collapse

ผู้เขียน หัวข้อ: โอวาท 4 ท่านเหลี่ยวฝาน : วิธีสร้างความดี : เกริ่นนำ  (อ่าน 18062 ครั้ง)

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม

       ความดีข้อที่หก คือความดีที่กระทำครึ่ง ๆ กลาง ๆ และทำอย่างสมบูรณ์ ในคัมภีร์เอ้งเก็งได้กล่าวไว้ว่า ผู้ที่ไม่สั่งสมความดีไม่พอที่จะได้รับชื่อเสียงดี ผู้ที่ไม่สั่งสมบาปย่อมไม่รับเคราะห์กรรมถึงตายแล้ว ในประวัติศาสตร์ก็ได้กล่าวถึงราชวงศ์เซียง (ก่อน ค.ศ. ประมาณ ศตวรรษที่ 16 - 11) ก่อนพุทธศักราช ระหว่าง 967 -467 ว่าติ้วอ๋อง สั่งสมแต่บาปกรรมดุจการร้อยเงินเหรียญไว้เต็มพวง จึงรักษาแผ่นดินและชีวิตของตนเองไว่ไม่ได้ การสั่งสมความดีความชั่วนั้นดุจนำของบรรจุลงในภาชนะ ถ้าสั่งสมทุกวันก็จะเต็มเปี่ยม ถ้าสั่งสมบ้างไม่สั่งสมบ้าง หยุด ๆ ทำ ๆ บุญหรือบาปนั้นก็พร่องอยู่เสมอ ไม่มีวันเต็มได้เลย แต่ก่อนนี้ มีเด็กสาวคนหนึ่งเขาไปในวัดเพราะอยากทำบุญ แต่มีเงินเพียงสองอีแปะ ความจริงราคาของเงินน้อนนิดเดียว แต่ค่าของความมีใจอยากทำบุญนั้นเหลือหลาย ท่านเจ้าอาวาสจึงกล่าวอนุโมทนาคาถาเองให้ศีลให้พรเอง
      ต่อมาหญิงนี้ได้เข้าวังเป็นพระสนมของฮ่องเต้ มีเงินมากมาย จึงได้นำเงินจำนวนหลายพันตำลึงมาที่วัดนั้นอีกเพื่อทำบุญ คราวนี้เจ้าอาวาสท่านให้พระลูกวัดกล่าวอนุโมทนาและให้ศีลให้พรแทน พระสนมเกิดความสงสัยยิ่งนัก จึงกราบถามท่านว่าเมื่อก่อนนี้ข้าพเจ้ายากจน มีเงินทำบุญเพียงสองอีแปะ แต่ท่านมากล่าวอนุโมทนาคาถาและให้ศีลให้พรข้าพเจ้าด้วยตนเอง มาบัดนี้ข้าพเจ้าพอจะมีเงินบ้างจึงนำเงินมาถวายหยายพันตำลึง แต่ทำไมท่านกลับให้พระลูกวัดทำหน้าที่แทนท่านเล่า ท่านเจ้าอาวาสกล่าวว่า แต่ก่อนนี้แม้ท่านจะทำบุญน้อยแต่ใจท่านเปี่ยมไปด้วยเจตนาที่เป็นกุศล มาบัดนี้แม้ท่านจะมีเงินทำบุญมากแต่ใจของท่านนั้นไม่เหมือนแต่ก่อนเสียแล้ว จึงไม่จำเป็นที่จะต้องให้อาตมาไปกล่าวเอง
      นี่คือตัวอย่างการทำความดีที่ไม่จำเป็นต้องอาศัยราคาของเงินมาวัดความดีนั้น ทำบุญด้วยเงินน้อยนิดกลับเป็นบุญที่เต็มเปี่ยม เพราะจิตใจที่เต็มไปด้วยกุศลเจตนา แม้ทำบุญด้วยเงินมากมายหากจิตใจมีศรัทธาเพียงครึ่ง ๆ กลาง ๆ เท่านั้น
      อีกตัวอย่างหนึ่ง มีเซียนท่านหนึ่งชื่อว่า จงหลี ท่านเป็นชาวฮั่น ก่อนพ.ศ. 749 -551 เมื่อตายได้สำเร็จเป็นผู้วิเศษ เสวยสุขอยู่บนสวรรค์หลายร้อยปี จนถึงสมัยราชวงศ์ถัง พ.ศ.1160 - 1450 ท่านเซียนจงหลีก็รับศิษย์ไว้คนหนึ่งชื่อว่าท่าน ห-ลวี่ต้งปิน ต่อมาจนถึงปัจจุบัน ผู้คนเรียกท่านว่า ลื่อโจว๊ ท่านลื่อโจว๊เป็นขุนนางรับราชการเป็นนายอำเภออยู่สองครั้ง เมื่อมีโอกาสพบเซียนผู้วิเศษ ท่านก็ได้รับถ่ายทอดวิชาต่าง ๆ ในลัทธิเต๋า รวมทั้งการนั่งสมาธิด้วย ท่านจึงลาออกจากราชการติดตามท่านเซียนผู้วิเศษๆปฝึกฌาญสมาธิที่ภูเขาแห่งหนึ่ง จนสำเร็จได้เป็นเซียนเช่นกัน ต่อมาท่านจงหลี ได้สอนให้ท่านลื่อโจว๊รู้จักผสมยาวิเศษ เพียงแต่เอายานั้นหยดลงไปที่เหล็ก เหล็กนั้นก็จะกลายเป็นทอง สามารถนำไปช่วยเหลือความยากจนของผู้คนได้ ท่านลื่อโจว้จึงกราบถามท่านอาจารย์ว่า เมื่อเปลี่ยนไปเป็นทองแล้วจะกลับเป็นเหล็กดังเดิมอีกมั้ย ท่านจงหลีบอกว่า เมื่อครบห้าร้ยปีแล้ว ก็จะกลับสภาพเดิมได้ ท่านลื่อโจว๊จึงปฏิเสธ ไม่ยอมทำเหล็กให้เป็นทองเพราะท่านเห็นว่าเมื่อครบห้าร้อยปีแล้ว ก็จะทำให้ผู้คนเสียหายมากมาย เพราะอยู่ ๆ ทองในมือก็จะกลายเป็นเหล็กไปเสียแล้ว ย่อมนำมาถึงความสูญเสียอย่างมากมาย เป็นการให้ร้ายผู้อื่นโดยไม่เป็นธรรม การที่ท่านจงหลีลองใจท่านลื่อโจว๊ครั้งนี้ ทำให้ท่านภูมิใจในลูกศิษย์ของท่านเป็นอย่างยิ่ง เพราะคำพูดเพียงคำเดียวก็แสดงให้เห็นความเป็นคนของท่านลื่อโจว๊ว่าสูงส่งเพียงใร ท่านจึงกล่าวกับศิษย์รักของท่านว่าการที่จะบรรลุความเป็นเซียนนั้นจะต้องสั่งสมคุณธรรมให้ได้ถึงสามพันอย่าง คำพูดของเจ้าเพียงคำเดียว ก็เท่ากับได้สร้างคุณธรรมครบสามพันอย่างแล้วในพริบตาเดียว
       การทำความดีนั้นเมื่อทำแล้วก็แล้วกันอย่าได้นำมานึกคิดบ่อย ราวกับว่าการทำดีนั้นช่างใหญ่ยิ่งนัก ใครก็ทำไม่ได้เหมือนเรา ถ้าคิดเช่นนี้ความดีนั้นก็จะเหลือเพียงครึ่งเดียว แต่ถ้าทำแล้วก็ไม่นำพาใส่ใจอีก คิดแต่จะทำอะไรต่อไปอีกจึงจะดีจึงจะเป็นความดีที่สมบูรณ์ ไม่ตกไม่หล่น เช่นนี้การให้เงินแก่คนยากจน ในใจของลูกจะต้องอย่าได้คิดว่าเราเป็นผู้ให้ ภายนอกก็อย่าได้สนใจว่าใครเป็นผู้รับ แม้แต่เงินที่เราบริจาคไปแล้ว ก็มองไม่เห็นว่าสำคัญตรงไหนให้แล้วก็แล้วกัน ลืมเสียให้ได้ไม่กลับมาคิดอีกให้เสียเวลาเช่นนี้ เรียกว่าทำความดีด้วยจิตว่างเปล่า เมื่อไม่ได้บรรจุอะไรไว้ที่จิตเลย จิตนั้นก็ย่อมเต็มเปี่ยมไปด้วยกุศลผลบุญพลังแห่งกุศลกรรมเช่นนี้ใหญ่หลวงนัก สามารถทำลายเคราะห์กรรมได้ถึงหนึ่งพันครั้ง เพราะฉะนั้นการทำความดีจึงมิได้ขึ้นอยู่กับปริมาณเงินทองหรือวัตถุที่บริจาคแต่อยู่ที่ใจเราเท่านั้นที่จะทำจิตใจให้ว่างเปล่าจนสามารถบรรจุบุญกุศลได้เพียงใดต่างหาก

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม

      ความดีข้อที่เจ็ด คือความดีที่ใหญ่หรือเล็ก มีขุนนางผู้หนึ่งมีนามว่าเอว้ยจังต๊ะ รับราชการอยู่ในกรมประวัติศาสตร์ อยู่มาวันหนึ่งถูกจับวิญญาณไปยังยมโลก พญายมได้สั่งเสมียนในยมโลกนำบัญชีดีชั่วของท่านเอว้ยมาให้ดู ปรากฏว่าบัญฃีชั่วนั้น ช่างมากมายก่ายกองวางจนเต็มห้องไปหมด ส่วนบัญชีความดีนั้นเล็กนิดเดียว มีขนาดพอ ๆ กับตะเกียบข้างหนึ่งเท่านั้นพยายมสั่งให้คนเอาตาชั่งมา ปรากฏว่าบัญชีความดีนั้นแม้จะเล็กนิดเดียว แต่กลับมีน้ำหนักมากว่าบัญชีความชั่วมีรวมกันแล้วทั้งหมด
     ท่านเอว้ย มีความสงสัยเป็นอันมาก จึงถามพยายมว่า ข้าพเจ้ามีอายุยังไม่ถึงสี่สิบปี ไฉนจึงมีความชั่วมากมายเช่นนี้ พยายมตอบว่า เพียงแต่จิตคิดมิชอบเท่านั้นก็เป็นบาปแล้ว เช่นเห็นผู้หญิงสาวสวยก็มีจิตปฏิพัทธ์ จิตที่คิดมิชอบ เช่นนี้ก็จะถูกบันทึกในบัญชีความชั่วทันที ท่านเอว้ยถามต่อไปอีกว่า ถ้าเช่นนั้นในบัญชีอันน้อยนิดนี้ ได้บันทึกไว้ว่าอย่างไร พยายมตอบว่า มีอยู่ครั้งหนึ่งฮ่องเต้ทรงดำริจะซ่อมสะพานหินที่เมืองฮกเกี้ยน ท่านเกรงว่าราษฏรจะเดือดร้อน จึงถวายความเห็นเพื่อยับยั้งพระราชดำรินั้นเสีย บัญชีความดีนั้นก็คือสำเนาที่ท่านทูลเกล้าฯ ถวายฮ่องเต้นั้นเอง ท่านเอว้ย ก็แย้งว่า แม้ข้าพเจ้าจะกระทำดังกล่าวจริงแต่ก็ไม่เห็นเป็นผลสำเร็จ พระองค์ทรงดำเนินการไปแล้ว ไม่น่าเลยที่บัญชีความดีเพียงอย่างเดียว จะมีน้ำหนักมากกว่าบัญชีความชั่ว ที่กองอยู่เต็มห้ากองนี้ พยายมจึงพูดว่า การที่ท่านมีเมตตาจิตต่อราษฏรเกรงจะได้รับความลำบากกันมากมาย กุศลจิตนี้ใหญ่หลวงนัก ถ้าหากท่านยับยั้งได้สำเร็จก็จะยิ่งเพิ่มความหนักขึ้นอีก พลังแห่งกุศลกรรมนี้จะยิ่งใหญ่อีกหลายเท่านัก แม้จะเป็นเรื่องเล็ก แต่ถ้ากระทำเพื่อชนหมู่ใหญ่แล้วไซร์ ความดีนั้นก็ใหญ่หลวงยิ่งนัก หากทำดีเพื่อตนเองแล้วไซร์ แม้จะทำดีขนาดไหนก็ได้ผลน้อยมาก ลูกจงจำไว้ว่าการทำความดีไม่ว่าจะเป็นการทำความดีมากหรือน้อยเพียงใดก็ขึ้นอยู่กับความเมตตาในการทำความดีนั้น เพื่อผู้อื่นหรือเพื่อตนเอง

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม

        ความดีข้อที่แปด คือความยากง่ายในการทำความดี สมัยก่อนท่านผู้คงแก่เรียนมักจะพูดว่า ถ้าจะเอาชนะใจตนเองให้ได้ ต้องเริ่มจากจุดที่ข่มใจได้ยากที่สุดเสียก่อน ถ้าเอาชนะได้ จุดอื่น ๆ ก็ไม่สำคัญเสียแล้ว ย่อมจักเอาชนะได้โดยง่าย ลูกศิษย์ของท่านขงจื่อชื่อฝานฉือ ได้ถามท่านอาจารย์ว่าเมตตาธรรมนั้นเป็นอย่างไร ท่านขงจื่อตอบว่าการทำสิ่งที่ยากที่สุดได้เสียก่อนจึงจะชนะใจตนเองได้ เมื่อชนะใจตนเองได้แล้ว ความเห็นแก่ตัวก็หมดไป จึงบังเกิดเมตตาธรรม พ่อจะนำตัวอย่างให้ฟังลูกจะได้เข้าใจง่ายเข้า ที่มณฑลเจียงซีมีท่านผู้เฒ่าแซ่ซุท่านยังชีพด้วยการสอนหนังสือตามบ้าน อยู่มาวันหนึ่ง มีชายคนหนึ่งเป็นหนี้เพราะความยากจน เมื่อไม่สามารถชำระหนี้ได้ เจ้าหนี้ก็จะยึดภรรยาของชายผู้นี้ไปเป็นคนรับใช้ ท่านผู้เฒ่าซูเกิดความสงสารสามีภรรยาคู่นี้ยิ่งนัก จึงยอมเสียสละเงินที่เก็บออมไว้ได้จากการสอนหนังสือเป็นเวลาสองปี นำมาใช้หนี้แทนชายผู้นั้น ทำให้สามีภรรยาคู่นี้ไม่แยกจากกัน
       อีกตัวอย่างหนึ่ง มีชายคนหนึ่งด้วยความยากจนยิ่งนักจึงนำภรรยาและบุตรชายไปจำนำไว้ ได้เงินมาพอประทังชีวิต เมื่อถึงกำหนดไม่มีเงินจะไปไถ่คืน ภรรยาก็เดือดร้อนคิดจะฆ่าตัวตาย บังเอิญท่านผู้เฒ่าจางรู้เรื่องเข้า มีความสงสารเป็นยิ่งนักจึงนำเงินที่เก็บสะสมมาแล้วถึงสิบปี มาใช้หนี้แทนให้พ่อแม่ลูกจึงได้มีโอกาสกลับมาอยู่ร่วมกันอีกครั้ง
      ทั้งท่านผู้เฒ่าซู และ ท่านผู้เฒ่าจาง ล้วนแต่ได้กระทำในสิ่งที่ทำได้ยากยิ่ง เงินที่ท่านสะสมไว้คนละสองปีและสิบปีนั้น ท่านก็หวังเมื่อทำมาหากินไม่ได้แล้ว ก็จะได้ใช้เงินจำนวนนี้ประทังชีวิตต่อไปเป็นเงินที่ใช้เวลาอันยาวนานสะสมไว้วันละเล็กวันละน้อย แต่ท่านทั้งสองก็สามารถตัดใจช่วยเหลือคนที่ไม่รู้จักกันเลยแม้แต่นิดได้ในพริบตาเดียว นี่คือการทำความดีที่ยากยิ่งจริง ๆ  อีกตัวอย่างหนึ่งของผู้ที่ชนะใจตนเองได้ คือ ท่านผู้เฒ่าจินท่านอายุมากแล้ว ยังไม่มีบุตรไว้สืบสกุล ด้วยความหวังดีของเพื่อนบ้านคนหนึ่ง ได้ยกบุตรสาวของตนให้เป็นอนุภรรยาของท่านผู้เฒ่า แต่ท่านกลับไม่ยอมรับความหวังดีนั้น ท่านให้เหตุผลว่า ท่านนั้นชราภาพแล้ว ส่วนเด็กสาวนั้นอายุยังไม่ถึงยี่สิบ ควรจะได้สามีที่มีอายุไล่เลี่ยกัน ท่านจึงไม่ควรที่จะไปทำลายความสุขและอนาคตของเด็กสาวนี้เสียด้วยความเห็นแก่ตัว เพียงเพื่อจะมีบุตรไว้สืบสกุล เป็นการไม่สมควรอย่างยิ่ง  ท่านผู้เฒ่าทั้งสามนี้ ล้วนแต่ทำในสิ่งที่ยากยิ่งจริง ๆ  ฟ้าดินจึงประทานความสุขความเจริญให้กับท่านทั้งสาม ทั้งในโลกนี้ และโลกหน้าเป็นแน่แท้ ส่วนคนที่มีเงินมีอำนาจนั้น ถ้าจะกระทำความดีก็ย่อมง่ายกว่าผู้ที่ไม่มีเงินและอำนาจ แต่พวกนี้ก็ไม่ค่อยชอบทำความดี เพราะฉะนั้น ผู้ที่มีโอกาสทำความดีได้ง่ายเพราะมีทั้งเงินและอำนาจ กลับไม่ยอมทำความดี ส่วนผู้ที่ไม่มีเงินมีอำนาจ กว่าจะทำความดีได้ก็ด้วยความยากลำบากยิ่ง นี่คือความแตกต่างกันในคุณค่าของความดี

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม

       การทำความดีต่อผู้อื่นนั้นก็จะต้องแล้วแต่โอกาสจังหวะเวลา ก็มีความสำคัญเช่นกัน การช่วยเหลือผู้อื่นนั้นมีวิธีการมากมาย ประมวลแล้วก็สามารถแยกออกได้ 10 วิธีด้วยกันคือ
1.ช่วยเหลือผู้อื่นทำความดี
2.รักและเคารพทุกคนอย่างเสมอหน้า
3.สนับสนุนผู้อื่นให้เป็นผู้มีความดีพร้อม
4.ชี้ทางให้ผู้อื่นทำความดี
5.ช่วยเหลือผู้ที่อยู่ในความคับขัน
6.กระทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ
7.ไม่ทำตนเป็นปู่โสมเฝ้าทรัพย์หมั่นบริจาค
8.ธำรงไว้ซึ่งความเป็นธรรมะ
9.เคารพผู้มีอาวุโสกว่า
10.รักชีวิตผู้อื่นดุจรักชีวิตตนเอง
       ข้อ 1. การช่วยเหลือผู้อื่นทำความดีนั้นเป็นอย่างไร  เมื่อครั้งท่านตี้ซุ้นยังมิได้เป็นพระเจ้าแผ่นดินจีนสมัยโบราณ (ก่อน พ.ศ.1712 - 1665) ท่านไปยังหนองน้ำแห่งหนึ่ง เห็นชาวบ้านกำลังจับปลากันอยู่ คนที่แข็งแรงก็พากันไปยังที่ ๆ มีน้ำลึก ปลาชุม ส่วนพวกที่ไม่แข็งแรงและผู้ชราถูกกันให้ไปจับปลายังที่ ๆ มีกระแสน้ำไหลเชี่ยว และที่มีน้ำตื้น ซึ่งปลาจะไม่ชอบมาในบริเวณนั้น ทำให้จับปลาไม่ได้ ท่านตี้ซุ่นเห็นดังนั้นก็บังเกิดความสงสารจับใจ ท่านจึงเข้าไปช่วยคนที่ไม่แข็งแรงและผู้ชราหาปลา ใครที่เห็นแก่ตัว ชอบแย่งที่น้ำลึก ท่านก็นิ่งเสียไม่ไปว่าเขา ใครที่ไม่เห็นแก่ตัว ท่านก็จะนำพฤติกรรมของเขาไปสรรเสริญจนทั่ว ท่านเองก็ทำตัวอย่างอันดีให้เป็นที่ปรากฏอยู่ทุก ๆ วัน จนกาลเวลาได่ผ่านไปหนึ่งปี ชาวบ้านพากันสำนึกในความเห็นแก่ตัวของตน ต่างก็ทำดีต่อกันและกัน ในที่นี้ พ่อจะต้องบอกให้ลูกรู้ว่า พ่อไม่สนับสนุนในเรื่องจับปลามาเป็นอาหาร เพราะการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตนั้นเป็นบาปอย่างยิ่ง แต่ที่พ่อยกเรื่องนี้มาเป็นอุทาหรณ์ ก็เพื่อให้ลูกเข้าในว่าการช่วยให้ผู้อื่นทำความดีนั้น ต้องใช้ความอดทนพยายามเพียงไร ท่านตี้ซุ่นนั้นเป็นผู้ฉลาดหลักแหลมยิ่งนัก เพียงแต่ท่านใช้คำพูดกล่อมเกลาจิตใจ ผู้คนก็จะเชื่อท่าน เพราะต่างก็มีความเคารพท่านอยู่แล้ว แต่ท่านอตสาห์ใช้เวลาถึงหนึ่งปีเต็ม ก็เพื่อจะให้ทุกคนกลับตัวกลับใจได้หมด และจะไม่ยอมกลับไปเป็นคนเห็นแก่ตัวอีกไม่ว่าในกรร๊ใดและเป็นไปด้วยความสมัครใจ ไม่ใช่ด้วยบังคับหรือขอร้อง ให้ทุกคนตระหนักถึงความดีที่ต้องกระทำร่วมกัน เพื่อความผาสุกของพวกเขาเอง พ่อจึงสรรเสริญในความอุตสาหะของท่านยิ่งนัก พ่อและลูก ต่างก็มีชีวิตอยู่ในความมืดมน ผู้คนไม่ค่อยมีศีลธรรมเหมือนดังยุคก่อน เพราะฉะนั้นลูกจะต้องเตรียมเนื้อเตรียมตัว อย่าได้อวดดีว่าวิเศษกว่าผู้อื่น อย่านำความสามารถของลูกไปข่มผู้อื่นที่ด้อยกว่าให้เขาได้อาย จงเก็บความรู้ความสามารถของเจ้าไว้ในใจ อย่าได้แสดงออกให้ปรากฏแก่่สายตาผู้อื่น ใครพลาดพลั้งล่วงเกินลูกก็จงรู้จักให้อภัย อย่าได้แพร่งพรายความไม่ดีออกไป เพื่อให้โอกาสเขากลับตัวกลับใจและเมื่อไม่มีใครรู้ และก็ทำให้เขาไม่กล้ากำเริบสืบสานเพราะทุกคนย่อมรักหน้ารักตาไม่อยากเป็นคนเสียชื่อเสียง จึงไม่วิจารณ์ให้ความลับของเขาเป็นที่เปิดเผยออกไป เขาจึงไม่กล้าที่จะทำผิดอีก บางคนนั้น เมื่อมีคนรู้ว่าเขาเ้ป็นคนไม่ดีเสียแล้ว เขาก็ทำตัวแหลวแหลกยิ่งขึ้น เมื่อเป็นคนดีไม่ได้ก็ย่อมเป็นคนชั่วเสียเลย คนเช่นนี้ก็มีให้เห็น ๆ อยู่ ลูกจะต้องคอยสังเกตุว่าผู้อื่นนั้น เขามีความสามารถอะไรบ้าง ถ้าเป็นสิ่งที่ลูกยังไม่มี ก็จงรีบเอาความดีนั้นมาใส่ตนเถิด อย่าได้รีรอเลย ลูกจะต้องรู้จักชมเชยสรรเสริญความดีงามความสามารถของผู้อื่นให้แผ่ไพศาลไป อย่าได้มีจิตริษยา ในชีวิตประจำวันของลูก ไม่วา่จะพูดสักคำจะทำอะไรสักอย่าง จงอย่าทำเพื่อประโยชน์ตนเอง ต้องถูกประโยชน์ส่วนรวมเป็นสำคัญ ลูกจงจำไว้ให้ดี 

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม

        ข้อ 2.รักและเคารพทุกคนอย่างเสมอหน้านั้นเป็นอย่างไร ผู้ดีนั้น คนที่มีคุณงามความดีและกระทำแต่คุณงามความดีอย่างสม่ำเสมอ ส่วนคนเลวนั้นบางทีก็ซ่อนอยู่ในคราบของผู้ดี ปะปนกันจนบางทีก็ดูไม่ออก แต่ถ้าลูกสังเกตุดีแล้วก็จะเห็นความแตกต่างราวกับขาวและดำทีเดียว ผู้ดีที่มีข้อแตกต่างจากคนทั่วไปนั้น คือมีน้ำใจรักและเคารพทุกคนอย่างเสมอหน้ากัน ธรรมดาคนที่เราได้พบเห็นในชีวิตประจำวันนั้น บางคนเราก็เคยใกล้ชิดด้วย บางคนก็ห่างเหินกันไป บางคนสูงศักดิ์ บางคนต่ำต้อย บางคนฉลาดหลักแหลม บางคนโง่เขลาเบาปัญญา บางคนมีคุณธรรมประจำใจ บางคนก็ร้ายจนได้ชื่อว่าเป็นคนพาล แม้ทุกคนจะมีสถานภาพและจิตใตไม่เหมือนกัน แต่ทุกคนก็เป็นเพื่อนมนุษย์ที่ต้องเกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน นักปราชญ์ทั้งปวงจึงไม่ชอบให้ใครเกลียดกันดูถูกกัน ต้องรักกัน เคารพอย่างเสมอหน้าจึงจะมีสันติสุขเกิดขึ้นได้

         ข้อ 3. สนับสนุนผู้อื่นให้เป็นผู้ที่มีความดีพร้อมนั้นอย่างไร หยกนั้นย่อมมาจากหินชนิดหนึ่ง ถ้าเราทิ้งขว้างไม่สนใจก็เป็นเพียงหินธรรมดาก้อนหนึ่ง แม้ภายในจะมีหยกเร้นอยู่ ก็ไม่สามารถปรากฏความมีค่าของมันออกมาได้ แต่ถ้ามนุษย์นำมาเจียระไนเอาความเป็นหยกออกมาจากหินและสลักให้สวยงาม ก็จะเป็นของมีค่าสำหรับฮ่องเต้ และขุนนางกลายเป็นสัญลักษณ์ที่จะต้องติดตัวไว้แสดงถึงความบุญหนักศักดิ์ใหญ่ ยามที่ฮ่องเต้ออกขุนนางก็ต้องมีหยกแสดงความเป็นใหญ่ไว้ในแผ่นดิน ขุนนางเข้าเฝ้าฮ่องเต้ก็ต้องถือหยกพระราชทานไว้ในมือ เพื่อแสดงความเคารพและจงรักภัคดีต่อฮ่องเต้ หยกยังนำมาใช้ในพิธีกรรมอื่น ๆ อีกมากมาย ลูกต้องอย่าลืมว่าหยกมีความงาม และความสำคัญขึ้นมาได้เพราะฝีมือของมนุษย์เอง คนก็เช่นกันถ้ามีคนคอยช่วยเหลือให้คำแนะนำที่ดี คนธรรมดา ๆ ก็จะกลายเป็นคนดีพร้อมไปได้ เพราะฉะนั้น ลูกจงใส่ใจในคนที่รักดี มุ่งมั่นจะเป็นคนดี ลูกจงให้ความช่วยเหลือสนับสนุนให้กำลังใจประคับประคองเพื่อให้เขาเป็นคนดีพร้อมให้ได้ แม้เขาจะถูกผู้คนปรักปรำ ก็จงช่วยชี้แจงปกป้อง และยอมรับข้อปรักปรำนั้นว่าลูกก็มีส่วนผิดอยู่ด้วย เพื่อผ่อนคลายความรุนแรงที่จะเกิดขึ้นกับตัวเรา จนกว่าเขาจะยืนอยู่บนขาของเขาเองได้แล้ว ก็นับว่าลูกได้พยายามจนถึงที่สุดแล้ว คนดีคนเลวนั้น มักจะคบหากันไม่ได้ คนดีย่อมคบกับคนดี คนชั่วก็ชอบมั่วสุมกับคนชั่ว คนชั่วมักเกลียดชังคนดี ยิ่งอยู่ในชนบทที่ห่างไกลความเจริญด้วยแล้ว คนชั่วมีมากกว่าคนดี ชอบข่มเหงคนดีอยู่เสมอจนตั้งตัวไม่ติด คนดีมักจะเป็นคนตรงและไม่กลัวตาย ไม่ชอบการแต่งตัวที่หรูหรา ไม่ชอบความเป็นอยู่ที่ฟุ่มเฟือย จึงมักตกเป็นขี้ปากของคนชั่วที่ชอบวิพากษ์วิจารณ์คนผิด ๆ เพราะฉะนั้นเมื่อลูกพบเห็นเหตุการณ์เช่นนี้ก็จงช่วยปกป้องคนดีและช่วยชี้ทางให้คนชั่วกลับใจเป็นคนดีเสีย นี่เป็นมหากุศลที่ลูกจะต้องทำให้ได้

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม

      ข้อ 4.ชี้ทางให้ผู้อื่นทำความดีนั้นอย่างไร เกิดมาเป็นมนุษย์ทุกคนย่อมมีศีลธรรมประจำใจอยู่บ้าง มากบ้างน้อยบ้าง ที่จะไม่มีเลยคงหายาก นอกจากมนุษย์จะมัวสาละวนอยู่กับการแสวงหาลาภยศเงินทอง ชื่อเสียง โดยไม่คำนึงถึงศีลธรรม ทำให้ต้องตกอยู่ในความหายนะ ถ้าลูกพบคนเช่นนี้ ลูกจงพยายามช่วยเขา ฉุดเขาให้พ้นจากความหายนะให้ได้ ดุจคนฝันร้าย ลูกปลุกเขาให้ตื่นจากความฝัน ให้ความรู้ความคิดที่ดีงามแก่เขา เขาก็จะตื่นจากความฝัน ให้ความรู้ความคิดที่ดีงามแก่เขา เขาก็จะตื่นจากฝันร้ายกลายเป็นคนดีได้ เมื่อครั้งราชวงศ์ถัง (พ.ศ.1161 - 1450) มีขุนนางท่านหนึ่ง ท่านเขียนหนังสือสอนใจคนได้ดีมากเป็นที่แพร่หลายทั่วไปในประเทศจีน ชาวจีนมีความเคารพนับถือท่านมาก เมื่อท่านถึงแก่อนิจกรรมยังได้รับเกียรติยศอันสูงส่ง ได้รับการสถาปนาจากฮ่องเต้ให้เป็นที่ "เอวิ๋น" เป็นการเชิดชูผลงานอันมีทั้งร้อยแก้วร้อยกรองเป็นเยี่ยมยอดนั่นเอง ชาวบ้านพากันเรียกท่านว่า "หานเอวิ๋นกง" ท่านเคยกล่าวไว้ว่า การตักเตือนผู้อื่นด้วยคำพูดนั้น ไม่ช้าก็จะถูกลืมเลือนไป ผู้อยู่ไกลก็ไม่สามารถได้ยินคำเตือนนั้นได้ หากบันทึกไว้เป็นหนังสือแม้สักร้อยชั่วคนคำสอนนั้นก็ยังคงอยู่ สามารถแพร่ไปไกลกว่าพันหมื่นลี้อีก ข้อที่หนึ่งพ่อได้ยกตัวอย่างให้ช่วยเหลือผู้อื่นด้วยการกระทำตนเป็นเยี่ยงอย่างแก่ผู้อื่นนานวันเข้าก็จะเป็นคนตามอย่างไม่รู้ตัว ส่วนข้อนี้พ่อยกตัวอย่างให้ใช้คำพูดใช้หนังสือเป็นตัวอย่างลูกก็จะต้องใช้ให้เหมาะสมมิฉะนั้นก็จะไม่ได้ผลเลยดุจดั่งคนป่วย ถ้าได้ยาตรงกับโรคก็จะหายวันหายคืน เหมือนคนที่มีนิสัยแข็งกระด้าง ถ้าเราใช้คำพูดตักเตือนเขาจะไม่เชื่อโดยง่าย พูดไปก็เสียเวลาเปล่า ถ้าเป็นคนที่มีนิสัยอ่อนโยนการตักเตือนด้วยคำพูดมักจะได้ผล ลูกไม่ควรพลาดโอกาสอันนี้เสีย ทั้งนี้ขึ้นอยูกับลูกต้องดูคนเป็น ต้องอ่านนิสัยได้ถูกต้องแล้ว จึงจะวินิจฉัยได้ว่าเป็นคนเช่นไรสมควรตักเตือนด้วยคำพูด คนเช่นไรสมควรให้เขาอ่านหนังสือเพื่อแก้ไขตัวเขาเอง

        ข้อ 5.จะช่วยเหลือผู้ที่อยู่ในความคับขันได้อย่างไร เคราะห์กรรมย่อมเกิดขึ้นได้เสมอไม่ว่ากับใคร ๆ หากลูกพบเห็นคนที่กำลังตกทุกข์ได้ยากลูกจะต้องเข้าช่วยเหลือให้ทันท่วงทีและจะต้องช่วยแก้ไขสถานการณ์ด้วยสติปัญญาของลูกอย่างรอบคอบ เพื่อให้การช่วยเหลือนั้นประสบความสำเร็จ ท่านซุยจื่อ ซึ่งเป็นขุนนางในราชวงศ์หมิง ในปลายสมัยพระเจ้าเซี่ยวจงฮ่องเต้ (พ.ศ.2031 -2048) ท่านกล่าวไว้ว่า การช่วยเหลือนั้นไม่ควรคำนึงว่าจะได้บุญได้คุณสักเพียงใดขอให้ช่วยให้ได้ทันท่วงทีจึงจะควรช่างเป็นคำพูดที่เปี่ยมไปด้วยเมตตากรุณาเสีนนี่กระไร

       ข้อ 6.กระทำที่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะอย่างไร  ไม่ว่าลูกจะอยู่ในชนบทเล็ก ๆ  หรือในเมืองใหญ่ ๆ หากเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับประโยชน์สุขของส่วนรวมแล้ว ลูกจะต้องไม่ท้อถอยในการเป็นอาสาสมัครเช่น ขุดคูส่งน้ำ เพื่อไว้ใช้ในนายามหน้าแล้ง หรือสร้างทำนบเพื่อป้องกันน้ำท่วม หรือซ่อมสะพานที่ชำรุดเพื่อให้การสัญจรไปมาสะดวกและปลอดภัยยิ่งขึ้น และให้ทานอาหารแก่คนอดอยาก หรือให้น้ำแก่คนกระหาย แล้วลูกก็ควรชักชวนชาวบ้านให้ร่วมแรงร่วมใจกันกระทำความดีร่วมกัน ใครมีเงินก็ออกเงิน ใครมีแรงก็ออกแรงผนึกกำลังให้เข้มแข็งจะได้ช่วยเหลือคนได้มากขึ้น หากใครมาว่าร้ายลูกก็จงอย่าใส่ใจถ้าเราทำดีโดยสุจริตแล้วใคร ๆ ก็ย่อมเข้าใจ และช่วยป้องกันลูกเสียอีกลูกจงอย่าท้อถอย ไม่ว่าจะประสบอุปสรรคใด ๆ ก็อย่าได้วางมือเป็นอันขาด

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม

      ข้อ 7. ไม่ทำตนเป็นปู่โสมเฝ้าทรัพย์หมั่นบริจาคอย่างไร คำสอนในพระพุทธศาสนานั้นมากมาย พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแนะนำให้รู้จักให้ทานเสียก่อน การให้คือการเสียสละ ท่านที่บรรลุธรรมแล้ว ท่านเสียสละได้หมด ทั้งอายตนะภายใน (ตา หู จมูก ลื้น กาย ใจ) และ อายตนะภายนอก (รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ และ ธัมมารมณ์) ก็สิ่งที่ประกอบกันขึ้นมาเป็นชีวิต ท่านยังเสียสละได้เรื่องทรัพย์สินเงินทองของนอกกาย ไฉนจักเสียสละไม่ได้ ถ้าหากเราสามารถเสียสละได้ทุกอย่างเช่นนี้แล้วเราก็จะรู้สึกว่าเรามิได้แบกภาระอันใดไว้ทำให้จิตใจปลอดโปร่งไม่ห่วงหน้ากังวลหลัง ใครทำของเราเสีย ใครขโมยของเราไปก้ไม่เดือดร้อนเลยแม้แต่นิด เพราะเราเสียสละได้หมดจริง ๆ ผู้ที่ไม่สามารถเสียสละได้ทั้งหมด ก็ต้องเริ่มต้นให้ทานด้วยการบริจาคทรัพย์เสียก่อน คนในโลกนี้เห็นว่าปัจจัยสี่นั้นเป็นสิ่งสำคัญของชีวิต และเงินเท่านั้นที่จะบันดาลให้ได้มาซึ่งปัจจัยสี่ เพราะฉะนั้นคนส่วนมากจึงให้ความสำคัญเงินเท่าชีวิต หาได้คิดสักนิดไม่ว่าหากยังมีลมหายใจก็ดีอยู่หรอก ถ้าหมดลมเมื่อใดมีใครเคยเอาอะไรติดตัวไปได้บ้าง ผู้ที่รักเงินยิ่งกว่าชีวิตจึงควรฝึกตนให้บริจาคทรัพย์ให้ทานเสียบ้าง ใหม่ ๆ ก็จะเกิดความเสียดาย เพราะคนรักเงินยิ่งชีวิตมักจะเป็นคนตระหนี่ ใจคอคับแคบ แต่ถ้าหมั่นบริจาคก็จะเกิดเป็นนิสัยอันดีงามขึ้น สามารถบริจาคได้มากขึ้น และไม่นึกเสียดายดั่งแต่แรก

        ข้อ 8. ธำรงไว้ซึ่งความเป็นธรรมได้อย่างไร ธรรมะ คือ ประทีปที่ส่องวิถีทางแห่งชีวิตเมื่อหนทางข้างหน้าสว่างใสชีวิตย่อมดำเนินไปตามทิศทางที่ถูกต้องดุจดั่งคนที่มีนัยน์ตาดีย่อมสามารถเลือกทางเดินที่สะดวกที่สุด และดีที่สุดได้ โบราณท่านจึงว่า ธรรมะ คือการธำรงไว้ซึ่งฟ้า ดิน และมนุษย์ ให้เกิดความสมดุลย์ผสมผสานกลมกลืนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน จะขาดไปแม้แต่สิ่งหนึ่งสิ่งใดก็หาไม่ ต้องเป็นปัจจัยอิงอาศัยซึ่งกันและกันทำให้เกิดสรรพสิ่งด้วยธรรมะ ธรรมะทำให้ชีวิตหลุดพ้นจากห้วงแห่งควาทุกข์ มีอิสรเสรีที่จะอยู่ในโลกนี้ได้ จะไปให้พ้นโลกเสียก็ได้ฉะนั้นเมื่อลูกเห็นศาลที่บูชานักปราชญ์ราชบัณฑิต หรือเห็นคัมภีร์โบราณที่เป็นธรรมะอันสูงส่ง ลูกจะต้องถนอมด้วยความเคารพ หากมีสิ่งขาดตกบกพร่องลูกจะต้องซ่อมแซมให้สภาพดีดังเดิมเพื่อเป็นประโยชน์แก่อนุชนรุ่นหลังต่อไป ลูกจะต้องเผยแผ่ธรรมะธำรงไว้ซึ่งธรรมะ สอนให้ผู้อื่นรู้จักธรรมะจึงจะเรียกว่าเป็นพุทธศาสนิกที่รู้ซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณ พระปัญญาคุณ และพระบริสุทธิคุณของพระผู้มีพระภาคเจ้าถ้าลูกทำได้เช่นนี้ จึงจะได้ชื่อว่าเป็นผู้รู้พระคุณของพระผู้มีพระภาคอย่างแท้จริงและได้ถวายความกตัญญูกตเวทีแด่พระองค์อย่างถูกต้องแล้ว

        ข้อ 9.เคารพผู้มีอาวุโสกว่าอย่างไร ในครอบครัวย่อมมีบิดามารดา พี่ชายพี่สาว ที่มีอาวุโสกว่าเรา เราต้องเคารพรักรู้จักปรนนิบัติเอาใจใส่ดูแลทุกข์สุข ให้ความสุขความสำราญแก่ท่าน ให้ความสนิทสนมกลมเกลียว ยิ้มแย้มแจ่มใสเข้าหากัน พูดจาด้วยวาจาอันไพเราะนานไปก็จะเป็นผู้มีนิสัยอันดีงาม ในประเทศย่อมมีฮ่องเต้เป็นประมุขที่เราจะต้องแสดงความจงรักภัคดีรับราชการด้วยความซื่อสัตย์สุจริต รักษากฏหมายยิ่งกว่าชีวิตของลูกตนเอง อย่าอวดดีทำผิดโดยคิดว่าพระองค์จะไม่ทรงทราบการลงโทษคนโดยอาศัยอำนาจของกฏหมาย ก็อย่าเมาอำนาจจนตัดสินโทษด้วยอารมณ์อย่านึกว่าพระองค์ไม่ทรงทราบแล้วทำไปด้วยความลำพองใจ โบราณท่านว่าการรับใช้ฮ่องเต้ก็คือการรับใช้สวรรค์ สวรรค์ย่อมประทานความเจริญความสุขสมบูรณ์ให้ถ้าลูกทำดีพอ

      ข้อ 10.รักชีวิตผู้อื่นดุจรักชีวิตตนเองอย่างไร  มนุษย์จักทรงความเป็นมนุษย์อยู่ได้ก้ด้วยจิตที่มีเมตตากรุณา การเอาชนะสิ่งที่ยากที่สุดคือ ใจของตนเอง ต้องเริ่มปลูกฝังจิตให้มีเมตตากรุณาก่อน การสั่งสมคุณธรรมใด ๆ  ก็ต้องเริ่มที่จิตกอปรด้วยเมตตากรุณาเช่นกัน ในสมัยราชวงศ์โจวนั้น (ก่อนค.ศ.1100 - ก่อนค.ศ.771) ท่านโจวกงซึ่งเป็นไจเสียงของพระเจ้าเฉิงอ๋องได้แต่งหนังสือขึ้นเล่มหนึ่งให้ชื่อว่าโจวหลี่ อันเป็นต้นตำรับที่ราชวงศ์ต่อ ๆ มา ถือเป็นแบบฉบับว่าด้วยการบริหารประเทศหน้าที่ความรับผิดชอบของข้าราชการกฏหมายและจารีตประเพณี รวมทั้งพิธีกรรมต่าง ๆ มีข้อหนึ่งที่ท่านกำหนดไว้ว่าเดือนแรกของปีเป็นเวลาที่พืชพันธุ์ธัญญาหารมีโอกาสเจริญเติบโต ง่ายแก่การตั้งครรภ์ของสรรพสัตว์ฉะนั้นการเซ่นสสรวงบูชาในเดือนนี้จึงห้ามฆ่าสัตว์ตัวเมียเพราะเกรงว่าอาจจะกำลังตั้งครรภ์อยู่นี่ก็เป็นความเมตตากรุณาของท่านโจวกงท่านนักปราชญืเมิ่งจื่อได้กล่าวไว้ว่า ผู้ดีย่อมอยู่ห่างไกลจากโรงครัวที่มีการฆ่าสัตว์เพราะเพียงได้ยินเสียงผู้อื่นฆ่าสัตว์ ก็จะทำให้จิตใจหดหู่เศร้าหมอง ท่านผู้ใหญ่แต่กาลก่อนจึงไม่ยอมบริโภคเนื้อสัตว์สี่ประเภท คือ 1.สัตว์ที่ได้ยินเสียงเขาฆ่า   2.สัตว์ที่เห็นเขากำลังฆ่า   3.สัตว์ที่เลี้ยงอยู่เอง   4.สัตว์ที่เขาจงใจฆ่าเพื่อให้เราบริโภค  ลูกเห็นใครที่ไม่อยากบริโภคเนื้อสัตว์แต่ยังทำไม่ได้ทันที ก็จงแนะนำเขาให้เริ่มไม่แตะต้องเนื้อสัตว์สี่ประเภทนี้ให้ได้เสียก่อน เริ่มฝึกเสียแต่เดี๋ยวนี้ความก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรมย่อมตามมา เมื่อกระแสจิตได้ถูกฝึกฝนให้เจริญด้วยเมตตาธรรมและกรุณาธรรม แล้วไซร์ ก็จะไม่นึกอยากฆ่าสัตว์สัตว์ทั้งมวลย่อมมีชีวิตจิตใจเช่นเราเหมือนกัน การนำตัวไหมลงไปต้มในน้ำร้อน ๆ  เพื่อทำเป็นเครื่องนุ่งห่ม ที่นิยมกันว่าสวยงามมีค่ามากที่แท้เป็นบาปกรรมโดยไม่รู้ตัว ความจริงผ้าไหมมิใช่เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับชีวิตมนุษย์ เราน่าจะใช้ผ้าฝ้ายที่ไม่ต้องเบีบยดเบียนสัตว์จะมิดีกว่าหรือ แม้กระทั่งการถางดินฆ่าหนอนก็ล้วนแต่เป็นบาปกรรมทั้งสิ้น ดูมนุษย์เกือบทั้งหมดล้วนแต่เบียดเบียนชีวิตผู้อื่น เพื่อความมีชีวิตของตนเอง ต้องทำปาณาติบาตอยู่ตลอดเวลาที่มีชีวิตอยู่แม้กระทั่งมือที่ตบยุงบี้มด เท้าที่เหยียบลงไปบนตัวสัตว์โดยไม่เจตนา ก็ไม่รู้ว่าวันหนึ่ง ๆ ได้ทำไปกี่ครั้ง ลูกจงระวังให้ดีป้องกันให้ได้นอกจากจะสุดวิสัยจริง ๆ มีโคลงโบราณอยู่บทหนึ่ง ซึ่งเป็นที่ประทับใจพ่อจนบัดนี้ ท่านว่าไว้ว่า เพราะรักหนูจึงเก็บข้าวไว้ให้กิน เพราะสงสารแมลงจึงไม่จุดตะเกียงในยามค่ำคืน ดูเถิดว่าคนโบราณนั้นท่านมีเมตตากรุณาเพียงไร การทำความดีนั้นไม่มีที่สิ้นสุด อธิบายเท่าไรก็คงไม่หมด จงถือหลักสิบประการนี้แล้วลูกก็จะแผ่ขยายการทำด้ให้กว้างขวางออกไปเอง การสั่งสมคุณธรรมให้ครบหนึ่งหมื่นครั้ง ก็จะอยู่เพียงแค่เอื้อม

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม

        โอวาททั้งสามข้อที่กล่าวจบไปแล้วนั้น ล้วนแต่สอนให้ทำความดี ส่วนโอวาทข้อสุดท้ายนี้ ท่านสอนให้รู้จักวางตนในการคบหาสมาคมกับบุคคนทั่วไป โดยให้ยึดคุณธรรมข้อนี้ไว้คือ การถ่อมตน ไม่อวดดีว่าตนเองวิเศษกว่าผู้อื่นจะได้ไม่มีเรื่องกับใคร ไม่กล้าทำความชั่วสำนึกอยู่เสมอว่าตนเองยังทำความดีไม่เพียงพอ แล้วจะมีความกล้าหน้าในการฝึกฝน และไม่เพียงแต่จะหาความรู้เพิ่มเติมอยู่ตลอดเวลา แต่ยังต้องรู้จักฝึกตนให้เข้ากับคนในสังคมได้จะได้ไม่มีศรัตรูทั้งต่อหน้าและลับหลัง ไม่มีอุปสรรคในการสั่งสมคุณธรรมความดีงาม
        คัมภีร์เอ้กเก็งได้กล่าวไว้ว่า ผู้ใดยกตนข่มท่านอวดวิเศษกว่าผู้อื่น ย่อมต้องประสบความเสียหาย ผู้ใดอ่อนน้อมถ่อมตน ไม่จองหองลำพองตน ย่อมต้องประสบความสุขความเจริญ แม้แต่แผ่นดินก็หนีกฏนี้ไม่พ้น ดูแต่ขุนเขาที่สูงตระหง่านยืนทะมื่นเย้ยฟ้าท้าดินก็ยังต้องพังทลายอยู่เนือง ๆ ส่วนแอ่งน้ำที่ต่ำต้อยนั้น กลับมีน้ำขังอยู่ตลอดเวลา แม้แต่ปีศาจก็ชอบให้ร้ายคนทรนงและอภิบาลคนที่อ่อนน้อมถ่อมตน วิชาโป๊ยก่วยนั้นได้แบ่งออกเป็น 64 หน่วย หน่วยอื่น ๆ ล้วนสอนให้เห็นผลดี และ ผลชั่วในพฤติกรรมของมนุษย์ แต่หน่วยแห่งความอ่อนน้อมถ่อมตนนี้ ไม่มีผลชั่วเลยมีแต่ผลดีทั้งสิ้น จึงเห็นได้ว่า ฟ้าดินเทพยดาผีปีศาจและมนุษย์ ล้วนนิยมชมชอบความอ่อนน้อมถ่อมตนกันทั้งสิ้น
      ในคัมภีร์อื่น ๆ ก็กล่าวเหมือนกันว่าทระนงตนอยู่นำมาซึ่งความวิบัติ ถ่อมตนนำมาซึ่งความเจริญ พ่อได้ไปร่วมสอบไล่กับนักศึกษาอื่น ๆ ตั้งหลายครั้ง ทุกครั้งพ่อสังเกตุเห็นนักศึกษาที่ยากจนบางคน บนใบหน้ามักทอประกายถ่อมตน จนบางครั้ง พ่อคิดอยากจะเอามือทั้งสองข้างของพ่อไปประคองประกายแห่งความถ่อมตนนั้นมาประดับบนใบหน้าของพ่อเสียบ้าง และไม่ต้องสงสัยเลยพวกเขาเหล่านี้สอบไล่ได้ทุกปีไป
        เมื่อตอนที่พ่อเข้ามาสอบในเมืองหลวง มีเพื่อนนักศึกษาร่วมเดินทางมาด้วย รวมทั้งหมดสิบคนด้วยกัน พ่อสังเกตุดูเห็นมีคนอายุน้อยที่สุดมีชื่อว่า ปิง เป็นคนเดียวที่มีความสงบเสงี่ยมเจียมตนมีความถ่อมตนอยู่เป็นนิจ พ่อจึงบอกกับเพื่อนพ่อว่า คน ๆ นี้ต้องสอบไล่ได้แน่นอน เพื่อนถามว่าทำไมพ่อจึงรู้ล่วงหน้าได้เล่า พ่อบอกเขาว่า ความถ่อมตนนำมาซึ่งความเจริญ ในหมู่พวกเราทั้งสิบคนนี้มีใครบ้างที่ซื่อและจริงใจเหมือนเขา คอยเอาใจเพื่อนฝูง ไม่เคยเอาเปรียบใครเลย แม้ใครจะหยอกล้อก็ไม่โกรธตอบ ใครนินทาว่าร้ายก็ไม่โต้เถียง สำรวมระวังไม่ยอมปล่อยตัวปล่อยใจไปตามอารมณ์เหมือนคนอื่น คนเช่นนี้แม้แต่ผีสางเทวดาฟ้าดินก็ยังต้องให้ความคุ้มครองและช่วยเหลือ เมื่อผลการสอบไล่ครั้งนั้นปรากฏออกมา ก็เป็นจริงดังที่พ่อคาดไว้ทุกประการ  เมื่อปี พ.ศ.2120 พ่ออยู่ในเมืองหลวงพักกับเพื่อนชื่อ ไคจื่อ แซ่เผิง พ่อสังเกตุดูรู้สึกเขาเปลี่ยนแปลงไปมาก เมื่อเด็ก ๆ เขาขี้เล่นซุกซน และเจ้าอารมณ์ แต่บัดนี้ดูเขามีสติควบคุมอารมณ์ได้ดีมาก เขามีเพื่อนอยู่คนหนึ่งเป็นคนดีมาก ฉลาด ซื่อตรง ชอบช่วยเหลือเพื่อน คุณธรรมสามประการนี้สมแล้วที่จักขนานนามเขาว่าเป็นกัลยาณมิตร เขามักจะติเตียนไคจื่อต่อหน้า ไคจื่อไม่เคยโกรธหรือโต้ตอบเขาเลย รับฟังอย่างอารมณ์ดีเสมอ พ่อจึงบอกเขาว่า นิสัยอันดีงามของเขานี้ ย่อมเป็นปัจจัยนำไปสู่ความมีบุญวาสนา ส่วนคนที่ต้องประสบเคราะห์กรรม ก็เป็นเพราะเขาสร้างนิสัยไม่ดีงามเป็นเหตุปัจจัยนำไปสู้ความหายนะเช่นกัน สำหรับเพื่อนนั้น แม้ฟ้าดินก็ต้องประทานความช่วยเหลือ ปีนี้เพื่อนจะต้องสอบไล่ได้อย่างแน่นอนต่อมาก็เป็นจริงดังที่พ่อพูดกับเขาไว้

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม

         มีเด็กหนุ่มคนหนึ่ง แซ่จ้าว สอบไล่ได้ในภูมิลำเนาของตนเมื่ออายุยังไม่ถึง 20 ปี แต่ต่อจากนั้นไป จะสอบกี่ครั้งก็ไม่เคยสอบไล่ได้อีกเลย ต่อมาได้ติดตามท่านบิดาที่ต้องย้ายไปรับราชการที่อำเภออื่นในอำเภอนั้น มีบัณฑิตมีความรู้สูงอยู่ท่านหนึ่ง แซ่เฉีย เด็กหนุ่มไม่ทราบข่าวก็รีบนำบทประพันธ์ของตนไปหาเพื่อขอคำแนะนำ โดยไม่คาดฝันท่านบัณฑิตจับพู่กันได้ ก็ตวัดข้อความในบทประพันธ์นั้นทิ้งเกือบหมด ถ้าเป็นบางคนก็จะโกรธมาก แต่เด็กหนุ่มคนนี้นอกจากจะไม่โกรธแล้ว ยังขอบพระคุณท่านบัณฑิต รีบแก้ไขข้อความแล้วนำมาให้ท่านแก้ไขให้อีกด้วย ความอ่อนน้อมถ่อมตนนี้เป็นสิ่งที่หาได้ยากยิ่ง พอรุ่งขึ้นอีกปีหนึ่ง เด็กหนุ่มคนนี้ก็สอบไล่ได้  เมื่่อปี พ.ศ.2135 พ่อได้ไปเมืองหลวงเพื่อเข้าเฝ้าฮ่องเต้ ได้พบกับเพื่อนคนหนึ่ง ดูเขาช่างมีความจริงใจและอารมณ์ดีเสียนี่กระไร ประกายแห่งความอ่อนน้อมถ่อมตนอยู่ทั่วบรรยายกาศที่รอบ ๆ ตัวเขา ทำให้พ่อได้สัมผัสกับประกายนี้ ด้วยความชื่นชม พ่อกลับจากเข้าเฝ้าได้เล่าให้เพื่อน ๆ ฟังว่า หากฟ้าจะประทานความเจริญรุ่งเรืองแก่ใคร มักจะประทานสติปัญญาให้ก่อน เมื่อมีสติปัญญาแล้ว คนที่เจ้าอารมณ์ก็จะเปลี่ยนเป็นคที่ควบคุมอารมณ์ได้ คนที่อวดดีก็กลายเป็นคนถ่อมตนได้เอง พัฒนาตนเองได้แล้วฟ้าย่อมประทานบุญวาสนามาให้ และก็เป็นจริงดังว่า เขาสอบไล่ได้ในปีนั้นเอง
        เมื่อปี พ.ศ.2077 มีนักศึกษาแซ่จาง คนหนึ่ง มีความรู้ เขียนบทความก็ดี เป็นคนเด่นคนหนึ่งในบรรดานักศึกษาทั้งหมด เขาเดินทางมานานกิงเพื่อเข้าสอบ พักอยู่ที่วัด ๆ หนึ่ง เมื่อผลการสอบประกาศออกมา ปรากฏว่าสอบตก แทนที่จะโทษตนเองว่าความรู้ยังไม่ถึงจึงสอบไม่ได้ กลับโกรธกรรมการคุมสอบ หาว่าไม่ยุติธรรม มีตาหามีแววไม่ บทประพันธ์ดี ๆ ก็หาว่าไม่ดี หลวงจีนในวัดท่านหนึ่งได้ยินเขา จึงยืนยิ้มอยู่ เขาก็เลยพาลโกรธท่านหลวงจีนในวัดไปด้วย หลวงจีนจึงกล่าวกับเขาว่า ดูดูแล้วเห็นทีบทประพันธ์ของท่านไม่ดีจริง เขายิ่งโกรธใหญ่ ตวาดหลวงจีนว่า ยังไม่ทันเห็นบทประพันธ์ จะรู้ว่าดีไม่ดีได้อย่างไร หลวงจีนจึงพูดว่า การประพันธ์ต้องอาศัยความสงบทางใจ จิตเป็นสมาธิจึงจะเขียนได้ดี ท่านควบคุมอารมณ์ไม่ได้ หวั่นไหวอยู่ตลอดเวลา จะเขียนบทประพันธ์ได้ดีอย่างไรได้ นักศึกษาจางได้สติ จึงคุกเข่าขอขมา และมอบตัวเป็นศิษย์หลวงจีนจึงสอนว่า การสอบไล่ได้หรือไม่ได้ล้วนขึ้นอยู่กับชะตาชีวิต ถ้าชะตาไม่ดี แม้จะเขียนบทประพันธ์ได้ดีอย่างไรก็สอบไม่ได้ จึงต้องแก้ไขที่ตนเองเสียก่อน นักศึกษาจางกราบถามท่านว่า หากขึ้นอยู่กับชะตาชีวิตแล้ว จะแก้ไขได้หรือ หลวงจีนพูดว่า ฟ้าประทานชีวิตให้เรา แต่ชะตาชีวิตเราต้องสร้างสมเอง หากกระทำแต่กรรมดีมีศีลมีธรรม ชอบช่วยเหลือผู้อื่น ยิ่งไม่มีผู้รู้เห็น ก็ยิ่งเป็นกุศลมหาศาล เมื่อเราสั่งสมความดีจนเต็มเปี่ยมแล้ว เราจะต้องการชะตาชีวิตอย่างไรก็ได้ทั้งนั้น นักศึกษาจางจึงปรารภว่า ข้าพเจ้าเป็นคนจน จะมีปัญญาช่วยเหลือคนอื่นได้อย่างไร ท่านชี้แจงว่า การทำความดีต้องเริ่มที่ใจ มุ่งแก้ไขตนเองเสียก่อน เช่นการอ่อนน้อมถ่อมตนก็ไม่ต้องใช้เงินเลย ทำไมท่านไม่ตำหนิตนเองว่าความรู้ยังไม่เพียงพอ จึงสอบตก แต่กลับไปด่ากรรมการควบคุมสอบเล่า นักศึกษาจางเพิ่งได้คิด จึงเริ่มปฏิบัติตนเสียใหม่ ลดความหยิ่งผยองลงไปทุกวัน ๆ เพิ่มคุณธรรมให้กับตนเองมากยิ่งขึ้นทุกวัน ๆ ครั้นอีกสามปีต่อมา ในปีพ.ศ.2080 ในคืนวันหนึ่งได้ฝันไปว่าได้ไปในตึกสูงใหญ่หลังหนึ่ง เห็นบัญชีรายชื่อนักศึกษาที่สอบไล่วางอยู่เล่มหนึ่ง พอเปิดออกดูเห็นทุกช่องมีช่องว่าง เกิดความสงสัยจึงถามคนที่ยืนใกล้ ๆ ว่า ทำไมบัญชีรายชื่อนักศึกษาที่สอบไล่ได้แล้ว จึงมีการคัดออกอีกเล่า ได้รับคำตอบว่า เนื่องจากผู้ที่สอบไล่ได้แล้วจะต้องผ่านการตรวจสอบในยมโลกทุก ๆ 3 ปี ถ้าใครมีความประพฤติไม่ดีไม่อยู่ในธรรมก็จะถูกคัดชื่ออก จะสอบอีกอย่างไรก็สอบไม่ได้ แล้วชี้ไปที่ว่างบนสมุดบัญชีนั้นว่า สามปีมานี้เจ้าตั้งใจฝึกตนให้ก้าวหน้าไปมาก จะเอาชื่อเจ้าไว้ตรงนี้ ขอให้เจ้ารักตนสงวนตัว อย่าได้วู่วามทำผิดเหมือนดั่งแต่ก่อนอีก ปีนั้นเขาสอบไล่ได้ที่ 105
        เมื่อเหตุการณ์ที่ผ่านมาแล้ว ย่อมจะเห็นได้ว่า สูงจากศรีษะมนุษย์ไปเพียง 3 ฟุตก็มีเทพเจ้าคอยเฝ้าดูอยู่แล้ว เราจะต้องทำแต่สิ่งที่เป็นมงคล หลีกเลี่ยงการกระทำอันเป็นอัปมงคลเสีย จะดีจะชั่วจึงอยู่ที่ตัวเราเอง ถ้าควบคุมจิตใจ และความประพฤติของเราให้ดี ไม่ทำสิ่งที่ฟ้าดินและผีสางเทวดาไม่พอใจ ไม่หยิ่ง ไม่โอหัง ไม่วู่วาม อดทนในสิ่งที่ทนได้ยาก ฟ้าดินและผีสางเทวดาก็ย่อมจะสงสารเห็นใจเรา ประทานความช่วยเหลือแก่เรา คนที่จะเป็นใหญ่เป็นโตในอนาคต ย่อมไม่ทำจิตใจคับแคบเห็นแก่ตัว ย่อมไม่เป็นผู้ทำลายความสุขความเจริญของตนเอง ความถ่อมตนทำให้มีโอกาสที่จะได้รับการอบรมสั่งสอนจากท่านผู้รู้ได้รับผลประโยชน์จากท่านเหล่านั้นไม่จบสิ้น นักศึกษาจึงควรทำตัวเช่นนี้ ลูกจงจำไว้ว่า คนที่ยกตนข่มท่านถิอดีอวดเบ่งนี้ แม้จะได้ดิบได้ดีก็ไม่ยั่งยืนนาน
        โบราณท่านว่าไว้ว่า ปรารถนาชื่อเสียงย่อมได้ชื่อเสียง ปรารถนาความร่ำรวย ก็ย่อมได้เป็นเศรษฐี ความปรารถนาของมนุษย์เปรียบเหมือนรากแก้วของต้นไม้ เมื่อหยั่งลึกลงดินแล้ว ต้นไม้ก็จะมีกิ่งก้านไพศาล ออกดอกออกผลตามฤดูกาล รากแก้วของมนุษย์ก็คือ การอ่อนน้อมถ่อมตน  ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กน้อยหรือเรื่องใหญ่ เราจะต้องยึดมั่นในคุณธรรมข้อนี้ ถ่อมตนไว้เสมอ ให้ความสะดวกแก่ผู้อื่น เมื่อไม่ทำให้ผู้อื่นสะเทือนใจเพราะความอวดดีของเราแล้ว ฟ้าดินย่ิอมประทับใจในความดีของเรา พวกนักศึกษามักบนบวงเทพยดาฟ้าดินขอให้สอบไล่ได้ แต่พวกนี้ไม่ค่อยมีความจริงใจ การบนบวงจึงไม่ได้ผล ท่านนักปราชญ์เมิ่งจื่อ พูดกับพระเจ้าฉีเซวียนอ๋องว่าพระองค์โปรดดนตรี ถ้าโปรดด้วยความจริงใจแล้วไซร์ชะตาของประเทศฉี ก็จักรุ่งเรืองสุกใสเป็นแน่ แต่นี่พระองค์โปรดดนตรีเพื่อความสุขของพระองค์เอง หากพระองค์สามารถขยายความสุขส่วนพระองค์นี้ ให้แผ่ไพศาลไปในดวงใจของราษฏรทุกคนแล้วไซร์ ราษฏรก็จะมีความสุขเหมือนพระองค์ และทุกคนก็จะจงรักภัคดีต่อพระองค์อย่างสุดหัวใจ เมื่อนั้นชะตาของบ้านเมืองฉี จะไม่รุ่งเรืองสุกใสอย่างไรได้ เมื่อลูกต้องการสอบไล่ได้เป็นขุนนาง ลูกก็จะต้องตั้งความปรารถนาไว้ดุจรากแก้วของต้นไม้ แน่วแน่ที่จะทำความดีไม่ท้อถอย สั่งสมความดีงามให้ได้ทุก ๆ วัน ลดความอวดดีถือดีให้หมดสิ้นไป สร้างอนาคตด้วยตัวลูกเอง ชะตาชีวิตจักทำอะไรได้ ขอให้ลูกจงเพียรพยายามต่อไปเถิด ความสำเร็จย่อมรอลูกอยู่แล้วอย่างแน่นอน

ลำดับการสอบไล่ของจีนโบราณ

ซิวจ๋าย   นักศึกษาที่สอบไล่ได้ครั้งแรกในภูมิลำเนาของตน หมายถึงผู้ฉลาดที่คัดมาแล้ว
กือหยิน  ซิวจ๋ายที่สอบไล่ได้อีกครั้ง หมายถึง ผู้ฉลาดที่สมควรสนับสนุนต่อไป
จิ้นสือ    กือหยินที่สอบไล่ได้อีกครั้ง เป็นบัณฑิตที่ควรส่งเสริมให้เข้าสอบรับราชการได้แล้ว

      ท่านเหลี่ยวฝานสอบได้จิ้นสือแล้ว ก็สอบเข้ารับราชการเลย จึงมิได้เข้าสอบชิงตำแหน่งจอหงวนอีก และเป็นเพราะความสันโดษของท่านด้วย เมื่อศึกษาได้ผ่านบันได 3 ขั้น เป็นบัณฑิตแล้ว ถ้าจะสอบต่อไปก็ต้องเดินทางเข้าเมืองหลวง เข้าสอบในพระราชวังฮ่องเต้ทรงคัดเลือกด้วยพระองค์เอง

จอหงวน   ผู้ที่มีลักษณะเป็นเลิศ ได้เป็นที่หนึ่ง
ปังหงัน     ผู้ที่พลาดไปนิด แม้เป็นรองก็สองตาที่ฉลาดได้เป็นที่สอง
ถัมฮวย     ผู้เข้าใจเก็บดอกไม้ ได้เป็นที่สาม

       สมัยราชวงศ์ถัง ผู้สอบจิ้นสือได้แล้ว จะได้รับพระราชทานเลี้ยง เรียกว่างานเก็บดอกไม้ โดยคัดเลือกจิ้นสือที่มีอายุน้อย 2 ท่านไปเลือกเก็บดอกไม้งามและมีชื่อในอุทยานต่าง ๆ เพื่อมาเป็นหัวข้อในการแต่งโคลงฉัน?์กาพย์กลอนของบัณฑิตในงานเลี้ยง ต่อมา ผู้ที่สอบไล่ได้ที่สาม ก็จะได้รับพระราชทานนามนี้จนถึงสมัยราชวงศ์เช็ง

ถวนหลู     ผู้ที่สอบไล่ได้ที่ 4 ไม่ได้เข้าเฝ้า หมายถึง ผู้ที่รับทราบว่าสอบไล่ได้ โดยพระบรมราชโองการที่ขุนนางประกาสต่อ ๆ กันออกมาจากท้องพระโรง
ฮั่นหลิม     ผู้ที่สอบไล่ได้ที่ 5 ไม่ได้เข้าเฝ้าเช่นกัน หมายถึง บัณฑิตที่สอบไล่ได้ในขั้นนี้มากมายประดุจไม้ยืนต้นตระหง่านในป่าเปรียบประดุจกำลังของแผ่นดิน

                                                             จบเล่ม   

Tags: