อย่าได้ก่อเกิดการปรุงแต่ง คิด พูดทำแม้ในที่ลับตา อย่าได้สำแดงการอันไม่สมควรแม้ในเรื่องเล็กน้อย ดังนั้นกัลยาณชนจึงสำรวมระวังแม้ขณะอยู่ลำพังเฉพาะตน มีคำกล่าวว่า ""คลื่นน้อยใหญ่ในทะเลมหาสมุทรสุดสายตา ยังอาจหาที่มาที่สิ้นสุดหยุดหายลงได้บ้าง...""กระแสความคิดจิตใจของคนเราเป็นสิ่งเร้นลับสับสน ซึ่งแม้แต่ตัวเองก็ไม่อาจมองเห็นเกลียวคลื่น ความคิดในทะเลใจของตัวเองได้ว่ามันจะเกิดขึ้นเมื่อใด อย่างไร โดยเฉพาะความรู้สึกนึกคิดของปุถุชนคนทางโลกจะสงบหยุดนิ่งแม้ชั่วขณะนั้นยากนัก
จิตเดิมแท้ของคนเราแม้จะถือกำเนิดมาจากต้นธาตุต้นธรรมอันสว่างใส แต่เมื่อตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของวัตถุสัมพันท์ทางโลกและถ้าหากพลังของธรรมานุภาพในจิตสำนึกไม่แข้มแข็งจริงจังพอ แม้จะอยู่เพียงลำพัง จิตใจก็ยังปรุงแต่งวาดภาพ คาดการณ์ ฟุ้งซ่าน มุ่งหมาย ใคร่ได้ ใคร่เห็น ใคร่เป็น ใคร่รู้ วุ่นวายอยู่ได้ไม่จบสิ้น จึงมีคำเตือนที่ว่า"อยู่คนเดียวให้ระวังความคิด"
ความคิดเกาะเกี่ยวแม้เพียงนิดเดียวก็เป็นเหตุที่ก่อเกิดวัฏจักรของการเวียนว่ายตายเกิดเสียแล้ว ผู้บำเพ็ญจึงพึงถือเป็นข้อเตือนใจไว้เสมอว่า"ในความว่างรัตติกาลอันสงัดได้ยินชัดเสียงเข็มหล่นบนผืนพรม" ในความว่างคือเมื่อจิตมีสมาธิ รัตติกาลคือเมื่อจิตอยู่ในสภาวะธรรมอันสงบ
ผู้ปฏิบัติบำเพ็ญจริง เมื่อจิตเป็นสมาธิอยู่ในสภาวะธรรมอันสงบ การเคลื่อนไหวแม้เพียงเล็กน้อยของจิต เจ้าตัวเองก็จะรู้ได้ทันที จะระงับยับยั้งก็ย่อมทำได้ทันที ก่อนที่ความคิดจะลุกลามกว้่างไกลออกไป ฉะนั้นจึงมีคติธรรมคำเตือนอีกว่า"หลุดพ้นได้เมื่อจิตไร้ซึ่งมลทิน แม้ราคินเท่า ฝุ่นผงจงอย่ามี"
ท่านบรมครูขงจื้อจึงได้โปรดแสดงธรรมที่ตรงต่อวิถีแห่งจิตแด่ศิษย์ทั้งหลายว่า"อย่าได้ก่อเกิดการปรุงแต่ง คิด พูด ทำแม้ในที่ลับตา อย่าได้สำแดงการอันไม่สมควรแม้ในเรื่องละเอียดเล็กน้อย ดังนั้นกัลยาณชนจึงสำรวมระวัง แม้ขณะอยู่ลำพังเฉพาะตน""