พระอริยะ หวังเฟิ่งอี้
เล่ม ๑
ตอนที่ 5
เผยแพร่เมตตาธรรม
เมื่อซู่ถงอายุได้ 20 ทำงานอยู่ที่กวนซัน กับครอบครัวหลี่ นายหญิงของตระกูลแม้จะอายุไ้ด้ 40 ปี ก็ยังหามีบุตรไม่ ด้วยเหตุนี้ นายหลี่จึงต้องหาอนุภรรยาเป็นชาวมองโกล เมื่อนางแต่งเข้ามาก็ได้กำเนินบุตรชายให้นายหลี่สมใจ บ้านของสกุลหลี่ใกล้กับเหมืองถ่านหิน ฉะนั้นการหุงต้มจะไม่ใช้ฟืน แต่จะใช้ถ่านหินแทน แต่นางมองโกลผู้นี้ ใช้ถ่านหินไม่เป็นการหุงหาอาหารจึงมีปัญหาเสมอ ๆ ข้าวถ้าไม่สุก ๆ ดิบ ๆ ก็สุกจนไหม้ นายหญิงใหญ่ "หวังสี" เป็นผู้มีจิตริษยานางไม่เพียงไม่ยอมสอน แต่จะคอยซ้ำเติมหัวเราะเยาะยามที่นางเห็นสามีโมโหทุกครั้งที่กินข้าว เพราะเห็นว่าข้าวไม่สุก เกรงว่าคนงานจะกินข้าวไม่อิ่มท้อง จะทำงานไม่เต็มที่ นางจึงมักจะถูกสามีตบตีเสมอมา นายหญิงใหญ่ไม่สงสารไม่เห็นใจ แต่จะยิ้มเยาะกระหยิ่มใจ
เมื่อซู่ถงมาทำงานในสกุลนี้ ได้ยินเรื่องเหล่านี้มาก่อนแล้ว เมื่อมาสมัครงานนายจ้างก็รับเข้าทำงานยามที่ถึงเวลาอาหาร ขณะที่กินข้าวครึ่งสุกครึ่งดิบนั้น นายจ้างก็เริ่มด่าทอผู้เป็นภรรยารอง ครั้งจะเกิดตบตีขึ้น ซู่ถงก็พูดขึ้นว่า "นายหลี่ ท่านไม่ชอบข้าวแบบนี้เหรอ ข้าวแบบนี้เหมาะกับผู้ใช้แรงงานมาก และข้าก็ชอบข้าวแบบนี้มาก ถ้าได้ข้าวแบบนี้จะทำให้กินได้มากด้วย นายหลี่ก้หายโมโห คราใดที่ท้องฟ้ามืดมิดไม่สามารถออกไปทำงานข้างนอกได้ ก็จะพูดกับนายหลี่ว่า "วันนี้ออกไปทำงานนอกบ้านไม่ได้ ข้าจะทำอาหารเอง" และจะถือโอกาสนี้สอนนางมองโกล ให้รู้จักใช้ถ่านหิน เวลาผ่านไปถึงครึ่งปี นางก็ใช้เป็น สามีก็ไม่ต้องมีอารมณ์อีก นางก็ไม่ต้องถูกตบตีอีกต่อไป
อยู่มาวันหนึ่ง เมื่อซู่ถงเห็นนายหลี่อารมณ์ดี ก็พูดขึ้นว่า "นายหญิงรองพลัดบ้านจากถิ่นฐานมาถึงที่นี่ ไม่มีญาติพี่น้องที่ไหน ภาษาพูดก็ไม่รู้เรื่อง ประเพณีก็ต่างกัน จะมีก็แต่นายท่านและนายน้อยที่ถือว่าเป็นญาติใกล้ชิดเท่านั้น ควรที่จะเห็นใจนางจึงจะถูก" นายหลี่ก็ให้ซาบซึ้งแก่ใจเช่นกัน พูดขึ้นว่า "ที่ข้าจำต้องด่าทอนาง ก็เพราะกลัวว่าคนงานจะกินกันไม่อิ่ม ไม่มีแรงทำงาน ที่ตีก็เพราะจำใจจริง ๆ " วันเวลาผ่านไปเร็วมาก งานของซู่ถงก็สำเร็จลุล่วงได้เวลากลับบ้าน นายหลี่เอ่ยขึ้นกับซู่ถงว่า "ซู่ถงเจ้านี่เป็นคนดีเสียจริง มาบัดนี้ข้าไม่โมโหนางอีกแล้ว นางสองแม่ลูกอยู่เป็นสุขก็ด้วยบุญคุณของเจ้าแท้ ๆ ข้าหวังว่าภายภาคหน้าถ้าเจ้ามีทุกข์ร้อนใดที่ข้าพอช่วยได้ ข้าจะช่วยเจ้าแน่" จากนั้นต่างก็จำอำลาต่อกัน
ซู่ถงอายุ 21 ปี ทำงานอยู่อีกบ้านหนึ่ง นายหญิงของบ้านนี้ชอบด่าทอมาก วัน ๆ จะด่าลูก ด่าคนงาน และด่าได้สามวันสามคืน ซู่ถงรู้ว่าการด่าทอเป็นสิ่งไม่ดี ก็ตั้งใจจะกล่ิอมเกลานาง แต่จะพูดตามอำเภอใจไม่ได้ จำต้องรอจังหวะเวลา พอดีเดือน 4 วันที่ 28 นั้น มีงานวัดในหมู่บ้าน ต่างจะเลิกงานเร็วกว่าทุกวัน พวกชาวนาก็ทำเพียงครึ่งวัน ชาวนาจึงเริ่มงานกันตั้งแต่เช้ามืดนั้น นายหญิงนั้นก็สั่งให้ลูกชายไปคุมงานพร้อมกับกำชับว่า เมื่อทำนาเสร็จให้ลงข้าวโพดต่อ ลูกชายนางไปถึงก็ได้แ่ต่ด้อม ๆ มอง ๆ ไม่พูดอะไรแล้วก็กลับ กลับมาก็ไม่พูดอะไรกับแม่อีก คนงานก็ไม่รู้ว่านางให้ทำอะไรก็ปลดคันไถเก็บ เมื่อถึงเวลาเที่ยง คนงานกลับมากินเลี้ยงฉลองกัน นางก็ด่าว่าเป็นการใหญ่ ซู่ถงฟังไปฟังมาจึงได้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อพ่อครัวมาเติมอาหารให้ครั้งใด ซู่ถงก็จะถามเสมอว่า ยังด่าอยู่หรือเปล่า ออกมาคราใดก็ถามอย่างนี้ถึงสามครั้ง คำตอบที่ได้ก็คือ "ยังด่าอยู่" เมื่อซู่ถงกินอิ่มแล้ว ก้เข้าไปในห้องโถงใหญ่ของนายร้องตะโกนว่า "หยุดด่าได้แล้ว ถ้าท่านผู้เฒ่าเป็นอะไรไป เราจะรับไม่ไหว" แล้วกวักมือเรียกคนงานว่า ไไปกันไปลงข้าวโพดกัน" นายหญิงก็พูดขึ้นว่าวันนี้เป็นวันหยุด จะออกไปทำงานได้อย่างไร ซู่ถงว่า "ไม่เป็นไร วันนี้เป็นวันของพวกเรา จะห้ามก็ห้ามไม่ได้" เมื่อเราลงกันเสร็จค่อยไปเที่ยวกัน นางก็พูดอีกว่า "นี่ก็มืดแล้วพรุ่งนี้ค่อยไป" ซู่ถงว่า "นี่เป็นแรงงานของเราเอง อย่ามัวชักช้ากันเลย" นางก้ไม่สบายใจพูดขึ้นว่า "ถ้าเช่นนั้นวันนี้จะจ่ายให้เป็นพิเศษ" ซู่ถงก็ตอบว่าไม่ต้อง พูดแล้วก็วิ่งไป ส่วนนายนั้นก็รีบวิ่งติดตามเอาเงินมาจ่ายให้ ซู่ถงก็พูดขึ้นว่า "ดีแล้วที่เราได้ซองแดง เราก็ควรจะให้ตอบแทนด้วย" คืนนี้เราควรรีบกลับบ้าน มาช่วยกันเก็บกวาดให้เรียบร้อย พูดไปก็วิ่งไป เมื่อเห็นนายวิ่งตามมาก็ชลอเท้ารอ ด้วยเกรงว่าผู้เป็นนายจะวิ่งเหนื่อยไป เพราะวิ่งตามเอาเงินมาให้กันคืนนี้ ตกดึกเมื่อกลับกันมาอย่างครื้นเครง นายหญิงก็อารมณ์ดี แต่นั้นมา นางก็เลิกด่าคน อีกทั้งยังสอนคนไม่ให้มีอารมณ์โกรธ โมโห ซู่ถงก็ว่า "ข้ามีอารมณ์ที่ไหน ข้าอยากให้พวกเจ้าอยู่อย่างสงบสุขมากกว่า จากประสบการณ์นี้จึงสอนให้รู้ว่า "ผู้ใดประจักษ์ในธรรมะข้อใด ก็จะเชื่อในธรรมะข้อนั้น" เป็นความจริง
อยู่มาวันหนึ่ง นายน้อยตีกันเอง พี่ตีน้อง ทั้งแม่และพี่สาวต่างร้องไห้ ซู่ถงก็ตวาดว่า โดยไม่คำนึงว่าตัวเองเป็นผู้ใด "เจ้าดูซิ ตีน้องตัวเองก้เท่ากับตีแม่เหมือนกัน ดู ! ดู ! แม่นั่งร้องไห้เจ็บปวดแค่ไหน เจ้ารู้หรือไม่ เมื่อนายน้อยได้ยินเช่นนั้นก้หยุดตีกันทันที การกระทำของซู่ถง เป็นความภักดีอย่างยิ่งต่อนายของตน โดยไม่คำนึงว่าตนเป็นเพียงคนงานในบ้าน แต่เพราะต้องการจรรโลงไว้ซึ่งคุณธรรมเท่านั้น ที่นายน้อยของตน ไม่เคยได้มีโอกาสรับการบ่มอบรมถึงคุณงามความดีนี้มาก่อน