เฮียซุ้ง ๒. : "แล้วแต่ฟ้าลิขิต" เฮียซุ้งตอบ "...ดีมาก ไม่ขัดเคือง ดีมาก..."ผู้เฒ่าชื่นชม สนทนามาถึงตรงนี้ พอดีรถจอดสถานีใหญ่ เสียงร้องขายของกันเซ็งแซ่ ผู้คนบนชานชาลาจอแจ เฮียซุ้งนึกขึ้นได้ว่าบ่ายแล้ว จึงไปซื้อข้าวมาสองห่อ ให้ผู้เฒ่าหนึ่งห่อ ผู้เฒ่าปฏิเสธบอกว่า
"เวลาขาลถึงมะโรง (เช้า) เทพยดาเสวย
ก่อนเที่ยงถึงบ่ายสาม เวาลามะเส็งถึงมะแม คนกิน
เวลาวอกถึงจอ หลังบ่ายสามถึงสามทุ่ม ผีสางกิน
เวลากุนถึงเวลาฉลูรอบใหม่ สามทุ่มถึงตีสาม สัตว์กิน เรียกว่ากินให้เหมาะกับเวลาของตน" ผู้เฒ่าบอกว่าจะลงรถสถานีหน้า จะให้ข้อคิดอีกหน่อย
...พระอาจารย์ท่านหนึ่งเคยสอนไว้ว่า อย่าโกรธแค้นคู่อริ เขามีคุณช่วยให้เราได้อดทนอดกลั้น ทั้งต่อเภทภัย ต่อความทุกข์ยาก อย่าโทษคน หรือฟ้าดิน...
...ลบนิสัยเคยชินไปได้ส่วนหนึ่ง จิตก็จะสว่างได้ส่วนหนึ่ง...
...ละกิเลสไปสิบส่วน ก็จะเจริญโพธิได้ส่วนหนึ่ง... "
...พ่อหนุ่มจะต้องไปอีกสี่ห้าสถานี กว่าจะถึงบ้านจะดึกมาก..." เฮียซุ้งสะดุ้งในใจอีกครั้งหนึ่ง ท่านรู้ได้อย่างไร เราไม่ทันได้บอกว่าจะลงที่ไหน ท่านผู้เฒ่าลงจากรถลับตาไปแล้ว แต่ก่อนรถจะเคลื่อนขบวนออกจากสถานี ท่านวกกลับมาปรากฏตัวที่หน้าต่างรถบอกเฮียซุ้งอย่างจริงจังว่า
"หลังตรุษจีน (วันไหว้) หนึ่งวัน ใส่ใจเลขทะเบียนรถเข็น" สั่งเสร็จท่านก็เดินจากไปอย่างรวดเร็ว เฮียซุ้งสับสนเคว้งคว้างอย่างบอกไม่ถูก เหมือนเพิ่งได้อะไรมาและเพิ่งเสียอะไรไปอย่างนั้น ...เพิ่งจะสังเกตเห็นหญิงสองคนที่นั่งเก้าอี้ตรงข้ามสายตาของเธอฉงนชอบกล คนหนึ่งอดไม่ได้เมื่อเฮียซุ้งสบตา เธอถามว่า
"ตะกร้าดอกไม้ใบสวยที่ตั้งอยู่ข้าง ๆ ตัว หายไปไหนแล้วล่ะ" เฮียซุ้งสะดุ้งอีก ตะกร้าอะไรที่ติดตัวมา มีกระเป๋าเก่า ๆ ใบเดียว วางอยู่บนชั้นวางของเหนือศรีษะ ผู้หญิงคนนั้นพูดอีกว่า
"ตลอดทางเห็นคุณคุยกับตะกร้าดอกไม้ไม่หยุด เราอึดอัดใจ ไม่รู้ว่าคุณมีปัญหา (ประสาท อะไรหรือเปล่า" คราวนี้ เฮียซุ้งตัวเย็นวาบ ผลุดลุกขึ้นจะลงรถไปตามหาผู้เฒ่าท่านนั้นให้รู้ชัดว่า เป็นคนเป็นผีหรือเป็นเซียน ถ้าเป็นเซียนจะถวายตัวเป็นศิษย์ แต่ ...รถแล่นเร็วเกินกว่าจะกระโดดลงไปได้แล้ว เฮียซุ้งพะว้าพะวังครุ่นคิดอยู่หลายวัน ไม่อาจลืมเหตุการณ์ที่ผ่านมาได้ ภาระรับผิดชอบครอบคัว ทำให้เฮียซุ้งเหนื่อยสายตัวแทบขาด ต่อมา พอจะหายใจได้ทั่วท้อง ก่อนตรุษจีนหนึ่งเดือนก็เกิดไฟไหม้ ชุมชนห้องแถวไม้ไหม้หมดทั้งแถบ เฮียซุ้งหมดตัว นึกถึงคำว่า "หมาตัวใหญ่แย่งไปกิน" จึงได้แต่ร้องว่า "ฟ้าลิขิต ฟ้าลิขิต"
บ้านเหลือแต่กองขี้เถ้า เฮียซุ้งจึงหอบหิ้วครอบครัวไปอาศัยพี่ชาย ซึ่งอยู่อีกย่านชุมชนหนึ่ง พี่ชายขายสินค้าประเภทเดียวกัน อีกทั้งมีรถเข็นเก่าที่ไม่ได้ใช้แล้วหนึ่งคัน เฮียซุ้งจึงขอใช้รถ ขอแบ่งสินค้ามาขายก่อน ตรุษจีน ร้านรวงการค้าขายหยุดหมด แต่เฮียซุ้งไม่ยอมเสียโอกาส เขายังคงเข็นรถคันเก่าตระเวนขายของจนค่ำ ท่ามกลางแสงสลัวช่วงหนึ่งบนถนน เขาเห็นรถขายน้ำเต้าหู้จอดอยู่ข้างทาง สภาพของรถเก่ามาก ไม่รู้อะไรทำให้เขาสนใจเหลือบดูป้ายทะเบียนรถสามตัว แล้วพลันก็นึกถึงคำของผู้เฒ่าขึ้นมาได้ เขากลับไปบ้าน รวบรวมเงินที่มีเพียงน้อยนิด ภรรยาของเฮียซุ้งเข้าใจเรื่องราว จึงไปขอยืมเงินจากลูกพี่ลูกน้องมาห้าร้อยบาท รวมเป็นสองพัน แทงหวยใต้ดินสามตัว
นี่เป็นครั้งแรกและครั้งเดียวในชีวิต เขาถูกหวยสามตัวหลายแสนบาท เฮียซุ้งจัดสรรเงินซื้อหุ้นเหมืองแร่ครึ่งหุ้นซึ่งปันผลกันทุกวัน ครึ่งหุ้นก็ได้วันละหลายหมื่นบาทแล้ว
กุศลผลบุญ คุณความดี และคุณธรรม สัมฤทธิ์ผลแก่เฮียซุ้งแล้ว ฐานะของเขาดีขึ้นทุกวันอย่างรวดเร็ว ลูกชายคนโตสอบเข้าโรงเรียนนายร้อยตำรวจ ความเจริญก้าวหน้าดีมาก ลูกชายหญิงอีกสองคนจบการศึกษาขั้นสูง ได้งานทำดี แม่ของเฮียซุ้งหมดอายุขัย เมื่อเฮียซุ้งรวยแล้วสองปีสมกับที่เขาตั้งใจจะทำให้แม่ภาคภูมิเป็นครั้งสุดท้าย ถึงขั้นนี้ ทุกอย่างสมความปรารถนา ค้างใจอยู่เพียงเรื่องเดียว คือ ผู้เฒ่าราศีสว่างท่านนั้นคือใคร อยู่ที่ไหน เฮียซุ้งเคยไปยืนรอตรงจุดที่ผู้เฒ่าเดินลงรถไปหลายครั้ง หวังว่าจะเกิดสิ่งมหัศจรรย์...! เรื่องค้วงใจนี้เป็นความทุกข์อยู่ลึก ๆ เป็นความทุกข์ยิ่งที่ยังมิได้ตอบแทนพระคุณ ได้ยินมาว่าที่นราธิวาส มีนักพรตเหมาซันศาสตร์ลี้ลับที่ล่วงรู้ทุกอย่าง เฮียซุ้งดั้นด้นไปหา พอไปถึง แต่เข้าไม่ถึง เพราะคนมีปัญหาคุกเข่ากันล้นหลาม ออกมาถึงนอกประตู เฮียซุ้งจึงได้แต่ยืนชะเง้ออยู่ข้างนอก แต่นักพรตมองเห็นกวักมือเรียก เฮียซุ้งจะคุกเข่าลงเหมือนคนอื่น ๆ ท่านบอกไม่ต้องอีกทั้งยื่นแก้วเหล้า
"โง้วเกียพ้วย" ที่ท่านดื่มไปแล้วครึ่งหนึ่งให้ พร้อมกับพูดว่า "ในโลกนี้ มีเรื่องมากมายที่ไม่รู้เสียดีกว่ารู้ ปัญหาที่ตั้งใจจะมาถามไม่ต้องถามแล้ว ต่อไปก็ไม่ต้องไปถามที่อื่นด้วย ทำเป็นว่ามันไม่เคยเกิดขึ้นก็แล้วกัน" ว่าแล้ว ท่านก็เรียกสาวกให้ส่งแขก
เฮียซุ้งไม่หาคำตอบจากที่ใดต่อไป แต่จะให้ลืมผู้มีพระคุณนั้น คงลืมไม่ได้
ท้ายเล่ม :
ทุกคนต่างรู้ดีว่า
ชีวิตเป็นสิ่งล้ำค่ากว่าอื่นใดในโลก
ความล้ำค่าของชีวิตสัมพันธ์กับกาลเวลา
หากเมื่อกาลเวลาของชีวิตหมดไป
ยังจะเหลืออะไรให้ก่อเกิดคุณค่าได้
ทุกคนต่างรู้ดีว่า
ความล้ำค่าของชีวิตถูกปลิดขั้วโดยกฏแห่งกรรม
หากเมื่อเวรกรรมที่ทำมาถึงคราตกผล
ยังจะเหลืออะไรให้ได้แก้ตัว
~~~~~ จบเล่ม ~~~~~