collapse

ผู้เขียน หัวข้อ: พรหมวิหารธรรม ตราบเท่าชีวิตเฉินเฉียนเหยินต้ากู  (อ่าน 14035 ครั้ง)

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                         พรหมวิหารธรรม ตราบเท่าชีวิตเฉินเฉียนเหยินต้ากู  :

                                 เพื่องานธรรมลืมสังขารสืบสานปัญญาญาณ

                                       (เอว้ยเต้าอวั้งซวีฮุ่ยมิ่งเอี๋ยน)

        ปีหมินกั๋วที่สี่สิบแปด (ค.ศ. 1959) ฤดูใบไม้ร่วง
เพื่อหลีกเลี่ยงทางการทดสอบ ต้ากูเฉียนเหยิน ใช้วิธีท่องเที่ยวปีนเขาส่งเสริมญาติธรรม เนื่องจากเขตอำเภออวิ๋นหลิน จังฮว๋า มีนักศึกษาปัญญาชนรับธรรมะกันมาก แบ่งดำเนินการเป็นหลายกลุ่ม ครั้งสุดท้าย เดินทางจากอำเภอซินจุ๊ มาอำเภอโต่วลิ่ว เนื่องจากท่านนำพาท่องเที่ยวปีนเขา เหนื่อยยากตรากตรำเป็นเวลานาน ทำให้กระเพาะอาหารเป็นแผล อาเจียนเป็นโลหิตไม่หยุดถึงเจ็ดครั้งติดต่อกัน จึงต้องส่งโรงพยาบาลปัจจุบันทันด่วน แทบจะเอาชีวิตไม่รอด ต้ากูเฉียนเหยินคิดอยู่ในใจว่า เราจากบ้านมาไกลถึงไต้หวันก็เพื่อเจริญรอยตามพระโพธิสัตว์กวนอิมฉุดช่วยเวไนยฯ จะตายตอนนี้ได้อย่างไร ข้างหูก็แว่วเสียงซือจุนโปรดภาวนาหวังวอนว่า "ไม่ผิดแน่นอน" อีกทั้งเสียงบิดากำชับว่า "ในโลกไม่มีภูเขาไฟลูกใดที่มิอาจล่วงข้ามได้" คิดถึงตรงนี้ ต้ากูเฉียนเหยินเกิดพลังความกล้าขึ้นอย่างไม่อาจเปรียบปาน พออาการค่อยทุเลาเท่านั้น ท่านขอออกจากโรงพยาบาลทันที ท่านบอกว่า "นอนนานอย่างนี้ ฉันทนไม่ได้ ฉันมาเพื่อปฏิบัติบำเพ็ญธรรม อยู่บนเตียงนอนจนว้าวุ่นใจ ฉันจะปั้นเต้า ฉันจะไปปั้นเต้าดีกว่า" หลายปีให้หลัง เมื่อย้อนคิดถึงเรื่องนี้ ท่านกล่าวว่า "ตรงกับที่พระอาจารย์ตรัสไว้ ชีวิตร่างกายมีเวลาจำกัด แต่ชีวิตปัญญาญาณไม่มีกำหนดกาล (เซิงมิ่งโหย่วเซี่ยนเอ๋อฮุ่ยมิ่งอู๋ฉี) กายเนื้อของคนมีเวลาเพียงสั้น ๆ ชั่วคราว เธอว่าเอามาเสพสุข มีวาสนาเท่าไรให้เสพสุขหรือ ขวัญวิญญาณคงอยู่ในโลกชั่วกาลนาน จึงจะเป็นความหมายที่แท้จริงของชีวิต เราทุกคนจึงควรบังเกิดจิตเจริญปณิธาน ปฏิบัติบำเพ็ญธรรม รู้ตื่นในตน ให้ท่านรู้ตื่นกัน บำเพ็ญจริง ปฏิบัติจริง ภายในบำเพ็ญตน ภายนอกฉุดช่วยคน สำแดงให้เห็นพลังชีวิตศักดิ์สิทธิ์งามสง่าของเรา จึงจะเบิกทางชีวิตชัชวาลอันอุดมสมบูรณ์ได้" จากนั้นเป็นต้นมา กระเพาะอาหารของท่านไม่ค่อยดีอยู่เสมอ ด้านหนึ่งคือ ชีวิตความเป็นอยู่เรียบง่าย คุณค่าอาหารไม่ดีพอ ด้านหนึ่งคือ ปั้นเต้า อรรถาธรรม ส่งเสริมญาติธรรม ไม่มีเวลาว่าง มิได้หยุดหย่อน ขึ้นแท่นบรรยายธรรมโดยต้องอดทนต่อการเจ็บป่วยเสมอ ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ท่านก็ยังไม่ยอมพัก ท่านจะพูดอยู่อย่างนี้ว่า "ชีวิตปัญญาญาณของมวลเวไนยฯสำคัญกว่าหนอ จะเป็นเพราะร่างกายตนเองเจ็บป่วยเล็กน้อยก็รามือได้หรือ"  ปีหมินกั๋วที่เจ็ดสิบเอ็ด - เจ็ดสิบสอง (ค.ศ. 1982) ระหว่างนั้น ครั้งหนึ่ง เนื่องจากต้ากูเฉียนเหยินโปรดอรรถาธรรมติดต่อกันหลายรอบ ทำให้ต่อมน้ำลายแห้ง ไม่มีเสียงพูด จะทำอย่งไรดี พลันก็นึกถึงคำในประวัติศาสตร์ที่ว่า มองบ๊วยแก้กระหาย (อวั้งเหมยจื่อเข่อ) ขึ้นมา จึงซื้อมาหนึ่งห่ออมไว้ในปากหนึงเม็ด ใส่จานไว้เต็ม ๆ หนึ่งจานวางอยู่บนโต๊ะ บรรยาย ขอเบื้องบนโปรดช่วยให้พูดได้สักสี่ห้านาทีก็พอ ผลปรากฏว่า ท่านมองบ๊วยในจานไปด้วย เมตตาพูดไปด้วย ต่อมน้ำลายผลิตน้ำลายออกมาจนชุ่มคอ พูดได้นานถึงครึ่งชั่วโมงกว่า โดยไม่มีอาการแสบคอปากแห้ง  จิตใจที่เพื่องานธรรมจนลืมกายสังขารเช่นนี้ ทำให้ผู้น้อยซาบซึ้งประทับใจยิ่งนัก ธรรมกิจจึงรุดหน้ายิ่งขึ้น

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                        พรหมวิหารธรรม ตราบเท่าชีวิตเฉินเฉียนเหยินต้ากู  : 

                                      จุดไฟอริยะของวงการนักศึกษา

                                       (เตี่ยนหยันเสวียเจี้ยเตอเซิ่งหั่ว)

        ปีหมินกั๋วที่ห้าสิบหก (ค.ศ. 1967) นักศึกษาวิทยาลัยเทคนิคเฝิงเจี่ยไถจง (บัดนี้คือมหาวิทยาลัย)
มีญาติเพื่อนฝูงมารับธรรมะ หลังจากเข้ารับการอบรมประชุมธรรมแล้ว ต่างตั้งปณิธานว่าจะฉุดช่วยเวไนยฯ ต้ากูเฉียนเหยินเห็นว่าปัญญาชนนั้น ถ้าเริ่มปฏิบัติบำเพ็ญตั้งแต่อายุยังน้อย ก็จะเป็นกำลังสำคัญดีเด่นที่จะขาดเสียมิได้ในการปรกโปรดสามโลก เป็นปากเสียงแทนฟ้า สืบสานงานของอาณาจักรธรรมต่อไปทุกยุคทุกสมัย ดังนั้น ท่านจึงใส่ใจปัญญาชนเป็นพิเศษ ท่านส่งเสริมนักศึกษาเสมอ ให้เจริญความมุ่งมั่นของอริยเมธาก่อนเก่า จะต้องช่วยกันระบือคุณธรรม วัฒธรรมที่ประเทศจีนมีมาช้านาน นำเอาวิถีธรรมแพร่ไปทั่วโลก อีกทั้งช่วยให้วิทยาลัยเฝิงเจี่ย ก่อตั้งชมรมกลุมโภชนาธรรม (หั่วสือถวน) ให้นักเรียนได้ปฏิบัติบำเพ็ญ เนื่องด้วยรูปแบบชมรมนี้ของวิทยาลัย ดำเนินการได้รับความสำเร็จ เป็นแรงกระตุ้นให้ ต้ากูเฉียนเหยิน ตั้งความปรารถนาว่า "ฉันจะนำพานักศึกษาเดินให้เกิดฟ้าดินผืนใหญ่" ปีหมินกั๋วที่ห้าสิบเก้า (ค.ศ. 1970) ท่านบุกเบิกวงการนักศึกษาไถเป่ย (ไทเป) กล่าวว่า ชมรมโภชนาธรรม เหมือนบ้านทีสองอีกบ้านหนึ่งของนักศึกษา มีไว้ให้คนเล่าเรียนที่แสวงหาปัญญาแห่งชีวิต ให้เป็นสถานที่ฝากตัว กำหนดชีวิตมั่นคง รองรันำพานักศึกษาที่มีบุญสัมพันธ์เป็นเปลไกวให้เจริญวัยในการปฏิบัติบำเพ็ญ ความใส่ใจของต้ากูเฉียนเหยินที่มีต่อนักศึกษา ถี่ถ้วนรอบรายที่จบการศึกษาจะต้องเป็นทหาร ท่านห่อเกี๊ยวซ่าเลี้ยงส่งเขาเข้ากรม อีกครึ่งปีจะพ้นเกณฑ์ ท่านฝากงานไว้ให้ก่อน ภายใต้ความเมตตาของต้ากูเฉียนเหยิน ที่โอบอุ้ม พอถึงปีหมินกั๋วที่หกสิบห้า (ค.ศ. 1976)วิทยาลัยต่าง ๆ ล้วนก่อตั้งชมรมโภชนาธรรมกัน ธรรมกิจเฟื่องฟูยิ่งขึ้นทุกวัน อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน จากนั้นเป็นต้นมา ท่านก็จะไปตระเวณตรวจเยี่ยมชมรมฯ ตามวิทยาลัยต่าง ๆ ใส่ใจความเป็นอยู่ของนักศึกษา จัดชั้นศึกษาธรรม ส่งเสริมไขข้อข้องใจของการบำเพ็ญ ท่านจะสนทนาธรรมตั้งแต่เรื่องราวชาวบ้าน (ธรรมะครัวเรือน) ซึมซาบใจนักศึกษา และจะพูดอุปมาภาษิตก่อนเก่าให้นักศึกษาฟัง นักศึกษาจะรายล้อมอยู่รอบตัวท่าน เบื้องเข่าท่านสมานสุขดุจลูกหลานอันสนิทแน่นแฟ้น ภายหลังทุกคนต่างหวังว่า ตนจะเป็นมือซ้ายขวาของท่าน จนภายหลังต่อมา ท่านทุ่มเทใส่ใจนักศึกษาเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ ปิดภาคฤดูร้อน ปิดภาคฤดูหนาว จัดชั้นศึกษาลี่เต๋อปัน ให้จัดชั้นฉงเต๋อปัน ให้ทุกชั้น ท่านจะเมตตาเฝ้าอุ้มชู ทุกเทอม จะโปรดเพิ่มเสริมอาหารแก่ชมรมโภชนาธรรม ใส่ใจชีวิตการศึกษา ทุกเวลาจะห่วงหาว่า ปฏิบัติบำเพ็ญอยู่เย็นเป็นสุขไหม ในใจของท่าน นักศึกษาทุกคนเป็นยอดม้าอาชาไนย เป็นเสาคานเอกของอาณาจักรธรรมในวันข้างหน้า

ปีหมินกั๋วที่หกสิบห้า (ค.ศ. 1976) ต้ากูเฉียนเหยินบุกเบิกแพร่ธรรมยังญี่ปุ่น  ธรรมกิจเปิดกว้างกระจ่างชัด ต้ากูเฉียนเหยินเชื่อมั่นต่อการบุกเบิกแพร่ธรรมยังต่างประเทศ

ปีหมินกั๋วที่หกสิบห้า (ค.ศ. 1978) ก้าวต่อไปบุกเบิกยังประเทศแถบเอเซียอาคเนย์  ฟาอีฉงเต๋อ เริ่มก้าวเข้าสู่อาณาจักรธรรมโลกสากล

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                   พรหมวิหารธรรม ตราบเท่าชีวิตเฉินเฉียนเหยินต้ากู  : 

                                ถูกใส่ร้ายทำลายยังคงมุุมานะต่อไป

                                     (เยิ่นหุ่ยโซ่วปั้งเฟิ่นลี่เฉียน)

        ตั้งแต่ปีหมินกั๋วที่สี่สิบจนถึงหกสิบ ระหว่างนั้น อี๋ก้วนเต้า วิถีอนุตตรธรรมเกิดอย่างรวดเร็ว จำนวนญาติธรรมพรวดพราดเพิ่มขึ้น จำนวนครั้งที่ชุมนุมกันก็บ่อยมาก ทำให้ทางการหวาดระแวง
เพื่อป้องกันการก่อตัวจนเป็นรูปร่างพลังร่วมของ อี๋ก้วนเต้า ทางการจึงสวมชื่อให้ว่า "ชุมนุมผิดกฏหมาย" กระทรวงมหาดไทยเพิ่มมาตรการลงโทษข้อ "ตรวจสอบยับยั้งประเพณีวิธีการมิชอบในหมู่ชน" ตอนนั้น ทุกคนหวาดผวา แม้แต่เสียงลมปะทะกระเรียนร้องบวกกับการกุเรื่องลม ๆ แล้ง ๆ กระจายเสียงแพร่ภาพ สร้างเรื่องเล่าลือประหลาด ๆ โจษจันกันในสังคม ทำให้วิถีอนุตตรธรรมกลายเป็นมิจฉาศาสตร์เลวร้าย  จนกระทั่งปีหมินกั๋วที่หกสิบ - เจ็ดสิบ ระหว่างนั้น เนื่องจากอาณาจักรธรรมและอาวุโสทั้งหลาย ผ่านการเหนื่อยยากคราดไถมาสามสิบถึงสี่สิบปี  บำเพ็ญเคี่ยวกรำจริง  บวกกับเซียนพุทธะปราฏกพระบุญญาเสริมส่งงานธรรม  ญาติธรรมก็ยิ่งศรัทธาบำเพ็ญ  ประกาศธรรม  ดังนี้ นักศึกษา  ชาวนา  กรรมการ  ผู้ค้าฯ  ทุกวงการต่างจึงค่อย ๆ เติบโตเฟื่องฟู ยิ่งทำให้สังคมสนใจไปทั่ว แต่เนื่องจากยังมิได้จดทะเบียนเป็นทางการ กิจกรรมแพร่ธรรมกลายเป็นการกระทำผิดกฏหมาย  นักศึกษาที่เรียนดี  ประพฤติดี  เหตุด้วยปฏิบัติบำเพ็ญ ถูกทางโรงเรียนลงโทษภาคทัณฑ์  จดชื่อตัดคะแนน  หรือถึงกับไล่ออกส่วนคนในสังคมที่ความคิดบริสุทธิ์เที่ยงตรง หลังจากรับธรรมะแล้ว แม้จะเข้าใจ รู้ว่าธรรมะดีแต่ท่ามกลางเรื่องกระหน่ำย่ำเหยียบในสังคม พวกเขาจึงได้แต่หุบปากเงียบ ไม่กล้าเป็นปากเสียงแทนฟ้า  ต้ากูเฉียนเหยิน ไม่เพียงแต่จะอดทนต่อคำวิจารณ์ว่าร้ายของชาวโลก ยิ่งจะต้องให้กำลังใจเรียกขวัญวิญญาณของญาติธรรมว่า "ต้องมีสักวันหนึ่งที่ชาวโลกต้องเข้าใจ แต่ทว่า ก่อนที่วันนั้นจะมาถึง ทุกคนจะแกร่งทนไม่ถอดถอน เงียบงำคราดไถ  ไม่จำต้องไปโต้แย้งถกเถียง ขอเพียงทำหน้าที่ในส่วนตนให้ดี บำเพ็ญใจหล่อเลี้ยงจิตญาณ  สงเคราะห์โลก  ฉุดช่วยคน  เราพากเพียรเพื่อความแกร่งกล้า  ยืนหยัดจนถึงที่สุด  สุดท้ายก็จะสำเร็จ" ณ เวลานี้ ธรรมกิจเจริญขยาย อาณาจักรธรรมก็กว้างใหญ่ยิ่งขึ้น  ต้ากูเฉียนเหยิน  เผชิญหน้ากับเรื่องราวมากมาย ทั้งห่วงใยกังวลภายใน  หวั่นเกรงภัยภายนอก  นอกจากเหนื่อยหนักใจให้ว้าวุ่น ห้วงคิดครุ่นหมกมุ่นใจแล้ว ท่านยังคิดถึงบ้านเกิด บิดามารดาอยู่เย็นเป็นอย่างไร  อารมณ์จิตใจเช่นนี้ มีแต่ฟ้าเบื้องบนเท่านั้นที่เข้าใจ ปีหมินกั๋วที่หกสิบแปด (ค.ศ. 1979) วันที่สิบแปดเดือนสอง อมตะพุทธะจี้กงพระอาจารย์โปรดประทานพระโอวาทฉบับหนึ่ง  ข้อความทับซ้อนพระโอวาทแยบยล มีคำว่า "ลำบากนักแล้ว พักผ่อนเถิด (ซินขู่เล่อ ซิวสีปา) เพื่อปลอบใจต้ากูเฉียนเหยิน  อีกทั้งแสดงความในใจของเฉียนเหยินออกมาจนหมดสิ้น

                        พระโอวาทซ้อนพระโอวาท    มีความว่า

"ฟังเสียงระฆังดังยามเที่ยงคืน  วิเวกวังเวงนัก
บ้านเดิมมิรู้ เปลี่ยนไปอย่างไร
บิดามารดาเมตตารักฉัน ทำให้จิตญาณฉันแสนเศร้า
ฉันคิดถึง  ฉันคิดถึง  พ่อจ๋าแม่จ๋า  พ่อจ๋าแม่จ๋า
เดินทางเวิ้งว้างต่างถิ่น  ใจหวิวโหวง
ห่านป่ากลับรัง  อิงแอบอกแม่
ฉันเดียวดายกอดตนคนเดียว  ญาณฝันไปใจพะวง
คิดเสมอว่า คนอาภัพ เมื่อไรได้กลับเมืองนอน
ปีเดือนลับลา โลกาช่างละล้าละลัง
มองดูวัน ๆ คืน ๆ ฤดูผลิร้อนร่วงหนาว ผันผวนลวงตา
อาทิตย์อัสดง ลมเย็นยามค่ำ ไร้ที่บอกกล่าวเล่าเรื่อง
กินข้าวอาบน้ำ จะไม่ร้องไห้ขอบตาบวมอย่างไรได้
คนซึ่งบัดนี้แก่แล้ว เพิ่มวันไปตามกาล
คิดถึงบิดามารดา แหงนหน้ามองดูเมฆบังแสงจันทร์
แสงจันทร์ท่าน คืนนี้คืนใด กี่ปีที่จากบ้านยาวไกล"

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                            พรหมวิหารธรรม ตราบเท่าชีวิตเฉินเฉียนเหยินต้ากู  : 

                                      อดทนอดกลั้น แบกหนักผ่านด่านวิบาก

                                               (เหยิ่นยู่ฟู่จังกั้วหนันกวน)

        ต้ากูเฉียนเหยิน ที่เดินผ่านลมฝนแปรปรวน แต่ไรไม่เคยถูกกระหน่ำล้ม ทุกข์ยากลำบากเพียงไร
ใส่ร้ายป้ายสีทำลายกับถูกทดสอบ ท่านฟันฝ่าได้ทุกด่าน แต่ ขณะที่ทุกคนรอบคอบระมัดระวังเผชิญหน้ากับแรงกดดันจากภายนอกอยู่นั้น ปีหมินกั๋วที่หกสิบเก้า (ค.ศ. 1980) ญา๖ิธรรมวงการนักศึกษาระดับบริหารสองสามคน เหตุเพราะกามตัณหาโลภะย้อมใจไม่เพียงหันหลังจากธรรมะไป ยังผิดต่อความรักความเมตตาของต้ากูเฉียนเหยิน สร้างเรื่องร่ำลือลวงใคร ๆ ให้หลงเชื่อ เช่นเดียวกับที่อมตะพุทธะจี้กงโปรดว่า "หนึ่งความคิดโทสะจริตเกิด ประตูร้อยด่านเปิดอุปสรรค" (อี๋เนี่ยนเซินซินฉี่ ไป่อวั้นจั้งเหมินไค) ความร้ายแรงของกรรมปากครั้งนั้น สั่นคลอนหลักศิลาธรรมกิจวงการปัญญาชนเกือบทั้งหมดของไทเป ต้ากูเฉียนเหยินเศร้าโศกเสียใจกลับไปไถจง ท่านรวดร้าวราวมีดกรีดหัวใจ เหนื่อยอ่อนหมดแรงเป็นที่สุด หัวใจสลาย น้ำตาขมขื่นไหลอาบหน้า ท่านถามตนเองว่า "ฉันผิดตรงไหน ฟ้าเบื้องบนลงโทษฉันใช่หรือไม่ ผู้น้อยมากมายเหลือเกินถูกสอบพร้อมกัน ถูกสอบตกเป็นกลุ่ม ๆ เป็นเพราะปัญยาของฉันมีไม่พอ คุณธรรมมีไม่พอ จึงไม่มีความสามารถนำพาพวกเขาให้ดีได้ เป็นความผิดของฉันหนอ" ท่านเงียบขรึมไม่พูดจาทั้งวัน ไม่อยากดื่ม ไม่อยากอาหาร ซูบผอมลงทุกวัน ใจสั่นตลอดเวลา โรคกระเพาะกำเริบขึ้นใหม่ ปวดจนแทบทนไม่ไหว แต่สิ่งทีทำให้ท่านวางไม่ลงที่สุดคือ ญาติธรรมที่ถูกสอบตกไป ขาดสิ้นการเจริญปัญญาญาณที่ท่านทุ่มเทใจอุ้มชูมาหลายปี ชั่วข้ามวันเท่านั้น ดูเหมือนจะไหลหายตามน้ำไปทั้งหมด เมื่อคิดถึงตรงนี้ ท่านเสียใจน้ำตาตก คำอบรมจากบิดาของท่านที่ว่า"ในโลกนี้ไม่มีภูเขาไฟลูกใดที่มิอาจล่วงข้ามได้" ปรากฏขึ้นในสมองมิขาดสาย ขณะเปลียนการปกครองแผ่นดิน ทั้งแยกขาดจากกัน ท่านรวดร้าวใจแทบสิ้นชีวิตท่นได้ผจญผ่านมาแล้ว มาไต้หวันครั้งที่สอง ชีวิตความเป็นอยู่ทุกข์ยากลำบากมากท่านได้ผจญผ่านมาแล้ว จะพูดจานำพาคน สื่อภาษากันไม่ได้ อึดอัดคับข้องใจมาก ท่านก็ผจญผ่านมาแล้ว อาเจียนเป็นโลหิตเจ็ดครั้งแทบสิ้นชีวิต ท่านผจญผ่านมาแล้ว ถูกทดสอบจากทางการ ถูกรังควานจับกุมคุมขังติดต่อกันหลายครั้ง ต้องวิ่งหนีตำรวจกวดจับคับขัน ท่านผจญผ่านมาแล้ว ท่านจึงคิดว่า วิกฤติทังหลาย ฉันผจญผ่านมาได้ทั้งหมด แต่ขณะนี้ ด่านนี้ จะเดินต่อไปอย่างไร ทางข้างหน้าดูเวิ้งไกล มองไม่เห็นทิศทาง

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                         พรหมวิหารธรรม ตราบเท่าชีวิตเฉินเฉียนเหยินต้ากู  : 

                                      หักหาญตรงไหน ลุกขึ้นตรงนั้น

                                            (เหอชู่ชั่วไป้เหอชู่ฉี่)

        ช่วงระยะเวลานี้ ยังคงมีญาติธรรมจากที่ต่าง ๆ มาเยี่ยมเยียนท่านเฉินต้ากู
พวกเขาแสดงความจริงใจว่า "จะติดตามเฉียนเหยินตลอดไป" (อย่งเอวี๋ยนจุยสุยเฉียนเหยิน) พวกเขาจริงใจศรัทธา ปลอบใจต้ากูเฉียนเหยินให้เข้มแข็งยืนขึ้น อีกทั้งปฏิญาณว่า จะเป็นมือซ้ายขวาให้แกท่าน เวลานั้น ท่านยังจำคติพจน์คำหนึ่งได้ว่า "หักหาญตรงไหน ลุกขึ้นตรงนั้ง" ดังนั้น ต้ากูเฉียนเหยินจึงเดินทางขึ้นเหนือล่องใต้ต่อไป ตลอดเวลาการเดินทาง ต้องหลั่งน้ำตาที่เป็นสายเลือดไปเท่าไรเพื่อรดเลี้ยงอาณาจักรธรรมไทเปให้งอกงามขึ้นมาใหม่ แม้ท่านจะชอกซ้ำเสียใจ เจ็บป่วยอยู่เพียงไหน ยังคงเรียกชีวิีตชีวาขึ้นมารับรองญาติธรรม ให้น้ำเกลือเสร็จ ก็ขึ้นไปยืนพูดธรรมะทันที ท่านบอกตนเองว่า "จะด้วยเหตุถูกโจมตีบั่นทอนแล้วหมดกำลังใจไม่ได้ จะให้ความโง่หลงตระบัดธรรมของคนส่วนหนึ่ง เป็นผลกระทบต่อความใส่ใจขอฉันที่มีต่อญาติธรรมอื่น ๆ ไม่ได้"  ท่านจึงใคร่ครวญเสมอว่า "การถูกหักหาญให้พ่ายแพ้ แท้จริงก็คือ เบื้องบนโปรดประทานให้ดังคำที่ว่า "ฟ้าจะโปรดมอบภาระใหญ่ให้ผู้นั้น ก่อนอื่นจะต้องให้เขาทุกข์ยากหนักใจ" หรืออาจจะ...นี่ก็คือ ฟ้าเบื้องบนให้ฉันฝึกฝน เพื่อเติมเต็มปัญญาที่ฉันขาดพร่องไปกระมัง"

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                        พรหมวิหารธรรม ตราบเท่าชีวิตเฉินเฉียนเหยินต้ากู  : 

                                 ปีติธรรมเกินประมาณ ธรรมกิจทะยานบิน

                                        (ฝ่าสี่อู๋เซี่ยน  เต้าอู้เฟยเถิง)

                          ตั้งความมุ่งมั่น  บังเกิดจิต  เจริญปณิธาน  เริ่มต้นใหม่

                                  ( ลี่จื้อ  ฟาซิน  เหลี่ยวเอวี้ยน  ไจ้ซูฟา )

        ผ่านวันเวเลที่ทิ่มแทงใจ น้ำตาเป็นสายเลือดช่วงหนึ่งมาแล้ว ปีหมินกั๋วที่เจ็ดสิบสาม (ค.ศ. 1984) ต้ากูเฉียนเหยินกู่ขานจัดงานมหกรรมกลวเกลียววงการนักศึกษาไทเป (ไถเป่ยเสวียเจี้ยต้าถวนเอวี๋ยน)
นำพานักศึกษาไทเปที่ร่วงหล่นหมดแรง ประสานรวมไว้อีกครั้งหนึ่ง นับได้ว่าเป็นประวัติการณ์สมานสามัคคีที่ไม่เคยมีมาก่อนงานหนึ่งในไทเป ตกตะกอนหยุดนิ่งไปสี่ปี ในที่สุด นักศึกษาทั้งหลายก็เข้าใจความไร้เรียงสาของตนในครั้งนั้น จิตใจที่เหือดแห้งมานานของทุกคนหวังวอนอมฤตธรรมชุ่มฉ่ำจากท่านเฉียนเหยิน เหมือนฤดูแล้งที่มองดูเมฆภาวนาฝน พอได้ยินท่านกระตุ้นเตือนให้กำลังใจ ทุกคนมีชีวิตชีวา ซาบซึ้งน้ำตาไหล  ในงานประชุมใหญ่นัน ท่านพูดหัวข้อ"ตั้งความมุ่งมั่น บังเกิดจิต เจริญปณิธาน (ลี่จื้อ ฟาซิน เหลี่ยวเอวี้ยน)โปรดส่งเสริมญาติธรรมวงการนักศึกษาทั้งหมด "ในเมื่อเราต่างได้รับวิถีธรรมแล้ว อีกทั้งเชื่อมั่นเต็มพร้อมต่อธรรม เบื้องแรกจะตั้งปณิธานฉุดช่วยผู้คน มุ่งมั่นเอาภาระฟ้าเป็นภาระตน ภายหน้าจึงจะสำเร็จการใหญ่ได้ เป็นคน เมื่ออยู่ในโลก จะต้องมีอุดมคติ มีเป้าหมาย จะโมเมผ่านไปชีวิตหนึ่งอย่างลวก ๆ ไม่ได้ อีกประการหนึ่ง  การปฏิบัติบำเพ็ญธรรม จะต้องบังเกิดโพธิจิต หนึ่งจิตหนึ่งใจมุ่งทางธรรม ใฝ่ใจในธรรมจริง ใฝ่ใจรู้แจ้ง นี่ก็คือโพธิจิต ประการที่สาม จะต้องเจริญปณิธาน ตอบแทนพระคุณ ตั้งปณิธานอะไร เจริญบรรลุปณิธานนั้น นี่เป็นเรื่องของชั่วชีวิต เจริญปณิธานจะต้องเสมอต้นเสมอปลาย จรดใจด้วยศรัทธายิ่งยวด จะต้องมีการตัดสินใจ เสียสละอุทิศให้อย่างแข็งขัน ไม่หน่ายด้วยตนเอง" ครั้งนี้ วงการนักศึกษาสมานใจชุมนุมครั้งใหญ่ อย่าได้ผ่านไปแล้วจบกัน หวังให้ทุกคนสามัคคีอยู่ร่วมกันตลอดไป เริ่มจากวันนี้ ชั้นบนล่าง ชั้นหน้าหลังซ้ายขวา สมัครสมานร่วมงาน จากวงการนักศึกษาไทเปเป็นแบบอย่างนำธง ขับเคลื่อนวงการนักศึกษาภาคกลาง ภาคใต้ ดังนี้ ธรรมกิจวงการนักศึกษาทั้งหมด จึงเฟื่องฟูแผ่ไพศาล นับแต่นั้นเป็นต้นมา ญาติธรรมทั้งหมดขยับตัวขึ้นมาแล้วจริง ๆ ยอมรับในตนเองอีกครั้ง บังเกิดจิตผสมผสานร่วมงาน พวกเขาเข้าใจหลักธรรมที่ว่า"ผิด อย่าหวั่นการแก้ไข" ขอขมากรรมสำนึกจริงใจแล้ว ยิ่งเข้าใจความใจกว้าง เมตตา อภัย ใส่ใจรักอย่างลึกซึ้งจริงจังของต้ากูเฉียนเหยิน สัมผัสรู้ถึงความหวังตั้งใจคอย ทุ่มเทเหนื่อยยากของท่านอย่างแท้จริง บัดนี้ อาณาจักรธรรมทั้งหมดปรากฏให้เห็นภาพสดใสสะอาด อากาศสดชื่นสบาย ภายหลังลมฝนกระหน่ำผ่านไป ทุกคนจึงจูงมือกันประสานใจกัน ภายใต้อริยบารมีนำพาจาก ต้ากูเฉียนเหยิน ค่อย ๆ ฟื้นฟูกลับคืนบรรยากาศธรรมถึงกับยิ่งสามัคคี วิริยะก้าวหน้า

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                        พรหมวิหารธรรม ตราบเท่าชีวิตเฉินเฉียนเหยินต้ากู  : 

                                 ปีติธรรมเกินประมาณ ธรรมกิจทะยานบิน

                                        (ฝ่าสี่อู๋เซี่ยน  เต้าอู้เฟยเถิง)

                            ด้วยจงรัก  ศรัทธาจริงใจ  ดำเนินกรุณามโนธรรม

                                  ( ปิ่งจงเฉิงจือซิน  สิงเหยินอี้จือเต้า )

        ฝนตกหนักผ่านไปย่อมมีฟ้าใส เดินทางผ่านขวากหนามที่เจ็บปวดถึงขั้วหัวใจ... ปีหมินกั๋วที่เจ็ดสิบสาม (ค.ศ. 1984)
สถานธรรมศูนย์กลางที่ถนนจิ่นโจว ไทเป สร้างเสร็จเปิดใช้ท่ามกลางเสียงอวยชัยจากผู้หลักผู้ใหญ่ในสังคม เดินผ่านภาวะวิกฤติของธรรมกิจ ต้ากูเฉียนเหยินใคร่ครวญถึงความเจ็บปวด หลังจากเจ็บปวดว่า "แต่โบราณกาลมา ขุนนางซื่อสัตย์ ชายชาตรีผู้พลีชีพ เป็นที่สรรเสริญยอมรับนั้น เหตุด้วยเพราะเขาแยกแยะถูกผิดชัดเจน เกร่งกล้าอดทนไม่ถอดถอน ในหมู่เหล่านั้น คนซื่อสัตย์ ชายชาตรีมียิ่งมาก ยิ่งสามารถทำความเป็นจริงแก่ความคิดของศูนย์กลางได้ ผู้บำเพ็ญคนหนึ่ง ชั่วชีวิตไม่ผิดต่อซื่อสัตย์จงรักมโนธรรมได้ ก็จะบำเพ็ญบรรลุมรรคผลแท้จริง นี่คือรากฐานการเป็นคน และเป้าหมายการปฏิบัติบำเพ็ญของอาณาจักรธรรม ก็คือให้บรรลุเป็นจริงต่ออุดมการณ์โลกมหาเอกภาพสันติสุข ดังนั้น ยิ่งจะต้องมีรากเป็นฐาน มีลำต้นเป็นหลัก มาค้ำคานอาณาจักรธรรมใหญ่นี้ จึงจะแตกกิ่งก้านสาขาพุ่มใหญ่ ตกผลมากมาย  ต้ากูเฉียนเหยินได้คิดอีกว่า ชีวิตจิตญาณของมวลเวไนยฯ ไม่เพียงเกี่ยวข้องเฉพาะตน ยังสะท้อนผลถึงบรรพชนเจ็ดชั้น ลูกหลานเก้าชั่วคนของเขา  จำจะต้องให้พวกเขาเติบโตแข็งแรงในอาณาจักรธรรม อย่าต้องแกว่งไกวไม่คงที่จากลมภายนอกพัดพาดั่งหญ้าลู่ลม ในปีเดียวกันนั้น ต้ากูเฉียนเหยินเปลี่ยนวิธีการส่งเสริมซึ่งเคยรับผิดชอบสายเดียวให้เป็นหน้าที่ส่งเสริมดูแลร่วมกันของอาณาจักรธรรมใหญ่ ดังนั้น จึงลองดำเนินงานกลุ่มอักษรจงอี้ (จงอี้จื้อปัน) ที่อาณาจักรธรรมไทเปปฏิบัติมา ก่อตั้งศูนย์กลางร่วมช่วยธรรมกิจ (เต้าอู้ปังปั้นจงซิน) ทำให้การผลักดันธรรมกิจยิ่งรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ต้ากูเฉียนเหยินยังหวังให้ใจของทุกคน อาศัยศรัทธาจงรักดำเนินกรุณามโนธรรม ท่านกล่าวว่า "ชั้นจงอี้ คืือจงรัก มโนธรรม จะต้องสมัครสมานร่วมงานสามัคคี ตอบสนองใส่ใจ อุ้มชูรักใคร่ซึ่งกัน จะต้องเจริญตามกวนอริยมหาราชเจ้า ที่ซื่่อตรง จงรักภักดี ถึงที่สุดแห่งมโนธรรม ยังจะต้องมีขวัญวิญญาณอันไม่ยึดหมายใคร่ได้ บริการให้ด้วยจริงใจศรัทธา อย่างนี้ จึงอาจนำเนื่องมวลผู้น้อยมากมาย กับมวลเวไนยฯไม่อาจประมาณจึงจะนับได้ว่า จงอี้ นี่คือสถานภาพของพวกเรา อีกทั้งเป็นภาระศักดิ์สิทธิ์ และหน้าที่อันพึงรับผิดชอบ"  เนื่องจากการดำเนินงานจงอี้ปันที่ไทเป ได้รับความสำเร็จ  ปีหมินกั๋วที่เจ็ดสิบห้า (ค.ศ. 1986) ต้ากูเฉียนเหยินจึงได้นำรูปแบบนี้ แผ่กว้างไปยังอาณาจักรธรรมต่าง ๆ ภายในประเทศ ปีหมินกั๋วที่เจ็ดสิบแปด (ค.ศ. 1989) ขยายออกไปอีกทุกอาณาจักรธรรมโพ้นทะเล บัดนี้ อาณาจักรธรรมภายในประเทศ ลำดับก่อนหลังมี อวิ๋นหลิน  จังฮว่า ไถเป่ย  ไถจง  เหมี่ยวลี่  เกาสยง  ไถหนัน เจ็ดมหาอาณาจักรธรรมโพ้นทะเลลำดับก่อนหลังมี ญี่ปุ่น  สิงคโปร์  กัวลาลัมเปอร์  อลอว์สตาร์  ไทย  ลอสแองเจลิส  หกมหาอาณาจักรธรรมผลักดันโครงสร้างจงอี้จื้อปัน ไปพร้อมกันแล้ว ทำให้อาณาจักรธรรมเกาะกลุ่ม แน่นแฟ้นและแกร่งตัน  การสื่อขารสารรวดเร็วกว้างไกล วางรากฐานอาณาจักรธรรมมั่นคงไม่อาจล้มล้าง

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                        พรหมวิหารธรรม ตราบเท่าชีวิตเฉินเฉียนเหยินต้ากู  : 

                                 ปีติธรรมเกินประมาณ ธรรมกิจทะยานบิน

                                        (ฝ่าสี่อู๋เซี่ยน  เต้าอู้เฟยเถิง)

                                     เปลที่ปลูกฝังบำรุงเลี้ยงกัลยาณชน

                                  ( เผยหย่างเจิ้งเหยินจวินจื่อเตอเหยาหลัน )

        เพื่อการปลูกฝังบำรุงเลี้ยงบุคลากรอาณาจักรธรรม  ต้ากูเฉียนเหยิน คิดถึงขวัญวิญญาณบรมครูขงจื่อ ที่สอนให้โดยไม่เลือกชั้นวรรณะ
ต้ากูเฉียนเหยินครุ่นคิดพิจารณาค้นหาสาเหตุ ค้นคว้าวางแผนไม่หยุดนิ่ง  ปีหมินกั๋วที่เจ็ดสิบห้า (ค.ศ. 1986) เอาชั้นศึกษาธรรมระดับว่าที่อาจารย์บรรยาย (เจี่ยงเอวี๋ยนปัน) กับชั้นปั้นซื่อพุทธบริกร (ปั้นซื่อเหยินเอวี๋ยนปัน) เปลี่ยนเป็นหลักสูตรศึกษาห้าปี ข้อมูลการศึกษาเป็นหนึ่งเดียวกันทั้งทั้งไต้หวันเพื่อให้งานปลูกฝังการศึกษาของอาณาจักรธรรมทั้งหมดเป็นระบบเครือข่ายในสายหลักหนึ่งเดียวกัน  ตั้งแต่ชั้น ซินหมิน  จื้อซั่น  เผยเต๋อ  สิงเต๋อ  จนถึงฉงเต๋อ  แบ่งเวลาศึกษารวมห้าปี ท่านหวังจะปลูกฝัง บำรุงเลี้ยงให้ได้กัลยาณชนคนดีเป็นเสาคานหลักอาณาจักรธรรม อีกทั้งหวังให้ทุกคน ศึกษาบำเพ็ญธรรมตามขั้นตอน ให้สำนึกรู้มหากรุณาธิคุณของอริยธรรม ปักใจในคุณวิเศษสูงส่งของวิถีธรรม กับอริยภาพพิเศษวิเศษยิ่งของเทียนมิ่งให้การปรกโปรดปรับแปรสามโลกของซือจุนซือหมู่ปรากฏเป็นจริงได้ในเร็ววัน ต้ากูเฉียนเหยินได้จัดตั้ง ชั้นศึกษาของทูตสวรรค์องค์น้อย (เสี่ยวเทียนสื่อจิ้นซิวปัน) นำพาเด็ก ๆ เรียนรู้ปฏิบัติตนต่อใคร ๆ ในชีวิตประจำวัน เสริมส่งครอบครัว ใกล้ชิดสมานฉันท์  ให้โอกาสพ่อแม่พัฒนาตนด้วยตนเอง เมื่อทูตสวรรค์องค์น้อยค่อยเติบใหญ่ ก็มีชั้นศึกษาธรรมของเยาวชน (ชิงเส้าเหนียนจิ้นซิวปัน)  ชั้นมัธยมฯ (เกาจงกั๋วเสวียเอี๋ยนสีปัน) ต่อไป สร้างทัศนคติชีวิตที่ถูกต้องเที่ยงตรงขึ้นไปทีละก้าว ปลูกฝังการสำรวมศึกษา คุณธรรมความดีให้คงอยู่ เพื่อคุณสมบัติของความเป็นคนเพียบพร้อมมุ่งสู่ชีวิตสูงส่ง ก้าวไกล  นอกจากชั้นศึกษาหลักสูตรห้าปีของวงการสังคมแล้ว ผู้สูงวัยหกสิบปีขึ้นไปก็มีชั้น ต้นสนเขียวสดยาวนาน (ฉังชิงปัน)ชั้นศึกษาธรรมที่สอนให้ตามคุณสมบัติของเขาเหล่านั้น จุดประสงค์เพื่อชำระปรับแปรจิตใจ  อบรมคุณสมบัติของคนเพื่อปลูกฝังคุณธรรมความประพฤติเช่นกัลยาณชน อีกขั้นหนึ่ง ให้สนิทญาติ ให้เป็นคนใหม่ ให้ชิดใกล้ปวงประชา  ให้เผื่อแผ่ความดีทั่วหน้า ให้ศึกษาเรียนรู้กาลเทศะมารยาทสังคมกับวิธรผูกบุญสัมพันธ์กว้างขวาง ให้รู้ชัดพระมหากรุณาธิคุณฟ้าดิน พระคุณผู้คุ้มครองแผ่นดิน บุพการี  ครูอาจารย์  เข้าใจความหมายแท้จริงของจิตสำนึกคุณ  รักบุญวาสนา ทำให้ทุกคนเข้าใจคุณวิเศษและพิเศษสูงส่งของวิถีธรรม  วางรากฐานทัศนคติชีวิตที่เป็นปากเสียงแทนฟ้า สงเคราะห์ชาวโลก ฉุดช่วยเวไนยฯ  นับตั้งแต่ ต้ากูเฉียนเหยินบุกเบิกแพร่ธรรมยังไต้หวัน ด้วยขวัญวิญญาณของชาวปราชญ์ มุ่งหมายให้สุขต่อผู้สูงวัย  ใส่ใจผู้เยาว์เป็นที่ตั้ง แพร่หลักคุณธรรม  คุณสัมพันธ์  วัฒนธรรมจีน  ปรับแปรสังคมให้ดีงาม  ทุ่มเทการศึกษาแก่สังคม  ท่านกล่าวว่า "วิถีอนุตตรธรรม เป็นแก่นธรรมสามศาสนาที่ถ่ายทอดมาจริง  เป็นพงศาธรรมโดยตรงของศาสนาปราชญ์  อีกทั้งเป็นกระแสหลักที่ฟื้นฟูวัฒนธรรมดั้งเดิมของชาวจีน ฉันเห็นความสำคัญอย่างยิ่งต่อการอบรมคุณสมบัติของความเป็นคน ยิ่งเห็นความสำคัญของการปลูกฝังเสริมสร้างบุคลากร หวังให้ผู้บำเพ็ญล้วนเป็นคนยุคนี้ที่พร้อมด้วยคุณธรรมแปดประการ  สำหรับญาติธรรมใหม่ พอเริ่มต้นก็ได้รับการอบรมปรับแปรจากธรรมะ ต่อไปจะต้องเป็นคนเที่ยงตรง มีความประพฤติดีเป็นแน่ เป็นแกนแกร่งแก่สังคม  เป็นหลักคานแก่บ้านเมือง  ร่วมสร้างโลกเอกภาพในอุดมการณ์"

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                         พรหมวิหารธรรม ตราบเท่าชีวิตเฉินเฉียนเหยินต้ากู  : 

                                 ปีติธรรมเกินประมาณ ธรรมกิจทะยานบิน

                                        (ฝ่าสี่อู๋เซี่ยน  เต้าอู้เฟยเถิง)

                                         กุศลสงเคราะห์แก่มวลชน

                                         ( กงอี้ฉือซั่นซวี่หลีหมิน )

        ต้ากูเฉียนเหยิน รักษากตัญญุตาธรรมรำลึกไม่เสื่อมคลาย
จริงจัง เจริญตามขวัญวิญญาณบิดา ก่อตั้งกองทุนกุศลสงเคราะห์ ยังมีผู้เจริญในสังคมเสนอความคิดเห็น "ให้ก่อตั้งกองทุนสงเคราะห์เพื่อขยายธรรมกิจ จัดกิจกรรมวัฒนธรรมกับสาธารณประโยชน์  ได้จากสังคม  ใช้ให้แก่สังคม ไม่เพียงมีสถานภาพ ยังเป็นที่ยินดีของคนทั้งหลาย อีกทั้งนักเรียนนักศึกษาจะทำกิจกรรมธรรมะ ก็จะไม่เป็นด้วยวิถีอนุตตรธรรมยังไม่เป็นที่ยอมรับจากทางการแล้วก็จะปฏิเสธแจกทุนการศึกษา นับเป็นอีกอย่างหนึ่งที่จะกระตุ้นนักเรียนนักศึกษาให้ใฝ่ใจต่ออาณาจักรธรรม ซึ่งทุกอย่างให้คุณไม่ให้โทษ คำเสนอแนะนี้ กระทบใจต้ากูเฉียนเหยิน เพราะท่านคิดถึงวัยเรียนที่ต้องลำเค็ญอยู่บนหนทางปฏิบัติบำเพ็ญ ตัวท่านก็จะเหมือนพ่อแม่ที่ไม่ได้ดูแลลูกให้ดี ท่านปวดใจและตำหนิตนเอง ดังนั้น จึงกราบเรียนของคำชี้แนะจากหันเต้าจั่งเหล่าเฉียนเหยิน และได้รับอนุญาต อีกทั้งผู้เจริญในสังคมร่วมช่วยเหลือ เตี่ยนฉวนซือทางไทเปสมทบทุน เจี่ยงซือร่วมวางแผนเตรียมงาน  ในที่สุด ปีหมินกั๋วที่เจ็ดสิบห้า คณะบุคคลกองทุนการศึกษาวัฒนธรรมเทิดคุณธรรม (ไฉถวนฝ่าเหยินฉงเต๋อเหวินฮว่าเจี้ยวอวี้จีจินฮุ่ย) กราบเรียนเชิญท่านหันเต้าจั่ง เป็นประธานกองทุน ปีต่อมา เหนือใต้หลายแห่งในไต้หวัน ท่านต้ากูเฉียนเหยินไปก่อตั้งกองทุนวัฒนธรรมการศึกษา ฉงเหยิน  ฉงหลี่  ฉงอี้  กวงฮุ่ยเป็นต้น ขึ้นอีกห้าแห่งตามลำดับทุกปี  จะมอบรางวัลการศึกษาแก่ลูกกตัญญู  และสนับสนุนมารดาที่ครองม่าย  ส่งเสริมให้นักเรียนนักศึกษาประเทืองคุณธรรมร่ำเรียนแต่ละกองทุน ล้วนได้รับประกาศเชิดชูเกียรติคุณจากกระทรวงศึกษาธิการให้เป็นหมู่คนผู้ให้คุณประโยชน์ผลักดันส่งเสริมการศึกษา (ทุยสิงเซ่อฮุ่ยเจี้ยวอวี้โหย่วกงถวนถี่) นอกจากนี้ ท่านยังได้ก่อตั้งกองทุนสงเคราะห์ฟาอีฉงเต๋อ (ฟาอีฉงเต๋อฉือซั่นจีจินฮุ่ย) สำแดงคุณของงานสงเคราะห์ อีกร่วมช่วยหันเต้าจั่ง ก่อตั้งบ้าน แสงสว่างการุณย์รักที่ผูหลี่ (ผูหลี่กวงหมิงเหยินไอ้จือเจีย) กับ )ซิ่นอี้อวี้อิ้วเอวี้ยน) บริบาลสงเคราะห์เด็กเล็ก  กับงานกุศลสงเคราะห์อื่น ๆ อีกสร้างประโยชน์สุขแก่ปวงชนโดยเฉพาะ นักศึกษามหาวิทยาลัยมากมายต่างประทับใจต่อขวัญวิญญาณของต้ากูเฉียนเหยิน พากันเข้าร่วมขบวน ปฏิบัติบำเพ็ญเป็นหมื่น ส่วนที่ก่อตั้งชมรมโภชนาธรรมตามมหาวิทยาลัยนั้นมีร้อยกว่าแห่ง ท่านสร้างบุคลากรไว้มากมาย
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 5/12/2012, 02:34 โดย หนึ่งเดียว หลุดพ้น »

Tags: