collapse

ผู้เขียน หัวข้อ: บันทึกกฏแห่งกรรมยุควิทยาศาสตร์ : คำนำ  (อ่าน 15976 ครั้ง)

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                ยาเบื่อ  :  หมอรุ่งเพชร มีชื่อเสียงมากทางไสยศาสตร์ หบังจากที่รักษาโรคประหลาดให้ทหารบกคนหนึ่งหาย โดยได้ถอนตะปูออกจากท้องสามตัวต่อหน้าต่อตาใคร ๆ แล้ว โรคที่รักษาไม่หาย

        ของนายทหารนั้น ก็หายอย่างกับปลิดทิ้ง จากนั้น เรือนไม้สองชั้น บ้านของหมอรุ่งเพชร ก็หัวบันไดไม่เคยแห้งสักวัน คืนหนึ่ง รถกระบะส่งผู้ป่วยชายคนหนึ่งที่มีสภาพเหมือนตายแล้วมาหาหมอรุ่งเพชร ขณะนั้น แม้จะใกล้เที่ยงคืน แต่หมอยังคร่ำเคร่งรักษาคนไข้อยู่ ญาติที่พาผู้ป่วยชายมาส่ง ต่างคุกเข่าเล่าอาการให้หมอฟังว่า ผู้ป่วยชื่อนายทองใบ ป่วยมาเกือบสิบปี เข้าออกโรงพยาบาลหลายครั้ง ใช้จ่ายค่ารักษาไปจนเกือบหมดตัวแล้ว ผู้ป่วยได้แต่ผอมเอา ๆ แน่นหน้าอกเหมือนมีอะไรหนัก ๆ มาทับไว้ หายใจติดขัด ต้องอ้าปากหายใจ บางครั้งถึงกับใช้ออกซิเจนช่วย ฉีดยากินยาได้แต่บรรเทา สักพักเดียวก็กลับเป็นอีก บางครั้งเป็นวันละหลายครั้ง จะมีเว้นบ้างสองสามวัน ช่วงหลังกลายเป็นสะอึกไม่หยุด สะอึกครั้งละเกือบสองชั่วโมง ตัวสั่น น้ำมูกน้ำตาไหลพราก หายใจอึดอัดมาก ก่อนจะส่งมาที่นี่ สะอึกไปแล้วเกือบทั้งวัน ตอนบ่ายหยุดไปสามชั่วโมง พอตกเย็นก็เริ่มสะอึกอีก ญาติส่งไปฉีดยาระงับประสาทกล้ามเนื้อหนึ่งเข็ม ตกค่ำอาการรุนแรงยิ่งขึ้นจนหมอที่โรงพยาบาลบอกให้กลับบ้าน เพราะไม่อาจเยียวยา ญาติที่ไปส่งเห็นว่า ในเมื่อโรงพยบาบาลไม่อาจรักษาได้ ก็พามาหาหมอรุ่งเพชรดู ขณะนี้ ผู้ป่วยหยุดอาการรุนแรง มีแต่ลมหายใจขึ้นลงที่พอเห็นได้บนร่างของหนังหุ้มกระดูกเท่านั้น หมอกดท้อง กดหน้าอก จับชีพจรแล้วบอกให้ญาติหาที่นอนกันเองบนเรือนหมอ รอพรุ่งนี้เช้าจึงจะรักษาให้ ญาติเหนื่อยกันมาก วันรุ่งขึ้นจึงตื่นเอาใกล้เที่ยง หมอลงมือจัดการกับผู้ป่วยที่เริ่มสะอึกอีกแล้ว หมอให้ญาติไปหอบฟางฟ่อนใหญ่หน้าลานบ้านมา จุดไฟให้เกิดควัน จากนั้นให้ญาติเอาถุงพลาสติกใบใหญ่เก็บควันขาว ๆ นั้นเข้าไป แล้วเอาถุงพลาสติกอีกใบหนึ่งคลุมตัวผู้ป่วยไว้ ผู้ป่วยซึ่งหายใจขัดมากอยู่แล้ว ยิ่งไอหนักจนดูอย่างกับจะขาดใจตาย ญาติมองหน้ากันเหมือนจะบอกว่า มารักษาให้หายหรือพามาให้เขาฆ่ากันแน่  แต่แปลก พอสูดควันถุงที่สามหมด ผู้ป่วยที่หมดแรงแล้ว กลับมีแรงไอต่อไป หมอบอกว่า ดีแล้ว ให้เขานอนหลับสักพัก หมอบอกแก่ทุกคนว่า เมื่อคืนตอนที่ผู้ป่วยมาถึง หมอเห็นวิญญาณปลาน้ำจืดฝูงใหญ่ตามมาล้อมบ้านหมอไว้ แต่เข้ามาบนบ้านไม่ได้ หมอนั่งทางในขอคุยกับหัวหน้าวิญญาณปลา ปลาดุกใหญ่มากตัวหนึ่งออกมาบอกว่า นายทองใบฆ่าล้างโคตรพวกเขา จะทรมานนายทองใบอย่างนี้หนึ่งปีแปดเดือนจึงจะทำให้ตาย ให้ได้รู้ว่า ที่ใช้ยาเบื่อจนพวกปลาไส้ขาดนั้น มันเจ็บปวดเพียงไร ปลาน้อยใหญ่ต้องอ้าปากพะงาบ ๆ หายใจดีดตัวดิ้นพรวด ๆ จนตาย ญาติรับว่าเป็นความจริง นายทองใบชอบใช้ยาเบื่อปลาเพราะทุ่นแรงทุ่นเวลา  และนายทองใบก็เคยเพ้อว่า "ปลาฝูงใหญ่มาแล้ว น่ากลัว...ช่วยด้วย" หลังจากเพ้อ นายทองใบก็จะเนื้อตัวเป็นจ้ำ ๆ ห้อเลือดบวมแดง เหมือนอะไรตอดกัด ได้ยินว่า นอกจากปลาแล้ว ยังมีกุ้ง ตะพาบน้ำ งูในน้ำก็มาช่วยกันแก้แค้น ผู้ป่วยสูดขวัญหญ้าฟางไปแล้ว หลับได้ทั้งวัน คืนนั้น หมอรุ่งเพชรทำพิธี จุดเทียนขาว 9 เล่ม เชิญวิญญาณหัวหน้าปลาดุกใหญ่มารอมชอมกันว่า เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร แต่วิญญาณพวกปลาไม่ยอม เพราะนายทองใบทำกับพวกเขาไว้มาก อำมหิตเหลือเกิน ทำพิธีรอมชอมหลายครั้ง แต่พวกปลาก็ยังไม่ยอมรับเงื่อนไขข้อเสนอ แสดงว่าการใช้ยาเบื่อคงทำให้พวกเขาเจ็บปวดสาหัสสากรรจ์ทีเดียวเป็นแน่ นอกจากจัดการกับนายทองใบแล้ว หมอรุ่งเพชรยังได้รับรู้ว่าลูกสาวนายทองใบอายุสิบเจ็ดปีถูกล่อลวงข่มขืน อับอายจนกินยาเบื่อตายไปเมื่อปีที่แล้ว นี่ก็เป็นผลจากแรงอาฆาตของพวกปลาด้วย  หมอรุ่งเพชรพยายามรักษาอยู่หลายวันจนนายทองใบทุเลาป่วย ไปทำบุญให้ทานเป็นการใหญ่ หวังจะได้ลบล้างบาปเวรบ้าง นายทองใบอยู่มาได้อีกหนึ่งปี วันหนึ่ง เขาเมาสุรา เดินตกลงไปในบ่อปลาที่น้ำตื้นไม่ถึงเข่า เขาจมน้ำตายอยู่ในบ่อปลา พระองค์กวนอริยมหาราชเจ้าโปรดว่า "๒แม้เราจะยิ่งด้วยบุญญฤทธิ์ อาจพิชิตมาร แต่มิอาจพิชิตเจ้ากรรมนายเวร"

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
               ยาบ้า  :  สิงคโปร์  มาเลเซีย เป็นประเทศสีขาว ปลอดยาเสพติด มึนเมา  เพราะกฏหมายลงโทษหนัก วินัยเคร่งครัดไม่เห็นแก่หน้าใคร ทั้งผู้ซื้อ  ผู้ขาย  ผู้เสพ  ผู้มีไว้ในครอบครอง  ผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง

        หากตรวจพบไม่ว่าจะเป็นใคร  ชาติใด ไม่ยกเว้นทั้งสิ้น โทษสูงสุดคือประหารชีวิต...แขวนคอ ส่วนประเทสอื่น ๆ ดูอย่างกะหละหลวมไม่เอาจริง ยาเสพติดจึงระบาดเกลื่อนเมือง วัยรุ่น เยาวชน คนทุกเพศวัยติดยา ค้ายา...ในสายตาของผู้ปกครองที่มองการณ์ไกล เห็นว่าลูกหลานที่ศึกษาอยู่ในเมืองไทย มีโอกาสเสี่ยงมาก จึงมักจะส่งลูกหลานไปเรียนที่สิงคโปร์  มาเลเซีย  แม้เพียงแค่ช่วงปิดเทอมก็ยังดี ซึ่งผลก็ปรากฏว่า ลูกหลานได้ทั้งภาษา สุขอนามัย และความประพฤติดี แต่ที่จะเล่าให้ฟังนี้ เป็นรายหนึ่งในร้อยที่ผิดแผกไปเรื่องมีอยู่ว่า คุณกังห่งกี พ่อค้าคหบดีใหญ่ทางภาคใต้ ส่งลูกชายโทนคนเดียวไปเรียนที่สิงคโปร์ ความยิ่งใหญ่ของตระกูลนี้เริ่มมาจากก๋ง  คือ คุณกังกุ้ยซิม ผู้มีเครือข่ายการค้าข้ามประเทศ มีรถตู้แช่ขนาดใหญ่หลายสิบคันส่งอาหารทะเลสด ๆ ไปยังสิงคโปร์  มาเลเซีย  ความร่ำรวยมหาศาล มีความสำคัญต่อการได้รับสิทธิพิเศษ รถตู้แช่ทุกคันผ่านด่านประเทศได้ไม่ต้องตรวจตรา  พอมาถึงรุ่นลูกคือคุณกังห่งกี ได้ขยายธุรกิจออกเป็นคเ้าน้ำมันปาล์มกับยางพารา กิจการรุ่งเรือง ก๋งจึงค่อย ๆ ยุบกิจการทางทะเลลง จึงมีเวลาว่างเข้าร่วมงานกุศลสงเคราะห์ในท้องถิ่น ได้รับการยกย่องอย่างเต็มภาคภูมิว่า "คนบุญ"  ขณะที่กำลังเป็นคนบุญที่โด่งดัง คุณกังห่งกีลูกชายก็เป็นพ่อค้าคหบดีใหญ่อยู่นั้น วันหนึ่ง ได้รับโทรศัพท์ข้ามประเทศจากโรงเรียนที่ลูกชายกังห่งกีเรียนอยู่ที่สิงคโปร์แจ้งมาว่า ทายาทคนที่สามคนเดียวของตระกูล ถูกตำรวจจับขังขณะเสพยาบ้าอยู่ในหอพัก กำลังรอศาลพิพากษาตัดสิน ดังฟ้าผ่ากลางวันแสก ๆ นี่มันเป็นเรื่องใหญ่มหันต์ เพราะมันคือกฏหมายสิงคโปร์ ไม่ใช่ในเมืองไทยเรื่องนี้จะบอกให้ก๋งหรือใครอื่นรู้ไม่ได้  แม่ของลูกชายเป็นลมล้มพับไปหลายครั้ง แต่ก็พยายามแข็งใจ นำเงินติดตัวไปห้าล้านเหรียญสิงคโปร์ (ประมาณหนึ่งร้อยยี่สิบห้าล้านบาท) คุณกังห่งกี มีเพื่อนอิทธิพลในสิงคโปร์อยู่ไม่น้อย จึงขอให้ช่วยวิ่งเต้นเรื่องนี้ พร้อมกับมอบเงินห้าล้านเหรียญแก่ผู้วิ่งเต้นที่เป็นเพื่อนสนิท ที่ต้องทุ่มเงินทันทีมากมายอย่างนี้ เพราะรู้ดีว่า แม้จะมีอิทธิพลเพียงไร เงินกองใหญ่เท่าใดก็ยากที่จะเปลี่ยนรูปคดีได้ จึงขอให้เพื่อนวิ่งเต้นให้สำเร็จก่อนขึ้นศาล แม้จะต้องหมดเนื้อหมดตัวก็ยอม กังมั่งกวง ผู้ต้องหาอายุสิบแปดปี เรียนอยู่สิงคโปร์มาแล้วสามปี มารยาทไม่งดงามนัก แต่ความประพฤติพอใช้ ปีสุดท้ายของมัธยมปลาย เพื่อนนักเรียนชาวต่างชาติชักชวนให้สูบบุรี่ชนิดพิเศษมวนหนึ่ง เป็นของแปลกใหม่ที่น่าพอใจ ต่อมาเพื่อนชาวต่างชาติก็ส่งบุหรี่พิเศษนี้มาให้เสมอ กังมั่งกวงจึงติดยาบ้าไปโดยไม่รู้ตัว ครึ่งปีระยะหลังนี้ คุณกังห่งกีเห็นว่า ลูกใช้เงินมากผิดปกติเป็นเท่าตัว แต่ก็คิดว่าลูกอาจมีแฟน จึงต้องมีค่าใช้จ่ายมากขึ้น ไม่คิดว่าลูกจะใช้ซื้อบุหรี่ยาบ้ามาสูบ กังมั่งกวงให้การว่า ยาบ้าจำนวนที่จับได้ในครอบครองเป็นของเพื่อนชาวต่างชาติมาฝากไว้ เจ้าหน้าที่ไม่รับฟัง เพราะหลักฐานมัดตัว เพื่อนสนิทชาวสิงคโปร์ช่วยวิ่งเต้นหาทางทั้งกลางวันกลางคืน แต่เจ้าหน้าที่ชาวสิงคโปร์ต่างรักษาหน้าที่ รักษากฏหมายเคร่งครัด ไม่ยอมแปดเปื้อน ฝากขังสามวันเท่านั้น ผู้ต้องหาก็ถูกนำขึ้นศาล ศาลชั้นต้นตัดสินว่า  หลักฐานเพียงพอให้ตัดสินแขวนคอภายในสามสิบวัน กังห่งกีวิ่งเต้นหาทางสุดชีวิต ตั้งรางวัลให้ทนายคนละหนึ่งล้านเหรียญอเมริกัน (ประมาณสี่สิบล้านบาท) ถ้าช่วยให้ลูกพ้นโทษประหารได้ แต่ใครก็ช่วยไม่ได้ ศาลชั้นต้น  สอง  สาม  ต่างลงความเห็นเป็นอย่างเดียวกัน เรื่องใหญ่นี้ ไม่มีใครกล้าบอกก๋ง แต่เมื่อก๋งกลับจากท่องเที่ยวเมืองจีน ได้ยินเสียงเขาเล่าลือกัน ก๋งต้องถูกส่งตัวเข้าโรงพยาบาลปั้มหัวใจฉุกเฉินทันที ส่วนคุณกังห่งกีผู้เป็นพ่อ ผมขาวโพลนทั้งศรีษะภายในเวลาไม่กี่วัน สำหรับแม่นั้น อยู่ในสภาพที่ไม่ต้องพูดถึงเลย วันประหารชีวิต พระสงฆ์ไทยจูงสายสิญจน์ รถศพบรรทุกโลงสีดำค่อย ๆ เคลื่อนออกมาจากประตูแดนประหาร ทุกคนที่ไปรอรับศพร้องไห้กันสุดเสียง จนฟ้าดินขณะนั้นพลันต้องโศกสลดไปด้วย ก๋งพาสังขารอันทรุดโทรมมารอรับหลาน นันย์ตาที่มองดูโลงศพบรรจุหลาน เหมือนมองดูสิ่งเลือนลาง ๆ ... แต่ทันใดนั้น ก๋งก็ถลาเข้าไป โหม่งศรีษะเข้ากับโลงศพ ร้องเสียงหลงว่า "มั่งกวงหลานรักของก๋ง ก๋งทำร้ายเจ้า ก๋งจะตายไปกับเจ้า..." ก๋งสลบลงตรงนั้น เสียงร้องไห้โฮดังยิ่งขึ้นกว่าเก่า ความโกลาหลเกิดขึ้น กังห่งกีไม่มีสติ เหมือนสมองหยุดสั่งงาน จนน้องสาวเข้ามาประคอง จึงเกิดความคิดวูบแรกว่า เตี่ยของฉัน (ก๋ง) แก่มากแล้วจะเป็นอันตราย จึงช่วยกันส่งก๋งเข้าโรงพยาบาล ก๋งค่อยฟื้นขึ้น เมื่อลืมตาเห็นกังห่งกีลูกชาย ก๋งน้ำตาไหลพราก บีบมือลูกชายไว้แน่น พูดพลางสะอื้นว่า "เตี่ยขอโทษลูก" แล้วหมดสติไปอีก ก๋งฟื้นขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง ครั้งนี้ เฝ้าแต่เรียกชื่อหลาน จะตามหลานไป ก๋งเพ้อเหมือนคนเสียสติ จัดงานศพของลูกเสร็จแล้ว กังห่งกีจึงกลับไปรับเตี่ยออกจากโรงพยาบาลสิงคโปร์มาไทย กลับบ้านปลอบขวัญแม่ของลูกที่ได้แต่เหม่อมองท้องฟ้า ไม่มีน้ำตาที่จะไหลได้อีก เก้าเดือนให้หลัง ก่อนที่ก๋งจะตาย ก๋งเพ้อว่า"ซ่อนยาบ้าไว้ในท้องปลา ซ่อนยาบ้าไว้ในท้องปลา ส่งต่างประเทศ... มั่งกวงหลานรักของก๋ง ก๋งทำร้ายเจ้า ก๋งจะตายไปกับเจ้า... ห่งกี ห่งกี เตี่ยขอโทษ เตี่ยขอโทษ"  

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
              คนอิสาน   :  เมื่อสี่สิบปีก่อน บ้านผู้จัดการเจี่ยอยู่ในกรุงเทพฯใกล้สถานีรถไฟหัวลำโพง เคยถูกสามีภรรยาชาวอิสานที่มารับจ้างทำงานอยู่ในบ้าน หลอกลวงลักขโมย ยกเค้าเอาข้าวของเงินทองไปพะเรอ

        เกวียน ทำให้ผู้จัดการเจี่ยเจ็บใจและเสียใจมาก เพราะไว้วางใจว่าเป็นคนดี  คนซื่อ  ให้ความอุปถัมภ์ค้ำชูเป็นอย่างดี แต่กลับเนรคุณเสียได้ จากนั้นเป็นต้นมา คุณเจี่ยจึงรังเกียจคนอิสานจับใจ ต่อให้การงานล้นมือเพียงไร ถ้าจ้างคนภาคอื่นไม่ได้ ก็ยินดีจะเหนื่อยเอง จะไม่จ้างคนอิสานไว้ให้สะดุ้งผวาอีก ต่อมาภายหลัง คุณเจี่ยย้ายไปค้าขายอยู่ทางภาคใต้ ลูกชายคนโตของคุณเจี่ย อายุสามสิบเจ็ดปี เป็นอาจารย์สอนอยู่ในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ มีคนรักที่เป็นเพื่อนนักเรียนเก่า และปัจจุบันเป็นอาจารย์สอนอยู่ในมหาวิทยาลัยเดียวกัน ทั้งสองรักชอบกันมาสิบห้าปี แต่ยังแต่งงานกันไม่ได้เพราะฝ่ายหญิงเป็นคนอิสานที่พ่อรังเกียจ แม้พ่อลูกจะไม่ได้พิพาทกันซึ่ง ๆ หน้า แต่เมื่อลูกเคารพรักพ่อจึงไม่อยากตอกย้ำความรังเกียจนั้น ครอบครัวคุณเจี่ยเป็นคนจีนที่รักษาขนบธรรมเนียมประเพณีดั้งเดิมไว้เคร่งครัด มีเรื่องหนึ่งคือ ถ้าหากลูกชายคนโตยังไม่มีครอบครัว น้องชายที่อายุสามสิบสี่ และน้องสาวที่อายุสามสิบเอ็ดปี ก็จะชิงแต่งงานก่อนไม่ได้ แม้ลึก ๆ คุณเจี่ยกับภรรยาจะห่วงใยที่ลูก ๆ ยังไม่เป็นฝั่งเป็นฝาก็ตาม แต่ถ้าลูกชายคนโตยืนยันว่าจะแต่งกับสาวอิสานคนนี้ก็ไม่ต้องคุยกัน ระยะหลัง คุณเจี่ยดูจะเครียดกับเรื่องนี้อยู่ไม่น้อย สังเกตจากที่เคยดื่มบรั่นดีขวดละเจ็ดวัน เดี๋ยวนี้เพิ่มเป็นขวดละสามวัน รุ่งเช้าวันจันทร์ คุณเจี่ยบ่นกับภรรยาว่า แน่นหน้าอก ภรรยาต้มซุปรังนกมาให้ แต่พอยกช้อนจะตักซุป มือสั่นจนช้อนตก ทรงตัวไม่อยู่ ภรรยารีบนำส่งโรงพยาบาล หมอบอกว่าเส้นเลือดตีบ ดีที่ยังไม่ขาด ให้พักที่โรงพยาบาลสักสามวันห้าวันรอดูอาการ หมอสั่งห้ามไม่ให้ดื่มเหล้าอีกเลย และให้ปล่อยว่างวางใจลง เพราะครั้งหน้าเส้นเลือดอาจจะขาดก็ได้ หมอเฉพาะทางผู้สูงอายุและคุ้นเคยกับท่านนี้ เป็นหมอปฏิบัติธรรม จึงแนะนำให้คุณเจี่ยอ่านข้อความพุทธวจนะของพระโพธิสัตว์กวนอิม (ข้อความเดิมยาวมาก ขอตัดตอนเฉพาะบางส่วน) ดังนี้ "จงปล่อยวางใจตน ปล่อยวางอคติตนลงเสีย ก็จะพบว่า ตนเองได้พลาดจากเหตุปัจจัยแห่งบุญไปไม่น้อย ความรู้เห็นในตัวเขา - เรา ไม่อาจวางลงได้อย่างแท้จริง คนที่ดีกว่านี้  สิ่งที่ดีกว่านี้ก็จะถูกขวางกั้นด้วยทัศนทิฐิของเจ้าเอง  ตนเองเห็นแก่ตัว จึงเห็นว่าผู้อื่นเห็นแก่ตัว  ตนเองระแวงแคลงใจ จึงสงสัยว่าผู้อื่นทำผิดต่อเรา นี่คือวิสัยที่ได้ปลูกฝังมาจากความยโส บำเพ็ญแต่หากยังละวางไม่ได้ ก็จะมีอัตตาตนเอง  มีอัตตาก็จะมีถูก - ผิด  มีเกิด - ดับ  มีการเวียนว่าย  สามีภรรยาไม่อาจละวางซึ่งกัน ก็จะหมางใจกัน  ก็จะคุมแค้นคัดเคืองกัน  เพื่อนพ้องไม่อาจละวางซึ่งกัน ก็จะกระทบกระทั่งกัน เสียดสีกัน ทำการใดไม่อาจละวาง ก็จะค้างใจไม่ยินดี  ไม่อาจละวางความทระนง ดึงดันความคิดเห็นของตนว่าถูกต้อง ก็จะไม่อาจปรับแปรเหตุปัจจัยแห่งบาปบุญทุกประการดังนี้ ผู้อื่นที่ไม่เหมาะกับเงื่อนไข  ความเคยชิน มาตรฐานของเจ้าก็จะโลดแล่นอยู่ในห้วงเหววัฏจักรของเจ้าเสมอ ละวางลง ยกก้อนหินในใจลง จะชดเชยความพร่องที่ค้างใจ แปรสลายแรงขัดเคืองที่จับตัวแข็งเป็นดานได้ วางลงเถิด วางห่อสัมภาระกับอนุสัยเก่าลงเสีย ทุกแห่งในโลกล้วนเป็นวิสุทธิแดนดิน เช่นนี้แล้ว เวลาใดหรือที่เราไม่อาจเป็นตัวของตัวเอง..."คุณเจี่ยอ่านพระโอวาทวจนะซ้ำหลายสิบเที่ยว รุ่งขึ้นเพิ่งจะฟ้าสาง เขาสั่งภรรยาให้โทรศัพท์ทางไกลไปหาลูกชายคนโตที่กรุงเทพฯ บอกให้แต่งงานกับสาวอิสานคนนั้นได้เลย  วันรุ่งขึ้น ลูกชายคนโตพาคนรักมากราบพ่อแม่ ขออนุญาตแต่งงานวันอาทิตย์หน้า ไม่กี่วันต่อมา ลูกชายคนรองพาเด็กอายุเจ็ดปีเด็กหญิงอายุห้าปีกับแม่ของเด็กมากราบพ่อแม่ สามแม่ลูกพร้อมกันเรียก "อากง อาม่า" ลูกชายคนรองบอกพ่อแม่ว่านี่คือครอบครัวของลูก คุณเจี่ยถามลูกสะใภ้คนรองว่า เป็นคนภาคไหน เธอก้มหน้าตอบว่า "อิสานค่ะ" คุณเจี่ยชะงัก พูดอะไรไม่ออก ขณะที่งงงันอยู่นั้น ลูกสาวคนเดียวของคุณเจี่ยกับหนุ่มใหญ่บุคลิกดีคนหนึ่งก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า ลูก ๆ อย่างกับนัดกันมา (ให้มันรู้แล้วรู้รอดไป) อย่างนั้น หนุ่มใหญ่คือนายร้อยตำรวจคนรักของลูกสาว คุณเจี่ยโพล่งถามออกไปเหมือนคุมใจหวาดผวาไว้ไม่อยู่ว่า "คนภาคไหน" หนุ่มใหญ่ว่าที่ลูกเขยตอบนอบน้อมว่า "อิสานขอรับ" มีคำกล่าวว่า"เกลียดอะไรได้อย่างนั้น" คุณเจี่ยส่ายหน้าถอนใจกับชะตากรรม ทรัพย์สินเงินทองมากมายพะเรอเกวียน ถูกคนอิสานขโมยไปจนเกือบหมดเมื่อเริ่มตั้งตัวสร้างฐานะ บัดนี้สร้างฐานะเป็นปึกแผ่น สร้างลูก ๆ ให้สูงส่งถึงเพียงนี้ นับเป็นธนสารสมบัติมหาศาลในชีวิต แต่สุดท้าย ก็ยังหนีไม่พ้นเงื้อมมือคนอิสานไปได้

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                  ดูหนัง   :  บ่ายวันหนึ่ง เจ้าของบริษัทจวงจันทร์ภาพยนต์ในจังหวัดอุดรธานี ได้ต้อนรับลูกค้าชายวัยกลางคน สวมเสื้อกางเกงสีขาวทั้งชุด ซึ่งมีท่าทีสุภาพมากคนหนึ่ง มาติดต่อให้ไปฉายหนังกลางแปลงที่

        หมู่บ้านวังทอง หมู่แปด ใกล้กับวัดขามชำนุ ตกลงราคา วันเวลา สถานที่กันเรียบร้อยแล้ว ชายในชุดขาวก็วางมัดจำให้หนึ่งพันบาทก่อนจากไป นี่เป็นเรื่องปกติประจำวันที่มีคนมาขอเช่าหนังกลางแปลงอย่างนี้ แต่ที่แปลกก็คือบนกระดานดำที่ลงรายการจะต้องไปฉายหนังยังที่ต่าง ๆ เต็มไปหมด ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์จนถึงสิ้นเดือนพฤษภาคม เหลือว่างเฉพาะวันที่สามมีนาคมวันเดียว ที่เป็นวันจองของวัด ๆ หนึ่งซึ่งเพิ่งโทรศัพท์มาบอกยกเลิกเมื่อวานนี้ ชายในชุดขาวอย่างกับจะรู้หรืออย่างไร จึงเลือกเอาวันนี้พอดี บริษัทจวงจันทร์ภาพยนตร์ไม่ใช่บริษัทใหญ่โตอะไร เป็นบริษัทพ่อแม่ลูกช่วยกันทำ มีเครื่องฉายหนึ่งเครื่อง จอผ้าขาวหนึ่งจอ รถหกล้อเก่า ๆ หนึ่งคัน แค่นี้ก็เป็นโรงภาพยนตร์เคลื่อนที่ได้ ภาพยนตร์ที่ฉายส่วนใหญ่ไม่มีเสียงในฟิลม์ นายจวงจันทร์จะเป็นคนพากษ์เอง เขาเป็นนักพากษ์ชั้นเยี่ยม พากษ์ได้ทั้งบทรักบทร้าย ทั้งเสียงผู้ชายผู้หญิง คนแก่ทารก และแม้เสียงหมูหมากาไก่ ให้ความบันเทิงใจแก่ชาวบ้านชาวเมืองไว้มาก วันที่สามมีนาคม บริษัทจวงจันทร์มีพ่อแม่ลูกรวมสี่คนเตรียมทุกอย่างพร้อม ออกเดินทางจากอุดร แปดสิบกิโลเมตรจะไปถึงหมู่แปด หมู่บ้านวังทองที่นัดหมายกัน ตามที่นายปาชายในชุดขาวเขียนบอกไว้ ซึ่งน่าจะหาได้ไม่ยาก ที่ยากก็คือ กำหนดเวลาที่เข้าไปถึงบริเวณตั้งจอ ซึ่งดูนายปาจะย้ำนักหนาว่า จะต้องเข้าไปหลังบ่ายสี่โมงหรือสี่โมงเย็น และจะต้องกลับออกมาจากที่นั่นวันรุ่งขึ้นก่อนเวลาตีสี่ เหตุผลก็คือ บริเวณนั้นจะมีพิธีซ้อนกัน  ปกติการฉายหนังกลางแปลงตามวัด เขาจะขึงจอกันแต่วัน ตอนบ่ายจะกระจายเสียงเปิดเพลงเรียกร้องความสนใจ เป็นการโฆษณาประกาศให้ประชาชนรับรู้ว่า จะมีการฉายหนังกันตรงนี้ อีกทั้งตั้งจอแต่วันจะได้ไม่ต้องฉุกละหุก  นายจวงจันทร์กินข้าวเที่ยงแล้ว บ่ายจึงออกรถ แต่มาถึงหมู่บ้านวังทองก็เพิ่งจะบ่ายสองโมงครึ่ง แม้จะไม่เคยมาที่หมู่บ้านนี้แต่ก็หาได้ไม่ยาก พอเลยหมู่ที่เจ็ดก็จะต้องเข้าหมู่ที่แปดตามที่นายปาชุดขาวเขียนบอกไว้ แต่เลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวา หาเท่าไรก็ไม่พบหมู่ที่แปด ถามชาวบ้านแถบนั้นดู ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ที่นี่ไม่มีหมู่ที่แปดและไม่มีคนชื่อนายปา ไม่มีใครรู้จัก เอาละสิ คงจะเกิดความผิดพลาดอะไรสักอย่าง แต่... ไปหาอะไรกินหน้าอำเภอเสียก่อน ถึงเวลาจึงค่อยกลับมาใหม่ ในใจก็คั่งค้างอยู่แต่ว่า "น่าจะถูกหลอก ไม่ได้ค่าฉายหนังครั้งนี้แน่นอน หรือเราอาจจะเคยหลอกเขาไว้ หรือเราอาจจะสัญญาจะให้อะไรแก่ใครแล้วไม่ได้ให้จึงต้องมีเหตุให้ต้องมาชดใช้..." นายจวงจันทร์โอ้เอ้เตร่อยู่ที่ตลาดหน้าอำเภอจนถึงห้าโมงกว่า ค่อยกลับเข้าหมู่บ้านมาใหม่ ครั้งนี้ที่แปลกก็คือ ป้ายหมู่ที่แปดแผ่นใหญ่ปักอยู่ริมทางเห็นชัดเจนแต่ไกล ถนนเข้าหมู่บ้านก็ออกจะกว้างใหญ่ มาครั้งแรกทำไมไม่เห็น นายปายืนคอยอยู่ที่ปากทาง ถามเหมือนตำหนิว่า ทำไมเพิ่งมาถึง นายจวงจันทร์ไม่ตอบว่ากระไร รีบตอกหลักขึงจอตรงจุดที่นายปาชี้ให้ แล้วรีบจัดการฉายหนังทันทีเพราะค่ำแล้ว พ่อแม่ลูกทั้งสี่ ไม่มีเวลาชื่นชมกับทัศนียภาพหรือสัมผัสลมเย็น ไม่ทันสังเกตเสียด้วยซ้ำว่า บริเวณเงียบเชียบที่มีเพียงนายปาคนเดียว ชั่วพริบตา คนมาจากไหนแน่นขนัด มีทั้งผู้ชมภาพยนตร์นั่งกันเต็มพื้นบริเวณ มีทั้งพ่อค้าแม่ขายเหมือนงานวัดนัดสำคัญอย่างนั้น แต่แปลกที่ทุกคนนั่งดูกันอย่างสงบเงียบ หนังเรื่องนี้สนุกมาก คุณจวงจันทร์ตั้งใจพากษ์อย่างเต็มที่ พอถึงตอนที่ผู้ร้ายพ่ายแพ้ ผู้ชมที่เงียบกริบก็พากันปรบมือเกรียวกราวทำให้ผู้พากษ์คึกคักไปด้วย เดิมทีตกลงจะฉายให้ถึงตีสาม แต่เห็นผู้ชมหัวดำ ๆ ยังนั่งกันเต็มบริเวณไม่ลุกไปไหน จึงฉายแถมตำรวจจับผู้ร้ายให้อีกเรื่องหนึ่ง  ลูกเมียทั้งสามของนายจวงจันทร์หาที่หลับนอนไป หลังเที่ยงคืน จึงเหลือแต่นายจวงจันทร์ฉายด้วย พากษ์ไปด้วย ใจจดใจจ่ออยู่คนเดียว เวลาผ่านไป ผ่านไป... เสียงปรบมือเบาบางลงหัวดำ ๆ ตะคุ่ม ๆ บางตาลง เงยหน้ามองขอบฟ้า จึงรู้ว่าใกล้ฟ้าสางแล้ว หันกลับมาดูผู้ชม นายจวงจันทร์แทบจะหัวใจวาย หัวดำ ๆ ตะคุ่ม ๆ ที่เห็นก่อนหน้านี้ มันเป็นตอไม้กับหลุมฝังศพ บริเวณฉายหนังที่กว้างใหญ่ไม่มีร่องรอยของผู้คนเลย มันเป็นบริเวณสุสานทั้งหมด ที่แท้เมื่อคืนนี้ ผีมาดูหนัง !

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
              คน - ควาย  :  พทธศักราช 2538 ปลายปี มีงานฝังลูกนิมิตที่วัดพระบาทฯ วันสุดท้ายของงาน เกิดเหตุไม่นึกไม่ฝันขึ้น  งานฝังลูกนิมิตเป็นงานบุญสำคัญทางศาสนาพุทธ

        สาธุชาชาวพุทธแทนที่จะตั้งใจมาอนุโมทนาสาธุการ ร่วมช่วยกันจรรโลงพุทธศาสนาให้ถาวรสืบไป สิ่งแรกคิดได้กลับกลายเป็นว่า "จะหาทางได้เงินทองจากงานนี้ด้วยวิธีไหน?"
จึงมีคนหากินจากงานวัดมากมายเรื่อยมา บ้างเข้าหาผู้หลักผู้ใหญ่ที่สั่งการได้ แต่ไม่ว่าจะเข้าหาใคร สิ่งที่ขาดไม่ได้ก็คือ ผลประโยชน์ใต้โต๊ะ แต่หลวงตาที่วัดพระบาทแห่งนี้ ไม่ยอมให้มีการ "รวบยอด" หาประโยชน์ ไม่ว่าจะขายบัตรผ่านประตู เก็บค่าเช่าแผง  จัดการละเล่นหรือการพาณิชย์ทุกอย่าง หลวงตาจะเก็บแต่เงินบุญที่สานุชนตั้งใจบริจาคอย่างบริสุทธิ์ใจเท่านั้น  เท่าไรก็เท่านั้น ซึ่งสุดท้าย พอเสร็จงาน เงินที่บริจาคก็เพียงพอสำหรับการเสริมสร้างหรือปฏิสังขรณ์วัดได้พอดีเท่าที่ขาดแคลน พวกเราคณะกรรมการจากมูลนิธิกุศลสงเคราะห์ ได้รับการขอร้องจากหลวงตาให้มาช่วยทำบัญชี เสร็จภาระหน้าที่แล้ว ขณะที่คณะเรานั่งสนทนาธรรมกันอยู่ ก็ได้ยินเสียงครึกโครมใกล้เข้ามา... ควายตัวใหญ่วิ่งถลันเข้ามาในกุฏิของหลวงตาที่เรานั่งอยู่ด้วย มันหายใจฟืดฟาดหยุดยืนอยู่เบื้องหน้าหลวงตา ข้างหลัง ชาวบ้านชายฉกรรจ์สิบกว่าคน ต่งถือไม้พลองกระเหี้ยนกระหือวิ่งตามมาจะทำร้ายควาย หลวงตารีบออกไปกั้นกลาง ถามว่า "มันเรื่องอะไรกัน"   "มันขวิดคนตายครับ" ชายฉกรรจ์ชิงกันตอบ "ขวิดใครตายที่ไหน?." "ขวิดไอ้ปัญญา เจ้าของมันเอง ที่กลางทุ่งนานางทอง"  "ปัญญามันลูกของนางทองไม่ใช่หรือ มันติดยาบ้าไม่กลับมาบ้านนานแล้วไม่ใช่หรือ?" หลวงตาถามต่อไปว่า "มันตายหรือเปล่า?" "ยังไม่ตายครับ แต่ไส้ไหลออกมากองกับพื้น หน้าอกก็ถูกขวิดเป็นรูใหญ่สองรู จะรอดได้อย่างไร?"   "ทำไมพวกเจ้าไม่คิดจะช่วยส่งคนเจ็บไปโรงพยาบาลเสียก่อนเล่า คิดแต่จะฆ่าควาย มันจะเิกิดประโยชน์อะไร?"  "ใช่สิ ใช่สิ"  เสียงรับคำหลวงตาดังขรม แล้วคนกลุ่มใหญ่ก็รีบวิ่งไปยังที่เกิดเหตุ หลวงตาส่ายหน้าแล้วบอกกับคณะเราว่า "จะต้องไปดูสักหน่อย แต่ทุกคนไม่ต้องไปลำบากด้วยมันไกลจากที่นี่หลายกิโล"คณะเรา คนที่สูงอายุเห็นด้วยที่จะไม่ไป แต่คนที่ยังไหวต่างลุกขึ้นยืนจะไปด้วยกับหลวงตา  ยังไม่ทันออกจากกูฏิ พวกที่ไล่ควายมาสามสี่คนวิ่งย้อนกลับมาใหม่ ตะโกนมาแต่ไกลว่า "หลวงตา ๆ ไอ้ปัญญาตายแล้ว ๆ "  เรื่องนี้ หลวงตาเป็นที่ปรึกษา ชาวบ้านให้ความเห็นว่า "ขวิดคนตาย เลี้ยงไม่ได้ ต้องฆ่า" หลวงตาย้อนถามว่า "จะเอาอย่างนั้นหรือ"  ๙ายฉกรรจ์คนหนึ่งพยักหน้าขึ้งเครียด พูดอย่างจริงจังว่า "มันต้องชดใช้ด้วยชีวิต มันขวิดเจ้าของตายใครจะรับรองได้ว่า มันจะไม่ขวิดคนอื่นอีก"  หลวงตาให้ทุกคนตั้งสติ ดื่มน้ำเย็น ๆ แล้วจึงค่อย ๆ พูดต่อไปว่า "ควายมีสัญชาติญาณอ่อนโยน เป็นเพื่อนที่ซื่อสัตย์ของคน มันจะต้องมีเหตุแห่งกรรมนี้..." ในครั้งพุทธกาล พ่อค้าคนหนึ่งเข้าเมืองมาถูกควายขวิดตาย เจ้าของควายตกใจ รีบขายควายตัวนั้นไปในราคาต่ำ ผู้ซื้อดีใจที่ได้ควายมาในราคาถูกมาก จึงจูงควายกลับบ้าน แต่พอกลับถึงบ้าน ควายตัวนั้นก็ขวิดเจ้าของคนใหม่ตายอีก คนบ้านนั้นโกรธแค้นมาก ฆ่าควายตัวนั้นแยกชิ้นส่วน เอาไปเร่ขายที่ตลาดทันที ชาวนาคนหนึ่งซื้อหัวควายที่มีเขาทั้งสองข้างกลับไปด้วยความดีใจ แดดร้อนจัดมาก จึงหยุดพักร้อนใต้ร่มไม้ระหว่างทาง เขาแขวนหัวควายไว้บนต้นไม้แล้วหลับไป เกินกว่าจะคาดเดา เชือกที่ใช้แขวนเกิดขาด หัวควายตกจากต้นไม้ เขาข้างหนึ่งแทงลงบนทรวงอกชาวนาผู้ซื้อ เขาตายทันที เป็นรายที่สามในวันเดียวกัน เรื่องเล่าลือไปถึงพระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์ตรัสเฉลยข้อข้องใจในที่ชุมนุมว่า "กาลครั้งหนึ่ง มีพ่อค้าสามคนเดินทางไปค้าขายต่งเมือง คืนหนึ่งได้พักแรมที่บ้านหญิงชรานางหนึ่ง  และรับปากว่าจะจ่ายค่าที่พักให้ แต่พอวันรุ่งขึ้นก็แอบหลบไป หญิงนางนั้นไล่ตามมา พ่อค้าเห็นเป็นหญิงชรา หามีพิษสงให้ต้องเกรงกลัวไม่ จึงกลับด่าทอให้หญิงชราเจ็บซ้ำ คร่ำครวญ มองดูพ่อค้าทั้งสามด้วยสายตาอาฆาตมาดร้าย สบถสาบานว่า " ข่มเหงเราแก่เฒ่า ชาตินี้ตอบโต้ไม่ได้ ไม่ว่าชาติไหน ๆ จะเกิดเป็นคน เกิดเป็นอะไร ก็จะล้างแค้น จะฆ่าพวกเจ้าให้ได้..." ตถาคตเจ้าโปรดต่อไปว่า "ควายที่ฆ่าคนตายถึงสามคนในวันเดียวกันก็คือหญิงชรา  ผู้ถูกฆ่าคือพ่อค้าทั้งสามที่ข่งเหงคตโกงหญิงชรานั้น...." เมื่อหลวงตาเล่าจบ ไม่เพียงคนฟังจะสะเทือนใจ ควายที่ขวิดนายปัญญาตาย ก็ยืนนิ่งน้ำตาคลอ ขณะนั้นเอง กำนันพานางทองแม่ของผู้ตาย นั่งเกวียนมาถึง นางทองอายุยังไม่ถึงห้าสิบ สามีตายไปสิบกว่าปี เหนื่อยยากเลียงนายปัญญากับน้องสาวมา ปัญญาคบเพื่อนเสียหายมาตั้งแต่อายุสิบกว่าปี ปีนี้แม้จะอายุยี่สิบกว่า แต่เกียจคร้านไม่ยอมทำงานอะไรเลย แม้แต่ช่วยแม่ทำนา เอาแต่เที่ยวเล่นไป พอกลับมาบ้านก็จะเอาเงิน ปัญญาเลวถึงขนาดขายน้องสาว ให้เพื่อนสารเลวขึ้นเรือนมาข่มขืนกัน ดีที่น้องสาวหนีรอดไปบ้านน้าชาย น้าชายใช้ปืนดาวกระจายยิงกราด พวกสารเลวจึงถอยไป วันเกิดเหตุ ปัญญากลับมารีดเงินอีก แม่กำลังจูงควายจะไปทำนา ไม่มีเงินติดตัว ปัญญาไม่เชื่อค้นตัวแม่ ฉุดกระชากลากถูจนแม่เสื้อขาด ปัญญาเป็นสัตว์ไปเสียแล้ว จะข่มขืนแม่ของตัวเอง... แต่ในที่นั้น ไอ้ทุยยืนดูอยู่ เขาจึงหันกลับมาถีบไล่ไอ้ทุยไปให้พ้น... หารู้ไม่ว่า สัญชาตญาณของควายก็มิอาจทนดูความชั่วช้าของลูกอกตัญญูเยี่ยงนี้ได้ มันจึงพุ่งเข้าขวิด ชาวบ้านรู้เห็นแต่ที่ควายขวิด แต่ไม่รู้ความเป็นจริงก่อนหน้านั้น กำนันที่พานางทองมานำควายกลับไป ทิ้งท้ายว่า "ถ้าไอ้ปัญญามันไม่ตายด้วยควายขวิด มันก็จะต้องถูกฟ้าผ่าตายในไม่ช้า" ชายฉกรรจ์ที่กระเหี้ยนหระหือจะฆ่าควายในตอนต้น ต่างสำนึกขอบคุณควาย บ้างยังคุกเข่ากราบขอขมาลาโทษควายเสียด้วย ทำให้ทุกคนน้ำตาซึมไปตาม ๆ กัน

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                      เฮียซุ้ง   :  ข้าพเจ้า กับ เฮียเฮ้งจงซุ้ง นั่งคุยกันตั้งแต่ตะวันตกดินจนตะวันส่องฟ้ากลับมาใหม่ในวันรุ่งขึ้น จึงได้รู้สึกตัวว่า เราคุยกันมาทั้งคืนโดยไม่ได้หลับนอน ไม่รู้มีเรื่องอะไรให้คุยกันได้นักเชียว

        อันที่จริง ข้าพเจ้ากับเฮียซุ้ง ไม่ได้เป็นเพื่อนรักต่างวัย ไม่ได้เป็นเพื่อนร่วมเรียนก่อนเก่าที่จากกันไปนาน เราเป็นเพียงคนที่เพิ่งรู้จักกัน เมื่อสัปดาห์ที่แล้วบนเที่ยวบินกรุงเทพฯ - ภูเก็ต
เมื่อแลกเปลี่ยนนามบัตรกันแล้ว กล่าวคำว่า "มีเวลาเชิญมาเที่ยวที่บ้าน" เท่านั้น ไม่คิดว่าเฮียซุ่งจะเป็นคนว่องไวเพียงนี้มาเยี่ยมข้าพเจ้าก่อนหลังจากอำลากันไม่นาน ทำให้นึกถึงคำโบราณที่ว่า "ตั้งใจเล่าเรียนได้ทุกที่ คบเพื่อนดีได้ทุกเวลา" เฮียซุ้งกำพร้าพ่อตั้งแต่เล็ก กตัญญูต่อแม่มาก เขาเป็นคนตำบลนอกเมืองนครศรีธรรมราช อาชีพเข็นรถขายของใช้ประจำบ้าน เลี้ยงปากท้องหกชีวิตของครอบครัว ออกจากบ้านตั้งแต่เช้ามืด มื้อเที่ยงมักจะอดข้าว ตอนค่ำจะซื้ออาหาร กลับไปฝากแม่ เฮียซุ้งเป็นคนอารีอารอบ ชอบช่วยเหลือคน ใครลำบากยากแค้น แม้ตนเองจะข้าวหมดหม้อ ก็ขอให้คนอื่นได้อิ่มไว้ก่อน ค่ำวันหนึ่ง ไปซื้อข้าวสารมากรอกหม้อ ระหว่างทางได้พบแม่เฒ่าขอทาน บอกว่าไม่ได้กินข้าวมาสองวันแล้ว เฮียซุ้งยกข้าวถุงนั้นให้ไป ซื้อก๊วยเตี๋ยวหนึ่งห่อกลับมาให้แม่ ตนเองกับลูกเมียอดไปก่อนหนึ่งคืน ค่ำมืดดึกดื่นใครเจ็บป่วยให้ช่วยส่งโรงพยาบาล แม้วันตรุษจีนเป็นวันถือ จะให้เขาช่วยหามโลงศพ เขาก็ยินดี ทุกคนในตำบลชื่นชมเขา ชาวไร่มีผัก มีฟักแฟง ก็มักจะเอามาฝาก เพราะรู้ว่าเขารายได้น้อย ลูกมากยากจน แม่ของเฮียซุ่งเจ็บออด ๆ แอด ๆ สงสารลูกชาย จึงไปอยู่กับลูกสาวที่ลูกเขยฐานะดีกว่า วันหนึ่ง น้องสาวโทรศัพท์มาบอกว่า แม่ป่วยหนัก เขารีบถอดแหวนวงน้อยไปขาย เป็นค่ารถพาลูกเมียไปเยี่ยมแม่ที่บ้านของน้องสาวทันทีที่หาดใหญ่  ชะรอยเป็นแรงกตัญญู ถ้าแม่เป็นอะไรไปในช่วงชีวิตนั้น ลูกกตัญญูยากจนยังทำอะไรไม่ได้ คงต้องเสียใจไปตลอดชีวิต เดชะบุญแม่หายป่วย  เฮียซุ้งส่งลูกเมียกลับบ้านไปก่อน ส่วนตนเองเดินทางต่อไปที่สุไหงโกลก เพื่อจะไปขอให้ "เจ้าผู้ศักดิ์สิทธิ์ทรงฤทธิ์" ช่วยดูชะตาแม่ และช่วยต่ออายุให้แม่ด้วย เสร็จธุระจากสุไหงโกลกย้อนกลับมาไหว้ "เจ้าปู่ใหญ่" ศักดิ์สิทธิ์ที่หาดใหญ่ ขอให้ช่วยต่ออายุให้แม่ จากนั้นจึงขึ้นรถไฟชั้นสามกลับนครศรีธรรมราช เก้าอี้ชั้นสามนั่งตัวละสองคน พอเดินมาถึงที่นั่ง ผู้เฒ่าคนหนึ่งซึ่งนั่งอยู่ริมหน้าตางรีบลุกขึ้นให้ทีนั่งแก่เขา  ผู้เฒ่าเองเลื่อนมานั่งใกล้ทางเดิน เฮียซุ้ง ดูเลขที่นั่งแล้วรู้สึกแปลกใจ ถามผู้เฒ่าผมขาวสีเงินระยับว่า "ทำไมทราบว่าที่นั่งของผมอยู่ริมหน้าต่าง"  ผู้เฒ่าเคราสีเงินยาวประทรวงอกยิ้มแล้วว่า "ก็เลขที่นั่งของฉันอยู่ใกล้ทางเดิน ของเธอก็ต้องอยู่ริมหน้าต่างน่ะซิ" จากนั้นเฮียซุ้งกับผู้เฒ่าลักษณะพิเศษท่านนั้นก็เริ่มสนทนากัน  ผู้เฒ่าว่า "อายัขัยสั้นยาว ขึ้นอยู่กับบุญทานบารมีที่บำเพ็ญมาแต่ชาติปางก่อน ไม่ใช่จะอธิษฐานภาวนาขอมาได้..." เฮียซุ้งสะดุ้งในใจ ท่านรู้เรื่องของเราได้อย่างไร  "...ผีสางเทวดาก็เป็นหนึ่งในหกชีววิถีที่ต้องเวียนว่าย ท่านเองก็ต้องสิ้นสุดเวลาอายุขัย แล้วจะช่วยเราได้อย่างไร อย่าหลงเชื่อง่าย ๆ เราไม่ดูแคลน แต่ก็ไม่ต้องไประจบสอพลอ ทางที่ดีเคารพแต่ต้องถอยห่างไว้..." "...เชื่อในผีสาง วอนขอแต่เทพยดา เคารพเซียนผู้บรลุธรรม เอาอย่างพุทธะอริยะ แสวงทางรู้แจ้ง  คล้ายกันแต่ต่งกัน จะต้องใช้ปัญญาแยกแยะ อ่นคัมภีร์สัจธรรมให้มาก ความคิดจิตใจให้เทียงตรงสว่างกว้างใหญ่  ไม่โลภ  ไม่ฉ้อฉล จึงจะไม่ถูกผีสิงใจ...ให้ทานทรัพย์สิ่งของ ประคองสงเคราะห์คนทุกข์ยาก เรียกว่าสร้างบุญกุศล  วันข้างหน้าวาสนาจะปรากฏ  ให้ทานไปเห็น ๆ แต่เบื้องบนจะตอบสนองกลับมาเงียบ ๆ ทุ่มเทอดทนทำไป เรียกว่าคุณความดี  สร้างคุณความดีให้ชาวโลก วันข้างหน้าจะสูงส่ง บุญกับคุณความดี จะหล่อหลอมจิตใจให้เบิกบานแจ่มใส ยินดีที่จะเป็นผู้สงเคราะห์ช่วยเหลือ จิตใจนั้นเป็นคุณธรรม  บุญกุศล  คุณความดี  กับคุณธรรม จะตอบสนองด้วยร่ำรวยสูงส่ง อายุยืน...  ...หากยังไม่เกิดผลตามนี้ แสดงว่ายังมีวิบากกรรม มีมารทดสอบ เช่นพ่อหนุ่ม เธอทำความดีมามาก แต่ยังขัดสนอยู่ เปรียบเหมือนว่า กว่าจะได้ข้าวมาสักชาม ก็ถูกหมาตัวใหญ่ชิงเอาไปกิน ถ้าเป็นอย่างนี้ พ่อหนุ่มจะคิดย่างไร"

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
            เฮียซุ้ง ๒.   :  "แล้วแต่ฟ้าลิขิต" เฮียซุ้งตอบ "...ดีมาก ไม่ขัดเคือง ดีมาก..."ผู้เฒ่าชื่นชม  สนทนามาถึงตรงนี้ พอดีรถจอดสถานีใหญ่ เสียงร้องขายของกันเซ็งแซ่ ผู้คนบนชานชาลาจอแจ เฮียซุ้งนึกขึ้นได้ว่าบ่ายแล้ว จึงไปซื้อข้าวมาสองห่อ ให้ผู้เฒ่าหนึ่งห่อ  ผู้เฒ่าปฏิเสธบอกว่า
"เวลาขาลถึงมะโรง (เช้า) เทพยดาเสวย 
ก่อนเที่ยงถึงบ่ายสาม  เวาลามะเส็งถึงมะแม คนกิน
เวลาวอกถึงจอ หลังบ่ายสามถึงสามทุ่ม ผีสางกิน 
เวลากุนถึงเวลาฉลูรอบใหม่ สามทุ่มถึงตีสาม สัตว์กิน  เรียกว่ากินให้เหมาะกับเวลาของตน"


        ผู้เฒ่าบอกว่าจะลงรถสถานีหน้า จะให้ข้อคิดอีกหน่อย ...พระอาจารย์ท่านหนึ่งเคยสอนไว้ว่า อย่าโกรธแค้นคู่อริ เขามีคุณช่วยให้เราได้อดทนอดกลั้น ทั้งต่อเภทภัย ต่อความทุกข์ยาก อย่าโทษคน หรือฟ้าดิน... 
...ลบนิสัยเคยชินไปได้ส่วนหนึ่ง จิตก็จะสว่างได้ส่วนหนึ่ง...
...ละกิเลสไปสิบส่วน ก็จะเจริญโพธิได้ส่วนหนึ่ง... "
...พ่อหนุ่มจะต้องไปอีกสี่ห้าสถานี กว่าจะถึงบ้านจะดึกมาก..."
เฮียซุ้งสะดุ้งในใจอีกครั้งหนึ่ง ท่านรู้ได้อย่างไร เราไม่ทันได้บอกว่าจะลงที่ไหน ท่านผู้เฒ่าลงจากรถลับตาไปแล้ว แต่ก่อนรถจะเคลื่อนขบวนออกจากสถานี ท่านวกกลับมาปรากฏตัวที่หน้าต่างรถบอกเฮียซุ้งอย่างจริงจังว่า "หลังตรุษจีน (วันไหว้) หนึ่งวัน ใส่ใจเลขทะเบียนรถเข็น" สั่งเสร็จท่านก็เดินจากไปอย่างรวดเร็ว เฮียซุ้งสับสนเคว้งคว้างอย่างบอกไม่ถูก เหมือนเพิ่งได้อะไรมาและเพิ่งเสียอะไรไปอย่างนั้น ...เพิ่งจะสังเกตเห็นหญิงสองคนที่นั่งเก้าอี้ตรงข้ามสายตาของเธอฉงนชอบกล คนหนึ่งอดไม่ได้เมื่อเฮียซุ้งสบตา เธอถามว่า "ตะกร้าดอกไม้ใบสวยที่ตั้งอยู่ข้าง ๆ ตัว หายไปไหนแล้วล่ะ" เฮียซุ้งสะดุ้งอีก ตะกร้าอะไรที่ติดตัวมา มีกระเป๋าเก่า ๆ ใบเดียว วางอยู่บนชั้นวางของเหนือศรีษะ ผู้หญิงคนนั้นพูดอีกว่า "ตลอดทางเห็นคุณคุยกับตะกร้าดอกไม้ไม่หยุด เราอึดอัดใจ ไม่รู้ว่าคุณมีปัญหา (ประสาท อะไรหรือเปล่า" คราวนี้ เฮียซุ้งตัวเย็นวาบ ผลุดลุกขึ้นจะลงรถไปตามหาผู้เฒ่าท่านนั้นให้รู้ชัดว่า เป็นคนเป็นผีหรือเป็นเซียน ถ้าเป็นเซียนจะถวายตัวเป็นศิษย์ แต่ ...รถแล่นเร็วเกินกว่าจะกระโดดลงไปได้แล้ว เฮียซุ้งพะว้าพะวังครุ่นคิดอยู่หลายวัน ไม่อาจลืมเหตุการณ์ที่ผ่านมาได้ ภาระรับผิดชอบครอบคัว ทำให้เฮียซุ้งเหนื่อยสายตัวแทบขาด ต่อมา พอจะหายใจได้ทั่วท้อง ก่อนตรุษจีนหนึ่งเดือนก็เกิดไฟไหม้ ชุมชนห้องแถวไม้ไหม้หมดทั้งแถบ เฮียซุ้งหมดตัว นึกถึงคำว่า "หมาตัวใหญ่แย่งไปกิน"  จึงได้แต่ร้องว่า "ฟ้าลิขิต  ฟ้าลิขิต"  บ้านเหลือแต่กองขี้เถ้า เฮียซุ้งจึงหอบหิ้วครอบครัวไปอาศัยพี่ชาย ซึ่งอยู่อีกย่านชุมชนหนึ่ง พี่ชายขายสินค้าประเภทเดียวกัน อีกทั้งมีรถเข็นเก่าที่ไม่ได้ใช้แล้วหนึ่งคัน เฮียซุ้งจึงขอใช้รถ ขอแบ่งสินค้ามาขายก่อน  ตรุษจีน  ร้านรวงการค้าขายหยุดหมด แต่เฮียซุ้งไม่ยอมเสียโอกาส เขายังคงเข็นรถคันเก่าตระเวนขายของจนค่ำ ท่ามกลางแสงสลัวช่วงหนึ่งบนถนน เขาเห็นรถขายน้ำเต้าหู้จอดอยู่ข้างทาง สภาพของรถเก่ามาก ไม่รู้อะไรทำให้เขาสนใจเหลือบดูป้ายทะเบียนรถสามตัว แล้วพลันก็นึกถึงคำของผู้เฒ่าขึ้นมาได้ เขากลับไปบ้าน รวบรวมเงินที่มีเพียงน้อยนิด ภรรยาของเฮียซุ้งเข้าใจเรื่องราว จึงไปขอยืมเงินจากลูกพี่ลูกน้องมาห้าร้อยบาท รวมเป็นสองพัน แทงหวยใต้ดินสามตัว นี่เป็นครั้งแรกและครั้งเดียวในชีวิต เขาถูกหวยสามตัวหลายแสนบาท เฮียซุ้งจัดสรรเงินซื้อหุ้นเหมืองแร่ครึ่งหุ้นซึ่งปันผลกันทุกวัน ครึ่งหุ้นก็ได้วันละหลายหมื่นบาทแล้ว กุศลผลบุญ  คุณความดี  และคุณธรรม  สัมฤทธิ์ผลแก่เฮียซุ้งแล้ว ฐานะของเขาดีขึ้นทุกวันอย่างรวดเร็ว  ลูกชายคนโตสอบเข้าโรงเรียนนายร้อยตำรวจ ความเจริญก้าวหน้าดีมาก ลูกชายหญิงอีกสองคนจบการศึกษาขั้นสูง ได้งานทำดี  แม่ของเฮียซุ้งหมดอายุขัย เมื่อเฮียซุ้งรวยแล้วสองปีสมกับที่เขาตั้งใจจะทำให้แม่ภาคภูมิเป็นครั้งสุดท้าย ถึงขั้นนี้ ทุกอย่างสมความปรารถนา ค้างใจอยู่เพียงเรื่องเดียว คือ ผู้เฒ่าราศีสว่างท่านนั้นคือใคร อยู่ที่ไหน เฮียซุ้งเคยไปยืนรอตรงจุดที่ผู้เฒ่าเดินลงรถไปหลายครั้ง หวังว่าจะเกิดสิ่งมหัศจรรย์...! เรื่องค้วงใจนี้เป็นความทุกข์อยู่ลึก ๆ เป็นความทุกข์ยิ่งที่ยังมิได้ตอบแทนพระคุณ ได้ยินมาว่าที่นราธิวาส มีนักพรตเหมาซันศาสตร์ลี้ลับที่ล่วงรู้ทุกอย่าง เฮียซุ้งดั้นด้นไปหา พอไปถึง แต่เข้าไม่ถึง เพราะคนมีปัญหาคุกเข่ากันล้นหลาม ออกมาถึงนอกประตู เฮียซุ้งจึงได้แต่ยืนชะเง้ออยู่ข้างนอก แต่นักพรตมองเห็นกวักมือเรียก เฮียซุ้งจะคุกเข่าลงเหมือนคนอื่น ๆ  ท่านบอกไม่ต้องอีกทั้งยื่นแก้วเหล้า "โง้วเกียพ้วย" ที่ท่านดื่มไปแล้วครึ่งหนึ่งให้ พร้อมกับพูดว่า "ในโลกนี้ มีเรื่องมากมายที่ไม่รู้เสียดีกว่ารู้ ปัญหาที่ตั้งใจจะมาถามไม่ต้องถามแล้ว ต่อไปก็ไม่ต้องไปถามที่อื่นด้วย ทำเป็นว่ามันไม่เคยเกิดขึ้นก็แล้วกัน" ว่าแล้ว  ท่านก็เรียกสาวกให้ส่งแขก เฮียซุ้งไม่หาคำตอบจากที่ใดต่อไป แต่จะให้ลืมผู้มีพระคุณนั้น คงลืมไม่ได้

        ท้ายเล่ม : 

ทุกคนต่างรู้ดีว่า
ชีวิตเป็นสิ่งล้ำค่ากว่าอื่นใดในโลก
ความล้ำค่าของชีวิตสัมพันธ์กับกาลเวลา
หากเมื่อกาลเวลาของชีวิตหมดไป
ยังจะเหลืออะไรให้ก่อเกิดคุณค่าได้

ทุกคนต่างรู้ดีว่า
ความล้ำค่าของชีวิตถูกปลิดขั้วโดยกฏแห่งกรรม
หากเมื่อเวรกรรมที่ทำมาถึงคราตกผล
ยังจะเหลืออะไรให้ได้แก้ตัว

                    :) ~~~~~ จบเล่ม ~~~~~  :)

Tags: