นักธรรม
ห้องสมุด "นักธรรม" => หนังสือ => ข้อความที่เริ่มโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 9/10/2011, 11:51
-
แรงปณิธาน
กับ แรงบาปเวร
ศุภนิมิต - แปลและเรียบเรียง
สำนักพิมพ์ส่งเสริมคุณภาพชีวิต
23 ชอย 44 ถนนจรัญสนิทวงศ์ แขวงบางยี่ขัน
เขตบางพลัด กรุงเทพฯ 10700
โทร 02 - 8830620 - 1
ไท่ถงธรรมสถาน โทร 044 - 322087
พิมพ์ที่ : อักษรสยามการพิมพ์ 1137/1 จรัญสนิทวงศ์ 13 เขตภาษีเจริญ กรุงเทพฯ 10160 โทร 02 - 410 - 7813
บทบรรณาธิการ
ความสูงส่งล้ำค่าของวิถีธรรม ความวิเศษยิ่งของหนึ่งจุดเบิกจากพระวิสุทธิอาจารย์ เพียงแค่พุทธระเบียบอันประณีตจริงจังของศิษย์ธรรมกาลยุคขาว อีกทั้งด้วยความเป็นธรรมะ ทั้งพูดและปฏิบัติตน จนกระทั่งจิตดำริที่กลั่นกรองกันจนใส ก็เพียงพอที่จะทำให้พ้นจากกิเลสขุ่นข้อง และอาจล่วงพ้นเกิดตายได้แล้ว บัดนี้ ยุคกาลสุดท้าย ขณะที่ศิษย์ธรรมกาลยุคขาว กำลังขะมักเขม้นที่จะสร้างบุญก่อเกิดคุณธรรม แต่ก็มักจะมีการหลงหายไปจากความตั้งใจแต่เดิมที หายไปจากใจตน บ้างก็มีชั่วโมงการปฏิบัติธรรม แล้วก่อเกิดความยโสโอหังลืมตัว นั่นเกิดจากความหละหลวมต่อพุทธระเบียบ ละเลยต่อความเคารพศรัทธา เอางานของฟ้ามาทำเยี่ยงงานชาวบ้าน เอาความรู้สึกนึกคิดของใจคนสำคัญผิดว่าเป็นใจฟ้า หลงอยู่ในลาภสักการะทางธรรม ถลำตัวอยู่ในกรอบกักโดยไม่รู้ตัว ยิ่งกว่านั้น ยังถูกการงานทางโลกกักขังไว้ งานอริยะกับงานทางโลกขัดแย้งกัน ไม่อาจฝ่าฟันการทวงถามติดตามของแรงกรรมกับผลประโยชน์ที่รมใจให้มืดมัวได้ ทำให้ลืมแรงปณิธานเบื้องต้นด้วยประการฉะนี้
เมื่อเกิดหนึ่งความคิดก็เกิดหนึ่ง "เหตุต้น" จากมโนกรรม เป็น "ผลตาม" มา แรงของเวรกรรมจึงตามมาถึงประตูหน้าบ้านตน ฟ้าเบื้องบนต้องการเตือนใจผู้ปฏิบัติบำเพ็ญในยุคสุดท้ายให้รู้ตื่น จงอย่าเนื่องด้วยความคิดเพียงวูบเดียวที่โลภอยากยึดหมาย ทำลายความดีที่ปฏิบัติบำเพ็ญมาชั่วชีวิต ดังนั้นจึงอาศัยตัวอย่างจากเหตุและผลกรรมของ ฟั่นเจี่ยงซือ ............... ที่ปฏิบัติบำเพ็ญมาด้วยความศรัทธาจริงใจฉุดช่วยคนมาแล้วมากมาย เป็นข้อคิดเตือนใจแก่ศิษย์ธรรมกาลยุคขาว ที่กำลังปฏิบัติบำเ็พ็ญด้วยความศรัทธาอยู่ขณะนี้ให้ได้รู้ว่า "จะส่องเห็นจิตสำนึกต่อสัจธรรมที่ไหวคลอนไม่คงที่ของตนขณะปฏิบัติธรรมได้อย่างไร จะฉุดช่วยจิตวิญญาณตนขณะที่คิดเห็นเอนเอียงให้ตรงทาง ขณะฉุดช่วยผู้คนได้อย่างไร" มิจฉาดำริกับความคิดฟุ่งซ่าน ฟั่นเจี่ยงซือกล่าวว่า "ผู้น้อยเองแต่ก่อนก็เชื่อมั่นปฏิบัติตนทุกเวลา รู้สึกว่าตนก็คือผู้บำเพ็ญที่ได้มาตรฐานคนหนึ่ง แต่สุดท้ายจึงได้รู้ว่า การเป็นผู้บำเพ็ญธรรมของตนมีคุณสมบัติเพียงขณะอยู่ในตำหนักพระเท่านั้น" ถ้าหากไม่ได้บำเพ็ญธรรมอยู่กับการปฏิบัติธรรมกิจ ถ้าหากเวลาที่ไม่มีปณิธานครองใจ แรงของเวรกรรมก็จะมาปรากฏตรงหน้า ฟั่นเจี่ยงซือ ............... เป็นอาจารย์บรรยายธรรม เป็นชายหนุ่มในอาณาจักรธรรมวงการปัญญาชน ด้วยความศรัทธาจริงใจ ได้ฉุดช่วยนำพาญาติเพื่อนพ้องมากมายให้ได้รับวิถีธรรม ไม่เคยย่อท้อต่อการฉุดช่วยเสียสละตน อีกทั้งได้รับความเกื้อหนุนจากพุทธะเซียน แต่โดยไม่คาดคิดด้วยเหตุที่ใจไหวเอนปรารถนาจะหาเงิน ใจธรรมถดถอยไป แรงเวรกรรมตามติด จากแต่เดิมทีที่ยังมีใจของพระโพธิสัตว์ กลายเป็นใจของปุถุชนไป
ในขณะหัวเลี้ยวหัวต่อของความเป็นความตาย เบื้องบน ได้โปรดเห็นแก่ที่ "ฟั่นเจี่ยงซือ" เคยปฏิบัติบำเพ็ญมา ซึ่งยังนับว่ามีศรัทธาจริงใจมาก่อน จึงให้เขาได้ผ่านพ้นจากสนามรบที่ ต้องต่อสุ้ปะทะกันระหว่างความเป็นกับความตายในครั้งนี้ อีกทั้งโดยพระองค์ "จอมชันษาเจ้าทักษิณาลัย....................................หนันจี๋เหล่าเซียน - อง" ได้โปรดนำไปท่องสวรรค์ ให้เขาได้เห็นเหตุ - ผลกรรมของตนเองในอดีตชาติ กับบาปบุญในการปฏิบัติบำเพ็ญธรรม ฟั่นเจี่ยงซือท่องสวรรค์ ไม่ใช่การท่องเที่ยวอย่างเดียว แต่จากการท่องเที่ยวได้เห็นตนเอง อีกทั้งสิ่งละเอียดประณีต ที่ผู้ปฏิบัติบำเพ็ญในยุคสุดท้ายละเลยไปเป็นทั้งคุณกับโทษ บทบันทึกนี้ ยังไม่เคยมีมาก่อนในท่องสวรรค์บทอื่น ๆ ฟั่นเจี่ยงซืออธิบาย "เหตุต้นผลตาม" ของตนเองทั้งเรื่องเล็กเรื่องใหญ่อย่างหมดสิ้น อีกทั้งพิจารณาอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นครั้งนี้ นั่นคือจิตดำริคิด จากการบอกเล่าของเขา เราจึงได้พบว่าผู้ปฏิบัติในยุคสุดท้าย ได้ละเลยเมล็ดพันธุ์โพธิ ละเลยศีล ละเลยพุทธระเบียบ ที่ผู้บำเพ็ญพึงมี ฟ้าเบื้องบนอาศัย "เหตุต้นผลตาม" ที่ฟั่นเจี่ยงซือท่องสวรรค์เป็นตัวอย่างจริง เป็นข้อเตือนใจชาวเราศิษย์ธรรมกาลยุคขาว ที่หละหลวมต่อพุทธระเบียบ ต่อการบำเพ็ญที่ปรากฏอยู่ทั่วไป
หวังว่าทุกคนจะกลับใจสอดส่องตนทันที ทุกขณะจิตรักษาไว้ให้ดี จึงจะไม่ตกไปเมื่อใกล้เวลาบรรลุ เท่ากับบำเพ็ญเสียเปล่าชั่วชีวิต สำนักพิมพ์เมื่อได้ฟังเทปที่ฟั่นเจี่ยงซือพูดไว้ ตื่นตระหนกกับใจที่โง๋หลง ความสะท้านสำนึกเิกิดขึ้นเองในใจ คิดว่าเราผู้ปฏิบัติบำเพ็ญด้วยศรัทธานั้น เป็นจริงแท้แค่ไหน ยังจะมีปัญหาน่าละอายใจต่อใคร ๆ อีกไหม ควรเป็นเวลาวางกรอบในตนเองได้แล้ว ปรารถนาช่วยแพร่ข่าวจากเบื้องบน จึงลงมือเขียนบทบรรณาธิการนี้ แจกจ่ายเป็นวิทยาทาน
จาก กองบรรณาธิการสำนักพิมพ์หมิงเต๋อ
-
แรงปณิธานกับแรงบาปเวร
คำนำ
โลกปัจจุบัน แม้สรรพวัตถุจะอุดมสมบูรณ์ แต่จิตใจของผู้คนกับเสียหายมากที่สุด เนื่องด้วยสังคมไม่อาจเคารพคุณธรรม ทำให้ธาตุแท้ดีงามสว่างศักดิ์สิทธิ์แต่เดิมทีของทุกคนเปลี่ยนเป็นมืดมัว คุณสัมพันธ์ต่อกันสูญหาย เรื่องราวที่น่าสะพรึงกลัวต่าง ๆ เกิดขึ้นในสังคม คุณสัมพันธ์ระหว่างคนไม่มีทางจริงใจดีงามต่อกันได้อีก ทุกแห่งหนมีแต่การขับเคี่ยวเล่ห์เหลี่ยม จิตใจมืดมัว ทำผิดต่อคุณความดีมากขึ้นเรื่อย ๆ ไม่เพียงการบำเพ็ญตน อีกทั้งบาปเวรท่วมท้น ตรงกับที่พุทธะเซียนได้กล่าวไว้ว่า โลกโลกีย์หรือโลกอาสวะกิเลสชั่วร้าย คนเกิดมาในโลก จะต้องรู้จักย้อนคำนึงถึงความผิดตน จึงจะมีความก้าวหน้าในด้านความประพฤติ คุณธรรม หรือในด้านอื่น ๆ ได้ แต่ที่น่าสะท้อนใจก็คือ คนปัจจุบันล้วนทุ่มเทให้ความสำคัญในด้านวัตถุ ผลประโยชน์ส่วนตน ต่อจิตญาณเดิมแท้อันสว่างศักดิ์สิทธิ์เป็นรากฐาน กลับไม่มีความตั้งใจให้แม้แต่น้อย เป็นการทิ้งต้นไปหาปลาย โดยแท้ หนึ่งชีวิตของคนเรา ไม่กี่สิบปีจะต้องรู้บำเพ็ญ รู้ตื่น รักบุญวาสนา สร้างบุญวาสนา จึงจะบำเพ็ญให้จิตญาณสว่างใสได้ หากไม่รู้เป้าหมายของการคิดคำนึง ก็จะจมอยู่กับทะเลทุกข์ของบาปเวรต่อไป ฟ้าเบื้องบไม่อาจทนดูคนดีต้องประสบภัยพิบัติพร้อมกับคนชั่ว จึงโปรดประทานวิถีธรรมลงกอบกู้คนหลง เราทั้งหลายได้พบพระวิสุทธิอาจารย์ ชี้นำจิตญาณรู้ตื่นแท้จริง รู้หลักของชีวิตแท้จริง พ้นจากวัฏจักรการเกิดตายได้อย่างฉับพลัน เป็นพระมหากรุณาธิคุณจากเบื้องบน พระคุณพระบรรพจารย์อันยากจะตอบแทนได้ แต่เรามักจะถือว่าบำเพ็ญมาหลายปี ยิ่งบำเพ็ญก็ยิ่งปกป้องตนเอง ยิ่งเห็นแก่ตัวเอง ทุกอย่างเอาตัวเองเป็นสำคัญ รู้ชัด ๆ ว่าบำเพ็ญเป็นเรื่องดี แต่ก็ยอมบดบังจิตดีงาม ละทิ้งไป รู้ชัดว่าการปฏิบัติงานธรรมเป็นการสร้างบุญคลี่คลายโทษภัยได้ แต่กลับหยุดยั้งไม่ดำเนินต่อไป จิตดีงามของฟ้าคลุมเคลือ เพิ่มโทษผิดมากขึ้น เช่นนี้ ล้วนเนื่องจากจิตญาณยังไม่สว่าง หลักชีวิตของตนยังไม่อาจทำหน้าที่เป็นหลักให้แก่ตนเองได้
ผู้น้อย ได้ผ่านเคราะห์ภัยใหญ่ปางตายครั้งนี้ จึงได้เชื่อว่า บำเพ็ญธรรม บำเพ็ญใจ ปฏิบัติธรรมสุดความตั้งใจ ความคิดวูบเดียวของคนในโลก ฟ้าเห็นชัดสว่างดุจสายฟ้า จิตดำริของเราไม่เพียงมีผลต่อทั้งชีวิตของตนยังเป็นผลต่อผุ้เกี่ยวพันกับเรา จึงพึงจัดให้ตรง อย่าให้ผิดต่อใจดีงาม คิดแล้วจึงทำ ความผิดลดน้อย อีกทั้งไม่สร้างผิดบาปใหม่ ทำอย่างนี้เป็นประจำ ความผิดย่อมไม่เกิด การบำเพ็ญย่อมสำเร็จ ชีวิตมีค่า อยู่ที่สามารถเตือนตน ตื่นใจ สามารถรักษาจิตญาณสว่างใส ตนรู้ตื่นช่วยให้ใคร ๆ รู้ตื่น ก่อเกิดประโยชน์ตน ประโยชน์ท่าน ทุกคนทำได้เช่นนี้ โลกพระศรีอาริย์ย่อมเกิดขึ้นได้ในโลกเรา
ผู้น้อย ฟั่นเซิ่งเจี๋ย
ค.ศ. 2004 ปีวอกเดือนแปด ยี่สิบค่ำ
ณ ไถจง
-
แรงปณิธานกับแรงบาปเวร
คำนำ
อาณาจักรธรรมแห่งธรรมกาลยุคขาว ตั้งแต่เบื้องบนปรกโปรดอนุญาตให้ถ่ายทอดวิถีจิตแก่สาธุชนทั่วไป แม้เวลาจะผ่านมาไม่ถึงหนึ่งร้อยปี แต่สามารถแปรเปลี่ยนใจคนไปแล้วนับไม่ถ้วน ที่ร้ายให้กลายเป็นดี ที่ดีให้ดียิ่งขึ้น ผู้ใดเป็นศาสนิกในศาสนาใด ก็ให้ทำตัวเป็นศาสานิกผู้เข้าถึงแก่นแท้ของศาสนาตน ปรากฏการณ์อันวิเศษที่เกิดขึ้นนี้ ที่สำคัญคือ เซียนพุทธะ พระโพธิสัตว์ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั่วทุกสากลโลกโปรดหนุนนำ
บันทึกเรื่องราวความเป็นจริงจากคุณ "ฟั่นเซิ่งเจี๋ย ....................." เป็นอีกประจักษ์หลักฐานหนึ่งที่ได้รับการปรกโปรดส่งเสริมจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นเรื่องราวที่ให้คติสอนใจ เป็นอุทาหรณ์แก่ผู้ปฏิบัติบำเพ็ญเป็นอย่างดี ข้าพเจ้าได้รับหนังสือต้นฉบับภาษาจีน จากอาจารย์เลี่ยว ท่านขอให้ช่วยแปลเพื่อผู้บำเพ็ญชาวไทยจะได้อ่านกันบ้าง ขอขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่ง สองวันต่อมา บรรณาธิการสำนักพิมพ์หมิงเต๋อ คือ อาจารย์หวงได้โปรดมาเยี่ยม พูดถึงหนังสือเล่มนี้ ซึ่งท่านเป็นผู้จัดพิมพ์ ได้มอบหนังสือเล่มนี้ให้ข้าพเจ้าแปลอีกเช่นกัน ท่านบอกว่า ในภาคภาษาจีน ได้พิมพ์ครั้งแรกแปดหมื่นเล่ม แจกจ่ายหมดไปแล้ว ยังมีผู้เรียกร้องอีกมาก แสดงว่า จะต้องก่อเกิดกุศลประโยชน์แน่นอน ภาษิตฝรั่งที่กล่าวว่า "แมวสีอะไรไม่สำคัญ สำคัญที่จับหนูได้" เช่นกัน ข้าพเจ้าก็คิดว่า คติธรรมรูปแบบใดก็ตาม ขอเพียงมีผลต่อการกระตุ้นเตือนใจให้ผู้บำเพ็ญได้เห็นความผิดจากจิตตน เป็นแนวทางแก้ไขให้ถูกต้อง เพื่อความบริสุทธิ์โปร่งใสในการบำเพ็ญได้ ก็เป็นเรื่องที่น่าจะทำ ข้าพเจ้าจึงได้ลงมือแปลหนังสือเล่มนี้
ด้วยความปรารถนาให้ท่านเจริญธรรม
ศุภนิมิต
แปลและเรียบเรียง
สารบัญ
@ ตอนที่ ๑
๐๑. รับธรรมะ
๐๒. อาจารย์นำพารับรองส่งเสริม
๐๓. ขอพระอาจารย์โปรดช่วย
๐๔. พระองค์กวนอริยมาราชทรงโปรดฯ
๐๕. ชมรมโภชนาธรรมหมื่นกราบ
๐๖. แบกปืนปฏิบัติธรรมทำหน้าที่พิธีกร
๐๗. กดกริ่งประตูบ้าน นำพาสาธุชน
@ ตอนที่ ๒
๐๘. ทุ่มเทชีวิตหาเงิน ไม่ร่วมงานธรรม
๐๙. ชั่วพริบตาของความเป็นความตาย
๑๐. จูงรถยับเยินเดินสองกิโลเมตร
๑๑. วิถีนรกในโรงพยาบาล
๑๒. วิถีแห่งเปรตในโรงพยาบาล
๑๓. ความแยบยลจากการกำหนดจิต ณ จุดญาณทวาร
@ ตอนที่ ๓
๑๔. ติดตามพระองค์จอมซันษาเจ้าทักษิณาลัยฯ
๑๕. มังกรทอง มังกรมรกตต่างทำหน้าที่
๑๖. สามชีวิตเมื่อสามร้อยปีก่อน
๑๗. นำพาผู้รับรองจากสามร้อยปีก่อน
๑๘. เหตุต้นผลตามสามชาติชดใช้ในสามวัน
๑๙. วิถีนรก วิถีเปรตสามวันในโรงพยาบาล
@ ตอนที่ ๔
๒๐. บัวดอกน้อยของฟั่นเซิ่งเจี๋ย
๒๑. บัวดอกใหญ่ของพระอาจารย์
๒๒. ฐานบัวใหญ่เล็กต่างกัน
๒๓. ความแตกต่างระหว่างดอกบัวกับ '' เซียนเถา ''
@ ตอนที่ ๕
๒๔. แจกแจงเกี่ยวกับ '' หอคุณธรรมบารมีธรรม ''
๒๕. นำพากล่อมเกลามีกุศล
๒๖. ตักเตือนกล่อมเกลามีกุศล
๒๗. กุศลน้อยนิดไม่ผิดพลาด
๒๘. บุญกุศลแท้จริง
๒๙. ช่วยงานธรรมะมีกุศล
๓๐. แจกแจง "" หอผิดบาป ""
-
แรงปณิธานกับแรงบาปเวร
ตอนที่ 1 : รับธรรมะ
เริ่มแรก ผู้น้อยได้รับธรรมะที่ไทเป ในอาณาจักรธรรมของท่านเฉินเฉียนเหยิน (ฟาอีฉงเต๋อ) ซึ่งขณะนั้นผู้น้อยอยู่ในระหว่างเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย "ตั้นเจียง" ไทเป ผู้น้อยเป็นชาวเมืองจังฮว่า คืนวันหนึ่งอากาศหนาวจัด กินอาหารอุ่นท้องแล้วจะเข้านอน พลันมีเสียงเคาะประตูห้องอย่างจริงจัง จึงลุกขึ้นชะโงกหน้าดูที่ช่วงประตู เห็นว่าเป็นนักศึกษารุ่นพี่ ถามได้ความว่า ต้องการพบเพื่อนร่วมห้องที่เรีนยภาคค่ำซึ่งเขายังไม่กลับมา รุ่นพี่เสื้อผ้าเหี่ยวชื้นด้วยความหนาว ผู้น้อยกำลังจะเอ่ยปากเชิญให้เข้ามาดื่มน้ำชาร้อน ๆ สักถ้วยหนึ่งก่อน แต่รุ่นพี่ไม่รอให้เชื้อเชิญ เดินเข้าห้องมาอย่างคนคุ้นเคย เรานั่งดื่มน้ำชาด้วยกัน รุ่นพี่ถามผู้น้อยว่า เชื่อเรื่องทางโลกวิญญาณไหม?... แล้วเราก็คุยเข้าเรื่องนี้ไป คุยกันนานถึงสองชั่วโมง สุดท้ายรุ่นพี่ลากลับและบอกว่า "คืนพรุ่งนี้จะมาคุยกันต่อ" คืนต่อมารุ่นพี่ถามว่า "คุณรู้ไหม วิญญาณของเราเข้าออกทางไหนของร่างกาย" ผู้น้อยเด่สุ่มไปหลายจุดที่คิดว่า "น่าจะใช่" แต่ก็ไม่ใช่ รุ่นพี่จึงถามว่า "อยากรู้ไหม ถ้าอยากรู้ให้เตรียมตัวกินเจไว้ก่อน และเตรียมเงินสร้างกุศลจำนวนหนึ่ง จะต้องถวายปณิธานความตั้งใจจริงจึงจะรู้ได้..." ผู้น้อยแม้จะระทึกใจใคร่รู้ แต่ก็เบี่ยงบ่ายไปตามวิสัยคนทางโลกบ้าง "ผมยังไม่พร้อม" รุ่นพี่ตอบว่า "ไม่เป็นไร คืนพรุ่งนี้เราค่อยคุยกันใหม่" คืนวันที่สาม ผู้น้อยจะปฏิเสะไม่เสวนาด้วยก็ไม่กล้าจึงคุยกันต่อในเรื่องต่าง ๆ ของอาณาจักรธรรม รุ่นพี่เล่าให้ฟังว่า ใกล้ ๆ หอพักนี้ มีนักศึกษาผู้ใฝ่ธรรมเช่าบ้านอยู่รวมกัน เรียกว่า "ชมรมโภชนาธรรม หั่วซึถวน ................" มีตำหนักพระ มีผู้รู้ที่จะอธิบายเรื่องราวของธรรมะได้ดีกว่า พรุ่งนี้จะพาไปดู คืนวันต่อมา รุ่นพี่มาพาผู้น้อยไปที่ตำหนักพระ "ชมรมโภชนาธรรม" พอดีเป็นเวลาที่ชมรมกำลังร่วมศึกษาปรัชญาของท่านปราชญ์เมิ่งจื่ออยู่พอดี ผู้น้อยนั่งลงร่วมฟัง นักศึกษาในชมรมช่วยกันพิจารณาวิเคราะห์หลักธรรมในคัมภีร์ "เมิ่งจื่อ .........." ผู้น้อยฟังรู้แต่ไม่เข้าใจ สุดท้าย ทุกคนพยายามชักชวนให้ผู้น้อย กราบขอรับวิถีธรรม ผู้น้อยก็พยายามปฏิเสธทุกวิถีทาง ขณะที่บรรยายกาศเริ่มอึดอัดอับเฉานั่นเอง รุ่นพี่ในชมรมคนหนึ่งที่เพิ่งพ้นค่ายทหารออกมา ทนฟังการยึกยักไม่ไหว ตบโต๊ะดังปัง พูดเสียงดังว่า "จะรับธรรมะก็ไม่รับ ไม่รับก็กลับไป ตำหนักพระเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์เพื่อการถ่ายทอดวิถีธรรม ไม่ใช่ที่ดึงรั้งสำแดงโวหาร" ผู้น้อยสะดุ้งตกใจ จึงรีบตอบว่า "จะรับธรรมะ" รับปากว่า "จะรับธรรมะ" แต่ยังมิได้รับทันที กำหนดวันที่จะทำพิธีจะต้องรอไปอาทิตย์หน้าในระหว่างนั้น เพื่อนนักศึกษาคนหนึ่งเป็นพุทธมามกะสายสุขาวดี มักจะมาชวนให้ไปกินเจด้วยกัน เพื่อนจะแนะนำเรื่องเมตตาจิต งดฆ่าสัตว์ ฉะนั้น จึงเท่ากับได้เตรียมตัวกินเจ ไว้ก่อนหนึ่งสัปดาห์ก่อนวันขอรับวิถีธรรม เงินสร้างกุศลในการรับธรรมะ ผู้น้อยเทกระเป๋าห้าร้อยเหรียญอันเป็นงบประมาณค่าใช้จ่ายในหนึ่งสัปดาห์ รับธรรมะเสร็จ ได้หนังสือกลับมาสองเล่ม คือ "สัจจคาถาพระเมตเตยยะ" กับ "ตำนานเซียนกัลยาณี เหอเซียนกู" เล่มแรกพอจะอ่านรู้เรื่อง เล่มที่สองไม่ค่อยเข้าใจ จึงโทรถามรุ่นพี่ว่า "ทำไมต้องมีคำว่า ฮา ฮา ไฮ ไฮ ฮิฮิ ไม่เห็นรู้เรื่องเลย" รุ่นพี่ตอบว่า "เอาอย่างนี้ หาเวลามาค้างที่ตำหนักพระสักสองสามวัน จะได้อธิบายให้ฟัง" วันหนึ่งหลังจากนั้น รุ่นพี่ขับรถมาเยี่ยมพร้อมด้วยญาติธรรมที่ขี่มอเตอร๋ไซค์มาด้วยเจ็ดแปดคน รุ่นพี่บอกว่า คืนนี้ไปค้างที่ตำหนักพระด้วยกันไหม ผุ้น้อยตอบตกลง ทันทีที่รับปาก รุ่นพี่หกเจ็ดคนจัดการช่วยขนของทั้งหมดของผู้น้อยขึ้นรถ ย้ายที่อยูไปตำหนักพระทันที วันรุ่งขึ้นผู้น้อยบอกแก่รุ่นพี่ว่า "อยากกลับไปอยู่หอ ช่วยบรรทุกสัมภาระได้ไหม" รุ่นพี่ตอบว่า "ตอนนี้ที่ตำหนักพระไม่มีใครอยู่ คงจะต้องขนย้ายเอง" ผู้น้อยจำใจยังจะต้องค้างอยู่ต่อไป จึงถามว่า "มีที่ทางเป็นสัดส่วนให้พักอยู่ชั่วคราวไหมล่ะ" รุ่นพี่ตอบว่า "ชั้นล่างไม่มี มีแต่ชั้นบนที่เป็นส่วนของตำหนักพระแต่อยู่บนชั้นนี้จะต้องเคร่งครัดต่อพุทธระเบียบ" ผู้น้อยตอบว่า "ได้ ไม่เป็นไร" เหตุุการณ์ทั้งหมดนี้ บอกได้เลยว่า ถูกหลอกให้ใกล้ชิดตำหนักพระ วันแล้ววันอีก อยู่ไปจนจบการศึกษาสี่ปี สี่ปีที่อยู่กับตำหนักพระทำให้รู้ว่า "บุญสัมพันธ์เป็นอย่างนี้เอง เมื่อถึงวาระบุญนั้น จะหนีก็หนีไม่พ้นได้" จึงยิ่งจะต้องถนอมรักษาบุญวาระไว้ให้ดี
-
แรงปณิธานกับแรงบาปเวร
ตอนที่ 1 : รับธรรมะ
อาจารย์นำพารับรองส่งเสริม
วิถีธรรมที่เบื้องบนปรกโปรดให้ เป็นวิถีธรรมจริง เป็นหลักสัจธรรมจริง ด้วยพระโองการฟ้าจริง ฉะนั้นจึงไม่ว่าจะเข้าสู่อาณาจักรธรรมด้วยบุญปัจจัยหนุนนำอย่างไร ต้นธรรมอ่อนล้วนเจริญงอกงามได้ในที่สุด หลายครั้งที่คิดจะออกหาก คิดว่านี่ไม่ใช่วิถีชีวิต ที่เราเคยวางแผนอนาคตไว้ คนทางบ้านก็ไม่เข้าใจไม่เห็นด้วย เพื่อนฝูงก็ห่างหาย หรือบางครั้งชวนเพื่อนให้มารับวิถีธรรม เขาไม่มา ซ้ำยังถกเถียง หันหน้าหนี เป็นภาวะอึดอัดขัดข้องจริง ๆ แต่ ถึงช่วงนี้ผู้น้อยได้เกิดจิตสำนึกคุณแล้วเพราะสี่ห้าปีที่เดินผ่านมาในอาณาจักรธรรม ตลอดรายทางไม่เคยถูกละเลยจากสายตาสายใจของนักธรรมรุ่นพี่ หนังสือพระคัมภีร์ซื้อหามาให้อ่าน ใส่ใจชีวิตความเป็นอยู่ทุกอย่าง วันหนึ่ง ผู้น้อยคิดว่าในเมื่อจะปฏิบัติบำเพ็ญ ก็จะต้องเอาจริง ไม่ต้องให้ใครคอยควบคุมห่วงใย พอไปถึงมหาวิทยาลัย อาจารย์ยังไม่เข้าสอน ผู้น้อยจึงจับไมโครโฟนประกาศต่อเพื่อนนักศึกษาในห้องว่า "เพื่อน ๆ โปรดรับทราบ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปผมจะกินเจ" เพื่อน ๆ ย้อนตอบว่า "เสียสติละซิ นายทำไม่ได้หรอก อย่างมากไม่เกินสิบวัน " ผู้น้อยกำพร้าแม่มาแต่อายุสามปี เมื่อเข้าสู่อาณาจักรธรรม จิตสำนึกรับรู้ต่อความอบอุ่นที่เหมือนครอบครัว หวังว่าตนเองน่าจะไม่ต้องจากพรากไปจากครอบครัวนี้ จึงตั้งใจกินเจอย่างจริงจังตลอดมาผู้น้อยได้รับการอุ้มชูส่งเสริมให้เจริญธรรม เจริญปณิธานด้วยการให้ร่วมทางไปนำพาคนมารับธรรมะเสมอ จนสุดท้าย เมื่อปัญญาของตนค่อย ๆ เพิ่มพูน กิเลสหม่นหมองของตนลดน้อยลง จนกระทั่งอาวุโสไม่ต้องใส่ใจถามอีกเลยว่า "มีปัญหาอะไรอีกหรือ จะให้ช่วยอะไรบ้าง" วิธีส่งเสริมที่ง่ายที่สุดนี้ คือ การให้ "ปฏิบัติงานธรรม" นั่นเอง
-
แรงปณิธานกับแรงบาปเวร
ตอนที่ 1
ขอพระอาจารย์โปรดช่วย
เริ่มแรกนำพาคนมารับธรรมะ เป้าหมายคือ เพื่อน นักศึกษา เพื่อนสนิท นำพามาได้ง่ายเพราะเชื่อถือกัน แต่ต่อมาชักจะนำพาคนอื่น ๆ ได้ยากขึ้นทุกที พอรู้สึกว่ายาก จึงคิดว่า ตอนที่รับธรรมะ อาจารย์ได้ถวายคำขอซึ่งมีชื่อของเราจารึกไว้ในนั้น ถ้าอย่างนั้นคงจะต้องเขียนชื่อคนที่เราจะไปนำพาลงในกระดาษจุดพุทะประทีปสามองค์ แล้วเผาชื่อคนเหล่านั้นถวายขึ้นไปก่อนจะดีกว่า จะได้นำพาเขามาได้ง่าย ขณะเผา ได้คุกเข่ากราบวอนพระอาจารย์ด้วยว่า ขอให้ศิษย์ได้นำพาคนนั้น ๆ มารับธรรมะได้ด้วยเถิด เริ่มแรกที่นำพาเพื่อนนักศึกษากับเพื่อนสนิทมารับธรรมะนั้น ใจคิดว่า "พวกเขามีบุญสัมพันธ์กับเรา ถ้าไม่นำพาเขามา เท่ากับเราเสียสถานภาพของความเป็นเพื่อน" คิดดังนั้นแล้ว ก็รวบรวมรายชื่อเพื่อนทั้งหมด ท่องให้พระอาจารย์ฟัง เขียนใส่กระดาษแทนใบคำขอ (เปี่ยวเหวิน ) เผาถวายให้พระอาจารย์ทราบด้วย เป็นเรื่องแปลกเมื่อเรามีความตั้งใจอย่างนี้ ก็เกิดพลังอย่างนี้ สำเร็จการนี้ได้ เพื่อนบางคนมีปัญหา ไม่ยอมรับธรรมะ เช่นไม่เชื่อเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์ บางคนถูกขัดขวาง มีอุปสรรคอย่างไร ผู้น้อยก็เขียนอาการของเขาบอกกล่าวพระอาจารย์ไปด้วย เพื่อนคนหนึ่งบอกว่า "เมื่อคืนฝันเห็นนายพูดอะไรมากมายไม่รู้" ผู้น้อยรีบตอบทันทีว่า "สิ่งศักดิ์สิทธิ์เอาผมไปเข้าฝันคุณ ให้มารับธรรมะเสียทีน่ะซิ" สุดท้ายเขาก็ยอมมารับธรรมะโดยดี เพื่อนนักศึกษาหลายคน ขณะเดินทางมาเรียน หรือ จะกลับบ้าน ได้ยินเสียงคนมาบอกว่า "ไปหาฟั่นเซิ่งเจี๋ย " ทั้ง ๆ ที่ไม่มีใครอยู่ตรงนั้น เหตุการณ์เช่นนี้ ทำให้เพื่อนที่ไม่เชื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ต้องเชื่อและตามมารับธรรมะหลายคน ที่จำได้แม่นยำก็คือ ครั้งหนึ่ง เพื่อนนักศึกษาหกคนรับปากว่า จะมารับธรรมะ แต่พอถึงวันนัดหมาย กลับบอกว่าเปลี่ยนใจจะไปเที่ยว ขณะที่หงุดหงิดใจอยู่นั้น อยู่ ๆ เพื่อนหกคนกลับมาปรากฏตัวอยู่ชั้นล่าง จึงลงไปถามว่า "อ้าว ไหนว่าจะไปเที่ยวยังไง ทำไมจึงมาที่นี่ล่ะ" เพื่อน ๆ ตอบว่า ออกจากบ้านตั้งแต่หกโมงเช้า ตั้งใจจะไปเที่ยวให้สนุก แต่มันเกิดไม่สนุก จึงพากันเดินมาเรื่อย ๆ จนเมื่อย นึกว่าจะนั่งพักตรงนี้สักครู่ ไม่รู้ว่าที่แท้ชั้นบนคือตำหนักพระที่นัดหมายกันไว้ เป็นอันว่า ทุกคนได้รับธรรมะ ตามที่ได้นัดหมายกันมาก่อน
-
แรงปณิธานกับแรงบาปเวร
ตอนที่ 1
พระองค์กวนอริยมหาราชทรงโปรด ฯ
หลังจากรับธรรมะ กินเจแล้ว ผู้น้อยไม่กล้ากลับบ้าน เพราะไม่รู้ว่าทางบ้านจะคิดอย่างไร จะตอบโต้อย่างไร กลัวพ่อจะโมโหด้วย วันขึ้นปีใหม่จึงกลับบ้านไปให้เห็นหน้าหน่อยหนึ่งแล้วรีบกลับออกมา หลังจากนั้นทั้งเทอม เหมือนลืมบ้านไปเลย สู้อุตส่า่ห์กินเจสะสมต่อเนี่ยงมาครึ่งปี กลับบ้านถ้าจำใจต้องกินไก่หนึ่งชิ้น แตกเจทันที กุศลที่สะสมหมดเกลี้ยง ต้องเริ่มใหม่มันน่าเสียดาย จึงไม่กล้ากลับบ้าน แต่ปิดเทอมใหญ่หลายวัน ไม่กลับคงไม่ได้ คราวนี้จะทำอย่างไรดี คิดแล้วจึงไปซื้อแอปเปิ้ลห้าผลมาถวายกราบวิงวอนพระอาจารย์ว่า "ศิษย์จะกลับบ้าน อาจถูกทำให้แตกเจได้ ขอพระอาจารย์โปรดช่วยศิษย์ด้วย".......เป็นความคิดไร้เดียงสาจริง ๆ ผู้น้อยขอพระอาจารย์แล้วกราบร้อยกราบ เสร็จแล้วลุกขึ้น แต่พลันนึกขึ้นได้ว่า เมื่องานประชุมธรรม เห็นพระอาจารย์ประทับทิพย์ญาณมา ท่าทางล้อชีวิตอย่างกัยวิปลาส อย่างนี้อาจไม่ได้การ น่าจะสำรองสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่จริงจังกว่าอีกพระองค์หนึ่งไว้เผื่อกันพลาด คิดแล้วก็คารวะคุกเข่าลงอีก แต่ก็ลังเลอยู่ว่า น่าจะเป็นพระองค์ใดหนอที่ไว้ใจได้ พลันก็นึกถึงพระองค์ " กวนเซิ่งตี้จวิน" กวนอริยมหาราชเจ้า จอมเทพวินัยธรพระผู้ทรงฤทธิ์น่าคร้ามเกรง จึงกราบหนึ่งร้อยกราบ ขอพระองค์โปรดช่วย จากนั้นก็เก็บแอปเปิ้ลที่ถวายกลับบ้านด้วยความมั่นใจ เหตุที่ไม่ได้กลับบ้านครึ่งปี จึงใจสั่นผิดปกติ ไม่รู้ว่าพ่อจะด่าว่าไหม หรือจะอย่างไร... แต่ปรากฏว่า เมื่อพบหน้ากัน คำแรกที่พ่อพูดคือ ได้ยินชาว "
อี๋ก้วนเต้า " (อนุตตรธรรม) เขาพูดว่า บัดนี้พระองค์ " กวนเซิ่งตี้จวิน" ดำรงพระอริยะฐานะเป็น " อวี้หวงต้าตี้" (ท้าวสักกะเทวราช) แล้ว ... ผู้น้อยชงักงัน แล้วคิดว่า "พระองค์กวนเซิ่งตี้จวิน มีเครดิตเชื่อถือได้จริง ๆ " ตอนนั้น ผู้น้อย แม้จะนำพาคน ศึกษาปฏิบัติธรรม อยู่แล้ว แต่ยังไม่รู้หลักธรรมดีนัก ยังแบ่งแยกว่าพระองค์ไหนใหญ่เล็กกว่ากัน พอพ่อพูดจบ ผู้น้อยตื่นเต้นดีใจรีบฉวยโอกาสทันทีว่า "ในอาณาจักรธรรมอี๋ก้วนต้า พระองค์เป็นเพียงจอมเทพวินัยธรพระองค์หนึ่งเท่านั้น พ่อจะต้องมากราบพระที่สถานธรรมเราแล้วล่ะ" พ่อฟังแล้วเห็นด้วยตอบว่า "ใช่ ถ้าจะกราบไหว้ก็ต้องกราบไหว้พระองค์ที่ใหญ่กว่า" พ่อจึงไปรับธรรมะ พ่อบุญธรรมก็ไป ทำให้ผู้น้อยสำนึกพระคุณเป็นที่สุด ธรรมะนี้ ใครมีพลังความมุ่งมั่นตั้งใจเท่าใด ทำได้เท่านั้น เกรงแต่จะไม่มีปณิธานจริงใจ ถ้าปณิธานถึง จริง - ใจถึง แรงหนุนจากเบื้องบนจะถึงทันที
-
แรงปณิธานกับแรงบาปเวร
ตอนที่ 1
ชมรมโภชนาธรรมหมื่นกราบ
อยู่กับชมรมโภชนาธรรมเรื่อยมาจนเรียนปีสาม จึงได้ทำหน้าที่รับผิดชอบชมรม ฯ รับผิดชอบตำหนักพระเหมือนถันจู่ ดูแลนำพาธรรมกิจ จนกระทั่งเรียนอยู่ปีสี่ จากชมรม ฯ หกคน กลายเป็นห้าสิบคน นักศึกษาชาวธรรมกินข้าวตำหนักพระร่วมกัน มื้อละห้าโต๊ะเต็ม ใกลเรียนจบแล้ว ชมรมฯ จะต้องมีน้องใหม่มารับหน้าที่ น้องปีหนึ่งปีสองที่ส่งเสริมมาดีถูกเขาชิงตัวไปหมด ที่เหลือคือยังใช้ไม่ได้ แล้วเราจะเอาใครขึ้นมาแทน คืนนั้น ใจคอห่อเหี่ยวขึ้นไปบนตำหนักพระ คุกเข่าลงร้องเรียนต่อเบื้องบนว่า "สถานธรรมนั้น ๆ อาวุโสท่านนั้น คนในชมรมโภชนาธรรมนั้น มาดึงเอาน้อง ๆ ของทางนี้ไป ไม่บอกกล่าว ทำให้เราเสียหายไม่มีใครรับผิดชอบงาน ..." ร้องเรียนโทษโพยเสร็จ ใกล้เที่ยงคืนกว่าจึงออกจากตำหนักพระ ทุกครั้งเมื่อมีเรื่องไม่สบายใจ พอกราบพระ ระบายความในใจที่เบื้องพระแท่นแล้ว จิตสำนึกตนก็จะเกิดกลับรู้สึกละอายใจว่า "ทำไมจะต้องรบกวนพระองค์ด้วยความคิดและคำพูดเหล่านี้ด้วย" เสร็จแล้วก็ต้องคุกเข่าลงไปใหม่ กราบขอขมา ก่อนหน้านี้เคยได้ยินนักธรรมข้างหน้าท่านเล่าปฏิปทาสูงส่งของพระธรรมจาริณีว่า ในครั้งกระนั้นนักธรรมผู้ใหญ่ถูกทางการจับขังไม่ให้แพร่ธรรม ไม่ให้อาจารย์ถ่ายทอดวิถีธรรมได้ต่อไป พระธรรมจาริณี ตั้งมหาปณิธานเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งข้อทันที พร้อมกับกราบหนึ่งหมื่นกราบ..... วันรุ่งขึ้น ก็มีข่าวดีมารายงานว่า ทางการปล่อยตัวทุกคนทั้งหมด เพราะไม่มีหลักฐานจะตั้งข้อหาได้ คิดถึงตรงนี้ ผู้น้อยจึงกราบหนึ่งหมื่นกราบเพื่อขอประทานแสงสว่างคลี่คลายปัญหาอย่างพระธรรมจาริณีบ้าง กราบเสร้จยืนขึ้น จึงสำนึกได้ทันทีอีกว่า "ซือหมู่พระธรรมจาริณีของเรา เฝ้าเพียรกราบครั้งละหนึ่งหมื่น หนึ่งหมื่น คลี่คลายปัญหาให้ผู้น้อยทั้งหลายได้ แต่พระองค์ต้องได้รับความทุกข์เนื่องด้วยข้อเข่าข้อเท้า เกิดมีปัญหาจากการกราบมากมายอย่างนี้" ผู้น้อยเพิ่งอายุจะยี่สิบกว่า หนึ่งหมื่นกราบตั้งแต่ตีหนึ่งถึงหกโมงเช้า กราบเสร็จยืนขึ้นก้าวเท้าไม่ออก หลังแข็งยืดตัวไม่ได้ นำ้ลาย น้ำตาประดังกันไหล ต้องใช้คลานไปล้มฟุบพักฟื้นอยู่ข้าง ๆ พระตำหนัก สักพักพอหายเหนื่อยแล้ว จึงเข้าไปถวายธูปแล้วจึงกลับไปพักที่ชมรมโภชนาธรรม ฉะนั้น จึงรู้ว่าหนึ่งหมื่นกราบนั้น หากไม่มีพลังวิริยะจริง ๆ แล้ว จะไม่อาจกราบได้เลย กลับไปถึงชมรม ฯ พอดีมีเวลาหุงหาอาหาร พอดีมีโทรศัพท์เข้ามา เสียงจากสายสวัสดีแล้วถามว่า "ที่นั่นเป็นสถานธรรมใช่ไหม ผมเป็นนักศึกษาที่จินเหมิน........(คีมอย) ปีนี้สอบเข้าได้ ได้ยินว่ามาพักอยู่ที่นี่ได้" ผู้น้อยรู้สึกตื่นใจ อะไรจะสัมฤทธิ์ผลเร็วถึงเพียงนี้ (ภายหลังต่อมาน้องใหม่จากจินเหมินก็เข้ามาอยู่ในชมรมฯ) พอทานข้าวเสร็จ ก็ได้รับโทรศัพท์อีกสายหนึ่งจากเฉินเจี่ยงซือว่า "คุณฟั่น ผมเพิ่งนำพาคนได้หนึ่งครอบครัวที่ไทเปนี่ ลูกชายของเขาสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ คุณจะส่งเสริมเขาไหมล่ัะ" ผู้น้อยตอบว่า "ขอหมายเลขโทรศัพท์ ผมจะโทรไปคุยกับเขาเดี๋ยวนี้เลย" รุ่นน้องคนนี้ยินดีจะเข้ามาอยู่ในชมรมฯ นี่คือโทรศัพท์สายที่สอง ก่อนแปดนาฬิกา ยังไม่เข้าห้องเรียน ผู้น้อยมีรุ่นน้องคนหนึ่งคือ คุณหลิน โทรศัพท์เข้ามาบอกว่า "วันนี้ ผมพบเห็นนักศึกษาใหม่ที่เพิ่งมาลงทะเบียนคนหนึ่งน่ารักมาก ดูแล้วเหมือน" เซียนถง.....(พระกุมารน้อย)" พี่รีบมาดูเร็ว ๆ " ผู้น้อยกับคุณหลินพากันไปพบน้องใหม่คนนั้น ซึ่งได้นัดหมายกันไว้ สุดท้ายน้องใหม่ตกลงจะรับธรรมะ เข้ารับการอบรมประชุมธรรม เกิดศรัทธาปณิธานเต็มกำลัง บัดนี้ น้องใหม่ทั้งสามล้วนเป็นเจี่ยงซือ ผู้น้อยเชื่อร้อยเปอร์เซ็นต์ว่า ถ้าตอนนั้นไม่ได้เป็นเพราะขาดผู้สืบสานงาน ผู้น้อยก็คงไม่ได้ทุ่มเทใจกราบวอนต่อเบื้องบน ครั้ง เพียงหนึ่งหมื่นกราบเท่านั้น ไม่ทันถึงสองชั่วโมง ก็มีญาติธรรมน้องใหม่จะมาร่วมอยู่ในชมรมฯถึงสามคน ทำให้ตำหนักพระแห่งนี้เกิดมีชีวิตชีวาขึ้นมาอีก ฉะนั้น เราปฏิบัติบำเพ็ญจะต้องเต็มกำลัง งานปรกโปรดเป็นศิษย์ขาดจากเบื้องบน เมื่อเรามีความขัดข้องหมองใจต่องานของเบื้องบน จึงกราบรายงานได้ดต็มที่ วอนขอปัญญา ความกล้า ความสามารถได้
-
แรงปณิธานกับแรงบาปเวร
ตอนที่ 1
แบกปืนปฏิบัติธรรมทำหน้าที่พิธีกร
จบปีสี่จะต้องเป็นทหาร เป็นทหารจะต้องไปปจากอาณาจักรธรรม อาลัยอาวรณ์ ผู้น้อยถวายผลไม้กราบทูลต่อเบื้องบนดีกว่า "พระอาจารย์ได้ดปรด ศิษย์จะต้องไปจากอาณาจักรธรรมแล้ว อย่างน้อยถึงสองปี ศิษย์หวังว่าจะได้ไปประจำกองที่อยู่ใกล้สถานธรรม เพื่อให้ได้ปฏิบัติบำเพ็ญ" ผลปรากฏว่า จากศูนย์ฝึกที่เมืองเจียอี้ ........ ได้โยกย้ายไปเมืองเกาสยง......... สุดท้ายจับฉลากได้ไปอยู่หน่วยฝึกจินเหมิน........(คีมอย) ระหว่างฝึกทหาร ครึ่งปีแรกมีความทุกข์มาก ผู้ฝึกขอร้องให้เลิกกินเจ ถูกอบรมว่ากล่าวอยู่บ่อย ๆ ในหน่วยทหารงานเบาที่สุดคือ หน่วยพลาธิการเสมียน หน่วยเสนาธิการ... ไม่น่าเชื่อ ผู้น้อยได้ทำหน้าที่ในหน่วยพลาธิการ หน้าที่นี้มีเวลาเป็นของตัวเองมากหน่อย จึงมักจะนอนคลุมโปงร้องไห้อยู่บ่อย ๆ ได้คิดว่า "เราตั้งใใจว่าจะได้ปฏิบัติบำเพ็ญธรรมที่นี่ แต่ตอนนี้แม้กินเจก็มีปัญหาเสียแล้ว ไม่รู้ว่าเบื้องบนจะได้ยินไหม ?" ว่าไปก็แปลก ต่อมาเกิดโยกย้ายเปลี่ยนผู้คุมหน่วยใหม่ ผู้บังคับบัญชาคนใหม่เป็นญาติธรรม เรียกให้ผู้น้อยเข้าไปหา ถามว่า "เธอกินเจหรือ" "ครับผม" "เมื่อก่อนฉันก้เคยกินเจ เธิกินเจเพราะเหตุใด" (ผมเป็นผู้ปฏิบัติธรรมอี๋ก้วนเต้าขอรับ" "ฉันก็เป็นญาติธรรมเหมือนกัน ฉันเป็นชาวอำเภอผิงตง..." กินเจไม่มีปัญหา จากนี้ไป เธอจะกินอะไรให้บอกพ่อครัวได้เลย" หัวหน้ายังกล่าวอีกว่า " หมู่นี้ฉันฉุนเฉียวมาก เธอพูดธรรมะได้มั้ยล่ะ" ผู้น้อยตอบว่า "ผมมีคัมภีร์ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร (.......................ลิ่วจู่ถันจิง) ติดตัวอยู่เสมอขอรับ" หัวหน้าบอกว่า "เธอเอามาพูดให้ฉันฟัง" สุดท้าย หน้าที่ประจำหน่วยของผู้น้อยคือ บรรยายพระคัมภีร์ธรรมรัตนบัลลังก์สูตรให้หัวหน้าฟัง จากนั้น ทุกครั้งเมื่อหัวหน้าด่าว่าผู้ใต้บังคับบัญชาเสร็จแล้ว ก็จะเรียกตัวผู้น้อยให้เข้าไปบรรยายพระคัมภีร์ธรรมนัตนบัลลังก์สูตรให้ฟัง ภายใต้สภาพแวดล้อมอย่างนั้น จะปฏิบัติงานธรรมค่อนข้างยาก แต่เบื้องบนก็ยังโปรด เมื่อผู้น้อยรับหน้าที่พลาธิการ จะต้องดูแลสุขภาพกายใจของนักเรียนทหาร ผู้น้อยจึงเรียนถามหัวหน้าว่า "จะพาเพื่อน ๆ ไปรับธรรมะได้ไหม" หัวหน้าตอบว่า " ได้ซิ ต้องใช้เวลานานเท่าไร บอกฉัน" เท่านั้นเอง ทุกอย่างก็ผ่านตลอด แม้แต่จะขอใบลาก็ไม่มีปัญหา ทุกครั้งจะบอกว่า จะพาพี่น้องไปอบรมพลานามัย ที่ทแ้คือพาไปรับธรรมะ รับธรรมะเสร็จ ตอนบ่ายก็ให้เขาพักไปครึ่งวัน เวลาที่เหลือผู้น้อยก็ได้ปฏิบัติงานธรรมต่อไป มีอยู่หลายครั้งที่เหตุการณ์ตึงเครียด ซ้อมรบอยู่บ่อย ๆ ปีนั้นจีนแผ่นดินใหญ่ซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามยิงปืนใหญ่ข้ามทะเลมาถึงฝั่งของเราอีก (จินเหมินคีมอยไต้หวันกับเซี่ยเหมินของจีนแผ่นดินใหญ่ มีป้อมปืนใหญ่ประจันหน้ากันอยู่) ฉะนั้น เมื่อมีการซ้อมรบ ผู้น้อยก็จะนำเพื่อนร่วมหน่วยร่วมชั้น หรือหน่วยกลุ่ม ฉวยโอกาสช่วงว่างสำหรับเราตอนนั้น รีบไปรับธรรมะกัน ผู้น้อยสะพายปืนเป็นพิธีกรเอก-โท พิธีการนอกจากนั้น เตี่ยนฉวยซือต้องจักการเองเป็นเองทำเอง ทำเองทุกขั้นตอน เพื่อน ๆ ที่พาออกมาก็ต้องสะพายปืนคุกเข่าลงขอรับธรรมะ ฉะนั้น เวลาพูดไตรรัตน์ ผู้ฟังที่นั่งอยู่ตรงข้างหน้าเราก็ดูแปลกไป เพราะทุกคนสะพายปืนนั่งฟัง ปฏิบัติการนี้รวดเร็วมาก ตั้งแต่เริ่มพิธีศักดิ์สิทธิ์จนถึงพูดไตรรัตน์จบ ใช้เวลาน้อยมาก บางครั้งมีช่วงปลอดเพียงห้านาทีสิบนาที ทั้ง ๆ ที่สะพายปืนอยู่ ผู้น้อยก็รีบพาเพื่อนทหารไปขอให้เต่ยนฉวยซือถ่ายทอดธรรมะให้ บางครั้ง เราอาจจะปักหลักปฏิบัติธรรมอยู่ ณ ที่แห่งหนึ่ง แต่สภาพการณ์อย่างนั้น ธรรมกิจมักจะไม่เฟื่องฟู ตรงกันข้าม หากมิใช่ปักหลักสบาย ๆ แต่จะต้องต่อสู้ ท้าทาย เหนื่อยยาก ถูกบีบบังคับให้อัดอั้น อดทนอยู่ในกลุ่มชน จึงจะเข้าใกล้กลุ่มชนได้ จึงอาจนำเอาต้นธรรมปลูกฝังลงท่ามกลางจิตใจของเขาทั้งหลายได้อย่างมั่นคง
-
แรงปณิธานกับแรงบาปเวร
ตอนที่ 1
กดกิ่งประตูบ้าน นำพาสาธุชน
ฝึกทหารตามหลักสูตรการศึกษาจบสิ้น ออกจากศูนย์ฝึก ตรงกลับมาที่ "สถานธรรมแม่" ที่ไทเปก่อนอื่นใด ญาติธรรมที่ได้พบเห็นเป็นคนใหม่ ๆ มากมาย จึงต้องเริ่มต้นศึกษากันใหม่ ผู้น้อยจึงัดสินใจว่าจะต้องไปนำพาผู้ร่วมบำเพ็ญชุดใหม่ แต่จะรู้จักนักศึกษารุ่นใหม่ได้ อย่างไร... ดังนั้น ผู้น้อยจึงไปกดกิ่งประตูหอพัก ใช้วิธีสนทนาธรรมตามข้อสอบถาม วันหนึ่ง รุ่นพี่เอาหนังสือที่พูดถึงปฏิปทาของเจ้าตำหนักพระที่ญี่ปุ่น คือ คุณม่อก่วงเลี่ยง ให้ผู้น้อยอ่าน มันทำให้สะเทือนขวัญทีเดียว ได้ความว่า "คนแปลกหน้ายิ่งต้องการความรักจากเรา" ดังนั้น ผู้น้อยจึงเริ่มปฏิบัติการ "กดกิ่งประตูบ้านนำพาสาธุชน" ด้วยข้อสอบถาม หากเรานำพาใครที่ไม่เคยรู้จัก มารับธรรมะที่สถานธรรม อาจเสียหายต่อทางธรรมได้ อีกทั้งผิดพุทธระเบียบเพราะมีบัญญัติว่า ผู้รับธรรมะจะต้องเป็นสุจริตชน แต่เมื่อขณะที่เราจะต้องเดินเข้าหากลุ่มชนจริง ๆ นั้น คนไหนหรือที่ไม่ใช่ผู้มีอวิชชาความหลง หากเขาเคยเป็นผู้ต้องขังมาก่อน ท่านจะนำพาเขาไหม ใช่ยังจำต้องนำพา ไม่ใช่ว่าเขาเคยต้องขังแล้วเราจะไม่นำพา ความประพฤติดีของเขาจะต้องอาศัยเราค่อย ๆ ช่วยเขาปลูกฝัง ไม่ใช่เพราะเขาเป็นคนดีแล้วเราจึงไปนำพา เขาดีอยู่แล้ว ยังต้องการให้เราไปส่งเสริมอีกหรือ เขาเป็นเซียนพุทธะ มีบุญปัจจัยเองอยู่แล้ว เดี๋ยวนี้คนมากมายไปนำพาคน พูดได้ว่า สร้างปัญหาให้อาณาจักรธรรม สร้างปัญหาให้ญาติธรรม สร้างปัญหาให้การศึกษาธรรมของตนเอง คุณสมบัติของตนไม่เพียงพอ ยังพูดอีกว่าเป็นตัวแทนของอาณาจักรธรรมไปนำพาคน อย่างนี้อันตราย ตอนนั้น ผู้น้อยไม่มีความเข้าใจระดับนี้ มีแต่ความคิดที่ว่า "เราควรดำเนินหนทางปฏิบัติธรรมนี้อีก"ดังนั้น จึงใช้ข้อสอบถามเป็นวิธีนำพา ทำการวางแผนงาน แบ่งการเดินสายกับรุ่นน้อง จะต้องเดินสายทุกวันเยี่ยมเยียนคนนั้นคนนี้ กลางคืนกลับมาก็กลั่นกรองคำถามเหล่านั้นอีก คนไหนที่จะไปเยี่ยมครั้งที่สองได้... โดยเฉลี่ย ในจำนวนสิบสามคนที่ผู้น้อยไปเยี่ยมเยียน จะมีหนึ่งคนที่ยินดีให้หมายเลขโทรศัพท์แก่เรา ยินดีให้เรากลับไปเยี่ยมเขาอีกเป็นครั้งที่สอง แต่ในจำนวนผู้ยินดีให้เราไปเยี่ยมครั้งที่สองนี้ ห้าคนจะมีผู้ยินดีรับธรรมะหนึ่งคน แต่เรามีคุณสมบัติอะไรที่จะพูดว่า เขาเป็นคนไม่ดี บุญไม่ถึง เราไม่มีคุณสมบัติที่จะละทิ้งเวไนยฯ แม้แต่คนเดียวต่างหาก หากกล่าวโดยง่ายดายว่าละทิ้งไป เสร็จแล้วธรรมกิจแผ่ขยายไม่ได้ นั่นก็แน่นอนอยู่แล้ว
~ จบตอนที่ ๑ ~
-
แรงปณิธานกับแรงบาปเวร
ตอนที่ 2
ทุ่มเทชีวิตหาเงิน ไม่ร่วมงานธรรม
ในด้านการงานอาชีพ เริ่มแรกผู้น้อยทำอย่างไม่จริงจังนัก แต่ทางบ้านก็ขุ่นข้องใจ หวังว่าลูกจะส่งเงินไปให้ สุดท้าย พ่อยื่นคำขาดว่า " ถ้าลูกไม่กลับมาเยี่ยมบ้าน เราก็จะขึ้นไปหาลูก " ผู้น้อยจึงคิดว่า จะต้องกลับไปก่อน แต่จะต้องกราบบอกพระอาจารย์เสียก่อนว่า "พระอาจารย์ได้โปรดวางใจได้ ศิษย์อยู่ในอาณาจักรธรรมหลายปีอย่างนี้ เชื่อมั่นว่าปณิธานจะไม่มีปัญหา ศิษย์กลับไปอยู่ทางบ้าน จะพยายามร่วมปฏิบัติงานธรรมแน่นอน " เพิ่งกลับไปใหม่ ๆ ผู้น้อยพยายามติดต่อเตี่ยนฉวนซือ ไปงานของสถานธรรม ทุกอย่างเข้าร่วมปฏิบัติเอง โดยไม่ต้องมีใครผลักดัน แต่ปัญหาเกิดขึ้น... เมื่อครั้งอยู่ไทเป ผู้ร่วมงานธรรมคือนักศึกษามหาวิทยาลัย วิธีการทำงานคล่องตัวตามวัย แต่บัดนี้มาอยู่เมืองชนบทจังฮว่า คนที่อายุน้อยที่สุดในสถานธรรมคือแก่กว่าผู้น้อยสองเท่า แน่นอน การทำงานกับการกระทำย่อมต่างกัน แต่ผู้น้อยก็อยากจะเข้าใกล้ ภาวะนี้ ทำให้ผู้น้อยรู้สึกอึดอัดเหมือนถูกบีบคั้น จึงเกิดการสอบตัวเองว่า" เรามาที่นี่เข้ากับใครไม่ได้ คนที่นี่มีอคติต่อเราหรือเปล่าหนอ ?." เริ่มแรกสัปดาห์ละสี่ห้าวันร่วมอยู่ในสถานธรรม ตอนหลังค่อย ๆ ลดน้อยลง เหลือวันพระหนึ่งค่ำสิบห้าค่ำจึงจะกลับมาสถานธรรม ต่อมาก็เหลือแค่มีงานประชุมฝ่าฮุ่ย จึงจะกลับมาปรากฏตัวสักหน่อย ทักทายใคร ๆ แล้วก็กลับไป ช่วงเวลานี้ ผู้น้อยไปทำงานหาเงิน คิดว่าให้พ่อยอมรับในตัวลูกเสียก่อน แต่ผลสุดท้าย จากจิตใจที่เดิมทีที่ยังมีจิตโพธิสัตว์อยู่บ้าง ชั่วพริบตากลับกลายเป็นจิตใจปุถุชนไป ไม่ร่วมงานของอาณาจักรธรรม ห่างหายไปโดยสิ้นเชิง เตี่ยนฉวนซือโทรศัพท์มาก็ไม่รับสาย ประมาณเวลาสามเดือนเท่านั้น ผู้น้อยก็ประสบอุบัติเหตุเรื่องรถ
-
แรงปณิธานกับแรงบาปเวร
ตอนที่ 2
ชั่วพริบตาของความเป็นความตาย
หมินกั๋วปี่ที่แปดสิบเจ็ด วันเกิดเหตุ ปกติผู้น้อยชอบขี่มอเตอร์ไซค์ตามทางเล็ก ๆ ในชนบท เพราะไม่มีไฟจราจรบังคับ ขณะเรียบไปตามทางขอบคูน้ำมีทางลาดต่ำที่ค่อนข้างหักชัน รถลื่นไถลลงมา หักเลี้ยวตามทางทันที... เลี้ยวที่หนึ่ง เลี้ยวที่สอง พ้นโค้งตรงนั้น พลันได้พบว่า " เสร็จแน่ " ประจันกับมอเตอร์ไซค์คันหนึ่ง ชายหนุ่มอายุสิบกว่าขับมาอย่างแรง พอเห็นว่าเขาจะปะทะเข้ามาอย่างจังวูบแรกที่คิดได้คือ " ชน !!" ผู้น้อยถูกชนตกลงไปในคูน้ำข้างทาง หมดสติไป ไม่กี่วินาทีต่อมา กลับรู้สึกตัวตื่นขึ้น ได้พบว่าตัวเองยืนอยู่ตรงที่เกิดเหตุตรงกลางทาง พร้อมกับได้เห็นชายหนุ่มคู่กรณีกำลังรีบหนีไปจากที่นั่น ผู้น้อยคิดว่า " ทำไมเขาจะต้องตื่นเต้นลุกลนอย่างนั้นด้วย " มองดูรอยเบรคที่ถนน อีกทั้งแลเห็นรถมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งในคูน้ำ รถตะแคงทับใครอยู่คนหนึ่ง คน ๆ นั้น ท่อนตัวครึ่งบนแช่อยู่ในน้ำ ผู้น้อยเห็นเขาน่าสงสารมาก อยากจะลงไปช่วย พอลงไปในคู เห็นทะเบียนรถ โอ ! เหมือนของเราเลย มองดูเจ้าของรถ เอ๊ะ ! ผู้น้อยเองหรือนี่ เมื่อเห็นว่าตัวเองนอนอยู่ในน้ำ จึงเข้าใจได้ทันทีว่า " แท้จริง เราจะต้องจากโลกนี้ไปแล้วนั่นเอง " ขณะนั้นผู้น้อยคิดได้ทันทีว่า ยังมีงานอีกมากมายที่ยังไม่ได้ทำ เราจะยังไม่กลับไป ( ไม่ยอมตาย ) ในอาณาจักรธรรมพูดกันว่า " ถ้าพยายมจะให้เรากลับไปในเวลายามสาม ถึงอย่างไรก็ไม่ปล่อยให้ล่วงเวลายามห้า " ขณะนั้นในใจผุ้น้อยคิดว่า " เราจะยังไม่กลับไป อย่างน้อยจะต้องนำพาญาติพี่น้อง เพื่อนพ้องให้ได้รับธรรมะ ได้ส่งเสริมเขาแล้ว เราจึงจะยอมกลับไป " ขณะที่ผู้น้อยคิดอย่างนี้นั้น พลันก็มีพลังจากท่อส่งหนึ่งผลักดัน ครึ่งตัวของผู้น้อยที่แซ่อยู่ในน้ำนั้นยังรู้สึกได้ว่าพลังจิตญาณของตนเองถูกปะจุส่งเข้าไปในจุดที่พระวิสุทธิอาจารย์ได้โปรดจุดเบิกให้ พอเข้าไปได้แล้ว ก็ใช้กำลังดำริคิด พยายามยันตัวยืนขึ้นมา แต่พอลืมตาพลันเห็นแสงสว่างก้กลับหน้ามืดสลบไปอีก สลบครั้งนี้ไม่รู้อีกแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น
-
แรงปณิธานกับแรงบาปเวร
จูงรถยับเยินเดินสองกิโลเมตร
จากจุดเกิดเหตุออกไปทางถนนใหญ่ระยะทางสองกิโลเมตรเป็นบ้านอาของผู้น้อย วันนั้น อากำลังจะออกจากบ้าน ก็แลเห็นชายคนหนึ่งเนื้อตัวมอมแมมเลือดอาบ จนดูไม่ออกว่าเป็นใคร คิดว่าคงจะเป็นเด็กเกเรวิวาทกันเองจนเลือดท่วมตัว เขาขี่มอเตอร์ไซค์ตรงเข้ามาจอดที่หน้าบ้าน อาตกใจรีบแจ้งตำรวจ อาสะใภ้ได้ยินเสียงร้องแอะอะ รีบวิ่งมาดู อาสะใภ้ว่า " นี่มันลูกของ...นี่นา " บ้านของผู้น้อยอยู่เลยจากบ้านอาเข้าไปในซอย อาสะใภ้จึงรีบส่งผู้น้อยไปโรงพยาบาล ขณะนั้น ความรู้สึกของผู้น้อยเหมือนถูกใครแบกพาดไว้บนบ่า แล้วพลันก็มีเสียงบอกว่า "ถึงแล้ว ถึงแล้ว" ผู้น้อยลืมตาดู เห็นอาเดินออกมาจากบ้านเท่านั้นก็สลบไปอีก มอเตอร์ไซค์ของผุ้น้อย เดิมทีตกลงไปอยู่ในคูน้ำ พอส่งตัวไปโรงพยาบาลแล้ว หมอได้พบว่าจุดปะทะอย่างแรงในร่างกายคือ คอด้านหน้า จึงเกรงว่าจะเสียชีวิตก่อนที่จะลงมือช่วยชีวิต จึงแจ้งความบันทึกไว้ ตำรวจพากันมาและตามไปดูหลักฐานที่บ้านอา ตลอดทางมองหารอยน้ำมันรถ และรอยเลือดจนถึงจุดเกิดเหตุ เจ้าหน้าที่ตำรวจสรุปว่า " ผู้บาดเจ็บขี่รถเร็วชนเสาไฟฟ้าเอง ไม่มีอะไร ส่งโรงพยาบาลช่วยเหลือเร่งด่วนแล้ว ไม่มีปัญหาอะไร " คนทางบ้านผู้น้อยแย้งว่า " ถ้าชนเสาไฟฟ้าเอง ทำไมจึงมีรอยเบรคสองรอยในคูน้ำ มีเศษแตกของมอเตอร์ไซค์มากมายเช่นนี้"เจ้าหน้าที่ยอมพิจารณาใหม่ว่า เป็นอุบัติเหตุรถชนกัน จึงต้องติดตามหาคู่กรณี ปัญหาตามมาอีกว่า มอเตอร์ไซค์ขึ้นจากคูน้ำมาได้อย่างไร อีกทั้งบันทุกผู้บาดเจ็บไปถึงบ้านอาได้อย่างไร เป็นพระมหากรุณาธิคุณเบื้องบน พระคุณพระบรรพจารย์โดยแท้ จนบัดนี้ ผู้น้อยเองก็ยังหาคำตอบไม่ได้ว่าเป็นไปได้อย่างไร ระหว่างอยู่โรงพยาบาล พ่อของผู้น้อยคิดว่า มอเตอร์ไซค์ยังใช้ขี่มาบ้านอาได้ แสดงว่ามันยังไม่เสีย เปลี่ยนส่วนประกอบภายนอกใหม่ก็คงใช้ได้เหมือนเดิมแต่ปรากฏว่าสตาร์ทไม่ติด ลองจูงดูขยับไม่ได้ เพราะล้อเบี้ยวขัดอยู่กับบังโคลน เคลื่อนตัวไม่ได้เลย ในเมื่อล้อรถขัดตายอยู่อย่างนี้แล้ว วันนั้นทำไมจึงขี่มาได้อีกสองกิโลเมตร ฉะนั้น ถ้าหากไม่ใช่ " เทียนเอินซือเต๋อ " แล้ว ยังจะมีข้าพเจ้าผู้น้อยอยู่จนถึงทุกวันนี้หรือ เราปฏิบัติบำเพ็ญธรรมกัน ไม่มีขณะใดเลยที่ไม่ได้อยู่ภายใต้พระมหากรุณาธิคุณเบื้องบน บารมีคุณพระบรรพจารย์ ไม่เพียงพระบุญญาธิการปรากฏสำแดงคุณให้เห็นว่าช่วยเรา จึงเรียกว่า พระมหากรุณาธิคุณเบื้องบนบารมีคุณพระบรรพจารย์ แม้ไม่ได้เห็นพระบุญญาธิการปรากฏสำแดงคุณช่วยเรา ก็เรียกว่า พระมหากรุณาธิคุณเบื้องบน บารมีคุณพระบรรพจารย์เช่นกัน เรามาอยู่ในอาณาจักรธรรม ทุ่มเทชีวิตทำงานธรรมะทุกวัน ถึงเที่ยงคืนจึงกลับบ้าน ขณะขับรถกลับบ้าน สัปหงกหลับในเป็นประจำ แต่ไม่เกิดอุบัติเหตุ อย่างนี้ไม่ใช่ " เทียนเอินซือเต๋อ " หรือ ครั้งหนึ่ง ผู้น้อยจากไถจงจะไปจงฮว่า วันนั้นบรรยายธรรมไปสองรอบแล้ว ตอนค่ำจะต้องบรรยายที่จงฮว่าอีกหนึ่งรอบ ปรากฏว่าขับรถทั้ง ๆ ที่หลับไป ไม่รู้สึกตัว มารู้สึกตัวตื่นอีกที เกือบหนึ่งทุ่ม รถได้มาจอดอยู่ข้างทาง ไฟรถก็ยังเปิดอยู่ผู้น้อยเองยังแปลกใจว่า เรามาถึงที่นี่ได้อย่างไร ไม่รู้เลย เรามาอยู่ในอาณาจักรธรรมหลายปีมานี้ ราบรื่นปลอดภัย... ไม่ใช่ " เทียนเอินซือเต๋อ " แล้วจะเป็นอะไรได้ ฉะนั้น จึงไม่ใช่เกิดเหตุแล้วผ่านพ้นได้ จึงจะเรียกว่า " เทียนเอินซือเต๋อ " ภายหลังเมื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประทับทิพย์ญาณ ผู้น้อยจงใจไปกราบทูลถาม พระองค์ตอบเพียงว่า " เจ้า้เอ๋ย ! เป็นหนี้บุญคุณไว้มากมายนัก "
-
แรงปณิธานกับแรงบาปเวร
วิถีนรกในโรงพยาบาล
ภายหลังที่ส่งเข้ารักษาด่วนที่โรงพยาบาล แพทย์กำลังจะให้เลือด เจาะเส้นเลือดที่ข้อมือ ยังไม่ทันเดินเลือดเส้นตรงนั้น มันต่อต้าน ปูดเป็นลูกโป่งขึ้นมาทันที เดินเลือดไม่ได้ อีกทั้งขณะนั้นเล็บดำแล้ว ตัวเย็นเฉียบแข็งทื่อเพราะเลือดในตัวหยุดไหลเวียน พยาบาลถามแพทย์ว่า " ที่ท้ายทอยมีเส้นเลือดใหญ่เส้นหนึ่งปูดออกมา จะฉีดเข้าเส้นเลือดนี้ตรงสู่หัวใจได้ไหม " " ได้จัดการตามนั้น " น่าจะเป็นเวลายี่สิบสามนาฬิกา จึงรู้สึกตัวชัดเจน หลายครั้งแพทย์ช่วยให้พ้นภาวะฉุกเฉิน เพราะผู้น้อยสลบอยู่จึงไม่ให้ยาสลบ ไม่ได้ฉีดยาชา คว้านแผลกันสด ๆ ที่รู้สึกตัวนั้นก็ด้วยความเจ็บปวด เป็นขณะที่ทำแผลไปได้ครึ่งหนึ่ง มองเห็นแพทย์ถือคีมหนีบห้ามเลือดจะหนีบหลอดเลือดพอดี พอแพทย์เห็นผู้น้อยลืมตาโต ก็หยุดมือ บอกว่า " คุณฟั่น หายใจลึก ๆ ซิ " แล้วคีมหนีบห้ามเลือดก็ทำงานต่อไปในคอหอยของผู้น้อย บอกได้ว่า มันเจ็บจนทนไม่ไหว สบลไปอีก เหงื่อกาฬแตกพลั่ก ชักกระตุกแล้วฟื้นใหม่ ความรู้สึกเหมือนกำลังถูกเชือดเนื้อ ถูกตัดหลอดเลือด เกือบเที่ยงคืน จึงจัดการกับแผลใหญ่เสร็จไปหนึ่งขั้นตอน แพทย์บอกกับคนทางบ้านและผู้น้อยว่า " คุณฟั่นเคราะห์ร้ายแตยังโชคดี จุกปะทะข้างหน้าด้านขวา ปากแผลลึกเข้าไปประมาณสิบกว่าเซนต์ ใกล้กระดูกสันหลัง อย่างนี้เท่ากับถูกตัดคอไปแล้ว อาหญิงของผู้น้อยยืนอยู่ช้าง ๆ ไม่กล้าดู เพราะถ้าเปิดหนังตรงคอ ก็จะเห็นกระดูกสันหลังสีขาว เนื้อสีแดง ปากแผลใหญ่พอที่กำปั้นจะซุกลงไปได้ แพทย์บอกว่า "คุณโชคดีที่หลอดลมไม่ขาด แต่หลอดเลือดดำที่คอขาดไป
หากหลอดเลือดแดงขาด ส่งโรงพยาบาลไม่ถึงสามสิบนาที เสียเลือดเกินกว่า 4,000 ซีซี จะช่วยยาก
หากหลอดลมขาด หัวแช่อยู่ในน้ำ หายใจไม่ออก ประมาณสามสิบนาทีก็จะเสียชีวิต ช่วยได้ยาก
หลอดเลือดดำขาด กระแสเลือดจากหลอดเลือดดำส่งมาถึงสมองแล้วไหลออกไป เลือดดำที่ไหลเข้าสมองจะยิ่งน้อยลง นี่เป็นระบบป้องกันตัวอัตโนมัติของร่างกายเอง ก่อนจะถึงโรงพยาบาล คุณเสียเลือดไปแล้ว ประมาณ 4,000 ซีซี หากเกินกว่านี้จะสลบไม่ตื่น โชคดีแท้ ๆ ถ้าไม่ใช่สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองรักษา ก็คือบรรพบุรุษคุ้มครองรักษา " แพทย์ว่าอย่างนี้ ผู้น้อยคิดว่าเป็นเพราะ " เทียนเอินซือเต๋อ " แน่นอน เพราะผู้น้อยเชื่อว่าบรรพบุรุษของเราคงไม่มีความสามารถขนาดนี้เป็นแน่ แพทย์บอกอีกว่า " หมอจะช่วยจัดการเรื่องแผลนี้ให้ แต่จะต้องรอดูผลอีกสามถึงสี่วันแล้วจึงจะผ่าตัดให้ เพราะแผลสกปรกมาก ตกลงไปในคูน้ำ ดินทรายเข้ามาหมด สามถึงสี่วันแล้วจึงจะผ่าตัดได้ ถ้าคุณอยากจะผ่าตัดทันที จะย้ายโรงพยาบาลก็ได้ ดังนั้น คืนนั้นจึงย้ายไปที่โรงพยาบาลซิ่วฉวน ที่เมืองจังฮว่า ก่อนหน้านี้ ผู้น้อยตื่นแล้ว แพทย์เข้ามาถึงจึงทักทายว่า " คุณฟั่น แผลของคุณสวยจัง " ทำไมจึงพูดอย่างนี้ เพราะเขาเป็นศัลยแพทย์ ถ้าบอกว่า แผลน่าเกลียดจังคือลึกแต่ไม่กว้าง แผลกว้างจัดการง่ายกว่า จึงว่าสวย แพทย์บอกอีกว่า " คืนน้ดึกแล้ว พักผ่อนให้ดี พรุ่งนี้จึงจัดการให้ คืนนี้ตรวจดูก่อน ตรวจดูก็คือ เอ็กซเรย์ตรวจสมอง ตรวจเลือด... ขณะเอ็กซเรย์ พยาบาลช่วยกันประคองมือ เท้าทุกส่วนไว้ แต่ลืมประคองส่วนหัว ฉะนั้น พอจับนั่งหัวก็หักพับ ห้อยไปข้างหลังเหมือนคนหัวขาด พยาบาลตกใจ รีบประคองหัวขึ้นมา จึงหายใจได้ คืนนั้น ทำการตรวจสภาพร่างกาย ผู้น้อยไม่ได้หลับเลยทั้งคืน กลัวแทบตาย วันรุ่งขึ้น จะทำการผ่าตัดแต่เช้า แพทย์ฝึกหัดสวมกางเกงยีนส์คนหนึ่งเข้ามาหาบอกว่า " คุณฟั่น แพทย์เจ้าของไข้ของคุณเป็นแพทย์รับเชิญประจำโรงพยาบาลซิ่วฉวนนี้ มาจากโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยแพทย์ศาสตร์ที่ไทเป ทางโรงพยาบาลของเรา ถ้าเป็นแพทย์รับเชิญจะหยุดวันเสาร์ - อาทิตย์ วันนี้พอดีเป็นวันเสาร์ แพทย์เจ้าของไข้ของคุณพัก การผ่าตัดจะต้องให้แพทย์เจ้าของไข้เซ็นอนุญาตวันนี้เราจึงจะผ่าตัดให้คุณไม่ได้ ท่านสั่งไว้ว่าให้ทำความสะอาดบาดแผล ซึ่งเราจะช่วยทำให้ " ขณะที่แพทย์เปิดปากแผล มันเจ็บมากจนสะดุ้งสุดตัว ทะลึ่งตัวขึ้นนั่งโดยอัตโนมัติ แต่ไม่มีกำลังประคองตัวได้ จึงหงายหลังล้มลงไปอีก คราวนี้ เลือดทะลักไหลท่วมตัว แพทย์ฝึกหัดเริ่มกดกริ่งฉุกเฉิน แพทย์พยาบาลกรูกันเข้ามาห้าถึงหกคน รีบใช้เครื่องช่วยหายใจ ให้เลือดอีกทันที ผู้น้อยเจ็บปวดทุกข์ทรมานมาก เมื่อเครื่องช่วยหัวใจทำงาน ปอดก้เริ่มรับออกซิเจนฉุกเฉิน ... แพทย์ฝึกหัดคนนั้นตกใจจนทำอะไรไม่ถูก เขาเพียงแต่เปิดผ้าเปิดแผลเท่านั้น ทำไมจึงหัวขาด (คงไม่ได้อ่านประวัติผู้ป่วยมาก่อน ) เห็นนอนอยู่บนเตียงดี ๆ ไม่รู้ว่าเปิดผ้าปิดแผลจะรุนแรงถึงเพียงนี้ เขาหน้าตื่นยืนงง ช่วยคนอื่น ๆ รีบช่วยเหตุฉุกเฉินเฉพาะหน้ากันชุลมุน แท้จริงแล้วผู้น้อยเองยิ่งทรมาน เพราะทั้งเครื่องช่วยหายใจ เครื่องให้เลือด แรงอัดของมันทำให้กล้ามเนื้อกระตุกได้ แต่มโนวิญญาณยังชัดเจน รู้ว่าแพทย์เข้าใจปัญหาผิดสักครู่ เมื่อเห็นว่าการเต้นของหัวใจเริ่มปกติ จึงได้ถอดสายออก แล้วแพทย์ก็เริ่มทำแผล ผู้น้อยได้เห็นว่า การทำแผลครั้งนั้น ทั้งน้ำที่ชำระกับเลือดปนกันออกมา มันมีจำนวนมากถึงสองถังใหญ่ (อย่างน้อย 8,000 ซีซี) เท่ากับเปลี่ยนเลือดเก่าทั้งตัวไปจนหมดอย่างน้อย 4.000 ซีซี ทำแผลเสร็จแล้วแพทย์ผู้นั้นบอกว่า " หมอแกรงว่ปากแผลจะติดกัน (จะต้องผ่าตัดในโพลงอีก) จึงต้องเอาสำลีถ่างปากแผลไว้ ผู้น้อยเห็นแพทย์ใช้สำลีมากมายอัดดลงไปในคอของผู้น้อยกว่าจะประจุให้เต็มปากแผล แพทย์ปิดปากแผล เสร็จก็กลับออกไป แพทย์ไปแล้ว ผู้น้อยตัวแข็งทื่อไปหมด พยาบาลเข้ามาเปลี่ยนเสื้อผ้าผ้าปูที่นอนให้ใหม่ ซึ่งบนเตียงเหนียวโชกไปด้วยเลือด
-
แรงปณิธานกับแรงบาปเวร
ตอนที่ 2
วิถีแห่งเปรตในโรงพยาบาล
ผู้น้อยคิดอยู่ว่า "ทำไมจึงไม่ให้ยาสลบ" มารู้ว่า เพราะแพทยืเจ้าของไข้ไม่ได้เซ็นชื่ออนุญาต ให้ยาสลบไม่ได้ แพทยืเจ้าของไข้ก็อยู่ระหว่างพักสุดสัปดาห์ เป็นเหตุให้ผู้น้อยต้องรับทุกข์ทรมานเป็น ๆ อย่างนี้ต่อไป แพทย์ฝึกหัดกลับออกไปแล้วสักพัก ประมาณแปดเก้าโมงเช้า พยาบาลเข้ามาบอกว่า "คุณฟั่นกินยานะ"ว่าแล้วก้เอายาเม็ดปฏิชีวนะเยอะแยะให้ผู้น้อยกินจะได้ไม่ติดเชื้อ ผู้น้อยคิดว่าถ้ากลืนได้ก็จะกลืน คิดไม่ถึงว่า พอยาเม็ดลงไปแค่ต้น ๆ หลอดอาหารเท่านั้น ก็ระคายคอต้องขย้อนอาเจียรออกมา พยาบาลเห็นอย่างนี้จึงบอกว่า "ฉันลืมไป คุณบาดเจ็บในคอ" พยาบาลเพิ่งเปลี่ยนเข้าเวรเช้า ไม่รู้ว่าผู้น้อยบาดเจ็บสาหัสภายในลำคอ (ไม่ทันได้อ่านประวัติผู้ป่วยอีกเหมือนกัน) เหตุการณ์อย่างนี้ เราจะต้องเชื่อเลยว่า คนเรามีภาวะของดวงชะตา พอดวงตก ทุกอย่างที่ไม่ดีมันจะประดังกันเข้ามา แม้แต่พยาบาลก็ต้องผสมโรงซ้ำเติมกับเขาด้วย ภายหลัง พยาบาลได้เอายาเม็ดไปช่วยบดให้เป็นผงคิดว่าละลายน้ำกลืนคงได้ แต่พอกลืนลงกระเพาะเท่านั้นก้ไอออกมาอีก หลอดอาหารได้รับบาดเจ็บ อะไรผ่านคอก็จะระคายและไอต่อต้าน พยาบาลชักไม่พอใจ คิดว่าไอ้หนุ่มคนนี้เรื่องมาก ไม่ยอมกินยา ผู้น้อยไม่ใช่จะไม่กิน แต่มันกินไม่ลงจริง ๆ พยาบาลจึงว่า เอาละ ถ้าอย่างนั้นจะชุบสำลีซับไว้ที่ปาก ให้มันซึมซาบลงไป ยาปฏิชีวนะซึมซาบทางผิวหนังได้ จึงต้องใช้วิธีนี้ วันเสาร์ - อาทิตย์ ใช้วธีซึมซาบจนปากบวมเป่ง ร้อนในมาก ปากแตก ก็ยังทำต่อไปจนปากเปื่อย นี่คือการเปลี่ยนยาครั้งแรก ประมาณเที่ยง แพทย์ฝึกหัดมาอีก ครั้งแรกที่ทำแผล ได้อัดสำลีเข้าไปมาก ครั้งนี้คงจะมาเอาสำลีออก แพทย์ฝึกหัดเปิดผ้าปิดแผล ผู้น้อยแกร็งมือจับลูกกรงเตียงไว้แน่นจนมือสั่น พอเปิดผ้าปิดแผลแล้ว เขาก้เริ่มค่อย ๆ คีบเอาก้อนสำลีออกมา สำลีก้อนบน ๆ คีบออกมาแล้ว ก้อนล่าง ๆ ล้วนซุ่มเลือด คนคีบก็ไม่รู้คีบมาหมดแล้วหรือยัง (ต้องนับจำนวนตอนอัดใส่และนับจำนวนเมื่อคีบออก ผีซ้ำด้ามปลอยลืมนับเสียอีก) เขาลองคีบลึกลงไปอีก พร้อมกับมองดูสีหน้าอาการของผู้น้อย ถ้าหากมีอาการเจ็บ แสดงว่าคีมคีบถูกเส้นประสาท ถ้าไม่เจ็บก็ถอนคีมออก เหล่านี้ ล้วนเป็นปัณหาเป็นไปตามเหตุการณ์ของเคราะห์กรรม ขณะคีบ ข้างในรู้สึกเย็น ๆ เหมือนกินไอติม (คีบโลหะกระทบเส้นประสาท) พอดึงคีบออกมาก็เจ็บ เพราะดึงถูกเส้นประสาทเข้า เนื้อทั้งชิ้นถูกคีบออกมาล้างแล้วใส่เข้าไปใหม่ บางทีคีบเอาเส้นเลือดเข้า ถ้าคีบเส้นเลือดก้ไม่เจ็บ ตอนนี้ ผู้น้อยจึงได้รู้จักความหมายของคำว่า "ชักเอ็นถลกหนัง โซวจินปอผี" มันเป็นอย่างไร เมื่อก่อนเรากินเลือดเนื้อเขา ไม่รู้สึกอะไร แต่พอถูกเขาคีบเอาอย่างนี้จึงสำนึกเสียใจ ที่แล้วมาทำไมเราจึงใจดำอำมหิตอย่างนี้หนอ เลือดยังไหลปรี่ เหมือนที่เราเคยฆ่าไก่ ก็เป็นอย่างเดียวกันนี้ไม่ใช่หรือ ทำไมเมื่อก่อนเราจึงไม่รู้สึกเจ็บ เพราะไม่มีจิตเยื้อใยสายสัมพันธ์เดียวกัน จนกว่ตนเองจะต้องนอนอยู่บนเตียงผู้ป่วยจึงจะได้รู้ ในโรงพยาบาลเราจะมองดูได้ เพราะอุปกรณ์การแพทย์พัฒนายิ่งขึ้น อันที่จริงจะตายได้โดยเร็วอยู่แล้ว แต่ตอนนี้ชะลอการตายได้ ให้ต้องยึดการรับทุกข์ทรมานอยู่กับโรงพยาบาล แม้คุณจะมีวาสนามหาศาล แต่แรงกรรมก็มหาศาลเช่นกัน คนแต่ก่อนเป็นมะเร็ง จบสิ้นปณิธานทิ้งกายสังขารใช้กรรมไป แต่ปัจจุบัน จบสิ้นปณิธานได้ไหม ไม่ได้ การแพทย์ที่โรงพยาบาลก้าวหน้าขึ้นทุกที เคมีบำบัดลากสังขารยึดเวลาพร้อมกับรับทุกข์ทรมานต่อไป จะดูนรก ไปดูได้เลยที่โรงพยาบาล ผ่าท้องควักหัวใจ มีหมดทุกอย่าง ไม่ใช่นรกแล้วจะเป็นอะไร ในนรก (โรงพยบาล) ก็มีพระโพธิสัตว์เหมือนกัน ก็แพทยืและญาติ ๆ ของเราไงล่ะ ตั้งแต่วันเสาร์จนถึงวันจันทร์ คิดว่าจะได้ผ่าตัดแล้ว แต่ยังคงเป็นแพทย์ฝึกหัดมาเยี่ยมไข้ เขาขอโทษแล้วขอโทษอีก "แพทยืเจ้าของไข้จะต้องเดินทางมาจากไทเป วันนี้ วันที่ 28 กันยายน เป็นวันครู ท่านเป็นอาจารย์แพทย์ของมหาวิทยาลัยแพทย์ศาสตร์ไทเป ฉะนั้น จึงเป็นวันหยุดของท่านอีกหนึ่งวัน เราจึงได้แต่ชำระแผลให้ไปก่อน" จนถึงวันที่สาม ขวัญกำลังใจของผู้น้อยมันแย่ถึงขีดสุดแล้ว จนถึงกับว้าวุ่นคิดเลอะเทอะไปบางครั้ง ที่โรงพยาบาลมีรถเข็นเครื่องมือ เช่น กรรไกร คีม ขวดยา ชำระแผลต่าง ๆ เวลาเข็นแล่นไปได้เร็วมาก มีเสียงโลหะกระทบกัน พอผู้น้อยได้ยินเสียงนี้ ก็จะต้องคิดว่า "มาอีกแล้ว จะต้องเจ็บตัวอีกแล้ว" บางครั้งกลัวล่วงหน้าจนหมดสติไปก่อน ฉะนั้น จึงบอกวา ความเจ็บไม่น่ากลัว ที่น่ากลัวคือความรู้สึกว่า "มันน่ากลัว" ปัญหามันไม่ได้อยู่ที่ "เจ็บ" แต่มันอยู่ที่ "กลัว" เพราะความ "กลัว" ทำให้หวาดหวั่นพรั่นพรึง ฉะนั้น รู้ไหมว่าแรงกรรมอะไรน่ากลัวที่สุด แรงกรรมที่ทำให้เคว้งคว้างไงล่ะ ขณะวิกฤตไม่มีอะไรช่วยได้ ขณะเคว้งคว้าง ต้องการสิ่งนั้น ไม่พานพบได้ นี่ก็คือแรงกรรม
-
แรงปณิธานกับแรงบาปเวร
ตอนที่ 2
ความแยบยลจากการกำหนดจิต ณ ญาณทวาร
ตอนนั้น ผู้น้อยเหมือนคนประสาทเสีย เห็นแพทย์เดินผ่านก็ต้องร้องโอยเสียงดัง เห็นพยาบาลเดินผ่านก็ตกใจเป็นลม หวาดผวาจนสุดขีด จนกระทั่งถึงเที่ยงวันนั้น ท้องเกิดหิว อยากกิน แต่ก็กินไม่ได้ ขณะนั้น จึงทำให้ฉุกคิดได้ว่า "ฉันกินเจ" นึกถึงกินเจแล้วนึกต่อไปได้ว่า "กินเจเพราะอะไร" นึกได้ว่า "เพราะเป็นผู้บำเพ็ญธรรม" ไม่เพียงนึกได้ว่าตนเป็นผู้บำเพ็ญธรรม ยังนึกได้ว่าตนเป็นผู้บำเพ็ญธรรมที่ได้รับวิถีธรรมแล้ว คิดต่อไปอีกว่า ในเมื่อได้รับวิถีธรรมแล้วเราทำตัวอย่างนี้ ใช่หรือไม่ว่าเหลวเป๋ว ไม่มีพลังของธรรมะในใจเลย ถ้าหากแพทย์รู้ว่า เราเป็นศิษย์ผู้ศรัทธาต่ออี๋ก้วนเต้า มันจะทำให้ชื่อเสียงของอาณาจักรธรรมเสียหายไหม เขาจะว่าเอาได้ว่า "ดูซิ เป็นศิษย์ของอี๋ก้วนเต้า แต่ก็ยังร้องโอดโอยอย่างนี้เลย" คิดดังนี้แล้ว เกิดสงสัยว่าตนเองเป็นผู้ทำลายชื่อเสียงเกียรติคุณของอาณาจักรธรรมใช่ไหม จึงเริ่มตื่นตระหนกใจ คิดต่อไปอีกว่า "ในเมื่อเราเป็นผู้บำเพ็ญธรรม ผู้บำเพ็ญควรยิ่งจะต้องยิ่งบำเพ็ญยิ่งอยู่เย็นเป็นสุข ยิ่งมั่นคง แต่ไฉนเราจึงได้รับความทุกข์ทรมานอย่างนี้" ความทุกข์ทรมานนี้ หนักหนาสาหัสมาก อยากมีชีวิตอยู่ แต่ไม่รู้จะอยู่ได้อย่างไรอยากตายก็ตายไม่ได้อีก ทั้งความทุกทั้งหมดล้วนเกิดจากน้ำมือของผู้อื่นทำแก่เรา ทรมานเรา ไม่ใช่เราทรมานตนเอง ต้องรับไว้เอง แต่ผู้น้อยไม่รู้เลยว่า ตนเองได้ทำผิดอะไรไว้ จึงต้องได้รับทุกข์เวทนาสาหัสสากรรจ์อย่างนี้ คิดดังนี้แล้ว ก็อธิษฐานเงียบ ๆ อยู่ในใจว่า "ถ้าแม้นข้าพเจ้าเป็นหนี้พวกท่านไว้ หลายปีที่ร่วมงานในอาณาจักรธรรม หากมีกุศลผลบุญใด ขออุทิศให้พวกท่านทั้งหมด ขอพวกท่านจงปล่อยข้าพเจ้าไปสักคนหนึ่งเถิด" จากนั้น ก็คิดได้อีกเรื่องหนึ่งว่า "เราไม่ใช่เป็นเพียงศิษย์ธรรมกาลยุคขาว เรายังได้รับไตรรัตน์ เป็นสิ่งวิเศษสุดสำหรับศิษย์ธรรมกาลยุคขาวอีกด้วย" คิดอีกว่า "เดี๋ยวเราจะใช้ไตรรัตน์" สุดท้าย ตอนเที่ยงแพทย์ฝึกหัดมาอีก ผู้น้อยคิดจะใช้ไตรรัตน์อยู่ตลอดเวลา แต่เป็นเพราะถูกมัดมือไว้ ไม่อาจอุ้มลัญจกรได้ จึงได้แต่คิดว่า กำหนดจิต ณ จุดญาณทวาร หมอรู้ว่าผู้น้อยหวาดกลัวมาก เพราะทุกครั้งเมื่อหมอเดินมา ผู้น้อยจะร้องเสียงหลง ฉะนั้น จึงยืนคอยอยู่ข้าง ๆ คอยจนอารมณ์ของผู้น้อยค่อยผ่อนคลายแล้ว จึงค่อยเดินเข้ามาหา มิฉะนั้น พอตกใจเกร็งตัว เลือดก็จะไหล สักครู่ เมื่อเห็นว่าผู้น้อยไม่ขยับ จึงเริ่มลงมือ ผู้น้อยมองแววตาของหมอ พอจะรู้ความนัยว่า "ยังไม่รีบเตรียมใจ หมอจะลงมือแล้วนะ" เขาเริ่มลงมือใช้คีมล้วงลงไป ผู้น้อยก็กำหนดจิต ณ จุดญาณทวาร ท่านทั้งหลายลองทายดูซิว่า ขณะที่เขาลงมือคีบนั้น ผู้น้อยกำหนดจิต ณ จุดญาณทวารแล้วยังจะรู้สึกเจ็บไหม ใครที่บอกว่าไม่เจ็บ อีกประเดี๋ยวจบการบรรยายแล้ว ให้เขากำหนดดูบ้างทุกคนช่วยกันตีดูซิว่าจะเจ็บไหม ไตรรัตน์ของเรา แท้จริงแล้วไม่ใช่คุณสมบัติที่จะทำให้ใครไม่เจ็บได้ ไตรรัตน์โดยแท้เพื่อยืนยันสิ่งที่มีจริง คือจิตญาณ ที่อาจพ้นเกิดตาย คืนต้นกำเนิดเดิมได้ ไม่ใช่ใช้เพื่อไม่ให้เจ็บ ไม่ใช่ให้ไม่มีความรู้สึก แต่เพื่อทำให้เรารู้ว่า อะไรเรียกว่า "เจ้าบ้าน" ชีวิตจิตญาณตน ขรณะนั้น พอผู้น้อยใช้ไตรรัตน์ หมอลงมือคีบสำลีที่อัดอยู่ภายในช่องแผลออก ความรู้สึกยังคงเจ็บ แต่ไม่เจ็บเหมือนก่อน ครั้งก่อน ๆ พอเจ็บก็ออกแรงเกร็ง พอออกแรงเกร็ง ประสาทก็รัดตัว รัดมากเกินขนาดก็เกิดการชักกระตุก ชักกระตุกแล้วก้หมดสติไป ไม่รู้อีกเลยว่าเกิดอะไรขึ้น ทั้งเจ็บทั้งมึนงง พอได้สติตื่นขึ้นก็ออกแรงเกร็งอีก แต่ครั้งนี้ กำหนดจิต ณ จุดญาณทวาร รู้ว่ากำลังเจ็บ แต่ก็ผ่อนคลายยอมรับความเป็นจริงที่เกิดขึ้น ไม่ต่อต้าน ยอมรับการเปลี่ยนยาที่ประจุลงไปใหม่ได้ ฉะนั้น จึงบอกได้ว่า ความเจ็บนั้นเป็นอย่างเดียวกัน แต่ความรู้สึกต่างกัน เหมือนตัวเองยืนดูภาพจากโปรเจ็คเตอร์ อยู่ข้าง ๆ (พูดถึงผู้ฟังบรรยาย) นี่กำลังพูดถึงผู้น้อยเองที่ถูกจัดการ ไม่ใช่ท่านทั้งหลายถูกจัดการ แต่หน้าตาที่แสดงออกของทุกท่าน (ที่ฟังอยู่) กลายเป็นน่ากลัวมาก เพราะอะไร เพราะเหมือนอยู่ในเหตุการณ์จริงนั้น ฉะนั้น ความรู้สึกของผู้น้อย แม้ว่าตนเองจะถูกลงมือ แต่กลับเหมือนยืนอยู่ข้าง ๆ ดูตนเองถูกลงมือ ภาวะทั้งสองต่างกันมาก ครั้งก่อน ๆ พอทำแผลเสร็จผลอยางหนึ่งที่เห็นคือ ทั้งเลือดทั้งน้ำที่ชำระแผลจะต้องมีจำนวนถึงสองหรือหนึ่งถังใหญ่ แต่ครั้งนี้กำหนดจิต ฯ เลือดที่ไหลในภายหลังไม่ถึงหนึ่งถ้วย ต่างกันมากทีเดียว หมอถามว่า "ไม่เจ็บเลยหรือ" ผู้น้อยตอบว่าเจ็บแน่นอนอยู่แล้ว แต่ครั้งนี้ผมไม่ได้ "ทนรับ" แต่ผม "ยอมรับ" ถ้าบอกว่าไม่เจ็บ มันเป็นไปไม่ได้ เจ็บแน่ นอกจากจะใช้ยาสลบ ฉะนั้น เราจะต้องจดจำไว้ให้ดี ไตรรัตน์ไม่ใช่ให้เราไม่เจ็บ แต่เป็นสิ่งประจักษ์ชัดจิตญาณตน รู้ "เจ้าบ้าน" เจ้าตัวจริง คุณประโยชน์นี้ยิ่งใหญ่กว่าการช่วยให้ไม่เจ็บอีกมหาศาลนัก วันอังคาร หมอมาแต่เช้า พ่อของผู้น้อยด่าว่าหมอ ด่าว่าอย่างฟังไม่ได้เลย หมอก็ตกใจ ได้แต่บอกว่่า "เอาละ เดี๋ยวจะจัดการให้คุณเป็นรายแรกเลย" ดังนั้น ผู้น้อยจึงเป็นผู้ป่วยผ่าตัดรายแรกของวันนั้น มีการตรวจสอบของเส้นสายการทำงานต่าง ๆ ผู้น้อยได้รับคำถามว่า "ได้ยินเสียงต๊อก ๆ ไหม มือชาไหม" ตอนนั้น เพราะไม่รู้ว่าเขาจะทำอะไรกับเรา จึงกลัว เพราะเป็นคนแรก จึงต้องถูกทดสอบเครื่องไม้เครื่องมือ ในแผ่นป้ายผู้ป่วยเขียนว่า "ผ่าตัดเวลา 8.30 น." ฉะนั้น ครึ่งชั่วโมงก่อนผ่าตัดนี้ ผู้น้อยจึงตื่นเต้นหวาดกลัว พอถึงเวลาจะลงมือผ่าตัด พอได้ยินคำถามว่า "คุณฟั่น ได้ยินไหม" เท่านั้น แล้วก็สลบไป จนกระทั้งมีเสียงดังก้องหู จึงตื่นขึ้นมาทันที พยาบาลพูดว่า " คุณฟั่น ตื่นแล้วนะ ยินดีด้วย ผ่าตัดได้รับความสำเร็จ" ใจของผู้น้อยคิดว่า "เบาสบายกว่าที่ล้วงทำแผลเปลี่ยนยาเสียอีก" แต่พยาบาลบอกว่า "คุณอย่าเห็นเป็นเรื่องเล็ก ๆ นะ ตอนนี้บ่ายสี่โมงแล้ว" นั่นคือใช้เวลาผ่าตัดไปห้าชั่วโมง ตั้งแต่ 8.30 น. จนถึง 13.30 น. คงจะเพิ่งถูกเข็นรถออกจากห้องพักฟื้นเมื่อประมาณบ่ายสี่โมงนี้เอง พยาบาลบอกว่า "คอของคุณถูกชนจนเละ จึงต้องเปิดหนังทั้งหมด ต้องตัดเส้นเลือดที่หัวใจด้านนี้ ดูดไขมัน ตัดเนื้อกลางหลังมาปะที่หน้าคอ" อย่างนี้ หน้าคอของผู้น้อยจึงถูกเย็บไปสองร้อยห้าสิบสองเข็ม นับเป็นการผ่าตัดใหญ่ที่ได้รับความสำเร็จ พยาบาลจึงพูดแสดงความยินดีไม่หยุดปาก ผู้น้อยถูกส่งตัวเข้าไปในห้องผู้ป่วย นอนอยู่บนเตียง นึกถึงเรื่องหนึ่งที่เราจะต้องทำ ที่เคยทำกันมา เมื่อเราภาวนาขอต่อเบื้องบนแล้ว สำเร็จตามนั้น จะต้องกราบขอบพระคุณ "เซี่ยเอิน" ใจของผู้น้อยจึงกังวลกับการขอบพระคุณ พอดีเพดานเหนือเตียงที่ผู้น้อยนอนอยู่ มีโคมไฟครอบลักษณะกลม ผู้น้อยจึงสมมุติให้เป็นพุทธะประทีปของ "เหลาหมู่" สมมุติว่า ขณะนี้ ผู้น้อยกำลังอยู่ในตำหนักพระ ผู้น้อยตั้งจิตสำนึกขอบพระคุณ "เซี่ยเซี่ยหมิงหมิงซั่งตี้อี้ไป่โค่วโสว" พระแม่องค์ธรรมหนึ่งร้อยกราบ แต่ยังนับได้ไม่ครบร้อยก็หลับไปเสียก่อน เมื่อเจ้ากรรมนายเวรมาถึงตัว จะนอนไม่หลับ จะต้องรอจนกว่าถูกเขาสอบกรำจนหนำใจแ้ล้ว ถูกเขารังควานจนพอใจแล้ว จึงจะหลับสบายได้ เมื่ออยู่ที่โรงพยาบาลหลายวันนั้น นอนไม่หลับเลยรู้ตัวทุกอย่าง พยายามจะย้อนคิดว่า เมื่อก่อนเราเคยทำความชั่วร้ายอะไรบ้างหรือเปล่า คิดจนหลับไปวูบหนึ่งแต่ก็ต้องตกใจตื่นอีก เวลาที่เจ้ากรรมนายเวรมาถึงตัวนั้น มันหนักหนาจริง ๆ
-
แรงปณิธานกับแรงบาปเวร
ตอนที่ 3
ติดตามพระองค์จอมชันษาเจ้าทักษิณาลัยท่องสวรรค์
ขณะหลับอยู่นั้น ไม่รู้เวลาผ่านไปนานเท่าไร มีใครมาตบข้างเตียงนอน ร้องว่า "ลุกขึ้น ลุกขึ้น" จึงลืมตาขึ้นเห็นใครคนหนึ่งยืนอยู่ปลายเตียง เรียกให้เข้าไปหา ผู้น้อยมองดู ต้องไม่ใช่คนแน่ ๆ เพราะใบหน้ามีแสงเรื่อเรือง ผู้น้อยรู้ว่าไม่ใช่คน แต่ไม่รู้ว่าเป็นใคร ท่านพูดว่า "จะพาเจ้าไปที่แห่งหนึ่ง จะไปไหม" ผู้น้อยตอบว่า "ดีครับ ๆ " ความรู้สึกบอกตัวเองว่าท่านคืือ พระองค์จอมชันษาเจ้า หนันจี๋เหล่าเซียน - อง พระองค์โปรดว่า "จะไปก็กอดไม้เท้าข้าไว้ให้ดี จะไปละ" แม้ผู้น้อยจะลอยออกมาจากห้องผู้ป่วยแล้ว แต่ก็ยังเห็นสภาพในห้องได้ มันเป็นความรู้สึกที่อธิบายได้ยาก เนื่องจากการเหินฟ้าของผู้น้อยเป็นไปอย่างไม่ค่อยสบายตัว ในใจจึงคิดว่า "พระองค์ได้โปรด กระผมไม่ไปแล้ว" ปรากฏว่าท่านรู้ จึงกรอกพลังอุ่นเข้ามาให้ เนื้อตัวจึงเกิดความสมดุลคงที่ ระหว่างทางเหินฟ้า มาหยุด ณ ที่กว้างแห่งหนึ่ง พระองค์จอมชันษาเจ้า ฯ จูงมือผู้น้อยเดินไป ผ่านขั้นบันได ผ่านเข้าประตูบานหนึ่ง ปรากฏหนังสือสามตัวข้างหน้า คือ "ทักษิณาทวาร หนันเทียนเหมิน" สองข้างประตูมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ฉลองพระองค์ชุดขาว สวมเกราะ ดูออกว่าน่าจะเป็นแม่ทัพ ไกลออกไปหน่อย เห็นผู้คนมากมายเข้าแถวรอลงทะเบียน ตอบไตรรั้ตน์ ตอบคำถามอื่น ๆ พอผ่านเลยทักษิณาทวาร พระองค์จอมชันษาเจ้า ฯ ก้พาผู้น้อยเหินฟ้าต่อไป แต่ผู้น้อยมีข้อข้องใจ พระองค์จึงถามผู้น้อยว่า "เจ้ารู้ว่าที่ผ่านมาเดี๋ยวนี้นั้นคือที่ไหนไหม" ผู้น้อยตอบว่า "ทักษิณาทวาร" ผู้น้อยตอบแล้วก้ดีใจ เพราะอะไร เพราะผู้น้อยคิดว่า "การบำเพ็ญของเรา ถ้าไม่ต้องตอบไตรรัตน์จะผ่านทักษิณาทวารได้" ผู้น้อยจึงจงใจทูลถามพระองค์จอมชันษา ฯ ว่า "เราจะผ่านทักษิณาทวาร จะต้องตอบไตรรัตน์มิใช่หรือขอรับ ถ้าเช่นนั้นทำไมกระผมจึงไม่ต้อง" พระองค์ยิ้ม ไม่ตอบ แต่ชี้ที่พระองค์เอง ความเป็นจริงก็คือ เป็นเพราะพระองค์นำพาเข้ามาแน่นอน ทหารฟ้า แม่ทัพฟ้าจึงไม่เอาตัวผู้น้อยไปตอบไตรรัตน์ ก็เหมือนทางโลก เมื่อเราจะเข้าทำเนียบประธานาธิบดี พอดีมีประธานาธิบดีมาจูงมือเราเข้าไปในทำเนียบ คงไม่มีตำรวจรักษาการนายไหนรั้งตัวเราไปตรวจสอบบัตรประชาชนหรอก ถูกไหม? อย่างเดียวกัน เรากลับไปเบื้องบน คือเซียนพุทธะพาเรากลับขึ้นไป แน่นอนก็จะไม่ต้องตอบคำถามตรวจสอบความถูกต้องเหล่านั้น ผู้น้อยเป็นผู้อาศัยพระบารมีคุณอย่างเดียว ภายหน้า เรากลับคืนเบื้องบน ล้วนจะต้องตอบไตรรัตน์ ถ้าเราเป็นผู้บำเพ็ญจริง ก็จะไม่เพียงตอบไตรรัตน์ที่เป็นนามรูป ญาณทวาร รหัสคาถา ลัญจกรเท่านั้น ควรจะตอบความชัดจริงของไตรรัตน์ที่เป็น "กุศลบุญ คณธรรม ปัญญาธรรม เมตตากรุณาธรรม" ที่ยิ่งกว่า ขอเพียงเราบำเพ็ญจริง เคี่ยวกรำจริง ภายหน้าจะไม่ต้องเป็นห่วงอย่างเด็ดขาดว่า จะถูกกั้นอยู่ภายนอกทักษิณาทวาร บางคน ที่ปฏิบัติบำเพ็ญมาชั่วชีวิต พอสูงวัย ความจำไม่ดี ถ้าอย่างนั้นจำไตรรัตน์ไม่ได้ ก้ไม่ได้ผ่านทักษิณาทวารนะซิ ใช่ไหม แท้ริงไม่เป็นเช่นนั้น เบื้องบนจะพิจารณาตรวจสอบอย่างถี่ถ้วนแน่นอน ระหว่างที่เหินฟ้าต่อไป พระองค์จอมชันษา ฯ ทรงเมตตากรุณามาก โปรดว่า พรหมโลก เบื้องฟ้ารวมมีห้าทวาร มีชื่อเป็น "ออก ตก ใต้ เหนือ กลาง" บูรพาทวาร ผู้บำเพ็ญสำเร็จล้วนเป็นตรีเทพพิทักษ์มหาราช ยังมีผู้ที่งดงามด้วยอักษรศิลป์ เช่น สามคุณ (ซันไฉ) ส่วนใหญ่โดยประมาณมาจาก "พระปราสาททักษิณารัศมี หนันฮว๋ากง" ทางบูรพาทวาร สำหรับยุคแดง ทั้งพระสงฆ์ นักพรต บาทหลวง (ศาสนาคริสต์) ล้วนกลับสู่ประจิมทวาร ภายหลังเมื่อยุคนี้ผ่านไปแล้ว ประจิมทวารก็จะไม่มี ผู้บำเพ็ญในยุคนี้ มีประตูเดียวที่เปิดกว้างให้คือ ทักษิณาทวาร ไม่ว่าจะบำเพ็ญในศาสนาใด จะเป็นศาสนาปราชญ์ พุทธศาสนา เต๋า คริสต์ อิสลาม จะกลับคืนพรหมโลกเบื้องสูง ยังจะต้องผ่านประตูทักษิณาทวารนี้ก่อน ถ้าเราบำเพ็ญในพุทธศาสนาจริง ๆ ผ่านทักษิณาทวารแล้ว ก้กลับไปยังพุทธเกษตรประจิมทิศ พุทธเกษตรไม่ใช่หมายถึง พระอมิตาภะ เท่านั้นที่ประทับอยู่ ที่นั่นคือวิสุทธิเกษตร เป็นแดนบริสุทธิ์หมดจด แท้จริงก็คือ พรหมโลกเบื้องสูงทั้งนั้น เป็นส่วนหนึ่งของพรหมโลกเบื้องสูง เบื้องบนอุดรเป็นสังกัดใดเล่า นั่นก็ึคือ ฝ่ายอัสนีบาต ฝ่ายวายุ ฝ่ายพยัคฆ์ ฝ่ายมังกร จอมเทพพิทักษ์ธรรมทั้งหลาย ทหารฟ้า แม่ทัพฟ้า ล้วนอยู่ ณ เบื้องฟ้าอุดร รวมทั้งจอมราชบุตรนาจา ผู้พี่ชาวธรรม ก็อยู่ที่เบื้องฟ้าอุดร ขุนพล แม่ทัพฝ่ายยุทธ ล้วนอยู่ที่เบื้องฟ้าอุดร ยังมีเบื้องฟ้ากลาง ก็คือเหล่าเทวดานางฟ้าทั้งหลายทั่วไปที่บำเพ็ญสำเร็จ ผู้สำเร็จระดับนี้ก็ต้องผ่านทักษิณาทวารด้วยเช่นกัน ฉะนั้นจึงกล่าวว่า "บัดนี้ มีประตูอยู่หนึ่งเดียว คือ ทักษิณาทวาร หนันเทียนเหมิน" หมื่นศาสน์พากันก่อเกิดเฟื่องฟู ก็ยังคงจะต้องกลับคืนความเป็นหนึ่งเดียว
-
แรงปณิธานกับแรงบาปเวร
ตอนที่ 3
มังกรทอง มังกรมรกตต่างทำหน้าที่
เหินฟ้าต่อไปอีก ทันใด พระองค์จอมชันษา ฯ ก็หยุดลง บอกว่า "ถึงแล้ว" ผู้น้อยก็มองเห็นว่าเป็น "ศาลจารึกบารมีคุณ กงเต๋อฉือ" ที่นั่นมีมังกรองค์หนึ่ง พระองค์จอมชันษา ฯ บอกว่า "ท่านเป็นมังกรพิทักษ์ธรรม ศาลบูชาบารมึคุณที่พรหมโลกเบื้องสูงนี้ ท่านเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์พิทักษ์ธรรมหนอ" มังกรอีกองค์หนึ่งสีมรกต ทำหน้าที่สำรวจตรวจสอบมิจฉาดำริ ความคิดมิชอบของพวกเราชาวธรรม ใจชั่ว คิดชั่ว ใจบาปทำบาป นั่นก็คือโทษผิดบาป ผู้น้อยต้องสะท้านงันต่อสายตาของมังกรมรกต องค์นี้อยู่ชั่วขณะหนึ่ง แววตานั้นเหมือนจะบอกกับผู้น้อยว่า "ไม่ต้องมาทำเสแสร้งอีก โทษผิดบาปของเจ้าเรารู้หมด" เห็นแล้วทำให้คร้ามขยาดยิ่งนัก พระองค์จอมชันษา ฯ ว่า "ตามเข้ามา" ตามเข้าไปแล้ว พระองค์โปรดอธิบายว่า "เราทุกคนได้รับธรรมะ ล้วนต้องถวายใบคำขอ "สาส์นมังกรฟ้า หลงเทียนเปี่ยว" คำว่า "หลง คือมังกร หมายถึงอะไร แสดงถึงอิน - หยาง ทำหน้าที่สำรวจตรวจสอบบาปบุญคุณโทษของเรา คำว่า "เทียน" แปลว่า "ฟ้า" แสดงถึงอะไร ผ่านประตูศาลจารึกบารมีคุณ ภายในจะเป็นผังฟ้า "เทียนปั่ง" คำว่า "เปี่ยว" คืออักษรสานส์ที่ทูลถวาย "หลงเทียนเปี่ยว" จึงหมายถึง "สานส์มังกรฟ้า" (ไทยเราใช้คำให้เข้าใจง่าย ๆ "สานส์เทวนาคราช หรือ ใบคำขอ) นั่นก็คือ กระดาษที่จารึกชื่อผู้ขอรับธรรมะในโลก ดังกล่าว แสดงให้เห็นว่า ณ พรหมโลกเบื้องบนมีประจักษ์หลักฐานแท้จริงของหลงเทียนเปี่ยว "สานส์มังกรฟ้า หรือ สานส์เทวนาคราช ใบคำขอ ที่ถวายชื่อขึ้นไป
-
แรงปณิธานกับแรงบาปเวร
ตอนที่ 3
สามชีวิตเมื่อสามร้อยปีก่อน
หลังจากเกิดอุบัติเหตุเรื่องรถแล้ว ที่แคลงใจมากคือ "ฉันตั้งใจร่วมงานธรรมถึงเพียงนี้ ทำไมยังเกิดเรื่องอย่างนี้ได้ ถูกทดสอบใหญ่ถึงเพียงนี้ การทดสอบขนาดนี้ ทำให้ฉันทรมานอยู่กับภาวะอยากมีชีวิตอยู่ แต่ขอไม่ได้ อยากตายไม่อาจตาย" ผู้น้อยกังขาที่สุดก็คือข้อนี้ พระองค์จอมชันษาทักษิณาลัยโปรดว่า "เจ้าไม่ต้องแคลงใจ สิ่งที่เกิดล้วนเป็นเหตุต้นผลตาม รถเกิดอุบัติเหตุครั้งนี้ เจ้าสร้างเหตุไว้ที่จีนแผ่นดินใหญ่เมื่อสามร้อยปีก่อน เจ้าเป็นลูกชายชาวประมงผู้ยากจน เติบใหญ่แล้วก็ชักชวนเพื่อนร่วมหมู่บ้านสามคนออกไปผจญภัยหาเงิน เนื่องจากไม่มีความรู้ความสามารถ ทำเป็นอย่างเดียวคือ ขโมย แย่งชิง ล่อลวง ทำแต่เรื่องเลวร้าย พอได้เงินมาก็ลืมตัว ใคร่จะได้ล้างมือในอ่างทองคำ อาวุโส (ผู้ฟัง) โปรดพิจารณา คนที่ทำความชั่วร้ายมาทุกอย่างแล้วนั้น เมื่อคิดจะเลิก แต่ติดอยู่ที่พรรคพวกจะร่วมแบ่งปันผลงานที่ทำมาด้วยกัน อีกทั้งกลัวเขาจะหักหลัง เพราะเกิดความคิดนี้ ผู้น้อยจึงเกิดจิตคิดชั่วร้ายว่าจะต้องฆ่าปิดปาก เที่ยงคืน ระหว่างกลับหมู่บ้าน จึงฆ่าเพื่อนไปสองคน หุบเงินทองทั้งหมดไว้คนเดียว กลับมาอยู่หมู่บ้านตน เนื่องด้วยได้เงินทองอำมหิตมามากมาย เกิดความหวั่นไหว จึงได้สละทรัพย์สร้างสะพาน ทำถนน ช่วยสร้างที่อยู่อาศัย และให้เงินแก่ครอบครัวของสามคนที่ถูกผู้น้อยฆ่าตาย ดังนั้น คนโฉดชั่วร้ายจึงกลายเป็นนักบุญด้วยปากของชาวบ้านไป อยู่มาจนอายุได้ห้าสิบกว่าปี สุดท้ายไม่รู้เป็นเพราะเหตุใด กินไม่ได้ นอนไม่หลับทุกวัน พอหลับตาก็เห็นคนมาตามล่า เห็นตัวเองตกลงไปในเหว น่าสะพรึงกลัวเป็นที่สุด ผู้ใหญ่บ้านห่วงใยมาถามไถ่ให้กำลังใจ เมื่อรู้อาการแล้ว ผู้ใหญ่จึงแนะนำว่า "มีพระสงฆ์รูปหนึ่ง ฌานบารมีแก่กล้าจะช่วยแก้ไขได้" ผู้น้อยในชาตินั้นจึงเดินทางไป เมื่อไปถึง หลวงพ่อถามเป็นคำแรกว่า "ในชาตินี้ไปทำผิดคิดร้ายอะไรมา" ผู้น้อยจำใจสารภาพว่า ชิงทรัพย์ ฆ่าคน หลวงพ่อว่า "นี่คือกรรมตามสนองทันตาเห็นในชาตินี้หนอ" "กระผมจะแก้กรรมได้อย่างไร" "จะต้องรีบฉุดช่วยวิญญาณ สร้างบุญกุศลแก่เขา" "สร้างได้อย่างไร" "จัดประชุมธรรม ทำพิธีปรกแผ่ อุทิศกุศลทั้งหมดสามครั้ง" พระสวด แจกทาน ปล่อยปลา เต่า ตะพาบ จำนวนมากลงแม่น้ำ ฯลฯ (สมัยนั้นใช้วัวควายไถนา จึงน้อยนักที่จะฆ่ากิน ซึ่งต่างกับปัจจุบันที่ต้องขอซื้อจากปศุสัตว์ โรงฆ่ามาปล่อยให้ชาวนาเลี้ยงไว้จนตายเอง) ตอนนั้น ผู้น้อยยังไม่วางใจ จึงเรียนถามต่อไปอีกว่า "จัดพิธีอย่างนี้สามครั้งแล้ว ใช่หรือไม่ว่าหมดหนี้หมดกรรมกับพวกเขาแล้ว" หลวงพ่อตอบว่า "ไม่ ที่ตอบสนองคือชาตินี้ สวดมนต์ประชุมธรรม ทำิพิธีฉุดช่วยได้ผลเพียงให้กรรมตามสนองช้าลงสักหน่อยเท่านั้น ต้นตอไม่อาจตัดขาดได้ เจ้าต้องบำเพ็ญหนอ เมื่อภายหน้าได้มรรคผล จึงจะตัดเหตุและผลกรรมได้" สุดท้าย หลวงพ่อให้ผู้น้อย ถือศีลกินเจ สวดมนต์ไหว้พระ ผู้น้อยจึงเริ่มบริจาคทรัพย์สร้างวัด จากนั้นคือเดินสู่หนทางผู้บำเพ็ญ
-
แรงปณิธานกับแรงบาปเวร
ตอนที่ 3
ผู้นำพารับรองจากสามร้อยปีก่อน
ย้อนกลับไปดูเพื่อนร่วมทำชั่วสองคนที่ถูกผู้น้อยฆ่าตายนั้น เขาตกนรกไปรับทุกข์ทรมาน ถูกตัดสินสามร้อยปี ส่วนคนที่ถูแขวนคอตาย วิญญาณอาฆาตไม่คลาย กลายเป็นผีร้ายสิงสู่อยู่ข้างบ่อขุด วิถีของผีร้ายนั้นการตัดสินโทษคือ ไม่มีกำหนด เหมือนนรกอเวจีที่จะไม่ได้ผุดไม่ได้เกิดอีก จะต้องรอจนกระทั่งบุญปัจจัยมาถึง มีผู้ชี้ทางสว่าง กล่อมเกลาใจให้เปลี่ยนแปลง จึงจะมีโอกาส สองคนแรกถูกลงโทษทรมานในนรกครบกำหนดสามร้อยปีแล้ว ปลดปล่อยออกมา สิ่งแรกที่วิญญาณทั้งสองจะทำคือ แก้แค้น แต่จะหาตัวผู้น้อยได้อย่างไร ทั้งสองไปตามหาที่หมู่บ้าน เมื่อสามร้อยปีดูก่อน เฝ้ารอคอยค้นหาไปทุกชาติวาจะมาเกิดใหม่หรือยัง สุดท้ายตามมาพบผู้น้อยในชาตินี้ เมื่อผู้น้อยอายุได้สิบแปดปี อันที่จริงผู้น้อยจะต้องใช้หนี้เขาด้วยชีวิต แต่พอดีเมื่ออายุได้สิบแปดปีก็ได้พบกับหลวงพ่อผู้มีพระคุณเมื่อสามร้อยปีก่อน ท่านบำเพ็ญจนบรรลุอรหัตผล แต่เนื่องจากอาณาจักรธรรมยุคนี้มี "เทียนมิ่ง" เพื่อที่จะช่วยเสริมสร้างมหาบุญวาระปรกโปรดสามโลก จึงมาถือกำเนิดใหม่ใกล้ชิดอาณาจักรธรรม ร่วมงานสร้างสรรคปรกโปรดเต็มกำลังเป็นเจี่ยงซือ ท่านก็คือผู้ที่มาเคาะประตูห้องอย่างจริงจัง คือนักศึกษารุ่นพี่คนนั้น ท่านเป็นอิ่นซือ อิ่นซือของผู้น้อยในชีวิตนี้ก็คือ พระสงฆ์ผู้มีบุญสัมพันธ์ต่อกันมาเมื่อสามร้อยปีก่อน เป่าซือ ผู้รับรองของผู้น้อยเป็นใครหรือ ท่านก็คือผู้ใหญ่บ้านเมื่อสามร้อยปีก่อน ชาตินี้ก็คือนักศึกษารุ่นพี่ที่ตบโต๊ะคนนั้น ดังนั้น จึงกล่าวว่า ผู้น้อยมีบุญสัมพันธ์กับอิ่นเป่าซือมาเจ็ดชั่วอายุคน มันไม่ใช่ง่ายเลย เราจะต้องศึกษาอิ่นเป่าซือให้ดี หากอิ่นเป่าซือถดถอยออกจากทางธรรมจะต้องช่วยกระตุ้นส่งเสริมให้ดี สวดมนต์ ท่องบ่นพระคัมภีร์ มีบุญบารมีแน่นอน แต่ที่สำคัญคือ จะต้อง "อุทิศ" เอาแต่สวดท่องแต่ไม่อุทิศส่วนกุศล เท่ากับใจปิด ไม่กล้าเปิดกว้าง ไม่เผื่อแผ่ให้ คนที่ค่อนข้างหมกมุ่นขุ่นใจ เราส่งเสริมให้เขาสวดมนต์ ท่องบ่นพระคัมภีร์ แต่เราลืมบอกให้เขาสร้างบุญอุทิศส่วนกุศลด้วย หากไม่อุทิศส่วนกุศล ไม่แผ่เมตตา ปมใจไม่คลาย ผูกมัดไว้ จะไม่ค่อยเห็นผล หากอุทิศส่วนกุศล กิเลสวิสัย ความหมกมุ่นขุ่นใจก็จะลดลง ดังกล่าวข้างต้นคือ เหตุต้นผลตามที่ผู้น้อยต้องประสบอุบัติเหตุ เพราะเคยฆ่าเขา ชาตินี้จึงต้องรับกรรมตามสนอง
-
แรงปณิธานกับแรงบาปเวร
ตอนที่ 3
เหตุต้นผลตามสามชาติชดใช้ในสามวัน
พระองค์จอมชันษา ฯ โปรดแก่ผู้น้อยว่า "เจ้ามานี่ มานี่" จากนั้นดำเนินไปพลางโปรดไปพลางว่า "เจ้าเอ๋ย ที่ต้องได้รับความเจ็บปวดทุกข์ทรมานมากมายอย่างนี้นั้น แท้จริงแล้วก้เพราะเจ้ากรรมนายเวรเขาตามทวง อันที่จริงเขาจะเอาชีวิตเจ้าตั้งแต่ตามเจอแล้ว" พระองค์โปรดอีกว่า "แต่ว่าเห็นแก่ที่เจ้าปฏิบัติบำเพ็ญในอาณาจักรธรรม ยังนับว่าพอมีศรัทธาจริงใจบ้าง" แน่นอน ผู้น้อยเองไม่กล้ากล่าวว่า ได้ศรัทธาจริงใจนัก แต่ผู้น้อยเคยพยายามที่จะไปทำอะไรบางอย่าง ก็คือ ที่เล่าให้ท่านทั้งหลายฟังแล้วในตอนต้น ที่พระองค์ว่าศรัทธาจริงใจ คงเป็นส่วนที่กล่าวมาแล้วกระมัง พระองค์โปรดว่า "ฉะนั้น จึงให้เหตุต้นผลตามสามชาติของเจ้าชดใช้ให้หมดไปในสามวัน" ซึ่งแท้จริงไม่ใช่จะชดใช้หมดภายในสามวันหรอก แต่หมายถึง ให้สามวันอันสุดจะทนได้นั้น แสดงให้รู้แรงเวรกรรม ที่ทำไว้ในสามชาติต่างหาก แต่ก่อน ผู้น้อยนำพาคนได้คล่องมาก จึงมีความคิดอย่างหนึ่งว่า "อย่างเรานี้ ภายหน้าควรจะได้รับความสำเร็จไม่เลวแน่" แท้จริงแล้วเป็นความเพ้อพก พอเห็นเจ้าหนี้นายเวรมาประชิด แม้แต่สมาธิก็ยังไม่มี จึงไม่ต้องพูดถึงบุญบารมีอะไรเลย แม้แต่ปัญญาก็ยังไม่เปิด ยังจะพูดถึงบุญบารมีที่ไหนได้ ทุกอย่างล้วนเกิดจากความเมตตากรุณาของพระองค์เซียนพุทธะ ผู้น้อยประสบอุบัติเหตุ ก้ได้มีเซียนพุทธะมากมายที่ต่อรองกับเจ้ากรรมนายเวรให้ ประมาณเกินกว่าหนึ่งร้อยพระองค์ ทำไมจึงเกินกว่าหนึ่งร้อยพระองค์ เพราะผู้น้อยชอบนำพาคนมารับธรรมะมาก ทุกครั้งที่มีพิธรถ่ายทอดธรรมะ ก็จะนำพาคนมารับธรรมะและศึกษา ขณะนั้น เซียนพุทธะจะโปรดประทับลงพิทักษ์ตำหนักธรรม ซึ่งพระองค์จะมีเวรผลัดเปลี่ยนกันทุกครั้ง จึงอาจจะไม่ใช่พระองค์เดิมชุดเดิม เพียงแต่ขณะทำพิธี เราได้อยู่ในพิธีนั้น ก็คือได้ผูกบุญสัมพันธ์กับพระองค์ โดยเฉพาะผู้น้อยชอบนำพาคนมา ผู้น้อยได้เป็นอิ๋นเป่าซือ บนเปี่ยวเหวินก็จะมีชื่อจารึกไว้ถวายขึ้นไป เท่ากับได้ผูกบุญสัมพันธ์กับพระองค์ไว้มากมาย ฉะนั้น เมื่อเกิดอุบัติเหตุครั้งนี้ จึงน่าจะมีเซียน
พุทธะเกินกว่าหนึ่งร้อยพระองค์ ช่วยผู้น้อยคลี่คลายแก้ไขเรื่องนี้ ท่านทั้งหลายลองคิดดู วันนี้หากไม่ใช่ได้รับธรรมะ ปฏิบัติธรรมอยู่ในอาณาจักรธรรมอี๋ก้วนเต้า ได้แต่กราบไหว้ไปตามศาลเจ้า วัดวาอารามต่าง ๆ เราจะต้องใช้เวลาอีกกี่ปี จึงจะผูกบุญสัมพันธ์กราบไหว้เซียนพุทธะได้มากมายถึงร้อยกว่าพระองค์ฉะนั้น แม้ว่าตำหนักพระเล็ก ๆ เรียบง่ายธรรมดา แม้แต่ตำหนักพระเฉพาะกาล เพียงขอให้ทำพิธีถ่ายทอดธรรมะได้เท่านั้น ขอให้สาธุชนได้อาศัยรับวิถีธรรมจากพระวิสุทธิอาจารย์ได้เท่านั้น ให้ได้เป็นที่อธิบายให้สาธุชนเข้าใจในจิตญาณตนว่า มาจากเบื้องบนเท่านั้น แม้จะเป็นเพียงเฉพาะกาลก้ได้ผูกบุญสัมพันธ์กับเซียนพุทธะมากมายแล้ว แต่ในทางตรงกันข้าม หากมีแต่ตำหนักพระเฉย ๆ ไม่มีพิธีการอาราธนาเซียนพุทธะประทับมา ไม่ดำเนินงานธรรมแต่อย่างใดก็จะกล่าวไม่ได้เสียด้วยซ้ำว่าตำหนักพระนี้มีเทียนมิ่ง มีอนุตตรพระโองการฟ้า
-
แรงปณิธานกับแรงบาปเวร
ตอนที่ 3
วิถีนรก วิถีเปรต สามวันในโรงพยาบาล
พระองค์จอมชันษา ฯ โปรดว่า "เดิมทีเจ้ากรรมนายเวรเขาไม่ยอมปล่อยเจ้า เพราะเหตุว่า เจ้าเคยเป็นเพื่อนสนิทที่สุด วางใจได้จึงไปกับเจ้า แต่กลับถูกเพื่อนสนิทที่วางใจได้ฆ่าเสียอย่างนี้ ความอาฆาตแค้นจึงแรง ไม่ใช่จะไกล่เกลี่ยได้ง่าย แต่เพราะเซียนพุทธะมากมายร่วมช่วย..." "...สุดท้าย เจ้าหนี้ชีวิตทั้งสามจึงยอมตกลงว่า..." "ไม่เอาให้มันตายก็ได้ แต่ว่า...เรารับทุกข์ทรมานในนรกมานานปี มันไม่ได้รับทุกข์ เราไม่ยอม" สุดท้าย ผู้น้อยได้พ้นจากความตาย... แต่นรกเป็น ๆ ไม่อาจพ้น ให้ผู้น้อยรับรู้รสชาติในโรงพยาบาลสามวันว่าอะไรเรียกว่า "วิถีนรก วิถีเปรต" ทุกขณะในโรงพยาบาล ผู้น้อยต้องรับโทษทัณฑ์ทรมานจาก "ขุมนรกมีดเชือดคอ" แพทย์พยาบาลมาเปลี่ยนยาทุกครั้ง คือเหมือนถูดเชือดคอสด ๆ ทุกครั้ง ทรมานสุดทนจนสลบไป นี่คือโทษทัณฑ์ในนรกที่ตายฟื้น ฟื้นตาย รับทุกข์ทรมานเรื่อยไปไม่จบสิ้น พอทำแผลเปลี่ยนยา ผู้น้อยจะเย็นจากศรีษะไปถึงปลายเท้า เพราะอุณหภูมิจากเครื่องให้เลือดต่ำกว่าอุณหภูมิของเลือดในร่างกาย เพราะฉะนั้น เลือดจากเครื่องให้เลือด ไหลเวียนไปถึงส่วนไหนของร่างกาย ร่างกายส่วนนั้นก็จะเย็นเฉียบเมื่อเจ็บมากเกร็งตัว ออกแรงต้าน ชักกระตุกกล้ามเนื้อก็จะแข็งทื่อเหมือนตาย ตัวเย็น ตัวแข็งทื่อ ก็คือซากศพคนตาย อย่างนี้ ไม่ใช่ตายฟื้น ฟื้นตาย หลายครั้งหรือ พระองค์จอมชันษา ฯ โปรดต่อไปว่า "ขณะที่เจ้าอยู่โรงพยาบาล ไม่ว่าหายใจ ดื่มน้ำ เจ็บร้อนจากลำคอลงไปถึงในท้อง เหมือนเปรตที่ต้องกลืนไฟ อีกทั้งยังดื่มกินไม่ได้ ยิ่งทุกข์ทรมานหนักขึ้น สภาพนี้ทำให้เจ้าเข้าสู่วิถีเปรต ให้รู้ว่ามันน่าสงสาร น่าเวทนาเพียงไร" หลอดคอของผู้น้อยในขณะนั้น อย่าว่าแต่กลืนน้ำลาย แม้แต่หายใจเข้าและหายใจออกก็ยังขยาดมากเพราะเจ็บเหลือเกิน เวลาหายใจออก ความเจ็บตามติดทิ่มแทงมากับลมหายใจที่ผ่านออก หากผ่านทางคออกทางปากยิ่งเจ็บมาก จึงได้แต่หายในเข้า อึดไว้ไม่กล้าหายใจออก จนกว่ามันจะค่อย ๆ ผ่อนเอง ทรมานจริง ๆ พอกลั้นลมหายใจออกอยู่นาน เหงื่อก็ท่วมตัว ในทรวงอกเหมือนสุมไฟไว้ ภาวะที่ได้รับนี้คือวิถีเปรตแน่แท้ ดังนั้น ผู้น้อยจึงไม่เพียงรับรสชาติความทุกข์ที่กลืนน้ำไม่ได้ ยังถูกยาปฏิชีวนะซึมซาบจนปากเหลือง ปากบวมเบ่ง เนื้อหนังปากเปื่อย อย่างนี้ไม่ใช่วิถีเปรตที่ได้รับหรือ พระองค์จอมชันษาเจ้าฯโปรดอีกว่า "เจ้าจะได้พักเพียงสั้นเวลา 23.00 น." ผู้น้อยแย้งว่า "ไม่มี กระผมนอนพักอยู่บนเตียงทั้งวัน" พระองค์จอมชันษาเจ้าฯโปรดย้ำว่า "มีเวลา 23.00 น. พยาบาลจะฉีดยา ( ระงับปวด ) ระงับการอักเสบให้ จากนั้นประมาณสิบกว่านาที เจ้าก้หายเจ็บปวด" ผู้น้อยนึกขึ้นได้จึงยอมรับว่า "ใช่ขอรับ ใช่ขอรับ พยาบาลจะฉีดลงในสายน้ำเกลือโดยตรง" พระองค์โปรดว่า " ยี่สิบสานนาฬิกาเป็นเวลากินของเปรต ระหว่างนั้น จึงให้เจ้าพักสิบนาที" ให้พักสิบนาที ไม่ใช่สวัสดิการแน่นอน แต่เป็นเพิ่มการเรียกร้อง เพราะยาระงับอักเสบหมดฤทธิ์ ผู้น้อยก็จะกดกริ่งเรียกพยาบาลมาฉีดเพิ่มให้อีก มันจะได้ไม่เจ็บปวด มิฉะนั้น มันจะตึงมากปวดมาก พยาบาลว่า "ไม่ได้ ฉีดมากไปแผลจะติดไม่สนิท" พระองค์จอมชันษาฯโปรดว่า "อยู่ในโรงพยาบาลสามวันนี้ ไม่เพียงนอนไม่หลับ อีกทั้งมโนวิญญาณการรับรู้จะตื่นตัวเป็นพิเศษ ความชั่วผิดบาป เรื่องไม่ดีทั้งหมดจะรุมล้อมกันเข้ามา จะคิดออกมาได้ทั้งหมด เพราะแรงของกรรมเวรมันปรากฏตรงหน้าหนอ" "เจ้าจะต้องรู้ว่า มโนวิญญาณชัดเจน แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ (เหมือนขณะถูกผีอำ) นี่ก็คือ แรงของกรรมเวร (การกระทำที่เกี่ยวบาปเกี่ยวเวร) อย่างนี้เข้าใจไหม" อาจจะเปรียบได้ว่า ขณะทำความเลวร้าย มโนวิญญาณ ชัดเจนว่ามันเลวร้าย แต่เราก็ยังคงทำ อย่างนี้เรียกว่า "ไม่อาจต้านแรงของกรรมเวร" ฉะนั้น หลายคนที่บอกว่า ตนเองเหลวไหลไปได้อย่างไร ทั้ง ๆ ที่รู้ผิดชอบชั่วดีอยู่ แต่กลับคิดว่า "คงไม่เป็นไร คงไม่มีใครรู้เห็น" นี่เป็นไปในขณะมโนวิญญาณชัดเจน เรียกว่า แรงของกรรมเวรดึงไป จะต้องเปลี่ยนความคิดจาก "คงไม่เป็นไร คงไม่มีใครรู้เห็น" ที่คล้อยตาม ให้เป็นแรงต้าน แรงยับยั้ง แรงหยุดนิ่ง เท่ากับพยายามตัดทอนแรงกรรมเวรให้อ่อนกำลังลง
-
แรงปณิธาน กับ แรงบาปเวร
ตอนที่ 4
บัวดอกน้อยของฟั่นเซิ่งเจี๋ย
พระองค์จอมชันษาฯ กล่าวความนี้จบลง ผู้น้อยรีบคุกเข่าลงกราบขอบพระคุณ พระองค์โปรดว่า "มา ตามมา" ผู้น้อยจึงเดินตามพระองค์ไปถึง "ศาลจารึกบารมีคุณ" พระองค์โปรดว่า "ผู้ใดรับธรรมะแล้ว จะได้รับการปลูดดอกบัวไว้เบื้องบน ณ "ศาลจารึกบารมีคุณ" นี้ ผู้น้อยอยากรู้อยากเห็นแน่นอน จึงกราบทูลถามพระองค์ว่า "ดอกบัวอยู่ที่ไหนขอรับ" พระองค์โปรดว่า "ทางนี้ก็คือดอกบัว" ผู้น้อยเดินไปดู ไม่เห็นมีสักดอก เป็นก้าน ๆ เหมือนก้านธูป แต่ละก้านมีป้ายเขียนวัน เดือน ปี เวลา อิ่นซือ เป่าซือ เตี่ยนฉวนซือ สถานธรรม ผู้รับธรรม ล่างสุดหมายเหตุลงว่า เซียนพุทธะพระองค์ใด และพระองค์ใดมารับเปี่ยวเหวินใบคำขอนั้น ดูก็รู้ทันทีว่าเป็นข้อมูลรับธรรมะ ผู้น้อยดูอยู่นาน ทั้งหมดมีแต่ข้อมูลการรับธรรมะ ไม่เห็นมีดอกบัวสักดอกเลย จึงกราบทูลถามพระองค์จอมชันษา ฯ ว่า "พระองค์บอกว่ามีดอกบัวมิใช่หรือ นี่อย่างไรกัน" พระองค์โปรดว่า "คนเหล่านั้น (ตามป้าย) ก็คือ ได้รับธรรมะแล้ว แต่ไม่เชื่อมั่นศรัทธาต่อธรรมะ ไม่ได้ดำเนินทางธรรม ไม่ได้ปฏิบัติบำเพ็ญ ฉะนั้น ทะเบียนขึ้นป้ายเทียนปั่งผังฟ้า ก็คือได้แค่ผูกบุญสัมพันธ์ไว้เท่านั้น" ฉะนั้น ทุกคนจะต้องเข้าใจ รับธรรมะ แน่นอน รับรองว่า พ้นเกิดตายได้ แต่ไม่รับรองว่าท่านจะมีบุญกุศลพร้อมพูน ภายหน้าเมื่อได้ขึ้นมายังพรหมโลกเบื้องบน แล้ว จะอยู่ได้หรือไม่ได้ ทั้งนี้จะต้องดูที่ตัวเองแล้วละ ถ้าท่านไม่ได้บำเพ็ญ แม้กลับคืนเบื้องบนได้ แต่จะอยู่ได้ไหม ทันทีจิตกระวัดถึงโลกมนุษย์ ก็จะลงสู่โลกมนุษย์ทันที หรือยังมีจิตผูกพันมากมายอีกในโลก มีระโยงระยางมากขึ้น แม้กลับคืนขึ้นไป ทันทีที่ใจภาวะทางโลกขยับ ก็จะต้องกลับลงมาอีก เบื้องบนจึงดำรงความยุติธรรม ถ้าหากเหตุต้นผลตามยังไม่จบสิ้น ชาตินี้จะต้องชดใช้ ถ้าท่านได้บำเพ็ญ ได้บุญบารมี บรรลุปณิธาน เหตุปัจจัยแห่งบาปเวรต่าง ๆ ที่แล้วมาก็ค่อย ๆ คลี่คลายไป ค่อย ๆ ชดใช้ไป แต่ถ้าหากเป็นหนี้เวรกรรมขนาดหนัก ท่านก็จะต้องรับไปเอง ผู้น้อยมองจากทางโน้นไป ก้านบัวล้วนติดป้ายสีดำดูดำมืดไปหมด อย่างน้อยเป็นจำนวนแสน เท่ากับว่าสอบตกไปมากมายถึงเพียงนี้แล้ว คนเหล่านี้ล้วนแต่เพียงรับธรรมะ มีแต่ชื่อ ไม่มีการปฏิบัติบำเพ็ญธรรม ผู้น้อยเห็นว่ามากมายขนาดนี้ รู้สึกตื่นกลัว คิดถึงว่าตนเองก็คงจะมีแต่ชื่อเท่านั้นเหมือนกัน จึงวอนถามพระองค์จอมชันษา ฯ ว่า "กระผมอยากดูดอกบัว" พระองค์รู้ทัน เอาไม้เท้าหัวมังกรจรดลงไป พร้อมกับโปรดว่า "มีนี่ไง ทางนี้ก็คือดอกบัว" ผู้น้อยมองดู เมื่อกี้เห็นชัด ๆ ว่ามีแต่ก้าน แต่บัดนี้เป็นดอกบัวทั้งหมด อีกทั้งกว้างไกลไพศาลจรดขอบฟ้าหาที่สิ้นสุดมิได้ ท่านทั้งหลายอย่าต้องสงสัย เมื่อกี้ผู้น้อยเดินผ่านประตูบานหนึ่งใช่ไหม ไฉนภายในจึงยังมีขอบฟ้า นี่เป็นเรื่องอัศจรรย์ พรหมโลกเบื้องบนก็คือเป็นเช่นนี้ มองดูเหมือนประตูบานหนึ่งเท่านั้น แต่พอเข้าประตูไป มองดูข้างในยังจะกว้างใหญ่กว่าโลกภายนอกประตูเสียอีก เปรียบอย่างกับว่าเราเห็นอาคารหลังหนึ่ง แต่พอเข้าไปในอาคารกลับพบว่า ภายในยังมีอาคารอีกหลายร้อยชั้น อันนี้ มันเป็นไปไม่ได้หรอกทางโลก แต่ ณ พรหมโลกเบื้องบนก็คือเป็นเช่นนี้ พระองค์จอมชันษา ฯ เอื้อมมือไปคว้าอย่างไม่เจาะจง ได้บัวมาดอกหนึ่ง พระองค์กรุณามาก ท่องพระอาคมให้แล้วโปรดว่า "ดอกนี้เป็นฐานบัวของเจ้า" พระองค์กรุณาชำระบาปเวรให้ดอกบัวส่วนหนึ่งเอาน้ำบุญกุศลล้างดอกบัวนั้น แล้วบริกรรมว่า "ชำระจิตที่คิดแบ่งแยกของเจ้าไป คืนปัญญาหามีแบ่งแยกไม่ ให้แก่เจ้า" เมื่อใดที่เรามีใจแบ่งแยกเขา - เรา นี่ก็คือมโนวิญญาณก่อการ เมื่อใดที่เราไม่มีสิ่งเหล่านี้ ก็คือจิตญาณจากฟ้า จิตญาณจากฟ้าจะมีแต่ความรักแผ่ไพศาล จะมีแต่ใส่ใจ มีแต่เมตตากรุณา มีแต่จิตใจอย่างนี้ ดีงามบริสุทธิ์นี่ก็คือ "สัจธรรมฟ้า" พูดง่ายฟังก็เข้าใจง่าย แต่... จะให้ใจกับการกระทำเป็นหนึ่งเดียวกันมันไม่ง่ายเลย พระองค์จอมชันษา ฯ ชำระจิตญาณให้เสร็จแล้ว ก็ยื่นบัวดอกนั้นให้แก่ผู้น้อย ผู้น้อยยกขึ้นดม ไม่เคยได้กลิ่นอะไรที่หอมอย่างนี้มาก่อนสูดดมด้วยจมูก เข้าไปได้ถึงสมองและทั่วตัว เบาสบายผ่อนคลายไปหมด จากนั้นมองดูรูขุมขนทั่วตัวก็เรืองแสง ไม่เพียงแค่เรียงแสง แต่ฉับพลันได้รับแรงบันดาลใจให้ระลึกได้ว่า อันที่จริง ฉันอยู่ที่นี่แต่เดิมที อันที่จริงฉันไปจากที่นี่แต่เดิมที ฉันเป็นของที่นี่ นี่นา แท้จริงไม่ใช่พระองค์จอมชันษาฯ พาฉันกลับมา แต่ฉันอยู่ที่นี่เป็นเดิมทีต่างหาก นี่ เป็นความรู้สึกนึกคิดที่ไม่เหมือนกับเมื่อแรกที่มาถึงโดยสิ้นเชิง ครั้งแรกคิดว่า พระองค์จอมชันษาฯ พากลับมาเที่ยวพรหมโลกเบื้องบนเพียงชั่วขณะ แต่บัดนี้กลับรู้สึกว่า เราไปเที่ยวในโลกมนุษย์ชั่วขณะวันข้างหน้ายังจะกลับมาที่นี่อีก จึงกล่าวว่า เราทุกคนร้อยทั้งร้อย มาจากฟ้าเบื้องบน เราคือทูตสวรรค์มาจากฟ้าเบื้องบนจริง ๆ
-
แรงปณิธานกับแรงบาปเวร
ตอนที่ 4
บัวดอกใหญ่ของพระอาจารย์
ผู้น้อยได้พบว่า ณ เบื้องหน้าไกลลิบนั้น มีบัวดอกใหญ่สีทองประมาณเท่าตึกสามชั้นอยู่หนึ่งดอก ประมาณอย่างกับเราเห็นอาคาร 101 ของไทเป นี่คงจะเป็นดอกบัวใหญ่ของมหาโพธิสัตว์พระองค์ใดเป็นแน่ ผู้น้อยตื่นเต้นระทึกใจมาก เป็นความรู้สึกชื่นชมบูชาแท้ ๆ ความระทึกใจที่ใคร่จะใกล้ชิด ซึ่งแน่นอนก็มีความยึดมั่นอย่างหนึ่งอยู่ด้วย อยากจะเข้าไปดูว่า เป็นของพระโพธิสัตว์พระองค์ใดหนอ ไม่แน่อาจจะเป็นเตี่ยนฉวนซือ ว้าว ! กลับไปในโลกจะต้องไปคารวะรับบารมีคุณจากท่าน คิดดังนี้แล้ว จึงวิ่งสุดฝีเท้าไปยังสระบัวนั้น แปลกแท้ ก้าวแรกที่ย่ำลงในสระ ตัวจมน้ำ แต่พระองค์จอมชันษา ฯ โปรดว่า "เจ้าเพียงแต่คิดให้ลอย ก็จะลอย" ผู้น้อยคิดตามนั้น จึงวิ่งไปบนผิวน้ำ วิ่งไป วิ่งไป... ดอกบัวที่เห็นอยู่แต่ไกลว่าใหญ่มหึมานั้น แต่พอวิ่งเข้าใกล้กลับกลายเป็นดอกบัวมากมายเหมือนกระจายทั่วทั้งผืนมหาสมุทร กลายเป็นดอกบัวนับล้าน ๆ ดอก ผู้น้อยหาดอกบัวใหญ่มหึมาไม่พบ จึงดั้นด้นหาต่อไป จนไปถึงส่วนสูงที่สุดของสระบัว ทำให้ผู้น้อยต้องทูลถามว่า "พระองค์ช่วยกระผมดูด้วย ดอกใหญ่มากดอกนั้นหายไปไหน" พระองค์จอมชันษาไม่ได้ดำเนินมาแต่พระสุรเสียงที่ตอบเหมือนดังอยู่ใกล้ ๆ หูว่า "อยู่ใต้ฝ่าเท้าที่เจ้่าเหยียบงัยล่ะ" (อุปมาศิษย์ทั้งหลายเหยียบย่ำบารมีคุณของพระอาจารย์) ผู้น้อยก้มลงดู ใหญ่ประมาณเท่ากะละมังเท่านั้น พระองค์จอมชันษา ฯ โปรดว่า "เจ้าลงมา เจ้าลงมา" ผู้น้อยแปลกใจจึงรำพึงถามว่า " ยังไงกันนะ" พระองค์โปรดว่า "เจ้าไม่ต้องสงสัย ดอกใหญ่นั้นคือของอมตะพุทธะจี้กง พระอาจารย์ของพวกเจ้า" "ของพระอาจารย์" ผู้น้อยทวนคำ... รำพึง... ทั้งตื่นเต้น ดีใจ ไม่เข้าใจ... ดูแต่ไกลดอกใหญ่มหึมา โดดเด่น แต่ทำไม... จึงกลายเป็นหลายล้านดอกขนาดนี้ พระองค์จอมชันษา ฯ โปรดว่า "พระอาจารย์ของพวกเจ้าคุณธรรมบารมีปรกแผ่ ปรกแผ่โดยมิได้ยึดหมายเจาะจง มิได้ให้เฉพาะศิษย์ของพระองค์ มิได้ยึดหมายให้เชื่อฟังแต่พระองค์ อย่างนี้ จึงมีคุณธรรมบารมี" เพียงเพราะเขาเป็นเวไนยฯ พระอาจารย์ก็จะไปช่วย พระองค์แบกรับพระอนุตตรพระโองการฯ โปรดธรรมสามโลก มีพระอาจารย์จึงมีเราทั้งหลายในวันนี้... ฉะนั้น ไม่ว่าจะอยู่ในอาณาจักรธรรม หรือผู้บำเพ็ญอื่น ๆ ภายนอก ได้รับความสำเร็จทางธรรมเนื่องมาจากพระอาจารย์ของเราก็ดี หรือเนื่องมาจากบุญสัมพันธ์ ทำให้ได้ใกล้ชิดเข้ามาบำเพ็ญธรรม คำพูดประโยคแรกของผู้ได้รับความสำเร็จ (ผลงานระดับหนึ่ง) จะกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า "กั่นเซี่ยเทียนเอินซือเต๋อ ขอบพระคุณพระมหากรุณาธิคุณเบื้องบน บารมีคุณพระอาจารย์ " เป็นเสียงเดียวกับที่เรากล่าวนำก่อนบรรยายธรรม อมตะพุทธะจี้กง พระอาจารย์ของเรา พระองค์ทรงปรกแผ่มหาบารมีคุณที่ได้วิริยะปฏิบัติบำเพ็ญมาทั้งหมดปกป้องผองเรา...
-
แรงปณิธานกับแรงบาปเวร
ตอนที่ 4
ฐานบัวใหญ่เล็กต่างกัน
"ฐานบัวเก้าระดับ" เป็นมาอย่างไร เป็นมาจากคุณธรรมบารมีที่เกิดจากจิตญาณ ไม่ได้หมายความว่า อี๋ก้วนเต้าจึงจะมี "ฐานบัวเก้าระดับ" บำเพ็ญวิถีศาสตร์อื่น ๆ เขามีเพียงสองระดับ ไม่ใช่อย่างนี้ คุณธรรมบารมี ฯ เพียงพอก็จะมีฐานบัวเก้าระดับได้ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าบำเพ็ญอยู่ในลัทธิศาสนาใด เพียงแต่ว่าในอาณาจักรธรรมของเราดำเนินการปรกโปรดแพร่ธรรมนำมาส่งเสริมได้ ความแตกต่างอยู่ตรงนี้ ผู้น้อยทูลถามอีกว่า "นอกจากดอกใหญ่ของพระอาจารย์แล้วดอกอื่น ๆ ทำไมจึงเล็กบ้างใหญ่บ้างขอรับ" พระองค์โปรดว่า "อันที่จริง พุทธญาณของเราทุกคนล้วนเป็นเช่นเดียวกัน เริ่มจากเมล็ดพันธ์เดียวกัน คือพันธุ์โพธิ"คุณธรรมบารมีของพุทธญาณต่างกันด้วยการบำเพ็ญของแต่ละคน ฉะนั้น เธอบำเพ็ญมาเท่าไร ก็ได้ดอกบัวใหญ่เพียงนั้น ในโลกมีคนประเภทหนึ่ง เมื่อกลับขึ้นเบื้องบนมาจะต้องกลืนไม่เข้าคายไม่ออก คนประเภทไหนรู้ไหม คนประเภทพูดได้แต่ทำไม่ได้ ดีแต่พูด ชอบหลบเลี่ยงงาน ละทิ้งความรับผิดชอบ ภายหน้ากลับมาเบื้องบน ดอกบัวของเขาอาจมีปัณหา บัวบางดอกติดป้าย ตอนนั้นผู้น้อยกินเจ แต่ยังไม่ได้ถวายปณิธานกินเจ จึงไม่มีป้ายอย่างนั้นติดอยู่ที่ดอกบัว คนที่ถวายแล้วจะมีป้าย "ชิงโข่วหยูซู่ ชำระปากกินเจ" ยังมีอีกพวกหนึ่งที่ไม่ใช่แขวนป้าย "ชิงโข่วหยูซู่" แต่แขวนป้ายตู้เหยิน นำพาผู้คน" แสดงว่าปณิธานของเขาคือ หนุนนำผู้คน จะนำพากี่คน ทำอะไร บางคนได้แสดงปณิธาน ณ เบื้องพระแท่นเบื้องบนก็แขวนป้ายแสดงให้ เมื่อแขวนป้ายแล้ว ก็จะมีเทพพิทักษ์ประชิดติดตาม แม้ดอกบัวจะเป็นอย่างเดียวกัน แต่เมื่อมีแรงปณิธาน จึงจะมีแรงช่วย
-
แรงปณิธานกับแรงบาปเวร
ตอนที่ 4
ความแตกต่างระหว่างดอกบัว กับ "เซียนเถา"
พระองค์จอมชันษาฯ โปรดว่า "เจ้าจงตามมา" แล้วพระองค์ก็ทรงนำดำเนินต่อไป ณ บริเวณนี้ ขวามือของเราคือสระบัว ซ้ายมือคือสวนต้นท้อเซียน (เซียนเถา) เซียนเถาของเบื้องบนลูกใหญ่มาก ในโลกมนุษย์เล็กเท่ากำปั้น ตามหลัก (คิดเอง) มีดอกบัวแสดงบารมีคุณก็พอแล้ว ไม่ต้องมีเซียนเถาอีก พระองค์จอมชันษาฯ โปรดว่า "ดอกบัวแสดงให้เห็นถึงความตั้งใจ ก่อเกิดปณิธาน ถวายปณิธานคือถวายความตั้งใจ แต่การดำเนินธรรมของเจ้า จะต้องบรรลุปณิธานที่ตั้งไว้ จึงจะได้เซียนเถา บรรลุปณิธานจึงจะได้กินเซียนเถานะ" ฉะนั้น ไม่ใช่ตั้งปณิธานไว้มากมาย ภายหน้าจะบรรลุมรรคผลใหญ่ได้ ตั้งปณิธานแต่ไม่ได้ไปทำเลย ก็เหมือนบางคนที่รับ "เทียนมิ่ง" แล้ว แรกเริ่มตั้งปณิธานไว้ใหญ่มากจะนำพาสาธุชน แต่มีเวลาดูทีวีอยู่กับบ้านทุกวัน หมดอายุกลับคืนไปก็จะได้พบว่าดอกบัวของตนใหญ่กว่าของคนทั่วไปได้จริง (เฉพาะรับเทียนมิ่ง) แต่ไม่มีเซียนเถา นี่แสดงถึงอะไร แสดงถึงคนนี้ปากกับใจไม่ตรงกัน ปณิธานกับการกระทำไม่เป็นหนึ่งเดียวกัน ก่อนที่ผู้น้อยจะได้มาเห็น "เทียนปั่ง ผังฟ้า" เดินผ่านสระบัว สวนท้อเท่านั้น ก็ประมาณได้ว่าตนเองจะยืนอยู่ ณ ตำแหน่งใดแล้ว
-
แรงปณิธานกับแรงบาปเวร
ตอนที่ 5
แจกแจงเกี่ยวกับ "หอคุณธรรมบารมี"
พระองค์จอมชันษาฯ ดำเนินนำผู้น้อยไปอีกจนถึง "เทียนปั่ง ผังฟ้า" "เทียนปั่ง ผังฟ้า"นี้ มีความกว้างใหญ่เท่าไร รู้ไหม อย่างน้อยใหญ่กว่าเมืองไทเปโดยรอบ บนพื้นที่อันกว้างใหญ่ไพศาล "เทียนปั่ง ผังฟ้า" มีอะไร มีทั้งถนนหนทาง ตรอกซอย ผู้บำเพ็ญทุกคนต่างมีผังฟ้าหนึ่งหลังเฉพาะตน ผังฟ้าไม่ใช่แผ่นป้าย ที่จารึกการลงทะเบียนถวายชื่อเท่านั้น แต่เป็นผังภูมิจากจิตใจของแต่ละคน ซึ่งเบื้องฟ้า "เทียนปั่ง ผังฟ้า" จะเป็นแต่ละผังภูมิของแต่ละคน เมื่อเดินเข้าไปถึงตรงกลางปริมณฑลของ "เทียนปั่ง ผังฟ้า" ที่ตรงนั้นมีบ้านสีทองหลังหนึ่ง รูปทรงคล้ายเสลี่ยงเจ้า ประมาณสูงกว่าพระพุทธประทีปองค์กลางของพระแม่องค์ธรรม (ที่ธรรมปราสาทใหญ่) เล็กน้อย พระองค์จอมชันษา ฯโปรดว่า "สิ่งที่เก็บไว้ในบ้านหลังนี้ คือกุศลบารมีที่เจ้าบำเพ็ญมา" ผู้น้อยนัยน์ตาวาว เราไม่กล้าบอกว่า ตนมีกุศลบารมีจากการบำเพ็ญ แทบจะกล้าพูดแต่เพียงว่าเรามีโทษ ผิดบาป ผู้น้อยจึงไม่รู้ว่าตนเอง ได้ทำอะไรไว้ที่นับได้ว่าเป็นกุศลบารมี พระองค์โปรดว่า "เจ้าเข้าไปดูเอง" ผู้น้อยจึงเข้าไป ภายในบ้านหลังนั้น มีกระดาษแผ่นใหญ่มาก จารึกข้อความว่า "เปี่ยวเหวินเฉิงโจ้ว ถวายในคำขอ ฯ" หน้าแรกเขียนด้วยอักษรจีน ลักษณะศิลปตวัดหาง พูดถึงอักษรมีคนห่วงว่า ไม่ใช่คนจีนรับธรรมะ กลับขึ้นเบื้องบนแล้ว เขาจะเข้าใจไหมนี่ ผู้น้อยคิดว่าเขาต้องเข้าใจ เมื่ออยู่เบื้องโลก อักษรขยุกขยิกอ่านไม่ออกแต่แปลก พอถึงภาวะนั้น ก็อ่านออกได้เอง เบื้องบนจึงไม่มีอุปสรรคเรื่องอักษรภาษา สำหรับจิตญาณแล้ว จะไม่มีปัญหาเหล่านี้
-
แรงปณิธานกับแรงบาปเวร
ตอนที่ 5
นำพากล่อมเกลามีกุศล
ในเปี่ยวเหวินจารึก ปี เดือน วันเวลา อิ๋นเป่าซือ เตี่ยนฉวนซือ สถานธรรม ผู้รับธรรมะ ล่างสุดบันทึกว่าเป็น จอมเซียนพระองค์ใดดูแล อีกทั้งไปนำพาเขาจากที่ไหน หมายเหตุบุญกุศล จากการนำพากล่อมเกลา นำพาคนรับธรรมะ นำพากล่อมเกลา มีกุศลผลบุญ
-
แรงปณิธานกับแรงบาปเวร
ตอนที่ 5
ตักเตือนกล่อมเกลามีกุศล
จารึกว่า ปี เดือนใด ณ ที่ใด นำพาคนนั้น ๆ ข้างบน เขียนว่า "ตักเตือนกล่อมเกลามีกุศล" อักษรเป็นสีทองทั้งหมด จึงเห็นได้ว่าการนำพากล่อมเกลาคนเป็นกุศลอันดับหนึ่ง นำพากล่อมเกลา กับ ตักเตือนกล่อมเกลา ต่างกันตรงไหน นำพากล่อมเกลา คือ เราไปนำพาคนนี้ เขาได้มารับธรรมะ เรียกว่านำพากล่อมเกลา ไม่ว่าเราจะได้ลงชื่อ เป็นผู้แนะนำรับรองหรือไม่ ลงชื่อก็ได้บุญกุศล ไม่ได้ลงชื่อแต่เราเป็นคนนำพามาก็ได้บุญกุศลเช่นกัน ผู้น้อยเห็นข้อความจารึกของตนเอง นำพาคนมามาก บุญกุศลจากการตักเตือนกล่อมเกลา ยิ่งมากกว่า รวมแล้วเกือบห้าพันจารึก อย่างไรเรียกว่า ตักเตือนกล่อมเกลาจารึกก็คือ เราไปนำพาคน สุดท้ายเขาบอกว่า เขาไม่มีบุญสัมพันธ์ทางพุทธะ ไม่มีแก่ใจทางนี้ ไม่อยากรับธรรมะ แม้เขาจะไม่ได้มา แต่เราได้ไปชักชวนนำพา แค่นี้ก็เป็นบุญกุศลแล้ว เบื้องบนรับเอาจิตใจส่วนนี้ของเรา เพียงแต่เราได้ไปชักชวนนำพาก็มีบุญกุศล เขามาได้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับบุญปัจจัยของเขากับบุญบารมีของบรรพบุรุษของเขา มีเพียงพอหรือไม่ เราได้ชักนำเขาแล้ว ก็คือ "ตักเตือน กล่อมเกลา มีบุญกุศล" นำพาคนจึงมีกุศลสองอย่าง ต่อไปเรามองดูบางคน แม้จะไม่ได้พาใครมาได้ แต่เขาก็ได้บุญกุศลไม่อาจประมาณ อย่าดูถูกเขา
-
แรงปณิธานกับแรงบาปเวร
ตอนที่ 5
กุศลน้อยนิดไม่ผิดพลาด
ยังมีกุศลผลบุญจากการให้ทานอีก เราบริจาคเงินเท่าไร ที่ไหน เมื่อไร เบื้องบนก็โปรดจารึกไว้ ทรัพย์เป็นทานบางกรณี เรามองไม่เห็นได้ แต่เบื้องบนก็จารึกไว้ มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ผู้น้อยกำลังงกเงิน เบื้องบนจึงจดบุญกุศลที่ผู้น้อยบริจาคออกมาเป็นตัวเงิน เอานามรูปของเงินออกมาแสดง อันนั้นผู้น้อยดูออกในจำนวนนั้นมีอยู่ข้อหนึ่งคือ ที่ธรรมปราสาทเมี่ยวซั่นกง จบชั้นประชุมอบรมธรรม เบาะหลังมอเตอร์ไซค์ของผู้น้อยว่างอยู่ เห็นนักธรรมท่านหนึ่งเดินเท้าอยู่ข้างหน้า จึงจอดรถถามว่า "จะซ้อนท้ายไปไหม ผมจะไปส่งที่ป้านรถ" เขาขึ้นมานั่งซ้อนท้าย ผู้น้อยขี่รถลื่นไถลสบาย ๆ ลงจากภูเขา ไปถึงสถานีรถไฟ ผู้น้อยกลับบ้าน เรื่องนี้ผู้น้อยลืมหมดแล้ว จำไม่ได้ว่าผู้ซ้อนท้ายเป็นใคร ปราศจากความทรงจำ แต่ผลคือเบื้องบนจารึกว่า วันนั้น คนที่ให้ทรัพย์เป็นทาน0.2 เหรียญ (สองเซ็นต์) ธรรมปราสาทเมี่ยวซั่นกงอยู่บนภูเขา แค่ปล่อยรถให้ลื่นไถลลงมา เสียน้ำมันไปสองเซ็นต์ สองเซ็นต์ มันจะแค่ไหนกันเชียว แต่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ตรวจสอบชัดเจน ไม่ใช่แค่สองเซ็นต์จะไม่นับ ยังคงเป็นบุญกุศลไม่ประมาณ ไม่ประมาณคือเท่าไรก็ใช่ เบื้องบนจารึกบุญกุศลให้ดูง่าย ๆ จากความจริงใจของเรา สิ่งนั้นเราไม่ช่วยก็ได้ แต่เรายังช่วย เราเลือกไม่ทำก็ได้ แต่เราก็เลือกที่จะทำ อย่างนี้ก็คือกุศลผลบุญ ในทางตรงกันข้ามก็คือ โทษ ผิดบาป เราเลือกไม่ทำได้ แต่เรากลับเลือกที่จะทำ ครั้งหนึ่ง ผู้น้อยออกไปซื้อข้าวกล่อง ซื้อเสร็จกลับมาเห็นหน้าบ้านมีสุนัขตัวหนึ่งหิวมา ข้าวกล่องเลยเลี้ยงสุนัขไป นี่ก็ถูกจารึกว่า สร้างกุศลห้าสิบเหรียญ เลี้ยงสุนัขก็นับว่าให้ทาน ให้ทาน ไม่ว่าจะแก่ญาติธรรม สถานธรรม ผู้คนหรือเวไนยสัตว์อื่น ๆ เมื่อทำก็คือ มีกุศลผลบุญ บางคนยึดมั่นถือมั่นว่า จะต้องบริจาคให้สถานธรรมจึงจะนับว่าเป็นบุญ คิดอย่างนี้เพี้ยนห่างไปมาก เท่ากับยึดมั่นถือมั่นเกินไป วัดและเทวสถานบางแห่ง ยังใช้อาหารเนื้อสัตว์ประกอบพิธีกรรมเซ่นไหว้ การทำบุญแก่วัดหรือเทวสถานนั้น ๆ จะต้องระวังการเกี่ยวกรรมส่วนเงินทุกบาททุกสตางค์ จะบริจาคไปไหน จะต้องชัดเจน เขาร่วมบุญซื้อธุป เราก็จะต้องเอาไปซื้อธูป จะเปลี่ยนไปใช้อย่างอื่นไม่ได้ จะเท่ากับยึดครองบุญกุศลของเขา ฉะนั้น เบื้องบนจึงจารึกบุญกุศลไว้มากมาย รวมถึงการจัดเรียงเก้าอี้ วันนี้เป็นเวรเธอจัดเรียงเก้าอี้นั่งประชุมธรรม เป็นบุญกุศลเล็ก ๆ คือบริการ ไม่นับเป็นบุญกุศลอะไรได้ แต่วันนี้ไม่ใช่เวรของเธอเรียงเก้าอี้ แต่เธอกลับมาเองเรียงแต่เช้า มาส่งผ้าเช้ดมือ เรียงเก้าอี้ บุญกุศลนี้ก็จะใหญ่เชียวล่ะ เมื่อก่อน ตอนที่ผู้น้อยเข้ามาอยู่ในสถานธรรมค่อนข้างขลาดกลัว ทุกครั้งทุกคืนเมื่อญาติธรรมเลิกเรียนกลับไปหมดแล้ว ก็จะถูพื้นทั้งหมดจนถึงบันได จากชั้นหกถูลงมาจนถึงชั้นที่หนึ่ง ภายหลัง "ชมรมโภชนาธรรม" ย้ายบ้านอีกครั้งหนึ่ง หลังเลิกเรียน ผู้น้อยก็ยังถูจนหมดถึงบันได ฉะนั้น นักศึกษารุ่นน้องเลิกเรียนกลับมาที่ชมรม ก็จะเห็นว่า บันได เชิงพัก ห้องพัก ข้างบันไดสะอาดสะอ้านไปหมด ทุกคนก็จะรู้ว่าผู้น้อยกลับมาถึงก่อนแล้วเพราะเมื่อผู้น้อยกลับมาถึงชมรมฯ สิ่งแรกก็คือ ถูห้องครัว ต่อจากนั้นก็ห้องข้างบันไดตำหนักพระ เสร็จแล้วขัดส้วม ความตั้งใจ ศรัทธาของผู้น้อยตอนนั้นคือ ให้ทุกคนได้รับบริการดีเยี่ยม จากบริเวณที่สกปรกเลอะเทอะที่สุด ให้เป็นสะอาดที่สุด อย่างนี้ก็คือธรรมะของเรา บัดนี้ จึงเพิ่งจะรู้ว่าเบื้องบนล้วนจารึกไว้ผู้น้อยจึงซาบซึ้งยิ่งนัก ญาติธรรมบางคนชอบเช็ดถูตำหนักพระ เข้าใจว่าใกล้ชิดสิ่งศักดิ์สิทธิ์มากกว่า แต่ไม่ชอบมล้างส้วม แท้จริงนี่คือ ใจยึดมั่นแบ่งแยกเบื้องบนไม่ได้เห็นความแตกต่างต่อสถานที่ที่เราทำ
-
แรงปณิธานกับแรงบาปเวร
ตอนที่ 5
บุญกุศลแท้จริง
ท่านกลัวว่างานที่ทำจะไม่มีใครเห็นหรือเปล่า ยินดีด้วย เพราะเหตุใด ไม่มีคนเห็นเรียกว่า บุญกุศลแฝง เบื้องบนจารึกไว้ชัดเจน ที่มีคนเห็นนั้นเจตนาให้เขาเห็นเรียกว่า บุญกุศลแจ้ง มีคนเห็นแล้ว ได้รางวัลชื่นชมไปแล้ว เบื้องบนจารึกไว้น้อยมาก อะไรที่เบื้องบนเห็นแล้ว เป็นบุญกุศลแท้จริงแน่นอน นั่นก็ คือสิ่งที่บกพร่อง ไม่สมบูรณ์แต่เดิมที เติมเต็มให้สมบูรณ์ อย่างนี้จะมีบุญกุศล เช่นในการประชุมธรรม บางครั้งไม่อาจละเว้นสิ่งตำหนิติเตียน เจี่ยงซือบางท่านอาจเสียใจมาก เพราะได้ทุ่มเทมากอยู่ แต่ไม่มีใครยอมรับ เราจะต้องรีบไปปลอบใจ หรือหากรู้ว่าญาติธรรม คนไหนถูกทดสอบ เกิดการสอบแล้ว อารมณ์ไม่ดี เราก็รีบไปปลอบขวัญ เราทำให้อาณาจักรธรรมเกิดการไม่สมบูรณ์ ให้กลับเป็นสมบูรณ์ นี่ก็คือบุญกุศล
-
แรงปณิธานกับแรงบาปเวร
ตอนที่ 5
ช่วยงานธรรมะมีกุศล
วันหนึ่ง มีการถ่ายทอดเบิกธรรมที่สถานธรรมส่วนรวม เดิมทีจัดให้ผู้น้อยส่งผ้าเช็ดมือ แต่เพราะตื่นสายไป ทำให้ลืมมาส่งผ้าเช็ดมือที่สถานธรรม แต่ก็ยังมา พอมาถึงสถานธรรม น้อง ๆ นักศึกษาได้ช่วยกันส่งผ้าเช็ดมือแล้ว ผู้น้อยล้างมือเสร็จ "ซันเจี้ย" กราบคารวะรายงานตัวเสร็จไม่มีอะไรให้ทำ จึงลงไปที่ห้องบรรยายชั้นล่าง ลงไปถึงเห็นคนรอรับธรรมะสามคนนั่งอยู่ที่นั่น ดูอย่างกับนั่งคอย จึงนั่งลงเป็นเพื่อน ชวนกินผลไม้ (ปอก หั่นแล้ว) หลังจากเจี่ยงซือมาเชิญให้เขาขึ้นไปฟังปฐมนิเทศธรรม พวกเขาไปกันหมด ผู้น้อยจึงช่วยกินผลไม้ที่เหลือต่อไปจนหมด แล้วก็กลับบ้าน วันนั้น ไปสถานธรรมไม่ได้ทำอะไรเลยไม่ได้ส่งผ้าไม่ได้ร่วมอาราธนา ไม่ได้ทำอะไรสักอย่าง ผลงานหนึ่งเดียวคือกินผลไม้ที่เหลือจนหมด (ไม่ต้องเสียของ) ปรากฏว่าเบื้องบนจารึกว่า "มีกุศลมาช่วยงานธรรมะ" ทำไมจึงว่ามีกุศลจากการช่วยงานธรรมะ ก็เพราะไม่มีใครต้อนรับดุแล เราเข้าไปช่วยต้อนรับดูแล แต่ก่อนท่านเหล่าเฉียนเหยินเคยกล่าวว่า "เธออยู่ในอาณาจักรธรรม ปฏิบัติบำเพ็ญ ไม่เป็นคุณก็เป็นโทษ ไม่ใช่สุขวาสนาก็เป็นการลบล้างบุญวาสนา" เราไม่ได้ทุ่มเทใจให้ก็เป็นลบล้างบุญวาสนา ผู้น้อยตั้งใจจะบริการรับใช้ แต่ตื่นสายไป กลายเป็นรับบริการ เราไม่มีบุญกุศลยังรับบริการเสียอีก ฉะนั้น เราปฏิบัติบำเพ็ญอยู่ในอาณาจักรธรรม จะต้องเอาจริงเอาจังจริง ๆ จะต้องทันท่วงที ทันการ เพราะ "มีงานสร้งบุญได้ง่าย ไม่มีงานสร้างบุญได้ยาก" เราไม่ได้สร้างบุญ บุญกุศลก็จะไม่พอ เราก็ยากที่จะจิตใจใสสว่าง อันนี้มันแน่นอน เรามักจะจำคนที่รับธรรมะที่สถานธรรมได้แม่นยำ แต่กับคนที่ไม่ได้มารับธรรมะที่สถานธรรมเรามักจะลืมเขา ผู้น้อยไม่รู้ว่าตนเองเคยได้ถามคนมาห้าพันคนกว่าคนแล้ว เพื่อเชิญเขามารับธรรมะที่สถานธรรม ถ้าหากให้ท่านไปถามใครอย่างนี้ วันละหนึ่งคนสิบปีก็พึ่งจะถามได้สามพันหกร้อยคน ตอนนั้น ผู้น้อยรับธรรมะยังไม่ถึงสิบปี แต่ก้ได้ถามเพื่อนำพาเขามารับธรรมะแล้วถึงห้าพันคน เราปฏิบัติบำเพ็ญธรรมจะต้องจับเวลาไว้ให้มั่น ไม่ให้เสียโอกาส ถ้าถึงเวลาต้องทำการงานรับผิดชอบครอบครัวแล้ว จะไม่มีเวลาร่วมงานธรรมได้มาก ฉะนั้น เมื่อยังทำได้ ได้ทำ ทุกเวลาจะต้องจับไว้ให้มั่น ร่วมงานได้ ร่วมให้เต็มที่ ไม่ต้องกลัวคนทางบ้านจะขัดขวางต่อต้าน ถ้าเราไม่ทะยานตนออกมา การถูกทดสอบจากทางบ้านก็จะใหญ่มากขึ้น จึงต้องหาทางไปร่วมงานจับโอกาสเวลาทุกขณะที่จะร่วมงานได้ไว้ให้มั่น พอผ่านการทดสอบแล้ว พลังจะเพิ่มพูนยิ่งขึ้น
-
แรงปณิธานกับแรงบาปเวร
ตอนที่ 5
แจกแจง "หอผิดบาป"
ผู้น้อยได้เห็นข้อความเหล่านั้นแล้ว เกิดอาการดีใจผยองตนขึ้นมาทันที คิดว่า "ที่แท้บุญกุศลของเราไม่น้อยแล้ว มิน่าเล่า พระองค์จอมชันษาฯจึงช่วยชีวิตเรา" แน่นอน นี่เป็นความคิดของคนตาบอด เพียงแค่คิดเท่านั้น พระองค์จอมชันษาฯก็รับทราบทันที พระองค์เรียกว่า "เจ้าออกมานี่ ออกมานี" ก่อนหน้านี้ ผู้น้อยจะก้มศรีษะเหลือบดูพระองค์จอมชันษาฯ ตลอดเวลา แต่พอเห็นผลบุญบารมีของตนเองแล้วชักลืมตัว จึงเงยหน้ายืดไหล่ พระองค์โปรดว่า "อย่าดีใจไป เห็นบ้านหลังตรงข้ามนั่นไหม" ที่ดูอยู่ตรงหน้าขณะนี้คือ หอบุญกุศลรูปทรงเสลี่ยงเจ้า สูงกว่าโต๊ะพระขนาดใหญ่ฟุตกว่า แต่ที่พระองค์ให้ดูหอตรงข้ามนั้น เป็นสิ่งปลูกสร้างสูงสามชั้น สีดำ ชั้นหนึ่งของหอดำ ยกระดับสูงขึ้นไปอีก (เหมือนอาคารต่อเติม) เท่ากับความสูงของอาคารทางโลกอีกสามชั้นและอีกสามชั้น ฉะนั้น หอดำสามชั้นจึงเท่ากับเก้าชั้นของเรา พระองค์จอมชันษา ฯโปรดว่า "ในหอนี้ บันทึกโทษผิดบาปในการปฏิบัติบำเพ็ญของผู้ที่ได้รับธรรมะแล้ว" พระองค์โปรดว่า "เจ้าก็เข้าไปดูเสียด้วย" ผู้น้อยกลัวมาก คิดว่า "เราทำอะไรไปบ้างหนอ... ทำไมจึงมีโทษผิดบาปมากมายอย่างนี้" เข้าไปชั้นที่หนึ่ง เป็นบันทึกเกี่ยวกับ "เทียนมิ่ง"
ข้อหนึ่ง "ตั้งปณิธาน ไม่บรรลุปณิธาน" เช่น มาตั้งปณิธานที่สถานธรรม (มาบนบาน) จะบริจาคเพื่อตนเองหรือบริจาคเพื่อสถานธรรม ทุกคนทำการอุทิศส่วนกุศลทำเป็น โดยมีแต่ปณิธาน ไม่มีการกระทำจริง เบื้องบนก็จะจดว่า "ตั้งปณิธาน ไม่สำเร็จปณิธาน" ยังมีอีกคือ "ปณิธานพล่อย ๆ" พูดเล่นไปตามเพลง เช่น "นำพามารับธรรมะ หนึ่งร้อยคนไม่มีปัญหา" ตั้งปณิธานแล้วจะต้องไปทำจริง ๆ ให้ได้หนึ่งร้อยคน จึงว่าบางอย่างพูดพล่อย ๆไม่ได้ เราตั้งปณิธานพล่อย ๆ แต่เบื้องบนบันทึกไว้จริง ๆ ถ้าเราจะไม่ทำตามนั้นก็ต้องหาทางบอกกล่าวต่อเบื้องบนเอง เราไปชักชวนคน คน ๆ นั้นยอมรับว่าจะมารับธรรมะ แต่สุดท้ายเราไม่ได้นำพาเขามา อย่างนี้เราก็มีผิดบาป ในเรื่องนี้ ผู้น้อยเห็นความผิดใหญ่สองกรณีคือ
1. คนคนนี้รับปากว่าจะมารับธรรมะ แต่พลาดจากวาระบุญ ข้าง ๆ ชื่อของเขา มีชื่อคนอื่น ๆ อีกประมาณห้าร้อยกว่าคน (เขาพลาดวาระบุญ เพราะเราไม่ได้ไปนำพาเขามา) มีหมายเหตุว่าห้าร้อยกว่าคนนี้ จะถึงวาระบุญได้รับธรรมะ ครั้งหน้าเมื่ออีกสิบชาติต่อไป
2. อีกคนหนึ่งที่พลาดจากบุญวาระรับธรรมะ ข้าง ๆ ชื่อของเขาก็มีรายชื่อหนึ่งพันกว่าคน มีหมายเหตุว่า หนึ่งพันกว่าคนเหล่านี้ จะถึงวาระบุญได้รับธรรมะครั้งหน้าเมือ่อีกสามสิบชาติต่อไป
ทั้งสองรายนี้ ผู้น้อยได้พูดจากับเขาไว้อย่างมั่นเหมาะ คิดว่าไม่ยาก เสร็จธุระแล้วพาเขามารับธรรมะ ทุกอย่างโอเค แต่ผลสุดท้าย พอผู้น้อยหายป่วยแล้วไปหาเขาปรากฏว่า เขาทั้งสองตายไปก่อนหน้านี้ คนหนึ่งประสบอุบัติเหตุจากรถชน อีกคนหนึ่งเป็นมะเร็งตายจากยาเสพติด คนนี้อีกสามสิบชาติจึงจะได้มารับธรรมะ คนที่เกิดอุบัติเหตุจะต้องอีกสิบชาติ ผู้น้อยไม่รู้ว่าเขาตายเสียแล้ว ไม่ทันได้เพิ่มพูนบุญปัจจัยแก่เขา เมื่อถึงเวลาบุญจะได้รับธรรมะอาจเป็นไปได้ว่า ขณะเดียวกัน เวรกรรมตามมาทวงก็ได้ประชิดติดตัวแล้วพร้อมกัน เมื่อเวรกรรมที่ร่วมกันกระทำมาถึงคราวจะเก็บล้าง เหตุนั้นจะเป็นไปได้หลายอย่าง ทั้งไต้ฝุ่น แผ่นดินไหว อุทกภัย จี้ปล้น อุบัติเหตุเรื่องรถ เรื่องถนน พร้อมที่จะกวาดล้างผู้ร่วมเวรกรรมหมู่ไปพร้อมกัน ฉะนั้น จึงมีเหตุบันดาลใจให้ใคร่ับวิถีธรรมบำเพ็ญ เหตุนี้ เราทุกคนจึงต้องรีบไปสกัด ไปฉุดช่วยนำพาใคร ๆ ให้ได้รับธรรมะ โดยเฉพาะยุคกาลนี้ เป็นวาระของบาปเวรประดังมา ผิดจากบุญวาระนี้แล้ว ไม่รู้จะต้องรอไปอีกกี่ชั่วคน หนึ่งชั่วคนหนึ่งชาติ หนึ่งชาติคือสามสิบปี สิบชาติ สามร้อยปี สามร้อยปีภายหลัง จะได้พบการปรกแผ่แพร่ธรรมอย่างนี้อีกหรือไม่ จะได้พบคน ๆ นี้อีกหรือไม่ เป็นเรื่องยาก รับรองไม่ได้ ถ้าสามสิบชาติ เก้าร้อยปี หนึ่งพันปียิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย จึงต้องรีบรักษาโอกาส
-
แรงปณิธานกับแรงบาปเวร
ตอนที่ 5
แจกแจง "หอผิดบาป" ปณิธาน 2 - 3
ข้อสอง " มนุษยธรรมไม่สมบูรณ์ "
ความผิดอีกข้อหนึ่งที่ใหญ่หลวงเช่นกัน คือ มนุษยธรรมไม่สมบูรณ์ หลังจากรับธรรมะและเราทำเต็มที่ต่องานทางอาณาจักรธรรม แต่กับพ่อแม่พี่น้อง เราไม่ได้ไปส่งเสริมนำพา ไม่ได้เป็นพี่น้องที่ดี ไม่ได้เป็นลูกที่ดี เป็นได้แค่ญาติธรรมที่ดี ยึดหมายข้างเดียวอย่างดี "มนุษยธรรมไม่สมบูรณ์" มรรคผลจะไม่กลมสมบูรณ์ ท่านเหล่าเฉียนเหยินได้โปรดไว้แต่ต้นว่า "ในชีวิตมีผู้เกี่ยวข้องอย่างแน่นแฟ้น ที่จะต้องพยายามหาทางนำพาให้ได้คือ
1. พ่อแม่ หากท่านจากไปเสียก่อนก็จะต้องทำการฉุดช่วยวิญญาณของท่านให้ได้รับวิถีธรรม
2. สามี ภรรยา ลูก จะต้องฉุดช่วยนำพา
3. พี่น้องหญิงชาย ที่คลานตามกันมา แสดงว่ามีบุญสัมพ์ต่อกันมา จะต้องฉุดช่วยนำพา
สุดท้ายคือ ญาติ เพื่อนพ้อง นี่ก็มีบุญสัมพันธ์ต่อกันมา จะต้องฉุดช่วยนำพาเช่นกัน เราจะต้องฉุดช่วยนำพาจากคนสนิทชิดเชื้อ แล้วขยายวงกว้างออกไปให้ทุกคนทางบ้านได้รับผล รับความสำเร็จในวิถีธรรม หากทุกคนทำความสำเร็จนี้ให้แก่ครอบครัวของตนได้ อาณาจักรธรรม การปฏิบัติบำเพ็ญก็จะมั่นคง เบื้องต้นที่ผู้น้อยเข้าสู่อาณาจักรธรรม ก็ด้วยความตั้งใจจะอุทิศตนเพื่องานธรรม เวลาเกือบทั้งหมดอยู่ในอาณาจักรธรรม ไม่ได้ใส่ใจทางบ้านเลยอย่างนี้ผิด บางท่านที่บำเพ็ญพรหมจารี ไม่มีพันธะ อุทิศตนทั้งหมด แต่ยังจะต้องปฏิบัติมนุษยธรรม กตัญญูดูแลพ่อแม่ มิฉะนั้น จะเสียหายแก่วิถีธรรมยุคขาว แม้ทางบ้านจะพูดจากันยาก ก็จะต้องหาทางส่งเสริม ไม่ส่งเสริม หนี้เวรจะยังติดค้างกัน
ข้อสาม "เจี่ยงซือไม่บรรยายธรรม ไม่ชี้แจงปณิธาน"
บ้านสีทองทรงเสลี่ยงเจ้าของผู้น้อยที่อยู่ในพื้นที่ "เทียนปั่ง ผังฟ้า" นั้น ชั้นสองเป็นที่เก็บข้อมูลโทษ ผิด บาปด้วยวาจา การกระทำของเจี่ยงซือ เจี่ยงเอวี๋ยน ถันจู่ ปั้นซื่อ เจี่ยงซือ จะต้องคล่องมหาปณิธานสิบ ใบคำขอรับธรรมะ แต่ก่อนไตรรัตน์จะเป็นเตี่ยนฉวนซือบรรยาย เจี่ยงซือทำหน้าที่พูดปณิธานกับใบคำขอ แต่ภายหลังธรรมกิจขยายใหญ่ เตี่ยนฉวนซือจึงรับผิดชอบปั้นเต้า ซันเป่าให้เจี่ยงซือบรรยาย เป็นเจี่ยงซือ จะต้องบรรยายปณิธานในการรับธรรมะ มิฉะนั้น แม้เขาจะรับธรรมะแล้วแต่ไม่มาปฏิบัติบำเพ็ญอีก เพราะไม่รู้ว่าตัวเองได้ถวายปณิธานอะไรไว้ เป็นเจี่ยงซือ ไม่พูดเรื่องปณิธานสิบกับใบคำขอถวายชื่อ สนใจแต่จำนวนคนรับธรรมะ เจี่ยงซือผู้นั้นจะมีความผิด เมื่อมีผู้รับธรรมไม่เข้าใจ เขาก็จะผิดศีล ผิดปณิธาน เพราะเจี่ยงซือไม่ได้บอกกล่าวจึงต้องรับผิดชอบความผิดของเขาด้วย หลายคนเข้าใจว่า พูดปณิธานสิบทุก ๆ ข้อ คนรับธรรมะฟังแล้วจะกลัว ไม่กล้ากลับมาบำเพ็ญ แท้จริงแล้วไม่ใช่ญาติธรรมกลัว เจี่ยงซือเองต่างหากที่กลัว จึงไม่พูด เจี่ยงซือควรจะบอกเขาว่า "วันนี้ เราได้มารับวิถีธรรม ถวายปณิธานบุญเบื้องหน้าพระแท่นฯ จากนี้ไปเราจะต้องรักษาใจดีงาม แปรร้ายให้เป็นดี เป็นคนใหม่..." อธิบายคร่าว ๆ อย่างนี อย่างน้อยทำให้เขารู้ว่าปณิธานที่กล่าวถวายไปเมื่อสักครู่นั้นไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ เราไม่ค่อยเห็นความสำคัญเรื่องนี้นัก วันข้างหน้าจะต้องรับโทษที่เบื้องบนทั้งนั้น ปณิธานหกที่ถวายหลังการประชุมธรรม เราจะบอกว่ามีหัวข้อบรรยายไปแล้วไม่ได้ เราเป็นอิ๋นเป่าซือ จะต้องย้ำเตือนเขาว่า "มีปณิธานข้อนี้ ๆ ให้ได้ถวาย คุณประมาณการดู" เราเกรงแต่ว่าเขาจะกลัว จะไม่ถวายปณิธาน จึงไม่กล้าพูด ไม่พูดเราก็จะต้องรับผิดชอบเอง เดี๋ยวนี้คนรับธรรมะจึงด้อยคุณภาพลงไปทุกที ญาติธรรมก็ส่งเสริมได้ยากขึ้นทุกที ใจพระโพธิสัตว์ไม่บังเกิด ภายหน้ายิ่งจะต้องยากต่อการส่งเสริม
-
แรงปณิธานกับแรงบาปเวร
ตอนที่ 5
แจกแจง "หอผิดบาป" ปณิธาน 4 - 5
ข้อสี่ "สามบริสุทธิ์ สี่เที่ยงตรง พุทธระเบียบไม่พูด หรือ พูดพล่อย ๆ"
พูดสามบริสุทธิ์ สี่เที่ยงตรง ให้เขาฟังครั้งหนึ่ง ญาติธรรมก็ก้าวหน้าขึ้้นอีกครั้งหนึ่ง พอญาติธรรมมาถึงสถานธรรม บรรยายกาศก็ไม่เหมือนกัน ยิ่งไม่พูด บรรยายก็ยิ่งจะตกต่ำ งานธรรมะสืบต่อมาได้นานเพียงนี้ ก็ด้วยอาศัยการปฏิบัติ "สามบริสุทธิ์ สี่เที่ยงตรง" แต่ถ้าหากเราคิดจะดำเนินธรรมกิจเพียงไม่กี่สิบปีก็ไม่ต้องพูดถึง "สามบริสุทธิ์ สี่เที่ยงตรง" เราก็จะพูดถึงแต่ปาฏิหาริย์ ประจักษ์หลักฐาน ปรากฏการณ์วิเศษ แต่ถ้าจะดำเนินต่อไปให้ยาวนาน จะไม่พูดถึง "สามบริสุทธิ์ สี่เที่ยงตรงกับพุทธระเบียบ " ไม่ได้ เจี่ยงซือ เจี่ยงเอวี๋ยน ยังผิดต่อข้อ "ไม่บำเพ็ญฝึกฝนจริง" ต่อพุทธระเบียบ ต่ออาณาจักรธรรม ต่อพงศาธรรม ไม่เข้าใจหลักแท้จริง ใครเขาถาม ก็ตอบไปตามเรื่อง นี่คือก่อเกิดโทษผิดบาป ถ้าไม่รู้ก็ต้องตอบว่า "ผู้น้อยยังไม่ค่อยถ่องแท้ รอให้ผู้น้อยเรียนถามเตี่ยนฉวนซือให้เข้าใจดีเสียก่อน แล้วจึงจะพูดให้คุณฟังได้ไหม" เมื่อก่อน ผู้น้อยชอบแสดงความสามารถ พูดไปตามเรื่อง เบื้องบนได้จดความผิดข้อนี้ไว้ ไม่เข้าใจอย่าทำเป็นเข้าใจ มิฉะนั้นจะก่อโทษผิดบาปไว้แก่ตน ปัจจุบัน อาณาจักรธรรมของเรามีปัญญาชนมากมาย ความรู้สูง เราจะพูดส่ง ๆ ไปไม่ได้ โดยแท้จริง ธรรมะวิเศษสูงส่งยิ่ง พวกเขาก็รับรู้ แต่พอฟังเราพูดไม่รู้เรื่อง เขากลับถดถอยไม่อยากเข้ามาร่วมด้วย เราก็จะมีผิด
ข้อห้า "เคลือบแฝงเสแสร้ง"
เป็นเจี่ยงซือ เจี่ยงเอวี๋ยน ดีแต่บอกผู้น้อยว่า "เธอไปทำนั่น เธอไปกวาดนี่" เท่ากับเราทำได้แค่มอบหมายให้ผู้อื่นทำงาน ธรรมกิจกับธุรกิจแตกต่างกันมากที่สุด ก็คือ ธรรมกิจจะต้องเอาตนเป็นแบบอย่าง ไม่ใช่แจกงานให้ใคร ๆ โดยที่ตนเองไม่ได้ลงมือทำหรือนำพา อย่างนี้ก็เรียกว่า "เคลือบแฝงเสแสร้ง" เป็นเจี่ยงซือ จะต้องเกรงการพูดที่ตนเองไม่ได้ทำจริง เรียกว่า "ดีแต่พูด" ที่พูดมานี้ ล้วนเป็นเรื่องที่ผู้น้อยเคยผิดมา ที่ไม่กล้าสารภาพเพราะรักษาหน้าเป็นสำคัญ หลายปีมานี้ ผ่านการส่งเสริมด้วยเมตตาจากเตี่ยนฉวนซือแล้ว ผู้น้อยจึงค่อยวางอัตตาลง จึงกล้าสารภาพต่อท่านทั้งหลายได้ว่านี่เป็นโทษผิดบาปของผู้น้อย ถ้าเราดีแต่พูด ก็จะเป็นแต่ชื่อไม่มีผล เราก็จะเป็นแค่เจี่ยงซือที่พูดได้ ได้แต่ชื่อจอมปลอม เราจะต้องตั้งตนเป็นแบบอย่าง เป็นเจี่ยงซือที่เป็นปากเสียงกล่อมเกลาผู้คนแทนฟ้าเบื้องบนจึงจะถูก
-
แรงปณิธานกับแรงบาปเวร
ตอนที่ 5
แจกแจง "หอผิดบาป" ปณิธาน 6 - 7
ข้อหก "ไม่บำเพ็ญฝึกฝนจริง"
หากเข้าร่วมงานประชุมฝ่าฮุ่ย หรือชั้นศึกษาธรรมเพื่อร่วมวง ใหเดูดีมีเรามาด้วย หรือวันนี้มีอาวุโส มีบุคคลสำคัญมา หรือถูกเรียกร้องให้มาเข้าครบจำนวนห้าสิบคน ลำดับจากอาวุโส แล้วเราเป็นคนที่ห้าสิบพอดี ต่างมาด้วยความไม่เต็มใจ อย่างนี้ผิด เพราะไม่บำเพ็ญฝึกฝนจริง จะต้องรู้ว่า หัวข้อไหน ๆ ก็มีประโยชน์ อยู่ในตัว เพียงแต่เข้าศึกษาแล้วรู้จักพิจารณา ค้นหาคุณประโยชน์ จากการบรรยายนั้น ก็คือบำเพ็ญฝึกฝนจริง หากมาอย่างเสียไม่ได้ ให้มันครบจำนวนก็แล้วกัน ร่วมวง ร่วมวันเวลาไปเรื่อยเปื่อย ล้วนจะต้องรับผิดในข้อนี้
ข้อเจ็ด "ไม่ทำตามท่านจัดสรร"
ได้รับเชิญให้มาบรรยายในหัวข้อนี้ ก็เพราะเขาเห็นความสามารถของเรา แต่เรากลับไม่มา ปฏิเสธว่า "ไม่ได้" ถ้าขัดจริง ๆ จะต้องบอกว่า "เปลี่ยนเวลาได้ไหม" อย่างนี้ปณิธานเจี่ยงซือจึงจะไม่ขาดแหว่ง จะปฏิเสธว่า "ไม่ได้ ก็คือไม่ได้" ไม่ได้ เดี๋ยวนี้ มีเจี่ยงซือไม่น้อยที่สลับหัวข้อ สุดท้าย คนอื่นได้ลุล่วงปณิธานไป ตัวเองกลับไม่ได้ อย่างนี้เรียกว่า "ไม่ทำตามท่านจัดสรร" ฉะนั้น เมื่ออาวุโสจัดสรรมอบหมายให้ไปรับผิดชอบชั้นศึกษา แต่เราไม่ยินดีอีกทั้งความไม่ยินดีนั้นยังไม่มีเหตุอันควรเสียอีก แน่นอน ต้องเรียกว่า "ไม่ทำตามท่านจัดสรร" แต่ถ้ามีเหตุอันควร เช่นที่บ้านจำเป็นให้กลับไปดูแล นั่นก็จะไม่อยู่ในข่ายความผิดนี้
-
แรงปณิธานกับแรงบาปเวร
ตอนที่ 5
แจกแจง "หอผิดบาป" ปณิธาน 8 - 9
ข้อแปด "ไม่เห็นทางอริยะสำคัญกว่าทางโลก"
ที่ผู้น้อยผิดข้อนี้คือ ชั่วโมงการบรรยายของอาณาจักรธรรม กำหนดไว้แน่นอนแล้ว แต่เวลาชนกับงานทางโลกของผู้น้อย จึงคิดไม่อยากไปเจริญปณิธานหาเหตุผลเบี่ยงบ่าย อย่างนี้เรียกว่า "ไม่เห็นทางอริยะสำคัญกว่าทางโลก" เรามาสถานธรรมด้วยความรู้สึก "วันนี้ที่มาฉันได้เสียสละเวลาไปไม่น้อยเลย..." ถ้าคิดอย่างนี้ก็ผิดต่อข้อ "ไม่เห็นทางอริยสำคัญกว่าทางโลก" เช่นกัน ฉะนั้น ทุกครั้งที่มาสถานธรรม อย่าได้รู้สึกเหมือนจำใจ อึดอัดขัดข้องอย่างนี้ไม่ตรงต่อใจฟ้า
ข้อเก้า "ถันจู่ไม่พูด ไม่สอนพุทธระเบียบ"
ที่ตำหนักพระมีชั้นศึกษา แต่ถันจู่ไม่มา ในปีหนึ่งแม้แต่ชั่วโมงศึกษา ก็ไม่เคยมารักษาการณ์ เป็นถันจู่บกพร่อง ผู้เป็นถันจู่ จะต้องสอนญาติธรรมให้เข้าใจพุทธระเบียบ ฉะนั้น ตนเองจะต้องคล่องพุทธระเบียบ ถ้าหากตำหนักพระนี้เปิดชั้นเรียนมาทั้งปี มีญาติธรรมจบหลักสูตรไปร้อยกว่าคน แต่ไม่เป็นพุทธระเบียบ ถันจู่ที่รับผิดชอบตำหนักพระนี้ก็จะต้องแบกรับความผิดหนึ่งร้อยราย ฉะนั้น จึงต้องสอนเขา และอย่างเป็นทางการ ไม่ใช่สอนให้คำนับฉบับย่อทุกครั้ง พอถึงวันจะปั้นเต้า เขายังคารวะไม่เป็น จึงต้องสอนอย่างเป็นทางการพิธีเต็ม ที่ญาติธรรมไม่เต็มที่ได้ ก็เพราะเราถันจู่ไม่เต็มที่ นี่เป็นความผิดของถันจู่
-
แรงปณิธานกับแรงบาปเวร
ตอนที่ 5
แจกแจง "หอผิดบาป" ปณิธาน !0-11
ข้อสิบ "ถันจู่ผิดศีลปาณาติบาต"
เราถันจู่ได้เก็บกวาดตำหนักพระหรือไม่ ตอนเก็บกวาดเห็นแมลงสาป ยุง แมงมุม เราทำอย่างไร คนทั่วไปคือฆ่า แต่บ้างก็เชิญเขาออกไปให้พ้น จะฆ่าไม่ได้ ตำหนักพระเป็นของมวลเวไนยฯ สรรพชีวิตแมลงเหล่านี้ เขาก็เป็นสรรพชีวิต จะให้เขาไม่เข้ามาอยู่ จะต้องทำความสะอาดทุกอย่างให้เป็นระเบียบเรียบร้อย ครัวเราก็ไม่เก็บทำความสะอาด มีแมลงสาป มันของแน่อยู่แล้ว ถ้าเราฆ่ามัน เราจะผิดข้อปาณาฯ มาสถานธรรมแท้ ๆ ยังมาฆ่า ก็จะต้องชดใช้ด้วยชีวิต "ไม่ใช่เพราะเราพาคนมารับธรรมะหนึ่งคน จึงฆ่ายุงได้หนึ่งตัว" แต่จะต้องเอาบุญกุศลจากที่เราพาคนมารับธรรมหนึ่งคน อุทิศให้แก่เขาทั้งหลาย ที่เราเคยละเมิดศีลทำลายล้างไป
ข้อสิบเอ็ด "ไม่เคารพเซียนพุทธะ"
เรามักจะถวายธูปกำใหญ่ ขอเซียนพุทะะได้โปรดเมื่อญาติธรรมมีปัญหา นี่เป็นความผิดข้อที่ "ไม่เคารพเซียนพุทธะ" เราวอนขอแต่จะต้องมีข้อแม้ คือจะต้องมีปณิธาน จึงจะแสดงเหตุได้ จะต้องมีการอุทิศเสียสละจึงจะมีแรงหนุนช่วยได้ ได้แต่ขอ นั่นไม่ใช่หวังพึ่งพระมหาเมตตากรุณาธิคุณ แต่เป็นการขู่เข็ญบีบเค้นพระองค์ เราวอนขอเบื้องบนทรงโปรด อย่าให้เจ้ากรรมนายเวรมารังควานญาติธรรม แต่เซียนพุทธะล้วนยุติธรรม อีกทั้งเจ้าหนี้นายเวรมาถึงตัวจริง ๆ ก็ต้องหมายถึง ญาติธรรมคนนั้นเคยเป็นหนี้เขา ฉะนั้น จะต้องมีบุญกุศลอุทิศแก่เขา พระองค์จึงจะรอมชอมคลี่คลายได้ มิฉะนั้น ก็จะกลายเป็นว่าเซียนพุทธะท่านขาดความยุติธรรม ไปละซิใช่ไหม
วิธีกราบวอนขอ จะต้องทำอย่างนี้ คือ
ถวายน้ำชา ถวายผลไม้ แล้วจึงถวายธูปกำใหญ่ จากนั้น ถวายปณิธาน เช่นจะนำพาคนมารับธรรมะหนึ่งร้อยคน แสดงปณิธานต่อเซียนพุทธะเสียก่อน แล้วจึงค่อยวอนขอพระองค์ ได้โปรดช่วยพลิกผัน จากนั้นผู้วอนขอจะต้องตั้งใจปฏิบัติงานธรรม มีปณิธาน จึงจะมีเหตุปัจจัยให้พลิกผันได้ มิฉะนั้น จะพลิกผันอย่างไรได้ ถ้าเราเอาแต่วอนขอถ่ายเดียว มักจะเกิดการทดสอบ เราถวายธูปกำใหญ่ แล้วบอกญาติธรรมว่า "คงจะไม่มีปัญหา" แท้จริงแล้วผลจะกลายเป็นตาลปัตร อย่างนี้ ไม่ใช่เกิดการทดสอบหรือ ฉะนั้น จะต้องถวายปณิธานเสียก่อน แล้วค่อยวอนขอต่อเบื้องบนได้โปรด สมควรผ่านด่านก็จะผ่านได้ ไม่สมควรผ่าน ผ่านไม่ได้ ก็ขอเซียนพุทธะได้โปรด ประทานปัญญา และความกล้า ที่จะฝ่าด่านไปให้ได้
-
แรงปณิธานกับแรงบาปเวร
ตอนที่ 5
แจกแจง "หอผิดบาป" ปณิธาน 12-13-14
ข้อสิบสอง "ไม่เคารพพระอาจารย์ ไม่เทิดทูนธรรมะ"
เาลาที่เราประชุมปรึกษาหารือการงานในอาณาจักรธรรม มักจะโยนระเบิดใส่ผู้อื่นง่าย ๆ แต่ไม่ใช่โยนให้แต่ปัญหาที่จะต้องแก้ไข เราจะต้องพิจารณาความผิดพลาดของตน ไม่ใช่ไปพิจารณาของผู้อื่นเขา ถ้าเราวิจารณ์พี่น้องของตนเอง ก็เท่ากับลบหลู่พระอาจารย์ของเรา เองทางอ้อม อย่างนี้เรียกว่า "ไม่เคารพพระอาจารย์ ไม่เทิดทูนธรรมะ" ในระหว่างผู้บำเพ็ญด้วยกัน จึงควรชื่นชมส่งเสริมให้กำลังใจแก่กัน อย่าได้ตำหนิติเตียน ผลักภาระรับผิดชอบ ผลักความผิดไป โอบไว้แต่ความดี จะต้องฝึกการ ปกปิดสิ่งผิดของคนอื่น เอาแต่ความดีตีแผ่ สิ่งดีในอาณาจักรธรรม แพร่สะบัดได้ให้มาก สิ่งบกพร่องจะต้องช่วยกันโอบอุ้มอภัย สิ่งที่อภัยให้ไม่ได้เลยก็คือ ทำให้เขาเสียชื่อเสียง หากผิดต่อข้อนี้ จะไม่ควรแก่การเป็นผู้บำเพ็ญเลย เราทุกคนเมื่อมาถึงสถานธรรม ล้วนเป็นโอกาสที่จะเจริญปณิธานได้ โอกาสเหล่านั้น บางครั้งเป็นเตี่ยนฉวนซือมอบหมายให้ บางครั้งเป็นเจี่ยงซือมอบหมายให้ เราอย่าคิดว่าถ้าเป็นเตี่ยนฉวนซือมอบหมายละก็จะรับ ถ้าเป็นญาติธรรมใหม่รับมอบหมายผ่านมาให้ เราก็จะปฏิเสธว่า ไม่ว่าง ปฏิบัติบำเพ็ญ จะดูแต่หน้าตาใครไม่ได้ ให้ดูที่งานที่ความรับผิดชอบ
ข้อสิบสาม "วจีกรรม"
เบื้องบนทรงดูวจีกรรมอย่งไร อย่างเช่นมีคนพูดกับผู้น้อยว่า คนนั้นเขาเป็นอย่างนั้น ๆ อีกทั้งกำชับเป็นพิเศษว่า "อย่าพูดไปนะ" สุดท้ายผู้น้อยพุดต่ออีกทั้งยิ่งเล่าลืออกไปใหญ่ ข่าวนี้เข้าหุคนมากมายเท่าไร เราก็จะต้องรับผิดชอบเท่าจำนวนรายนั้น เบื้องบนตัดสินแรงกรรมของผู้นั้นจากผลสะท้อนของวจีกรรมนั้นว่า หนักหนาเพียงไร วจีกรรม จะเป็นผลสะท้อนต่อปัญญาญาณ ของอาณาจักรธรรมด้วย ภายหน้ากลับคืนเบื้องบน แน่นอนจะต้องถูกขังคุกสวรรค์ ฉะนั้น อาณาจักรธรรม จะต้องไม่นินทาว่าร้ายเป็นอันขาด แต่จะต้องกระตุ้นเตือนกันให้มาก เมตตากรุณาต่อกันให้มาก ให้กำลังใจส่งเสริมซึ่งกันให้มาก
ข้อสิบสี่ "ไม่ชำระปาก ไม่กินเจ"
ถวายปณิธานกินเจแล้ว แต่กลับไปทุเจผิดศีล หรือญาติธรรมทำผิด เราใช้คำว่าร้ายให้เขาตกไป บีบเค้นให้เขาไปจากอาณาจักรธรรม อย่างนี้ก็นับว่า " ไม่ชำระปาก ไม่กินเจ " เราเห็นใครเขาทำผิด ก็ด้วยใจเขาไม่ถูกต้อง แสดงว่าเราไม่ได้ชำระปาก บางคนชอบพูดว่าวิจารณ์นิสัยใคร ๆ อย่างนี้ แม้ได้ถวายปณิธานกินเจแล้ว ก้ไม่นับว่ากินเจ ความคิดจิตใจของตนเอง จับมั่นไว้ได้ชัดเจนแล้วหรือยัง ควบคุมความคิดจิตใจของตัวเองไว้ ควบคุมปาก ของตัวเองไว้ได้หรือเปล่า ไม่ทำร้ายเขา ไม่สอบเขา
-
แรงปณิธานกับแรงบาปเวร
ตอนที่ 5
แจกแจง "หอผิดบาป" ปณิธาน 15-16
ข้อสิบห้า "ลบหลู่นักธรรมอาวุโส"
เราอาจเข้าใจว่า "ลบหลู่นักธรรมอาวุโส" หมายถึงลบหลู่เตี่ยนฉวนซือกับเจี่ยงซือ เท่านั้น แท้จริงสำคัญที่สุดคือ ลบหลู่อิ๋นเป่าซือของตนเอง แรกเริ่มผู้น้อยนำพาคนมารับธรรมะเก่งมาก เกิดความรู้สึกว่า อิ๋นซือของเราอ่อนไปหน่อย เกิดความดูแคลน รู้สึกว่าอิ๋นซือของเราไม่เท่าไร ไม่รู้เลยว่าผิดต่อข้อ ""ลบหลู่นักธรรมอาวุโส" ไปแล้ว วันนี้ ที่เราปฏิบัติบำเพ็ญอยู่ในอาณาจักรธรรมอย่างนี้ได้ เป็นบุญคุณของใคร ลบหลู่อิ๋นเป่าซือ ก็คือลืมบุญคุณ อย่างนี้ไม่ใช่ผู้บำเพ็ญ เราจะต้องสำนึกคุณอยู่ทุกวัน ที่เรากราบพระทุกวัน เรากราบอิ๋นเป่าซือหนึ่งกราบด้วยใช่ไหม จึงมิให้ละเลยดูแคลนพระคุณของอิ๋นเป่าซือ
ข้อสิบหก "ผลไม้ ธูป ตกสู่พื้น"
เวลาจัดพานผลไม้ หากผลไม้ตกสู่พื้น ทั่วไปเราก็จะไม่ใส่พานถวายอีก แต่ปัญหามีอยู่ว่า ผลไม้เหล่านี้เราเราเป็นเจ้าภาพหรือเปล่า หรือว่าทางสถานธรรมเตรียมไว้แล้ว จึงให้เรามาจัดใส่พาน มาศึกษาเจริญปณิธาน เรายังไม่ทันได้ศึกษาก็ทำเสียหายแก่เงินทองของสาธุชนเสียแล้ว ฉะนั้น ถ้าเราทำตกหล่น จะต้องออกเงินซื้อมาเติมเต็ม นี่คือ บริสุทธิ์เรื่องเงินทอง พึงรู้ไว้ ของใช้ทุกอย่างในสถานธรรม ล้วนเป็นเงินบุญวาสนาจากสาธุชน ทำเสียหายจะต้องถูกตัดทอนไป ก็คือเสียหายแก่อายุขัย อย่าเข้าใจผิดว่า มาสถานธรรมแล้วจะอายุยืนแน่ ๆ ทั้งนี้ จะต้องดูจากเรารักบุญวาสนาเพียงไร ไม่ทิ้งขว้าง ไม่เสียหาย ไม่ฟุ่มเฟือย... ไม่รักวาสนา อายุจะไม่ยาวนาน ธูปกับไม้จันท์ก็เช่นกัน ซึ่งบางครั้งก็ตกหล่น ธูปที่ตกหล่น เช่นเดียวกับผลไม้ เท่ากับได้ก่อโทษผิดบาป อีกทั้งมากกว่าผลไม้ เพราะธูป ไม้จันท์ วางอยู่บนโต๊ะบูชา ไม่ได้เคลื่อนไหว ไม่น่าตกหล่น ทำตกหล่นแสดงว่า ความศรัทธา เคารพของเราไม่เพียงพอ ไม่มีใจนบนอบ
-
แรงปณิธานกับแรงบาปเวร
ตอนที่ 5
แจกแจง "หอผิดบาป" ปณิธาน 17-18
ข้อสิบเจ็ด "ทำเปี่ยวเหวินเสียหาย ไม่เคารพรักษา"
"เปี่ยวเหวิน ใบคำขอ" กับสถานธรรมล้วนเป็นสมบัติทางธรรมที่เป็นเครื่องใช้ถ่ายทอดวิถีธรรม "เปี่ยวเหวิน ใบคำขอ" เขียนผิดแก้ไขได้ แต่หากผิดมากไป จะต้องวงฆ่าทั้งใบเราก็จะผิดบาปจากการสิ้นเปลือง "เปี่ยวเหวิน ใบคำขอ" เสียหาย เบื้องบนก็จะมองดู เหมือนเก็บสถานธรรมไปแห่งหนึ่ง โทษผิดบาปจึงเท่ากัน เปี่ยวเหวิน ถวายขึ้นเบื้องบน ลงทะเบียนไว้ ณ เทียนปั่ง ผังฟ้า เป็นหลักฐานสำคัญที่สุด หากไม่มีเปี่ยวเหวิน สถานธรรมก็ไม่เกิดผลในการถ่ายทอดวิถีธรรมได้ ต่อไป ใครที่ยังเขียนไม่เป็น จะต้องมีผู้เขียนเป็นประกบตัวสอน แต่ถ้าเขียนเป็นยังเขียนผิด ยังเห็นไม่เป็นไร ความผิดนี้ยิ่งใหญ่ขึ้น อักษรที่เขียนผิดจะต้องลงว่าผิด ผิดทั้งใบวงทุกตัว ที่ผิดเผาในกระถางธูปบนโต๊ะบูชา อย่าไปเผาที่อื่น อีกทั้งต้องกราบสำนึกผิด หากถ่ายเอกสารเพื่อการฝึก จะต้องกราบทูลต่อเบื้องบนตามจำนวนทั้งหมดที่ใช้ฝึกหัด เปี่ยวเหวินจะต้องท่องจำให้ได้ ถ้าท่องไม่ได้ วันใดไม่มีเปี่ยวเหวินที่พิมพ์สำเร็จรูป จะปั้นเต้าเฉพาะหน้า จะทำอย่างไร จึงกล่าวว่า หากท่องเปี่ยวเหวินไม่ได้ เป็นเรื่องละอายต่อ "เทียนเอินซือเต๋อ" ยิ่งนััก
ข้อสิบแปด "หน้าไหว้หลังหลอก"
มาถึงสถานธรรมตำหนักพระ เห็นเตี่ยนฉวนซือคุกเข่ากราบด้วยความเคารพ แต่เมื่อมาถึง ขณะไม่เห็นใครอยู่ ณ ที่นั้น แม้แต่คำนับสามคำนับก็เว้นไป ถ้าเป็นเช่นนี้ ที่มากราบนั้น เพื่อให้ใครดูหรือ จิตใจอย่างนี้คือ ยึดหมายในรูปลักษณ์ "หน้าไหว้หลังหลอก" ยังมีคนอีกพวกหนึ่ง ต่อหน้าเคารพนบนอบอาวุโส ก็ทำบุ้ยใบ้กับญาติธรรมใหม่ ก็เรียกว่า "หน้าไหว้หลังหลอก"
-
แรงปณิธานกับแรงบาปเวร
ตอนที่ 5
แจกแจง "หอผิดบาป" ปณิธาน 19-20
ข้อสิบเก้า "โลภครองกุศลความดี"
หากมีอาวุโสถวายสิ่งของให้สถานธรรม ผู้รับผ่านมือเอาสิ่งของที่เขาถวายมา มอบให้เป็นสมบัติแก่ผู้อื่นต่ออีก ไม่ได้บอกกล่าวว่าใครสร้างบุญมา อย่างนี้คือ "ถือครองกุศลความดีของผู้อื่น" ทางที่ดี แต่ละสถานธรรมจะต้องจัดสมุดเล่มหนึ่ง ไม่ว่าญาติธรรมทำบุญด้วยอะไร จะต้องจดไว้ละเอียดตามนั้น แม้เขามาเก็บกวาดโดยสมัครใจก็ให้จดไว้ ให้ทุกคนรู้ว่า บุญกุศลของเขาไม่ได้ถูกลบล้างไป เพราะมีญาติธรรมบางคนใส่ใจมากว่า การให้ของ เขาจะเป็นที่ยืนยัยยอมรับหรือไม่ หากเราละเลยรั่วไหลในด้านนี้ไปบ่อย ๆ อาจเป็นเหตุทำให้เขาไม่มาสถานธรรมอีก เราก็จะกลายเป็นสอบเขาไปอีกรูปแบบหนึ่งใช่ไหม ไม่เพียงครอบครองกุศลความดีของเขาไป ยังสอบเขาให้ตกไปด้วย เวลามีประชุมฝ่าฮุ่ยหรือกิจกรรม บางครั้งข้าวของเหลือเฟือ เราฉวยกลับไปหนึ่งห่อ ก็นับว่าโลภครองกุศล ของคนอื่นไป แต่หากเหลือมากจริง ๆ จะต้องรอให้อาวุโสผู้รับผิดชอบเหล่านั้น ประกาศบอกกล่าวเสียก่อน จึงจะไปหยิบเอาได้ หากมิได้ประกาศบอกกล่าวไปหยิบเอง เท่ากับจาบจ้วงของสถานธรรม อีกทั้งจะถือวิสาสะพิสมัยหยิบส่งให้ใครเป็นทางการส่วนตัวก็ไม่ได้ พึงรู้ว่า สถานธรรมไม่ใช่ของเราคนเดียว ระเบียบนี้จะต้องชัดเจน มิฉะนั้นจะผิด
ข้อยี่สิบ "ไม่ขมากรรมสำนึกจริง"
ที่สถานธรรม จะมีพิธีขอขมากรรมวันสิ้นปี ก่อนหน้าจะต้องสำนึกพระคุณ สำนึกพระคุณเสร็จจึงขอขมา เพียงให้เราจริงใจสารภาพ ณ เบื้องพระแท่นอีกทั้งขอขมาเบื้องบนก็จะโปรดนิรโทษกรรม แต่เรามักจะขอขมากันง่าย ๆ แล้วทำผิดต่อไป โทษก็จะเพิ่มเป็นทวีคูณ เพราะรู้สึกผิดแล้วไม่แก้ไข ทำผิดต่อไปทั้ง ๆ ที่รู้ อย่างนี้เท่ากับไม่ได้บำเพ็ญเลย ทุกอย่างเบื้องบนจดหมด อย่างคิดว่า ปีหนึ่งๆ มีโอกาสขอขมากรรม มันซ้ำซาก จะต้องถามตนเองอยู่เสมอว่า บำเพ็ญจริงหรือไม่
บนชั้นสอง ของอาคารเก้าชั้น บันทึกแต่โทษ ผิดบาป ซึ่งได้แสดงออก อันจะเป็นผลกระทบต่อผู้อื่นแล้ว
บนชั้นสาม บันทึกแต่โทษ ผิดบาป ที่แม้้จะมิได้เป็นผลกระทบต่อผู้อื่น แต่ก็ได้ทำร้ายตนเองแล้ว ความคิด จิตดำริ มโนวิญญาณ แนวทางความคิด ความฟุ้งซ่าน ล้วนบันทึกอยู่บนชั้นนี้
เบื้องบนจะให้เราบำเพ็ญจนขาวสะอาด สว่างใสสง่าผ่าเผย ไม่อยากให้เราบำเพ็ญลับ ๆ ล่อ ๆ กลัวว่าผู้อื่นจะพูดถึงความบกพร่องของตน ที่กลัวก็เพราะจิตใจยังไม่กลมสมบูรณ์ ฉะนั้น ปฏิบัติบำเพ็ญจะต้องเผชิญหน้ากับตนเองได้อย่างจริงจััง แม้จะทำผิดใหญ่หลวงมาสักเพียงใด ก็จะได้รับอภัยโทษ ในทางตรงข้าม เราทำผิดเล็กน้อย แต่ให้ตายก็ไม่ยอมรับผิด สุดท้ายจะกลายเป็นเหตุของการตกต่ำไป
-
แรงปณิธานกับแรงบาปเวร
ตอนที่ 5
แจกแจง "หอผิดบาป" ปณิธาน 21-22-23
ข้อยี่สิบเอ็ด "แคลงใจในเทียนมิ่ง"
การกระทำอย่างไรที่แคลงใจในเทียนมิ่ง เช่น รับธรรมไม่บำเพ็ญ แต่กลับไปตามเทวสถาน ทรงเจ้าเข้าผี ติดตามถามเรื่องเวรกรรมสามชาติ เซียมซีที่ไหนแม่น ที่ไหนเฮี้ยนก็จะไป วันข้างหน้าจะถูกสอบปัญญา เพราะเราได้เข้าไปเกี่ยวพันกับเหตุผลกรรมต่าง ๆ มากมาย
ข้อยี่สิบสอง "ขัดเคืองผู้อาวุโส"
ความรู้สึกขัดคืองต่ออาวุโส แม้จะไม่ได้พูดออกมา ไม่นับวจีกรรม แต่เป็นมโนกรรม เพราะใจโทษโพย เป็นการทำร้ายจิตญาณตน ถ้าเก็บกดโทสะไว้ วันใดระเบิดก็จะทำร้ายแก่อาณาจักรธรรม
ข้อยี่สิบสาม "ยึดหมายในนามรูป กุศลผลบุญ"
อย่างเช่นผู้น้อยรู้ว่า นำพาคนรับธรรมะได้กุศลผลบุญทุกครั้งจะมีผู้อนุโมทนาว่า "สาธุ อนุโมทนา ตั้งใจเจริญปณิธานเต็มที่จริง ๆ " ดังนั้นแล้ว ผู้น้อยก็จะกระหยิ่ม ใจคิดว่า นำพาคนมากมายอย่างนี้ เป็นบุญกุศลใหญ่จริง ๆ แท้จริงไม่รู้ว่า สิ่งเหล่านี้มันไม่เท่าไรเลย แรงของมันไม่อาจต้านแรงเวรกรรมได้เลย จิตใจยึดหมายอย่างนี้ เป็นรากฐานก่อเกิดแรงเวรกรรม เพราะยึดหมายนั้นผิดต่อทางสายกลาง เขารับธรรมะได้ก็ด้วยบุญปัจจัยของเขา ไม่ใช่เราแน่
-
แรงปณิธานกับแรงบาปเวร
ตอนที่ 5
แจกแจง "หอผิดบาป" ปณิธาน 24
ข้อยี่สิบสี่ "รักษาศีลไม่ยั่งยืน"
กลางวันแม้เราจะรักษาศีลได้เป็นอย่างดี แต่กลางคืนใครเลยจะรู้ว่า ความคิดจิตใจของเราที่มีอะไรแฝงเร้นอยู่ มันได้ปรากฏออกมาในความฝัน ฉะนั้น เรื่องราวผิดศีลทั้งหลายจึงได้เกิดขึ้นอีก ผู้น้อยดูมาจนถึงตรงนี้แล้ว เศร้าเสียใจมาก พระองค์จอมชันษาฯ เรียกให้ออกมา ผู้น้อยออกมาด้วยน้ำตานองหน้า เมื่อเห็นพระองค์จอมชันษาฯ ไม่กล้าพูดอะไรอีก ได้แต่คุกเข่าลง พระองค์โปรดว่า "ไม่ต้องตื่นตระหนกใจ ที่ต้องประสบเรื่องราวเหล่านี้ ล้วนมีเหตุให้เป็นไป" วันนี้ไม่ว่าที่เจ้าเห็น จะเป็นบุญกุศลก็ดี หรือ ผิดบาปก็ดี ล้วนมีเซียนพุทธะช่วยเจ้าแบกไว้ ภายหน้าหากกุศลผลบุญถึงพร้อมสมบูรณ์ ทุกอย่างก็จะมลายไป แต่หากยังก้าวหน้าถอยหลัง ไม่ยั่งยืนมั่นคง ทำเหตุอะไรไว้ก็ต้องได้รับผลเช่นนั้น" ความหมายของพระองค์ คือ วันนี้ แม้เราจะได้รับ "เทียนเอินซือเต๋อ" คุ้มครองรักษา แรงเวรกรรมอันเป็นผลจะชะลอตัว แต่เราจะต้องปฏิบัติบำเพ็ญ แต่กายวาจาใจของเรา ไม่สอดคล้องต่อความเป็นผู้บำเพ็ญ ภายหน้า ก็ต้องไปรับผลกรรมตามเหตุนั้น จะไม่ใช่ด้วยเหตุว่า เรามาอาณาจักรธรรมแล้วจะมีเหตุต้นผลตาม ผู้น้อยจำได้ว่า พักหนึ่ง ช่วงปิดเทอมภาคฤดูร้อน ผู้น้อยไปร่วมแรงพัฒนาที่ธรรมปราสาทเทียนเอวี๋ยนฝอเอวี้ยน ท่านเหล่าเฉียนเหยินเห็นพวกเราจึงโปรดว่า "พวกเธอมาทำอะไรกัน" ผู้น้อยกราบเรียนว่า "เป็นอาสาสมัครพัฒนา" ท่านเหล่าเฉียนเหยินโปรดว่า "อยู่ที่บ้าน ขยันขันแข็งกันอย่างนี้หรือเปล่า ไม่ใช่ว่าละทิ้งทางบ้าน มาแต่อาณาจักรธรรมนะ" ธรรมวจนะของท่านเหล่าเฉียนเหยิน ครั้งนั้น ทำให้ผู้น้อยเกิดจิตสำนึกครั้งใหญ่ ภายหลัง ท่านเหล่าเฉียนเหยิน ยังโปรดถามว่า "บำเพ็ญธรรม ดีไหม" ผู้น้อย น้อมคารวะตอบว่า "ดีขอรับ" ท่านโปรดว่า "ดีก็ปฏิบัติออกมา" (ธรรมะไม่ใช่ดีเพียงรู้ แต่ดีที่เป็น เป็นจริงให้ปรากฏ)
ครั้งหนึ่ง เราผัดผักมามากเกินไป กินไม่หมด ก้านผัก ใบผักที่เลือกทิ้งไป ยังคงกองอยู่ข้างครัว (ซื้อมามากจึงเลือกกินแต่ยอด) ท่านเหล่าเฉียนเหยินเดินมาเห็นเข้า แต่ท่านไม่ว่ากระไร คืนนั้น เพราะปกติที่ธรรมปราสาทเทียนเอวี๋ยนฝอเอวี้ยน จะปิดไฟหมด เมื่อได้เวลาประมาณสองทุ่ม เพื่อประหยัดพลังงานไฟฟ้า เพื่อให้ทุกคนตื่นแต่เช้ามืด และ... พลันผู้น้อยก็ได้ยินเสียงผับ ๆ จึงออกมาดูว่าเป็นอะไร เสียงดังมาจาก "หอสำนึกคุณ กั่นเอินโหลว " ที่ท่านเหล่าเฉียนเหยินพำนักอยู่ จึงเรียนถามอาวุโสท่านว่าเป็นเสียงอะไร ภายหลังจึงได้ทราบว่า เศษผักดี ๆ ที่เราเลือกทิ้งไปกลางวัน ทำให้ท่านเหล่าเฉียนเหยินต้องตบหน้าท่านเองหลายฉาด เพื่อลบล้างบาปเวรแทนพวกเรา ปีนั้น ธรรมายุของท่านเก้าสิบปีแล้ว ท่านเหล่าเฉียนเหยินผู้สูงวัย ไม่รู้รับโทษบาปเวรแทนพวกเราผู้น้อยไปเท่าไร มิใช่เพียงบัดนี้ เรื่องนี้
การประชุมธรรม การเปิดชั้นศึกษาธรรม ความมักง่ายของพวกเราในทุกเรื่อง ทำให้ท่านเหล่าเฉียนเหยิน และ เตี่ยนฉวนซือ ต้องแบกรับโทษบาปไปแล้วเท่าไร ฉะนั้น เราทั้งหลายจะต้องพิจารณากันให้ดีสักหน่อย ตลอดเส้นทางที่ปฏิบัติบำเพ็ญมา อะไรที่น่าจะทำให้ดีกว่านี้ได้ อะไรที่ควรทำแต่ยังไม่ได้ทำ สุดท้าย พระองค์จอมชันษาฯ เอื้อมพระหัตถ์ผลักผู้น้อยเบา ๆ ผู้น้อยจึงได้กลับคืนสู่มิติภาวะของโลกอีกครั้งหนึ่ง
พอรู้ตัวตื่นขึ้น ได้พบตนเองในสภาพคุกเข่าบนเตียง ร้องไห้จนหมดสภาพ นั่นคือเช้าตรู่วันรุ่งขึ้น จึงเท่ากับได้ท่องเที่ยวไปประมาณสิบสองชั่วโมง พระองค์จอมชันษาฯ โปรดกำชับว่า "หลังอุบัติเหตุนี้แล้วสามปี เจ้าจะมีบุญวาระได้เผยแผ่เรื่องราวเหล่านี้เพื่อส่งเสริมผู้คน" ปีหมินกั๋วที่แปดสิบเก้า พอดีอาจารย์บรรยายธรรม แซ่เลี่ยว ที่ไถจง ได้ฟังเรื่องปาฏิหาริย์รอดตายนี้จากผู้น้อย จึงขอให้ผู้น้อยเขียนเป็นลายลักษณ์อักษร จะนำไปพิมพ์เป็นหนังสือให้ใคร ๆ ได้ประจักษ์ ผู้น้อยรับปาก เดือนเก้าของปี ผู้น้อยส่งต้นฉบับ เลี่ยวเจี่ยงซือไปจัดการนำออกเผยแพร่ เดือนสิบวันที่ห้า พอดีเป็นเวลาที่ผู้น้อยออกจากโรงพยาบาลครบสามปี
ความประจวบเหมาะที่เป็นจริงตามนี้ เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ยืนยันถึงวิถีธรรมจริง หลักสัจธรรมจริง และ พระโองการจริง ทั้งหมดขึ้นอยู่กับบุคคลว่าได้บำเพ็ญเช่นไร ปฏิบัติอย่างไร ทุกอย่างล้วนเป็นไปตาม "เทียนเอินซือเต๋อ" ทั้งนั้น
เราศึกษาอยู่ในอาณาจักรธรรม หลายปีมานี้ยิ่งอ่อนน้อมถ่อมตน แต่ใจจริงของเราเข้าถึงต้นธาตุต้นธรรมแล้วหรือยัง เราต่างรู้ว่าขยะเต็มถังจะต้องยกไปเททิ้ง จะบอกไม่ได้ว่าถังใบนี้ขยะเต็มแล้ว ไปซื้อฝาสวย ๆ มาปิดถังไม่ให้เห็นขยะนั้น ก็หมดเรื่องไป ไม่ว่าอายุทางธรรมของเราจะมากเพียงไร ล้วนจะต้องชำระจิตใจภายในให้สะอาดหมดจด ไม่ใช่ว่าในใจไม่เบิกบาน แสดงอาการรับหน้ากันไป อย่างนี้คือ หลอกตนเอง หลอกใครๆ หลอกเบื้องบนใช่ไหมภายหน้าจะบรรลุธรรมนั้นยากนัก เบื้องบนไม่โกหกเราเด็ดขาด มีแต่คนผิดพลาดต่อเบื้องบน
ขอบคุณอาวุโสทุกท่าน ที่ให้โอกาสผู้น้อยเจริญปณิธาน หากผิดพลาดประการใด ขอเบื้องบนได้โปรดเมตตา ขอบคุณอาวุโสทุกท่าน
ท้ายเล่ม
ฟั่นเซิ่งเจี๋ย เป็นอาจารย์บรรยายธรรม เป็นชายหนุ่มในอาณาจักรธรรม วงการปัญญาชน ด้วยความศรัทธาจริงใจ ได้ฉุดช่วยนำพาญาติ เพื่อนพ้องมากมาย ให้ได้รับวิถีธรรม ไม่เคยย่อท้อต่อการฉุดช่วย เสียสละตน อีกทั้งได้รับความเกื้อหนุนจากพุทธะเซียน แต่โดยไม่คาดคิด ด้วยเหตุที่ใจไหวเอน ปรารถนาจะหาเงิน ใจธรรมถดถอยไป แรงเวรกรรมตามติด... บันทึกเรื่องราวความเป็นจริงนี้ เป็นอีกประจักษ์หลักฐานที่ได้รับการปรกโปรดส่งเสริมจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เป็นเรื่องราวให้คติสอนใจ เป็นอุทาหรณ์แก่ผู้ปฏิบัติบำเพ็ญ เป็นอย่างดี
~ จบเล่ม ~