collapse

ผู้เขียน หัวข้อ: พระราชากับเสื้อแห่งความสุข  (อ่าน 1386 ครั้ง)

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
***พระราชากับเสื้อแห่งความสุข***

เมื่อพระราชาป่วยหนักโดยไม่รู้สาเหตุ ราชสำนักจึงวุ่นวาย ไม่มีใครรู้ว่าทำไมพระราชาที่แข็งแรงมาตลอดจู่ ๆ ก็ต้องมาล้มเจ็บลงอย่างกะทันหัน พระราชามีอาการไข้สูง หน้าแดง และลุกเดินหรือแม้เพียงลุกจากเตียงก็ไม่ได้ แต่ทรงเสวยอาหารและทรงดื่มได้เป็นปกติ หมอหลวงทั้งสิบคนไม่มีใครรู้จักโรคจึงไม่สามารถวินิจฉัยโรคได้ พระราชาก็เลยส่งไปลานประหารทั้งสิบคนให้ไปเรียนวิชากันใหม่ในปรภพ ในที่สุดก็ต้องประกาศหาแพทย์จากภายนอกพระราชวัง แต่ก็ไม่มีใครยอมมา พวกหมอทั้งหลายต่างพากันเลิกอาชีพแพทย์ เพราะกลัววินิจฉัยโรคพระราชาไม่ได้ จะพลอยถูกสั่งให้ตายฟรี ๆ ดังนั้นจึงหันไปหาอาชีพอื่นหรือไม่ก็หลบหนีหาที่ซุกซ่อนตัวในที่ต่าง ๆ

อย่างไรก็ตาม มีหมอที่มีชื่อเสียงมากที่สุดสองคน ที่หนีอย่างไรคงไม่พ้นเพราะชื่อเสียงที่ค้ำคอจนหนีตัวเองไม่ได้ หมอที่มีชื่อเสียงว่าเก่งคนหนึ่งนั้นยากจนเหมือนกับหนูแก่ ๆ ในบ้านคนจน เขาอยู่กับห้องหนังสือและการค้นคว้า หากว่ารักษาไม่หายก็ไม่เรียกร้อง

หากว่ารักษาไม่หายคนไข้ตายไปญาติก็ยังแซ่ซ้องว่าพยายามแล้ว หมอที่ดีคนนี้ดูพระราชา แต่ไม่ว่าจะตรวจอย่างไรก็ไม่พบอะไรผิดปกติ

"พระองค์ทรงแข็งแรงยิ่งกว่าคนธรรมดาเสียอีก" หมอบอกกับพระราชา

และทันทีนั้นพระราชาก็บอกกับทหารรักษาพระองค์

"เอาหมอไปประหารเดี๋ยวนี้ ! "

ส่วนหมอที่มีชื่อเสียงอีกคนหนึ่งที่เข้าเฝ้าพระราชา เขามาด้วยอาการหน้าซีดเหมือนกับไก่ต้มฟัก หมอคนนี้ไม่เคยอ่านหนังสือหรือค้นคว้าอะไรทั้งสิ้น แต่เขาเลือกที่จะรักษาคน คนที่ป่วยหนักไม่รักษา คนไม่มีเงินไม่รักษา และคนแก่ก็ไม่รักษา

หมอสั่งให้พระราชาอ้าปาก แล้วทันทีก็ดีดนิ้วมือเป๊าะ ๆ "โอ" เขาพูด

"พระราชาป่วยจริง ๆ ด้วย แต่รักษาง่ายมาก"

เขาประกาศพร้อมกับบอกวิธีรักษาเสียงดัง

"ขอให้ไปหาเสื้อของผู้ที่มีความสุขตลอดเวลา มาให้พระราชาใส่นอนเป็นเวลาหนึ่งคืน พระราชาก็จะหายเป็นปกติ" หมอยืนยัน

พระราชาสั่งทันควัน ทหารจำนวนมากถูกสั่งให้ไปหาเสื้อตัวนั้น มาให้ได้ก่อนค่ำของวันนั้น ทุกคนแยกย้ายกันไปทุกทิศทุกทาง เพื่อหาเสื้อแห่งความสุขมาให้พระราชาสวมใส่ให้ได้

ทหารบางคนไปถามเศรษฐีที่ร่ำรวยเหลือล้น มีบ้านช่องใหญ่โตมีข้าทาสบริวารเป็นร้อย แต่ก็ไม่มีเศรษฐีมหาเศรษฐีแม้แต่คนเดียวที่บอกว่าตนเองมีความสุข

"อย่าว่าแต่ตลอดเวลาเลย แม้แต่ความสุขเพียงอึดใจเดียว ข้าก็ไม่เคยจะมีกับเขา" พวกเศรษฐีทุกคนต่างกล่าวเหมือนกันเช่นนั้น

ทหารบางคนไปหาหัวหน้าข้าราชการและผู้ทรงเกียรติระดับสูง เผื่อว่าเกียรติยศและตำแหน่งอาจให้ความสุขตลอดเวลาได้บ้าง ก็พบแต่คนที่ส่ายหน้า

"มีความสุขกับผีอะไรกัน วัน ๆ เอาหัวให้ติดอยู่กับบ่าได้ก็บุญโขแล้ว"

พวกเขาไม่มีทางรู้ว่าเมื่อไรจะถึงเวลาที่พระราชาจะสั่งประหาร

"พ่อข้าเคยสั่งเอาไว้ว่า บรรดางานอาชีพทั้งหมด ที่ควรจะหลีกหนีให้พ้น มีเพียงประการเดียวนั่นก็คือ งานหรืออาชีพใดที่ทำให้ต้องเข้าไปอยู่ใกล้กับพระราชา"

"แต่พวกข้าไม่เชื่อ และตอนนี้รู้ทั้งรู้ก็ถอนตัวไม่ได้ ถอนก็ตายไม่ถอนก็ตาย แล้วจะให้มีความสุขอย่างไร" ตกลงเศรษฐี ข้าราชการก็ไม่ใช่ผู้มีความสุขตลอดกาล

ทหารอีกกลุ่มหนึ่งจึงไปหาพวกพระที่หนีไปอยู่ป่า แสวงหาวิเวก ผู้ปฏิบัติสมาธิโดยคิดว่าพวกเขาน่าจะเป็นผู้ที่มีความสุขตลอดเวลาที่สุด แต่ไม่ว่าพระหรือนักบวชสัญญาสีที่ไหนคนใดล้วนตอบเหมือน ๆ กัน

"หากว่าข้ามีความสุข ข้าจะมานั่งทรมานกายทรมานใจอด ๆ อยาก ๆ กันไปทำไมกัน เพราะข้ามีแต่ความทุกข์ ข้าถึงพยายามหนีตัวเองให้พ้นอยู่นี่ไงล่ะ ?" ตกลงนักบวชหรือพระก็ไม่ใช่ผู้มีความสุขตลอดกาลอีกเหมือนกัน

ทหารพากันไปหาที่ไหน ๆ ก็ไม่พบคนมีความสุข นางคณิกาไม่มีความสุข ครูและอาจารย์ก็ไม่มีความสุข กวีและนักดนตรีเมื่อไม่เขียนหรือท่องกวีหรือเล่นดนตรีก็ไม่มีความสุข ใครเล่าที่ท่องกวีเล่นดนตรีจนไม่ทำมาหากิน คนเราลงต้องอยู่กับชุมชนต้องทำมาหากินกัน และเมื่อไรที่คนต้องทำมาหากิน คน ๆ นั้นก็ไม่มีทางพบกับความสุขกันทั้งนั้น

เวลาใกล้ค่ำเข้ามาเต็มที แต่เหล่าทหารก็ยังไม่พบว่าจะมีใครสักคน ที่อาจบอกได้ว่าเป็นผู้มีความสุขตลอดเวลา ในที่สุดพวกทหารต่างก็หมดปัญญาและพากันเดินทางกลับเข้าเมือง ทันใดนั้นเองทุกคนก็ได้ยินเสียงเพลงแห่งความสุขดังขึ้นมา ราวกับว่าผู้ร้องมีความสุขเต็มประดา เสียงเพลงดังก้องไปทั่วทุกท้องถนน

"ข้านี่สิคือความสุข ข้ามีแต่ความสุขและไร้ซึ่งความทุกข์ ไม่ว่าทุกข์ใดแม้นาทีเดียวก็ไม่สามารถพานพบข้าได้ ข้ามีความสุขอย่างที่สุดจริง ๆ ด้วย ฮา ฮา ฮา" ทหารหาญต่างวิ่งกรูเข้าไปหาต้นเสียงที่ร้องกังวานนั่น

"ท่านเป็นใคร ? ท่านแน่ใจหรือว่าท่านมีความสุขตลอดเวลาอย่างแท้จริง" หลายคนตะโกนถาม

"แน่นอนที่สุด เพราะตัวข้าคือตัวความสุข ข้าคือความสุข ฮา ฮา ฮา"

ที่หัวเลี้ยวของถนนสายหลักในเมือง ชายขอทานร่างพิการนั่งร้องเพลงพร้อมกับหัวเราะร่วนอยู่ไปมา ทหารทุกคนเข้ามาห้อมล้อมขอทานผู้นั้น

แต่ทว่า อนิจจา นอกจากกะลาครึ่งใบกับเศษสตางค์สองสามสตางค์ที่ก้นกะลาแล้ว ขอทานก็ไม่มีทรัพย์สินใด ๆ อีก นอกจากผ้าเตี่ยวคร่ำคร่า ที่ไม่หลงเหลือสีสันให้เห็นอีกแล้ว ขอทานผู้มีความสุขตลอดกาลผู้นั้นก็ยังไม่มีเสื้อสวมใส่แม้แต่นิดเดียว จึงทำให้ค้นพบสัจธรรมที่ว่า...'ความสุขอยู่ที่ใจ'

แม้แต่พระราชาผู้ซึ่งมีทุกอย่างครบถ้วนแต่ก็หนีความทุกข์ไปไม่พ้น ยังต้องหาเสื้อแห่งความสุขมาใส่ แต่สุดท้ายก็พบกับความจริงว่า ความสุขไม่ได้เกิดจากเสื้อวิเศษแต่มันอยู่ที่ใจ เพราะคนที่บอกว่าตนมีความสุขกลับไม่มีแม้แต่เสื้อคลุมกาย

คนส่วนใหญ่ไขว่คว้าหาความสุขจากวัตถุนอกกาย แต่มองข้ามไปว่า...แท้ที่จริงแล้วความสุขเกิดขึ้นจากใจของเราเอง และ ความทุกข์ก็เกิดขึ้นจากใจของเราเองเช่นกัน ขึ้นอยู่กับว่าใจเราจะเลือกสร้างสิ่งใด ระหว่าง...สุข หรือ ทุกข์

บอกแบบนี้คงมีหลายคนค้านว่าไม่จริง ถ้ามี "เงิน" ก็หาความสุขได้ทุกอย่าง ลองมองดูสังคมรอบกายเราดูสิ ว่าคนจำนวนมากที่มีเงินมากมาย เค้ามีแต่ความสุขโดยไม่มีความทุกข์เลยหรือไม่ สุดท้ายแล้วเค้าก็หนีความทุกข์ไปไม่พ้น และหมายความว่า ถึงมี "เงิน" หรือสิ่งของที่คิดว่าจะสร้างความสุขให้กับเราได้ แต่มันก็ไม่ได้ทำให้เราพ้นจากความทุกข์ไปได้เลย เว้นเสียแต่...จิตใจของเราจะเริ่มมองหาวิธีดับทุกข์ด้วยตนเอง

ที่มา : เด็กดี.คอม   ขอบคุณค่ะ

Tags: