ศึกษาคัมภีร์ ทางสายกลาง
โดย อนัตตา
เล่มที่หนึ่ง
บัณฑิตค้นหาภายในตัวเองจนพบ
แต่ปุถุชนค้นหาจากภายนอกชั่วชีวิตมิพบพาน
คำนำ
ด้วยพระมหากรุณาธิคุณเบื้องบน บารมีธรรมของพระอาจารย์ - พระอาจาริณีและการส่งเสริมของนักธรรมอาวุโส ผู้เขียนจึงมีโอกาสได้รับ "วิถีอนุตตรธรรม" หลังจากนั้น จึงได้ศึกษาคัมภีร์ต่าง ๆ โดยเฉพาะ "คัมภีร์ทางสายกลาง" ซึ่งตามความเชื่อของพุทธศาสนิกชนคือการปฏิบัติธรรมที่ไม่เน้นหนักสุดโต่งข้างใดข้างหนึ่ง แต่เมื่อมาศึกษาคัมภีร์ทางสายกลางของพระศาสดาขงจื้อ ซึ่งภาษาจีนเรียกว่า จง - อยง จึงได้เกิดความเข้าใจหนทางสายกลางอันแท้จริงซึ่งมิใช่ของง่ายที่จะปฏิบัติได้เสมอเหมือนทุกคน "ทางสายกลาง" เป็นเรื่องของการปฏิบัติ มิได้บัญญัติไว้ในคัมภีร์เพื่อศึกษาหาความรู้เท่านั้น คัมภีร์ทางสายกลางเล่มนี้เป็นพระวจนะที่พระศาสดาขงจื้อนำเอาคัมภีร์โบราณ "หลี่จี้หรือจริยธรรม" มาสั่งสอนอบรมศิษย์ มีถ้อยคำสำคัญที่ใช้ให้เห็นว่า "ธรรมญาณ" ของมนุษย์มีรากฐานมาแต่ฟ้าเบื้องบน การรู้ต้นกำเนิดจึงรู้หนทางคืนกลับ เพราะฉะนั้นการปฏิบัติ "ทางสายกลาง" เป็นหนทางเดียวที่จะได้คืนกลับต้นรากกำเนิดเดิม ถ้อยคำที่พระศาสดาขงจื้อนำมาสั่งสอน ก็คือการถ่ายทอด "วิถีอนุตตระ" แก่ศิษย์ทั้งปวง ศิษย์ชั้นหลังเกรงว่าจะสูญหายจึงบันทึกไว้เรียกว่า "จง -อยง" ผู้เขียนอาศัยสติปัญญาอันน้อยนิด นำถ้อยคำเหล่านั้นมาอธิบายความเขียนลงหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจทุกวันอาทิตย์ อาจมีข้อขาดตกบกพร่องไม่สมบูรณ์แบบหรือตรงต่อความหมายดั้งเดิมที่พระศาสดาขงจื้อต้องการ จึงขอให้ท่านผู้รู้เมตตาชี้แนะส่งเสริม อนึ่ง หนังสือเล่มนี้สำเร็จได้ด้วยการที่อาจารย์ "ศุภนิมิต" ได้นำพาและส่งเสริมให้ผู้เขียนได้ศึกษาวิถีอนุตตระ จึงขอขอบพระคุณไว้ในโอกาสนี้ นักธรรมรุ่นน้อง "พรทัต เจริญสันติวรกุล" ได้กรุณาตรวจทานต้นฉบับครั้งแรก และ คุณเมตตา กันคล้าย กับคุณพนิดา ลาภโชติไพศาล ซึ่งทางโลกเธอทั้งสองเป็นกัลยาณศิษย์ ในทางธรรม ถือเป็นกัลยาณมิตรได้ตรวจทาน - ช่วยเหลือ ในขณะที่ผู้เขียนมีอาการเจ็บป่วย ช่วยให้หนังสือเล่มนี้สำเร็จสมบูรณ์แบบเป็นรูปเล่ม จึงขอขอบคุณไว้ ณ โอกาสนี้ด้วย
ขอให้ทุกคนจงเจริญในธรรม
อนัตตา
คัมภีร์ทางสายกลาง
พุทธศาสนิกชนคุ้นเคยกับคำว่า "" ทางสายกลาง "" และยึดถือเป็นวิถีอันถูกต้อง ตรงต่อสัจธรรมที่พระพุทธองค์ทรงบัญญัติเอาไว้ภายหลังที่ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ แต่ความเข้าใจในสภาวะแห่ง "" ทางสายกลาง "" อันแท้จริงเป็นไฉนนับเป็นปัญหาที่ต้องถกแถลงกันให้กระจ่างชัดเพราะมีความเข้าใจผิดคิดว่า หนทางแห่งทางสายกลางเป็นวิถีชีวิตของปุถุชนทั่วไปที่ปฏิบัติได้อย่างง่ายดาย ทางสายกลางเป็นอริยมรรค อันเป็นหนทางไปสู่ความเป็นพระอริยะเจ้าเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ทางสายกลางจึงมิได้ผูกขาดอยู่แต่ในพระพุทธศาสนาเท่านั้น พระอริยะเจ้าทุกพระองค์ย่อมปฏิบัติหนทางสายกลางด้วยกันทั้งสิ้น ปุถุชนเข้าใจความหมายแห่งทางสายกลางเป็นรูปธรรม กล่าวคือ ไม่กระทำสิ่งใดสุดโต่งไปข้างใดข้างหนึ่งและมักกล่าวอ้างเสมอว่ากระทำให้ "" พอดี "" เป็นใช้ได้ "" พอดี "" กับอะไรล่ะ ถ้าพอดีแก่ใจตนเอง หาใช่ความพอดีไม่แต่เป็นความพอใจเสียมากกว่า เพราะด้วยเหตุนี้การปฏิบัติทางสายกลางของชนสามัญจึงไม่อยู่ในขอบเขต ดังที่พระพุทธองค์ได้ตรัสเอาไว้ การศึกษาเกี่ยวกับ ""ทางสายกลาง"" จึงเป็นสิ่งที่มีความจำเป็นเพราะอย่างน้อยเพื่อให้เกิดความเข้าใจมากกว่าที่จะเพียงเสียงพูดออกจากปากว่าปฏิบัติตนตามทางสายกลางก็พอแล้ว เพราะการกระทำเช่นนั้นเป็นเพียงความเข้าใจผิด และก่อให้เกิดความสับสนในหนทางสายกลางที่พระพุทธองค์ตรัสรู้ ในการศึกษาครั้งนี้ จะนำเอาคัมภีร์ทางสายกลางของบรมปราชญ์ขงจื้อ มาเป็นหลักด้วยความเชื่อที่ว่า ถ้อยรจนาของศาสดาขงจื้อกับ "" ทางสายกลาง "" ของพระพุทธองค์มิได้มีความแตกต่างกันเลย คัมภีร์ "" ทางสายกลาง "" ของท่านขงจื้อเรียกว่า "" จง ยง "" พระพุทธองค์ทรงเรียกหนทางนี้ว่า "" มัชฌิมปฏิปทา "" แม้ภาษาพูดแตกต่างกันระหว่างพระศาสาดาทั้งสองแต่ความหมายแห่งการสอนนั้นกลับตรงกันโดยน่าอัศจรรย์นััน ถ้านับด้วยกาลสมัยพระศาสดาทั้งสองพระองค์ร่วมสมัยกัน แต่โดยภูมิศาสตร์อยู่ต่างกัน องค์หนึ่งสถิตบนแผ่นดินใหญ่ของจีนแต่อีกองค์หนึ่งอยู่ในชมพูทวีป แต่ที่ตรัสพระสูตรออกมามีความหมายอย่างเดียวกันนั้นย่อมสำแดงให้เห็นเป็นสัจธรรมว่า ทั้งสองพระองค์ทรงมี อนุตตรภาวะเฉกเช่นเดียวกัน การสื่อสารในสมัยโบราณมิได้ทันสมัยเยี่ยงปัจจุบันเพราะฉะนั้นจึงเป็นประจักษ์พยานว่าทั้งสองพระองค์มิได้เรียนรู้ซึ่งกันและกันเลย ศาสดาขงจื้อย่อมอ่านภาษาบาลีไม่ได้ พระพุทธองค์ก็ทรงอ่านภาษาจีนมิได้เช่นเดียวกัน ศาสดาขงจื้อ ท่านสอนคัมภีร์ทางสายกลางนี้โดยบอกว่า เป็นหลักธรรมที่สำคัญที่สุดในอันที่จะกลับคืนสู่ความเป็นพระอริยะพระพุทธองค์หลังจากที่ได้ตรัสรู้แล้ว ได้เสด็จไปเทศนาให้ปัญจวัคคีย์ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน คำเทศนาในครั้งนั้นเรียกว่า "" ธัมมจักรกัปปวัฒนสูตร "" ซึ่งมีความหมายคือ "" ทางสายกลาง "" เป็นธรรมะอันสูงสุดและเป็นหนทางแห่งความสำเร็จ เหตุที่พระองค์ตรัสรู้ว่า เป็นหนทางที่ถูกต้องที่สุดเพราะว่าในชมภูทวีปในขณะนั้นการแสวงหาหนทางแห่งความพ้นทุกข์มีอยู่หลายแบบ เช่นหาความสุขทุกอย่างเพื่อให้ตนเองพ้นไปจากความทุกข์ อีกอย่างหนึ่งคือการทรมานตัวเองให้ได้รับความยากลำบากที่สุด เช่นอดอาหาร ฝังร่างกายในดิน บำเพ็ญทุกขกิริยา ทั้งสองหนทางนี้เป็นการบำเพ็ญแบบสุดขอบทั้งสองข้าง แม้ว่าโดยรูปแบบนั้นแตกต่างกันแต่โดยสภาวะแห่งจิตใจแล้วเหมือนกัน คือไม่รู้หนทางแห่งการพ้นทุกข์ ถ้าจะเปรียบไปแล้วคนที่จนที่สุดกับคนที่รวยที่สุดต่างมีความทุกข์เหมือนกัน คนจนขาดเงินสิบบาทเขาก็ทุกข์มากเท่ากับเศรษฐีขาดเงินร้อยล้านบาท ใครที่เอาเงินสิบบาทมาเทียบกับเงินร้อยล้านบาทแล้วต้ดสินว่าคนขาดร้อยล้านบาทย่อมมีทุกข์มากกว่าคนขาดสิบบาท เพราะเป็นเรื่องที่นำมาเปรียบเทียบกันไม่ได้ แต่ที่คิดว่าเขาขาดเงินร้อยล้านบาทมีความทุกข์มากกว่าขาดสิบบาทเพราะเรานำจำนวนเงินมาเปรียบเทียบกัน มิได้นำเอาสภาวะจิตใจมาเทียบเคียงกัน เป็นการเปรียบเทียบที่ผิด เศรษฐีร้องไห้กับขอทานร้องไห้ต่างก็ทุกข์เหมือนกัน เศรษฐีหัวเราะกับขอทานหัวเราะ ความสุขเช่นนั้นก็เช่นเดียวกัน สภาวะจิตของคนทั้งสองแบบนั้นจึงเหมือนกัน ด้วยเหตุนี้การบำเพ็ญธรรมะสุดโต่งไปข้างใดข้างหนึ่งจึงมิใช่หนทางแห่งความขจัดความทุกข์ได้เด็ดขาด พระพุทธองค์ได้ตรัสมัชฌิมปฏิปทาคือหนทางสายกลาง เพราะหนทางนี้มิได้บำเพ็ญตกขอบด้านใดด้านหนึ่งเลย การบำเพ็ญด้วยหนทางสายกลางนั้นสภาวะแห่งจิตใจย่อมรับได้ทั้งความดีและความชั่ว เช่นนี้จึงจักเรียกว่าเรามีหนทางสายกลางความแยบยลแห่ง " หนทางสายกลาง " นั้นมีอยู่มากมายนักและมิได้ง่ายอย่างที่ปุถุชนทั่วไปคิดเห็นแลปฏิบัติอยู่โดยเหมาเอาว่า กระทำการด้วย "" ความพอดี "" จึงเป็นหนทางสายกลางซึ่งล้วนแล้วแต่ตกไปอยู่ในขอบเขตของ "" ความพอใจ"" ทั้งสิ้น