collapse

ผู้เขียน หัวข้อ: สนทนากับพระเจ้า การพูดคุยทีไม่ธรรมดา เล่ม1 Conversations with God  (อ่าน 6655 ครั้ง)

ออฟไลน์ tik

  • Admin
  • มิตรนักธรรม
     
ชื่อหนังสือ  สนทนากับพระเจ้า Conversations with God
การพูดคุยทีไม่ธรรมดา เล่ม1
.
ISBN :  9789744015105
ผู้เขียน :  นีล โดนัลด์ วอลช์
ผู้แปล :  รวิวาร โฉมเฉลา
ขนาดรูปเล่ม :  147 x 210 x 25 มม.
จำนวน :  312 หน้า
ชนิดกระดาษ :  กระดาษถนอมสายตา
สำนักพิมพ์ :  สำนักพิมพ์ Oh My God  โทร.02-925-2308, 085-074-1656
เดือน/ปีที่พิมพ์ :  พิมพ์ครั้งที่ 3 / มีนาคม 2553
ราคา :  245 บาท

:: เนื้อหาโดยสังเขป
     สำหรับหนังสือเล่มนี้ส่วนตัวอ่านแล้วดีมาก แต่อธิบายยากแถมต้องมีใจเปิดกว้างมากๆ เลยเอาบทความนี้มาให้อ่านกันนำมาจาก กรุงเทพธุรกิจ จุดประกายวรรณกรรมลองอ่านดูเพลินๆนะครับ
พรานอักษร


Conversations with God

พระเจ้าตายแล้ว...ฟื้น?

ลมฝน

ในยุคนี้สำนักพิมพ์น้อยใหญ่ต่างลุกขึ้นมาทำหนังสือแนว 'ธรรมะ-จิตวิญญาณ' กันอย่างเป็นล่ำเป็นสัน ด้วยเป็นที่ต้องการของตลาดในยุคที่ผู้คนต่างสับสนและเสาะหาคำตอบของชีวิต หลายเล่มได้รับความนิยมจนทำให้สำนักพิมพ์จำนวนไม่น้อยรับทรัพย์ไปตามๆ กัน

ท่ามกลางปรากฏการณ์ขาขึ้นนี้ เมื่อปลายปี 2549 มีหนังสือชื่อประหลาดเล่มหนึ่งออกวางขายในตลาดบ้านเรามีชื่อว่า สนทนากับพระเจ้า เล่ม 1 แปลจากต้นฉบับเรื่อง 'Conversations with God : An Uncommon Dialogue' ซึ่งเป็นหนังสือแนวจิตวิญญาณที่ขายดีที่สุดในโลกในรอบทศวรรษที่ผ่านมา แปลไปแล้วเกือบ 50 ภาษา และเพิ่งถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ในชื่อเรื่องเดียวกัน ว่ากันว่าหนังสือชุดนี้คือ 'มหากาพย์แห่งจิตวิญญาณ' ของโลกหนังสือเลยทีเดียว และฉบับภาษาไทยก็สร้างความฮือฮาในหมู่ปัญญาชนและผู้ใฝ่ธรรมในสังคมไทยได้ไม่น้อย

หลายคนถึงกับบอกว่า...นี่คือหนึ่งหนังสือด้านจิตวิญญาณที่มีเนื้อหาโดดเด่นที่สุดในรอบหลายทศวรรษ เป็นหนังสือที่ทำลายกรอบกำแพงความคิดและความเชื่อเดิมๆ ของผู้อ่านจนหมดสิ้น บางคนกล่าวว่าเนื้อหามีความละม้ายคล้ายกับพุทธแนวมหายานและตันตระมากอย่างน่าทึ่ง

ส่วนบางคนบอกว่า...นี่คือการตีความคัมภีร์คริสต์ศาสนาใหม่ทั้งหมด แต่กับอีกหลายคนบอกว่ามันคือหนังสือข้ามพ้นวิธีคิดแบบศาสนาไปแล้ว ทั้งยังประสานคำอธิบายทางจิตวิญญาณเข้าเป็นเนื้อเดียวกับมิติทางวิทยาศาสตร์ได้อย่างน่าอัศจรรย์!

ตกลงมันเป็นหนังสือเกี่ยวกับอะไรกันแน่

สนทนากับพระเจ้า เล่ม 2 เป็นอีกคำตอบหนึ่งที่ไขปริศนาเหล่านั้น โดยเล่มนี้ก็ได้นักแปลหนุ่มรุ่นใหม่ อัฐพงศ์ เพลินพฤกษา (บรรณาธิการแปล สนทนากับพระเจ้า เล่ม 1) ซึ่งเขาบอกว่าตัวเองนับถือศาสนาพุทธและไม่เชื่อเรื่องพระเจ้า แถมยังแปลหนังสือเล่มนี้ด้วยความแค้นที่มีต่อโลก! (อีกต่างหาก)

"ผมเกลียดโลกใบนี้ ไม่ชอบเลย โลกบ้าๆ ที่สร้างแต่ความทุกข์ความเจ็บช้ำให้กับผู้คน ผมอยากตอบโต้โลก ที่ผ่านมาผมมักตอบโต้ด้วยการทำร้ายคนอื่นหรือไม่ก็ทำลายตัวเอง ใช้ความเกลียดชังเพื่อตอบโต้ความเกลียดชัง แต่พอได้อ่านหนังสือเล่มนี้เลยเกิดแรงบันดาลใจมากจนรู้สึกว่า เราไม่จำเป็นต้องใช้ความเกลียดชังเพื่อตอบสนองความเกลียดชังก็ได้ การได้มาทำและได้แปลหนังสือชุดนี้ถือเป็นวิธีที่ผมเลือกตอบโต้โลกด้วยความรัก แทนที่จะเป็นความเกลียดชังเหมือนที่เคยเป็นมา" อัฐพงศ์ เผยที่มาที่ไปของหนังสือชุดนี้ในภาคภาษาไทย

พร้อมกับขยายความต่อว่า "ไม่มีใครรู้หรอกว่าคนเขียนคุยกับพระเจ้าจริงหรือเปล่า ผมว่าประเด็นไม่ได้อยู่ตรงนั้น ความน่าสนใจของหนังสือชุดนี้อยู่ที่ตัวเนื้อหามากกว่า มันลึกซึ้งและเป็นสากลมาก ลึกซึ้งอย่างไม่น่าเชื่อ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับศาสนาเลย ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องพระเจ้าแบบที่คนทั่วไปเข้าใจด้วย ไม่ได้เป็นหนังสือศาสนา (religion) แต่เป็นหนังสือจิตวิญญาณ (spirituality) ไม่รู้จะนิยามหนังสือเล่มนี้อย่างไรเหมือนกัน"

ประเด็นนี้ Jess Peter Koffman ชาวแคนาดาซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ฟังในวันนั้น และเป็นผู้แปลหนังสือท่านพุทธทาสเป็นภาษาอังกฤษในชื่อ 'Practical Buddhism : The legacy of Buddhadasa Bhikkhu' ได้ร่วมแสดงความเห็นเกี่ยวกับหนังสือชุดนี้ไปในทางเดียวกันว่า "เป็นหนังสือที่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าสัจธรรมสูงสุดนั้นเป็นหนึ่งเดียว เนื้อหามีความลึกซึ้งเกินกว่าจะผูกติดอยู่กับศาสนาใดได้ เป็นหนังสือที่ดีมากๆ และก็ดังมากๆ ด้วย อยากให้ทุกคนได้อ่าน"

อัฐพงศ์ บอกอีกว่า แม้หนังสือชุดนี้จะดังแบบถล่มทลายในโลกตะวันตก แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลที่เขาตัดสินใจซื้อลิขสิทธิ์หนังสือชุดนี้เพื่อนำมาแปลเป็นภาษาไทยแน่นอน "เราไม่ได้ทำเพราะเห็นว่ามันดัง แต่เพราะเห็นว่ามันดี" ทั้งยังสารภาพว่าแท้จริงแล้วการทำหนังสือชื่อ สนทนากับพระเจ้า ในสังคมไทยนั้น โอกาสขาดทุนค่อนข้างสูง ด้วยเหตุผลหลักๆ คือสำหรับชาวพุทธแค่เห็นคำว่า 'พระเจ้า' ก็ไม่คิดจะหยิบแล้ว

ผู้นับถือ 'พระเจ้า' ตามแบบศาสนาก็จะรับไม่ได้ เพราะรู้สึกว่าเป็นการบิดเบือนอย่างรุนแรง ถึงอย่างนั้นเขาคิดว่าหนังสือชุดนี้มีคุณค่าเกินกว่าจะปล่อยผ่านไปได้ "แม้ว่าหลายคนจะออกมาประณามหนังสือชุดนี้ แต่ก็ไม่เป็นไร ผมเชื่อว่าหลายชีวิตจะได้ประโยชน์จากการที่หนังสือชุดนี้ได้รับการแปลเป็นภาษาไทย แม้ว่าอาจไม่ได้เป็นคนกลุ่มใหญ่ของสังคม"

นอกจากนี้ 'สนทนากับพระเจ้า' ยังได้รับการจัดอันดับจากสถาบัน International Institute of Management (IIM) ให้เป็นหนึ่งในหนังสือติดอันดับสูงสุดในหมวด World's Most Respected Spiritual Books : A Global Survey เคียงคู่กับกับคัมภีร์เต๋าเต็กเก็ง (เล่าจื๊อ), The Prophet : ปรัชญาชีวิต (คาลิล ยิบราน), Jonathan Livingston Seagull : โจนาธาน ลิฟวิงสตัน, นางนวล (ริชาร์ด บาค), Siddhartha : สิทธารถะ (เฮอมาน เฮสเส), The Art of Happiness : ศิลปะแห่งความสุข (ทะไล ลามะ), Peace Is Every Step : สันติภาพทุกย่างก้าว (ติช นัช ฮันห์), The Alchemist : ขุมทรัพย์ที่ปลายฝัน (เปาโล โคเอลโย) ฯลฯ ที่นักอ่านชาวไทยรู้จักกันดีอีกด้วย

หลายคนสงสัยว่าถ้านิทซ์เช่ยังมีชีวิตอยู่ และได้อ่านหนังสือชุดนี้ เขายังจะยืนยันประกาศว่า 'พระเจ้าตายแล้ว!' อยู่อีกหรือไม่

'สนทนากับพระเจ้า' ต่างมุมมอง

1.ดร.เสกสรรค์ ประเสริฐกุล

"ในแต่ละบรรทัดของหนังสือเล่มนี้สามารถนำไปคิดต่อได้อีกเป็นเดือนเป็นปี...หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่ให้คำตอบกับจิตวิญญาณ...ทำให้ผมเข้าใจเพิ่มเติมขึ้นเยอะเลยในแง่ของมุมมองที่มีต่อชีวิต"

2.ดร.ประพนธ์ ผาสุกยืด

"ช่างเป็นบทสนทนาที่สื่อตรงเข้าไปในใจได้อย่างชัดเจนจริงๆ เป็นการสื่อสารที่ให้ทั้งความเบิกบานและสร้างการตื่นรู้ เป็นการผสมผสานมิติทางวิทยาศาสตร์และจิตวิญญาณได้อย่างอัศจรรย์ใจ"

3.ดร.สุวินัย ภรณวลัย

"ไม่ว่า God ในหนังสือเล่มนี้จะมีอยู่จริงหรือแค่เป็นจินตนาการของผู้เขียนก็ตาม แต่นั่นหาใช่สิ่งสำคัญแต่อย่างใดเลย เพราะ God ในหนังสือเล่มนี้ คือกัลยาณมิตรที่ทรงภูมิปัญญาที่สุดคนหนึ่งเท่าที่ผู้อ่านจะพานพบได้ในชีวิตนี้…เท่าที่ผ่านมามีคนจำนวนไม่น้อยเลยที่ชีวิตของพวกเขาไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปภายหลังจากได้อ่านหนังสือเล่มนี้"

Credit : http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=heavymetal&date=23-03-2008&group=1&gblog=13


:: สารบาญ


:: หมายเหตุ

ออฟไลน์ tik

  • Admin
  • มิตรนักธรรม
สนทนากับพระเจ้า : เสมือนหนึ่งคำนำสำนักพิมพ์

ครั้งแรกที่เห็นหนังสือเล่มนี้ในร้านหนังสือภาษาอังกฤษแห่งหนึ่งก็รู้สึกสะดุดกับชื่อไม่น้อย  แต่ไม่ได้สนใจที่จะหยิบขึ้นมาอ่าน  เพราะคำว่า ”God” บนหน้าปกเป็นเหมือนเส้นกั้นไม่ให้เข้าใกล้ไปกว่านั้น  สารภาพตามตรงว่าสำหรับชาวพุทธบ้าน ๆ อย่างผมไม่มีอารมณ์ร่วมหรือผูกพันกับคำ ๆ นี้เลย  แม้จะเคยเรียนในโรงเรียนที่สอนเรื่องพระเจ้าอยู่สิบกว่าปีก็ตาม


...หลังจากวันนั้นยังได้แวะเวียนไปร้านหนังสือแห่งนั้นอีกเป็นระยะ  ทุกครั้งก็จะเห็นหนังสือเล่มนี้ตั้งอยู่  เป็นปีผ่านไปก็ยังไม่คิดจะหยิบมาเปิดอ่านเช่นเดิม...


แม้จะไม่ไยดีแต่ลึก ๆ ก็รู้แก่ใจว่าชื่อหนังสือเล่มนี้รบกวนจิตใจมาตลอดนับแต่ครั้งแรกที่เห็น  “คุยกับพระเจ้า?  คุยอะไร?  บ้าหรือเปล่า?  พระเจ้าอะไรอีก?”  จนวันหนึ่งได้ฤกษ์หยิบขึ้นมาพลิก ๆ ดูแบบไม่รู้ว่าควรจะคิดอย่างไรดี  เผยแพร่ศาสนา?  ลัทธิอุบาทว์?  คนเพี้ยนสติเฟื่อง?  นิวเอจกำมะลอ?  ฯลฯ  คำถามสารพัดผุดขึ้นในหัว  หยิบวาง ๆ อยู่ห้าหกรอบจึงตัดสินใจว่าจะลองซื้อมาอ่านดู  ตอนจ่ายเงินก็ยังปลอบใจตัวเองว่าถ้าอ่านแล้วไม่มีอะไรให้จดจำก็ถือว่าฟาดเคราะห์ไปเล่มหนึ่งแล้วกัน  อย่าคิดมากเลย  ...แต่ถ้าเกิดมีอะไรน่าสนใจขึ้นมาล่ะ


เริ่มอ่านด้วยอารมณ์ว่างเปล่า  อ่านไปเรื่อย ๆ ความรู้สึกหลายอย่างค่อย ๆ ผุดขึ้น  น่าแปลกที่ไม่รู้สึกมีปัญหากับคำว่า “พระเจ้า” ที่ปรากฏในหนังสือเล่มนี้อย่างที่คิดไว้แต่แรก  แถมหลายช่วงยังสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายตะวันออกในแบบที่ไม่เคยรู้สึกมายาวนานเหลือเกินแล้ว  สุดท้ายอ่านจบด้วยอารมณ์สะท้านและกระเจิดกระเจิง


หลายคนตั้งคำถามว่าตกลงนี่คือหนังสืออะไร...หรือของศาสนาไหนกันแน่


ในที่นี้ผมคงสรุปแทนใครไม่ได้  อยากให้ผู้อ่านลองอ่านแล้วสรุปเองจะดีกว่า  ส่วนคำตอบที่ผมมีให้ตัวเองหลังอ่านจบก็คือ นี่ไม่ใช่หนังสือศาสนา  อีกทั้ง ”พระเจ้า” ในที่นี้ก็ไม่ใช่แบบที่พวกเราคุ้นเคย  หากว่าหนังสือเล่มนี้จะต้องเป็นอะไรสักอย่างให้ได้  มันก็คงเป็นได้ทุกอย่างตามแต่จริตพื้นฐานและจินตนาการของแต่ละคน  ซึ่งที่จริงเราไม่จำเป็นต้องนิยามหรือระบุสังกัดให้หนังสือเล่มนี้เลยก็ได้


ผู้อ่านย่อมมีสิทธิที่จะรับหรือไม่รับหนังสือเล่มนี้  ทว่าโปรดอย่ารีบปฏิเสธเพียงเพราะข้างในมีเนื้อหาต่างไปจากสิ่งที่เคยได้รับการสั่งสอนหรือปลูกฝังกันมา  ไอน์สไตน์พูดไว้ลึกซึ้งว่าเราไม่อาจแก้ปัญหาได้ด้วยระดับคิดเดียวกับที่เราสร้างปัญหาขึ้น  ฉะนั้นหากอยากให้ชีวิตและโลกใบนี้ต่างไปจากเดิมบ้าง  เราอาจต้องยอมเปิดรับชุดความคิดหรือคำตอบใหม่ ๆ ซึ่งต่างไปจากที่คุ้นเคยบ้างเช่นกัน  บางครั้งคำตอบที่ว่าใหม่นี้อาจไม่จำเป็นต้องหมายถึงสิ่งใหม่ในความหมายที่แท้จริงเสมอไป  อาจเป็นเพียงของเก่าที่ได้เวลาสำแดงตนในมุมมองและความเข้าใจใหม่  เพราะเราไม่จำเป็นต้องละทิ้งสิ่งเก่าด้วยการทุบทำลายถ่ายเดียว  บางคราวเพียงเปลี่ยนวิธีเข้าหา  เพิ่มส่วนผสมบางอย่างเข้าไป  หรือขยายออกจากสิ่งเดิมก็ทำให้เราได้สิ่งใหม่แล้ว


ไม่จำเป็นที่ใครจะต้องเชื่อตามหรือเห็นด้วยกับหนังสือเล่มนี้เลย  ถ้าเห็นด้วย..นั่นก็เพราะเขาได้พบความจริงของตัวเอง  แต่ถ้าไม่..ก็ไม่ใช่อะไรนอกจากเขาไม่ได้พบความจริงของตัวเอง  ซึ่งนั่นจะนำไปสู่ความจริงของตัวเขาเองในท้ายที่สุดอยู่ดี  ไม่สำคัญเลยว่าหนังสือเล่มนี้จะพูดหรือกล่าวอ้างอะไร  ไม่สำคัญกระทั่งว่าผู้อ่านจะเชื่อใน “พระเจ้า” หรือไม่  สำคัญที่เราได้พบความจริงอะไรในตัวเองบ้างหลังอ่านหนังสือเล่มนี้แล้ว  เรารู้สึกอย่างไรต่อตัวเอง  เพื่อนมนุษย์  และสรรพสิ่งเมื่อเปิดไปถึงหน้าสุดท้าย  นี่ต่างหากที่เป็นจุดใหญ่ใจความ  เราอ่านหนังสือเล่มนี้เพื่อสุดท้ายจะหวนกลับมาสังเกตประสบการณ์และฟังความจริงของตัวเอง  แล้วเริ่มจากตรงนั้น


สนทนากับพระเจ้า  เป็นหนังสือที่โดยเนื้อหาแล้วผู้แปลอยากแปล  สำนักพิมพ์อยากทำ  และผู้มีส่วนร่วมทุกคนเต็มใจ  องค์ประกอบง่าย ๆ แค่นี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ง่ายเลยในบรรยากาศที่ระบบกำไรขาดทุนเข้ากำหนดเกือบทุกอย่างเช่นในปัจจุบัน  สำนักพิมพ์จึงขอกล่าวด้วยความนอบน้อมไว้ ณ โอกาสนี้ว่าในการจัดพิมพ์ สนทนากับพระเจ้า  เรามุ่งหวังเพียงว่าเนื้อหาของหนังสือเล่มนี้อาจเป็นประโยชน์ต่อชีวิตผู้คนและสังคมนี้ได้บ้างไม่มากก็น้อย  มิได้มีเจตนาที่จะจาบจ้วงต่อหลักความเชื่อของผู้ใด  หรือต้องการจะเผยแพร่ลัทธิหรือมีจุดประสงค์แอบแฝงอื่นใดเลย


สำนักพิมพ์ขอขอบคุณจากส่วนลึกของหัวใจแด่ผู้แปล คุณรวิวาร โฉมเฉลา  คุณจิตติ หนูสุข  Mr. William Kuipers  อ.สุวินัย ภรณวลัย  อ.เสกสรรค์ ประเสริฐกุล  อ.ไสว บุญมา  พี่พจน์--พจนา จันทรสันติ  พี่เวียง--วชิระ บัวสนธ์  พี่โจ--มณฑานี ตันติสุข  คุณสุธีรา พิทยเมธี  คุณสุนทร กตัญญูบุญญาพงศ์  คุณเกรียงไกร สนธิมาส  รวมถึงทุกท่านและทุกสิ่งที่มิได้เอ่ยนามในที่นี้  สำหรับความช่วยเหลือ  คำแนะนำ  กำลังใจ  โอกาส  และความเมตตาอันบริสุทธิ์ที่มอบให้  คุณมงคล เตชะกิจจาทร ผู้มีพระคุณกับสำนักพิมพ์และให้ความรักไม่มีสิ้นสุดแก่ใครบางคนในกองบรรณาธิการ และสุดท้าย พี่ไก่--ปิยาวันทน์ ประยุกต์ศิลป์  ผู้คอยชี้แนะสิ่งดี ๆ มาตั้งแต่ก่อนวันแรกของสำนักพิมพ์จนถึงวินาทีนี้ 


ด้วยความขอบคุณ

บรรณาธิการ

Credit : http://www.ohmygodbooks.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=363131&Ntype=1

Tags: