกอนัจกรรม แม้จะเป็นเวลาที่ไม่ได้รับราชการแล้ว ฮ่องเต้ก็ยังระลึกถึงคุณงามความดีของท่านอยู่จึงทรงสถาปนายศและทรงประกาศเกียรติคุณของท่านให้ปรากฏไปทั่วแผ่นดิน
    ท่านไม่หวงแหน หรือกลัวจะหลุดจากตำปหน่งหน้าที่ราชการ ใครทำให้ประเทศชาติเสื่อมเสียเกียรติภูมิ ใครใช้อำนาจโดยไม่เป็นธรรม ใครทำให้ประชาราษฏร์เดือดร้อนท่านจะต่อสู้อย่างสุดกำลัง แม้ผู้นั้นจะมีความยิ่งใหญ่เพียงใดท่านก็ไม่ยอมสยบ แต่สำหรับตัวท่านเองแล้วใครจะใส่ร้ายป้ายสี ท่านก็ไม่นำพา อิจฉากันนักท่านก็กราบถวายบังคมลาไปอยู่ถิ่นเดิมของท่าน ท่านแต่งตำรับตำราไว้มากมายเป็นเพชรน้ำหนึ่งในสมัยหมิง
    เมื่อครั้งท่านรับราชการเป็นนายอำเภออยู่ทางเหนือ ซึ่งเป็นท้องที่ประสบอุทกภัยเสมอ ท่านสามารถป้องกันน้ำท่วมได้ ด้วยวิธีการแยกพลังน้ำออกเป็น 3 ทิศทาง แม่น้ำสายเดียวแต่โบราณมาก็กลายเป็นสามสาย ด้วยปัญญาของท่านและความสามัคคีของชาวบ้านที่คิดพึ่งตนเองอย่างไม่ย่อท้อ ผนึกพลังอันน้อยนิดของแต่ละคนรวมเป็นพลังมหาศาล ยิ่งใหญ่เหนือพลังน้ำที่น่ากลัวแล้วท่านให้ปลูกต้นหลิ่ว (ต้นหลิว) ตามริมฝั่งแม่น้ำและริมฝั่งทะเลสุดสายตา คราใดที่คลื่นซัดเข้ามาฝั่งทรายจะติดอยู่บริเวณต้นหลิ่ว ทับถมกันนานเข้าก็กลายเป็นเขื่อนธรรมชาติ ป้องกันน้ำท่วมได้เป็นอย่างดี ทางภาคเหนือของประเทศจีน มักจะมีพายุพัดทรายมาทีละมาก ๆ ก็ได้อาศัยต้นหลิ่วทั้งหลายนี้ปะทะแรงลม และทรายไว้ได้
   แม้ท่านจะกลับมาอยู่ถิ่นเดิมในบั้นปลายของชีวิตท่านก็ไม่นิ่งดูดาย คอยช่วยเหลือดูแลทุกข์สุขของชาวบัานอย่างใกล้ชิด คิดค้นวิธีทำไร่ไถนาให้ก้าวหน้ายิ่ง ๆ ขึ้นให้แผ้วถางพื้นดินที่รกชัฏจนเกิดประโยชน์แก่ผู้ที่ไม่มีที่ดินของตนเอง นอกจากท่านจะสอนให้ชาวบ้านมีความรู้กว้างขวาง มีรายได้เพิ่มพูนแล้ว ท่านยังสอนให้ชาวบ้านรักกัน ช่วยเหลือกัน เสียสละ และหมั่นบริจาคจนเป็นนิสัย แต่ละวันท่านจะทำตารางการทำงานส่วนตัวและส่วนที่จะทำเพื่อผู้อื่นไว้ล่วงหน้า ท่านไม่เคยอยู่นิ่ง ทำงานตลอดวันอย่างมีระเบียบ ท่านฝึกสมาธิเป็นเวลาและสม่ำเสมอจนบรรลุฌาณ และเจริญวิปัสสนากรรมฐานจนบรรลุญาณท่านถึงแก่อนิจกรรมเมื่ออายุ 74 ปี ในขณะที่บุตรของท่านอายุ 42 ปีแล้ว คือปีพ.ศ. 2166 (ค.ศ1623) ผิดจากที่ท่านผู้เฒ่าข่งพยากรณ์ไว้ถึง 21 ปี โดยมิต้องบนบวงต่อฟ้าดินและท่านผู้ศักดิ์สิทธิ์มิต้องเสดาะเคราะห์ปล่อยนกปล่อยปลา อันคุณงามความดีนี้ ช่างมีอานุภาพต่อชีวิตมนุษย์ให้เห็นถึงปานนี้หนอ
    ภรรยาของท่านก็ใจบุญสุนทร์ธรรมไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันเลย เป็นคู่ชีวิตที่คอยส่งเสริมแต่ในทางที่ดีเป็นปัจจัยในการทำดีเพื่อกันและกันตลอดเวลา มีอยู่ครั้งหนึ่งภรรยาของท่านซื้อฝ้ายมาปั่นเพือ่ทำเสื้อหนาว ท่านเหลี่ยวฝานท้วงว่า บ้านเรามีเสื้อหนาวอย่างดี ทำด้วยแพรเนื้อดีสอดใส้ด้วยนุ่น อุ่นดีอยู่แล้ว ไฉนจึงให้ลูกใส่เสื้อหนาวที่ทำด้วยผ้าฝ้ายถูก ๆ เล่าภรรยาของท่านตอบว่าก็เพราะฝ้ายนั้นถูกจึงตัดใจขายเสื้อหนาวดี ๆ ของลูกเสีย ได้เงินมามาก ๆ เพื่อทำเสื้อหนาวแจกชาวบ้านที่กำลังหนาวสั่นอยู่นี้ได้ทั่วถึง ท่านเหลี่ยวฝานดีใจมาก พูดด้วยความตื้นตันใจว่า ถ้าแม่ใจบุญถึงป่านนี้ลูกของเราจะไม่มีวันลำบากเป็นแน่แท้ บุตรของท่านก็สอบ จิ้นซื่อ ได้เช่นท่านและได้เป็นนายอำเภอที่เมืองกว่างตง (กวางตุ้ง) อีก 21 ปีต่อมา ก็สิ้นแผ่นดินหมิงในพ.ศ.2187 (ค.ศ.1644)ประเทศจีนตกอยู่ในเงื้อมมือของชาวแมนจู ที่สถาปนาราชวงศ์ชิง (เช็ง) ปกครองชาวจีนตามวิสัยเชิงเช่นผู้เป็นนายอยู่นานถึง 267 ปีท่านซุนจางซาน (ดร.ซุนยัดเซ็น) กับคณะจึงได้ลบความเป็นเจ้าเข้าครองออกจากประวัติศาสตร์ได้สำเร็จในปี พ.ศ.2454 (ค.ศ.1911)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11/12/2010, 00:23 โดย jariya1204 »

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
      เป็นบุญของเราชาวไทยที่ไม่ต้องทนถูกเคี่ยวเข็ญเย็นค่ำกรำไปถึง 267 ปี พระคุณของวีรกษัตริย์และวีรชนของเรานั้นใหญ่หลวงนักแม้ประวัติศาสตร์จะได้จารึกความยิ่งใหญ่ไว้แล้วแต่เราก็จะต้องสำนึกในพระคุณจดจำไว้ในส่วนลึกของหัวใจเพื่อเป็นตัวอย่างอันที่จะปกป้องแผ่นดินไทยต่อไปด้วยชีวิตของเราทุกคน
     ท่านหานซานต้าซือ ศิษย์ของท่านอวิ๋นกุเถระ เขียนประวัติเมื่อท่านอาจารย์ได้จากไปแล้วว่า "ผู้ด้อยปัญญาขอกราบคารวะท่านหานซานต้าซือกราบขออนุญาตท่านจารึกประวัติของท่านอวิ๋นกุเถระผู้พลิกชีวิตของท่านเหลี่ยวฝาน ดังต่อไปนี้
    ท่านอวิ๋นกุเถระ เกิดเมื่อ ค.ศ.1500 (พ.ศ.2043) ในราชวงศ์หมิง ท่านเกิดก่อนท่านเหลี่ยวฝาน 49 ปี ท่านคิดบวชตั้งแต่ยังเป็นเด็ก สมัครเป็นศิษย์กับอาจารย์ท่านหนึ่งที่วัดต้าอวิ๋นจื้อ อายุ 19 ปี เริ่มฝึกฌาณ  อายุ 25 ปีบวชเป็นภิกษุได้พบอาจารย์ที่ทรงคุณวิเศษ ณ วัดเทียนหมิง จึงฝากตัวเป็นศิษย์ ได้ตัดขาดจากกิจนิมนต์ทั้งหมด นั่งเข้าสมาธิอยู่เป็นระยะ ๆ จาก 7 วัน เป็น 14 วันจนถึง 1 ปีเต็ม ไม่เคยก้าวล่วงธรณีกุฏิของท่านไปเลย จิตท่านใสใจสว่างแต่ท่านอาจารย์อธิบายว่าการฝึกจิตเช่นนี้ไม่สามารถบรรลุมรรคผลนิพพานได้ แล้วสอนให้ท่านฝึกมหาสติปัฏฐาน 4 ติดตามการเกิดดับของจิตให้ได้ทุกขณะไม่ว่าจะอยู่ในอริยาบถใดจงตั้งกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน ณ ที่นั่น เมื่ออยุ๋ในความรู้สึกอย่างไร จงตั้งเวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน ณ ความรู้สึกนั้น เมื่ออยู่ในสภาพจิตอย่างไร จงตั้งจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน ณ สภาพนั้น เมื่อเผชิญกับสภาวธรรมใดจงตั้งธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน ณ สภาวะนั้นฝึกให้สติและสัมปชัญญะคอยกำกับบทบาททุกขณะของปัจจุบันให้รู้เท่าทันให้รู้ท่วงทีให้รู้อย่างไม่ยินดียินร้ายให้รู้อย่างหมอที่กำลังตรวจคนไข้ ให้รู้อย่างผู้พิพากษากำลังวินิจฉัยคดีว่าขณะนี้เรากำลังทำอะไรอยู่ กำลังรู้สึกอย่างไรอยู่ กำลังมีสภาพจิตเป็นเช่นไรกำลังเผชิญกับสภาวธรรมอะไร เมื่อกระแสแห่งกิเลสตัณหาอปาทานกำลังเกิด-ดับอยู่ตลอดเวลาวันแล้ววันเล่าคืนแล้วคืนเล่า ชีวิตก็ล่วงไป ๆ จงเพียรพยายามอย่าท้อถอยแม้แต่ก้าวเดียวแม้แต่ขณะจิตเดียวที่จะสำรวจตรวจดูสติสัมปชัญญะว่าได้เจริญงอกงามมีประสิทธิภาพเพียงพอ แก่การปฏิบัติธรรมหรือยังจนกว่าความรู้ความเข้าใจจะถึงจุดอิ่มตัว ก็จักหลุดพ้นจากอิทธิพลของกิเลสตัณหาอุปาทานได้เอง
      ท่านอวิ๋นกุเถระ จึงเริ่มฝึกมหาปัฏฐาน 4 อย่างจริงจังทันที บางครั้งไม่ฉันไม่จำวัดก็มีชีวิตอยู่ได้อย่างเป็นสุข อยู่มาวันหนึ่งขณะที่ท่านอิ่มจากการฉันอาหาร ท่านเผลอตัวเพียงขณะจิตเดียวชามข้าวก็ตกลงบนพื้น ทันใดนั้นท่านก็เข้าถึงความหมายของสติและสัมปชัญะอย่างสมบูรณ์ ท่านรีบไปกราบเล่าให้อาจารย์ฟัง ท่านอาจารย์ผงกศรีษะรับรองวาระจิตของลูกศิษย์ว่าได้เข้าถึงสภาวธรรมแล้วจริง ตั้งแต่นั้นมาจิตของท่านอวิ๋นกุเถระได้รับการพัฒนายิ่งขึ้นเป็นลำดับ จนหลุดพ้นจากกามฉันทะคือความพอใจในรูป เสียง กลิ่น  รส  สัมผัสทางกาย และกระทบทางใจ หลุดพ้นจากความพยาบาท อันเป็นความคิดให้ร้ายคนหรือสัตว์เสียได้ หลุดพ้นจากถีนมิทธะอันทำให้จิตมืดมัวกายง่วงโงกเสียได้ หลุดพ้นจากอุทธัจจกุกกุจจะ อันยังความตื่นเต้น ฟุ้งซ่านหวาดหวั่น รำคาญใจเสียได้ หลุดพ้นจากวิธีกิจฉา อันยังความเคลือบแคลงสงสัยไม่แน่ใจ ในการประพฤติปฏิบัติธรรมตามคำสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสียได้ การล่วงพ้นนิวรณ์ทั้ง 5 นี้ เป็นปัจจัยให้ท่านเข้าถึงความหมายของอุปาทานขันธ์ 5 เห็นความเกิดขึ้น -ตั้งอยู่ -ดับไปของรูป เห็นความไม่คงทน ต้องทรุดโทรมแปรปรวนไปตามเหตุปัจจัยของรูป ของเวทนา ของสัญญา ของสังขาร และของวิญญาณ (กระสจิตที่รู้บทบาทของรูป เวทนา สัญญา สังขารเมื่อเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป) ท่านละสัญโญชน์ อันเป็นเครืองจองจำชีวิตให้ต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏสงสาร คอยเชื่อมโยงอายตนะภายนอกและภายในทั้ง 6 ทวารให้เกิดความประมาทติดใจไหลหลงในรูปธรรมเสียได้
     เมื่อท่านอวิ๋นกุเถระมีสติ และสัมปชัญญะต้องอยู่เฉพาะหน้าเช่นนี้แล้ว กิเลสตัณหาอุปาทานและความเห็นผิดย่อมอาศัยนอนเนื่องอยู่ในจิตใจของท่านไม่ได้อีกแล้วสิ่งที่เกิดขึ้นก็คือองค์ธรรมอันยิ่งใหญ่คือ โพชฌงค์ 7 อันเป็นกลุ่มธรรมสามัคคีที่เกิดขึ้นด้วยกัน อิงอาศัยให้คุณต่อกันและกันนำไปสู่องค์ปัญญาแห่งการตรัสรู้ กลุ่มธรรมอันประเสริฐยิ่งนี่เอง ที่ทำให้ท่านอวิ๋นกุเถระเห็นแจ้งในอริยประเสริฐนี้เองเห็นแจ้งในอริยสัจ 4ทุกแง่ทุกมุมอย่างหมดจดข้ามพ้นความโศกและความร่ำไรดับได้ซึ่งความทุกข์และโทมนัสมีแต่ความกระปรี้กระเปร่าชื่นบานสงบสบายทั้งกายและใจอยู่อย่างเป็นกลางในทุกสิ่งแม้จะมีใครขอให้ท่านขนสัตว์ให้หมดโลกเสียก่อนก็เป็นสิ่งที่ทำไม่ได้เพราะเมื่อจิตได้หลุดพ้นจากกระแสแห่งการเวียนว่ายตายเกิดเสียแล้วพระพุทธศาสนาจึงมิใช่สอนให้ชาวพุทธตัดช่องน้อยแต่พอตัวดังที่หลายท่านเข้าใจกันอยู่
    มีอยู่วันหนึ่ง ขณะที่ท่านอวิ๋นกุเถระ กำลังนั่งเข้าสมาธิจนกายไม่ไหวติงอยู่นั้น ได้มีผู้ทรงอิทธิพลมาเที่ยววัดเห็นท่านนั่งเฉยไม่ลุกขึ้นต้อนรับ ก็โกรธหาว่าท่านไม่มีสัมมาคารวะ ผรุสวาทอย่างไม่กลัวบาปกรรม ท่านจึงย้ายไปอยู่ที่วัดซีเลียซานอันเป็นสถานที่ๆ ท่านเหลี่ยวฝานไปกราบนมัสการท่านในเวลาต่อมาและท่านก็ได้สอนให้ท่านเหลี่ยวฝานฝึกมหาสติปัฏฐาน 4 เช่นเดียวกับท่าน
    เมื่อท่านหานซานต้าซือ ไปกราบลาท่านเพื่อออกธุดงค์ ท่านให้โอวาทว่า "โบราณท่านเดินธุดงค์เพื่อมองเห็นตนเอง ขูดเกลาตนเอง พัฒนาตนเอง เพื่อความหลุดพ้น เจ้าจงสำเหนียกอยู่เสมอว่าเจ้ามีหน้ากลับมาพบพ่อแม่พี่น้องครูบาอาจารย์ญาติสนิทมิตรสหายได้อย่างไร ถ้าเดินธุดงค์โดยรองเท้าสึกเสียเปล่า ไม่ได้ปรับปรุงแก้ไขตนเองให้ดีขึ้นเป็นการสิ้นเปลืองเงินทองของผู้ที่ถวายรองเท้าเจ้ามา" ท่านหานซานต้าซือประทับใจในโอวาทจนสะอื้นไห้
    ลูกศิษย์ของท่านมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นทุกทีอุบาสกอุบาสิกามาฟังธรรมจากท่านเนืองแน่น ท่านพูดน้อย พูดแต่ที่เป็นประโยชน์แก่ผู้ฟัง เสียงท่านชัดเจนก้องกังวาน ก่อนที่ท่านจะลาจากโลกนี้ไป ท่านกลับไปยังบ้านเกิด โปรดผู้คนเป็นจำนวนหมื่นจำนวนแสน
    อยู่มาคืนหนึ่ง เป็นคืนขึ้น 5 ค่ำ เดือนอ้าย ปีค.ศ.1575 (พ.ศ. 2118) ชาวบ้านเห็นบนหลังคากุฏิที่ท่านอยู่สว่างไสว เหมือนไฟกำลังลุกโชติช่วง ฉะนั้น ครั้นรุ่งเช้าชาวบ้านพากันไปที่วัด ปรากฏว่าท่านได้ดับขันธ์ไม่ไหวติงเสียแล้ว ทุกคนจึงลงความเห็นว่า ท่านดับขันธ์ด้วยเตโชกสิณนั่นเอง  ขณะนั้นท่านอายุ75 ปีพรรษา 50 ท่านหานซานต้าซือรำพึงรำพันว่า "ตั้งแต่ท่านออกธุดงค์ได้พบพระเถรมากมาย แต่จะหาใครสักรูปหนึ่งที่ทรงคุณวิเศษเช่นท่านอวิ๋นกุเถระ ไม่มีเลย แม้ต่อมาท่านหานซานต้าซือพรรษามากขึ้น ก็ไม่สามารถลืมคำสอนของท่านได้ แม้ปฏิปทาในศีลาจารวัตรของท่าน ก็ได้นำมาประพฤติปฏิบัติอย่างเคร่งครัด ที่หลุมฝังศพของท่านอวิ๋นกุเถระ มีศิลาจารึกคุณธรรมอันสูงส่งของท่าน โดยท่านเหลี่ยวฝาน ท่านหานซานต้าซือ  เห็นว่าควรมีประวัติจารึกไว้ให้ชนรุ่นหลังได้ประพฤติปฏิบัติตาม จึงเขียนประวัติและคำสั่งสอนของท่านไว้เป็นหนังสือเล่มหนึ่ง เสียดายผู้ด้อยปัญญาบันทึกไว้ได้เพียงนี้   ขอความหลุดพ้นจงเกิดแก่ผู้อ่านเทอญ

                                                                               เจือจันทร์ อัชพรรณ (มิสโจ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11/12/2010, 07:40 โดย jariya1204 »

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
       พ่อนั้น กำพร้าท่านบิดามาแต่อายุยังไม่ถึง 20  ท่านย่าของลูกในวันนั้นก็มีอายุมากแล้ว ท่านได้บอกให้พ่อเลิกคิดที่จะเป็นขุนนางเสีย หันมาเรียนแพทย์ดีกว่า ท่านบอกพ่อว่าการเป็นแพทย์นั้นนอกจากจะยึดเป็นอาชีพได้ดีแล้วยังจะช่วยคนยากจนได้อีกด้วย ถ้ามีความสามารถดีก็จะเป็นแพทย์ที่มีชื่อเสียง ซึ่งเป็นความปรารถนาของท่านบิดาที่เสียชีวิตไปแล้ว ต่อมา พ่อพบผู้เฒ่าท่านหนึ่งที่วัดฉืออวิ๋นจื้อ ท่านมีเครายาวมีราศีผ่องใสยิ่งนักรูปร่างสูงใหญ่สง่างามราวกับเทพยดา พ่อจึงคารวะท่านด้วยความเคารพ ท่านพูดกับพ่อว่า เธอไม่ได้เป็นขุนนางนะปีหน้าจะสอบผ่านได้ทั้งสามขั้น ไฉนจึงไม่เรียนหนังสือเล่า พ่อจึงเล่าสาเหตุให้ท่านฟังแล้วถามชื่อแซ่และที่อยู่ของท่าน ท่านตอบว่าท่านแซ่ข่ง เป็นชาวอวิ๋นหนาน ได้เล่าเรียนวิชาโหราศาสตร์อันเป็นตำราดั้งเดิม ถ่ายทอดกันมาโดยมิได้แก้ไขเพิ่มเติมอันใดให้ไขว่คว้าเลย ซึ่งเป็นตำราของท่านบรมโหราจารย์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งราชวงศ์ซ้อง พ.ศ.1503 - 1670 ท่านผู้เฒ่าข่งต้องการจะถ่ายทอดวิชานี้ให้แก่พ่อ พ่อจึงพาท่านมาบ้านเพื่อมาพบท่านย่าของลูก ท่านกำชับให้พ่อต้อนรับท่านผู้เฒ่าให้ดีแล้วทดลองให้ท่านพยากรณ์ดูปรากฏว่าแม่นยำไปเสียทุกสิ่ง แม้แต่เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ไม่ผิดพลาดเลย
    พ่อจึงเรียนหนังสือใหม่ และท่านลุงของลูกที่เป็นลูกพี่ลูกน้องของพ่อนี่แหละ ท่านได้แนะนำให้พ่อไปเป็นนักเรียนกินนอนที่สำนักเรียนแห่งนี้ ท่านผู้เฒ่าข่งได้พยากรณ์พ่อไว้ว่า จะสอบผ่านทั้งสามขั้น ขั้นแรกได้คะแนนมาเป็นที่ 14 ขั้นกลางจะได้ที่ 71 และขั้นที่สามจะได้ที่ 9 ปรากฏว่าผลออกมาเป็นเช่นนั้นจริง ๆ ต่อมาท่านก็พยากรณ์อนาคตของพ่อไว้ว่าปีใดจะสอบได้เป็นนักเรียนหลวง ได้ข้าวพระราชทานเป็นจำนวนเท่านั้นถัง ปีใดจะได้สอบขั้นสุดท้าย ปีใดจะได้เป็นนายอำเภอ เมื่อเป็นนายอำเภอสามปีครึ่งก็ควรลาออกจากราชการเพราะอายุ 53 ปีก็จะสิ้นอายุขัยจะนอนตายอย่างสงบในวันขึ้น 14 ค่ำ เดือน 8เวลาระหว่างตี 1-3 น่าเสียดายจะไม่มีบุตรไว้สืบสกุล พ่อได้บันทึกไว้ทุกคำเพื่อกันลืม
    ในกาลต่อ ๆ มา คำพยากรณ์ของท่านผู้เฒ่าข่ง ก็ยังคงแม่นยำเสมอมา มีอยู่ครั้งหนึ่งท่านพยากรณ์ไว้ว่าจะได้รับพระราชทานข้าวหลวงครบจำนวนหนึ่งแล้ว จึงจะได้สอบขั้นสุดท้ายเพื่อเตรียมตัวเข้าเมืองหลวงนั้น ยังไม่ทันที่พ่อจะได้ัรับพระราชทานข้าวหลวงครบตามจำนวนที่ท่านพยากรณ์ไว้ พ่อก็ได้รับคำสั่งให้ไปสอบ คราวนี้สอบตก พ่อเริ่มสงสัยคำพยากรณ์อยู่ในใจแต่แล้วในปีต่อมา มีอาจารย์ท่านหนึ่งที่เคยเป็นกรรมการตรวจข้อสอบให้พ่อ ท่านเคยชมพ่อว่า คำตอบทั้ง 5 ข้อของพ่อนั้นเขียนได้ดีเหมือนขุนนางผู้ใหญ่เขียนทูลเกล้าฯถวายความเห็นต่อฮ่องเต้นั่นเทียว ท่านว่าถ้าคนไม่มีความรู้จริงย่อมเขียนไม่ได้เช่นนี้ ความสามารถของพ่อย่อมจักเป็นประโยชน์ต่อแผ่นดิน ไฉนจึงถูกทำลายอนาคตเสียเล่า ท่านจึงสั่งให้พ่อไปทำงานกับท่าน และให้รับพระราชทานข้าวหลวงย้อนหลังจนครบจำนวนที่ขาดไป ปรากฏว่าจำนวนที่ท่านผู้เฒ่าข่งคำนวณไว้พอดี
    เมื่อเป็นเช่นนี้ ยิ่งทำให้พ่อเพิ่มความเชื่อถือในคำพยากรณ์ของท่านผู้เฒ่าข่ง ยิ่งขึ้นเพราะอุปสรรคที่เพิ่งผ่านพ้นไปนั้น ทำให้เห็นชัดเจนยิ่งขึ้นว่าชะตาชีวิตนั้นได้ถูกลิขิตมาแล้วอย่างแน่นอน จะช้าจะเร็ว จะมีใครเป็นอุปสรรคอย่างไรก็หนีไม่พ้น พ่อจึงปล่อยใจให้เป็นไปตามยถากรรม ไม่มีความกระตือรือร้น ไม่ทะเยอทะยานขวนขวาย ไม่ดิ้นรนที่จะเอาดีไปกว่านี้อีกต่อไป ทำให้จิตใจสงบดียิ่งขึ้น  เมื่อพ่อสอบได้แล้วเช่นนั้น ก็ต้องเดินทางเข้าเมืองหลวง (ปักกิ่งในปัจจุบัน) อยู่ในมหาวิทยาลัยของหลวงหนึ่งปี พ่อไม่ได้ดูหนังสือหรือตำราเรียนใด ๆ อีกเลย เอาแต่นั่งสมาธิ ไม่พูด ไม่จา ไม่คิดอะไรทั้งสิ้น พอครบหนึ่งปี พ่อก็ได้รับคำสั่งให้ย้ายไปเข้ามหาวิทยาลัยของหลวงทางใต้ (นานกิงในปัจจุบัน) อันเป็นสถาบันสุดท้ายซึ่งนักศึกษาที่สอบไล่ได้ตามขั้นตอนต่าง ๆ ในภูมิลำเนาเดิมของตนมาแล้ว จะต้องเข้ามาฝึกฝนเตรียมตัวสอบเพื่อออกรับราชการต่อไป แต่ก่อนที่พ่อจะเข้าไปยังสถาบันนี้ ได้แวะไปที่วัดชีเสียซานเพื่อคารวะท่านอวิ๋นกุเถระเสียก่อน พ่อได้นั่งสมาธิกับท่านสองต่อสอง เป็นเวลานานถึงสามวันสามคืนโดยมิได้หลับนอนเลย

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม

      พระเถระกล่าวกับพ่อด้วยความแปลกใจว่าอันธรรมดาของปุถุชนนั้น จิตใจว้าวุ่นสับสน จึงไม่สามารถบรรลุฌานได้ ส่วนพ่อนั้น ไฉนนั่งสามวันแล้วยังไม่เห็นจิตใจวอกแวกเลย พ่อจึงเล่าสาเหตุให้ท่านฟังว่า ท่านผู้เฒ่าข่งได้พยาการณ์อนาคตของพ่อไว้แน่นอนแล้ว คิดวุ่นวายไปก้ไร้ประโยชน์ จึงทำให้สบายไร้กังวลดีกว่า ท่านอวิ๋นกุเถระหัวเราะแล้วก็ร้องว่า โธ่เอ๋ยนึกว่าเป็นผู้วิเศษแล้วเสียอีก ที่แท้ยังเป็นปุถุชนอยู่นั่นเอง พ่อจึงกราบถามท่านว่า ทำไมจึงว่าพ่อเป็นปุถุชน ท่านตอบว่า อันที่จริงคนเรานั้นถ้าจิตใจไม่ว้าวุ่นทำใจให้สงบได้แล้ว ก็เกือบจะสำเร็จเป็นพระอรหันต์ พ้นจากความเป็นปุถุชนได้แล้ว แต่คนธรรมดานั้น จิตใจยากที่จะสงบระงับได้การฟุ้งซ่านนี่เอง ที่ทำให้คนเราถูกผูกมัดด้วยอำนาจพลังบวกและพลังลบของธรรมชาติ ทำให้ไม่มีอิสระเสรีต้องขึ้นกับดวงชะตาราศีและการโคจรของดวงดาวบนท้องฟ้า ที่โหราจารย์ทั้งหลายได้คิดค้นทำสถิติกันไว้ โหราศาสตร์จึงมีขึ้นด้วยเหตุนี้ ก็มีแต่สามัญชนคนธรรมดาเท่านั้นที่จะถูกกำหนดได้ตามวิชาโหราศาสตร์แต่คนที่ทำความดีมาก ๆ แล้วชะตาชีวิตจักทำอะไรได้ โหราศาตร์นั้นหยั่งไม่ถึงกรรมดีกรรมชั่วของเราหรอก วิชาโหราศาสตร์ จึงยึดถีอเป็นบรรทัดฐานไปหมดมิได้เพราะคนดีนั้นถึงแม้ชะตาชีวิตจะบ่งไว้ว่าไม่ดีอย่างไร แต่ "พลังแห่งกุศลกรรมนั้นใหญ่หลวงนักสามารถพลิกความคาดหมายได้" คนจนก็กลายเป็นคนรวยได้ อายุสั้นก็กลายเป็นอายุยืนได้ในทำนองเดียวกัน คนที่สร้างอกุศลกรรมอย่างหนักไว้ชะตาชีวิตก็ไม่สามารถผูกมัดเขาไว้ได้เช่นกัน แม้จะถูกลิขิตมาว่าจะได้ดีมีสุขอย่างไร แต่พลังแห่งอกุศลกรรมนั้นหนักนัก ย่อมสามารถเปลี่ยนความสุขเป็นความทุกข์ ความมีลาภยศกลายเป็นหมดลาภยศ ความอายุยืนก็กลายเป็นอายุสั้นได้เช่นกัน  ท่านว่าพ่อนั้นปล่อยชีวิตให้ขึ้นอยู่กับชะตากรรมมายี่สิบปี ไฉนจึงไม่ใช่ปุถุชนเล่า พ่อกราบถามท่านอีกว่า ถ้าเช่นนั้นชะตาีชีวิตเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงได้หรือ ท่านตอบว่า ชะตาชีวิตนั้นเป็นสิ่งไม่แน่นอนอนาคตเราต้องสร้างของเราเอง คนทำดีชะตาก็ดี คนทำชั่วชะตาก็ชั่ว เมื่อต้องการอนาคตดีก็ต้องทำดี ถ้าทำแต่ความไม่ดีแม้ชะตาจะดีก็กลายเป็นร้ายไปได้ ในพุทธธรรมก้ได้กล่าวไว้ว่าผู้ใดต้องการลาภยศ ย่อมได้ลาภยศ ผู้ใดต้องการบุตรธิดาย่อมได้บุตรธิดา ผู้ใดต้องการอายุยืนย่อมได้อายุยืน หากประกอบแต่กรรมดีย่อมสมปรารถนาแลพระผู้มีพระภาคทรงกล่าวไว้เช่นนี้
      พ่อซักท่านต่อไปว่า ท่านนักปราชญ์เมิ่งจื่อได้กล่าวไว้ว่าหากปรารถนาสิ่งไรต้องได้สิ่งนั้น ท่านคงหมายถึงสิ่งที่กระทำทางนามธรรมละกระมัง คุณธรรมความดีงามนั้นเป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างได้เองโดยไม่ต้องลงทุน ไม่ต้องไปแสวงหาจากที่ไหน แต่ทางรูปธรรมนั้นยศฐาบรรดาศักดิ์ ชื่อเสียงและความมั่นคงจะแสวงหาได้อย่างไรถ้าไม่มีผู้หยิบยื่นให้  ท่านอวิ๋นกุเถระตอบพ่อว่า ท่านเมิ่งจื่อกล่าวไว้ไม่ผิดหรอก พ่อเองที่เข้าใจคำสอนของท่านผิดไป ท่านลั่กโจ๊วเคยกล่าวไว้ว่า ความสุขความเจริญทั้งมวลเกิดขึ้นที่ใจก่อนทั้งสิ้น การแสวงหาใด ๆ ก็ตาม "ต้องเริ่มที่ใจก่อน" ไม่เพียงแต่จะได้คุณธรรมความดีงามทางธรรมเท่านั้น ความสุขความเจริญลาภยศชื่อเสียงเงินทอง อันเป็นความดีงามทางโลกก็จะติดตามมาเอง เพราะฉะนั้นการแสวงหาสิ่งที่ดีงามนั้นย่อมได้สิ่งที่ดีงามตามปรารถนา ในทำนองเดียวกัน "หากไม่สำรวจตนเอง" ไม่เริ่มต้นทำความดีจากตัวเราเอง กลับดิ้นรนคิดแสวงหาจากภายนอก แม้จะแสวงหามาได้ ก็เป็นเพียงได้ตามชะตากำหนดไว้เท่านั้น ไม่ใช่ได้เพราะความดีของเรา เพราะการแสวงหาจากภายนอกนั้นอาจจะต้องใช้ความพยายามในทางที่ถูกบ้างผิดบ้าง ไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็เอาด้วยกล ไม่ได้ด้วยมนต์ก็เอาด้วคาถา แสวงหาด้วยแรงขับกิเลสตัณหาจึงไม่ทันได้คำนึงถึงศีลธรรม เป็นการสูญเปล่าทั้งสองทาง ทางธรรมก้เสียหายแล้ว ทางโลกก็เสียหายอีก การแสวงหาจากภายนอกนั้น จึงไม่ได้ผลดีเท่าที่ควร
     ท่านพ่อถามว่า ท่านผู้เฒ่าข่งพยากรณ์ไว้ว่าอย่างไรบ้าง พ่อก็เล่าให้ท่านฟังอย่างละเอียด ท่านจึงถามพ่อว่าเธอลองทายดูเองสิว่าจะสอบได้เป็นขุนนางหรือเปล่า จะมีบุตรได้ไหม  พ่อคิดหาเหตุผลอยู่นาน โดยสำรวจตนเองตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน แล้วจึงตอบท่านว่าเห็นทีจะสอบไม่ได้และก็คงจะไม่มีบุตรอีกแล้ว พ่อให้เหตุผลท่านว่า คนที่จะได้เป็นขุนนางจะต้องมีบุญวาสนา ส่วนพ่อนั้นมีบุญวาสนาน้อย ตนเองก็มิได้สั่งสมกุศลกรรมอันใดไว้ให้เป็นพื้นฐานเพื่อเสริมสร้างบุญญาบารมีใด ๆ นิสัยของพ่อก็ไม่ดีไม่มีความอดทน งานหนักไม่เอา งานเบาไม่สู้ ใครทำให้ไม่ถูกใจก็โกรธ ไม่ยอมให้อภัย ใจคอคับแคบบางครั้งยังอวดดีว่ามีความรู้มากมายยกตนข่มท่านใจคิดอย่างไรก็จะทำอย่างนั้น คนเช่นพ่อนี้ไม่สมควรมาสอบเพื่อเป็นขุนนางกับเขาเลย

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
     แล้วพ่อก็สาธยายให้ท่านฟังถึงเหตุผล ที่คิดว่าตนเองไม่สมควรมีบุตรจริง ดังคำพยากรณ์ของผู้เฒ่าข่งให้ท่านอวิ๋นกุเถระฟังต่อไปว่า อันธรรมดานิสัยของพ่อนั้นชอบความสะอาดมากเกินไปไม่เป็นไปตามทางแห่งมัชฌิมาปฏิปทา โบราณท่านว่าไว้อันพื้นดินนั้นยิ่งไม่สะอาดเพียงใด ก็ย่อมเจริญด้วยพืชพันธ์นานาชนิด น้ำที่ใสสะอาดมักจะไม่มีปลามาแหวกว่ายฉันใด พ่อนั้นชอบความสะอาดมากเกินไป จึงย่อมไม่มีบุตรฉันนั้น นี่เป็นเหตุผลประการที่หนึ่ง
     ธรรมชาติสร้างสรรค์สรรพสิ่ง ให้มีความสมดุลเมื่อให้ชีวิตเจริญเติบโตด้วยดี แแต่พ่อมักโกรธทำให้ร่างกายและจิตใจเสียดุลอยู่เป็นนิตย์ ย่อมไม่สามารถมีบุตรได้ นี่เป็นเหตุผลประการที่สอง
    ความเมตตาเท่านั้นที่ค้ำจุนโลกไว้ แต่พ่อนั้นจิตใจขาดความกรุณาปราณี ไม่ยอมลดตนลงช่วยผู้อื่น เต็มไปด้วยอัสมิมานะ (การถือเขาถือเราถือดีไม่ยอมลงใคร) ไฉนจักมีบุตรได้เล่า นี่คือเหตุผลประการที่สาม
    การพูดมาก ทำให้สูญเสียพลัง พ่ออดพูดมากไม่ได้ทำให้ร่างกายไม่แข็งแรง นี่คือเหตุผลประการที่สี่  
    ชีวิตต้องอาศัยพลังลมปราณและความมีชีวิตชีวาอันเกิดจากชีวิตอินทรีย์ที่ธาตุ ดิน น้ำ ไฟ ลม ผสมอิงอาศัยกันอยู่สามสิ่งนี้เป็นปัจจัยซึ่งกันและกัน คอยผดุงชีวิตไว้ให้ดำรงคงอยู่ พ่อดื่มเหล้ามากเผาผลาญร่างกายตนเองอยู่เสมอ ทำให้ปัจจัยทั้งสามนี้ลดน้อยถอยลง จักมีบุตรได้อย่างไร แม้จะมีได้บุตรก็จะไม่แข็งแรงและอายุก็คงไม่ยืน นี่คือเหตุผลประการที่ห้า
    ในยามกลางวันคนเราไม่ควรนอน ในยามกลางคืนก็ควรนอนพักผ่อนให้สบาย แต่พ่อไม่ชอบนอนกลางคืนชอบนั่งเข้าที่เป็นสมาธิอยู่ตลอดทั้งคืนได้เสมอจักมีบุตรได้เล่า นี่เป็นเหตุผลประการที่หก  ที่ำทำให้พ่อคิดว่าชาตินี้ พ่อจะมีบุตรไม่ได้สมจริงดั่งคำทำนายเป็นแน่แท้
    ท่านอวิ๋นกุเถระฟังพ่อพูดเสียยืดยาวแล้ว จึงกล่าวว่าไม่เพียงแต่พ่อไม่สมควรจะเข้าสอบเป็นขุนนางเท่านั้น ยังมีอีกหลาย ๆ สิ่งที่พ่อก็ไม่สมควรจะได้รับด้วย คนในโลกนี้แม้จะอยู่ในภาวะแวดล้อมเดียวกัน ในเวลาที่ไม่ต่างกัน แต่บางคนได้รับแต่สิ่งดีมีสุข บางคนกลับได้รับแต่ความยากจนเป็นทุกข์ มีความแตกต่างกันมากมาย ผู้รู้ย่อมเข้าใจดีว่า นั่นล้วนแต่เป็นผลที่เกิดจากใจตนเองทุกคนสร้างเหตุที่จะทำให้เกิดผลดีผลชั่วจากใจตนเองทั้งสิ้น ผู้ไม่รู้ย่อมถือว่าเป็นชะตาชีวิตที่ลิขิตมาแล้วย่อมแก้ไขไม่ได้ หารู้ไม่ว่าทุกสิ่งเกิดจากใจตนเองแล้วทำไมตนเองจะแก้ไขไม่ได้เล่า คนที่ทำบุญให้ทานมากมายนั่นเขากำลังสร้างเหตุปัจจัยเพื่อความเป็นเศรษฐีมีเงินพันชั่งร้อยชั่ง ตามความมากน้อยที่เขาทำแล้ว บางคนจนถึงขนาดอดตาย นั่นเพราะเขาสร้างเหตุปัจจัยมาเช่นนั้น มีความตระหนี่เหนียวแน่นไม่ยอมเกินเลยใคร ทรมานกักขังสัตว์ให้อดอยากและอดตายมาแล้ว ผลจึงเกิดแก่เขาเช่นนั้น หาใช่ฟ้าดินเกิดความลำเอียงไม่ ฟ้าดินก็คือธรรมชาติย่อมปราณีคน ลงโทษคนชั่ว เหมือนดั่งที่ปราณีพืชพันธ์ธัญญาหารคอยหลั่งฝนมาให้ความชุ่มชื่น คอยส่องความสว่างมาให้ความเจริญเติบโตและธรรมชาติก็จะดุดันกับความไร้คุณธรรม กระหน่ำทั้งฝนพายุและสายฟ้า มนุษย์ต้องตายไปท่ามกลางความดุดันของธรรมชาติก็มีไม่น้อย ทั้งนี้ก็ย่อมขึ้นอยู่กับความดีความชั่วในตัวบุคคล ใครดีก็จะได้รับการส่งเสริม ใครเลวก็ลงโทษเสียบ้าง เพื่อให้เกิดความสมดุลกัน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14/12/2010, 12:48 โดย jariya1204 »

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
      มีความเชื่อกันมาแต่โบราณกาลว่า การจะมีบุตรหรือไม่นั้น ก็ขึ้นกับเหตุผลเดียวกันผู้ที่ทำความดีติดต่อกันมาแล้วร้อยชาติ ก็ย่อมมีบุตรหลานที่ดีสามารถสืบสกุลให้ยืดยาวได้ถึงร้อยชั่วคน ผู้ที่ทำความดีมาสิบชาติติดต่อกัน ก็ย่อมมีบุตรหลานที่ดีสามารถสืบสกุลให้ยืดยาวได้ถึงสิบชั่วคน ผู้ทำความดีติดต่อกันเพียงสองสามชาติ ก็ย่อมจะมีบุตรหลานสืบต่อไปสองสามชั่วคนเท่านั้น ผู้ที่ไม่มีบุตรเลยก็จะเห็นได้ว่า ไม่เคยสั่งสมคุณธรรมความดีที่เป็นชิ้นเป็นอันมาบ้างเลยนอกจากบางคนเท่านั้น ที่ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเหตุผลดังที่กล่าวมาแล้ว คือเป็นผู้ที่ไม่มีหนี้กรรมกับผู้ใดมา ธรรมชาติแห่งการมีบุตรธิดา ถ้ามองตามทัศนะของกฏแห่งกรรมแล้ว ก็คือการเปิดหน้าบัญชีลูกหนี้เจ้าหนี้ขึ้นมาสะสางกันอีกวาระหนึ่ง บุตรธิดาบางคนเกิดมาทวงหนี้ ก็ทำตัวดื้อรั้นอวดดี ก่อความเดือดร้อนวุ่นวายเสียหาย จนบิดามารดาไม่มีความสุขตลอดเวลา ส่วนบุตรธิดาที่เกิดมาใช้หนี้บุญคุณที่ติดค้างกันอยู่ในภพก่อน ๆ ก็มีความกตัญญูกตเวทีว่านอนสอนง่ายเป็นที่พึ่งทั้งทางกายและทางใจของบิดามารดา นำความปลื้มปิติความภาคภูมิใจมาให้บิดามารดามีความสุขความอิ่มใจอยู่เสมอ
     กุศลกรรม และ อกุศลกรรม ในอดีตล้วนเป็นเหตุปัจจัยให้ชีวิตต้องเวียนว่ายมาพบกันอีกตามกระแสของวิบากกรรมมาเป็นพ่อแม่ลูกกันตามกรรมดีกรรมชั่วที่แต่ละคนได้ก่อให้เกิดความสัมพันธ์กันมาแต่อดีต ผู้ใดมิได้ก่อหนี้กรรมไว้กับใครเลยก็ย่อมไม่มีผู้ใดตามมาทวงหนี้หรือมาใช้หนี้ ก็ทำให้ไม่มีบุตรธิดาในชาติปัจจุบัน ซึ่งในกรณีเช่นนี้มีน้อยนัก ท่านเหลี่ยวฝานจึงมิได้กล่าวไว้ (ผู้ถอดความ) แล้วท่านก็บอกพ่อว่า เมื่อพ่อรู้ตัวเองว่าไม่ดีอย่างไรบ้างแล้วเช่นนี้ และเข้าใจความเป็นไปของฟ้าดินแล้วไซร์ ก็จงรีบเร่งสร้างคุณธรรมความดีงามทันที ไม่คอยแต่จับผิดผู้อื่น สามารถให้อภัยได้แม้ความผิดนั้นจะเทียบเท่าภูเขาก็ตาม มีขันติอดทนต่อความไม่พอใจ ไม่โกรธง่าย มีแต่ความเมตตากรุณา ไม่พูดมาก ไม่ดื่มสุรา รักษาสุขภาพ ให้ดีทั้งกายและใจ สิ่งที่แล้วมาแล้วก็ให้คิดว่าตายไปแล้วเมื่อวานนี้แล้วเริ่มต้นสร้างสิ่งที่ดีงามขึ้นมาแทนที่เหมือนเกิดใหม่ในวันนี้ มีชีวิตใหม่เพื่อสร้างสมคุณธรรมที่ดีใหม่ ไม่มีชีวิตเก่าที่มีแต่เลือดเนื้อและเต็มไปด้วยความเป็นปุถุชน สร้างชีวิตให้หลุดพ้นจากความครอบงำของกิเลสตัณหาอุปาทาน สามารถพัฒนาตนเองให้บริสุทธิ์ผุดผ่อง แล้วชีวิตก็จะมีคุณค่าผิดแผกแตกต่างจากชะตาชีวิตที่ได้กำหนดไว้แล้วในคำพยากรณ์ ก็ร่างกานที่กอปรด้วยเลือดเนื้อนี้ยังเป็นไปตามลิขิตของฟ้าดิน ทำไมกับชีวิตที่กอปรด้วยคุณธรรมความดีงามของฟ้าดินจะไม่หยั่งรู้ได้หรือโชคชะตาที่ฟ้าดินลิขิตมา มนุษย์ยังพอหลีกเลี่ยงได้บ้าง แต่เคราะห์กรรมที่เกิดจากการกระทำของมนุษย์เอง   ก็จะหนีไม่พ้นเลย มีผู้เขียนโแลกบทหนึ่งไว้ว่า...มนุษย์ต้องคอยสำรวจตนเองเสมอ เพื่อจักได้ดำเนินชีวิตไปตามครรลองครองธรรม เมื่อกระทำแต่คุณงามความดีแล้วไซร์ ไฉนจักไม่ได้ความดีอันเป็นผลเล่า ความดีความชั่วจึงล้วนขึ้นอยู่กับพฤติกรรมของมนุษย์เองทั้งสิ้น การที่ท่านผู้เฒ่าข่งพยากรณ์เอาไว้ให้นั้นเป็นเพียงชะตาชีวิตที่ลิขิตจากฟ้าดินย่อมมีทางแก้ไขได้จงรีบสร้างคุณธรรมความดีงามเริ่มด้วยการช่วยเหลือผู้อื่นโดยไม่เห็นแก่ตัว เสียสละเพื่อผู้อื่นโดยไม่หวังผลตอบแทนอย่ามุ่งหวังแต่เพียงชื่อเสียงทำอย่างเงียบ ๆ  การปิดทองหลังองค์พระปฏิมานั้นกลับได้บุญมากกว่า ถ้ามีผู้คนรู้เห็นกันมาก พากันสรรเสริญอนุโมทนาสาธุการ ความมีชื่อเสัยงก็จะแบ่งความดีงามไปเสียมาก บุญก็จะน้อยลงเพราะได้ผลปัจจุบันไปเสียแล้วบ้าง แต่ถ้าทำแล้วไม่โอ้อวดในความดีนั้นผลบัญก็จะเต็งดุจวารีที่เปี่ยมฝั่งใครเล่าจะแย่งหรือแบ่งบุญของเราไปได้การทำดีเช่นนี้มีหรือจะไม่ได้เสวยผลแห่งความดีนี้
    
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29/12/2010, 19:52 โดย jariya1204 »

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
     คัมภีร์โบราณเชื่อว่า เอ้กเก็ง ก็ได้เน้นถึงความดีความชั่วไว้อย่างละเอียดละออ สอนคนดีให้รู้จักหลบหลีกจากความชั่ว สั่งสมแต่กรรมดีเพื่อจักได้ผลดีตอบแทน หากว่าลิขิตของชะตาชีวิตเป็นสิ่งแน่นอนแล้วไซร์ จักหลีกเลี่ยงกรรมชั่วสั่งสมแต่กรรมดีได้อย่างไร ในหน้าแรกของคัมภีร์ก็กล่าวไว้ว่า ครอบครัวใดสั่งสมแต่ความดีงาม ไม่เพียงแต่หัวหน้าครอบครัวเท่านั้นที่จะได้เสวยผลแห่งความดีนั้น แม้แต่ลูกหลานแหลนโหลนก็จะพลอยได้เสวยผลแห่งกรรมดีนั้นด้วย วิเคราะห์ดูให้ดีแล้วจะเห็นได้ว่าชะตาชีวิตไม่สามารถควบคุมมนุษย์ไว้ได้เสมอไป จิตใจมนุษย์สำคัญกว่า จิตใจที่ดีงามย่อมกระทำแต่สิ่งที่ดีงามและได้รับผลที่ดีงาม ผู้มีจิตใจทรามย่อมกระทำแต่สิ่งที่เลวทรามและได้ผลที่ทราม ท่านถามพ่อว่า เชื่อท่านหรือไม่เล่า พ่อเชื่ออย่างมากเพราะท่านพูดมีเหตุผลพ่อจึงคุกเข่าลงกราบท่าน เพื่อแสดงว่ารับคำสั่งสอนด้วยความเคารพอย่างสูง แล้วพ่อไปนั่งลง ณ หน้าที่บูชาพระรัตนตรัย สารภาพบาปในอดีตต่อหน้าพระพักตร์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างหมดเปลือก แล้วอธิษฐานขอให้ได้เป็นขุนนาง ต่อไปนี้จะเริ่มกระทำความดีให้ครบสามพันครั้ง เพื่อตอบแทนพระคุณฟ้าดินและบรรพชนของพ่อ  ท่านอวิ๋นกุเถระ เห็นพ่อมีความตั้งใจทำความดีถึงปานนี้ จึงเอาตัวอย่างบัญชีกรรมดีกรรมชั่วมาให้พ่อดู แล้วสอนพ่อให้จดพฤติกรรมของตนเองแต่ละวันอย่างละเอียดถี่ถ้วน โดยไม่้เข้าข้างตนเอง ถ้าทำกรรมดีก็จดไว้ข้างหนึ่ง ถ้าเป็นกรรมชั่วก็จดไว้อีกข้างหนึ่ง เหมือนบัญชีรับจ่ายต้องนำกรรมชั่วไปลบกรรมดี ให้เหลือกรรมดีสามพันครั้งโดยไม่มีกรรมชั่วที่ไม่ได้หักลบกลบหนี้แล้ว จึงจะนับว่าทำกรรมดีได้ครบสามพันครั้ง ต้องนำบัญชีมาทบทวนดูทุกวัน เพื่อเตือนใจให้รู้งว่าวันหนึ่ง ๆ เราได้ทำอะไรไว้บ้าง ดีมากกว่าชั่วหรือชั่วมากกว่าดีอะไรผิดอะไรถูก จักได้แก้ไขปรับปรุงตนเองไม่ทำความผิดซ้ำแล้วซ้ำอีกกรรมชั่วเบา ๆ ก็ต้องนำมาลบกรรมดีออกเสียหนึ่งครั้ง กรรมชั่วหนัก ๆ ก็ต้องลบความดีออกหลาย ๆ ครั้ง จนกว่าความดีจะครบสามพันครั้งดังที่ได้อธิษฐานไว้ แล้วสอนพ่อสวดมนต์บริกรรมคาถาเพื่อช่วยให้มีจิตมั่นคงโดยอาศัยอำนาจคุณพระศรีรัตนตรัยเป็นสรณะ เพื่อให้คำอธิษฐานหนักแน่นสัมฤทธิ์ผลเร็ววัน ท่านยังเล่าให้พ่อฟังต่อไปว่า ผู้ที่ชำนาญการวาดฮู้ (ลงเลขลงยันต์) ได้กล่าวไว้ว่าหากมนุษย์ไม่รู้จักวิธีวาดฮู้ได้ถูกต้องแล้วไซร์จะถูกผีสางเทวดาหัวเราะเยาะเอาได้ เพราะฉะนั้นการวาดฮู้ก็ต้องหัดไห้เป็นไว้ เคล็ดลับของวิชานี้ อยู่ที่ต้องทำใจให้เป็นเอกัตตาให้ได้เท่านั้น เมื่อเริ่มจับพู่กัน ก็ต้องหยุดความรู้สึกนึกคิดใด ๆ ทั้งหมด ไม่วอกแวก ทำจิตให้นิ่ง รวมพลังจิตทั้งหมดพุ่งตรงไปยังปลายพู่กันแล้วจรดปลายพู่กันลงไปที่กระดาษผ้าหรือแพรก็ได้ ทิ้งน้ำหนักปลายพู่กันให้แน่นิ่งเป็นการเบิกทวารฟ้าดินด้วยพลังจิตที่พุ่งกระทบอย่างแหลมคม ฮู้จะศักดิ์สิทธิ์หรือไม่ก็อยู่ที่จุดเริ่มต้นนี้เอง เมื่อเริ่มต้นแล้วก็ต้องเขียนให้จบขบวนการ โดยไม่หยุดชะงักไม่ต่อเติมไม่ยกพู่กันขึ้น ต้องวาดให้ต่อเนื่องเป็นเส้นเดียวกัน จิตเป็นเอกัตตาตลอดแนวทางที่พู่กันตวัดไปมา ฮู้นี้ก็จะศักดิ์สิทธิ์ไม่ว่าจะอธิษฐานใด ๆ ต่อฟ้าดิน ก็จะสัมฤทธิ์ผลอย่างแน่นอนและรวดเร็ว
     ผู้ที่มีกิเลสธุลีหนาแน่นในใจ เหมือนตกอยู่ในความมืดดั่งอยู่ในครรภ์มารดา ไม่สามารถมองเห็นอะไรอื่นเมื่อจรดปลายพู่กันลงไปครั้งแรกก็เท่ากับได้เจาะความมืดให้แสงสว่างส่องเข้าไปได้และเมื่อตวัดพู่กันด้วยจิตอันแหลมคมเป็นสมาธิอยู่นั้นก็เป็นการพุ่งพลังจิตไปตามพู่กันนั้นโดยมีแสงสว่างและชาดในพู่กันเป็นสู่นำพลังจิตไปพลังจิตจะประทับอยู่ตรงไหนความศักดิ์สิทธิ์ก็เกิดที่นั่น
    การบริกรรมก็ต้องทำสม่ำเสมอขาดไม่ได้เช่นกัน ต้องบริกรรมจนแม้ปากไม่บริกรรมแล้วแต่ใจยังคงบริกรรมอยู่ บริกรรมจนไม่รู้สึกว่าตัวเราเป็นผู้บริกรรมเพราะมนต์ก็ดีการบริกรรมก็ดีตัวเราเป็นผู้บริกรรมก็ดี ได้ผสมผสานเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันเสียแล้ว จนแยกไม่ออกเมื่อใด เมื่อนั้นการบริกรรมก็สักดิ์สิทธิ์
   ท่านนักปราชญ์เมิ่งจื่อได้กล่าวไว้ว่า อันว่าอายุยืนหรืออายุสั้นหามีความแตกต่างกันไม่ ให้หมั่นฝึกฝนตนเองไปจนกว่าจะถึงวันนั้น วันนั้นคือวันที่เราจะได้พบความจริงว่า ใด ๆ ในโลกนี้หามีความแตกต่างกันไม่ ล้วนแต่เป็นสภาวะธรรมที่มนุษย์สมมุติกันขึ้นมา ผู้ที่ฝึกฝนตนเองจนไม่เห็นความแตกต่างของสภาวะธรรม เมื่อใดผู้นั้นก็เข้าถึงสภาวะธรรมเมื่อนั้น และไม่ถูกความไม่รู้ไม่เข้าใจหลอกหลอนเบียดเบียน หลุดพ้นจากความร้อยรัดของกิเลสตัณหาอุปาทานได้หมดสิ้น ถ้าคิดโดยผิวเผินก็จะรู้สึกแปลกใจ เพราะความอายุสั้นและอายุยืนนั้น แตกต่างกันอย่างตรงกันข้ามทีเดียว แต่ถ้าคิดให้ลึกซึ้งแล้วก็จะเห็นได้ว่าท่านพูดไว้ไม่ผิดเลย ทุกสิ่งในโลกนี้ล้วนเป็นสภาวะธรรมหนึ่ง ๆ เท่านั้น มนุษย์มักจัดเข้าพวกกันบ้าง แยกประเภทให้บ้างจนดูสับสนสลับซับซ้อนไปหมด ธรรมดาทารกที่เกิดใหม่ ๆ นั้น หารู้ไม่ว่าอายุสั้นอายุยืนมีความหมายอย่างไรกัน ต่อเมื่อเติบโตแล้วจึงสามารถแยะแยอะความหมายเลือกคุณค่าของสรรพสิ่งโดยคำสอนของผู้ใหญ่บ้าง จิตดั้งเดิมเป็นเช่นนั้นบ้าง ตอนนี้เองผลแห่งกรรมดีกรรมชั่วของเด็กนั้นก็จะเริ่มมาให้ผล จึงได้เห็นความอายุสั้นบ้างอายุยืนบ้าง ความแตกต่างจึงบังเกิดขึ้นด้วยประการฉะนี้
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29/12/2010, 19:54 โดย jariya1204 »

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม

       ฉะนั้น ถ้าเราไม่ให้ความแตกต่างระหว่างความรวยกับความจน ความสุขกับความทุกข์ ความตกต่ำกับความรุ่งเรือง หรือ ความมีอายุยืนกับอายุสั้น ก็จะสามารถสร้างสรรค์ชีวิตให้เป็นไปตามความต้องการของเราได้ ถ้าเราไม่ให้ความแตกต่างกับสิ่งเหล่านี้เสียก่อนแล้ว เราจะไม่สามารถสร้างชีวิตให้ดีตามความต้องการของเราได้เลย จะยกตัวอย่างให้ดู เด็กสองคน คนหนึ่งเกิดมาเป็นลูกคนรวย อีกคนเกิดมาเป็นลูกคนจน ถ้าเด็กรวยคิดว่าตนเองวิเศษกว่าผู้อื่นเพราะความรวยกว่าผู้อื่นแล้วไซร์ ก็จะเกิดความลำพองถือเงินเป็นอำนาจบาตรใหญ่ เที่ยวระรานข่มเหงเอาแต่ใจตนเอง ส่วนลูกคนจนนั้น ถ้าคิดว่าตนเองยากจนไม่มีเงินเหมือนลูกคนรวย ก็จะมีความน้อยเนื้อต่ำใจ เมื่ออยากได้อะไรไม่ได้ดั่งใจ ความกดดันก็จะเป็นแรงขับ ให้เริ่มฉกชิงวิ่งราวลักเล็กขโมยน้อย จนถึงปล้นจี้ฆ่าเจ้าทรัพย์รุนแรงขึ้นทึกที แม้จะต้องโทษก็ไม่กลัว ได้กินข้าวหลวงสบายไปเสียอีก ถ้าเราแยกแยะความรวยความจนเช่นนี้ ก็จะเป็นคนดีไปไม่ได้เลย แต่ถ้าไม่คิดว่าเรารวย จะทำอะไรก็ระมัดระวัง ไม่ให้กระทบกระเทือนถึงผู้อื่นคิดแต่จะช่วยเหลือเจือจานไปทั่วหน้า ใช้เงินที่ตนเองมีมากให้เป็นประโยชน์แก่ผู้ที่น้อย อาศัยความรวยที่ตนเองได้เปรียบผู้อื่นโดยสภาวะธรรม มาเกื้อกูลผู้อื่นที่มีน้อยถึงกับขาดแคลน ตามสภาวะธรรม ความเมตตากรุณาที่เกิดจากความรู้จริงในสภาวะธรรมนี้ก็จะหล่อหลอมให้ช่องว่างระหว่างความรวยความจนนั้นปิดสนิท ไม่สามารถเกิดความแตกแยกได้เลย ส่วนเด็กที่เกิดมายากจนอันเป็นสภาวะธรรมหนึ่งนั้น ถ้าไม่ให้ความแตกต่างในความรวยกับความจนแล้ว ก็จะไม่มีความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ รู้จักขยันหมั่นเพียร สันโดษในความเป็นอยู่ ซื่อตรงในความประพฤติ รู้จักใช้แรงกายช่วยเหลือผู้อื่นแทนแรงเงินที่ตนขาดแคลน ไม่คอยคิดที่จะให้ผู้อื่นมาช่วยตนแต่ไม่รังเกียจที่จะช่วยผู้อื่น ตั้งหน้าทำมาหากิน หนักเอาเบาสู้ อดออมถนอมตน ไม่นานนักคนจนก็จะกลายเป็นคนรวย คนรวยก็จะไม่จน ถ้ามีนิสัยเหมือนเด็กทั้งสองคนนี้ เมื่อถึงวันนั้นความแตกต่างจักมีได้อย่างไร
       แม้อายุสั้นอายุยาวก็เช่นกัน ถ้าเราไม่เชื่อว่าชะตาชีวิตได้ลิขิตให้เรามีอายุสั้น เราก็จะไม่พะวงถึงความตายตั้งหน้าประกอบกรรมดี ไม่ใช่อยู่รอความตายไปวันหนึ่ง ๆ ผู้ที่ไม่เชื่อว่าชะตาชีวิตลิขิตมาให้อายุยืน ก็จะไม่ทนงตนว่ามีชีวิตอยู่อีกยาวนาน เกิดความประมาทเกียจคร้านที่จะประกอบกรรมดี ผัดวันประกันพรุ่ง ดื่มสุราหานารี เล่นพาชีกีฬาบัตร เผาผลาญชีวิตไปทุกวัน ๆ อายุจักยืนนานไปได้อย่างไร
      ความเกิดความตาย เป็นสิ่งสำคัญที่สุดของมนุษย์ ถ้าเราไม่ให้ความแตกต่างกับสิ่งที่กล่าวมาแล้วไซร์ เราจะเกิดในสภาวะธรรมใดก็ตาม ย่อมจักดำรงชีวิตอยู่ได้ ด้วยจิตใจที่ปราศจากความกดดัน รู้จักดำรงชีวิตด้วยดี ตายดี และไปเกิดในสภาวะธรรมที่ดีต่อไป
      ทำไมหรือ เพราะความชั่วร้าย มิได้อยู่ที่ความรวยความจน มิได้อยู่ที่ความีอายุสั้นหรือยาว ความสุขความทุกข์นั้นย่อมขึ้นอยู่ที่เราจะสามารถประกอบคุณงามความดีได้มากน้อยเท่าใดต่างหากเล่า การฝึกฝนตนเองให้รู้จักประกอบกรรมทำดีนั้นย่อมเป็นการสั่งสมบุญบารมีโดยแท้ เราจะต้องหมั่นสังเกตุพฤติกรรมเราเอง มีสิ่งใดผิดพลาดก็พยายามแก้ไข เหมือนดั่งหมอที่พยายามรักษาคนไข้ให้หายจากโรค ฉะนั้นการสั่งสมบุญบารมีก็ต้องพยายามอยูาทุกขณะจิตค่อยทำค่อยไปไม่หวังผลจนเกินกำลัง ไม่หย่อนยานจนไม่ก้าวหน้า เมื่อจิตได้รับการอบรมทีี่ดี บ่มใจจนได้ที่แล้วนั่นคือความสำเร็จที่จะได้รับในการประพฤติปฏิบัติธรรม ท่านบอกกับพ่อว่า จิตนั้นเกิดดับอยู่ทุกขณะขอให้หมั่นบริกรรมอย่าได้หยุดยั้ง จะขาดการสืบต่อ เมื่อบริกรรมจนเกิดความชำนาญแล้ว ก็จะกลายเป็นนิสัยไม่ว่าปากจะบริกรรมหรือไม่ จิตก็จะทำไปเองโดยอัตโนมัติเมื่อจิตดิ่งเป็นเอกัคตาแล้วไซร์ ย่อมรวมมนต์คาถาที่บริกรรม ตัวคนบริกรรม และจิตที่บริกรรมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ไม่แยกออกจากกัน เมื่อนั้นการบริกรรมก็จะประสบความสำเร็จทันที อธิษฐานไว้เช่นไรก็จะสมปรารถนาเช่นนั้น

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม

      พ่อนั้น แต่ก่อนมีชื่อว่า "เสวียห่าย" ในวันนั้นพ่อเปลี่ยนชื่อใหม่ว่า ""เหลี่ยวฝาน"" เพราะพ่อรู้ซึ้งแล้วว่า การสร้างอนาคตนั้นจะต้องเริ่มที่ตนเองมิใช่รอคอยโชคชะตามาผลักดันให้เป็นไปตามยถากรรม พ่อจะต้องหลุดพ้นจากความเป็นปุถุชนให้ได้ ไม่ยอมตกอยู่ในอิทธิพลของคำพยากรณ์อีกต่อไป นี่คือความหมายในชื่อใหม่ของพ่อ ตั้งแต่นั้นมาพ่อสำรวมระวังบทบาทของกาย วาจา ใจอยู่ตลอดเวลาที่ตื่นอยู่ ทำให้ผิดแผกไปกว่าแต่ก่อนมา ความักง่ายตามใจตนเอง ความไม่สำรวมอินทรีย์ได้ลดน้อยลง มีแต่ความระแวดระวังตั้งสติไม่ประมาท ดุจดั่งเตรียมพร้อม ตั้งรับภยันตรายที่กำลังคืบคลานมาหาพ่อ ฉะนั้นแม้จะอยู่ในที่มืดหรือในที่รโหฐานก็ยังเกรงว่าผีสางเทวดา คอยจ้องจับตามองพ่ออยู่ ต่อหน้าและลับหลังคน จึงประพฤติตนไม่ต่างกัน หากมีผู้ใดแสดงความไม่พอใจพ่ออย่างไร วิพากษ์วิจารณ์รุนแรงเพียงใด พ่อกลับรับฟังได้โดยดุษดีไม่เคยต่อล้อต่อเถียงกับผู้ใดอีกเลย
     เมื่อกาลเวลาผ่านไปอีกหนึ่งปี พ่อได้โอกาสเข้าทำการสอบไล่อีกครั้ง คราวนี้สอบได้ที่หนึ่ง พลิกความคาดหมายของผู้เฒ่าข่ง ที่พยากรณ์ไว้ว่าจะสอบได้ที่สามท่านว่าหลังจากสอบครั้งนี้แล้ว ต่อไปจะสอบไม่ได้อีกแต่เมื่อพ่อไปสอบ ก็สอบได้อีก เป็นอันว่าคำพยากรณ์ไม่สามารถกุมชะตาชีวิตของพ่อได้อีกต่อไป
    แต่การทำความดีนั้น มิได้ง่ายอย่างที่นึกไว้สำรวจดูแล้วก็พบข้อบกพร่องอย่างมากมาย เช่น ไม่มีความอาจหาญพอ ที่จะเสี่ยงชีวิตเข้าช่วยเหลือผู้ประสบภัยบางทีจิตใจรังเลไม่สามารถช่วยได้สุดกำลัง บางทีก็ช่วยไปบ่นว่าไป อดติเตือนเสียมิได้ ปกติยังมีสติควบคุมตัวเองดีอยู่ บางทีดื่มเหล้าเมามาย ความประพฤติดั่งเดิมก็กลับมามีบทบาทอีกคะแนนของกรรมดีกรรมชั่วลบไปเสียมากทำให้ต้องใช้เวลาเกือบ 11 ปี คือ ตั้งแต่ พ.ศ.2112 - 2122 จึงสามารถรวบรวมการทำความดีได้ครบสามพันครั้ง บังเอิญขณะนั้น พ่อไปเที่ยวนอกด่านกับเพื่อนจึงมิได้ประกอบพิธีอุทิศบุญกุศล ดังที่ตั้งจิตอธิษฐานไว้จนกระทั่งรุ่งเช้าอีกปีหนึ่ง พ.ศ. 2123 เมื่อกลับมาทางใต้แล้ว จึงไปนิมนต์ท่านซิ่งคงและท่านเฮว่ยคง ซึ่งล้วนเป็นพระเถระที่ทรงคุณวิเศษมาประกอบอุทิศกุศลผลบุญ ที่ได้เพียรทำต่อเนื่องมาได้รวมสามพันครั้งตามที่ได้ตั้งจิตอธิษฐานไว้ แล้วเริ่มตั้งจิตอธิษฐานใหม่ครั้งนี้ขอให้ได้ลูกที่ดี จะทำความดีอีกสามพันครั้ง พอรุ่งขึ้นอีกปี พ.ศ. 2124  พ่อก็ได้เจ้ามาจึงตั้งชื่อให้ว่า "เทียนชี่" แปลว่า ฟ้าประทาน
    เวลาใดที่พ่อได้กระทำความดีทางกายกรรมก้ดี มโนกรรมก็ดี วจีกรรมก็ดี พ่อจะใช้พู่กันบันทึกไว้ทันที แต่แม่เจ้าเขียนหนังสือไม่เป็น เมื่อได้ช่วยพ่อกระทำความดีตรงใด ก็ใช้ก้านขนห่านจิ้มชาดกวงไว้บนปฏิทิน บางวันให้ทานคนยากจนหลายครั้ง ปล่อยสัตว์มีชีวิตมากวันหนึ่ง ๆ แม่เจ้าวงไว้ถึงสิบกว่าวงด้วยกันเพียงสิบปีกว่า ก็ทำได้ครบสามพันครั้งอีก คราวนี้พ่อนิมนต์พระเถระรุ่นก่อน ๆ มาทำพิธีอุทิศบุญกุศลที่บ้านเราเอง และเริ่มตั้งจิตอธิษฐานขอให้สอบตำแหน่งจิ้นสือได้ จะทำความดีให้ครบหนึ่งหมื่นครั้ง ต่อมาอีกสามปี พ่อก็สอบได้และได้เป็นนายอำเภอในปีนั้นเอง ประมาณพ.ศ. 2129 (ค.ศ. 1586)

Tags: