collapse

ผู้เขียน หัวข้อ: Re: คัมภีร์ทางสายกลาง ปฐมบท (จง -- อยง ) เที่ยงตรง -- สัจธรรม  (อ่าน 32421 ครั้ง)

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม

      ใคร ๆ ก็ชอบความเที่ยงตรงและอยากให้ปฏิบัติต่อตัวเองด้วยความเที่ยงตรง แต่น่าแปลกที่ตนเองปฏิบัติต่อผู้อื่น มักขาดความเที่ยงตรงเสมอ แต่เป็นไปตามความพอใจของตนเองเสียส่วนใหญ่ การตีความหมายของ ""ความเที่ยงตรง"" จึงผิดแผกแตกต่างกันไปเพราะต่างเอาใจตนเองและกิเลสของตนเป็นผู้ตัดสิน ""ความเที่ยงตรงจึงไม่ค่อยเกิดขึ้นกับมนุษย์"" เมื่อมนุษย์ไม่มีความเที่ยงตรงจึงก่อทุกข์ภัยให้แก่ตนเองมากมายจนประมาณมิได้ และมักโทษสิ่งอื่น มิได้โทษตนเองที่ขาดความเที่ยงตรง
      มนุษย์ไม่รู้จัก ""ความเที่ยงตรง"" อันแท้จริง ดังนั้นจึงปฏิบัติผิดต่อกฏเกณฑ์ของธรรมชาติ  ความเที่ยงตรงมิอาจนำเอาจิตใจของมนุษย์มาเป็นหลักได้เพราะจิตใจของมนุษย์แปรเปลี่ยนไปตามอิทธิพลของสิ่งแวดล้อมทั้งภายในและภายนอกของตนเอง
     ความเที่ยงตรงของฟ้าดิน จึงเป็นหลักสำคัญที่มนุษย์ควรเรียนรู้ และเอาแบบอย่างมาปฏิบัติซึ่งเป็นเรื่องยาก เพราะขัดต่อความเคยชินอันเป็นกิเลสของมนุษย์ที่สะสมเอาไว้ ฟ้าดินไม่เคยลำเอียงเข้าข้างสรรพสิ่งในโลกนี้ ฟ้าดินจึงก่อเกิดสรรพสิ่งมากมายจนประมาณมิได้ กาลเวลา ฤดูกาล การหมุนเวียน  ล้วนเป็นไปตามความเที่ยงตรง ในโลกนี้มี 4 ฤดู  ฤดูร้อน หนาว ใบไม้ร่วง และใบไม้ผลิ ฟ้าดินก่อเกิดฤดูกาลอย่างเที่ยงตรงสม่ำเสมอ ""ทำไมบางแห่งจึงไม่เที่ยงตรง ฤดูกาลไม่ปกติ"" ""ความเปลี่ยนแปลงนี้มิได้เกิดจากฟ้าดินแต่เป็นเพราะน้ำมือของมนุษย์"""
    คนในกรุงเทพฯทุกวันนี้ไม่รู้จักฤดูหนาว เพราะไม่หนาวมาหลายปีแล้ว ล้วนมีสาเหตุมาจากความวิปริตของมนุษย์ มิใช่เกิดจากฟ้าดินวิปริต แต่มนุษย์มิได้พิจารณาความผิดของตนเองจึงโยนความผิดนี้ให้แก่ฟ้าดิน กรุงเทพฯต้ดโค่นต้นไม้มากมาย จากป่าต้นไม้กลายมาเป็นป่าคอนกรีต ด้วยเหตุนี้ กาลอากาศจึงเปลี่ยนแปลงไป เพราะขาดต้นไม้ที่จะอุ้มน้ำทำความชุ่มชื้นให้เกิดขึ้น กรุงเทพฯจึงมีแต่ฤดูร้อน และ ฝน เท่านั้น
    ถ้ามนุษย์ในกรุงเทพ ฯ มีความเที่ยงตรง เยี่ยงเดียวกับฟ้าดิน ย่อมไม่ทำลายต้นไม้มากมายเช่นทุกวันนี้ มลภาวะเป็นพิษก็จะไม่ทำลายชีวิตผู้คน แต่เป็นเพราะมนุษย์ลำเอียงเข้าหนตนเองคิดแต่ว่าความสุขเฉพาะตัวซึ่งถือว่าเป็นการเห็นแก่ตัว เพราะฉะนั้น ความเที่ยงตรง จึงไม่มี สรรพสิ่งที่อยู่รอบตัวของมนุษย์จึงไม่อาจเจริญขึ้นมาได้ ต้นไม้ดูดสารคาร์บอนไดออกไซด์ เป็นการขจัดมลพิษ แต่มนุษย์กรุงเทพฯ ทำลายต้นไม้ เพราะฉะนั้น มลพิษจึงไม่มีที่ไปจึงกลายเป็นภัยต่อคนกรุงเทพฯ
    เหตุที่จิตใจของคนไม่ตรงต่อฟ้าดินเพราะเขาขาดการเรียนรู้จากฟ้าดินมิได้สังเกตุจากธรรมชาติ เพราะฉะนั้น จึงปฏิบัติผิดเพี้ยนไปจากความเที่ยงตรงของธรรมชาติ ""จิตใจของเขาจึงหันเหห่างไปจากหลักของ ทางสายกลาง""" จิตใจของคนจึงปฏิบัติผิดต่อกฏเกณฑ์ของฟ้าดินและกลายเป็นผู้ขัดขวางพยายามเอาชนะธรรมชาติคือ ฟ้าดิน สรรพสิ่งในโลกนี้จึงแปรเปลี่ยนเป็นภัยอันตรายต่อมนุษย์โดยที่มนุษย์ไม่รู้ตัว มนุษย์พยายามเอาชนะธรรมชาติซึ่งเป็นสิ่งที่เป็นไปมิได้
     สิ่งที่มนุษย์ควรเอาชนะอย่างยิ่งคือ จิตใจของตนเองที่ผิดเพี้ยนไปจากกฏเกณฑ์ของธรรมชาติต่างหาก  เมื่อยิ่งเรียนรู้วิทยาศาสตร์มากขึ้นเพียงใด มนุษย์ยิ่งพ้นไปจากกฏเกณฑ์ของธรรมชาติ หรือฟ้าดินมากขึ้นเพียงนั้น มนุษย์จึงพ้นไปจากทางสายกลางซึ่งเป็นกฏเกณฑ์สำคัญของฟ้าดิน เพราะฉะนั้น การครงอชีวิตของมนุษย์จึงประสบแต่ความวิบัติไปสู้อบายภูมิในที่สุด
    ความเจริญทางด้านวิทธยาศาสตร์ไม่อาจเข้าถึงความเร้นลับของธรรมชาติได้ ภัยพิบัติอันเกิดจากธรรมชาติ มนุษย์ไม่เคยเอาชนะได้เลย ไม่ว่าความเจริญทางด้านวิทยาศาสตร์จะก้าวหน้าไปถึงไหนก็ตาม และที่น่าประหลาดเป็นที่สุด วิทยาการทางวิทธยาศาสตร์ก้าวล้ำหน้าไปในอวกาศ แต่ไม่มีวิทยาการใดเลยที่จักทำให้มนุษย์รู้จักตนเองและเอาชนะกิเลสนานาประการของตนเองได้  เมื่อจิตใจของมนุษย์ห่อหุ้มด้วยกิเลสร้อยแปด เขาจึงพ้นไปจากกฏเกณฑ์ของฟ้าดิน คือ ทางสายกลาง อันแท้จริง เพราะฉะนั้น มนุษย์จึงไม่อาจสร้างความเจริญอย่างธรรมชาติได้ เขาสร้างได้แต่ความเจริญอันจอมปลอมและทำลายตัวเองโดยแท้จริง
     มนุษย์หลงใหลติดอยู่กับความเจริญจอมปลอม และ ส่งเสริมกันจนห่างหายไปจากกฏเกณฑ์ของฟ้าดิน พลังความชั่วบาปเช่นนี้จึงรวมตัวกันเป็น ""มาร"" มาทำลายล้างมนุษย์ ตราบใดมนุษย์ยังไม่เข้าใจ ""ความเที่ยงตรง""และไม่อาจยังให้สรรพสิ่งเจริญงอกงาม มีแต่ทำลายสรรพสิ่งรอบตัวเอง ในที่สุดก็ถึงกาลเวลาทำลายตนเองนั่นแล
 

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม

        มีโคลงโลกนิติ์บทหนึ่งซึ่งแสดงให้เห็นถึงความล้ำลึกของจิตมนุษย์ว่า

                มหาสมุทรสุดลึกล้ำ  คณนา
                สายดิ่งทิ้งทอดมา    หยั่งได้
                เขาสูงอาจวัดวา       กำหนด
                จิตมนุษย์นี้ไซร์        ยากแท้หยั่งถึง

        เหตุที่ "จิต" ของมนุษย์  "ยากแท้หยั่งถึง" เพราะความแปรปรวนไปจากธรรมชาติเดิมของตนเองด้วยแรงของกิเลสเวรกรรมนานาประการที่ตนเองสร้างสมเอาไว้
       ความเคยชินแห่งอารมณ์ที่สั่งสมเอาไว้ย่อมทำให้เกิดความเคลื่อนไหวไปตามสิ่งที่มากระทบ เพราะฉะนั้นจึงแปรเปลี่ยนได้ตลอดกาล  แต่มหาสมุทร หรือ ภูเขา มีความนิ่งสงบไม่เคลื่อนไหวรวดเร็วจึงรู้ถึงความลึกหรือความสูงได้
       ความเปลี่ยนแปลงของ "จิต" มนุษย์มันมากจนกระทั่งแม้ตัวเองก็ไม่อาจหยั่งถึงได้ บางครั้งการกระทำของตนเองเป็นไปด้วยความไม่ตั้งใจ จึงเกิดความเสียใจที่ได้กระทำลงไป เมื่อมีสติคืนกลับมา เป็นต้น ความซับซ้อนอันเป็นเวรกรรมที่สร้างสมไว้เป็นเรื่องของ "ความไม่รู้" สิ่งเหล่านี้จึงดูเหมือนเป็นความลึกลับที่มนุษย์หยั่งไม่ถึง
      คนดีบางคนแต่ทำไมจึงได้รับความทุกข์ยากแสนสาหัส
      คนชั่วบางคนทำไมจึงเสวยสุขมีเกียรติยศ
      ความไม่เข้าใจในเรื่องเหล่านี้ ทำให้มนุษย์มองเห็นเป็นเรื่องลึกลับ แท้จริงแล้วสิ่งทั้งหลายที่เกิดขึ้นล้วนเป็น "กรรม" ของตนเองที่กำหนดเอาไว้ด้วยตนเองทั้งสิ้น เวรกรรมที่ได้กระทำเอาไว้อย่างซับซ้อนนั่นเองเป็นต้นเหตุที่แท้จริง เพราะฉะนั้นการดำรง "จิต" ให้อยู่ในทางสายกลางจึงเป็นเรื่องยากยิ่งสำหรับมนุษย์ เพราะหนทางสายกลางของ "จิต" ล้วนเป็นเรื่องของการหักวงจรแห่งเวรกรรมทั้งสิ้น การดำรงจิตให้อยู่ใน อุเบกขาญาณ สามารถรับทุกสิ่งอย่างได้โดยไม่ข้องแวะหรือเป็นไปตามสิ่งมากระทบจึงเป็นเรื่องยากลำบากนัก เพราะภายในจิตใจของคนเหล่านั้นล้วนมีเชื่อเพลิงเอาไว้แล้ว
      โลภ โกรธ  หลง ล้วนเป็นเชื้อเพลิงที่สั่งสมเอาไว้มากมายจนตนเองไม่รู้สึกว่า สะสมเอาไว้มากน้อยเพียงใด ครั้นกระทบกับเหยื่อที่ต้องกับเชื้อเพลิงเหล่านี้ปฏิกิริยาแสดงออกจึงเกิดขึ้น เชื้อเพลิงมีความรุนแรงมากเท่าไหร่ กระแสไฟก็ลุกขึ้นร้อนแรงเพียงนั้นบางคนเพียงเงินห้าบาทก็สามารถฆ่าคนได้ บางคนเพียงคำพูดมากระทบไม่พอใจก็วิวาทกับผู้คนได้ คนเหล่านี้จึงพ้นไปจากหนทางสายกลางโดยสิ้นเชิง แม้ปากของเขาจะพร่ำพรรณาถึงทางสายกลาง เขาก็ไม่อาจปฏิบัติให้เป็นจริงได้ด้วยจิต มนุษย์จึงพยายามสร้างสิ่งแวดล้อมที่ทำให้ตนเองต้องตกอยู่ในวังวนของความยากลำบากขึ้นทุกที เพราะเขาขาดการพิจารณาธรรมชาติ
     ธรรมชาตินั้นมีความง่าย แต่เบื้องหลังนั้นมีความลึกล้ำที่ไม่อาจหยั่งคะเนได้เลย การที่เมล็ดไม้พันธุ์ชนิดหนึ่งเติบโตขึ้นมาได้ด้วยอาศัยน้ำและอาหารในดินซึ่งพิจารณาไปแล้วเป็นกรรมวิธีที่ง่าย ๆ แต่เบื้องหลังของความง่ายมีความลึกลับที่มนุษย์ไม่อาจเรียนรู้ได้ ตัวอย่างเช่น ต้นข้าวต้นแรก เกิดขึ้นได้อย่างไร มนุษย์คนแรกเกิดขึ้นได้อย่างไร สิ่งเหล่านี้มนุษย์พยายามค้นคว้าศึกษาและหาข้อสรุป แต่ก็ไม่อาจยืนยันในข้อสรุปของตนเองจนไม่มีข้อถกเถียงอีกต่อไปได้
     มนุษย์พยายามทั้งทฤษฏีว่าการเกิดขึ้นของมนุษย์ในโลกนี้เพราะการวิวัฒนาการของสัตว์เซลล์เดียว จากน้ำมาสู่บกและพัฒนาจนกลายเป็นมนุษย์ คำอธิบายเช่นนี้มีข้อที่ถกเถียงได้ ชาร์ล ดาวิน นักวิทยาศาสตร์ที่คิดค้นทฤษฏีวิวัฒนนาการของมนุษย์ ถ้าหากทฤษฏีนี้เป็นความจริง ว่ามนุษย์วิวัฒนาการมาจากลิง แต่สิ่งที่น่าพิจารณาเป็นอย่างยิ่งว่าทำไมจึงหยุดวิวัฒนาการแต่เพียงเท่านี้ กฏแห่งวิวัฒนาการไม่ควรหยุดยั้งอยู่แค่สรีระอย่างปัจจุบันนี้ย่อมจะต้องเปลี่ยนแปลงต่อไป "ความง่ายของธรรมชาติจึงกลายเป็นความลึกล้ำที่มนุษย์หยั่งไม่ถึง" เพราะฉะนั้น การดำรงสภาวะจิตของมนุษย์ที่หลีกเร้นไปจากความง่ายของธรรมชาติ จึงกลายเป็นชีวิตที่ยุ่งยากซับซ้อนมากขึ้นทุกที เสมือนหนึ่งลิงติดร่างแหยิ่งแก้ก็ยิ่งยุ่งนุงนังจนหาทางออกไปพบ คนที่สามารถดำรงสภาวะจิตให้อยู่อย่างง่ายตามธรรมชาติของฟ้าดินแน่อนนเขาย่อมมองดูทุกสิ่งอย่างเปลี่ยนแปลงและเข้าใจถึงความเปลี่ยนแปลงนั้น ไม่เกิดความซับซ้อนภายในจิตของเขาเลย
     แต่เพราะความเคยชินความยุ่งยากที่มนุษย์สร้างขึ้นมาจึงทำให้มนุษย์ไม่อาจอยู่อย่างง่าย ๆ ตามธรรมชาติที่ปราศจากการปรุงแต่งได้เลย   

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม

        สังคมสมัยบรรพกาลไม่ค่อยมีกฏหมาย เพราะการกระทำของผู้คนอยู่ในกฏเกณฑ์ของฟ้าดิน จิตใจมิได้โหดเหี้ยมเยี่ยงในปัจจุบันนี้ เพราะฉะนั้นกฏระเบียบต่าง ๆ จึงไม่จำเป็นต้องมีมากมาย ความเจริญในสมัยโบราณมิได้ดูจากวัตถุภายนอก แต่เป็นความเจริญทางด้านจิตใจและเกณฑ์กำหนดของความเจริญด้วยสัจธรรม คนใกล้ชิดต่อสัจธรรมภายในตนเองมากกว่าภายนอก เพราะฉะนั้นการอยู่ร่วมกันจึงมีความสงบไม่ยุ่งยาก ซับซ้อนเหมือนสังคมในปัจจุบันที่ผู้คนห่างหายไปจากหลักสัจธรรมของตนเอง ผู้คนอยู่กับกิเลสที่ห่อหุ้มจิตใจเอาไว้ คนในยุคปัจจุบันจึงปรุงแต่งสรรพสิ่งมากมายเพราะเป็นไปตามแรงกิเลสมากกว่าที่จะใช้สัจธรรมแห่งตนเป็นผู้กำหนด  คำกล่าวของเหลาจื๊อจึงถูกต้องตรงความเป็นจริงว่า "ยิ่งออกกฏหมายมากผู้คนยิ่งกระทำผิดมาก" ตัวอย่างชัดเจน การค้าขายในสมัยปัจจุบันเต็มไปด้วยสัญญาที่เป็นไปตามลายลักษณ์อักษรและกฏหมายที่กำหนดเอาไว้ เพื่อป้องกันการโกง แต่การโกงก็เกิดขึ้นมากมาย กฏหมายเหล่านั้นก็ไม่อาจป้องกันได้เลย ในสมัยก่อน การตกลงการค้าใช้วาจาเท่านั้นก็ตกลงกันได้ เพราะผู้คนต่างรักษาวาจาสัตย์ไม่ยอมละเมิด ความยุ่งยากซับซ้อนจึงไม่เกิดขึ้นเพราะคนเหล่านี้เชื่อในกฏของฟ้าดินและปฏิบัติตนอยู่ในเกณฑ์กำหนดของฟ้า แต่กฏหมายต่าง ๆ ที่มนุษย์ออกมาบังคับล้วนเป็นเรื่องของการป้องกันจิตใจที่ห่างหายไปจากกฏเกณฑ์ของฟ้าดินทั้งสิ้น เมื่อจิตใจของคนเหล่านี้มีลักษณ์เช่นนี้แล้ว กฏหมายที่ตราขึ้นมาก็ไม่อาจแก้ไขหรือระงับยับยั้งการฉ้อโกงนั้นได้เลย
      แต่ก่อนนั้นไม่มีคดีความขึ้งโรงศาล แต่บัดนี้มีคดีความที่เกี่ยวกับฉ้อโกงรกโรงศาล แม้จะมีกฏหมายป้องกันก็ไม่เป็นผลตามที่มนุษย์กำหนดเลย การตรากฏหมายขึ้นมากลับกลายเป็นช่องทางให้คนที่รู้กฏหมายใช้เป็นเครื่องมือฉ้อโกงกันได้สะดวกยิ่งขึ้น ผู้คนเหล่านี้มิได้เกรงกลัวต่อกฏหมายของฟ้าดิน
      ใครทำดี ย่อมได้ีับผลดี
      ใครทำชั่ว ได้รับผลชั่ว
      เป็นกฏเกณฑ์ของฟ้าดินที่ไม่มีใครหลีกเลี่ยงได้เลย
      แต่ผู้คนในสมัยปัจจุบันกลับมิได้เชื่อฟังหรือยอมรับว่ามีกฏหมายของฟ้าดินเพราะเป็นสิ่งที่มองไม่เห็นแต่กลับเชื่อกฏหมายของมนุษย์ที่สร้างขึ้นมาเอง เมื่อผู้คนอยู่นอกกฏเกณฑ์ของฟ้าดินมากเท่าไหร่ กฏหมายของคนก็มากขึ้นเป็นเงาตามตัว และความยุ่งยากซับซ้อนก็มากยิ่งขึ้นไปอีก เพราะไม่มีใครเชื่อใจใคร
     การพัฒนากฏหมายซึ่งเป็นถ้อยคำที่สวยหรูแต่แท้ที่จริงเป็นคำพูดที่ชี้ให้เห็นถึงความเสื่อมโทรมทางจิตใจของผู้คนมากขึ้นเท่านั้นจึงต้องวางวิธีการเงื่อนไขให้สลับซับซ้อนยิ่งขึ้น เพียงเพื่อป้องกันมิให้เกิดการคดโกงขึ้นมาเท่านั้น แต่ก็ยังทำไม่ได้เพราะคนโกงก็หาช่องทางโกงจนพบ เพราะสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นย่อมมีจุดอ่อนด้วยตัวของมันเอง
     บรรดาเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ทุกชนิดที่มนุษย์สร้างขึ้นมาจึงไม่มีอะไรเลยที่สามารถช่วยให้มนุษย์คืนกลับไปสู่จุดเดิมคือ จิตใจที่ตรงต่อกฏเกณฑ์ของฟ้าดิน มีแต่ทำให้ผู้คนห่างหายไปจากสัจธรรมทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น ความเจริญรุ่งเรืองทางวิทยาศาสตร์คือประจักษ์หลักฐานที่สำแดงให้เรารู้ถึงความเสื่อมโทรมทางจิตใจของมนุษย์
       วัตถุเจริญมากเท่าไร
       จิตใจก็เสื่อมทรามลงมากเท่านั้น
       การบำเพ็ญตนให้ตั้งอยู่บนเส้นทาง อุเบกขาญาณและทางสายกลางจึงเป็นเรื่องที่ยากยิ่งสำหรับมนุษย์ในยุควิทยาศาสตร์ก้าวหน้า คนเหล่านี้เชื่อแต่กฏวิทยาศาสตร์แต่ละเลยกฏเกณฑ์ของฟ้าดิน สังเกตุเห็นได้ว่า นักวิทยาสาสตร์ไม่มีความเชื่อทาง สัจธรรม เพราะเป็นสิ่งที่พิสูจน์จับต้องไม่ได้ ถ้านักวิทยาศาสตร์คนใดเข้าหาธรรมะก็มักจะหลงเข้าไปสู่หนทางแห่งไสยศาตร์มากกว่าที่จะเป็นสัจธรรมอันแท้จริง
       จิตใจของผู้คนที่มอมเมาด้วยวิทยาศาตร์ย่อมไม่อาจตั้งอยู่บนเส้นทาง "สายกลาง" นั้นไม่ต้องการสิ่งใดมาครอบครองเป็นเจ้าของ แต่กลับมีสิ่งที่ครอบครองจนประมาณมิได้เพราะทางสายกลางปล่อยวางทุกสิ่งอย่างรับเอาไว้แต่ไม่เกี่ยวข้องด้วยแรงกิเลส เพราะฉะนั้น ทุกสิ่งจึงเจริญเติบโตด้วยตัวของตัวเองได้ ความเจริญเช่นนี้ย่อมยั้งยืน แต่มนุษย์ที่ไม่มีจิตใจแห่งทางสายกลางต้องการครอบครองทุกสิ่ง แต่กลับมิได้สักสิ่งเดียว เพราะอารมณ์แห่งความโลภจึงเป็นตัวทำลายสรรพสิ่งทั้งปวง
       จิตใจแห่งทางสายกลาง จึงเป็นไปตามธรรมชาติ แห่งสัจธรรม ชีวิตของผู้คนที่ตกอยู่ในกฏเกณฑ์ที่มนุษย์สร้างขึ้นจึงพ้นไปจากวิถีสายกลางจึงก่อทุกข์มิสิ้นสุดนั่นเอง
 
 
       

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม

       ความเป็นกลางของจิตใจ พิจารณาไปอีกทีหนึ่งมิเป็นเรื่องยากนัก เพราะฉะนั้นมีผู้บำเพ็ญจำนวนไม่น้อยที่คิดว่าการเข้าถึงหนทางสายกลางนั้นคือ วางเฉย  ไม่ยุ่งเกี่ยวกับสิ่งใดก็เป็นความเป็นกลางเสียแล้ว บางครั้งก็คิดไปว่า การปฏิบัติทางสายกลางนั้น ไม่หนักไปในทางใดทางหนึ่ง ย่อมเป็นทางสายกลาง
      ความเข้าใจทั้งทางด้านจิตและกาย นั้นเป็นความเข้าใจผิดโดยสิ้นเชิง ถ้าทางสายกลางเป็นไปด้วยความง่ายดังปากพูดเช่นนี้แล้ว พระพุทธองค์คงไม่จำเป็นต้องบำเพ็ญยากลำบากเพื่อค้นหาอยู่ถึง 6 ปี เป็นแน่แท้
      แท้ที่จริง หนทางสายกลาง เป็นเรื่องยากที่จะปฏิบัติให้สำเร็จได้โดยง่าย พระศาสดาขงจื๊อถึงแก่กล่าวว่า ""ทางสายกลาง""นี้ยากที่จะปฏิบัติให้สำเร็จ ความเข้าใจผิดลักษณะของทางสายกลางย่อมนำไปสู่การปฏิบัติผิด ๆ และพ้นไปจากวิถีแห่งทางสายกลางอันแท้จริง เพราะฉะนั้นการที่จะดำรงตนให้อยู่ในลักษณะของทางสายกลางตลอดกาล เวลาที่มีสิ่งมากระทบก็ไม่เคลื่อนไหวหรือคล้อยตามเหยื่อเหล่านั้นเป็นเรื่องยากนัก
     สภาพจิตของคนเป็นเสมือนหนึ่งวานรที่วิ่งวนอยู่ตลอดเวลา และชอบรับเหยื่อเสมอ รับมาแล้วก็ปรุงแต่งเพื่อสนองความอยากของตนเองและในที่สุดก็หลงใหลได้ปลื้มกับสิ่งที่ตนเองปรุงแต่งขึ้นมา
     การรักษาสภาพของจิตให้เป็นลักษณะของอุเบกขาญาณนั้นจึงไม่ใช่การอยู่นิ่งเฉย หรือไม่รับรู้สิ่งใดเลยแต่เป็นสภาวะแห่งการทำงานที่ไม่ยึดติดในทุกสิ่งที่ผ่านเข้ามาสู่จิตของตนเองต่างหาก ถ้าหากการบำเพ็ญอุเบกขา ง่ายดังความเข้าใจของปุถุชนแล้วทางสายกลาง ย่อมเป็นสิ่งง่ายนัก แต่สภาพความเป็นจริงมิใช่เป็นเช่นนั้น
     ถ้าเปรียบ จิต เหมือนน้ำใส เอาสีดำเทใส่ลงไปแล้วไม่อาจคลุกเคล้าเป็นสีซ้ำเลือดซ้ำหนองได้ นั่นแหละเป็นอุเบกขา แต่สภาพความเป็นจริงของจิตปุถุชน มักจะคลุกเคล้าเข้าไปเป็นเนื้อเดียวกัน ความวุ่นวายของชีวิตจึงเกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า เพราะการคลุกเคล้ากับกิเลสทั้งปวงนั้นเอง
    การเปลี่ยนแปลงของสรรพสิ่งที่อยู่รอบตัวเราย่อมเป็นไปตามธรรมชาติของตนเองที่ได้กำหนดวงจรเอาไว้ ครั้งหนึ่งมีผู้ถามปัญหาว่า "" ไก่ เป็ด สัตว์ ที่เป็นอาหารของมนุษย์ ถ้าเราไม่กิน มันย่อมจะล้นโลกแน่นอน "" "นั่นแสดงว่า สัตว์เหล่านี้มีชีวิตเป็นอมตะ ไม่รู้จักตายซี " สัตว์โลกย่อมมีเกิดดับเป็นธรรมดา้าเราไม่กินมันก็ต้องตายวันยังค่ำ จึงไม่มีวันล้นโลกเด็จขาด "" แต่ทำไมทุกวันนี้สัตว์เหล่านี้จึงเกิดมามากมายนักเล่า "" ปุจฉา  ""ก็เพราะคนไปทำลายวงจรชีวิตของมัน คนจึงต้องไปเกิดแทนสัตว์เหล่านั้นยังไง ซึ่งเป็นไปตามกฏแห่งกรรมมิใช่หรือ "" วิสัชนา
     การบำเพ็ญทางสายกลางด้วยจิตอันแท้จริง จึงมิใช่เรื่องง่ายดายดังปากพูด แต่ใครก็ตามที่ค้นพบต้นกำเนิดธรรมญาณของตนเองแล้ว และคงสภาวะนั้นได้ตลอดกาล เขาย่อมอยู่ในหนทางสายกลางตลอดไป  สภาพของจิตใจแห่งความเป็นทางสายกลางย่อมเป็นเช่นเดียวกับฟ้าดิน สรรพสิ่งที่อยู่ภายใต้กฏนี้ ย่อมไม่มีการขัดขวางจากฟ้าดินเป็นแน่นอน
     การคงสภาพจิตใจดังฟ้าดินเป็นเรื่องยากนัก ประจัษณ์หลักฐานที่ชัดเจนว่าพระพุทธองค์ทรงมีจิตใจเช่นเดียวกับฟ้าดินก็เมื่อครั้งที่หัวหน้าพราหมณ์ มายืนบริภาษพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยถ้อยคำอันหยาบคาย แต่พระพุทธองค์มิได้โต้ตอบด้วยคำหยาบคายกลับคืนไปเลย แต่กลับทรงมีเมตตาชี้แนะให้หัวหน้าพราหมณ์นั้นได้คิดว่า "" ความโกรธที่แสดงออกมานั้นเปรียบเสมือนเช่นไฟเผาผลาญตนเอง "" ในโลกนี้คงหายากที่ผู้ถูกด่าแล้วไม่ด่าตอบ บรรดาปุถุชนล้วนโต้ตอบ แต่การไม่โต้ตอบนั้นแสดงให้เห็นถึงสภาวะของจิตใจดังฟ้าดิน เมื่อเราแหงนหน้าด่าว่าฟ้าเบื้องบน ฟ้าก็ยังคงสงบมิได้โต้ตอบกลับมาเลย เพราะฉะนั้นจิตใจเช่นนี้ย่อมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับฟ้าดินแน่นอน
     ธรรมญาณอันแท้จริงเป็นเช่นนั้นเอง มิได้มีความโกรธ เกลียด รัก ชอบ ด้วยตัณหาราคะ แต่กระทำไปด้วยความเมตตาอันแท้จริง แม้เมตตานั้นก็ไม่ต้องการสิ่งใดตอบแทนกลับมาเลย เพราะเหตุนี้ ""ทางสายกลาง"" จึงมิได้อยู่ที่ปากหรืออาการนั่งหลับตาเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ต้องมีสภาวะเดียวกับฟ้าดินนั่นแล

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
 
        สรรพสิ่งที่รูปลักษณ์ไม่ว่าจะเป็น "มโนรูป" อันเป็นรูปที่ใจสร้างขึ้นมาเองซึ่งรู้สึกได้ แต่จับต้องมิได้ หรือ "กายรูป" อันเป็นสิ่งจับต้องได้ด้วยจักษุก็ตาม ล้วนมีจุดเิริ่มต้นและในที่สุดก็หมดสิ้นไปตามความไม่เที่ยงแท้ตามหลักสัจธรรม แต่ธรรมะ"ทางสายกลาง"มิได้มีคุณสมบัติเช่นนี้เพราะปราศจาก มโนรูป และ กายรูป  เพราะเหตุนี้จึงไม่มี จุดเริ่มต้น และ ความจบสิ้น
        ทางสายกลาง จึงเป็นสัจธรรมอันเที่ยงแท้ ไม่แปรเปลี่ยน ไม่ว่าจะอยู่สภาวะเช่นไร คำกล่าวของท่านศาสดาขงจื๊อ ในบทที่หนึ่งนั้นได้อธิบายให้เห็นเป็นประจักษ์ว่า "ทางสายกลาง" เป็นธรรมะมีแหล่งที่มาจากฟ้่า จึงไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้และธรรมะนี้มีอยู่ในมวลมนุษย์ทุกชาติทุกภาษาซึ่งหมายถึง ธรรมญาณ ตัวจริงของมนุษย์ทั้งมวลมีแหล่งที่มาอย่างเดียวกันจึงมีคุณสมบัติเช่นเดียวกัน และทุกชีวิตมีทางสายกลางอยู่แล้วโดยธรรมชาติเดิมแท้ของตนเอง มนุษย์จึงไม่อาจละทิ้งธรรมะทางสายกลางได้เลย หากละทิ้งธรรมะทางสายกลางก็หมายถึงว่า ไม่อาจครอบครองกายสังขารนี้ได้อีกต่อไป เพราะทางสายกลางคือ ตัวธรรมชาติเดิมแท้หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งว่เป็น "ชีวิตจริง" นั่นเอง
      การศึกษาฝึกฝนอบรมจึงต้องหมั่นฝึกฝนอบรมจิตใจของตนเองให้พ้นไปจากกิเลสร้อยแปด ตัณหาพันประการเสียให้ได้เพื่อคืนกลับไปสู่ธรรมชาติแท้จริงของตนเอง การตราจสอบการกระทำของตนเองไม่ว่าจะเป็น ความคิด การกระทำ ทางกายหรือวาจาอยู่อย่างสม่ำเสมอเป็นหนทางที่จักทำให้ผู้ปฏิบัติหลีกพ้นไปจากกิเลสทั้งปวง
     แต่ปุถุชนในทุกวันนี้แม้ได้ชื่อว่าเป็นผู้ปฏิบัติธรรมหรือศึกษาธรรมะ มิได้สำรวจตนเอง แต่ชอบที่จะสำรวจความผิดของผู้อื่นเสมอ คนเหล่านี้จึงอยู่ห่างจากภาวะ ทางสายกลาง จนเกิดความหลงผิด คิดว่า ทางสายกลาง เป็นธรรมะอีกประเภทหนึ่งซึ่งเป็นเรื่องของพระอริยเจ้าเท่านั้นประพฤติปฏิบัติได้ และหากต้องการพบธรรมะทางสายกลาง ก็จำเป็นต้องละทิ้งเคหะสถานบำเพ็ญตนเป็นนักบวช ความเห็นเป็นเช่นนี้ เป็นความเห็นผิดโดยแท้
     การย้อนกลับเข้ามาพิจารณาตนเอง หากมีความเพียรพยายามที่แข็งแกร่งมั่นคงแล้วเขาย่อมพบ ทางสายกลางด้วยตนเอง การย้อนมองส่องตน จึงเป็นกรรมวิธีแห่งการปฏิบัติธรรมอันแท้จริง เพราะธรรมะมีอยู่แล้วในทุกตัวคน แต่ที่หลงทางไปยึดถือเอาคัมภีร์หรือมนตรา หรือพิธีกรรมทั้งปวงมาเป็นธรรมะ จึงพ้นไปจากวิถีแห่งการบำเพ็ญโดยแท้
     การพิจารณาความผิดพลาดของผู้อื่น มีผลสร้างกิเลสเพิ่มขึ้นในตัวเองเพราะย่อมดู้ถูกเยาะเย้ย หรือพอใจในความหายนะนั้น ๆและได้ก่อกำเนิดความชั่วขึ้นในจิตใจของตนเอง เป็นการสะสมวิบากกรรมเอาไว้ และต้องชดใช้กันต่อไป ผู้ที่ชอบสวดมนต์หรือท่องคาถาเพื่อให้เกิดความศักดิ์สิทธิ์หรือมหิทธานุภาพใด ๆ ก็ตามล้วนเป็นผู้เข้าใจผิดและหลงผิดโดยแท้ ความศักดิ์สิทธิ์ที่แท้จริงมิได้อยู่ที่มนตราหรือคาถาใด ๆ เลย แต่อยู่ที่จิตใจของตนเองในขณะที่ท่องบ่นมนตราอยู่นั้นจอตรวมเป็นหนึ่ง ความเป็นหนึ่งนี้จึงมีความศักดิ์สิทธิ์เพราะมีกระแสแรงกล้า แต่ที่ปุถุชนไม่อาจรวมใจเป็นหนึ่งได้ เพราะตกเป็นทาสของกิเลสทั้งปวง พลังของจิตจึงแตกกระสานซ่านเซ็น ไร้ประสิทธิภาพ
     การย้อนมองส่องตนเองเพื่อตรวจสอบหาความเลวร้ายที่ซ่อนอยู่ในจิตจึงเป็นหนทางแห่งการบำเพ็ญโดยแท้ พระอริยะเจ้าทุกพระองค์ล้วนปฏิบัติเช่นนี้ ตลอดระยะเวลา 6 ปี แห่งการบำเพ็ญเพื่อค้นหาสัจธรรมของพระพุทธองค์ ก็อยู่ในเส้นทางนี้เหมือนกัน เพราะพระองค์ต้องการค้นพบหนทางแห่งการหลุดพ้นไปจากการเวียนว่ายตายเกิด พระพุทธองค์มิได้ท่องบ่นมนตราใด ๆ พระพุทธองค์มิได้แสวงหาพละกำลังภายนอกเพื่อเอาชนะผู้อื่น พระพุทธองค์มิได้สะสมเหยื่อ กิเลสทั้งปวง พระพุทธองค์มิได้แสวงหาอาจารย์ผู้วิเศษเพื่อทำให้ตนเองเรืองฤทธิ์ พระพุทธองค์มิได้ต้องการชื่อเสียงเกียรติยศใด ๆ แต่พระพุทธองค์สำรวจตนเอง และค้นหากิเลสในตัวเองจนในที่สุดก็ค้นพบ ธรรมญาณ อันเป็น ทางสายกลาง พระพุทธองค์ทรงเอาชนะตนเอง มิได้เอาชนะผู้อื่นเลย ในทุกวันนี้เรากราบไหว้พระพุทธเจ้าเป็นพระศาสดา แต่การปฏิบัติมิได้เดินตามรอยบาทของพระศาสดา แต่กลับปฏิบัติสวนทางคำสอนและวิธีปฏิบัติของพระพุทธเจ้าโดยสิ้นเชิง
      สาวกในทุกวันนี้อ้างตนเป็นพุทธบุตร แต่มิได้ดำเนินรอยตามพระบิดาของตนเอง สาวกแสวงหาเงินตรา สาวกแสวงหาลาภสักการะ สาวกแสวงหาชื่อเสียงเกียรติคุณ สาวกตั้งตนเป็นอาจารย์ผู้วิเศษ การปฏิบัติเช่นนี้จึงพ้นไปจากวิถี แห่ง "ทางสายกลาง"เพราะฉะนั้นสิ่งที่สาวกเหล่านี้ได้รับจึงเป็นสิ่งจอมปลอมทั้งสิ้น
     อานุภาพที่เกิดขึ้นจึงเป็นอานุภาพที่หลอกลวงเพื่อลาภผลของตนเอง สาวกเหล่านี้จึงไม่พ้นอบายภูมิโดยแน่แท้  เมื่อพระพุทธองค์ทรงค้นพบ ทางสายกลาง อันแท้จริง พระองค์ได้แสดงอานุภาพอย่างยิ่งใหญ่ไม่มีเทวดาและมนุษย์เทียบเทียมได้ คำสอนทั้งปวงจึงเป็นสัจธรรมที่ทันกาลอย่างสม่ำเสมอ อานุภาพที่แท้จริงคือ การเปลี่ยนแปลงตนเอง อานุภาพจอมปลอมจึงพยายามที่จะเปลี่ยนแปลงผู้อื่น เพราะฉะนั้น ทางสายกลาง ที่พระศาสดาค้นพบไม่ว่าจะเป็นพระพุทธเจ้าหรือพระศาสดาขงจื๊อล้วนมีอานุภาพเฉกเช่นเดียวกัน เพราะเป็นอานุภาพที่ไม่มีจุดเริ่มต้น เพราะฉะนั้นจึงไม่มีวันสิ้นสุด
     แต่อานุภาพจอมปลอมที่มิใช่หนทางสายกลางย่อมเริ่มต้นเพื่อจักสิ้นสุดลงในวันหน้านั่นเอง และเขาก็จะเริ่มต้นใหม่เพื่อเดินไปสู่หนทางแห่งความสิ้นสุดโดยไม่พบหนทางแห่งธรรมะ ที่แท้แม้แต่มีอยู่แล้วในตัวของเขาเอง นับเป็นโศกนาฏกรรมของมนุษยชาติที่หลงผิดเท่านั้น และในโลกนี้ก็ยากที่จะมีใครเตือนเขาได้ เพราะเขาไม่ได้เตือนตนเองเป็นเบื้องต้น การเวียนว่ายตายเกิดของมนุษย์ชาติจึงเริ่มต้นด้วย ""ความไม่รู้"" นั่นแล

                                   ธรรม     ญาณเราเก่าแท้     ใช้อะไร     ที่ไหน

                                    ทาง     หลุดล่มหลงใหล          ทุกด้าน

                                    สาย      ใยตัดขาดไป             พ้นผ่าน        ติดยึด

                                    กลาง     จิตเดิมมั่นนั้น            ตัดแล้วว่ายเวียน

                                                                                   อนัตตา         

                                                                               ~ จบเล่มที่ 1 ~
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 9/11/2011, 18:06 โดย jariya1204 »

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                          คัมภีร์ทางสายกลาง ปฐมบท (จง -- อยง ) เที่ยงตรง -- สัจธรรม

                                       ศุภนิมิต  แปลและเรียบเรียง

                                                 ผู้จัดทำ

                                                 ศุภนิมิต

                                                  คำนำ

        ด้วยพระมหากรุณาธิคุณเบื้องบน ด้วยอริยคุณพระบรรพจารย์ บารมีคุณท่านเหล่าเฉียนเหยิน ท่านเฉียนเหยิน โปรดปรกแผ่ เตี่ยวฉวนซือโปรดเกื้อกูล นักธรรมผู้ใหญ่หนุนนำ คัมภีร์ธรรมจง - อยง  ซึ่งเคยศึกษากันอยู่แต่ในหมู่ของปัญญาชน จึงได้รับการส่งเสริมถ่ายทอดให้เรียนรู้กันอย่างแพร่หลายในอาณาจักรอนุตตรธรรม บัดนี้  ในอาณาจักรธรรมอนุตตรธรรมประกอบด้วยสาธุชนทุกเพศ  ทุกวัย  ทุกชาติ  ทุกภาษา  ทุกระดับการศึกษา  ทุกศาสนานิกาย  ทุกฐานะความเป็นอยู่  ผู้ที่ศรัทธามุ่งมั่นจะปฏิบัติบำเพ็ญมีอยู่มากมาย ท่านเหล่านั้นพยายามขวนขวายเพื่อจะเรียนรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับวิถีอนุตตรธรรม อันเป็นวิถีจิตโดยตรง เพื่อการเจริญธรรมแห่งตน  ฉะนั้น  เมื่อท่านเฉียนเหยินได้โปรดกำหนดเอาคัมภีร์ธรรมจง - อยง  ลำดับเข้าไว้ในหลักสูตรของการศึกษาธรรมระดับชั้น  "จื้อชั่นปัน"  ผู้ศึกษาธรรมจึงต่างสำนึกในพระคุณของท่านเป็นยิ่งนัก แม้จะต้องรับมือกับอุปสรรคทางอักษรและภาษา แต่ต่างก็ยินดีที่จะพากเพียรเรียนรู้ให้จงได้  ข้าพเจ้าจึงขอน้อมใจรับใช้อาณาจักรธรรม นำเอาความเข้าใจที่มีต่อคัมภีร์ธรรมจง - อยง  ในระดับหนึ่ง พิมพ์เฉพาะปฐมบท ร่วมศึกษากับท่านทั้งหลาย ความผิดพลาดบกพร่องประการใด ๆ ในการแปล - เรียบเรียงคัมภีร์ธรรมบทนี้ที่เกิดมี ข้าพเจ้าน้อมจิตกราบขออภัยต่อทุกพระองค์ น้อมจิตกราบขออภัยต่อทุกท่านที่โปรดสร้างสรรค์ และมีส่วมร่วมจรรโลงคุณค่าของคัมภีร์ธรรมจง - อยง  ให้สืบทอดเรื่อยมาจนตราบเท่าทุกวันนี้

                                                                                  ศุภนิมิต       

Tags: