collapse

ผู้เขียน หัวข้อ: ธรรมธาดาคู่โลกา : ปฏิปทาองค์สมเด็จพระกตธิการบรมอริยธรรมราชเจ้าผู้เฒ่าน้ำใส  (อ่าน 27510 ครั้ง)

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382

       และก็ด้วยหนึ่งจิตที่กลมกลืนต่อฟ้าเช่นนี้ ดังนั้นในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นชั้นเรียน ธรรมกิจ หรืองานธุระต่าง ๆ เราก็มักจะได้ยินท่านกล่าวอยู่เสมอว่า "ทั้งหมดล้วนเพราะพระมหากรุณาธิคุณแห่งเบื้องฟ้าพระบารมีแห่งพระวิสุทธิ์อาจารย์ทั้งสิ้น"  "นี่ไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์จักทำได้เลยนะ" "ข้าพเจ้าล้วนฟังแต่ฟ้าเบื้องบนทั้งสิ้น"  "ที่พูดนี้ล้วนเป็นพระโอวาทของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งสิ้น"  "คำเหล่านี้ล้วนเป็นพระดอวาทของพระอาจารย์จี้กงทั้งสิ้น"  พระโองการสวรรค์แห่งพระวิสุทธิอาจารย์นั้นวิเศษสุดคณนาจริง ๆ "  สิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้กล่าวไว้ก่อนแล้วว่า ไม่นานธรรมะจะแพร่หลายไปทั่วโลก โดยมากจะอุบัติเป็นเพศหญิง บัดนี้ล้วนเป็นจริงทั้งสิ้น หากไม่เชื่อ พวกเธอก็ลองไปดู ๆ ยังทุกที่ก็ได้"...
     คำพูดในลักษณะนี้ล้วนมีปรากฏอย่างมิอาจยกมาได้หมด และที่ประเสริฐที่สุดก็คือ ในใจของท่านได้ตระหนักอยู่เสมอว่า "งานใหญ่แห่งสหัสโลกธาตุ มีพระแม่องค์ธรรมทรงเป็นประธาน" มนุษย์มิอาจกำหนดและก็มีเพียงเทพคนได้ร่วมกันเป็นหนึ่งใจ จึงจะสามารถเก็บงานขั้นสมบูรณ์และจึงจะถือว่าเป็นลิขิตของสวรรค์ได้  นอกจากการละลืมอัตตา และการเทิดคุณความดีให้แด่ฟ้าอยู่เสมออันเป็นมหาบารมีของท่านอยู่แล้ว สำหรับความสำนึกพระคุณ ความเคารพนบนอบที่มีต่อฟ้าเบื้องบนนั้นก็ถือว่าเป็นปัญญาอันสุขุมบารมีอันเกรียงไกรอย่างแท้จริง โดยท่านได้ตระหนักชัดซึ่งความจริงแห่งฟ้าและคนเดิมคือหนึ่งได้เป็นอย่างดี จึงเห็นได้ว่าท่านเหล่าเฉียนเหริน ได้มีทัศนคติที่มีต่อธรรมอันลึกซึ้งแยบคลายเป็นอย่างยิ่ง สำหรับท่านที่มีฐานะเป็นผู้นำแห่งธรรมแล้วจุดนี้ก็ถือว่าเป็นสิ่งอันสำคัญยิ่ง มิเช่นนั้นหากพลาดที่ต้นแม้เพียงนิดเดียวปลายจะพลาดผิดไปอย่างใหญ่หลวง ซึ่งที่สุดก็จะกลายเป็นเพียงคนตาบอดที่พาคนให้เดินหลงทางจนทำให้เป้าหมายของทุกคนต้องพลาดจากหนทางแห่งนิพพาน ส่งผลให้พลาดจากการตื่นแจ้งกลับคืนสู่มโนธรรมจิตพุทธะได้ หากเป็นเช่นนี้จะมิเป็นการน่าเสียดายและน่าเสียใจดอกหรือ
      ฉะนั้น ท่านเหล่าเฉียนเหริน จึงให้ความสำคัญต่อบทพระโอวาทเป็นอย่างยิ่ง พระโอวาทที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ประทานให้ในแต่ละปี ที่ฝูซันก็จะทำการรวบรวม เข้าเล่ม หรือกระทั่งจัดทำเป็นชุดสะสมอย่างปราณีตบรรจง ดังนั้ ชุดพระโอวาท ปกรณ์คัมภีร์ และหนังสือต่าง ๆ ที่ได้ถูกเก็บสะสมในหอบรรณาคารก็มีจำนวนมากเป็นอันดับหนึ่ง และเมื่อใดที่ท่านว่าง ท่านก็มักจะน้อมอ่านและทำความเข้าใจในบทพระโอวาทอยู่เสมอ นั่นก็เพราะพระโอวาทนั้นเป็นข่าวสารที่ฟ้าเบื้องบนทรงประทานให้โดยพระโอวาทเหล่านี้ล้วนเป็นเครื่องชี้ทางอันอำไพที่จะนำพาปวงเวไนยฯให้บำเพ็ญกลับคืนสู่เบื้องบน ถ่ายทอดสัจธรรมอันยืนยงแห่งดินฟ้า และเป็นบันไดสวรรค์ที่จะนำพาสรรพสัตว์พ้นจากความลุ่มหลงสู่ความรู้แจ้งทั้งสิ้น
      ดังนั้นในการศึกษาธรรมะโดยทั่วไป ท่านจึงยังยืนกรานอย่างเด็ดเดี่ยวว่าจะต้องใช้พระโอวาทของสิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นเนื้อหา อย่างเช่นพระโอวาทพระอนุตตรธรรมมารดาสิบบัญญัติ สัตบถ (ทางที่ถูก) นำสู่มาตุภูมิ สายทองเส้นหนึ่ง บทธรรมวิวรณ์แห่งพระบรรพจารย์จินกง แจ้งจริงวิถีเซียน วิสัชนาธรรมไขกังขาต่าง ๆ ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนเป็นพระโอวาทที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทรงประทานเพื่อเผยสัจธรรมแห่งจักรวาล และโฉมแท้แห่งฟ้าดินทั้งสิ้น ส่วนในด้านพุทธระเบียบ ท่านให้ยึดเฉพาะพุทธระเบียบเฉพาะกาลที่ท่านซือจุนทรงบัญญัติไว้เป็นสรณะ แต่เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ล่ะ แท้ที่จริงท่านเป็นผู้หนักแน่นและยึดมั่นในหลักการ เพราะท่านได้ตระหนักถึงปัญญาอันเมตตาของสิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นอย่างดีว่าทั้งหมดล้วนต้องเริ่มจากรากฐานเพื่อให้ทุกคนได้เข้าใจถึงข่าวสารอันจริงแท้ของจักรวาล แลให้รู้จักนำพาตนให้หลุดพ้นจากความทุกข์แห่งชีวิต และก็มีเพียงให้ทุก ๆ คน ได้หยั่งรากลึกสู่ปัญญาบารมีภายในเท่านั้น จึงทำให้รากฐานแข็งแกร่งและหยัดยืนในธรรมะได้อย่างมั่นคง จนที่สุดคือได้กลับคืนสู่เบื้องบน แลฉุดช่วยโลกหล้าได้อย่างแท้จริง แต่สำหรับความรู้สมัยใหม่แห่งวิทยาการตะวันตกหลายอย่างก็มักจะเลื่อนลอยไร้แก่นสาร อีกมิใช่เป็นศาสตร์แท้ที่ใช้ปลดปล่อยแก้ไขปัญหาชีวิต ยกระดับจิตวิญญาณแห่งมวลมนุษย์ นำพาชาวโลกสู่มหาวิถีแห่งนิพพานได้อย่างแท้จริง

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
        ดังนั้นความร้อนใจและความห่วงใยของท่านคือ เกรงเพียงแต่ว่าเราจะเดินผิดทางจนมิอาจกลับคืนสู่เบื้องบน มิอาจรู้ตื่นเพื่อหยั่งรากธรรม มิอาจถ่องแท้ในมหาวิถีแห่งนิพพานว่าโดยแท้จริงแล้วก็คือเพียง ตรงนี้ (หนึ่งจุดแห่งพระวิสุทธิ์อาจารย์)  ผู้บำเพ็ญธรรมนับแต่จำเนียรกาลเป็นต้นมา สามารถสำเร็จบรรลุได้ก็ด้วยเอกธรรมที่ตรงนี้ และด้วยท่านได้เห็นวัยรุ่นในสมัยนี้ต่างหลงใหลแต่ความสนุกสนาน ไขว่คว้าอยู่แต่เพียงลาถยศสรรเสริญจนมิอาจรู้ถึงความจริงแท้แห่งตน และเอาแต่เทิดทูนความรู้วิทยาศาสตร์สมัยใหม่ โดยไม่เข้าใจซึ่งพิทยาความรู้แต่โบราณที่มีมา ฉะนั้น ท่านจึงมิอาจอดใจและป่าวร้องอย่างเมตตาอยู่เสมอว่า "เปิดชั้นศึกษาธรรมอะไรกัน ! เอาแต่ตั้งหัวข้อประหลาด ๆ กันทั้งนั้น" หากคนที่ไม่เข้าใจก็มักจะเข้าใจว่าท่านเป็นคนอนุรักษ์นิยม ไม่ยอมเข้าใจเหตุผล คนหนุ่มคนสาวในสมัยนี้ไม่เหมือนคนในอดีตหรอก หากจะส่งเสริมโดยมิใช้กุศโลบายที่แปลกใหม่บ้าง ผู้คนจะเกิดความเบื่อหน่ายโดยง่าย
      แต่แท้จริงพวกเขาหารู้ไม่ว่า มโนธรรมสำนึกแลจิตธรรมแต่เดิมของทุกคนต่างมีอยู่พร้อม หากว่าได้รู้แจ้งถ่องแท้ในมหาธรรม แล้วนำซึมซาบกำจายสู่ห้วงหัวใจ นำเจียระไนชี้ทางอย่างชำนาญ ฉะนี้แล้ว พระโอวาททุกถ้อยคำของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็ล้วนเป็นสัจธรรมที่ประเสริฐสุด ทุกถ้อยกถาก็ล้วนเป็นเครื่องชี้ทางกลับรากเิดิมอันดีเลิศ ดังนั้น หากนำสิ่งเหล่านี้มาปลุกตื่นมโนธรรมแห่งปวงชนความจริงก็เพียงพออย่างเหลือล้นแล้ว และถ้ายิ่งบวกกับการนำปฏิบัติด้วยตัวเองอย่างกระตือรือร้น สำแดงธรรมด้วยตนเองอย่างตั้งอกตั้งใจ อีกทั้งประทับดวงกมลด้วยความศรัทธาจริงด้วยแล้ว ใจฟ้าก็จะประทับตรึงตรา มโนธรรมก็จะตื่นฟื้นคืนจากความหลงใหล หนึ่งจุดสว่างไสวอำไพ ในบัดดลนั้นก็คือพระพุทธา หากเป็นเช่นนี้แล้ว ไยยังต้องกังวลว่าจะมิอาจสำเร็จกลับคืนสู่เบื้องบนด้วยเล่าเพียงจิตหนึ่งนั้นบัดดลก็อยู่นิพพานแล ! สัจธรรมแห่งอนุตตรวิถีจักมีนอกเหนือไปจากนี้ได้ฤา
     วิธีการบำเพ็ญอันล้ำเลิศเรียบง่ายเช่นนี้ยังจะมีแบบอื่นใดเหนือกว่านี้ไหม ทั้งหมดนี้เป็นจักษุปัญญาอันแจ่มพินิจล่วงรู้ด้วยลึกซึ้งของท่านโดยแท้ โดยเฉพาะการผ่านความลำเค็ญในชีวิต จึงจะทำให้เข้าใจในความหมายของสัจธรรมแห่งชีวิตและยังผลให้เกิดความวิริยะในการบำเพ็ญ ออกฉุดช่วยผู้คนให้พ้นจากความทุกข์เข็ญ ให้ต่างตระหนักถึงความสำคัญของอริยภาพภายใน ศักดานุภาพภายนอก อันเป็นเอกธรรมแห่งการกลับคืนสู่เบื้องบน
     อนึ่ง วิธีการของท่านเหล่าเฉียนเหรินนั้นเป็นการเริ่มต้นทำจากรากฐาน ซึ่งเป็นวิธีการที่ทั้งถูกต้องแลเจิดจรัส นั่นเพราะฟ้าเป็นผู้ทรงปัญญาอย่างที่สุดเป็นผู้ทรงพระเมตตากรุณาอย่างยิ่งใหญ่ เป็นผู้ทรงถ่องแท้แจ้งชัดต่อทุกสิ่งอย่างยากมีผู้ใดเสมอเหมือน จึงมิไยต้องกล่าวถึงสุภาษิตโบราณที่กล่าวว่า"ตามฟ้าเกิด ขัดฟ้าม้วย" อีกแต่อย่างใดเลย
     ทุก ๆ คนมุ่งแต่ไขว่คว้าอยู่ในความสุข ความสมใจ โดยหาได้รู้ซึ่งสัจธรรมข้อนี้เลย ไม่ว่า ดั่งใจ ดั้งใจ คนต่างมีใจ เราก็มีใจ สอดคล้องใจเขา หาใช่ใจเรา สอดคล้องใจเรา หาใช่ใจเขา ใจเขาใจเรา หาใช่ใจฟ้า สอดคล้องใจฟ้า แน่นอน สมหวังดั่งใจ
     ทุกคนไม่เพียงแต่ไม่เข้าใจ หากยังไปผูกมัดตัวเองอย่างแน่นหนา จนที่สุดก็มีแต่กลวงโหว่ไร้แก่นสาร ลุ่มหลง มอมเมาจนต้องผูกตนติดอยู่กับกับดับของตนไปในที่สุด แต่สำหรับท่านเหล่าเฉียนเหรินนั้น ท่านเป็นธรรมธาดาที่ผสานเป็นหนึ่งเดียวกับเผ่นฟ้า ท่านได้ประจักษ์ถึงศาสตร์แท้เพียงหนึ่งเดียวในโลกนี้ดีว่า โดยแท้แล้วก็คือการผสานกลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวระหว่างคนกับฟ้า ซึ่งเป็นวรปัญญาที่สูงสุดในสากลจักรวาล
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27/11/2553, 05:49 โดย jariya1204 »

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382

     นอกจากนี้แล้ว จิตใจอันเคารพนบนอบต่อฟ้าของท่านก็สามารถประจักษ์เห็นได้จากสิ่งก่อสร้างที่ท่านออกแบบ ไม่ว่าจะเป็นเทียนเอวี๋ยนฝอเยวี่ยน หรือฝูซันหรงเยวี่ยน ก็มิมีสถานที่ใดที่มิใช่เมืองแมนแดนสวรรค์เลย ภายในอาคารมิเพียงได้ประดิษฐานบูชาพระแม่องค์ธรรม พระบรรพจารย์จินกง พระพุทธาจารย์เทียนหรัน พระอริยมาตาจงฮว๋า เท่านั้น หากชื่ออาคาร สวนสนามที่ท่านตั้ง ก็ล้วนบ่งบอกถึงความระลึกตรึกพระคุณฟ้าบารมีอาจารย์ทั้งสิ้น อย่างเช่น ที่ฝูซันก็มี ตำหนักเทียนเอวี๋ยน อนุสรณ์บรรพจารย์ ห้องสมุดศิลปวิทยาคารกวงหมิง ฯลฯ  ที่เทียนเอวี๋ยนฝอเยวี่ยนก็เป็นดังนี้คือ...ภายในนอกจากจะบูชาพระศรีอาริย์ พระพุทธบรรพจารย์เทียนหรัน พระโพธิสัตว์จันทรปัญญา ท่านยังได้ก่อสร้างอนุสรณ์ไตรอริยาแห่งยุคขาว และยังได้ก่อสร้างเจดีย์ตะวัน เจดีย์จันทรา ไว้สำหรับบรรจุพัตราภรณ์ของท่านซือจุน ซือหมู่  ส่วนที่พักของท่านก็ตั้งชื่อว่าตึกเทิดคุณ  อาคารกวงหมิงที่เพิ่งก่อสร้างแล้วเสร็จใหม่ ๆ ก็จะใช้เป็นสำหรับอนุสรณ์รำลึกพระบรรพจารย์ยุคขาว โดยเจตนาของท่านนั้นก็เพื่อให้ญาติธรรมที่ครั้นได้เข้าสู่เทียนเอวี๋ยนฝอเยวี่ยน ก็จะได้พระบารมีอาบทจากท่านซือจุน ซือหมู่ อีกทั้งให้พุทธรัศมีบริราชสาดแสงแก่หนทางอนาคตของลูกศิษย์ทุกคนให้สว่างเฉิดฉาย ตั้งแต่เริ่มต้น อีกทั้งให้เราได้มีโอกาสนบไหว้ใฝ่สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณแห่งพระอนุตตรธรรมมารดา พระพุทธบุพพจารย์ พระธรรมาจารย์ และ พระธรรมจาริณี ในวิหารอันสงบและศักดิ์สิทธิ์นี้ได้ตลอดไป แต่ก็มิใช่เพียงเท่านี้ เพราะอักษรคำว่า "ดื่นน้ำรู้ตรึกคุณต้นธาร" ตัวใหญ่ที่อยู่ทางฝั่งซ้ายของวิหารธรรมนั้น ก็เป็นประจักษ์แล้วของจิตสำนึกคุณที่ท่านมีต่อฟ้า และต่อท่านซือจุนซือหมู่ ได้เป็นอย่างดี และสำหรับคุณธรรมบารมีในด้านการสำนึกพระคุณของท่านนั้น ก็เป็นจริยวัตรที่เราควรจะถือเป็นแบบอย่างยิ่งนัก
      และในช่วงหลายสิบปีมานี้ ไม่ว่าท่านจะมีงานธรรมที่รัดตัวและเหนื่อยยากปานใด หลังจากท่านได้ท่องคัมภีร์หมิงเซิ่งจิงจบ ท่านก็จะถวายธูปเช้าโดยมิเคยละเว้นเลยในแต่ละวัน ในปีหมินกั๋วที่ ๗๓ (ค.ศ.๑๙๘๔) หลังจากทั่วทั้งไต้หวันได้เปิดชั้นขมาสำนึกบาปแล้ว ด้วยเหตุที่ท่านเหล่าเฉียนเหรินได้รับเคราะห์กรรมแทนเวไนย์ ในปีหมินกั๋วที่ ๗๕ (ค.ศ.๑๙๘๖) เดือน ๓ วันที่ ๒๐  ท่านเหล่าเฉียนเหรินได้หกล้มจนขาหักและต้องผ่าตัดดามเหล็กที่โรงพยาบาลฉางเกิง ๒ อาทิตย์ผ่านไป ท่านก็เริ่มกายภาพบำบัดอย่างขยันขันแข็ง และเมื่อท่านพอจะเริ่มคกเข่าได้ ท่านก็รีบคุกเข่าประณตบูชาธูปหอม และกราบกรานอยู่เบื้องพระแท่นพระแม่องค์ธรรมในทันที โดยมิได้ไยดีต่อความเจ็บปวดของบาดแผลแต่อย่างใด และเมื่อโฮ่วเสวียทุกคนได้เห็นซึ่งความจริงใจความเคารพนบนอบต่อฟ้าของท่านเช่นนี้ ก็ให้รู้สึกละอายใจเป็นยิ่งนัก

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382

      สำหรับจิตใจที่เคารพเทิดทูนต่อฟ้าของท่านดวงนี้ ก็มิเคยได้ว่างเว้นและมิเคยห่างหายเลยแม้แต่นิดเดียว อย่างเช่น เมื่อมีคนมาขอเรียนถามจากท่านว่า"ในวันที่ ๑ ขึ้น ๑๕ ค่ำ หรือ วันเฉลิมฉลองพระแม่องค์ธรรม วันสำคัญของสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้น จะมีญาติธรรมคนทำงานบางส่วนที่ไม่สะดวกในการถวายผลาหารในตอนเช้า มิทราบว่าจะเปลี่ยนเวลามาถวายในตอนเที่ยงคืนที่ย่ำวันใหม่ได้หรือไม่" ท่านเหล่าเฉียนเหรินก็ตอบว่า "อย่างนี้ใช้ได้ที่ไหนกัน ก็เหมือนกับคุณพ่อคุณแม่ที่เข้านอนแล้ว  พวกเจ้ายังจะปลุกให้ท่านทั้งสองขึ้นมาทานข้าวไหม" คำตอบอันเรียบง่ายอย่างนี้ ก็ไม่เพียงแต่เตือนให้สติให้รู้ถึงความหมายที่แท้จริงแห่งพุทธระเบียบเท่านั้น หากแต่ท่านยังได้แสดงออกซึ่งความเคารพนบนอบที่มีต่อฟ้าเบื้องบนออกมาอย่างหมดสิ้น
     และก็ด้วยความจริงใจที่พิศุทธิ์ที่มีต่อฟ้าดวงนี้ของท่าน หากมีงานสำคัญ ๆ ท่านก็มักจะเลือกมงคลฤกษ์ในวันรำลึกสิ่งศักดิ์สิทธิ์อยู่เสมอ อย่างเช่น วันประดิษฐานอนุสรณ์บรรพจารย์ของเทียนเอวี๋ยนฝอเยวี่ยน ท่านก็จะเลือกวันสำเร็จธรรมของท่านซือจุน ซึ่งตรงกับปีหมินกั๋วที่ ๗๙ (๕.ศ.๑๙๙๐) เดือน ๘ ขึ้น ๑๕ ค่ำ ส่วนวันบรรจุอาภรณ์ในอนุสรณ์เจดีย์ของท่านซือหมู่ ก็ย่อมเลือกวันประสูติของท่านซือหมู่ ในปีหมินกั๋ซที่ ๘๐ (ค.ศ.๑๙๙๑) เดือน ๘ วันที่ ๒๒ ตามจันทรคติ ส่วนวันประดิษฐานอนุสรณ์เจดีย์ตะว้นจันทรานั้น ก็เลือกลักคนาฤกษ์ในวันเฉลิมฉลองพระแม่องค์ธรรม ฤดูสารท ซึ่งตรงกับเดือน ๙ วันที่ ๑๕ ของปีเดียวกัน สาราณียกรรมต่าง ๆ เหล่านี้ นักธรรมอาวุโสทุกท่านล้วนสามารเห็นประจักษ์ได้ทั้งสิ้น
    และในส่วนงานเฉลิมฉลองพระแม่องค์ธรรม วันรำลึกจู่ซือ ซือจุน และ ซือหมู่ เหล่านี้ ท่านก็ยิ่งมีความระมัดระวังในการอภิวันท์สำนึกพระคุณและสำรวจตรวจตราว่าตนได้ผิดต่อฟ้าหรือไม่เคยขาด
    เราทุกคนต่างรู้สึกสำนึกในตัวท่าน ต่างประสงค์เรียนรู้เอาอย่างท่าน แต่ก็หาควรเอาอย่างเฉพาะอิริยาภายนอก หรือเอาอย่างเพียงแค่สาราณียวัตรภายนอกของท่านไม่ หากควรจะทำความเข้าใจ ในใจจริงแท้ของท่านและเอาอย่างห้วงชีวิตจิตใจของท่าน ฉะนี้ จึงจะถือเป็นการสืบสานเจตนารมณ์ของท่านให้โชติช่วงนิรันดรได้  เมื่อเราลองตรองดูว่า เหตุใดท่านเหล่าเฉียนเหรินจึงได้รับความโปรดปราน เอ็นดู และเกียรติภูมิจากเบื้องฟ้า จนได้รับการยกย่องเทิดทูนให้เป็นพระพุทธะเดินดิน ปรมาจารย์แห่งยุคสมัย ขงจื่อบนแดนดินไวโรจนอุดรดารา อริยเจ้าแห่งยุค หรือกระทั่งในชั้นขอขมาสำนึกบาป ในปีหมินกั๋วที่ ๗๓ (ค.ศ.๑๙๘๔) ๔ ค่ำ เดือน ๔ ท่านเทียนหรันซือจุนยังทรงประทานเป็นพระโอวาทตรัสชมท่านในบทโอวาทเปิ่นเอวี๋ยน (ต้นสายเดิม) ว่า หนึ่งสายโยงใยเทียนเอินถัง เสาหลักค้ำฟ้าแบกคลอนงาน ด้วยเพราะเบื้องฟ้า คือ ผู้ที่ทรงโรจนปัญญาที่สุด ซึ่งหากท่านเหล่าเฉียนเหรินมิได้มีใจจริงแลคุณธรรมบารมีจริงฉะนี้แล้ว ไยจึงสามารถเป็นถึงเพียงนี้ได้
     ฉะนี้ สำหรับสายสัมพันธ์อันแนบแน่นระหว่างฟ้าและคนของท่าน ก็เป็นแบบอย่างที่ดีที่สุดของศิษย์อนุตตรธรรม และเป็นสิ่งที่ผองเราควรจะศึกษาและนำพา เพราะอานุภาพแห่งมนุษย์นั้นมีจำกัด  หากพระเมตตาแห่งฟ้านั้นไร้ขอบเขตนั่นเอง ""มีคุณธรรมจักสื่อถึงฟ้า"" ""ผู้ตามเจตน์ฟ้าจักจำเริญ"" ดังนั้นตลอดชีวิตของท่านจึงได้ทุ่มเทสุดใจถวายฟ้าโดยไร้ซึ่งอัตตาตัวตน อีกยังหมั่นระลึำกในพระมหากรุณาธิคุณเบื้องบน และถวิลหาพระคุณอาจารย์อยู่มิเคยเลือน จนที่สุดได้ซาบซึ้งถึงดวงฤทัยแห่งฟ้า และได้กลายเป็นดาวเหนืออันแจ่มจรัสในท่ามกลางมหาจักรวาล ที่ได้สืบสานต่อจากตะวันจันทรา แห่ง ซือจุนซือหมู่ นั่นเอง

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382

       ท่านเหล่าเฉียนเหรินมีนามว่า เอินหรง  นามรองเจี๋ยชิง (เกียรติพิศุทธิ์) สมญานามว่า อวี่หลิน อีกนามว่า เจี๋ยชิง (สะอาดบริสุทธิ์) ในช่วงปัจฉิมวัยได้เรียกตนว่า "ผู้เฒ่าน้ำใส" อีกสมญาว่า "เจ้านิเวศตึกเทิดคุณ" ท่านเป็นคนมณฑลเหอเป่ย อำเภอเหนิงเหอ ตำบลพันจวง  ได้กำเนิดเมื่อปีศักราชชิงกวงซวี่ที่ ๒๗ เดือน ๓ วันที่ ๒๒ ตกฟากยามวอก
       สถานการณ์แผ่นดินในตอนนั้นกำลังวิกฤตอย่างหนัก เหล่ามหาอำนาจต่างคอยจ้องเขมือบดุจสัตว์ร้าย คิดแต่จะหาเรื่องระรานแผ่นดินจีนอยู่เนือง ๆ ดังนั้นจึงเป็นที่แค้นเคืองของชาวประชายิ่งนัก ต่อมาจึงได้เกิดเหตุการณ์เผาโบสถ์จากฝีมือของสมัชชาอี้เหอถวน ที่มีความเคียดแค้นชาวต่างชาติเป็นอย่างมากในปีค.ศ.๑๙๐๐ ซึ่งก็ส่งผลให้ ๘ ชาติพันธมิตรรวมกำลังพลบุกเข้าสู่เมืองหลวง จนทำให้สถานการณ์บ้านเมืองตกต่ำถึงขั้นระส่ำระสาย
       กระทั่งปี ค.ศ.๑๙๐๑  เดือน ๓ ทั้งแผ่นดินยังคงมีทหารต่างชาติเข้ารุกรานอยู่อย่างต่อเนื่อง จนทำให้ประชาราษฏร์ต่างอกสั่นขวัญแขวน ต้องคอยระวังระวัยตื่นตระหนกไปทั่วทุกหัวระแหง    ดังนั้น  หลังจากท่านเหล่าเฉียนเหรินเกิดได้เพียง ๑ วัน คุณแม่และคุณยายของท่าน จึงต้องอุ้มท่านหนีภัยไปหลบซ่อนในหมู่บ้านที่คุณตาอาศัยอยู่ โชคดีที่เบื้องบนทรงคุ้มครอง ในระหว่างการหนีภัยสงคราม ทั้งสามจึงมิได้เจ็บไข้ได้ป่วยแต่อย่างใด
      เวลานั้น คุณพ่อของท่านเหล่าเฉียนเหรินกำลังทำธุรกิจอยู่ที่เทียนจิน เวลากลับบ้านในแต่ละปี ก็ไม่สามารถอยู่เกินหนึ่งเดือนได้ ด้วยเหตุนี้  สองแม่ลูกจึงต้องอยู่ประจำที่บ้านของคุณตา จนกระทั่งท่านเหล่าเฉียนเหรินได้เจริญวัยจนครบ ๘ ขวบ ซึ่งเข้าสู่วัยเรียนแล้ว ท่านจึงได้ย้ายกลับมาพักที่หมู่บ้านพันจวงดังเดิม   ดังนั้นในระยะเวลาแห่งการเจริญเติบโต นับแต่วัยเด็กจนถึงวัยรุ่นของท่านนั้น ท่านได้รับการอบรมบ่มสอนจากคุณตา คุณยาย และคุณแม่มาอย่างลึกซึ้ง จึงได้ส่งอิทธิพลมาตลอดชีวิตของท่าน และก็เนื่องด้วยคุณตา คุณยาย และคุณแม่ต่างเป็นคนที่สมถะเรียบง่าย มึความมัธยัสถ์หมั่นเพียร มีศีลธรรมจรรยา มีอัธยาศัยไมตรีต่อเพื่อนบ้าน อีกมีการอบรมสั่งสอนอย่างเคร่งครัด  ดังนั้น  ท่านเหล่าเฉียนเหรินจึงได้ถูกปลูกฝังคุณธรรมจรรยามาแต่เยาว์วัย บวกกับคุณตา คุณยาย และคุณแม่ของท่านต่างสามารถปฏิบัติเป็นแบบอย่างให้เห็น และประสิทธิ์ประสาทวิชาแห่งอริยเมธีให้กระจ่าง โดยเฉพาะในด้านสัตถคัมภีร์โบราณด้วยแล้ว ก็ยิ่งได้รับการอบรมถ่ายทอดอยู่มิเคยขาด ด้วยเหตุนี้ท่านเหล่าเฉียนเหรินจึงถูกปลูกฝังให้เป็นคนที่ประหยัดมัธยัสถ์ รักเรียนใฝ่ศึกษา นำพาในงานสาธารณกุศลมาแต่ยังเยาว์ ซึ่งท่านก็ได้สืบสานมั่นคงในคำสอน มุ่งเจริญในมรรคาแห่งอริยเมธาเจ้า ตราบจนถึงปัจฉิมกาลของท่านมิเคยขาด ในสายธารแห่งวันเวลาหลายสิบปีนี้ คนที่อยู่ใกล้ชิดท่านก็จะรู้ดีว่า ท่านมักจะรำพันถึงคำสอนและความรักของคุณตาคุณยาย และคุณแม่เมื่อครั้งยังเยาว์วัยอยู่มิเคยขาด โดยในทุกห้วงแห่งความทรงจำนั้น ท่านก็ยังคงฝังจำรำลึกอยู่เสมอ จนบางครั้งถึงกับน้ำตาไหลริน และจากตรงนี้ก็ทำให้เราได้ประจักษ์เห็นถึงจิตใจอันกตัญญูของท่านได้จนหมดสิ้น
        และที่หาได้ยากยิ่งก็คือ ความกตัญญูของท่านยังสามารถธำรงคงไว้เช่นนี้มาตลอดหลายสิบปี โดยหาได้เลือนหายไปกับการเปลี่ยนแปลงแห่งกาลเวลาแม้แต่น้อยไม่  จากการที่ท่านยืนยันไม่ยอมจัดงานวันเกิดเลยแม้สักครั้งเดียว ก็เป็นหลักฐานที่สามารถพิสูจน์ได้เป็นอย่างดี ในประเพณีของชาวจีนโดยทั่วไป หากถึง ๖๐ ก็ถือว่าเป็นมงคล ซึ่งควรจะจัดงานฉลองวันเกิด แต่ท่านเหล่าเฉียนเหรินที่สิริอายุจนถึง ๙๐ กว่า ก็ยังมิยอมจัดงานฉลองวันเกิดเลยแม้สักครั้ง ทั้งนี้เพราะเหตุใดหรือ?

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382

  ท่านเหล่าเฉียนเหรินเคยกล่าวว่า "ในสมัยที่ท่านซือจุน ซือหมู่ ยังอยู่ ยังไม่เคยมีศัพท์คำว่าฉลองวันเกิดเลย และพระอาจารย์มักกล่าวอยู่เสมอว่า "ในวันเทศกาลและวันเกิดห้ามจัดพิธีฉลองอย่างเด็ดขาด" เพราะเหตุเมื่อคนเราสนุกสนานในวันเทศกาล ก็มักจะมีการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต จนทำให้สรรพสัตว์ต้องเดือดร้อนไปทั่วทุกหัวระแหง เราทุกคนต่างมีจิตเมตตามาแต่กำเนิด แล้วจะเข่นฆ่าล้างผลาญกันเช่นนี้ทำไม อีกอย่างคนโบราณก็มักกล่าวอยู่เสมอว่า "วันเกิดของลูก คือ วันทุกข์ของแม่" ในวันที่แม่ได้ให้กำเนิดเรา ท่านก็ต้องประสบภยันตรายเสมือนหนึ่งได้เข้าสู่ประตูผีปานนั้น ส่วนคุณพ่อก็ต้องคอยห่วงใยกระสับกระส่าย กระทั่งเราได้เกิดมาแล้วนั่นแหละ และไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิงขอเพียงแต่แม่ลูกปลอดภัย ทุกคนก็จะดีใจกันทั้งครอบครัว
     พวกเราลองคิด ๆ ดูถึงความทุกข์ยากลำบากของคุณพ่อคุณแม่ที่ต้องเลี้ยงดูเรา ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เรายังจะสนุกสนานในวันเกิดได้ลงคอเชียวหรือ ในสมัยที่พระอาจารย์ยังอยู่ ทุกครั้งที่ถึงวันเกิดของท่าน ทุกคนจะมิกล้าเอ่ยถึงเรื่องวันเกิด  และมิกล้าผัดหมี่สั่วเพื่อฉลองวันเกิดให้ท่านแต่อย่างใด ที่ทุกคนพอจะทำได้ก็เพียงแค่กราบอวยพร ๓ กราบให้ท่านซือจุนเมื่อตอนถวายธูปเท่านั้น
    ในด้านหนึ่งนั้น ก็เพราะท่านเหล่าเฉียนเหรินสำนึกในพระทัยของพระอาจารย์ เคารพในโอวาทของพระอาจารย์ มีความจงรักภัคดีต่อพระอาจารย์ จนแม้นท่านจะจากไปแล้วก็มิได้ทำตัวแตกต่างจากเดิมแต่อย่างใด ส่วนในอีกด้านหนึ่งนั้น เพราะท่านเหล่าเฉียนเหรินได้รู้ซึ้งถึงความเจ็บปวดของมารดา ตระหนักในความเหนื่อยยากแห่งการเลี้ยงดูของมารดา โดยเฉพาะในวันที่มารดาให้กำเนิดท่านเสมือนหนึ่งได้ผ่านประตูผีมา ดุจผจญผ่านแดนนรก ด้วยจิตแห่งความกตัญญูกตเวทิตาของท่านเหล่าเฉียนเหรินนี้ ท่านเคยกล่าวไว้ดังนี้ว่า "ทุกครั้งที่นึกถึงตรงนี้ จิตใจก็มีความรู้สึกละอายและสำนึกในพระคุณของมารดาอยู่มิขาด เพราะในวันที่เราเกิด เราก็เกือบจำทำให้คุณแม่ต้องตาย แล้วเรายังจะมีอารมณ์จัดงานวันเกิดได้อีกหรือ

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382

       ดังนั้น ในวันที่ ๒๒ เดือน ๓ ของทุกปี ท่านเหล่าเฉียนเหรินจะกำชับให้นักธรรมที่อยู่ใกล้ชิดไปปิดประตูฝูซันตั้งแต่เช้าตรู่ และจากนั้นท่านก็จะเก็บตัวสำนึกในพระคุณ สำนึกในความผิดบาป และสำนึกในความรักของบิดามารดาในห้องอย่างเงียบงันแต่เพียงผู้เดียว
      ท่านไม่เพียงไม่มีใจที่ยึดติดในรสชาดอาหาร และความสนุกสนานในวันเกิดอย่างที่ชาวโลกทำกัน หากท่านยังมักสำนึกในพระคุณของบิดามารดา พระคุณของคุณตาคุณยายอย่างเงียบสงบ โดยท่านจะดื่มเพียงน้ำเปล่าและทานหมั่นโถเพียงลูกเดียวในวันเกิดของท่านเท่านั้น
     ด้วยเกียรติฐานะ กิตติคุณ ความสำเร็จ และมนุษย์สัมพันธ์ของท่านเหล่าเฉียนเหรินในอาณาจักรธรรมแล้ว การที่จะจัดงานวันเกิดก็หาใช่เรื่องยากไม่ แต่ด้วยเพราะท่านมีจิตกตัญญูอันผุดผ่อง มีความถวิลหามารดาอย่างอาลัย มีความกวดขันหมั่นเพียรอย่างเคร่งครัด ท่านจึงยึดมั่นในจริยวัตรโดยมิยอมแปรเปลี่ยนไปตามกระแสชาวโลกแต่อย่างใด หรือแม้แต่ท่านสิริอายุครบ ๙๐ ปี แล้วก็เช่นกัน ในปีนั้น เฉินเฉียนเหริน หรืออาวุโสอีกจำนวนหลายท่านได้ร่วมเดินทางไปอวยพรวันเกิดของท่านเหล่าเฉียนเหรินที่ฝูซัน แต่คาดไม่ถึงว่าเรื่องนี้กลับทำให้ท่านเหล่าเฉียนเหรินต้องโกรธ และปิดประตูห้องนั่งเสียใจว่า "ในวันทุกข์วันยากของแม่จะให้จัดงานฉลองวันเกิดได้อย่างไร" ในภายหลัง อาวุโสต่างช่วยกันอธิบายว่า "คนเราเกิดมาหายากนักที่จะมีอายุถึง ๙๐ ได้ จึงขอให้ท่านเหล่าเฉียนเหรินเมตตาให้โอกาสพวกเราได้จัดงานฉลองให้ด้วยเถิด"
     ด้วยเหตุที่ท่านเห็นทุกคนต่างมีความจริงใจ ท่านเหล่าเฉียนเหรินจึงเดินออกจากประตูห้อง แต่แล้วทุกคนต่างก็ต้องตกใจกันไปหมด เพราะท่านเหล่าเฉียนเหรินได้คุกเข่าโขกศรีษะขอบคุณน้ำใจทุกคนในทันทีที่เดินออกมา สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นฉับพลันเช่นนี้ ก็ทำให้ทุกคนต่างตกใจจนต้องรีบคุกเข่าสำนึกเสียใจ และมิกล้าทำเช่นนี้อีกต่อไป
     ปีหมินกั๋วที่ ๘๓  (ค.ศ.๑๙๙๔) เดือน ๓ วันที่ ๒๒ อันเป็นปีสุดท้ายของท่าน และก็เป็นวันเกิดสุดท้ายของท่าน ท่านก็ยังคงทำเหมือนเช่นอดีตคือ ท่านจะไม่รบกวนผู้อื่นและนั่งเขียนบันทึกอย่างเรียบง่ายและจริงใจว่า เดือน ๓ วันที่ ๒๒ วันนี้เป็นวันอัปยศของข้าพเจ้า เมื่อคิดถึงคุณแม่ที่ให้กำเนิดข้าพเจ้า เวลายามวอกที่ข้าพเจ้าได้ถือกำเนิดในวันนี้ คุณยายต้องคอยดูแลอย่างใกล้ชิด และตอนรุ่งสางของวันที่ ๒๓ ทุกคนจะต้องข้ามแม่น้ำและต่อรถหนีภัยไปยังหมู่บ้านของคุณตา เพราะ ๘ ประเทศพันธมิตรได้บุกโจมตีประเทศจีน ตอนนั้นจึงเต็มไปด้วยความชุลมุนวุ่นวาย ด้วยความรักความเอ็นดูของแม่ที่มีต่อลูก จึงทำให้ท่านต้องลำบากเพิ่มมากขึ้นเป็นเท่าทวี ท่านต้องคอยเลี้ยงดูฟูมฟักจนลูกเติบใหญ่ วันนี้เมื่อคิดถึงคราใดก็ให้รู้สึกปวดร้าวใจยิ่งนัก บัดนี้ลูกอยากเลี้ยงดูแต่ท่านก็จากไปเสียแล้ว ตอนนี้ข้าพเจ้าก็เป็นเหมือนไม้ที่ใกล้ฝั่ง ที่ทำได้ก็มีเพียงตั้งปณิธานและบรรลุในปณิธาน เพื่อทดแทนพระมหากรุณาธิคุณของแผ่นฟ้าพระบารมีแห่งพระอาจารย์ให้เต็มที่เท่านั้น ไฮ ! ไฮ !

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382

       เพียงหนึ่งบทบันทึกที่แสนสั้น ทว่าก็ได้พรรณนาถึงใจอันระลึกตรึกคุณของท่านเหล่าเฉียนเหรินออกมาจนหมดสิ้น ในช่วงเวลาอันเนิ่นนานถึง ๘๐-๙๐ ปีก็มิเคยได้ลบเลือนซึ่งความทรงจำและความอาลัยรักที่มีต่อมารดาของท่านเลยแม้แต่น้อย ด้วยวัย ๙๐ อย่างท่านเช่นนี้ ในยามที่ท่านได้ถวิลหาอาลัยต่อมารดาแล้ว ก็ยังคงมีความบริสุทธิ์ไร้เรียงสาที่ห่วงหาอาวรณ์อยู่มิขาดถึงเพียงนี้ได้ ดังนั้นในช่วงเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมา ขอเพียงท่านได้ทานอาหารที่เอร็ดอร่อย ท่านก็มักจะรำพันอย่างเสียใจอยู่เสมอว่า " ของอร่อยอย่างนี้ ตอนที่คุณแม่ยังอยู่ไม่เคยได้ทานเลย"  เมิ่งจื่อกล่าวว่า " มหากตัญญูนั้น ชั่วชีวีจักถวิลหาอาวรณ์บุพการี" และท่านเหล่าเฉียนเหรินก็สามารถทำเช่นนี้ได้จริง ๆ
      มาตรแม้นประเทศชาติจะมีภัย อีกความพลัดพรากต่าง ๆ จะสร้างความเจ็บปวดรวดร้าวให้แก่ท่านอย่างมากมายก็จริง แต่ความเด็ดเดี่ยวในปณิธานที่มุ่งมาดแทนพระคุณฟ้าบารมีอาจารย์ของท่านเช่นนี้ ก็เป็นเพราะความปรารถนาอย่างแรงกล้าในความกตัญญูที่มุ่งครองตนมั่น และเจริญในธรรม ประกาศเกียรติศักดิ์สู่ชนรุ่นหลัง เพื่อเป็นเกียรติคุณแห่งบิดามารดรด้วยเช่นนี้ ท่านจึงมุ่งมั่นหาญทะยานตนให้เป็นมหาบุรุษสำเร็จในมหากิจ เพื่อเป็นการทดแทนพระคุณฟ้า ตอบแทนพระคุณบิดามารดา ตราบจนสิ้นอายุขัยนั่นแล้วจะถือว่าไม่เสียชาติเกิดนั่นเอง
     นอกจากความอาลัยรักที่มีต่อมารดาอย่างประมาณมิได้แล้ว ท่านยังมีใจที่เคารพรักต่อบิดาอย่างมากมาย แม้ว่าท่านทั้งสองจะมีเวลาที่อยู่ด้วยกันน้อยมากก็ตาม แต่จิตรู้คุณแห่งบุตรกตัญญูอย่างท่านนี้ ก็มิได้มีความแตกต่างผันแปรไปเป็นอื่นเลย
     ในปีหมินกั๋วที่ ๓๖ (ค.ศ.๑๙๔๗) เดือน ๘ วันที่ ๑๕ อันเป็นวันที่ท่านซือจุนได้สำเร็จธรรม ท่านเหล่าเฉียนเหรินพร้อมด้วยเต้าจั่ง (ธรรมปรินายก)และเฉียนเหรินจำนวนหนึ่ง ได้ร่วมเดินทางไปจัดพิธีศพให้ท่านซือจุนที่หังโจว หลังจากเสร็จสิ้นพิธีก็เดินทางกลับเทียนจินในกลางเดือน ๑๐  แต่คาดไม่ถึงว่าบิดาของท่านได้ถึงแก่กรรมตั้งแต่วันที่ ๑๓ เดือน ๙ เสียแล้ว และครั้นท่านเหล่าเฉียนเหรินได้ทราบข่าว ท่านก็มีความโทมนัสเสียใจอย่างที่สุด และได้เขียนบันทึกอย่างสุดเศร้าเสียใจดังนี้ว่า "มิได้อยู่ดูใจครั้งสุดท้าย คือ เรื่องสุดเสียใจชั่วชีวี พ่อแก้วแม่แก้วจากไปลับแล้ว ในฟ้าดินนี้ได้ลาคลาดแคล้ว แม้นแว่วถามก็สิ้นทาง" ด้วยความเจ็บปวดรวดร้าวที่ได้สูญเสียบิดาผู้บังเกิดเกล้าเช่นนี้ หากมิได้ประสบด้วยตน ก็มิอาจที่จะรับรู้ซึ่งความระทมทุกข์ได้อย่างแน่นอน    พ่อนั้นแลให้กำเนิด
         แม่นั้นแลฟูมฟักชูเชิด
         แม้ดวงใจอยากทูนเทิด
         ก็หาเกิดโอกาสมี
         ความรักแสนลึกซึ้ง
         ตรึงดวงจิตชั่วชีวี
         บุตรกตัญญูอย่างท่านนี้
         ยิ่งไม่มีทางลืมเลือน
     
      ในปีหมินกั๋วที่ ๗๖ (ค.ศ.๑๙๘๗) เดือน ๕ วันที่ ๑๕ อันเป็นวันที่ท่านเหล่าเฉียนเหริน ได้เดินทางไปพบบุตรหลานที่ไม่ได้พบหน้ากันมามากกว่า ๔๐ ปีที่ฮ่องกงเป็นครั้งแรก ครั้งนั้นท่านได้ข่าวว่าสุสานบรรพชนได้ถูกดันจนราบเรียบ อีกป้ายบรรพชนได้ถูกทำลายจนหมดสิ้น ท่านมีความเศร้าโศกเสียใจและคอยห่วงใยในเรื่องนี้อยู่มิขาด และทุกครั้งที่ท่านคิดถึงตัวเองที่ต้องจากลาบ้านเกิดจนมิอาจทำหน้าที่แห่งบุตรที่ควรทำได้แล้ว ก็ทำให้ท่านรู้สึกเศร้าโศกจาบัลย์จนน้ำตาคลอเบ้าอยู่เสมอ ดังนั้นท่านจึงตัดสินใจทุ่มเทสุดความสามารถและวิริยะพากเพียรต่อไป
      ในปีหมินกั๋วที่ ๗๘ (ค.ศ.๑๙๘๙) แม้นในตอนนั้นท่านเหล่าเฉียนเหรินจะสิริอายุสูงถึง ๘๙ ปีแล้วก็ตาม แต่ท่านก็ยังคงออกเดินทางไกลโดยมิได้ระย่อต่อหนทางอันทุรกันดาร ทั้งนี้ก็เพื่อจัดการเรื่องสุสานบรรพชนของท่านโดยเฉพาะ แม้นว่าการกลับไปในครั้งนี้ ผู้คนบ้านช่องและตำแหน่งที่ตั้งสุสานจะเปลี่ยนไปจนมิอาจบรรลุในความตั้งใจที่มุ่งหวังไว้ก็ตาม แต่ด้วยจิตกตัญญูที่ไม่เคยเหือดหายไปไหนดวงนี้ ก็ได้ฝังรากหยั่งลึกสู่ห้วงดวงใจของท่านจนมิอาจสั่นคลอนได้ หลังจากท่านได้เดินทางกลับมาแล้ว ท่านได้บันทึกเรื่องราวการเดินทางของท่านโดยสังเขป ซึ่งก็มีอยู่บางประโยคที่ท่านได้ระบายความรู้สึกออกมาอย่างปวดร้าวเมื่อได้รู้ว่ามิอาจบรรลุความตั้งใจดังหมายเช่นนี้ว่า "ได้แต่กล้ำกลืนความปวดร้าว เมื่อเรื่องราวมิได้สมใจหมาย ได้แต่กลืนน้ำตาลงทรวงใน" เป็นต้น...    โลกหล้าแตกแยกเลือนหาย
                     จิตรักใจหมายยากสมหวัง
                     เก้าสิบน้ำตาไหลหลั่ง
                     ประดังถั่งโถมน่าเศร้าใจ
    ไม่ว่ากาลเวลาจะผันผ่านไปเช่นไร ก็มิอาจจะพัดพาจิตคะนึงหาด้วยความกตัญญุตาอันนิจนิรันดร์ของท่าน ให้เลือนหายตามไปด้วยได้     

Tags:
 

มหาปณิธาน

พระโพธิสัตว์กษิติครรภ์ (地藏王菩薩)

มหาปณิธานพระโพธิสัตว์กษิติครรภ์ (地藏王菩薩)

“...เพื่อหมู่สัตว์ทั้งหกภูมิผู้มีบาปทุกข์ ข้าพเจ้าจะใช้วิธีการต่างๆ ช่วยให้หลุดพ้นจนหมดสิ้น แล้วตัวข้าพเจ้าจึงจะสำเร็จพระพุทธมรรค”