collapse

ผู้เขียน หัวข้อ: บันทึกกฏแห่งกรรมยุควิทยาศาสตร์ : คำนำ  (อ่าน 15974 ครั้ง)

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                  ฟ้าไม่ปล่อย  :  ระยะนี้มีโอกาสเข้าร่วมงานเผยแพร่วิชาการกับสมาคมสมุนไพรบ่อย ๆ ได้เดินทางล่องใต้หลายครั้ง รู้จักบุคคลระดับผู้นำหลายท่าน โดยเฉพาะคนหนึ่งซึ่งทึี่จริงเป็นเพื่อนกัน แต่ไม่ได้

        พบกันมานานถึงสี่สิบปี บีดนี้เขาสูงส่งเป็นถึง "โต๊ะอิหม่าม" ผู้นำทางศาสนาอิสลามภาคใต้ โต๊ะอิหม่ามทวัชเล่าเรื่องน่าคิดเรื่องหนึ่งให้ฟังว่า เพื่อนสนิทของเขาคนหนึ่งคือ โต๊ะอิหม่ามชัย เป็นผู้นำทางศาสนาศรัทธามาก จะมีเหตุขัดข้องอะไรเพียงไร ที่ทำให้ไม่อาจปลีกตัวอย่างไร ก็ไม่เคยเว้นจากการทำละหมาดขอขมา ขอพระพรต่อพระอัลเลาะห์ ... แม้ขณะเดินทางไกลอยู่ก็เช่นกัน ความศรัทธาเชื่อมั่น เป็นอาจารย์ผู้ชี้นำบนหนทางพากเพียรพยายาม ความศรัทธาเชื่อมั่น เป็นต้นกำเนิดของความหาญกล้า  ความศรทธาเชื่อมั่น เป็นพลังของความสำเร็จ  ความศรัทธาเชื่อมั่นต่อพระผู้เป็นเจ้า จึงเป็นอนาคต เป็นแสงสว่าง เป็นความหวัง ประมาณสี่ห้าสิบปีก่อน ชานเมืองกรุงเทพฯยังมีที่ดินว่างเปล่ามากมาย คุณทวัชในสมัยนั้น ได้รับความเห็นชอบจากผู้นำศาสนา ให้ซื้อที่ดินผืนหนึ่งยี่สิบไร่ เพื่อจะสร้างเป็นสุสานชาวมุสลิม สมัยนั้น พวกเขาส่วนใหญ่ยังมิได้โอนสัญชาติ ไม่อาจถือกรรมสิทธิ์ที่ดินได้ จึงให้ลูกชายของคุณชัยในครั้งนั้น เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์แทน  นายมีชัย ลูกชายของคุณชัย รับภาระสำคัญยิ่งใหญ่ได้ เพราะคุณชัยซึ่งเป็นพ่อ เป็นคนน่าเคารพมาก เป็นที่ชื่นชมและไว้วางใจได้แน่นอน สี่สิบปีต่อมา ผู้ใหญ่ในวงการรุ่นคุณชัยทยอยตายจากไป นายมีชียซึ่งเป็นลูกชายก็อายุมากแล้ว แต่เขาไม่มีจิตใจเหมือนพ่อ ไม่เพียงไม่ศรัทธาต่อศานนา ยังทำผิดต่อศาสนา เช่น บทบัญญัติที่ไม่ให้กินดอกเบี้ย เขาก็เป็นนายทุนใหญ่ปล่อยเงินกู้ เอาดอกเบี้ยสูง อีกทั้งเป็นคนมักมากฝักใฝ่ในกามารมณ์ หลายสิบปีผ่านไป ความเจริญของบ้านเมืองผ่านเข้ามา ที่ดินผืนนั้นที่ซื้อได้ไร่ละสามพัน กลายเป็นไร่ละล้านกว่าขึ้นไป แม้จะเป็นที่ตั้งสุสานบรรพชนนับร้อย แต่ความศิวิไลซ์รอบข้าง ทำให้ผู้กว้านซื้อที่ดินหากำไร อยากได้กันนักหนา ชาวมุสลิมฝังศพ มักไม่ทำเป็นรูปสุสานแน่นหนาถาวรใหญ่โตเหมือนชาวจีน คนที่อยากได้ที่ดินผืนนี้ จึงเห็นเป็นเรื่องง่ายที่จะโยกย้าย เงินนับร้อยล้านล่อใจนายมีชัยอยู่ทุกเวลา สุดท้าย นายมีชัยให้ลูกเขยที่เป็นทนาย ยื่นหนังสือให้จัดการโยกย้ายศพบรรพชนออกจากที่ผืนนี้ต่อผู้นำทางศาสนา ซึ่งทำหน้าที่รับผิดชอบอยู่ ท่านผู้นำได้รับหนังสือจากสำนักทนายความ เริ่มแรกก็พยายามพูดจากัน แต่คนที่อยากได้ก็ยังคงยืนยันที่จะให้ย้าย คุณทวัชแม้จะเป็นพยานบุคคลในการซื้อที่ครั้งนั้น แต่รู้อยู่ว่า สู้ความไปก็เสียเปรียบ เพราะไม่มีหลักฐานลายลักษณ์อักษร อื่นใดหมายเหตุไว้เลย มีแต่ชื่อเจ้าของโฉนดชัด ๆ ว่าคือ"นายมีชัย" คุณธวัชกับคณะผู้นำทางศาสนา ขอเข้าพบนายมีชัยหลายครั้ง แต่ถูกปฏิเสธ ครั้งสุดท้ายพอได้พบ นายมีชัยก็ยืนกรานต่อท่านผู้ใหญ่ทั้งหลายด้วยท่าทางและคำพูดแข็งกร้าวว่า "ทนายจะจัดการไปตามกฏหมาย" อีกซ้ำยังขู่ผู้ใหญ่ทั้งหลายว่าอย่ายุ่ง โต๊ะอิหม่ามธวัช อายุเกือบแปดสิบปีแล้ว ไม่เคยพบเห็นคนอะไรจะชั่วร้ายได้ถึงเพียงนี้ โกรธจนความดันโลหิตพุ่ง ซวนเซจะล้มลง เคราะห์ดีที่คณะช่วยพยุงไว้ทัน ทุกคนใจสั่นระริก โต๊ะอิหม่ามธวัชตัวสั่นเทาเดินออกจากบ้านนายมีชัย ฟ้าถูกปกคลุมด้วยเมฆดำหนาทึบ คุณธวัชแหงนหน้าขึ้นมองดูท้องฟ้า พลันประกาศก้องด้วยเสียงสั่นสะท้าน ชี้ฟ้าให้รับรู้ว่า "ฟ้าจะไม่ปล่อยไป ไอ้สานุศิษย์เนรคุณ" ฉับพลัน ยังไม่ทันสิ้นเสียงประกาศ อสนีบาตฟาดเปรี้ยงดังสนั่น นายมีชัยรีบหลบเข้าบ้านไปทันที เรื่องนี้เป็นข่าวใหญ่สะเทือนขวัญไปทั่ว ฟ้าดิน  ผู้คน  สรรพสิ่ง  ล้วนต้องเปลี่ยนแปลงไป เพื่อสู่ครรลองของสัจธรรม เรื่องนี้ก็เช่นกัน เช้าวันหนึ่ง ขณะลมฝนละคนกัน นายมีชัยนั่งเรือยนต์ข้ามฟากออกไปตามเก็บดอกเบี้ยรายวันเหมือนอย่างเคย วันนั้น เรือยนต์บรรทุกคนเกินอัตรา บวกกับลมฝนแปรปรวนหรืออย่างไร ซึ่งอันที่จริงแม่น้ำสายนี้ ไม่เคยมีเหตุเภทภัย แต่วันนั้นเรือล่ม ผ่านความชุลมุนกู้คนกู้เรือพักใหญ่ ผู้โดยสารรอดตายครบจำนวนสามสิบกว่าคน ทุกคนปลอดภัย มีแต่นายมีชัยเท่านั้นที่เสียชีวิต ประเพณีของชาวมุสลิม คนตายเขาไม่ให้เก็บไว้ค้างคืนที่บ้าน แต่จะต้องฝังก่อนพระอาทิตย์ตกดิน วันนั้น ฝนตกหนักมาก เมฆดำเป็นผืนใหญ่ ฟ้าร้อง ฟ้าผ่าไม่ขาดสาย ตอนบ่าย ท้องฟ้าค่อยปลอดโปร่งขึ้นบ้าง ญาติพี่น้องช่วยกันนำศพนายมีชัยใส่โลงหยาบ ๆ บาง ๆ บรรทุกใส่รถขนของ ตามด้วยรถญาติสี่ห้าคัน จะนำศพไปฝังยังที่ดินที่กำลังเป็นความกันอยู่นั้น รถแล่นมาได้ไม่นาน ผ่านทางแยก รถสิบล้อที่คนขับคงจะเมายาบ้า ผ่าไฟแดงพุ่งเข้ามาชนรถ บรรทุกศพเหมือนเฉพาะเจาะจง ศพของนายมีชัยกระเด็นหลุดออกจากโลงกองอยู่กลางถนน รถที่ตามหลังมาตกใจหาทางเลี่ยงกันโกลาหล หลังจากเปลี่ยนโลงเปลี่ยนรถกันทุลักทุเล ขับต่อไป ฝนก็เทลงมาอีก บริเวณที่ดินที่จะฝังศพเป็นแอ่งน้ำท่วมขัง รถอีกสามคันที่ตามมาส่งศพเข้ามาไม่ถึง รถศพก็ต้องขึ้นหน้าถอยหลังอยู่หลายตลบ สุดท้ายตกหล่ม ติดแน่นขยับรถไม่ได้เลย ฝนก็เจาะจงตกหนักอีก ฟ้าแลบฟ้าร้องแปลบปลาบกึกก้องอยู่ตลอดเวลาเหมือนจะประกาศก้องว่า "ฟ้าจะไม่ปล่อย" ทุกคนในที่นั้่น เนื้อตัวเปียกปอนเปื้อนโคลนมอมแมม ทุกคนคิดว่า จะพยายามกู้รถขึ้นจากหล่มให้ได้ เพราะยังห่างจากบริเวณที่จะฝังอีกพอสมควร แต่ทันใดนั้น ความไม่น่าจะเป็นไปได้ก็เกิดขึ้นเป็นไปสายฟ้าสว่างจ้า พร้อมกับเสียงดังคลืนใหญ่ โลงศพนายมีชัยถูกฟ้าผ่า ! โลงแตก ศพของนายมีชัยกระเด็นออกจากโลง เปิดตัวศพอีกครั้งท่ามกลางฟ้าดิน คนส่งศพซึ่งเป็นใครไม่รู้สบถออกมาดัง ๆ ว่า "แม่งเอ้ย" แม้แต่ลูกชายสองคนของนายมีชัยก็รับไม่ได้ วิ่งเตลิดออกนอกถนนใหญ่ ทิ้งรถยนต์ไว้เบื้องหลังบนที่ดินหลุมฝังศพนั้น

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                กลับชาติมาเกิด  :  เจ้าจิ๋ว เป็นลูกชายคนเล็กของเจ๊ลั้ง ในจำนวนลูกหญิงสอง ลูกชายสี่ รวมหกคน สามปีก่อน เจ้าจิ๋วจมน้ำตาย ขณะนั้นอายุได้สิบห้าปี 

        แม้จะอายุเพียงสิบห้าปี แต่ดูท่าทางเป็นผู้ใหญ่ พูดจามีหลักการ เจ้าจิ๋วกำพร้าพ่อเมื่ออายุหกปี เอาใจใส่ดูแลแม่เป็นอย่างดี ทุกวันเมื่อกลับจากโรงเรียนก็จะขลุกอยู่กับแม่ ช่วยแม่หุงข้าว  ทำกับข้าว  ทำงานบ้าน  การเรียนอยู่ในเกณฑ์ดี  เป็นที่รักใคร่ของแม่และพี่ ๆ เป็นอันมาก วันนั้นโรงเรียนหยุด ครูพาเด็ก ๆ ไปเล่นน้ำที่ฝายทางเหนือ เจ้าจิ๋วจมน้ำตาย !  เมื่อนำศพกลับมาที่บ้าน แม่ร้องไห้แทบขาดใจ พี่สาวคนรองเปลี่ยนเสื้อผ้าให้น้อง หวีผมทาแป้ง  ก่อนบรรจุศพ พี่ใช้ปากกาเขียนคำว่า "น้องจิ๋ว" ไว้ที่แขนของน้อง และวาดวงกลมสีน้ำเงินไว้ งานศพผ่านไปภายใต้บรรยากาศโศกเศร้า ตอนประชุมเพลิง แม่กอดรูปหน้าศพ ฟูมฟายรำพันว่า "ลูกจิ๋ว ถ้ารักแม่ กลับมาเกิดในครอบครัวของเราใหม่นะ" พูดจบแม่ก็เป็นลมล้มพับไป ครึ่งปีให้หลัง ลูกสะใภ้เจ๊ลั้งคลอดลูกคนที่สอง พอเกิดมาที่แขนก็มีเครื่องหมายรูปวงกลมสีน้ำเงินติดมาด้วย ในวงนั้นยังมีรอยลาง ๆ คล้ายอักษรคำว่า "น้องจิ๋ว" อยู่ด้วย บัดนี้ หลานของเจ๊ลั้งอายุได้สามขวบแล้ว เป็นเด็กน่ารักมาก  ฉลาดมาก สนิทกับเจ๊ลั้งเป็นพิเศษ ทุกคนต่างเชื่อมั่นว่า หลานชายคนนี้ต้องเป็นน้องจิ๋วมาเกิดใหม่เป็นแน่ กลับชาติมาเกิดอีกรายหนึ่งคือ ควายอายุสี่ปี ถูกส่งเข้าโรงฆ่าสัตว์ถึงหกครั้ง พอจะถูกฆ่า มันก็จะคุกเข่าขอชีวิต น้ำตาไหลพราก คนฆ่ามืออ่อนทำไม่ลง สุดท้าย ก่อนครั้งที่เจ็ด ฝรั่งคนหนึ่งมาขอไถ่ชีวิตไป พระอาจารย์ท่านหนึ่งนั่งทางในได้รู้ว่า อดีตชาติของควายตัวนี้เป็นนายอำเภอที่จังหวัดและอำเภอนั้น ๆ (ลูกหลานยังอยู่ จึงไม่เปิดเผย) การเกิดเป็นควายของนายอำเภอครั้งนี้เป็นครั้งที่เก้าแล้วและเป็นครั้งสุดท้าย คำโบราณจึงเตือนสติไว้ว่า "หนึ่งชาติเป็นเจ้านาย ต้องเกิดเป็นควายเก้าชาติ" จึงพึงสังวร นายอำเภอที่ต้องเกิดเป็นควายนี้ เมื่ออยู่ในตำแหน่งหน้าที่ แม้จะไม่ได้ทำผิดคิดร้ายหนักหนา แต่ก็ต้องเกี่ยวกรรมทำเวรไว้ไม่น้อย ชาวบ้านฆ่าวัวควายจัดงานเลี้ยงให้ ความเข้าใจผิด ตัดสินความไม่ยุติธรรม ล้วนเกี่ยวกรรมให้เป็นได้ ที่รอดพ้นความตายมาได้ถึงหกครั้ง ก็คือผลบุญที่ยังส่งผลมาให้ กฏแห่งกรรมจึงน่ากลัวนัก !

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                     สถานธรรมบนรถยนต์  :  ครั้งหนึ่ง เหมารถตู้จากเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ ขึ้นดอยไปสงเคราะห์ชาวเขา เคยใช้บริการรถตู้อย่างนี้มากแล้วไม่เคยเห็นอย่างนี้เลยสักคัน

        กล่าวคือ บนหน้ารถเหนือพวงมาลัยมีรูปบูชาของพระพุทธะ พระโพธิสัตว์มากมาย  ทั้งองค์เล็กองค์ใหญ่  ทั้งเครื่องเคลือบ ทั้งทองสัมฤทธิ์ ทั้งทองคำ รวมหมดหนึ่งร้อยแปดองค์ เจ้าของรถก็จาระไนไม่ถูกแล้วว่า แต่ละองค์ได้มาอย่างไร เมื่อไร มีพระนามว่าอะไร รู้แต่ว่าตนเองรักมาก เคารพมาก และหวงมาก นอกจากองค์พระรูปบูชาร้อยแปดองค์แล้ว ยังมีตำหนักพระ "ธรรมกาลยุคขาว" จำลองขนาดหกถึงแปดนิ้วอีกหนึ่งหลังประดิษฐ์ได้ปราณีตสวยงามมาก บนหลังคาตำหนักพระขนาดเล็ก สลักรูปหงส์มังกรมีสีสรร ในตำหนักพระที่เปิดกว้างตรงกลาง ประดิษฐานพระศรีอารยเมตไตรย สองข้างคืออมตะพุทธะจี้กงกับพระโพธิสัตว์กวนอิม มีพุทธประทีปสามองค์สว่างด้วยไฟฟ้าแรงต่ำ ตรงกลางข้างหน้ายังมีกระถางธูปเล็ก ๆ มีธูปไฟฟ้าจุดธูปไว้ตลอดเวลาไม่มีวันมอดหมด กลางคืนจะเด่นชัดน่าคร้ามเกรง และทำให้อุ่นใจมาก คนขับเจ้าของรถเล่าว่า ตั้งแต่ประดิษฐานตำหนักพระ "ธรรมกาลยุคขาว" นี้แล้วโชคดีมาก มีเงินเกือบทุกวัน รายได้ไม่เคยขาด การเดินทางราบรื่นปลอดภัยโดยตลอด คนขับเล่าว่า ครั้งหนึ่งทีึ่อันตรายสุดขีด คือ ครั้งที่เขา ภรรยา ลูก และแม่ยาย รวมหกชีวิตจากเชียงใหม่จะกลับแม่สาย เชียงรายระยะทางสองร้อยกว่ากิโลเมตร เส้นทางคดเคี้ยว อ้อมภูเขาลูกแล้วลูกอีก ทางหักโค้ง หักศอก น่าหวาดเสียว แต่วันนั้นไม่ค่อยมีรถเป็นวันแดดจัด อากาศร้อนมาก มองไปข้างหน้า ถนนทั้งสายยาวเหยียด พยับแดดจนนัยน์ตาพร่ามัว คนขับตั้งใจขับ เพราะต้องรับผิดชอบชีวิตทั้งครอบครัว แม้จะง่วงและร้อนระอุ แต่ก็กัดฟันทน เพ่งนัยน์ตา แต่แท้จริง เขากำลังหลับในแล้ว ! เขามาได้สติอีกที เมื่อได้ยินเสียงลูกเมียร้องลั่น แต่ช้าไปเสียแล้ว เขาเหยียบคันเร่งหนึ่งร้อยสี่สิบกิโลเมตรต่อชั่วโมงขณะหลับในโดยไม่รู้ตัว และขณะนี้ รถของเขากำลังข้ามมาวิ่งอยู่ฝั่งขวารถตู้อีกคันหนึ่งที่วิ่งสวนมาข้างหน้ากระชั้นชิด ดูท่าจะต้องปะทะกันอย่างจัง ระยะเผาขนนั้นเอง รถที่สวนมาหักออกเฉียดหวือ รถซ้ายอยู่ทางขวา  รถขวาอยู่ทางซ้าย ต่างคนต่างปลอดภัย มันเป็นไปได้อย่างไรกัน ! รถทั้งสองคัน ชะลอจอดแล้วต่างถอยหลังกลับมาหากันเพื่อจะปลอบขวัญหรือขอโทษขอโพยกันอย่างไร  รถคันที่สวนมานับรวมทั้งคนขับสี่คน ในรถสองคันจึงรวมเป็นสิบชีวิต คนในรถทั้งสองคันต่างลงมาหากัน เล่าความตื่นเต้นของวินาทีขวัญกระเจิงสู่กันฟัง และต่างยิ่งประหลาดใจหนักขึ้นเมื่อได้พบว่ารถทั้งสองคันต่างมีตำหนักพระ "ธรรมกาลยุคขาว" จำลองขนาดเล็กรูปแบบเดียวกัน ตั้งอยู่ที่หน้ารถซ้ายมือคนขับเหมือนกันอย่างกับฝาแฝด ความตื่นตระหนกครั้งนี้ ไม่มีความเสียหาย ไม่มีใครโทษโพยใคร คนขับทั้งสองต่างยอมรับว่า นาทีสยองขวัญนั้น เขาต่างหลับในด้วยกันทั้งคู่ คิดไม่ตกว่า อะไรหรือที่บันดาลให้รถทั้งสองคันสับหลีกกันได้ในเสี้ยวของเสี้ยววินาทีโดยไม่ระคายแก่กันเลยแม้เพียงน้อยนิดเช่นนี้   

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
               แรงบุญทาน   :  ผู้จัดการของบริษัทขนส่งแซ่โค้ว อายุยังไม่ถึงห้าสิบปี ปกติชอบกินอาหารเนื้อสัตว์มัน ๆ โดยเฉพาะขาหมูตุ๋น เคยกินคนเดียวหนึ่งขาอยู่บ่อย ๆ

       หลายปีก่อน ข้าพเจ้าเคยเตือนเขาว่า ถ้ากินอย่างนี้ต่อไป วันหนึ่งเส้นเลือดจะตีบตัน หรือคอเลสเตอรอลสูง ทำให้เส้นเลือดในสมองแตก แย่มากที่ข้าพเจ้าเตือนเขาแล้ว มันเกิดเป็นจริงตามนั้น เขาเป็นอัมพาตเสียแล้ว !  ผู้จัดการโค้วเป็นคนใจคอกว้างขวาง รักเพื่อนฝูง ผู้ไปเยี่ยมเยียนนอกจากพวกเราเพื่อนเกลอกอดคอกันมากลุ่มใหญ่แล้ว คนในวงการอื่น ๆ ก็มีมาก เดินเข้าออกบ้านเฮียโค้วกันขวักไขว่ เฮียโค้วผู้ป่วยจึงไม่เหงาเลย อีกทั้งยังมีกำลังใจที่จะต่อสู้กับชีวิตซึ่งกำลังใจจะเป็นยาวิเศษยิ่งสำหรับผู้ป่วยที่หมดทางรักษา คุณอวี๋ผู้สูงวัยเคยรับราชการและเป็นครู บุคลิกหน้าตาความรู้ดี พูดจาน่าเคารพ ท่านบอกว่า ผู้ป่วยสมัยนี้ แปดถึงเก้าในสิบคน ล้วนป่วยด้วยอาหารการกิน เช่น ผงชูรส เครื่องปรุงรสต่าง ๆ สารเคมีถนอมอาหาร วัคซีนในเนื้อสัตว์ อีกทั้งบางคนชอบอาหารเปิบพิศดาร สิงสาราสัตว์ งูเงี้ยวเขี้ยวขอ กินพิษภัยของมันเข้าไปในตัวเรา โรคธรรมดาบางอย่างยังพอรักษาได้ แต่โรคกรรมตามสนองแทบไม่ต้องรักษากันเชียว มันจะยืดเยื้อเรื้อรัง ทุกข์ทรมานนานเนื่องแล้วก็ตาย อมตะพุทธะจี้กงโปรดว่า กรรมตามสนองมีทั้ง "แฝงเร้น" มีทั้ง "ชัดแจ้ง" ที่แฝงเร้นจะไม่ค่อยรู้ชัด นอกจากผู้มีปัญญาระดับสูง เช่น บำเพ็ญใจ กล่อมเกลาจิตญาณปลูกฝังกุศลผลบุญ ให้กรรมสนองนั้นค่อย ๆ คลี่คลายไป อีกทั้งยังจะก่อเกิดชีวิตใหม่ กำหนดชะตาชีวิตได้ใหม่ เหมือนปลูกอะไรก็ย่อมได้ผลสิ่งนั้น สำหรับกรรมสนองที่ชัดแจ้ง เราจะรู้สึกได้ในชีวิตประจำวัน ในทางดี เช่น เราสงเคราะห์ช่วยเหลือใคร ๆ ก็จะได้รับความรักเคารพจากผู้คน นี่คือวาสนาจากคุณธรรมบารมี ในทางเลว เช่น ประทุษร้าย ทำลายชีวิตเขา วันหนึ่งวันใด เราก็จะต้องได้รับผลตอบสนองเช่นกัน หากเกเรเสเพลทำชั่วร้าย ไม่รักษากฏหมายบ้านเมือง ผลก็คือเข้าคุก ใช้อารมณ์บันดาลโทสะ ผลคือสุขภาพกายใจเสียหาย เบอร์นาร์ด ชอร์ จึงกล่าวว่า "เมื่อคนประหัตประหารชีวิตสัตว์ เคยชินกับการกินเนื้อเขา ก็จะไม่อาจหลีกเลี่ยงภัยสงคราม" ผู้ที่เจ็บป่วยประสบชะตากรรมเป็นประจำ มักจะเกี่ยวข้องกับเวรกรรมที่เขาเคยทำมา ที่เรียกว่า เขาคือ "เจ้ากรรมนายเวร"นอกจากการรักษาตามหลักการแพทย์แล้ว ยังจะต้องทำบุญ ให้ทาน ลบล้างความผิดบาปที่ผ่านมา ถ้าเจ้ากรรมนายเวรยอมผ่อนผันให้ อภัยให้ ก็จะหายได้ ให้ทานเป็นสุขวาสนา ปล่อยชีวิตสัตว์ บริจาคโลงศพ  ร่วมพิมพ์หนังสือธรรมะ ล้วนเกิดบุญกุศล สงฆ์เป็นอัมพาต คุณอวี๋ก็สอนว่า สวดมนต์ไหว้พระอธิษฐานภาวนาอย่างเดียวไม่พอหรอก จะต้องให้ทานด้วย สงฆ์รูปนั้นทำตาม เงินทองที่สะสมไว้ บริจาคสงเคราะห์แก่คนยากจน ไม่นาน อาการก็กลับดีขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ ตั้งแต่ได้ฟังหลักธรรมจากคุณอวี๋แล้ว เฮียโค้วกับลูกเมียออกทำบุญให้ทานอย่างกว้างขวาง ปล่อยโคกระบือ ปล่อยสัตว์น้ำ ครั้งหนึ่ง ภรรยาเฮียโค้วกับลูกสาวไปซื้อโคที่โรงฆ่า พอดีรถบรรทุกโคกระยบือเข้ามา อยู่ ๆ โคตัวหนึ่งพังตาข่ายออกมาคุกเข่าตรงหน้าภรรยาและลูกสาวเฮียโค้ว ดวงตากลมโตมองดูแม่ลูกทั้งสองเหมือนวอนขอชีวิต ตั้งแต่ภรรยาเฮียโค้วไถ่ชีวิตโคตัวนั้นแล้ว อาการป่วยของเฮียโค้วหายวันหายคืน ที่ไม่น่าเชื่อคือ ขากลับจากไถ่ชีวิตโค ระหว่างทาง ภรรยาเฮียโค้วได้พบเพื่อนที่หายหน้าไปนานถึงสามสิบปี เพื่อนแนะนำอาหารยา คือไข่แซ่น้ำส้มให้ เฮียโค้วที่นอนแข็งทื่ออยู่บนเตียง ช่วยเหลืออะไรตัวเองไม่ได้เลยนั้น หลังจากที่ทางบ้านช่วยกันทำบุญให้ทาน อีกทั้งได้กินอาหารยาตำหรับโบราณจากมณฑลเฮยหลงเจียงที่มีสรรพคุณวิเศษยิ่ง ยังไม่ทันถึงสามเดือน ก็ลุกจากเตียงเดินได้ ช่วยเหลือตัวเองได้ เวลาผ่านไปหนึ่งปี บัดนี้ เฮียโค้วสุขภาพแข็งแรงปกติ ทุกคนในครอบครัวถือศีลกินเจ ทำบุญให้ทานสม่ำเสมอ เป็นครอบครัวคนบุญที่สมบูรณ์พูนสุขทุกประการ

ทำบุญให้ทานทำได้อีกหลายประการนอกจากทรัพย์เป็นทาน อาทิ

1. ให้ด้วยจิตปรารถนาดี ไม่เคลือบแฝงเสแสร้ง
2. ให้ด้วยสีหน้าอ่อนโยนมีรอยยิ้ม
3. ให้ด้วยสายตากรุณาปราณี
4. ให้ด้วยแรงกายช่วยเหลือ
5. ให้ด้วยวาจากล่อมเกลาสมานไมตรี
6. ให้ด้วยการสละที่นั่งแก่สตรี คนชรา คนอ่อนแอ
7. ให้ด้วยสถานที่เป็นกุศลประโยชน์ เช่นใช้บรรยายธรรม

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                  ขัดข้อง   :  ข้าพเจ้ามีญา๖ิคนหนึ่งทำอุตสาหกรรมครัวเรือนเกี่ยวกับเครื่องหนัง สถานที่ประกอบการเป็นตึกแถวสี่ชั้นสามห้องอยู่ในซอย ชั้นสามชั้นสี่อขงอาคารใช้เป็นที่ประกอบการ ชั้นสองเป็น

        ที่พักคนงาน ซอยนี้ไม่กว้างนัก แต่เป็นอาคารบ้านพักของคนชั้นกลาง ระดับสูงเสียส่วนใหญ่ เพื่อนบ้านด้านข้างของญาติเป็นครอบครัวชาวมุสลิม เพื่อนบ้านรายนี้กับญาติของข้าพเจ้าไม่ค่อยจะกินเส้นกันมาตั้งแต่ต้น โดยเฉพาะกับภรรยาของญาติซึ่งเป็ยนเถ้าแก่เนี๊ย ยิ่งเหมือนน้ำกับไฟที่เข้ากันไม่ได้เลย ถึงขั้นขีดเส้นกั้นพรมแดนกันทีเดียว สาเหตุคือ ญาติคนนี้มีรถหลายคัน หน้าบ้านไม่พอเป็นที่จอดรถได้ มักจะข้ามเขตไปจอดหน้าบ้านเขา จึงเกิดเป็นปากเสียงกัน บางครั้งงานเร่งเครื่องจักรมีเสียงรบกวน ตำรวจก็จะมาจัดการตามคำร้องเรียนที่เพื่อนบ้านโทรแจ้งไป ทำให้ญาติของข้าพเจ้าขัดเคืองใจ ที่ทำใจได้ลำบากที่สุดคือ พ่อแม่สองบ้านกำลังทะเลาะกัน แต่ลูกของทั้งสองบ้านกลับนั่งเล่นเกมส์อยู่ด้วยกันอย่างรักใคร่กลมเกลียว มิไยที่พ่อแม่ทั้งสองฝ่ายจะเรียกให้แยกออกมาจากกันอย่างไร เด็กก็ไม่สนใจ ครั้งหนึ่ง ข้าพเจ้าผ่านไปเยี่ยมเยียน ญาติถามว่า กรณีนี้มีทางแก้ไขอย่างไรได้บ้างไหม เพราะนี่มันเป็น "จำใจอยู่กับสิ่งที่ชิงชัง" ความทุกข์ประการหนึ่งในความทุกข์แปดประการ บางครั้ง ทุกข์จนอยากจะย้ายบ้าน แต่ก็ทำไม่ได้เพราะลงทุนไปมาก ข้าพเจ้าถามญาติที่เป็นเถ้าแก่เนี๊ยว่า "กรณีพิพาททุกอย่างมีทางแก้ไข เธอกล้าเสียสละเงินสักสี่ซ้าห้าหมื่นไหมล่ะ" (ผมรู้ว่าเงินแค่นี้มันเรื่องเล็กสำหรับเธอ) ที่บอกว่าเสียสละเงิน เพราะข้าพเจ้ายังไม่รู้ว่าใช้เงินไปแล้วจะได้ผลหรือไม่ ซึ่งมันขึ้นอยู่กับจิตใจของเธอด้วยเป็นสำคัญ เธอตอบตกลง ข้าพเจ้าจึงสอนให้เธอใช้เงินจำนวนนี้สร้างซื้ออะไรก็ได้ที่จำเป็นแก่ชีวิตของคน ขัดข้อง แต่เงินทุกบาททุกสตางค์ที่ทำบุญไป จะต้องให้ในนามของเพื่อนบ้านคู่อริกันนี้ ญาติของข้าพเจ้าได้ยินประโยคสุดท้าย สีหน้าอนุโมทนาบุญหดหายกลายเป็น ขัดข้อง ทันที เธอโพล่งออกมาว่า "มันเป็นตัวร้ายที่ให้ทุกข์แก่เรา เรายังจะต้องสร้างบุญให้มันอีกหรือ" เมื่อญาติทำใจไม่ได้ แสดงหลักธรรมให้แล้วยัง ขัดข้อง อยู่ ข้าพเจ้าจึงจำใจต้องลากลับ  ปล่อยให้เธอเผชิญปัญหา ขัดข้อง ต่อไป ครึ่งปีผ่านไป ข้าพเจ้าได้พบญาติผู้นี้อีก จึงถามทุกข์สุขและถามถึงปัญหาเพื่อนบ้าน ญาติแสดงสีหน้าทุกข์ยิ่งกว่าเก่า เล่าว่า "ไม่รู้ชาติก่อนก่อกรรมทำเข็ญอะไรไว้ จึงต้องจำทนอยู่กับมันอย่างนี้ เมื่อวันก่อนออกรถป้ายแดง คนงานไม่ทันระวัง เข็นเลยเส้นกั้นอาณาเขตไปหน่อยเดียว มันเอาตะปูขีดข้างรถเป็นทางยาวลึก ไปแจ้งความ ตำรวจก็เอาความมันไม่ได้ เพราะอาจจะเป็นเด็กเล่นซนแถวนั้นก็ได้... ที่แย่มากก็คือ ตำรวจมาตรวจบ่อยมาก เดี๋ยวก็มีคนไปแจ้งว่าใช้แรงงานเด็ก เดี๋ยวก็แจ้งว่า เสียงรบกวน กลิ่นหนังรบกวน น้ำสกปรกรบกวน ... อยู่ไม่เป็นสุขเลย ข้าพเจ้าพูดอย่างไม่เกรงใจเหมือนสมน้ำหน้าว่า "ถ้าทำใจได้เสียตั้งแต่วันนั้น สร้างบุญอุทิศส่วนกุศลให้เขาไป ก็อาจจะไม่ต้องทนทุกข์อยู่จนทุกวันนี้ก็ได้" ครั้งนี้ ญาติดูอย่างกับจะต้องยอมรับเงื่อนไขนี้แล้ว เธอถามว่า จะให้ทำอย่างไรต่อไป ข้าพเจ้าบอกให้เธอไปทำตามที่เคยสอนไว้ ย้ำความสำคัญว่าอยู่ที่ใจ ใจเราไม่เคียดแค้น ใจเขาก็จะลดความเคียดแค้นลง ใจเราไม่ชิงชัง ใจเขาก็จะลดแรงชิงชังลง... เรื่องราวและเวลาผ่านไป ซึ่งข้าพเจ้าไม่กล้าคาดหวังว่า อะไรจะดีขึ้นได้ วันหนึ่ง ญาติโทรศัพท์มาหา ฟังเสียงของเธอในโทณศัพท์อย่างกับสะท้านสั่นเครือ เธอถูกทำลายหรือ...หรือ...ผมเดาไม่ถูก จุงถามไปว่า "สร้างบุญทานให้เขาแล้วดีขึ้นไหม" เธอตอบว่า "ทีแรกฉันไม่กล้าคาดหวังว่าอะไรจะดีขึ้นได้ แต่เดี๋ยวนี้เราจอดรถหน้าบ้านของเขาได้แล้ว..." ข้าพเจ้าจึงรู้ได้ว่า เสียงสั่นเครือนั้น เกิดจากความขอบคุณและปิติดีใจเป็นที่สุดนั่นเอง

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                อาศัยใช้ร่าง  :  ห่างจากกรุงเทพฯไปสี่ร้อยกิโลเมตร คืออำเภอบางสะพาน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ที่นั่นมีวัดธรรมารมณ์ ทั่วไปเรียกว่า "วัดถ้ำม้าร้อง"

        เล่ากันว่า ในครั้งรัชกาลที่หนึ่ง สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก เสด็จประพาสภาคใต้ ได้ประทับอยู่ ณ วัดนี้ ตกกลางคืน ม้าทรงของพระองค์ถูกขโมยไปรุ่งขึ้นพอสดับเหตุ พระองค์ทรงพระพิโรธนัก กำหนดให้ภายในสามวัน จะต้องหาม้ากลับคืนมาให้ได้ ดังนั้น ทุกคนจึงออกติดตามหากันจ้าละหวั่น สามวันผ่านไปไม่มีร่องรอยม้าแม้แต่เบาะแส เหลือเวลาเพียงสองชั่วโมงก็จะค่ำ ผู้รับผิดชอบกองพระราชพาหนะร้อนรนมาก รู้ว่าไม่พ้นที่หัวจะหลุดออกจากบ่าเป็นแน่แท้ จึงจุดธูปกำใหญ่วอนขอต่อฟ้าเบื้องบน ธูปยังไม่ทันเผาไหม้หมดไป พลันก็ได้ยินเสียงม้าร้องติด ๆ กันหลายที เงี่ยหูฟังไปตามเสียงก็ได้พบว่า เสียงดังมาจากถ้ำใกล้ ๆ นั้น นายกองม้าดีใจมาก นำทหารออกตามเสียงเข้าถ้ำไป เป็นความจริงคือ โจงขโมยม้าไปแล้วเห็นว่ามีการตรวจสอบค้นหากันหนาแน่น เกรงจะหนีไปไม่รอด จึงนำม้ามาผูกซ่อนไว้ในถ้ำก่อน รอจนกว่าพระองค์เหนือหัวเสด็จกลับไปแล้ว จึงจะกลับมาเอาม้า เขาคิดว่า น่าจะไม่มีใครรู้เห็น แต่หารู้ไม่ พอนายกองม้าถวายธูปวอนขอต่อฟ้าเบื้องบน เรื่องราวก็ต้องโจ่งแจ้งทันที เหตุที่ได้ม้ามาจากถ้ำนี้ ถ้ำนี้จึงได้รับพระราชทานนามว่า "วัดถ้ำม้าร้อง" หลายปีก่อนท่านเจ้าอาวาสวัดถ้ำม้าร้องเคยเชิญให้เราไปจัดประชุมอบรมธรรมแก่ชาวบ้านหลายครั้ง แต่ละครั้งมีสาธุชนามเข้าร่วมรับการอบรมมากมาย ปัจจุบันยังได้จัดการบรรยายพุทธธรรมประจำปี ปีละหนึ่งครั้ง การประชุมอบรมธรรม (ฝ่าฮุ่ย) ของอาณาจักรธรรม ผู้เข้ารับการอบรมจะต้องลงทะเบียน ลงชื่อนามสกุล อายุ เพศ ที่อยู่... ครั้งหนึ่ง หญิงวัยสามสิบกว่า คนหนึ่ง มาลงทะเบียนด้วยแต่เธอเขียนว่า ตนเองคือเด็กชายปรีชา อายุสิบสองปี  คุณเฉินซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบงานนี้ ติงว่าเธอเขียนผิด แต่เธอกลับยืนยันว่า เธอคือเด็กชายปรีชา อายุสิบสองปี คุณเฉินพยายามพูดจากับเธอให้ลงทะเบียนตามความเป็นจริง พูดฟังกันไม่รู้เรื่อง จนคุณเฉินชักโมโห เข้าใจว่า เธอตั้งใจกวนโทสะ จึงพูดแรง ๆ กับเธอว่า "ถ้าไม่ลงให้ถูกต้อง ถึงจะเป็นผีก็ไม่ยอมให้เข้ามาฟังธรรม" เมื่อถูกเอ็ดและถูกปฏิเสธ เธอดูเศร้ามาก จำใจลุกจากไป เธอไปแล้ว ชาวบ้านจึงบอกเราว่า "เธอเป็นผี"เราสะดุ้งไม่น่าเชื่อแต่ชาวบ้านต่างยืนยันว่า "เธอเป็นผีจริง ๆ เราเห็นจนชินแล้ว" พระครูเจ้าอาวาสก็ยืนยันตรงกับชาวบ้าน อีกทั้งเล่าเรื่องราวให้เราฟังว่า ... เด็กชายปรีชา เป็นเด็กวัดที่นั่น อายุสิบสองปี ฐานะยากจนมาก ทุกเช้าจะต้องติดตามพระไปบิณฑบาต กลางวันเรียนหนังสือที่โรงเรียนในวัด กลางคืนนอนที่วัด วันอาทิตย์วันหยุดจะไปรับจ้างขนของที่สถานีรถไฟ หาเงินมาเป็นค่าเครื่องเขียนเล็ก ๆ น้อย ๆ ซึ่งบางทียังทำบุญค่าน้ำค่าไฟในวัดอีกด้วย เด็กชายปรีชาเป็นเด็กดี ขยัน ทุกคนเอ็นดูเขา วันหนึ่ง ขณะช่วยแม่ค้าขนของลงจากรถไฟ รถไฟกำลังเคลื่อนออกจากสถานี เด็กชายปรีชาพลาดตกจากบันได ถูกรถไฟทับตาย หลังจากนั้น หลาย ๆ คนมักได้ยินเสียงร้องไห้รำพันอย่างเศร้าโศกเสียใจของเด็กชายในยามค่ำคืน สร้างความหวาดผวาอาดูรแก่ผู้ที่ได้ยินยิ่งนัก สี่เดือนต่อมา นางน้อย อายุสามสิบสามปี แม่ค้าขายไก่ย่างที่สถานีรถไฟ เป็นภรรยานายฉุย ช่างซ่อมทางรถไฟ มีลูกชายเล็ก ๆ สองคน วันนั้น นางบ่นว่าเวียนหัว ไม่ขายไก่ย่าง นอนพักอยู่กับบ้านอยู่ ๆ พลบค่ำก็เรียกไม่ตื่น เพื่อนบ้านช่วยกันนำส่งโรงพยาบาล หมอบอกว่านางหัวใจวายตายเสียแล้ว นายฉุยร้องไห้หัวฟัดหัวเหวี่ยง ไม่คิดว่าปุปปัปจะต้องสูญเสียคู่ชีวิตไปอย่างนี้  คืนนั้น ศพนางน้อยตั้งรอสวดอภิธรรมอยู่ในศาลาวัดท่ามกลางคนที่มาช่วยงาน ยังไม่ทันบรรจุศพ อยู่ ๆ นางน้อยก็ลุกขึ้นยืน ทุกคนวิ่งหนีกันกระเจิง นายฉุยดีใจนึกว่าได้ภรรยาคืนมา แต่นางน้อยเห็นลูกเห็นสามีเหมือนเห็นคนอื่น นางว่าตนเองคือเด็กชายปรีชา อายุสิบสองปี จะกลับไปเป็นเด็กวัดดังเดิม โดยไม่รับรู้คำชี้แจงบอกกล่าวของใครเลย เพื่อไม่ให้เกิดความเสื่อมเสียแก่พระ เณร ทุกคนจึงขอให้เด็กชายปรีชาในร่างของนางน้อยไปอาศัยอยู่บ้านของนายฉุยชั่วคราว ซึ่งคิดว่าจะรื้อฟื้นความทรงจำในความเป็นแม่เป็นภรรยาได้ แต่ก็ไร้ผล นางน้อยยังคงเป็นเด็กชายปรีชา อายุสิบสองปีตลอดเวลา เมื่อกลับไปอยู่วัดแล้ว ถูกหลวงพี่ที่เคยนอนอยู่ด้วยกันไม่ให้ขึ้นกุฏิ เด็กชายปรีชาในร่างของนางน้อยก็ยังไม่ยอมกลับไปบ้้านนายฉุย แต่ยินดีที่จะไปนอนในโรงไม้ที่เก็บโลงเปล่า อาศัยนอนในโลงเปล่า เช้าก็ไปรับจ้างยกของที่สถานีรถไฟเหมือนอย่างเคย ความเป็นเช่นนี้ที่ชาวบ้านรู้เห็นเป็นจริงอยู่ทุกวันจนเคยชิน ทำให้ไม่มีใครกลัวผีของเด็กชายปรีชาในร่างของนางน้อย และเหมือนจะยอมรับโดยเห็นเป็นธรรมดา แต่คุณเฉินผู้รับลงทะเบียน ไม่ทราบเรื่องมาก่อน เด็กชายปรีชาในร่างของนางน้อยจึงถูกเอ็ด ถูกปฏิเสธการเข้ารับการอบรมธรรม ต้องเดินคอตกจากไป
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24/10/2012, 10:42 โดย หนึ่งเดียว หลุดพ้น »

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
            สามหมอ  :  เป็นอีกครั้งหนึ่งที่แปลก ในวันเดียวกันได้ไปเยี่ยมหมอถึงสามคน คนแรกคือหมอญาติกัน อยู่ขอนแก่น เรียกชื่อย่อว่าหมอ

        ป. แล้วกัน หมอ ป.  เป็นแพทย์แผนปัจจุบัน ทำงานที่โรงพบาบาลจังหวัดมาแล้วสามสิบกว่าปี ปีสุดท้ายก่อนเกษียณ เกิดน้ำตาลในโลหิตพุ่งกระฉูด ยาคุมไม่อยู่ ทั้ง ๆ ที่รักษาเบาหวานแก่ตนเองมานับสิบปี ครั้งนี้บังเอิญได้แผลที่เท้าทั้งสองข้าง นั่งรถเข็นมาแล้วหกปี กลับจากขอนแก่นผ่านปากช่อง ถือโอกาสเยี่ยมหมอ ก.  ที่ชอบพอกันมานาน หมอ ก. ทำงานกับโรงพยาบาลประจำอำเภอมานานเกือบยี่สิบปี เมื่อปีที่อายุได้สี่สิบเก้า ความดันโลหิตขึ้นเฉียบพลัน เส้นโลหิตในสมองแตก เป็นอัมพาตมาเกือบยี่สิบปีแล้ว หมอหลิน หมอคนที่สามเป็นหมอจีนแผนโบราณอยู่กรุงเทพฯ เป็นทั้วครูเป็นทั้งเพื่อน อายุแปดสิบสี่ปี ยังสดชื่นแจ่มใสดี  คณะของเราตระเวณเยี่ยมเพื่อนมีสามคน ทุกคนเป็นโรคอย่างเดียวกันหมดคือ "เห็นหมอเป็นต้องป่วย" อดไม่ได้ที่จะให้หมอตรวจดูสักหน่อย อะไรทำนองนั้น ก่อนลากลับ หมอให้ของขวัญล้ำค่าติดมือมา มีหนังสือคติธรรม กับแท่นฝนหมึกจีน แต่น่าเสียดายที่ข้าพเจ้าเขียนพู่กันจีนไม่ได้เรื่องเลย หมอหลินผู้ให้คงผิดหวัง ผู้ร่วมทางคนหนึ่งถามข้าพเจ้าว่า "ทำไมสามหมอจึงมีสภาพต่างกันอย่างนี้" ข้าพเจ้าตอบสั้น ๆ ว่า "ตามกรรม" แต่แล้วก็ต้องขยายความจนได้ว่า หมอ ป. เป็นหมอผ่าตัด เป็นหมอนักเรียนนอกผู้เชี่ยวชาญศัลยกรรม ครั้งหนึ่ง ผู้ป่วยอุบัติเหตุศรีษะฟาดพื้นคนหนึ่งถูกส่งมาโรงพยาบาล หมอ ป. เรื่อนเฉื่อย ซึ่งอาจเห็นว่าเป็นชาวบ้านยากจน ชีวิตไร้ค่าหรืออย่างไรไม่ทราบ ผู้ป่วยรายนี้ตายโดยไม่ได้รับการผ่าตัดรักษา เหมือนไม่แยแส ต่อมา ผู้ป่วยอีกรายหลายที่ถึงโรงพยาบาล ถึงหมอผู้เชี่ยวชาญแล้ว ก็ยังไม่ได้รับความใส่ใจช่วยเหลืออย่างรวดเร็วทันการ ทำให้ต้องเสียแขน เสียขา ทุพพลภาพ หรือตายไปอีก จนเคยมีญาติผู้ป่วยร้องไห้ตะโกนลั่นโรงพยาบาลแช่งด่าหมอ ป.ว่า "ให้มันขาด้วน ๆ" ส่วนหมอ ก. นั้น เป็นถึงผู้อำนวยการโรงพยาบาล มนุษย์สัมพันธ์ดี ความรู้ดี ใส่ใจผู้ป่วยดี แต่ชอบมีส่วนกินนอกกินใน จะซื้อยา ซื้ออุปกรณ์การแพทย์ไว้ใช้ในโรงพยาบาล หรืออะไรที่เกี่ยวกับเงิน ๆ ทอง ๆ ผ่านมือหมอ ก.ละก็ เป็นต้องชักเปอร์เซ็นต์หรือเพิ่มราคา กินแม้กระทั่งเงินที่เกี่ยวกับการบริจาคโลหิต จนได้สมญาว่า "หมอโลหิต" ซึ่งเป็นที่รู้กันทั่วไป หมอ ก. เป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลเก้าปี ก็ซื้อที่ดินได้หลายผืน ตั้งโรงงานผลิตยาเอง ปีนั้นอายุสี่สิบแปด กำลังจัดพิธีเปิดป้ายโรงงานผลิตยาโรงที่สอง คงจะเหนื่อยหนักเกินไป เส้นโลหิตในสมองแตก หมดความรู้สึกไปสี่สิบเก้าวัน ฟื้นอีกทีก็ต้องอยู่ในสถาพที่กระดิกกระเดี้ยไม่ได้เสียแล้ว ส่วนหมอหลิน ที่รู้จักกันมายี่สิบกว่าสามสิบปี เป็นหมอที่เรียกได้ว่า "หมอโพธิสัตว์" รักษาไปด้วย สอนกฏแห่งกรรมไปด้วยให้ธรรมะ ให้วิชาความรู้ ให้กำลังใจ ให้กายยภาพบำบัด จนผู้สูงอายุมากมายที่เริ่มเป็นโรคชรา กลับมีชีวิตชีวาขึ้นมาอย่างประหลาด สำหรับตัวหมอหลินเอง ดูแลรักษากายใจด้วยธรรมะ ด้วยอาหารธรรมชาติ และรำมวยไท้เก๊กมาเกือบสี่สิบปีแล้ว บวกกับบุญทานที่สร้างอยู่เป็นประจำ จึงไม่น่าแปลกใจว่า บัดนี้อายุแปดสิบสี่ปีแล้ว ยังกระฉับกระเฉงอยู่

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                  คนขายปลาจีน   :  สิบสองปีมานี้ เจ๊ลั้งเข้าโรงพยาบาลติดต่อกันไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ผ่าตัดใหญ่สามครั้ง ถูกควัก ถูกเจาะ ถูกตัดอวัยวะแล้วยังต้องใส่สายระยางบนตัว ให้เลือด ให้ออซิเจน ท่อ 

        ระบายปัสสาวะ ท่อดูดเสมหะ... ทุกข์ทรมานจริง ๆ สุดท้าย เจ๊ลั้งตายด้วยโรคพิษงูสวัดเข้าหัวใจ เมื่ออายุหกสิบสองปี เจ๊ลั้งมีหลานสาวบวชเป็นชี แม่ชีบอกว่า ไม่เคยเห็นใครเจ็บป่วยมาราธอนอย่างนี้เลย นี่เป็นเพราะอาชีพขายปลาเป็นบาปเวรแท้ ๆ แม่ชีขอให้เลิดอาชีพนี้ ถือศีลกินเจ ทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ปลาเหล่านั้น แต่เจ๊ลั้งยังเห็นแก่รายได้ และอ้างว่าลูกยังไม่โตพอที่จะวางลงได้่ เจ๊ลั้งมีลูกชายหญิงสองคน สามีถูกรถชนตายเมื่อเธออายุได้ยี่สิบแปดปี เธออดทนเลี้ยงดูลูกด้วยการขายปลาเมืองจีน ปลาเมืองจีนคือ พวกปลากะพงตัวใหญ่ ๆ ที่จีนเรียกว่า หลิ่งฮื้อ  ส่งฮื้อ  เฉาฮื้อ เหล่านี้ ปลาเหล่านี้เมื่อก่อนมาจากเมืองจีน ยังไม่ได้แพร่พันธุ์ในไทย จึงเรียกว่า ปลาเมืองจีน ปลาเมืองจีนเป็นที่นิยมของผู้บริโภคมาก แต่ราคาแพง ตัวใหญ่ ครอบครัวเล็กกินไม่หมด จึงต้องสับขายครึ่งตัว บางครั้งเจ๊ลั้งเห็นขายไม่ดี ก็จับปลาเป็น ๆ ที่แช่น้ำอยู่ในถังขึ้นมา สับกลางลำตัวเป็นสองท่อน  ท่อนหางโยนลงถังไป ท่อนหัวแขวนตะขอเรียกลูกค้า เพราะปลายังไม่ตายจึงอ้าปากพะงาบ ๆ เลือดกับน้ำไหลหยด ลูกค้าก็ช่างใจดำอำมหิต คิดแต่จะกินของสด โดยเฉพาะค่านิยมผิด ๆ อย่างที่คนก่อนเก่าเชื่อกันว่า "คนใหญ่กินหัวปลา คนต่ำกว่ากินหาง" พอเห็นหัวปลาโดด ๆ ก็นึกถึงสถานภาพ นึกถึงฐานะตนขึ้นมาทันที นี่เป็นจิตวิทยาอย่างหนึ่ง  จึงต่างยินดีซื้อหัวปลาไปประกอบอาหาร เรียกว่าเอาแต่ได้ ไม่คำนึกถึงชีวิตจิตใจ ความเจ็บปวดรวดร้าวที่ปลาต้องได้รับอยู่ การค้าหัวปลาสด ๆ โดยอาศัยจิตวิทยาสรร้างค่านิยมอย่างนี้มีมานานแล้ว และบัดนี้ยิ่งแพร่หลาย เจ๊ลั้ง ค้าหัวปลาสดอย่างนี้มายี่สิบสามสิบปีแล้ว ฐานะความเป็นอยู่ร่ำรวย มีทรัพย์สมบัติเพิ่มมากขึ้นทุกอย่างที่ต้องการ ลูก ๆ ก็ได้ใช้ชีวิตสมบูรณ์พูนสุขตามความพอใจ แม่ชีหลานสาวเตือนอาอยู่เรื่อยมาว่า ให้เลิกอาชีพนี้ แทนที่จะฟััง เจ๊ลั้งยังกลับจ้างลูกจ้างขยายอาชีพตัดท่อนลำตัวปลาเป็น ๆ ขายอีกด้วย สิบปีระยะใกล้มานี้ เจ๊ลั้งเจ็บป่วยเกือบตลอดเวลา ภายหลังยังได้พบเชื้อมะเร็งในกระเพาะลำไส้  จึงต้องตัดลำไส้ท่อนหนึ่งไป  อีกครั้งหนึ่ง ตับอักเสบเฉียบพลัน การรักษาแผลใหม่ในระยะแรกเริ่ม จะใช้วิธีเจาะหน้าท้อง ดูดเลือดหนองที่อักเสบออกมา ซึ้่งมีผลต่อการรักษาดีทีเดียว แต่สำหรับเจ๊ลั่ง วิธีนี้ไม่มีผล จึงต้องทนทรมานรับการผ่าตัดใหญ่ สุดท้ายยังต้องผ่าตัดเปลี่ยนไตอีก เจ๊ลั้งที่เคยว่องไวใจเด็ด เงื้อมีดฟันฉับลงบนปลาเป็น ๆ ตัวใหญ่วันละหลายสิบตัว บัดนี้ เจ๊ลั้งมีแต่ความทุกข์เศร้า และบอกกับลูกว่า อย่าทำอาชีพนี้อีกเลย ต้นปีที่แล้ว เจ๊ลั้งเป็นงูสวัดคาดรอบเอว แรกเริ่มคิดว่าเป็นโรคผิวหนังธรรมดา กิน - ทายาเป็นประจำ แต่แผลกลับลุกลาม  ปวดบวม จึงไปหาหมอ แผลดูอย่างกับไม่เลวร้ายลง แต่หารู้ไม่ว่า พิษกระจายเข้าเส้นเลือด  เข้าตับ  เจ๊ลั้งต้องรับโทษทัณฑ์จากกฏแห่งกรรมอยู่นานถึงสิบปี จึงลืมนัยน์ตาขุ่นมัวนิ่งงันเหมือนนัยน์ตาปลา มองดูหนทางเวิ้งไกลไร้จุดหมายอยู่ จนกระทั่งมีผู้มาพบว่า เจ๊ลั้งสิ้นใจไปแล้วหลายชั่วโมง

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                   กรรมพันธุ์   :  ในงานเลี้ยงวันนั้น ได้พบกับหลานชายของเพื่อนเก่าโดยบังเอิญ เมื่อถามทุกข์สุขแล้ว ทำให้ต้องสะเทือนใจ ได้รู้ว่าเพื่อนเก่าอายุเจ็ดสิบปีเป็นอัมพาตครึ่งตัวอยู่ห้าปี ได้เสียชีวิตไปแล้ว

        ซึ่งลูกชายของเพื่อนเก่า ภายหลังเมื่ออายุได้หกสิบห้าปี ก็ประสบชะตากรรมเช่นเดียวกับพ่อ และบัดนี้ หลานสาวของเพื่อนเก่าอายุห้าสิบปี ก็กำลังเป็นอัมพาตครึ่งตัวนอนแซ่อยู่บนเตียงมาแล้วหนึ่งปี หลานชายคนนี้จึงถามข้าพเจ้าว่า โรคนี้มีกรรมพันธุ์หรือไม่ ถ้าไม่มี ทำไมปู่  พ่อ  พี่สาวของเขา  จึงเป็นไปตาม ๆ กัน หลานชายเคยได้ยินข่าวที่ข้าพเจ้าเผยแพร่อาหารไข่น้ำส้มยาวิเศษที่ใช้รักษาอาการนี้โดยเฉพาะ อีกทั้งป้องกันโรคต่าง ๆ ได้ถึงห้าสิบโรค หลานชายเกรงว่า ตนเองจะต้องเรียงลำดับเข้าไปอีกคน ข้าพเจ้าตอบว่า "สรรพคุณที่ประกาศนั้นเป็นจริง เพราะขยายหลอดเลือดที่อุดตันได้ชะงัด ส่วนโรคนี้จะเป็นกรรมพันธุ์หรือไม่ ยังไม่ชัดเจน แต่สำหรับนิสัยใจคอเป็นกรรมพันธุ์นั้นเห็นได้ เช่น ปู่ของเธอชอบดื่ม  พ่อของเธอก็ชอบดื่ม  แต่พี่สาวของเธอชอบดื่มหรือไม่ ข้าพเจ้าไม่ทราบ พฤติกรรมที่ทำตาม ๆ กันมาดังนี้ เรียกได้ว่า กรรมพันธุ์ แต่หลานชายไม่ดื่มเลย ก็คงจะไม่ข้องแวะกับกรรมพันธุ์ หลานชายยิ้มออกมาได้ เมื่อข้าพเจ้ากล่าวเช่นนี้ เฮียหลี่ที่ร่วมโต๊ะ นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ จึงขอเล่าว่า ... เขาเองมีลูกสาวเป็นพยาบาล อยู่แผนกสูตินารีเวชที่โรงพยาบาลประจำจังหวัด ทำงานอยู่หลายปี นับเป็นพยาบาลชำนาญงานทีเดียว  วันหนึ่ง เธอรับคลอดเด็กเพศชายแข็งแรงคนหนึ่ง แต่ต้องจับหิ้วขาให้ทารกห้อยหัวลง ตบก้นให้ร้องจ้้่าเสียก่อนแล้วจึงอุ้มไปอาบน้ำชำระคราบไข เพราะทารกออกมาหน้าเขียวไม่ร้อง อาบน้ำเสร็จ สวมเสื้อ ถุงมือ ถุงเท้าห่อผ้าอ้อมผ้าขนหนูเสร็จ ก็ส่งไปให้แม่ที่ลืมความเจ็บปวดแสนสาหัสเมื่อสักครู่เสียสิ้น กำลังทอดสายตาดูที่ประตูห้องว่าเมื่อไหร่พยาบาลจึงจะส่งลูกเข้ามาให้ พอได้กอดลูกไว้ในอ้อมอกเท่านั้น สิ่งใด ๆ ในโลกก็ไม่สำคัญเสียแล้วสำหรับแม่ แต่พยาบาลสิใจหายวาบ เมื่อสังเกตเห็นแหวนเพชรบนนิ้วนางหายไป หายไปได้อย่างไร ตั้งแต่เมื่อไหร่  เธอทบทวนความจำ ก่อนอาบน้ำเด็ก ยังอยู่... หรือร่วงหลุดไปกับความลื่นของสบู่ ถูกน้ำราดลงท่อระบายไปแล้ว... โธ่...มันเป็นแหวนที่เธออยากจะประกาศให้ก้องโลกว่ากว่าจะพิชิตจิตใจหมอคู่หมั้นมาได้ เธอต้องฝ่าฟันอุปสรรคจากผู้หญิงมากมายที่หมายปองหมอสุดหล่อสุดดีคนนี้... แต่ขณะนี้ แหวนหมั้นที่แสดงถึงชัยชนะอันยิ่งใหญ่ หายไปจากนิ้วนางของเธอ เธอจึงสติแตกเหมือนแมลงวันหัวขาด รื้อค้น ชนหัว คุ้ยหาไปทั่ว เธอได้แต่ร้องไห้ เพราะหาอย่างไรก็ไม่พบ สุดท้าย เธอต้องตั้งสติ... จึงได้ความคิดว่า อาจจะหลุดอยู่ในผ้าห่อตัวเด็กก็เป็นได้ จึงถลันตรงไปที่ทารกนั้น รื้อผ้าที่ห่อตัว ดึงถุงมือถุงเท้าเด็กออก แต่ยังคงไม่พบ ขณะที่เธอกำลังสิ้นหวังอยู่ พลันนึกได้ว่า แม้ไม่น่าเป็นไปได้แต่ก็ต้องทำ เธอแกะมือที่กำแน่นของทารกน้อยออกดู แล้วเธอก็ต้องตกตะลึง แหวนเพชรอยู่ในกำมือของเด็กทารกน้อย ด้วยความที่เป็นคนละเอียดรอบรู้ พยาบาลสืบประวัติพ่อแม่ของทารกน้อยจนถึงที่สุด ผลปรากฏว่า พ่อแม่ของทารกเคยถูกจับหลายครั้งด้วยข้อหาล้วงกระเป๋า เฮียหลี่ทิ้งท้ายว่า "นี่แหละกรรมพันธุ์" เล่นเอาพวกเราหัวเราะกันครืน

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
              อุดดัน   :  นายแดง ช่างรับเหมาก่อสร้าง รู้จักกับข้าพเจ้าเป็นอย่างดี ครั้งนี้มารับเหมาสร้างบ้านให้ ฝีมือดี ค่าแรงถูก ประหยัดวัสดุ ไม่บานปลาย ใช้เวลาสั้นกว่าที่กำหนดไว้ นายช่างอย่างนี้จะหาได้

       ที่ไหน นายแดง เป็นคนอิสาน ขณะนี้อายุหกสิบปีแล้ว ไม่รับจ้างก่อสร้างที่ไหนอีก มีแต่ปฏิสังขรณ์ซ่อมแซมวัดวาอาราม ได้ค่าแรงพอประทังชีวิตวันละหนึ่งร้อยกว่าบาท บางคราวหลวงพ่อเจ้าอาวาสขาดเงินไม่จ่ายค่าแรง นายแดงก็อยู่ทำต่อไปได้ไม่เรียกร้อง เพราะลูก ๆ ต่างมีงานการทำ ภรรยาอายุเท่ากันก็บวชเป็นชี นายแดงไม่มีภาระรับผิดชอบใครจึงไม่ต้องดิ้นรน นายแดงก่อสร้างมาหลายปี มีชื่อเสียงมากในวงการ ใคร ๆ ก็อยากได้ตัวไปร่วมงาน แต่เขาปฏิเสธหมด ครั้งนี้ ที่ขอให้มาสร้างบ้านได้ เพราะเจ้าอาวาสได้ช่วยคะยั้นคะยอ พอก่อสร้างเสร็จแล้ว ข้าพเจ้าให้ซองแดงเป็นรางวัล และนัดเชิญล่วงหน้าให้มางานฉลองบ้านใหม่ วันทำบุญบ้าน นายแดงไม่ได้มา บ่ายจึงเห็นพี่ขาวผู้ช่วยของนายแดงมางาน พี่ขาวว่านายแดงฝากซองมาร่วมทำบุญ แต่ตัวเองต้องเข้าโรงพยาบาลกระทันหัน คืนนั้น ข้าพเจ้าจับรถขึ้นอิสานพร้อมกับพี่ขาวเพื่อไปเยี่ยมนายแดง ลูกชายนายแดงซึ่งเฝ้าดูแลพ่ออยู่ที่โรงพยาบาลบอกว่า "พ่อปัสสาวะไม่ออก" กำลังอยู่ในห้องผ่าตัด ข้าพเจ้าถามว่าเป็นนิ่วหรืออย่างไร ลูกชายว่าไม่ใช่ แต่อยู่ ๆ ท่อปัสสาวะก็จะอุดตันสักวันสองวัน เจ็บปวดทุกข์ทรมานสาหัสสากรรจ์มาสี่ครั้งแล้ว ขณะที่คุยกันอยู่ ท่านเจ้าอาวาสที่นายแดงอาศัยอยู่ด้วยก็มาเยี่ยม ข้าพเจ้าจึงคุยกับท่าน ได้รับข้อเท็จจริงเบื้องหลังการเจ็บป่วยของนายแดงมาว่า "ประมาณเมื่อสามสิบปีก่อน นายแดงกับภรรยายังอายุน้อยมีอาชีพทำหินขัด ปูกระเบื้อง เหมาช่วงงานจากบริษัทก่อสร้างอีกที ครั้งนั้นรับเหมางานสร้างโรงแรมระดับสามสี่ดาวร้อยกว่าห้อง เนื่องจากรับเหมาแข่งขันกันมาก จึงต่างกดราคาลง แน่นอนราคาต่ำ คุณภาพย่อมต่ำตามไปด้วย พอส่งงาน เจ้าของโครงการตรวจพบว่า งานหยาบเสียหายหลายแห่ง จ้างช่างไม่มีฝีมือ กระเบื้องที่ปู จึงบิดเบี้ยว ส่วนหินขัดก็สูงต่ำตะปุ่มตะป่ำ เจ้าของโครงการจึงไม่ยอมจ่ายค่าก่อสร้้างส่วนที่เหลือให้ นอกจากจะแก้ไขส่วนที่มีปัญหาเสียใหม่ ค่ารับเหมาซึ่งถูกมากอยู่แล้ว และยังจะต้องทุบทิ้งทำใหม่ ทำให้หนุ่มแดงเดือดดาล จึงจัดการแก้แค้นโดยแอบกรอกปูนซีเมนต์ลงไปในท่อระบายน้ำในห้องน้ำ เพื่อให้ท่อตีบเล็กระบายได้น้อย
ตอนที่ส่งมอบงาน แม้จะมีการทดสอบ แต่ไม่พบปัญหาเพราะจำนวนน้ำที่ต้องระบายไม่มาก วันเปิดฉลองโรงแรม เพื่อนฝูงแขกเหรื่อมาอวยพรกันคับคั่ง วิสัยของคนมักเอาเปรียบ ถ้าได้ฟรีจะยิ่งกิน ยิ่งใช้ กอบโกยให้เต็มที่ นอกจากดื่มกินกันจนหัวปักหัวปำแล้วยังหอบหิ้วกันเข้าไปใช้บริการห้องพัก เปิดแอร์เปิดทีวี ใช้โทรศัพท์ อาบน้ำ สระผม... ยังไม่ทันครึ่งคืน น้ำท่วมห้องล้นเข้าไปใต้เตียงนอน... ห้องพักหนึ่งร้อยสิบสองห้อง น้ำท่วมเสียแปดสิบแปดห้องโกลาหลไปทั้งโรงแรม เป็นเรื่องตลกที่เจ้าของโรงแรมเสียหายมากทั้งทรัพย์สินและชื่อเสียงจนต้องร้องไห้ อะไรกัน เพิ่งเปิดฉลองแต่ต้องประกาศปิดซ่อมสองเดือนในวันรุ่งขึ้น หลังจากตรวจสอบโดยละเอียด จึงได้พบว่าเหตุเกิดเพราะมีคนคิดร้ายกลั่นแกล้งดังกล่าว ผู้รับเหมาถูกแจ้งความต้องยอมรับความเสียหาย รื้อห้องน้ำสุขภัณฑ์ ท่อระบายน้ำทั้งแปดสิบแปดห้อง แก้ไขใหม่ทั้งหมด ทางโรงแรมยังเรียกร้องค่าเสียหายที่ต้องเปิดทำการล่าช้าไปสองเดือนอีกด้วย ผู้รับเหมาล้มป่วยตั้งแต่บัดนั้น อย่างกับไม่มีวันฟื้นตัวได้อีกเลย ส่วยนายแดงกับภรรยยา ที่ทำการเสียหายใหญ่หลวงไปด้วยอารมณ์ชั่ววูบ หลบไปทำนาที่บ้านอิสาน ภายหลัง ภรรยานายแดงผ่าตัดให้กำเนิดลูกชาย แต่แปลกแท้ที่ไม่มีรูทวารหนัก ต้องผ่าตัดเจาะรูทวาร ปีถัดไปต้องผ่าตัดให้กำเนิดลูกหญิงก็รูทวารใหญ่อุดตันอีก  คราวนี้ สองสามีภรรยาเริ่มรับรู้ถึงกฏแห่งกรรม... ตลอดชีวิตที่ผ่านมา ครอบครัวนี้หาความราบรื่นไม่ได้เลย ไม่ว่าเรื่องอะไร ก็จะมีเหตุให้อุดตันอยู่ร่ำไป สุดท้าย นายแดงไปอยู่วัดช่วยซ่อมแซมวัด ภรรยาไปบวชชี รับใช้เก็บกวาดล้างท่อน้ำทิ้งมิให้อุดตันอยู่จนบัดนี้     

Tags: