8.ไม่ละทิ้งพระธรรมโอวาท (อู้ชี่เซิ่งซวิ่น)
พระธรรมโอวาท ก็คือธรรม โอวาทที่เหล่าอริยะเจ้าได้ให้ไว้ หรือ เรียกได้ว่าเป็นหนังสือบันทึกหลักสัจ ธรรมแห่งพุทธะอริยะ กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือเป็นคำพูดของอริยะและ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายที่ได้กล่าวไว้แล้ว ท่านเหล่านั้นได้กล่าวอะไรไว้บ้าง ?
หมื่นพันวาจาล้วนคือสัจธรรมที่ได้กล่าวถึงแล้ว เวไนย์ควรจะบำเพ็ญอย่างไรจึงจะได้กลับคืนสู่เบื้องบน คำพูดต่างๆ เหล่านี้ ล้วนคือการนำพาให้เวไนย์ละจากมิจฉาคืนสู่ความถูก ต้อง จากความลุ่มหลงให้กลายเป็นรู้ตื่น เพราะเหล่า อริยะเจ้าและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายล้วนเป็นผู้ที่สำเร็จ ธรรมแล้ว ด้วยเหตุนี้ คำพูดของท่านเหล่านั้นจึงเปรียบ ประดุจตัวแทนแห่งธรรม เป็นตัวแทนแห่งสัจจะความ จริง
ฉะนั้น ทุกๆ ถ้อยคำในพระธรรมโอวาทล้วนกลั่น ออกมาจากจิตญาณเดิมแท้ของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งสิ้นและ สอดคล้องตามเหตุปัจจัยของเวไนยสัตว์ เพราะวจนะ เหล่านั้นล้วนเป็นสัจวาจาที่พรั่งพรูออกมาจากพุทธจิต ธรรมญาณ เป็นแสงสว่างนำทางอันแท้จริง และเป็น ธรรมนาวาที่จะนำพาเวไนย์กลับคืนสู่เบื้องบน
อันว่า ไม่ละทิ้ง ก็คือ การไม่ทิ้ง ไม่ดูแคลนหรือ ไม่ละเลยที่จะปฏิบัติตาม เพราะเหตุว่าพระธรรม โอวาทหรือพระสูตรล้วนเป็นวจนะแห่งความเมตตาที่ กลั่นจากใจของด่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นย่อมมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ คอยคุ้มครองอยู่ หากเจ้านำพาพระธรรมโอวาทพก ติดตัวไป ขอเพียงเจ้านั้นมีใจอันเทียงตรงและศรัทธา ย่อมได้รับการปกปักษ์รักษาจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ อีกทั้ง ยังปัองกันอันตรายมิให้กล้ำกราย ด้วยเหตุนี้ จะ ละทิ้งไม่เห็นความสำคัญได้อย่างไร ในเมื่อพระธรรม โอวาทเป็นดังเข็มทิศที่จะชี้นำไปสู่หนทางแห่งอริยะ
ศิษย์เอ๋ย หากเจ้าไม่ปฏิบัติตามแล้วจะบำเพ็ญไปสู่ ความสำเร็จได้อย่างไร สิ่งศักดิ์สิทธิ์ล้วนเมตตาห่วงใย พวกเจ้าในเรื่องเกิดตายอันเป็นเรื่องใหญ่ ทรงเพียร พยายามและทุ่มเทอย่างสุดจิตสุดใจ แต่เหตุใดพวก เจ้าจึงกลับละเลยถอยห่างและไม่ปฏิบัติตามเล่า !
เพราะฉะนั้น การไม่ละทิ้งพระธรรมโอวาท ความหมายที่แท้จริงก็คือ การเข้าถึงความเมตตาของ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ เข้าใจถึงความหมายที่แท้จริงในความ ลึกซึ้งแยบยลของพระธรรมโอวาท แล้วนำไปปฏิบัติ จึงจะสามารถสำเร็จเป็นพุทธะเป็นอริยะได้
--------------------------------------------------------------------------------
9.ไม่ยึดติดในรูปลักษณ์ (ม่อจั๋วสิงเซี่ยง)
ไม่ยึดติดในรูปลักษณ์ ก็คือ การไม่ยึดติดรูปลักษณ์ภายนอกทั้ง หลายที่มาอำพราง เพราะเหตุว่าสิ่ง ต่างๆ ที่มีรูปลักษณ์นั้นไม่ได้คงสภาพ อยู่อย่างนั้นตลอดไป ที่สุดแล้วย่อม ไม่ใช่สิ่งที่จริงแท้ สุดท้ายก็จะต้อง สูญสลาย
ในวัชรสูตรมีคำกล่าวว่า สรรพสิ่งที่มีรูปลักษณ์ล้วนเป็นมายา หาก เห็นรูปลักษณ์มิใช่รูปลักษณ์ก็จะเห็นตถาคต ด้วยเหตุนี้ ผู้ที่ยังไม่สามารถขจัดซึ่งรูปลักษณ์และยังหลง ติดอยู่ในรูปลักษณ์เช่นนี้ จิตของเขาก็ยังอยู่ในชั้นรูป ภูมิ ไม่สามารถเข้าสู่อรูปภูมิหรืออนุตตรภูมิได้ คงเป็นเพียงเวไนย์ที่ยังลุ่มหลงมิอาจหลุดพ้น ก็เพราะว่า จิตญาณนั้นเมื่อถูกรูปลักษณ์ภายนอกครอบปงำหรือถูก พันธนาการไว้ จิตเดิมแท้จึงไม่สามารถเป็นประธาน เช่นนี้แล้วจึงต้องตกเข้าสู่การเวียนว่ายไม่มีสิ้นสุด
ฉะนั้น การไม่ยึดติดในรูปลักษณ์ ไม่เพียงแต่ไม่ ยึดติดการประทับญาณของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่มาให้โอวาท เท่านั้น แต่จะต้องเข้าใจถึงความหมายที่แท้จริง และเข้าถึงความแยบยลของหลักสัจธรรมในโอวาทของ สิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นสำคัญ ยิ่งกว่านั้นไม่ว่าจะอยู่ในภาวะ การณ์ใดๆ จิตใจต้องไม่หวั่นไหวเป็นสมาธิ ให้จิตญาณ เดิมเป็นประธาน เช่นนี้ถึงจะเรียกได้ว่า ไม่ยึดติดใน รูปลักษณ์ อย่างแท้จริง
ศิษย์เอ๋ย ! เจ้ามักจะพูดว่า ไม่เอนเอียงไป ข้างใดข้างหนึ่งคือ มัชฌิมาปฏิปทา ทางสายกลาง แท้จริงแล้วคืออะไร ? ก็คือช่วงเวลาที่พุทธจิตธรรมญาณของตนปรากฏ นั่นหมายความว่ายามที่เจ้ามีใจ อันสงบบริสุทธิ์ ไร้ซึ่งการปรุงแต่งไม่เอนเอียงไป ทางใดและไม่ยึดติดในสิ่งใด ยามนั้นก็คือ การไม่ยึด ติดในรูปลักษณ์ เมื่อใจของเจ้าไม่ถูกสิ่งภายนอกทำให้ แปดเปื้อนหรือหวั่นไหว เมื่อนั้นใจของเจ้าก็จะสะอาด บริสุทธิ์ใร้ซึ่งการยึดติดปรุงแต่งไม่หวังสิ่งตอบแทน ไม่ปรารถนาสิ่งใด นี่ก็คือทางสายกลาง เป็นการ ปรากฏของพุทธจิตธรรมญาณ นั่นเอง
ฉะนั้น ไม่ยึดติดในรูปลักษณ์ ก็คือการที่ตัวตน แท้จริงปรากฏออกมา หากว่าเจ้ายังคงยึดติดในรูปลักษณ์ เช่นนี้แล้วเจ้าก็ยังต้องตกสู่กระแสแห่งการเวียนว่ายเช่นเดิมมิอาจที่จะบรรลุได้
--------------------------------------------------------------------------------
10.ขั้นตอนต้องชัดเจน (โส่วชวี่ปี้ชิง)
คำโบราณกล่าวไว้ว่า หนึ่งสตางค์ของวัดวา ยิ่งใหญ่กว่าสุเมรุภูผา หากยักยอกคิดคดนา เป็นช้าง ม้าวัวควายชดใข้กรรม
ศิษย์ทั้งหลาย พวกเจ้าเข้าใจ หรือไม่ เพราะเหตุว่าเงินทุกบาททุก สตางค์ของวัดนั้นมาจากหยาดเหงื่อ แรงงานของเวไนย์ ถึงแม้เป็นเงินไม่มาก แต่ได้มาจากความศรัทธาทำ บุญของพวกเขา อานิสงค์ของการบริจาคย่อมจะยิ่ง ใหญ่ดั่งเขาพระสุเมรุ
เพราะฉะนั้น หากมีผู้นำเงินมาทำบุญบริจาคให้กับพุทธสถาน เจ้านั้นรายงานไม่ครบทุกบาททุกสตางค์ หรือนำไปใช้ในทางมิชอบ แม้นว่าจะใช้แค่เพียงหนึ่ง สลึงก็ตาม แต่ก็บังเกิดจากใจอันละโมบนำส่งไม่ครบ ขั้นตอนไม่ชัดเจน ก็ย่อมจะได้รับซึ่งผลกรรมสนองไป เกิดเป็นวัวเป็นม้าชดใช้กรรม
ฉะนั้น ศิษย์ทั้งหลาย สิ่งที่ญาติธรรมนำมาทำ บุญด้วยความศรัทธา ไม่ว่าจะเป็นทรัพย์สินเงินทอง หรือสิ่งของ จะต้องมีการจดบันทึกอย่างชัดเจน อย่าหละหลวมทำแบบขอไปที หากมีจิตคิดละโมบทุจริต ขาดมโนธรรม จะต่องได้รับผลร้ายตอบสนองในวัน ข้างหน้าแน่นอน ศิษย์ทั้งหลายต้องระมัดระวัง !
สิ่งสำคัญขอให้ศิษย์จงจำไว้ว่ากฎสวรรค์นั้นเข้ม งวดนัก ผิดถูกเบื้องบนจะจดบันทึกอย่างชัดเจนและ พวกเจ้าต่างก็มีบัญชีนี้ด้วยกันทุกคน ทั้งความดี และความชั่วที่กระทำจะถูกจดไว้อย่างละเอียดโดยไม่มี ผิดพลาดหรือตกหล่นแม้เพียงเศษเสี้ยว
ฉะนั้น ตั้งแต่นี้ต่อไปไม่ว่าจะมีผู้นำสิ่งของหรือ เงินทำบุญมาบริจาคให้กับพุทธสถาน พวกเจ้าจะต้อง รายงานอย่างชัดเจน อย่าได้หละหลวมอย่างเด็ดขาด และหากเจ้าปฏิบัติ ขั้นตอนต้องชัดเจน เช่นนี้แล้ว ก็มีหวังที่จะสำเร็จเป็นพุทธะได้
--------------------------------------------------------------------------------
11.ไปลามาไหว้ (ชูเก้าฟั่นเมี่ยน)
ไป คือ ออกไปนอกสถานที่
ลา คือ การบอกกล่าวเมื่อจากไป
มา คือ การกลับมา
ไหว้ คือ การอยู่ต่อหน้าแล้วทำความเคารพ
ดังนั้น ไปลามาไหว้ นั้นก็คือ การที่อาวุโสมอบหมายงานให้ทำไม่ ว่าจะเป็นเรี่องเล็กเรื่องใหญ่ ไม่ว่า จะใกล้หรือไกล ต้องจดจำไว้ให้ดี แล้วไปดำเนินการอย่างจริงจัง เมื่องานที่ได้รับมอบหมายเสร็จเรียบ ร้อยแล้วก็ควรกลับมารายงานให้อาวุโสทราบ อย่าได้ หลงลืม
หากว่าเจ้าอยู่ในฐานะที่เป็นโฮ่วเสวีย (ผู้น้อย) จะออกไปทำธุระข้างนอก ก็ควรขออนุญาตหรือบอก กล่าวต่ออาวุโส เพื่อขอคำปรึกษาและรับฟังคำชี้แนะ ด้วยความจริงใจ เช่นเดียวกัน ทุกครั้งเมื่อเจ้ากลับ มาจากข้างนอกก็ควรรีบไปรายงานความคืบหน้าของ การดำเนินงานว่าเป็นอย่างไร เพื่อไม่ให้อาวุโสต้องคอยเป็นห่วง
พุทธระเบียบข้อนี้เป็นการตักเตือนผู้บำเพ็ญถึง ความซื่อสัตย์จงรักภักดีและความรับผิดชอบต่อหน้าที่ การงาน อีกทั้งจะต้องรู้จักกาลเทศะและมารยาท ไม่ว่าจะเข้ามาหรือออกไปควรมีมารยาท การไปลามา ไหว้นี้หากทำได้อย่างสมบูรณ์ก็จะยืนหยัดอย่างมีศักดิ์ ศรีไม่ว่าจะอยู่ในสังคมหรือทางธรรม
พุทธบุตรชายหญิงที่ตั้งปณิธานมายังโลกมนุษย์ ก่อนจะลงมาก็มีการลา เช่นเดียวกัน การกลับมาก็ ควรมีการบอกกล่าว ตนเองต้องรู้จักหมั่นระลึกถึง พระองค์ธรรมมารดา ไม่ลืมอนุตตรภูมิ เช่นนี้ภาวะ จิตก็จะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับองค์ธรรมมารดา หากศิษย์ทั้งหลายตั้งใจบำเพ็ญและปฏิบัติได้ อย่างนี้ตลอดไป จึงเรียกได้ว่าเป็นผู้ที่เข้าใจความหมาย ของ ไปลามาไหว้ อย่างแท้จริง
--------------------------------------------------------------------------------
12.ไม่ผิดต่อสายธรรม (ปู๋ล่วนซี่ถ่ง)
ไม่ผิด คือไม่วุ่นวายไม่สับสน สาย นั้นประดุจเชือก เป็นตัวแทนแห่งสายทอง ธรรมนั้นก็คือพงศาธรรม เป็นพงศาแห่งมหาธรรมอันสัจจริงที่นำพา ผู้คนทั้งหลาย นั่นก็คือพุทธจิตธรรมญาณที่อยู่ในตัวของคนทุกคน
ฉะนั้น การไม่ผิดต่อสายธรรม ความหมายแท้จริงคือการที่ผู้บำเพ็ญ ธรรมนั้นไม่ออกห่างจากสัจธรรมอันเที่ยงตรง อาศัย จิตญาณเดิมแท้นั้นเป็นประธานแห่งตนเสมอ และ.ไม่ หลงผิดไปสูทางมิจฉา อย่างนี้ถึงจะเรียกได้ว่า ไม่ผิดต่อสายธรรม
ส่วนสายทองนั้นมี ๒ กรณี ... อย่างแรกคือ แต่เดิมมา ... อย่างที่สองคือ มาทีหลัง
สายทองแต่เดิมมาก็คือสายทองของโองการฟ้า นั่นก็คือจิตญาณเดิมแท้แห่งฟ้าที่มีอยู่อย่างสมบูรณ์ใน ทุกคน จากจิตสู่จิตเป็นจิตพุทธะที่สามารถเชื่อมโยง กับฟ้า จิตญาณดวงนี้อยู่ในอริยะไม่ได้เพิ่มพูนขึ้น อยู่ ในปุถุชนก็มิได้ลดลง ในยามที่ใจเราสงบไร้ซึ่งความคิด ปรุงแต่งไม่มีความเห็นแก่ตัวจิตญาณนี้ก็จะเชื่อมโยงเป็นหนึ่งเดียวกับฟ้า ไม่ห่างแม้เพียงก้าว ศิษย์ทั้ง หลายถ้าทำได้อย่างนี้แล้ว สายทองแต่เดิมมาของเจ้า ก็จะส่องสว่างทั่วทั้งมหาตรีสหัสสโลกธาตุ
ส่วนสายทองที่มาทีหลังนั้นก็คึอ การที่มีบุญสัม พันธ์กับผู้แนะนำ ผู้รับรอง และอาจารย์ชี้แนะ จึงได้ รับการปกโปรดในยุคสามปลายกัปนี้ เมื่อบุญวาระมาถึงก็ทำให้ได้พบกัน และได้มีโอกาสมาบำเพ็ญธรรม ปฏิบัติธรรมร่วมกัน
ศิษย์ทั้งหลาย ! ในยุคสุดท้ายนี้มีบรรพจารย์ และอาจารย์ปลอมมากมาย พวกเขาใช้อุบายต่างๆ มา หลอกล่อผู้บำเพ็ญธรรม เอาสิ่งจอมปลอมมาก่อความวุ่นวาย อาศัยอธรรมแฝงอยู่ในธรรมะ ยิ่งไปกว่านั้น ก็ประกาศตนว่ามีโองการสวรรค์ปลอมแปลงเข้ามา สร้างความสับสนวุ่นวายในอาณาจักรธรรม
ศิษย์เอ๋ย ! ในยุคที่อาณาจักรธรรมยุ่งเหยิงนี้ จิตของมนุษย์ตกต่ำลง หากเจ้าไม่สามารถยึดสายทองนี้มั่น ติดตามนักธรรมอาวุโสบำเพ็ญจิตญาณภายในวางตนอย่างสงบแล้วล่ะก็ ยามที่การทดสอบครั้งยิ่งใหญ่มาถึง พวกเจ้าจะสงบจิตสงบใจหลีกพ้นภัยพิบัติครั้งใหญ่นี้ได้อย่างไร
ฉะนั้น ในยามที่เจ้าบำเพ็ญจนจิตสงบเป็นสมาธิ มิจฉาและมารก็มิอาจมากล้ำกราย อย่างนี้ถึงจะเรียกได้ว่า ไม่ผิดต่อสายธรรม เพราะเหตุใดหรือ ก็เพราะ ในเมื่อจิตญาณไม่เที่ยงตรงแล้ว มารร้ายก็จะย่าง กรายเข้ามาและนำไปสู่ทางมิจฉา ขาดถึงความเคารพ ต่อนักธรรมอาวุโส ผู้แนะนำ ผู้รับรอง เช่นนี้แล้วสายทองแห่งธรรมะก็จะขาดสะบั้นลง แม้นชีวิตก็ยากที่จะ รักษาให้รอดได้
--------------------------------------------------------------------------------
13.ถนอมรักษาสาธารณะสมบัติ (อ้ายสีกงอู้)
สาธารณะสมบัติ ก็คือสิ่งของ เครื่องใช้ที่เป็นส่วนรวม เช่น สิ่งของ เครื่องใช้ในพุทธสถานเป็นของส่วน รวม หากว่าเจ้ารู้จักถนอมรักษาให้ดี หรือใช้ให้เป็นประโยชน์ ใช้อย่าง คุ้มค่า อย่างนี้ถึงจะเรียกว่า ถนอม รักษาสาธารณะสมบัติ แล้วเจ้าจะ ถือวิสาสะนำกลับไปใช้ส่วนตัวที่บ้าน ได้อย่างไร ?
ศิษย์ทั้งหลาย ! ในตอนต้นได้กล่าวถึงพุทธ ระเบียบที่ว่าขั้นตอนต้องชัดเจน พวกเจ้าควรรู้ว่า "หากไม่ระวังความโลภอันเล็กน้อย ก็จะกลายเป็นภัยร้ายอันใหญ่หลวง ฉะนั้น สิ่งของเครื่องใช้ส่วน รวม จงอย่านำมาครอบครองไว้เป็นสมบัติส่วนตัว หรือทำลายตามอำเภอใจ
ในพุทธสถาน อาจารย์ชี้แนะ ผู้บรรยายธรรม และพุทธบริกร บุคคลเหล่านี้ล้วนเป็นตัวแทนฟ้า พวก เจ้าได้ดูแลพวกเขาบ้างไหม ? มีมารยาทต่อพวกเขา หรือไม่ ? กล่าววาจาอันไม่สุภาพต่อพวกเขาหรือไม่ ? พวกเจ้า ควรรู้ว่าการเคารพและมีมารยาทต่อพวก เขาก็คือ การถนอมรักษาสาธารณะสมบัติ เหมือนกัน เพราะเหตุใด ก็เพราะเขาเหล่านั้นเป็นตัวแทนของ สิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นบุคคลของฟ้า หากเจ้าไม่ให้ความ คารพไม่เอาใจใส่พวกเขา นั่นหมายถึงการที่ไม่ถนอม รักษาคนของส่วนรวม ยิ่งไปกว่านั้นบางคนยังนินทา พวกเขาลับหลัง ด่าว่าพวกเขา อย่างนี้ก็ยิ่งแย่เข้าไปใหญ่
ฉะนั้น การถนอมรักษาสาธารณะสมบัติ มิใช่ เพียงแต่ถนอมรักษาของที่อยู่ในพุทธสถานเท่านั้น ยังจะต้องถนอมรักษาบุคคลที่อยู่ในพุทธสถานด้วย ต้องเป็นมิตรกับทุกๆ คน ให้ความรักใคร่กลมเกลียว ช่วยเหลือเอื้ออาทรซึ่งกันและกัน เช่นนี้จึงจะเรียกได้ ว่า ถนอมรักษาสาธารณะสมบัติ อย่างแท้จริง
ศิษย์ทั้งหลาย ! ธรรมะเหล่านี้พวกเจ้าจะต้อง นำไปคิดทบทวนดูให้ดี หากเจ้าสามารถถนอมรักษา สิ่งของในพุทธสถาน อีกทั้งให้ความเคารพต่อผู้ที่อยู่ในพุทธสถาน นั่นหมายถึงเจ้าได้ถนอมรักษาสิ่งของ และบุคคลของฟ้าเบื้องบน เช่นเดียวกับการที่เจ้าได้ เคารพสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของฟ้าเบื้องบนเช่นกัน
นอกจากนี้บุคคลที่อยู่รอบข้าง เจ้าจะต้องให้ ความเคารพเขาเช่นกัน หากเจ้าไม่รู้จักถนอมรักษา เขาเหล่านั้น ฟ้าก็มิอาจจะมอบบุคลากรให้แก่เจ้า เช่นนี้แล้วเจ้าจะปฏิบัติงานธรรมกิจให้รุดหน้าได้อย่างไร ดังนั้น เจ้าจะต้องดูแลซี่งกันและกัน ยามที่เขา ต้องกินให้เขากิน เขาต้องพักผ่อนให้เขาพักผ่อน พึงรู้ว่ามีร่างกายนี้จึงจะสามารถไปสร้างบุญกุศลได้ หากไร้กายสังขารนี้แล้วจะไปสร้างกุศลบรรลุปณิธาน ได้อย่างไร เพราะฉะนั้น ผู้ที่เป็นอาวุโสควรที่จะเอ็นดู ผู้น้อย เจ้าจะไปกล่าวโทษเขาสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้ เพราะเขาก็เป็นคนของพุทธสถานเช่นกัน
ฉะนั้น การถนอมรักษาสาธารณะสมบัติ จึงไม่ ได้เฉพาะเจาะจงพี่น้องร่วมสายธรรมเท่านั้น การไม่ ถนอมรักษาบุคคลรอบข้าง นั่นก็หมายถึงการไม่ถนอม รักษาสาธารณะสมบัติเช่นกัน ศิษย์เอ๋ย ! พุทธระเบียบข้อนี้เจ้าจงทำความ เข้าใจให้กระจ่าง
--------------------------------------------------------------------------------
14.รู้พลิกแพลงในการดำเนินงาน (หัวพออิ้งซื่อ)
พุทธระเบียบแท้จริงแล้วก็คือ ธรรมะ เป็นสิ่งที่ไม่ตายตัว บางครั้ง ก็เปลี่ยนแปลงไปตามเหตุปัจจัย แต่ ทั้งนี้ล้วนดำเนินอยู่บนทางสายกลาง เป็นอย่างนี้อยู่เรื่อยไป
ฉะนั้น ผู้บำเพ็ญธรรมจะต้อง รู้จักพลิกแพลงไปตามสถานการณ์ อย่าได้ตายตัวอยู่แต่อย่างเก่าโดยไม่ คิดที่จะพลิกแพลง หากมีบางเรื่องที่ จะต้องจัดการ ซึ่งในยามนั้นอาวุโสไม่อยู่ จึงไม่ สามารถรายงานและตัดสินใจได้ แต่เรื่องนั้นมาถึง แล้ว เป็นเรื่องที่สำคัญซึ่งไม่อาจที่จะรอได้ ต้องรีบ ดำเนินการ เจ้าก็ต้องเรียนรู้ที่จะเผชิญหน้าและ แบก รับภาระขึ้นมาจัดการในทันที อย่าได้รอช้าให้เสียงาน ถ้าปล่อยไปก็จะเป็นปัญหาเกิดขึ้น
ศิษย์ทั้งหลาย ! พวกเจ้าจงจำไว้ว่าการกระทำ ของเจ้าทุกอย่างนั้น ขอเพียงให้สอดคล้องตามหลัก ทำนองคลองธรรม เป็นประโยชน์ต่อเวไนย์ทั้งหลาย นั่นหมายถึงจะต้องเป็นผลดีต่อผู้อื่นนั่นเอง ถึงแม้ว่า เจ้าทำแล้วอาวุโสอาจจะไม่เข้าใจเจ้า ยิ่งไปกว่านั้น อาจจะโดนตำหนิ เจ้าก็จงทำต่อไป เพราะเราทำงาน ให้กับเบื้องบน เป็นตัวแทนของฟ้าเบื้องบน มิใช่ทำ งานของใครคนใดคนหนึ่งและงานนี้เป็นงานที่ยิ่งใหญ่ ในการช่วยให้เวไนย์พ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด มิใช่ กระทำเพียงเรื่องราวเล็กน้อยทางโลก ฉะนั้น ยามที่ เหตุการณ์นี้มาถึง จงอย่ารีรอให้เสียการ ขอเพียง เจ้ามีใจฟ้าใจยุติธรรม ถึงแม้อาวุโสจะไม่อยู่ เจ้าก็สามารถที่จะแบกรับขึ้นมาได้ ขอเพียงเจ้านั้นมีจิตใจ อันหนักแน่นว่าเรื่องนี้ทำต่อฟ้ามิใช่ต่อบุคคด ฟ้าเบื้อง บนก็ย่อมจะเข้าใจเจ้า
ธรรมวิถีไร้ธรรมวิธีตายตัว ใจของเวไนย์มี ถึงแปดหมื่นสี่พัน พวกเจ้าก็ต้องนำแปดหมื่นสี่พันพระ ธรรมขันธ์มาพลิกแพลงใช้ให้เหมาะกับกาลเทศะ ยาม เรื่องมารู้สนอง เรื่องผ่านไปรู้สงบ อาศัยจิตญาณ เดิมแท้แห่งตนไปเผชิญหน้ากับเรื่องราวต่างๆ และรู้จัก พลิกแพลงไปตามเหตุปัจจัย ในขณะเดียวกันเจ้าก็จะได้เรียนรู้และเข้าถึงสภาวะ สนองไร้ยึดติด จิตพุทธะ ปรากฏ ฉะนั้น ผู้ที่รู้พลิกแพลงในการดำเนินงาน มีใหวพริบปฏิภาณจึงกล่าวได้ว่าเป็นผู้มีปัญญาอันสูงส่ง
ศิษย์เอ๋ย ! ใจแห่งพุทธะคือใจที่ไร้ยึดติด ไม่ แปดเปื้อนสิ่งใด แตใจของเวไนย์ไม่แน่ไม่นอน เปลี่ยน แปลงได้เสมอ ฉะนั้น ต้องใช้ธรรมวิถีทั้งมวลมาปก โปรดใจทั้งหลายให้เวไนย์ทุกคนสามารถคืนสู่อนุตตร แดนสวรรค์ และนี้ก็เป็นสิ่งที่พวกเจ้าจักต้องใช้ปัญญา ที่มีอยู่มาขบคิดปัญหานี้
--------------------------------------------------------------------------------
15.สำรวมกายวาจา (จิ่นเอี๋ยนเซิ่นสิง)
คำโบราณกล่าวว่า วจีคือ าสำเนียงเปล่งจากใจ กิริยาคือเงา แห่งใจไร้ตัวตน นั่นก็หมายความว่า วาจานั้นเป็นเสียงที่สะท้อนออกมา จากจิตใจของคน และการกระทำก็ เปรียบดังเงาของความคิดที่สะท้อน ออกภายนอก ฉะนั้น หากว่าจิตใจ ของเจ้าเป็นเช่นไร กิริยาและวาจา ก็จะเผยออกมาเป็นเช่นนั้น ตรงกันข้ามถ้าจิตใจของเจ้าไม่ได้เป็นอย่างนั้น ก็หาได้แสดง กิริยาและวาจาออกมาเช่นนั้นไม่
ด้วยเหตุนี้ กิริยาและวาจาที่แสดงออกมาภาย นอกนั้นเป็นสิ่งตัวแทนของตัวตนจริงนั่นเอง แต่ธรรม นั้นมิอาจที่จะออกห่างไปแม้นเพียงชั่วขณะ เพราะฟ้าเบื้องบนไม่อาจกล่าว ดินไม่อาจเอื้อน เอ่ย ดังนั้น ความวิเศษสูงส่งของธรรมก็อยู่ที่การกระทำของพวก เจ้าแสดงออกมานั่นเอง เช่นนี้แล้ว เจ้าจะไม่สำรวมกิริยาวาจาและไม่ให้ความเคารพต่อพระพุทธะในตน ได้อย่างไร
ฟ้ามีกฎของฟ้า ประเทศชาติมีกฎมาย สถาน ธรรมก็มีพุทธระเบียบ หากว่าเจ้าไม่ระมัดระวังคำพูด สร้างวจีกรรม ไม่สำรวมกิริยา เหล่านี้ไม่เพียงแต่ทำ ร้ายผู้อื่น สุดท้ายคนรับทุกข์ก็คือตัวเจ้า เอง เพราะ เบื้องบนให้ความยุติธรรมแก่ทุกคน เป็นความเที่ยง ธรรมไร้ความลำเอียง ความดีเพียงนิดไม่ละเลย ความผิดเพียงเสี้ยวต้องสำรวจ
ดังนั้น ภายใต้กฎ แห่งเหตุต้นผลกรรมที่แข็งแกร่งดั่งเหล็กกล้า ศิษย์ เอ๋ย ! หากเจ้ากระทำผิดแล้ว มีหรือจะหลบพ้นจาก กฎแห่งกรรมนี้ได้
ฉะนั้น ยามที่เจ้าพูดก็ไม่สมควรใช้คำพูดไปทิ่ม แทงใจคนอื่น หรือใช้คำพูดทำลายชื่อเสียงของผู้อื่น ยิ่งไม่ควรใช้คำพูดในท่าทีที่ผิด เพราะถ้ากล่าวออกไป แล้วคุณธรรมของเจ้าก็จะเสื่อมไป เจ้าจะต้องกล่าว วาจาที่เป็นคุณเป็นประโยชน์แก่คนทั้งหลาย ใช้วาจา นั้นเสริมสร้างคุณธรรมและสร้างงานให้เกิดผลโดย เฉพาะผู้บำเพ็ญธรรมวาจาที่กล่าวออกมาควรจะเป็น สัจธรรม สนทนาธรรมถกปัญหา ไม่พูดนินทาว่าร้าย ไม่สร้างวจีกรรม ไม่พูดเพ้อเจ้อ ไม่พูดไร้สาระไม่มี แก่นสาร เช่นนี้ถึงจะเรียกได้ว่า สำรวมวาจา อย่าง แท้ จริง
การสำรวมกิริยาก็เช่นเดียวกัน เจ้าต้องมีวาจา และการกระทำที่สอดคล้องกัน อีกทั้งต้องปฏิบัติตน เป็นแบบอย่างและต้องแสดงออกซึ่งคุณธรรมภายใน เป็นปากเสียงแทนฟ้า ให้ใจตนเป็นดั่งใจฟ้า ทุกขณะ จิตคิดทำเพื่อประโยชน์สุของเวไนย์ มีความสำรวม ระมัดระวังอยู่ตลอดเวลา ทั้งกายวาจาใจต้องเคร่งครัด หากปฏิบัติได้อย่างนี้แล้วเจ้าทั้งหลายก็จะปราศ จากฝั่งความผิดบาป จึงจะเป็นกระบอกเสียงแทนฟ้า ประกาศเผยแพร่สัจธรรม เป็นนี้ถึงจะได้ขึ้นชื่อว่าเป็น ผู้บำเพ็ญตนปฏิบัติธรรมอย่างแท้จริง
--------------------------------------------------------------------------------
สรุป
ทั้งหมดที่ได้กล่าวมา แล้วนั้น อาจารย์ได้นำเอาพุทธระเบียบ ๑๕ ข้อ มาอธิบายอยางละเอียดถี่ถ้วน หวังว่าศิษย์ทั้งหลายสามารถนำไปปฏิบัติบำเพ็ญ และดำเนินตาม อาจารย์ขอประกันว่าถ้าหากเจ้าปฏิบัติได้ การสำเร็จธรรมก็อยู่ไม่ไกลเช่นกัน ขอเพียงพวกเจ้า จดจำไว้เสมอว่าพุทธระเบียบนี้ฟ้าเบื้องบนเป็นผู้กำหนด พวกเจ้าอย่าได้กำหนดเอาตามอำเภอใจ
ยุคปลายนี้ หากว่าเจ้าทำงานให้กับฟ้าเบื้องบน เจ้าก็ควรที่จะดำเนินตามแบบแผนของพุทธระเบียบ ๑๕ ข้อนี้ แล้วเจ้าก็จะสามารถปฏิบัติภารกิจได้อย่างราบรื่นและสอดคด้องต่อพระประสงค์ของฟ้า
เช่นเดียวกับจริยระเบียบต่างๆ ในชีวิตประจำ วันหรือมารยาทของการเข้าออกพุทธสถาน พวกเจ้า ก็ดูสถานการณ์แล้วรู้จักพลิกแพลงให้เหมาะสม ส่วนพุทธระเบียบ ๑๕ ข้อนี้เป็นหลักที่สามารถนำไปสู่การ สำเร็จเป็นพุทธะได้ ขอเพียงเจ้าพยายามหมั่นทำ ความเข้าใจอย่างละเอียด นำไปปฎิบัติอย่างจริงจัง ก็จะสามารถเข้าใจได้ว่าดังนี้คือแบบแผนของการ บำเพ็ญธรรมปฏิบัติธรรม ศิษย์ทั้งหลาย พวกเจ้าดูซิ ว่าพุทธระเบึยบ ๑๕ ข้อนี้มีความสำคัญมากขนาดนี้ เหตุใดพวกเจ้าไม่ประทับไว้ในจิตแล้วนำไปดำเนิน ปฏิบัติอย่างจริงจังเล่า ! สุดท้ายขอให้เจ้าจดจำไว้
ในบทไท่ซั่งกั่นอิ้งมีกล่าวไว้ว่า
โชคและภัยไร้ประตูอยู่ที่คนก่อเอง
การสนองยองกรรมดีกรรมชั่ว
ประดุจเงาที่คอยติดตามเราไปตลอด
ศิษย์รักเอ๋ย ! การกระทำของเจ้าในขณะนี้จะดี หรือไม่ดี ผลที้ได้นั้นตัวเจ้าเองย่อมเป็นผู้ได้รับ เป็น โชคหรือภัยล้วนมาจากตัวของเจ้าเองทั้งนั้น ฟ้าเบื้องบนล้วนมองเห็นอย่างกระจ่างชัดและบันทึกไว้อย่าง ชัดเจนไม่มีผิดพลาด ก็เหมือนความคิดของพวกเจ้า ถ้าหากแฝงไว้ด้วยจิตกุศลเพียงหนึ่ง ฟ้าก็จะประทาน โชควาสนาให้แก่เจ้า แต่ถ้าเจ้ามีจิตอกุศล ฟ้าก็ย่อม ลงโทษเจ้า ถึงแม้ตาเนื้อของเจ้าจะมองไม่เห็น หรือ ผลกรรมที่สนองยังมาไม่ถึง แต่กฎของฟ้านั้นเที่ยงธรรม ผลกรรมเหล่านั้นพวกเจ้าต่างต้องได้รับการสนอง
ศิษย์เอ๋ย ! เจ้าฤๅจะไม่สำรวมระมัดระวังตน และต้องสำรวมจนกระทั่งนาทีสุดท้ายก็มิเปลี่ยนใจ ในเวลาที่ต้องจากกัน อาจารย์ไม่มีอะไรที่จะ มอบให้ศิษย์รัก อาจารย์ได้แต่เพียงอวยพรอยู่ในใจให้ เจ้าทั้งหลายรักษาไว้ซึ่งจิตเดิม ตอบแทนพระคุณฟ้าเบื้องบน บรรลุปณิธานกลับไปสู่อนุตตรภูมิดีไหม ? ลาก่อนศิษย์รักทุกคน...!
ที่มา
http://www.hersunmeler.comTags: ระเบียบ