collapse

ผู้เขียน หัวข้อ: แรงปณิธานกับแรงบาปเวร : บทบรรณาธิการ  (อ่าน 27635 ครั้ง)

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                           แรงปณิธาน

                         กับ  แรงบาปเวร

                    ศุภนิมิต - แปลและเรียบเรียง

                    สำนักพิมพ์ส่งเสริมคุณภาพชีวิต
         23 ชอย 44  ถนนจรัญสนิทวงศ์ แขวงบางยี่ขัน     
                  เขตบางพลัด กรุงเทพฯ 10700
                    โทร 02 - 8830620 - 1   
              ไท่ถงธรรมสถาน  โทร 044 - 322087     

พิมพ์ที่  :  อักษรสยามการพิมพ์ 1137/1  จรัญสนิทวงศ์ 13  เขตภาษีเจริญ กรุงเทพฯ 10160  โทร 02 - 410 - 7813         

                                บทบรรณาธิการ

        ความสูงส่งล้ำค่าของวิถีธรรม  ความวิเศษยิ่งของหนึ่งจุดเบิกจากพระวิสุทธิอาจารย์ เพียงแค่พุทธระเบียบอันประณีตจริงจังของศิษย์ธรรมกาลยุคขาว อีกทั้งด้วยความเป็นธรรมะ ทั้งพูดและปฏิบัติตน จนกระทั่งจิตดำริที่กลั่นกรองกันจนใส ก็เพียงพอที่จะทำให้พ้นจากกิเลสขุ่นข้อง และอาจล่วงพ้นเกิดตายได้แล้ว  บัดนี้ ยุคกาลสุดท้าย ขณะที่ศิษย์ธรรมกาลยุคขาว กำลังขะมักเขม้นที่จะสร้างบุญก่อเกิดคุณธรรม แต่ก็มักจะมีการหลงหายไปจากความตั้งใจแต่เดิมที หายไปจากใจตน  บ้างก็มีชั่วโมงการปฏิบัติธรรม แล้วก่อเกิดความยโสโอหังลืมตัว นั่นเกิดจากความหละหลวมต่อพุทธระเบียบ ละเลยต่อความเคารพศรัทธา  เอางานของฟ้ามาทำเยี่ยงงานชาวบ้าน เอาความรู้สึกนึกคิดของใจคนสำคัญผิดว่าเป็นใจฟ้า หลงอยู่ในลาภสักการะทางธรรม ถลำตัวอยู่ในกรอบกักโดยไม่รู้ตัว ยิ่งกว่านั้น ยังถูกการงานทางโลกกักขังไว้ งานอริยะกับงานทางโลกขัดแย้งกัน ไม่อาจฝ่าฟันการทวงถามติดตามของแรงกรรมกับผลประโยชน์ที่รมใจให้มืดมัวได้ ทำให้ลืมแรงปณิธานเบื้องต้นด้วยประการฉะนี้ 
        เมื่อเกิดหนึ่งความคิดก็เกิดหนึ่ง "เหตุต้น"  จากมโนกรรม  เป็น "ผลตาม"  มา แรงของเวรกรรมจึงตามมาถึงประตูหน้าบ้านตน ฟ้าเบื้องบนต้องการเตือนใจผู้ปฏิบัติบำเพ็ญในยุคสุดท้ายให้รู้ตื่น จงอย่าเนื่องด้วยความคิดเพียงวูบเดียวที่โลภอยากยึดหมาย ทำลายความดีที่ปฏิบัติบำเพ็ญมาชั่วชีวิต  ดังนั้นจึงอาศัยตัวอย่างจากเหตุและผลกรรมของ ฟั่นเจี่ยงซือ ............... ที่ปฏิบัติบำเพ็ญมาด้วยความศรัทธาจริงใจฉุดช่วยคนมาแล้วมากมาย เป็นข้อคิดเตือนใจแก่ศิษย์ธรรมกาลยุคขาว ที่กำลังปฏิบัติบำเ็พ็ญด้วยความศรัทธาอยู่ขณะนี้ให้ได้รู้ว่า  "จะส่องเห็นจิตสำนึกต่อสัจธรรมที่ไหวคลอนไม่คงที่ของตนขณะปฏิบัติธรรมได้อย่างไร จะฉุดช่วยจิตวิญญาณตนขณะที่คิดเห็นเอนเอียงให้ตรงทาง ขณะฉุดช่วยผู้คนได้อย่างไร"  มิจฉาดำริกับความคิดฟุ่งซ่าน ฟั่นเจี่ยงซือกล่าวว่า "ผู้น้อยเองแต่ก่อนก็เชื่อมั่นปฏิบัติตนทุกเวลา รู้สึกว่าตนก็คือผู้บำเพ็ญที่ได้มาตรฐานคนหนึ่ง  แต่สุดท้ายจึงได้รู้ว่า การเป็นผู้บำเพ็ญธรรมของตนมีคุณสมบัติเพียงขณะอยู่ในตำหนักพระเท่านั้น"   ถ้าหากไม่ได้บำเพ็ญธรรมอยู่กับการปฏิบัติธรรมกิจ ถ้าหากเวลาที่ไม่มีปณิธานครองใจ แรงของเวรกรรมก็จะมาปรากฏตรงหน้า   ฟั่นเจี่ยงซือ ...............  เป็นอาจารย์บรรยายธรรม เป็นชายหนุ่มในอาณาจักรธรรมวงการปัญญาชน ด้วยความศรัทธาจริงใจ ได้ฉุดช่วยนำพาญาติเพื่อนพ้องมากมายให้ได้รับวิถีธรรม ไม่เคยย่อท้อต่อการฉุดช่วยเสียสละตน อีกทั้งได้รับความเกื้อหนุนจากพุทธะเซียน  แต่โดยไม่คาดคิดด้วยเหตุที่ใจไหวเอนปรารถนาจะหาเงิน ใจธรรมถดถอยไป แรงเวรกรรมตามติด จากแต่เดิมทีที่ยังมีใจของพระโพธิสัตว์  กลายเป็นใจของปุถุชนไป
        ในขณะหัวเลี้ยวหัวต่อของความเป็นความตาย เบื้องบน ได้โปรดเห็นแก่ที่ "ฟั่นเจี่ยงซือ" เคยปฏิบัติบำเพ็ญมา ซึ่งยังนับว่ามีศรัทธาจริงใจมาก่อน จึงให้เขาได้ผ่านพ้นจากสนามรบที่ ต้องต่อสุ้ปะทะกันระหว่างความเป็นกับความตายในครั้งนี้ อีกทั้งโดยพระองค์ "จอมชันษาเจ้าทักษิณาลัย....................................หนันจี๋เหล่าเซียน - อง"  ได้โปรดนำไปท่องสวรรค์ ให้เขาได้เห็นเหตุ - ผลกรรมของตนเองในอดีตชาติ กับบาปบุญในการปฏิบัติบำเพ็ญธรรม  ฟั่นเจี่ยงซือท่องสวรรค์  ไม่ใช่การท่องเที่ยวอย่างเดียว  แต่จากการท่องเที่ยวได้เห็นตนเอง อีกทั้งสิ่งละเอียดประณีต ที่ผู้ปฏิบัติบำเพ็ญในยุคสุดท้ายละเลยไปเป็นทั้งคุณกับโทษ  บทบันทึกนี้ ยังไม่เคยมีมาก่อนในท่องสวรรค์บทอื่น ๆ   ฟั่นเจี่ยงซืออธิบาย "เหตุต้นผลตาม"  ของตนเองทั้งเรื่องเล็กเรื่องใหญ่อย่างหมดสิ้น อีกทั้งพิจารณาอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นครั้งนี้ นั่นคือจิตดำริคิด  จากการบอกเล่าของเขา เราจึงได้พบว่าผู้ปฏิบัติในยุคสุดท้าย ได้ละเลยเมล็ดพันธุ์โพธิ  ละเลยศีล  ละเลยพุทธระเบียบ ที่ผู้บำเพ็ญพึงมี  ฟ้าเบื้องบนอาศัย "เหตุต้นผลตาม" ที่ฟั่นเจี่ยงซือท่องสวรรค์เป็นตัวอย่างจริง เป็นข้อเตือนใจชาวเราศิษย์ธรรมกาลยุคขาว ที่หละหลวมต่อพุทธระเบียบ ต่อการบำเพ็ญที่ปรากฏอยู่ทั่วไป
        หวังว่าทุกคนจะกลับใจสอดส่องตนทันที ทุกขณะจิตรักษาไว้ให้ดี จึงจะไม่ตกไปเมื่อใกล้เวลาบรรลุ  เท่ากับบำเพ็ญเสียเปล่าชั่วชีวิต   สำนักพิมพ์เมื่อได้ฟังเทปที่ฟั่นเจี่ยงซือพูดไว้  ตื่นตระหนกกับใจที่โง๋หลง ความสะท้านสำนึกเิกิดขึ้นเองในใจ คิดว่าเราผู้ปฏิบัติบำเพ็ญด้วยศรัทธานั้น เป็นจริงแท้แค่ไหน ยังจะมีปัญหาน่าละอายใจต่อใคร ๆ อีกไหม  ควรเป็นเวลาวางกรอบในตนเองได้แล้ว  ปรารถนาช่วยแพร่ข่าวจากเบื้องบน จึงลงมือเขียนบทบรรณาธิการนี้ แจกจ่ายเป็นวิทยาทาน

                                                    จาก   กองบรรณาธิการสำนักพิมพ์หมิงเต๋อ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21/11/2011, 03:59 โดย jariya1204 »

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
แรงปณิธานกับแรงบาปเวร : คำนำ
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: 9/10/2011, 12:36 »
                           แรงปณิธานกับแรงบาปเวร 

                                        คำนำ

        โลกปัจจุบัน แม้สรรพวัตถุจะอุดมสมบูรณ์ แต่จิตใจของผู้คนกับเสียหายมากที่สุด เนื่องด้วยสังคมไม่อาจเคารพคุณธรรม ทำให้ธาตุแท้ดีงามสว่างศักดิ์สิทธิ์แต่เดิมทีของทุกคนเปลี่ยนเป็นมืดมัว คุณสัมพันธ์ต่อกันสูญหาย เรื่องราวที่น่าสะพรึงกลัวต่าง ๆ เกิดขึ้นในสังคม คุณสัมพันธ์ระหว่างคนไม่มีทางจริงใจดีงามต่อกันได้อีก ทุกแห่งหนมีแต่การขับเคี่ยวเล่ห์เหลี่ยม จิตใจมืดมัว ทำผิดต่อคุณความดีมากขึ้นเรื่อย ๆ  ไม่เพียงการบำเพ็ญตน อีกทั้งบาปเวรท่วมท้น ตรงกับที่พุทธะเซียนได้กล่าวไว้ว่า โลกโลกีย์หรือโลกอาสวะกิเลสชั่วร้าย คนเกิดมาในโลก จะต้องรู้จักย้อนคำนึงถึงความผิดตน จึงจะมีความก้าวหน้าในด้านความประพฤติ คุณธรรม หรือในด้านอื่น ๆ ได้ แต่ที่น่าสะท้อนใจก็คือ คนปัจจุบันล้วนทุ่มเทให้ความสำคัญในด้านวัตถุ ผลประโยชน์ส่วนตน ต่อจิตญาณเดิมแท้อันสว่างศักดิ์สิทธิ์เป็นรากฐาน กลับไม่มีความตั้งใจให้แม้แต่น้อย เป็นการทิ้งต้นไปหาปลาย โดยแท้ หนึ่งชีวิตของคนเรา ไม่กี่สิบปีจะต้องรู้บำเพ็ญ รู้ตื่น รักบุญวาสนา  สร้างบุญวาสนา  จึงจะบำเพ็ญให้จิตญาณสว่างใสได้ หากไม่รู้เป้าหมายของการคิดคำนึง ก็จะจมอยู่กับทะเลทุกข์ของบาปเวรต่อไป  ฟ้าเบื้องบไม่อาจทนดูคนดีต้องประสบภัยพิบัติพร้อมกับคนชั่ว จึงโปรดประทานวิถีธรรมลงกอบกู้คนหลง  เราทั้งหลายได้พบพระวิสุทธิอาจารย์ ชี้นำจิตญาณรู้ตื่นแท้จริง รู้หลักของชีวิตแท้จริง พ้นจากวัฏจักรการเกิดตายได้อย่างฉับพลัน  เป็นพระมหากรุณาธิคุณจากเบื้องบน พระคุณพระบรรพจารย์อันยากจะตอบแทนได้  แต่เรามักจะถือว่าบำเพ็ญมาหลายปี ยิ่งบำเพ็ญก็ยิ่งปกป้องตนเอง ยิ่งเห็นแก่ตัวเอง ทุกอย่างเอาตัวเองเป็นสำคัญ รู้ชัด ๆ ว่าบำเพ็ญเป็นเรื่องดี แต่ก็ยอมบดบังจิตดีงาม ละทิ้งไป รู้ชัดว่าการปฏิบัติงานธรรมเป็นการสร้างบุญคลี่คลายโทษภัยได้ แต่กลับหยุดยั้งไม่ดำเนินต่อไป จิตดีงามของฟ้าคลุมเคลือ เพิ่มโทษผิดมากขึ้น เช่นนี้ ล้วนเนื่องจากจิตญาณยังไม่สว่าง หลักชีวิตของตนยังไม่อาจทำหน้าที่เป็นหลักให้แก่ตนเองได้
        ผู้น้อย ได้ผ่านเคราะห์ภัยใหญ่ปางตายครั้งนี้ จึงได้เชื่อว่า บำเพ็ญธรรม บำเพ็ญใจ ปฏิบัติธรรมสุดความตั้งใจ  ความคิดวูบเดียวของคนในโลก ฟ้าเห็นชัดสว่างดุจสายฟ้า จิตดำริของเราไม่เพียงมีผลต่อทั้งชีวิตของตนยังเป็นผลต่อผุ้เกี่ยวพันกับเรา จึงพึงจัดให้ตรง อย่าให้ผิดต่อใจดีงาม คิดแล้วจึงทำ ความผิดลดน้อย อีกทั้งไม่สร้างผิดบาปใหม่  ทำอย่างนี้เป็นประจำ ความผิดย่อมไม่เกิด การบำเพ็ญย่อมสำเร็จ  ชีวิตมีค่า อยู่ที่สามารถเตือนตน ตื่นใจ สามารถรักษาจิตญาณสว่างใส ตนรู้ตื่นช่วยให้ใคร ๆ รู้ตื่น ก่อเกิดประโยชน์ตน ประโยชน์ท่าน ทุกคนทำได้เช่นนี้ โลกพระศรีอาริย์ย่อมเกิดขึ้นได้ในโลกเรา

                                                    ผู้น้อย  ฟั่นเซิ่งเจี๋ย

                                            ค.ศ. 2004  ปีวอกเดือนแปด ยี่สิบค่ำ

                                                             ณ  ไถจง     

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                           แรงปณิธานกับแรงบาปเวร 

                                      คำนำ

        อาณาจักรธรรมแห่งธรรมกาลยุคขาว ตั้งแต่เบื้องบนปรกโปรดอนุญาตให้ถ่ายทอดวิถีจิตแก่สาธุชนทั่วไป แม้เวลาจะผ่านมาไม่ถึงหนึ่งร้อยปี แต่สามารถแปรเปลี่ยนใจคนไปแล้วนับไม่ถ้วน ที่ร้ายให้กลายเป็นดี ที่ดีให้ดียิ่งขึ้น ผู้ใดเป็นศาสนิกในศาสนาใด ก็ให้ทำตัวเป็นศาสานิกผู้เข้าถึงแก่นแท้ของศาสนาตน  ปรากฏการณ์อันวิเศษที่เกิดขึ้นนี้ ที่สำคัญคือ เซียนพุทธะ พระโพธิสัตว์  สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั่วทุกสากลโลกโปรดหนุนนำ 
        บันทึกเรื่องราวความเป็นจริงจากคุณ "ฟั่นเซิ่งเจี๋ย ....................."  เป็นอีกประจักษ์หลักฐานหนึ่งที่ได้รับการปรกโปรดส่งเสริมจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นเรื่องราวที่ให้คติสอนใจ เป็นอุทาหรณ์แก่ผู้ปฏิบัติบำเพ็ญเป็นอย่างดี  ข้าพเจ้าได้รับหนังสือต้นฉบับภาษาจีน จากอาจารย์เลี่ยว ท่านขอให้ช่วยแปลเพื่อผู้บำเพ็ญชาวไทยจะได้อ่านกันบ้าง ขอขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่ง  สองวันต่อมา บรรณาธิการสำนักพิมพ์หมิงเต๋อ คือ อาจารย์หวงได้โปรดมาเยี่ยม พูดถึงหนังสือเล่มนี้ ซึ่งท่านเป็นผู้จัดพิมพ์ ได้มอบหนังสือเล่มนี้ให้ข้าพเจ้าแปลอีกเช่นกัน   ท่านบอกว่า ในภาคภาษาจีน ได้พิมพ์ครั้งแรกแปดหมื่นเล่ม แจกจ่ายหมดไปแล้ว ยังมีผู้เรียกร้องอีกมาก แสดงว่า จะต้องก่อเกิดกุศลประโยชน์แน่นอน  ภาษิตฝรั่งที่กล่าวว่า "แมวสีอะไรไม่สำคัญ สำคัญที่จับหนูได้" เช่นกัน ข้าพเจ้าก็คิดว่า คติธรรมรูปแบบใดก็ตาม ขอเพียงมีผลต่อการกระตุ้นเตือนใจให้ผู้บำเพ็ญได้เห็นความผิดจากจิตตน เป็นแนวทางแก้ไขให้ถูกต้อง เพื่อความบริสุทธิ์โปร่งใสในการบำเพ็ญได้ ก็เป็นเรื่องที่น่าจะทำ ข้าพเจ้าจึงได้ลงมือแปลหนังสือเล่มนี้

                    ด้วยความปรารถนาให้ท่านเจริญธรรม

                                        ศุภนิมิต 

                                 แปลและเรียบเรียง 

                                        สารบัญ

   @ ตอนที่ ๑

๐๑.  รับธรรมะ
๐๒.  อาจารย์นำพารับรองส่งเสริม
๐๓.  ขอพระอาจารย์โปรดช่วย
๐๔.  พระองค์กวนอริยมาราชทรงโปรดฯ
๐๕.  ชมรมโภชนาธรรมหมื่นกราบ
๐๖.  แบกปืนปฏิบัติธรรมทำหน้าที่พิธีกร
๐๗.  กดกริ่งประตูบ้าน นำพาสาธุชน

   @ ตอนที่ ๒

๐๘.  ทุ่มเทชีวิตหาเงิน ไม่ร่วมงานธรรม
๐๙.  ชั่วพริบตาของความเป็นความตาย
๑๐.  จูงรถยับเยินเดินสองกิโลเมตร
๑๑.  วิถีนรกในโรงพยาบาล
๑๒.  วิถีแห่งเปรตในโรงพยาบาล
๑๓.  ความแยบยลจากการกำหนดจิต ณ จุดญาณทวาร

    @ ตอนที่ ๓

๑๔.  ติดตามพระองค์จอมซันษาเจ้าทักษิณาลัยฯ
๑๕.  มังกรทอง  มังกรมรกตต่างทำหน้าที่
๑๖.  สามชีวิตเมื่อสามร้อยปีก่อน
๑๗.  นำพาผู้รับรองจากสามร้อยปีก่อน
๑๘.  เหตุต้นผลตามสามชาติชดใช้ในสามวัน
๑๙.  วิถีนรก  วิถีเปรตสามวันในโรงพยาบาล

     @  ตอนที่ ๔

๒๐.  บัวดอกน้อยของฟั่นเซิ่งเจี๋ย
๒๑.  บัวดอกใหญ่ของพระอาจารย์
๒๒.  ฐานบัวใหญ่เล็กต่างกัน
๒๓.  ความแตกต่างระหว่างดอกบัวกับ  '' เซียนเถา ''

    @  ตอนที่ ๕

๒๔.  แจกแจงเกี่ยวกับ '' หอคุณธรรมบารมีธรรม ''
๒๕.  นำพากล่อมเกลามีกุศล
๒๖.  ตักเตือนกล่อมเกลามีกุศล
๒๗.  กุศลน้อยนิดไม่ผิดพลาด
๒๘.  บุญกุศลแท้จริง
๒๙.  ช่วยงานธรรมะมีกุศล
๓๐.  แจกแจง "" หอผิดบาป ""
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27/07/2013, 20:00 โดย หนึ่งเดียว หลุดพ้น »

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                           แรงปณิธานกับแรงบาปเวร 

                             ตอนที่ 1   :  รับธรรมะ

        เริ่มแรก  ผู้น้อยได้รับธรรมะที่ไทเป ในอาณาจักรธรรมของท่านเฉินเฉียนเหยิน (ฟาอีฉงเต๋อ)  ซึ่งขณะนั้นผู้น้อยอยู่ในระหว่างเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย "ตั้นเจียง"  ไทเป  ผู้น้อยเป็นชาวเมืองจังฮว่า คืนวันหนึ่งอากาศหนาวจัด กินอาหารอุ่นท้องแล้วจะเข้านอน พลันมีเสียงเคาะประตูห้องอย่างจริงจัง จึงลุกขึ้นชะโงกหน้าดูที่ช่วงประตู เห็นว่าเป็นนักศึกษารุ่นพี่ ถามได้ความว่า ต้องการพบเพื่อนร่วมห้องที่เรีนยภาคค่ำซึ่งเขายังไม่กลับมา รุ่นพี่เสื้อผ้าเหี่ยวชื้นด้วยความหนาว ผู้น้อยกำลังจะเอ่ยปากเชิญให้เข้ามาดื่มน้ำชาร้อน ๆ สักถ้วยหนึ่งก่อน แต่รุ่นพี่ไม่รอให้เชื้อเชิญ  เดินเข้าห้องมาอย่างคนคุ้นเคย  เรานั่งดื่มน้ำชาด้วยกัน รุ่นพี่ถามผู้น้อยว่า เชื่อเรื่องทางโลกวิญญาณไหม?... แล้วเราก็คุยเข้าเรื่องนี้ไป คุยกันนานถึงสองชั่วโมง  สุดท้ายรุ่นพี่ลากลับและบอกว่า "คืนพรุ่งนี้จะมาคุยกันต่อ" คืนต่อมารุ่นพี่ถามว่า "คุณรู้ไหม วิญญาณของเราเข้าออกทางไหนของร่างกาย" ผู้น้อยเด่สุ่มไปหลายจุดที่คิดว่า "น่าจะใช่" แต่ก็ไม่ใช่ รุ่นพี่จึงถามว่า "อยากรู้ไหม ถ้าอยากรู้ให้เตรียมตัวกินเจไว้ก่อน  และเตรียมเงินสร้างกุศลจำนวนหนึ่ง จะต้องถวายปณิธานความตั้งใจจริงจึงจะรู้ได้..." ผู้น้อยแม้จะระทึกใจใคร่รู้ แต่ก็เบี่ยงบ่ายไปตามวิสัยคนทางโลกบ้าง "ผมยังไม่พร้อม" รุ่นพี่ตอบว่า "ไม่เป็นไร คืนพรุ่งนี้เราค่อยคุยกันใหม่" คืนวันที่สาม ผู้น้อยจะปฏิเสะไม่เสวนาด้วยก็ไม่กล้าจึงคุยกันต่อในเรื่องต่าง ๆ ของอาณาจักรธรรม รุ่นพี่เล่าให้ฟังว่า ใกล้ ๆ หอพักนี้ มีนักศึกษาผู้ใฝ่ธรรมเช่าบ้านอยู่รวมกัน เรียกว่า "ชมรมโภชนาธรรม หั่วซึถวน ................"  มีตำหนักพระ มีผู้รู้ที่จะอธิบายเรื่องราวของธรรมะได้ดีกว่า พรุ่งนี้จะพาไปดู คืนวันต่อมา รุ่นพี่มาพาผู้น้อยไปที่ตำหนักพระ "ชมรมโภชนาธรรม" พอดีเป็นเวลาที่ชมรมกำลังร่วมศึกษาปรัชญาของท่านปราชญ์เมิ่งจื่ออยู่พอดี ผู้น้อยนั่งลงร่วมฟัง นักศึกษาในชมรมช่วยกันพิจารณาวิเคราะห์หลักธรรมในคัมภีร์ "เมิ่งจื่อ .........." ผู้น้อยฟังรู้แต่ไม่เข้าใจ สุดท้าย ทุกคนพยายามชักชวนให้ผู้น้อย กราบขอรับวิถีธรรม  ผู้น้อยก็พยายามปฏิเสธทุกวิถีทาง ขณะที่บรรยายกาศเริ่มอึดอัดอับเฉานั่นเอง รุ่นพี่ในชมรมคนหนึ่งที่เพิ่งพ้นค่ายทหารออกมา ทนฟังการยึกยักไม่ไหว  ตบโต๊ะดังปัง พูดเสียงดังว่า "จะรับธรรมะก็ไม่รับ ไม่รับก็กลับไป ตำหนักพระเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์เพื่อการถ่ายทอดวิถีธรรม  ไม่ใช่ที่ดึงรั้งสำแดงโวหาร"  ผู้น้อยสะดุ้งตกใจ จึงรีบตอบว่า "จะรับธรรมะ"  รับปากว่า "จะรับธรรมะ" แต่ยังมิได้รับทันที กำหนดวันที่จะทำพิธีจะต้องรอไปอาทิตย์หน้าในระหว่างนั้น เพื่อนนักศึกษาคนหนึ่งเป็นพุทธมามกะสายสุขาวดี มักจะมาชวนให้ไปกินเจด้วยกัน เพื่อนจะแนะนำเรื่องเมตตาจิต งดฆ่าสัตว์ ฉะนั้น จึงเท่ากับได้เตรียมตัวกินเจ ไว้ก่อนหนึ่งสัปดาห์ก่อนวันขอรับวิถีธรรม เงินสร้างกุศลในการรับธรรมะ ผู้น้อยเทกระเป๋าห้าร้อยเหรียญอันเป็นงบประมาณค่าใช้จ่ายในหนึ่งสัปดาห์ รับธรรมะเสร็จ ได้หนังสือกลับมาสองเล่ม คือ "สัจจคาถาพระเมตเตยยะ" กับ  "ตำนานเซียนกัลยาณี เหอเซียนกู"  เล่มแรกพอจะอ่านรู้เรื่อง เล่มที่สองไม่ค่อยเข้าใจ จึงโทรถามรุ่นพี่ว่า  "ทำไมต้องมีคำว่า ฮา ฮา  ไฮ ไฮ  ฮิฮิ ไม่เห็นรู้เรื่องเลย"  รุ่นพี่ตอบว่า "เอาอย่างนี้ หาเวลามาค้างที่ตำหนักพระสักสองสามวัน จะได้อธิบายให้ฟัง" วันหนึ่งหลังจากนั้น  รุ่นพี่ขับรถมาเยี่ยมพร้อมด้วยญาติธรรมที่ขี่มอเตอร๋ไซค์มาด้วยเจ็ดแปดคน รุ่นพี่บอกว่า คืนนี้ไปค้างที่ตำหนักพระด้วยกันไหม ผุ้น้อยตอบตกลง ทันทีที่รับปาก รุ่นพี่หกเจ็ดคนจัดการช่วยขนของทั้งหมดของผู้น้อยขึ้นรถ ย้ายที่อยูไปตำหนักพระทันที วันรุ่งขึ้นผู้น้อยบอกแก่รุ่นพี่ว่า "อยากกลับไปอยู่หอ ช่วยบรรทุกสัมภาระได้ไหม" รุ่นพี่ตอบว่า "ตอนนี้ที่ตำหนักพระไม่มีใครอยู่ คงจะต้องขนย้ายเอง"  ผู้น้อยจำใจยังจะต้องค้างอยู่ต่อไป จึงถามว่า "มีที่ทางเป็นสัดส่วนให้พักอยู่ชั่วคราวไหมล่ะ" รุ่นพี่ตอบว่า "ชั้นล่างไม่มี มีแต่ชั้นบนที่เป็นส่วนของตำหนักพระแต่อยู่บนชั้นนี้จะต้องเคร่งครัดต่อพุทธระเบียบ"  ผู้น้อยตอบว่า "ได้ ไม่เป็นไร"  เหตุุการณ์ทั้งหมดนี้ บอกได้เลยว่า ถูกหลอกให้ใกล้ชิดตำหนักพระ วันแล้ววันอีก อยู่ไปจนจบการศึกษาสี่ปี สี่ปีที่อยู่กับตำหนักพระทำให้รู้ว่า "บุญสัมพันธ์เป็นอย่างนี้เอง เมื่อถึงวาระบุญนั้น จะหนีก็หนีไม่พ้นได้" จึงยิ่งจะต้องถนอมรักษาบุญวาระไว้ให้ดี       

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                           แรงปณิธานกับแรงบาปเวร 

                             ตอนที่ 1   :  รับธรรมะ

                          อาจารย์นำพารับรองส่งเสริม

        วิถีธรรมที่เบื้องบนปรกโปรดให้  เป็นวิถีธรรมจริง  เป็นหลักสัจธรรมจริง  ด้วยพระโองการฟ้าจริง  ฉะนั้นจึงไม่ว่าจะเข้าสู่อาณาจักรธรรมด้วยบุญปัจจัยหนุนนำอย่างไร ต้นธรรมอ่อนล้วนเจริญงอกงามได้ในที่สุด หลายครั้งที่คิดจะออกหาก  คิดว่านี่ไม่ใช่วิถีชีวิต ที่เราเคยวางแผนอนาคตไว้ คนทางบ้านก็ไม่เข้าใจไม่เห็นด้วย เพื่อนฝูงก็ห่างหาย  หรือบางครั้งชวนเพื่อนให้มารับวิถีธรรม เขาไม่มา ซ้ำยังถกเถียง  หันหน้าหนี เป็นภาวะอึดอัดขัดข้องจริง ๆ   แต่ ถึงช่วงนี้ผู้น้อยได้เกิดจิตสำนึกคุณแล้วเพราะสี่ห้าปีที่เดินผ่านมาในอาณาจักรธรรม ตลอดรายทางไม่เคยถูกละเลยจากสายตาสายใจของนักธรรมรุ่นพี่ หนังสือพระคัมภีร์ซื้อหามาให้อ่าน  ใส่ใจชีวิตความเป็นอยู่ทุกอย่าง  วันหนึ่ง ผู้น้อยคิดว่าในเมื่อจะปฏิบัติบำเพ็ญ ก็จะต้องเอาจริง ไม่ต้องให้ใครคอยควบคุมห่วงใย  พอไปถึงมหาวิทยาลัย อาจารย์ยังไม่เข้าสอน ผู้น้อยจึงจับไมโครโฟนประกาศต่อเพื่อนนักศึกษาในห้องว่า "เพื่อน ๆ โปรดรับทราบ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปผมจะกินเจ"  เพื่อน ๆ ย้อนตอบว่า "เสียสติละซิ นายทำไม่ได้หรอก อย่างมากไม่เกินสิบวัน "  ผู้น้อยกำพร้าแม่มาแต่อายุสามปี เมื่อเข้าสู่อาณาจักรธรรม จิตสำนึกรับรู้ต่อความอบอุ่นที่เหมือนครอบครัว  หวังว่าตนเองน่าจะไม่ต้องจากพรากไปจากครอบครัวนี้ จึงตั้งใจกินเจอย่างจริงจังตลอดมาผู้น้อยได้รับการอุ้มชูส่งเสริมให้เจริญธรรม เจริญปณิธานด้วยการให้ร่วมทางไปนำพาคนมารับธรรมะเสมอ  จนสุดท้าย เมื่อปัญญาของตนค่อย ๆ เพิ่มพูน กิเลสหม่นหมองของตนลดน้อยลง จนกระทั่งอาวุโสไม่ต้องใส่ใจถามอีกเลยว่า "มีปัญหาอะไรอีกหรือ จะให้ช่วยอะไรบ้าง"  วิธีส่งเสริมที่ง่ายที่สุดนี้ คือ การให้  "ปฏิบัติงานธรรม" นั่นเอง

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                           แรงปณิธานกับแรงบาปเวร

                                  ตอนที่ 1 

                           ขอพระอาจารย์โปรดช่วย

        เริ่มแรกนำพาคนมารับธรรมะ เป้าหมายคือ เพื่อน  นักศึกษา  เพื่อนสนิท  นำพามาได้ง่ายเพราะเชื่อถือกัน แต่ต่อมาชักจะนำพาคนอื่น ๆ ได้ยากขึ้นทุกที พอรู้สึกว่ายาก จึงคิดว่า ตอนที่รับธรรมะ อาจารย์ได้ถวายคำขอซึ่งมีชื่อของเราจารึกไว้ในนั้น  ถ้าอย่างนั้นคงจะต้องเขียนชื่อคนที่เราจะไปนำพาลงในกระดาษจุดพุทะประทีปสามองค์ แล้วเผาชื่อคนเหล่านั้นถวายขึ้นไปก่อนจะดีกว่า จะได้นำพาเขามาได้ง่าย  ขณะเผา ได้คุกเข่ากราบวอนพระอาจารย์ด้วยว่า ขอให้ศิษย์ได้นำพาคนนั้น ๆ มารับธรรมะได้ด้วยเถิด  เริ่มแรกที่นำพาเพื่อนนักศึกษากับเพื่อนสนิทมารับธรรมะนั้น ใจคิดว่า "พวกเขามีบุญสัมพันธ์กับเรา ถ้าไม่นำพาเขามา เท่ากับเราเสียสถานภาพของความเป็นเพื่อน"  คิดดังนั้นแล้ว ก็รวบรวมรายชื่อเพื่อนทั้งหมด ท่องให้พระอาจารย์ฟัง เขียนใส่กระดาษแทนใบคำขอ (เปี่ยวเหวิน                        ) เผาถวายให้พระอาจารย์ทราบด้วย  เป็นเรื่องแปลกเมื่อเรามีความตั้งใจอย่างนี้ ก็เกิดพลังอย่างนี้  สำเร็จการนี้ได้  เพื่อนบางคนมีปัญหา ไม่ยอมรับธรรมะ เช่นไม่เชื่อเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์ บางคนถูกขัดขวาง มีอุปสรรคอย่างไร ผู้น้อยก็เขียนอาการของเขาบอกกล่าวพระอาจารย์ไปด้วย เพื่อนคนหนึ่งบอกว่า "เมื่อคืนฝันเห็นนายพูดอะไรมากมายไม่รู้"  ผู้น้อยรีบตอบทันทีว่า "สิ่งศักดิ์สิทธิ์เอาผมไปเข้าฝันคุณ ให้มารับธรรมะเสียทีน่ะซิ"  สุดท้ายเขาก็ยอมมารับธรรมะโดยดี เพื่อนนักศึกษาหลายคน ขณะเดินทางมาเรียน หรือ จะกลับบ้าน ได้ยินเสียงคนมาบอกว่า "ไปหาฟั่นเซิ่งเจี๋ย                     "  ทั้ง ๆ ที่ไม่มีใครอยู่ตรงนั้น  เหตุการณ์เช่นนี้ ทำให้เพื่อนที่ไม่เชื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ต้องเชื่อและตามมารับธรรมะหลายคน ที่จำได้แม่นยำก็คือ  ครั้งหนึ่ง เพื่อนนักศึกษาหกคนรับปากว่า จะมารับธรรมะ แต่พอถึงวันนัดหมาย กลับบอกว่าเปลี่ยนใจจะไปเที่ยว ขณะที่หงุดหงิดใจอยู่นั้น อยู่ ๆ เพื่อนหกคนกลับมาปรากฏตัวอยู่ชั้นล่าง จึงลงไปถามว่า "อ้าว ไหนว่าจะไปเที่ยวยังไง ทำไมจึงมาที่นี่ล่ะ" เพื่อน ๆ ตอบว่า ออกจากบ้านตั้งแต่หกโมงเช้า ตั้งใจจะไปเที่ยวให้สนุก  แต่มันเกิดไม่สนุก จึงพากันเดินมาเรื่อย ๆ จนเมื่อย นึกว่าจะนั่งพักตรงนี้สักครู่ ไม่รู้ว่าที่แท้ชั้นบนคือตำหนักพระที่นัดหมายกันไว้ เป็นอันว่า ทุกคนได้รับธรรมะ ตามที่ได้นัดหมายกันมาก่อน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18/10/2011, 08:29 โดย jariya1204 »

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                           แรงปณิธานกับแรงบาปเวร

                                  ตอนที่ 1 

                      พระองค์กวนอริยมหาราชทรงโปรด ฯ

        หลังจากรับธรรมะ กินเจแล้ว ผู้น้อยไม่กล้ากลับบ้าน เพราะไม่รู้ว่าทางบ้านจะคิดอย่างไร  จะตอบโต้อย่างไร กลัวพ่อจะโมโหด้วย  วันขึ้นปีใหม่จึงกลับบ้านไปให้เห็นหน้าหน่อยหนึ่งแล้วรีบกลับออกมา หลังจากนั้นทั้งเทอม เหมือนลืมบ้านไปเลย  สู้อุตส่า่ห์กินเจสะสมต่อเนี่ยงมาครึ่งปี กลับบ้านถ้าจำใจต้องกินไก่หนึ่งชิ้น แตกเจทันที  กุศลที่สะสมหมดเกลี้ยง  ต้องเริ่มใหม่มันน่าเสียดาย จึงไม่กล้ากลับบ้าน แต่ปิดเทอมใหญ่หลายวัน ไม่กลับคงไม่ได้  คราวนี้จะทำอย่างไรดี คิดแล้วจึงไปซื้อแอปเปิ้ลห้าผลมาถวายกราบวิงวอนพระอาจารย์ว่า "ศิษย์จะกลับบ้าน อาจถูกทำให้แตกเจได้ ขอพระอาจารย์โปรดช่วยศิษย์ด้วย".......เป็นความคิดไร้เดียงสาจริง ๆ ผู้น้อยขอพระอาจารย์แล้วกราบร้อยกราบ เสร็จแล้วลุกขึ้น แต่พลันนึกขึ้นได้ว่า เมื่องานประชุมธรรม เห็นพระอาจารย์ประทับทิพย์ญาณมา ท่าทางล้อชีวิตอย่างกัยวิปลาส อย่างนี้อาจไม่ได้การ น่าจะสำรองสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่จริงจังกว่าอีกพระองค์หนึ่งไว้เผื่อกันพลาด คิดแล้วก็คารวะคุกเข่าลงอีก แต่ก็ลังเลอยู่ว่า น่าจะเป็นพระองค์ใดหนอที่ไว้ใจได้  พลันก็นึกถึงพระองค์ "                       กวนเซิ่งตี้จวิน" กวนอริยมหาราชเจ้า จอมเทพวินัยธรพระผู้ทรงฤทธิ์น่าคร้ามเกรง จึงกราบหนึ่งร้อยกราบ ขอพระองค์โปรดช่วย จากนั้นก็เก็บแอปเปิ้ลที่ถวายกลับบ้านด้วยความมั่นใจ เหตุที่ไม่ได้กลับบ้านครึ่งปี จึงใจสั่นผิดปกติ ไม่รู้ว่าพ่อจะด่าว่าไหม หรือจะอย่างไร... แต่ปรากฏว่า เมื่อพบหน้ากัน คำแรกที่พ่อพูดคือ ได้ยินชาว "
           อี๋ก้วนเต้า "  (อนุตตรธรรม) เขาพูดว่า บัดนี้พระองค์ "                   กวนเซิ่งตี้จวิน" ดำรงพระอริยะฐานะเป็น "                     อวี้หวงต้าตี้"   (ท้าวสักกะเทวราช) แล้ว ...  ผู้น้อยชงักงัน  แล้วคิดว่า "พระองค์กวนเซิ่งตี้จวิน มีเครดิตเชื่อถือได้จริง ๆ "  ตอนนั้น ผู้น้อย แม้จะนำพาคน ศึกษาปฏิบัติธรรม อยู่แล้ว แต่ยังไม่รู้หลักธรรมดีนัก  ยังแบ่งแยกว่าพระองค์ไหนใหญ่เล็กกว่ากัน พอพ่อพูดจบ  ผู้น้อยตื่นเต้นดีใจรีบฉวยโอกาสทันทีว่า "ในอาณาจักรธรรมอี๋ก้วนต้า พระองค์เป็นเพียงจอมเทพวินัยธรพระองค์หนึ่งเท่านั้น พ่อจะต้องมากราบพระที่สถานธรรมเราแล้วล่ะ"  พ่อฟังแล้วเห็นด้วยตอบว่า "ใช่ ถ้าจะกราบไหว้ก็ต้องกราบไหว้พระองค์ที่ใหญ่กว่า"  พ่อจึงไปรับธรรมะ พ่อบุญธรรมก็ไป ทำให้ผู้น้อยสำนึกพระคุณเป็นที่สุด ธรรมะนี้ ใครมีพลังความมุ่งมั่นตั้งใจเท่าใด ทำได้เท่านั้น เกรงแต่จะไม่มีปณิธานจริงใจ  ถ้าปณิธานถึง จริง - ใจถึง แรงหนุนจากเบื้องบนจะถึงทันที
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18/10/2011, 08:29 โดย jariya1204 »

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                          แรงปณิธานกับแรงบาปเวร 

                                  ตอนที่  1   

                       ชมรมโภชนาธรรมหมื่นกราบ

        อยู่กับชมรมโภชนาธรรมเรื่อยมาจนเรียนปีสาม จึงได้ทำหน้าที่รับผิดชอบชมรม ฯ รับผิดชอบตำหนักพระเหมือนถันจู่ ดูแลนำพาธรรมกิจ จนกระทั่งเรียนอยู่ปีสี่ จากชมรม ฯ หกคน กลายเป็นห้าสิบคน นักศึกษาชาวธรรมกินข้าวตำหนักพระร่วมกัน มื้อละห้าโต๊ะเต็ม  ใกลเรียนจบแล้ว ชมรมฯ จะต้องมีน้องใหม่มารับหน้าที่ น้องปีหนึ่งปีสองที่ส่งเสริมมาดีถูกเขาชิงตัวไปหมด ที่เหลือคือยังใช้ไม่ได้ แล้วเราจะเอาใครขึ้นมาแทน คืนนั้น ใจคอห่อเหี่ยวขึ้นไปบนตำหนักพระ คุกเข่าลงร้องเรียนต่อเบื้องบนว่า "สถานธรรมนั้น ๆ อาวุโสท่านนั้น คนในชมรมโภชนาธรรมนั้น มาดึงเอาน้อง ๆ ของทางนี้ไป ไม่บอกกล่าว ทำให้เราเสียหายไม่มีใครรับผิดชอบงาน ..." ร้องเรียนโทษโพยเสร็จ ใกล้เที่ยงคืนกว่าจึงออกจากตำหนักพระ ทุกครั้งเมื่อมีเรื่องไม่สบายใจ พอกราบพระ ระบายความในใจที่เบื้องพระแท่นแล้ว จิตสำนึกตนก็จะเกิดกลับรู้สึกละอายใจว่า "ทำไมจะต้องรบกวนพระองค์ด้วยความคิดและคำพูดเหล่านี้ด้วย" เสร็จแล้วก็ต้องคุกเข่าลงไปใหม่ กราบขอขมา ก่อนหน้านี้เคยได้ยินนักธรรมข้างหน้าท่านเล่าปฏิปทาสูงส่งของพระธรรมจาริณีว่า ในครั้งกระนั้นนักธรรมผู้ใหญ่ถูกทางการจับขังไม่ให้แพร่ธรรม ไม่ให้อาจารย์ถ่ายทอดวิถีธรรมได้ต่อไป  พระธรรมจาริณี ตั้งมหาปณิธานเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งข้อทันที พร้อมกับกราบหนึ่งหมื่นกราบ..... วันรุ่งขึ้น ก็มีข่าวดีมารายงานว่า ทางการปล่อยตัวทุกคนทั้งหมด เพราะไม่มีหลักฐานจะตั้งข้อหาได้ คิดถึงตรงนี้ ผู้น้อยจึงกราบหนึ่งหมื่นกราบเพื่อขอประทานแสงสว่างคลี่คลายปัญหาอย่างพระธรรมจาริณีบ้าง กราบเสร้จยืนขึ้น จึงสำนึกได้ทันทีอีกว่า "ซือหมู่พระธรรมจาริณีของเรา เฝ้าเพียรกราบครั้งละหนึ่งหมื่น หนึ่งหมื่น  คลี่คลายปัญหาให้ผู้น้อยทั้งหลายได้ แต่พระองค์ต้องได้รับความทุกข์เนื่องด้วยข้อเข่าข้อเท้า เกิดมีปัญหาจากการกราบมากมายอย่างนี้" ผู้น้อยเพิ่งอายุจะยี่สิบกว่า หนึ่งหมื่นกราบตั้งแต่ตีหนึ่งถึงหกโมงเช้า กราบเสร็จยืนขึ้นก้าวเท้าไม่ออก หลังแข็งยืดตัวไม่ได้ นำ้ลาย น้ำตาประดังกันไหล ต้องใช้คลานไปล้มฟุบพักฟื้นอยู่ข้าง ๆ พระตำหนัก สักพักพอหายเหนื่อยแล้ว จึงเข้าไปถวายธูปแล้วจึงกลับไปพักที่ชมรมโภชนาธรรม ฉะนั้น จึงรู้ว่าหนึ่งหมื่นกราบนั้น หากไม่มีพลังวิริยะจริง ๆ แล้ว จะไม่อาจกราบได้เลย  กลับไปถึงชมรม ฯ พอดีมีเวลาหุงหาอาหาร พอดีมีโทรศัพท์เข้ามา เสียงจากสายสวัสดีแล้วถามว่า "ที่นั่นเป็นสถานธรรมใช่ไหม ผมเป็นนักศึกษาที่จินเหมิน........(คีมอย) ปีนี้สอบเข้าได้ ได้ยินว่ามาพักอยู่ที่นี่ได้" ผู้น้อยรู้สึกตื่นใจ อะไรจะสัมฤทธิ์ผลเร็วถึงเพียงนี้  (ภายหลังต่อมาน้องใหม่จากจินเหมินก็เข้ามาอยู่ในชมรมฯ) พอทานข้าวเสร็จ ก็ได้รับโทรศัพท์อีกสายหนึ่งจากเฉินเจี่ยงซือว่า "คุณฟั่น ผมเพิ่งนำพาคนได้หนึ่งครอบครัวที่ไทเปนี่ ลูกชายของเขาสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ คุณจะส่งเสริมเขาไหมล่ัะ" ผู้น้อยตอบว่า "ขอหมายเลขโทรศัพท์ ผมจะโทรไปคุยกับเขาเดี๋ยวนี้เลย" รุ่นน้องคนนี้ยินดีจะเข้ามาอยู่ในชมรมฯ นี่คือโทรศัพท์สายที่สอง  ก่อนแปดนาฬิกา ยังไม่เข้าห้องเรียน  ผู้น้อยมีรุ่นน้องคนหนึ่งคือ คุณหลิน โทรศัพท์เข้ามาบอกว่า "วันนี้ ผมพบเห็นนักศึกษาใหม่ที่เพิ่งมาลงทะเบียนคนหนึ่งน่ารักมาก ดูแล้วเหมือน" เซียนถง.....(พระกุมารน้อย)" พี่รีบมาดูเร็ว ๆ " ผู้น้อยกับคุณหลินพากันไปพบน้องใหม่คนนั้น ซึ่งได้นัดหมายกันไว้  สุดท้ายน้องใหม่ตกลงจะรับธรรมะ เข้ารับการอบรมประชุมธรรม เกิดศรัทธาปณิธานเต็มกำลัง บัดนี้ น้องใหม่ทั้งสามล้วนเป็นเจี่ยงซือ ผู้น้อยเชื่อร้อยเปอร์เซ็นต์ว่า ถ้าตอนนั้นไม่ได้เป็นเพราะขาดผู้สืบสานงาน ผู้น้อยก็คงไม่ได้ทุ่มเทใจกราบวอนต่อเบื้องบน  ครั้ง เพียงหนึ่งหมื่นกราบเท่านั้น ไม่ทันถึงสองชั่วโมง ก็มีญาติธรรมน้องใหม่จะมาร่วมอยู่ในชมรมฯถึงสามคน ทำให้ตำหนักพระแห่งนี้เกิดมีชีวิตชีวาขึ้นมาอีก ฉะนั้น เราปฏิบัติบำเพ็ญจะต้องเต็มกำลัง งานปรกโปรดเป็นศิษย์ขาดจากเบื้องบน เมื่อเรามีความขัดข้องหมองใจต่องานของเบื้องบน จึงกราบรายงานได้ดต็มที่ วอนขอปัญญา ความกล้า ความสามารถได้     
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18/10/2011, 08:30 โดย jariya1204 »

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                           แรงปณิธานกับแรงบาปเวร 

                                      ตอนที่ 1

                       แบกปืนปฏิบัติธรรมทำหน้าที่พิธีกร

        จบปีสี่จะต้องเป็นทหาร เป็นทหารจะต้องไปปจากอาณาจักรธรรม อาลัยอาวรณ์ ผู้น้อยถวายผลไม้กราบทูลต่อเบื้องบนดีกว่า "พระอาจารย์ได้ดปรด ศิษย์จะต้องไปจากอาณาจักรธรรมแล้ว อย่างน้อยถึงสองปี ศิษย์หวังว่าจะได้ไปประจำกองที่อยู่ใกล้สถานธรรม เพื่อให้ได้ปฏิบัติบำเพ็ญ" ผลปรากฏว่า จากศูนย์ฝึกที่เมืองเจียอี้ ........ ได้โยกย้ายไปเมืองเกาสยง......... สุดท้ายจับฉลากได้ไปอยู่หน่วยฝึกจินเหมิน........(คีมอย) ระหว่างฝึกทหาร ครึ่งปีแรกมีความทุกข์มาก ผู้ฝึกขอร้องให้เลิกกินเจ ถูกอบรมว่ากล่าวอยู่บ่อย ๆ ในหน่วยทหารงานเบาที่สุดคือ หน่วยพลาธิการเสมียน หน่วยเสนาธิการ... ไม่น่าเชื่อ ผู้น้อยได้ทำหน้าที่ในหน่วยพลาธิการ  หน้าที่นี้มีเวลาเป็นของตัวเองมากหน่อย จึงมักจะนอนคลุมโปงร้องไห้อยู่บ่อย ๆ ได้คิดว่า "เราตั้งใใจว่าจะได้ปฏิบัติบำเพ็ญธรรมที่นี่ แต่ตอนนี้แม้กินเจก็มีปัญหาเสียแล้ว ไม่รู้ว่าเบื้องบนจะได้ยินไหม ?" ว่าไปก็แปลก ต่อมาเกิดโยกย้ายเปลี่ยนผู้คุมหน่วยใหม่ ผู้บังคับบัญชาคนใหม่เป็นญาติธรรม เรียกให้ผู้น้อยเข้าไปหา ถามว่า "เธอกินเจหรือ" "ครับผม" "เมื่อก่อนฉันก้เคยกินเจ เธิกินเจเพราะเหตุใด" (ผมเป็นผู้ปฏิบัติธรรมอี๋ก้วนเต้าขอรับ" "ฉันก็เป็นญาติธรรมเหมือนกัน  ฉันเป็นชาวอำเภอผิงตง..." กินเจไม่มีปัญหา จากนี้ไป เธอจะกินอะไรให้บอกพ่อครัวได้เลย" หัวหน้ายังกล่าวอีกว่า " หมู่นี้ฉันฉุนเฉียวมาก เธอพูดธรรมะได้มั้ยล่ะ" ผู้น้อยตอบว่า "ผมมีคัมภีร์ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร (.......................ลิ่วจู่ถันจิง) ติดตัวอยู่เสมอขอรับ" หัวหน้าบอกว่า "เธอเอามาพูดให้ฉันฟัง"  สุดท้าย หน้าที่ประจำหน่วยของผู้น้อยคือ บรรยายพระคัมภีร์ธรรมรัตนบัลลังก์สูตรให้หัวหน้าฟัง จากนั้น ทุกครั้งเมื่อหัวหน้าด่าว่าผู้ใต้บังคับบัญชาเสร็จแล้ว ก็จะเรียกตัวผู้น้อยให้เข้าไปบรรยายพระคัมภีร์ธรรมนัตนบัลลังก์สูตรให้ฟัง ภายใต้สภาพแวดล้อมอย่างนั้น จะปฏิบัติงานธรรมค่อนข้างยาก แต่เบื้องบนก็ยังโปรด เมื่อผู้น้อยรับหน้าที่พลาธิการ จะต้องดูแลสุขภาพกายใจของนักเรียนทหาร ผู้น้อยจึงเรียนถามหัวหน้าว่า "จะพาเพื่อน ๆ ไปรับธรรมะได้ไหม"  หัวหน้าตอบว่า " ได้ซิ ต้องใช้เวลานานเท่าไร บอกฉัน" เท่านั้นเอง ทุกอย่างก็ผ่านตลอด แม้แต่จะขอใบลาก็ไม่มีปัญหา ทุกครั้งจะบอกว่า จะพาพี่น้องไปอบรมพลานามัย ที่ทแ้คือพาไปรับธรรมะ รับธรรมะเสร็จ ตอนบ่ายก็ให้เขาพักไปครึ่งวัน เวลาที่เหลือผู้น้อยก็ได้ปฏิบัติงานธรรมต่อไป  มีอยู่หลายครั้งที่เหตุการณ์ตึงเครียด ซ้อมรบอยู่บ่อย ๆ ปีนั้นจีนแผ่นดินใหญ่ซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามยิงปืนใหญ่ข้ามทะเลมาถึงฝั่งของเราอีก (จินเหมินคีมอยไต้หวันกับเซี่ยเหมินของจีนแผ่นดินใหญ่ มีป้อมปืนใหญ่ประจันหน้ากันอยู่) ฉะนั้น เมื่อมีการซ้อมรบ ผู้น้อยก็จะนำเพื่อนร่วมหน่วยร่วมชั้น หรือหน่วยกลุ่ม ฉวยโอกาสช่วงว่างสำหรับเราตอนนั้น รีบไปรับธรรมะกัน  ผู้น้อยสะพายปืนเป็นพิธีกรเอก-โท  พิธีการนอกจากนั้น เตี่ยนฉวยซือต้องจักการเองเป็นเองทำเอง ทำเองทุกขั้นตอน เพื่อน ๆ ที่พาออกมาก็ต้องสะพายปืนคุกเข่าลงขอรับธรรมะ ฉะนั้น เวลาพูดไตรรัตน์ ผู้ฟังที่นั่งอยู่ตรงข้างหน้าเราก็ดูแปลกไป เพราะทุกคนสะพายปืนนั่งฟัง ปฏิบัติการนี้รวดเร็วมาก ตั้งแต่เริ่มพิธีศักดิ์สิทธิ์จนถึงพูดไตรรัตน์จบ ใช้เวลาน้อยมาก บางครั้งมีช่วงปลอดเพียงห้านาทีสิบนาที ทั้ง ๆ ที่สะพายปืนอยู่  ผู้น้อยก็รีบพาเพื่อนทหารไปขอให้เต่ยนฉวยซือถ่ายทอดธรรมะให้ บางครั้ง เราอาจจะปักหลักปฏิบัติธรรมอยู่ ณ ที่แห่งหนึ่ง แต่สภาพการณ์อย่างนั้น ธรรมกิจมักจะไม่เฟื่องฟู ตรงกันข้าม หากมิใช่ปักหลักสบาย ๆ แต่จะต้องต่อสู้ ท้าทาย เหนื่อยยาก ถูกบีบบังคับให้อัดอั้น  อดทนอยู่ในกลุ่มชน จึงจะเข้าใกล้กลุ่มชนได้ จึงอาจนำเอาต้นธรรมปลูกฝังลงท่ามกลางจิตใจของเขาทั้งหลายได้อย่างมั่นคง
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18/10/2011, 08:30 โดย jariya1204 »

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                         แรงปณิธานกับแรงบาปเวร 

                                  ตอนที่  1

                        กดกิ่งประตูบ้าน นำพาสาธุชน   

        ฝึกทหารตามหลักสูตรการศึกษาจบสิ้น ออกจากศูนย์ฝึก ตรงกลับมาที่ "สถานธรรมแม่"  ที่ไทเปก่อนอื่นใด ญาติธรรมที่ได้พบเห็นเป็นคนใหม่ ๆ มากมาย จึงต้องเริ่มต้นศึกษากันใหม่ ผู้น้อยจึงัดสินใจว่าจะต้องไปนำพาผู้ร่วมบำเพ็ญชุดใหม่ แต่จะรู้จักนักศึกษารุ่นใหม่ได้ อย่างไร... ดังนั้น ผู้น้อยจึงไปกดกิ่งประตูหอพัก ใช้วิธีสนทนาธรรมตามข้อสอบถาม วันหนึ่ง รุ่นพี่เอาหนังสือที่พูดถึงปฏิปทาของเจ้าตำหนักพระที่ญี่ปุ่น คือ คุณม่อก่วงเลี่ยง  ให้ผู้น้อยอ่าน มันทำให้สะเทือนขวัญทีเดียว ได้ความว่า "คนแปลกหน้ายิ่งต้องการความรักจากเรา" ดังนั้น ผู้น้อยจึงเริ่มปฏิบัติการ "กดกิ่งประตูบ้านนำพาสาธุชน" ด้วยข้อสอบถาม หากเรานำพาใครที่ไม่เคยรู้จัก มารับธรรมะที่สถานธรรม อาจเสียหายต่อทางธรรมได้ อีกทั้งผิดพุทธระเบียบเพราะมีบัญญัติว่า ผู้รับธรรมะจะต้องเป็นสุจริตชน แต่เมื่อขณะที่เราจะต้องเดินเข้าหากลุ่มชนจริง ๆ นั้น คนไหนหรือที่ไม่ใช่ผู้มีอวิชชาความหลง หากเขาเคยเป็นผู้ต้องขังมาก่อน ท่านจะนำพาเขาไหม ใช่ยังจำต้องนำพา ไม่ใช่ว่าเขาเคยต้องขังแล้วเราจะไม่นำพา ความประพฤติดีของเขาจะต้องอาศัยเราค่อย ๆ ช่วยเขาปลูกฝัง ไม่ใช่เพราะเขาเป็นคนดีแล้วเราจึงไปนำพา เขาดีอยู่แล้ว ยังต้องการให้เราไปส่งเสริมอีกหรือ เขาเป็นเซียนพุทธะ มีบุญปัจจัยเองอยู่แล้ว เดี๋ยวนี้คนมากมายไปนำพาคน พูดได้ว่า สร้างปัญหาให้อาณาจักรธรรม สร้างปัญหาให้ญาติธรรม สร้างปัญหาให้การศึกษาธรรมของตนเอง คุณสมบัติของตนไม่เพียงพอ ยังพูดอีกว่าเป็นตัวแทนของอาณาจักรธรรมไปนำพาคน อย่างนี้อันตราย ตอนนั้น ผู้น้อยไม่มีความเข้าใจระดับนี้  มีแต่ความคิดที่ว่า "เราควรดำเนินหนทางปฏิบัติธรรมนี้อีก"ดังนั้น จึงใช้ข้อสอบถามเป็นวิธีนำพา ทำการวางแผนงาน แบ่งการเดินสายกับรุ่นน้อง จะต้องเดินสายทุกวันเยี่ยมเยียนคนนั้นคนนี้ กลางคืนกลับมาก็กลั่นกรองคำถามเหล่านั้นอีก คนไหนที่จะไปเยี่ยมครั้งที่สองได้... โดยเฉลี่ย ในจำนวนสิบสามคนที่ผู้น้อยไปเยี่ยมเยียน จะมีหนึ่งคนที่ยินดีให้หมายเลขโทรศัพท์แก่เรา ยินดีให้เรากลับไปเยี่ยมเขาอีกเป็นครั้งที่สอง แต่ในจำนวนผู้ยินดีให้เราไปเยี่ยมครั้งที่สองนี้ ห้าคนจะมีผู้ยินดีรับธรรมะหนึ่งคน แต่เรามีคุณสมบัติอะไรที่จะพูดว่า เขาเป็นคนไม่ดี บุญไม่ถึง  เราไม่มีคุณสมบัติที่จะละทิ้งเวไนยฯ แม้แต่คนเดียวต่างหาก หากกล่าวโดยง่ายดายว่าละทิ้งไป เสร็จแล้วธรรมกิจแผ่ขยายไม่ได้ นั่นก็แน่นอนอยู่แล้ว

                                              ~ จบตอนที่ ๑ ~

Tags: