collapse

ผู้เขียน หัวข้อ: คัมภีร์กรรม ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า : คำนำ  (อ่าน 144100 ครั้ง)

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                   คัมภีร์กรรม  ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า

                                           บทที่สอง

                                           ตักเตือน

                                คัมภีร์  :  ต้องโทษวิบัติตามมา

อธิบาย  :  ท่านอริบเจ้าไท้ฮือ กล่าวว่า  "ถ้าหากผู้อื่นเอาภัยวิบัติย้ายมาให้กับอาตมา  ถ้างั้นอาตมาก็จะเอาบุญวาสนาตอบแทนไป ถ้าหากว่าสามารถทำได้เช่นนี้แล้ว ที่สุดแล้วปราณแห่งบุญวาสนาก็เริ่มต้นมาจากที่เรานี่เอง  ส่วนปราณร้ายภัยพิบัติก็ออกมาจากคนชั่วแน่นอน"  ท่านพูดถึงโทษบาปภัยวิบัติย่อมติดตามคนชั่ว ดังนั้นโทษบาปภัยพิบัติจึงติดตามคนชั่ว
        อวตังกสูตรว่า "เวไนยสัตว์แห่งชมพูทวีป เป็นทวีปแห่งความเลวร้าย เวไนยสัตว์แห่งทวีปนี้ ไม่ยอมบำเพ็ญกุศลกรรมบทสิบ หากแต่มีความชำนาญในการก่อกรรมชั่ว  ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต  ลักขโมย  ล่วงประเวณี  พูดส่งเดช  พูดหลอกลวง  พูดหยาบคาย  ลิ้นสองแฉก  โลภโกรธ  เห็นผิด  ไม่กตัญญูพ่อแม่  ไม่นับถือไตรรัตน์  ชอบอาฆาตมาดร้ายต่อสู้กัน หลอกลวงกล่าวร้ายซึ่งกันและกันชอบแสดงความเห็นตามอารมณ์  แสวงหาอย่างผิดกฏหมาย  ด้วยเหตุปัจจัยเหล่านี้  จึงเป็นการกวักหาคมดาบ  ความอดอยาก  เจ็บป่วย  ความตาย  ภัยธรรมชาติ  ภัมนุษย์  ต่าง ๆ ตอบสนอง" จะเห็นได้ว่า เป็นการทำเองรับเอง รับผลชั่วเองล้วนแต่แต่ตนเป็นผุ้แสวงหา ไม่ใช่ผู้อื่นสร้างให้เลย !  ถ้าหากต้องการมงคลพ้นเคราะห์ละก็  ก้ต้องเริ่มต้นจากใจคิดชั่วขณะหนึ่งนี่เอง  นรกหรือสวรรค์ก็อยู่ต่อหน้าเราแล้ว  ถ้าสมมุติมีคนยอมบำเพ็ญกุศลธรรมบทสิบ  แล้วได้รับผลตอบสนองชั่วละก็ คงจะเป็นไปไม่ได้ หลักธรรมแบบนี้ไม่มีแน่นอน !

        นิทาน   :  ในสมัยราชวงศ์ฮั่น  นายเหลียงจ้ง  ได้ขอให้ราชสำนักเพิ่มบทลงโทษในกฏหมายให้มากขึ้น แต่ทางราชสำนักไม่ได้เห็นตามข้อเสนอของเขา  ต่อมานายเหลียงจ้งก้ได้ฝันว่า ในความฝันเทพเจ้าได้พูดกับเขาว่า "เหลียงจ้งเอ๋ย !  ถึงแม้ว่าจะโชคดีที่ทางราชสำนักไม่รับฟังความคิดเห็นของเจ้าก็ตามที  แต่ทางยมโลกได้บันทึกโทษบาปของเจ้าไว้แล้ว เพราะเจ้าคิดจะทำบทลงโทษมาทำร้ายประชาชน นับว่าใจของเจ้านี้โหดเหี้ยม  ถ้าเป็นเช่นนั้น ลูกหลานของเจ้าจะขจัดลบโทษบาปได้อย่างไร  การกระทำของเจ้าละเมิดเบื้องบนไปแล้ว ถึงแม้เจ้าจะภาวนาร้องขอก็ไม่มีประโยชน์"  ต่อมา ลูกของนายเหลียงจ้ง ก็ไม่ได้ตายดี  สืบต่อถึงนายเหลียงพี  ยิ่งเลวร้ายมากขึ้น  ในที่สุดฮ่องเต้ก็ลงโทษประหารทั้งตระกูล

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                  คัมภีร์กรรม  ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า

                                           บทที่สอง

                                           ตักเตือน

                                คัมภีร์  :  มงคลโชคลาภหลบหาย

อธิบาย  :  ความสิริมงคลและงานมงคลต่าง ๆ ล้วนพากันหลบหายไปไกล ๆ ควรจะรู้ว่า "ธรรมแห่งฟ้าไร้ญาติ  ญาติดีกับคนดีเท่านั้น"ถ้าหากคนเราสามารถละชั่วทำดี  ระมัดระวังตนเอง คล้อยตามหลักธรรมฟ้า  แน่นอนในขณะที่สงบเงียบ ใจก็จะหลอมรวมกับธรรมแห่งฟ้า ขณะการเคลื่อนไหว  การกระทำก้จะพบกับความสิริมงคล ถ้าหากมีคนที่ใจตรงกันข้าม  เราก็มักจะพบเห็นได้ ว่าเขามักจะไม่รอดพ้นโทษกรรม  ที่ไม่เห็นก็แสดงว่าเขาได้ถูกเทพหรือผีทำโทษ  โดยคนชั่วจะถูกเทพหรือผีตัดอายุขัย จึงตายอายุสั้น  มงคลโชคลาภก็ห่างหายหลบไปไกล  ทั้งโทษภัยเคราะห์บาปก็ตามมาคอดบัญชี ยังไงเสียก็หลบไม่พ้นหรอก  !

        นิทาน  :  ในสมัยก่อน มีนักศ฿กษาคนหนึ่งชื่อ หวังเซิน  เป็นคนใจร้ายคับแคบ เรื่องที่ทำด้วยละเมิดหลักธรรมฟ้า  มีอยู่ครั้งหนึ่งเขาเข้าสอบแข่งขันเพื่อรับราชการ  บทความของเขาเยี่ยมมาก อาจารย์ผู้ควบคุมการสอบคิดจะใส่ชื่อเขาไว้เป็นอันดับต้น ๆ   แต่พอถึงตอนจะเขียนชื่อลงในประกาศ ปรากฏว่าบทความของเขาหายไป  หลังจากประกาศชื่อผู้สอบได้ออกไปแล้ว ก็พบบทความของเขาร่วงออกมาจากแขนเสื้อ ผู้คุมสอบรู้สึกเสียใจอย่างมาก  ถึงกับนัดพบกับหวังเซิน แล้วให้คำสัญญาว่า หากมีโอกาศก็จะเอาเขาบรรจุเข้าในตำแหน่งว่าง เหตุการณ์ผ่านไปไม่นานนัก ผู้คุมสอบก็ถูกย้ายไปที่อื่น หวังเซินจึงหมดโอกาศไป  รอจนถึงวาระสอบรอบใหม่    ผู้คุมสอบเดิมก็ได้ย้ายกลับมาคุมสอบใหม่  ผู้คุมสอบได้พบหวังเซินอีกครั้ง ก็รู้สึกดีใจ  ถึงกับรับปากจะหาตำแหน่งดี ๆ ให้ เพื่อชดเชยโอกาสครั้งก่อนที่พลาดไป  พอมาถึงตอนคัดเลือก บิดาของผู้คุมสอบตายลง  ผู้คุมสอบจึงลาพักกลับไปต่างจังหวัดเพื่อจัดงานศพและไว้ทุกข์เป็นเวลาถึง  3  ปี  ตามประเพณี  หลังจากไว้ทุกข์ก้กลับมาที่ราชสำนัก และรับตำแหน่งผู้คุมสอบตามเดิม แต่ถึงตอนนี้นายหวังเซินก็อายุมากขึ้น  อันที่จริงเขาควรได้รับตำแหน่งและมีเงินเดือนรวมหนึ่งหมื่นตำลึงทองเชียวละ และวันเวลาก็อยู่ใกล้แค่เอื้อมแล้ว  แต่ชั่วไม่กี่วันมารดาเขาก็เสียชีวิต  จึงอยู่กับบ้านไว้ทุกข์จึงพลาดโอกาสอีก  นายหวังเซินผ่านอุปสรรคมากครั้ง ผู้คุมสอบก็รู้สึกสงสารถึงชะตากรรมที่ตกอับของเขา  จึงพาเขาไปฝากเป็นครูประจำบ้านของข้าราชการผู้ใหญ่  ในเวลาสามปีเขาก็ได้รับเงินตอบแทนสักหนึ่งพันตำลึงทอง  แต่เขาทำงานไปยังไม่พอเดือนหนึ่ง  ข้าราชการผู้นี้ก็มีเรื่องต้องออกจากราชการ เขาจึงตกงานไป ตลอดชีวิตของหวังเซิน  ประสบแต่เหตุการณ์ประหลาด มองเห็นอนาคตสวยหรูอยู่แค่เอื้อมก็ให้มีอันเป็นไป  จิตใจหวังเซินจึงหาความสงบสุขไม่ได้ ทำให้ล้มป่วยลงนานถึง  ๓  ปี   วันหนึ่งหวังเซินก็บรรลุว่า  เขาพูดว่า  "เหล่านี้เพราะตนสั่งสมแต่กรรมชั่ว  เพราะฉะนั้นจึงได้รับแต่ผลร้าย ! " ภายหลังที่หวังเซินสำนึกผิดและแก้ไขเรื่อยมา  ความเจ็บป่วยของเขาจึงหายได้  เหตุนี้หวังเซินจึงตั้งหน้าตั้งตาทำแต่ความดี

คำคม  :  นายซิซีหยวน  กล่าวว่า  "บุญวาสนาในโลก  หากไม่มีใจที่ดีหมั่นตักเตือนตนแล้ว บูญวาสนาไม่มีทางเอามาได้  หากไม่ทำเรื่องสงเคราะห์ช่วยเหลือคนแล้ว  บุญวาสนาก็ไม่มีทางคู่เคียงได้" ช่างมีเหตุผลน่าฟังมาก !

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
             คัมภีร์กรรม  ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า

                                           บทที่สอง

                                           ตักเตือน

                                คัมภีร์  :  ดาวร้ายภัยตาม

อธิบาย  : 

        ดาวร้าย คือ เทพที่ดูแลภัยพิบัติ ฆาตเคาระห์ทั้งหลายของมนุษย์ อยากจะรู้ชีวิตคนบนโลก ในแต่ละวันหรือแต่ละสารท ล้วนอยู่ภายใต้การควบคุมของแสงดาว ผู้ที่ทำชั่ว  เพราะใจจะมืดมัวเสมอเพราะปราณสีดำของตัวเขาจะพวยพุ่งสู่ข้างบน เพราะฉะนั้นก็เหมือนกับร้ายกวักร้าย เพราะฉะนั้น ดาวร้ายจึงลงมาบนหัวของเขา ภัยพิบัติจึงติดตามตัว สำหรับคนที่ทำดี  เพราะว่าพื้นจิตใจสว่าง ปราณชั่วร้ายจึงค่อย ๆ จางหายไป ดาวร้ายก็ต้องหลบเขา แล้วจะส่งภัยพิบัติให้เขาได้หรือ ที่จริงแล้ว คนต่างหากที่สร้างวิบากกรรมดาวร้ายจึงส่งภัยพิบัติให้เขา  มิใช่ดาวร้ายไม่ดี ตนเองไม่ดีต่างหากเล่า !  เมื่อรู้ความจริงเช่นนี้แล้ว คนจะไม่กลัวเกรงได้อย่างไร ทำตัวให้ดี สำรวจความชั่วของตน เพื่อดึงใจฟ้ากลับมา ! 

นิทาน  :  ที่มณฑลซานตง เมืองลี่เฉิน มีคนหนึ่งชื่อหม่าฉางชื่่อ อาศัยว่าตนมีความฉลาดสามารถ จึงอันธพาลไปทั่ว ไม่ชั่วไม่ทำ มีอยู่วันหนึ่งดาวปัญญาก็ลงมาจากฟ้าสู่ลานบ้าน กลายเป็นหินก้อนใหญ่ จากนั้นบ้านของหม่าฉางชื่อ มีคดีความไ่ม่หยุดหย่อน โรคภัยก็ถามหา  การทะเลาะเบาะแว้งในบ้านเกิดขึ้นเป็นประจำ เวลาผ่านไปแค่หนึ่งปี  หม่าฉางชื่อก้ตายลง คนในบ้านก็แตกไปคนละทิศคนละทาง กลายเป็นบ้านร้างไป รอบ ๆ ก้อนหินใหญ่มีแถบกว้างเป็นฟุตสีม่วง และปรากฏเหมือนมีอักษร หินก้อนนั้นยังอยู่มาถึงปัจจุบัน

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
              คัมภีร์กรรม  ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า

                                           บทที่สอง

                                           ตักเตือน

                                คัมภีร์  :  ขัยสิ้นก็ตาย

อธิบาย  :   ทำให้อายุขัยของคนชั่วถูกตัดทอนไปเรื่อย ๆ  จนหมดอายุขัยคนชั่วก็ตายลง  นี่คือคำห้ามปรามของ  ท่านไท่ชั่ง ที่พร่ำบอกแก่ชาวโลก นิสัยที่ชาวโลกทำจนเคยตัว ยากลำบากที่จะถอดถอนขจัดให้หมดลง ล้วนเกิดจากการก่อเรื่องไม่ดีจนกลายเป็นวิบากกรรม วิญญาณกรรม ที่กองสุมเป็นภูเขา  ความร้อนแรงค่อยเผาชีวิตของเรา วันแล้ววันเล่า จนกว่าชีวิตขัยจะหมดสิ้น นั่นคือวันตายก็มาถึง ความชั่วที่เหลืออยู่ก็กลายเป็นวิบากกรรมที่ติดตามวิญญาณไปเสวยทุกข์ ไปเกิดป็นสัตว์เดรัจฉานบ้าง เป็นเปรตบ้าง  เป็นผีนรกที่ต้องรับทุกข์ ทุกข์ที่ได้รับในตอนนี้จะทุกข์ทรมานเหลือประมาณ ไม่ใช่ว่าตายแล้วจะจบสิ้นกันไป หมดเรื่องกันเลย ไม่ง่ายเช่นนั้น คนที่ทำชั่วแล้วมารู้เช่นนี้ คงต้องร้องไห้อย่างโหยหวนเป็นแน่แท้ ควรรู้เอาไว้ว่า "ร่างกายสลายง่ายวิบากกรรมหลบหลีกยาก" นอกเสียจากผู้ใจการุณย์ที่ใจมั่นคง ต้องเชื่อมั่นในหลักธรรมนี้ ใช้โอกาสที่ยังมีลมหายใจอยู่สำนึกผิดเพื่อขจัดโทษกรรม ถ้าหากยังเฉยเมยปล่อยเวลาให้ผ่านไปโดยไม่ใส่ใจไยดีที่จะแก้ไขความผิด เวลาร้อยปีก็ผ่านรวดเร็วเหมือนจรวด เมื่อถึงคราวสิ้นอายุขัย ดิน น้ำ ลมไฟ แยกสลาย ค่อยมากังวลเป็นทุกข์ไม่ทันการณ์เสียแล้ว

นิทาน  :  สมัยก่อนมีคนแก่คนหนึ่ง ตายไปพบกับยมบาล ก็ต่อว่ายมบาลว่า ทำไม่ไม่เขียนจดหมายเตือนล่วงหน้าเสียก่อน ยมบาลพูดว่า "ตอนที่เธอสายตายาว ก็คือจดหมายฉบับแรกที่ฉันเขียนให้เธอ  ตอนที่เธอหูตึงก็เป็นจดหมายฉบับที่สองที่ฉันเขียนให้เธอ  ตอนที่เธอฟันเสียฉันก็เขียนจดหมายฉบับที่สามแล้ว   ตอนที่ร่างกายนับวันอ่อนแอลง ไม่รู้ว่าเป็นจดหมายฉบับที่เท่าไรแล้ว  ที่ฉันเขียนให้เธอรู้ล่วงหน้า จะมาว่าข้าไม่ได้เขียนจดหมายให้เธอไม่ได้นะ !   ก็มีคนหนุ่มที่ตายไปพบยมบาล ก็ต่อว่ายมบาลว่า " ตาของฉันยังดีอยู่  หูก็ยังฟังชัด  ฟันก็ยังคมอยู่  ร่างกายหรือก็แข็งแรงมาก  ท่านยมบาลเอาฉันมาทำไมไม่เขีนยจดหมายเตือนให้ฉันรู้ล่วงหน้า"  ยมบาลตอบว่า  "ข้าก็เคยมีจดหมายเตือนเจ้าล่วงหน้าอยู่นะ !  เธอไม่เห็นหรือ บ้านใกล้เรือนเคียงทางทิศตะวันออก  อายุแค่ ๓ - ๔๐ ก็ตาย   บ้านใกล้เรือนเคียงทางทิศตะวันตก อายุแค่ ๑๐-๒๐ ปี ก็ตายแล้ว  บางคนแค่ขวบเดียวยังเป็นเด็กอยู่เลยก็ตายแล้ว พวกนี้แหละเป็นจดหมายที่ฉันเขียนให้เธอไงเล่า !" เพราะฉะนั้นจึงพูดว่า ชีวิตคนไม่เที่ยง เหมือนน้ำค้างในตอนเช้าแค่ลมหายใจไม่มา ร่างกายก็เป็นซากศพแล้ว ในพระสูตร  ๔๒ บท ก็มีเขียนไว้ พุทธองค์ถามสาวกว่า"ชีวิตคนยาวแค่ไหน" สาวกคนหนึ่งตอบว่า "ชีวิตคนอยู่ในช่วงวัน" พุทธองค์ตรัสว่า "เธอยังไม่รู้จัก" สาวกอีกรูปหนึ่งตอบว่า "ชีวิตคนอยู่ในระหว่างรับประทานอาหาร" พุทธองค์ตรัสว่า "เธอยังไม่รู้จัก" สาวกอีกรูปหนึ่งตอบว่า " ชีวิตคนอยู่ในชั่วลมหายใจเข้าออก" พุทธองค์ตรัสว่า " เจริญพร !  เจริญพร ! เธอรู้จักแล้ว"     

คติพจน์   :  ในราชวงศ์หยวน พระธรรมาจารย์เทียนหยู เคยพูดว่า " การที่พุทธองค์อุบัติขึ้นในโลกนี้ ก็เพื่อพวกเราทุกคน ให้ทุกคนมีความตั้งมั่นอยู่ในช่วงหนึ่งแห่งการเกิดดับ เป็นเรื่องสำคัญ ก็อย่างที่พูดว่า " เกิดมาไม่รู้ว่ามาจากไหน ตายไปก็ไม่รู้จะไปที่ไหน" นี่เป็นเรื่องสำคัญ !  ถ้าหากยังเกิดอย่างนี้ตายอย่างนี้ ทั้งหมดของมหาปฐพีก็ถูกกรงครอบไว้ ตั้งแต่โบราณมา ไม่เคยแม้แต่คนเดียวที่ถูกมหาสมุทรแห่งการเกิดการตายกลืนหมดสิ้น จงอย่าได้พูดว่า เอาตั้งแต่โบราณมาเลย พูดเอาแค่ตั้งแต่เธอมีชีวิตอยู่มา ให้หวนคิดถึงเมื่อ ๑๐-๒๐ ปีก่อนโพ้น ญาติพี่น้องเพื่อนฝูงของเธอได้ตายไปกี่มากน้อยแล้ว กล่าวไปไยกับผู้อื่น พูดเอาแต่ตัวเองเถอะ ตอนนี้ก็หยิบยืมดินน้ำลมไฟสี่มหาภูติรูปแล้วก็หลงคิดว่า รูปกายนี้เป็นฉัน เช้าจรดเย็นหาวิธีต่าง ๆ มาคอยรักษามัน เอาของต่าง ๆ มาเลี้ยงดูมันแต่มันก็ไม่หยุดที่จะโรยลา ค่อยเสื่อมทรามลงไม่ทันรู้ตัววันสิ้นสุดของอายุก็มาถึงแล้ว มาถึงขณะนี้ก็ชุลมุนวุ่ยวายขนาดใหญ่ เหมือนปูที่ตกลงในหม้อน้ำเดือดที่ทุกข์ทรมาน !  ดูซิ  อุดมการณ์อันมั่นคงของวีรชน ปัจจุบันไปอยู่เสียที่ไหน โดยเฉพาะหลังการตาย ร่างกายสีสันเปลี่ยนแปลง ทั้งเหม็นทั้งสกปรก ใครก็ทนรับไม่ไหว ถึงแม้จะเป็นญาติสนิทสายโลหิตก็เถอะ จะมองให้เต็มตาก็ไม่อยากเลย แล้วที่พูดว่าความรักผูกพันบุญคุณเหล่านี้เล่ามันหายไปอยู่ที่ไหน  เพราะว่าเหตุปัจจัยเหล่านี้ ดังนั้นพระธรรมาจารย์จึงพูดว่า เพียงลมหายใจหนึ่งขาดลง ก็เหมือนดินฝุ่นไอแล้ว หนทางข้างหน้าอันเวิ้งว้างไม่รู้จะไปที่ไหนอย่างไร หรือเพียงตายแล้วก็เผาเท่นั้นน่าสมเพชนักแต่มิใช่อย่างนั้น ภายหลังการตายยังต้องไปรับโทษตามกรรม ที่ตนก่อไว้ นี่แหละเป็นเรื่องที่สำคัญล่ะ !  ต้องรู้จักว่าผลตอบสนองติดตามแรงกรรมมา เหมือนเงาที่ติดตามกายสังขาร ถึงแม้ร่างกายนี้จะตายแล้วก็ตาม แต่วิญญาณนี้อาจจะตกนรก หรือไม่เกิดเป็นเปรต  หรือเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน ไปหมุนเวียนอยู่ในวัฏสงสาร เช่นนี้ก็จะได้รับการเจ็บปวดทรมานอย่างเหลือประมาณได้ นี่คือสภาวะของกรรมตอบสนอง  นี่คือรากกรรมของการเกิดการตาย และรากกรรมอันนี้ก้อยู่ที่หนึ่งขณะจิตก่อนหน้านั้น  เธอมาตั้งแต่สมัยยังไม่เริ่มต้นอวิชชาที่ทุกข์กังวล ความคิดที่เพ้อเจ้อ ใจที่ฟุ้งซ่าน  สัมผัสกับสภาวะภายนอก หรือพบกับปัจจัยภายนอก ก็หลงติดในรูปในเสียง ทำให้เธอฟั่นเฝือ  ไม่มีกรรมใดที่ไม่กระทำ เหล่านี้กลายเป็นรากเหง้าของวัฏสงสาร !  เพราะฉะนั้นเมื่อมาคิดถึงการเกิดการตายเป็นเรื่องใหญ่ต่อให้เป็นบุรุษเหล็กก็ยังครั่นคร้าม เพราะเหตุปัจจัยนี้เอง พระพุทธองค์จึงเกิดมหาเมตตาสงสาร สอนให้เธอเรียนพุทธธรรมและปฏิบัติบำเพ็ญ เรียนธรรมพิจารณาเซ็น เพื่อให้เธอขจัดล้างความคิดเพ้อเจ้อใจฟุ้งซ่านให้รู้จักเจ้านายตนเอง ให้รู้จักหน้าตาตนเองก่อนที่พ่อแม่ให้กำเนิด เพราะฉะนั้น ต้องมีวิสัยทัศน์ยืนให้มั่น รีบเร่งทำตัวให้ใสสะอาดหลุดพ้นอย่างนี้แล้วเหมือนถึงคราวชีวิตจะดับลง ก็จะได้รับผลมาก ก็อย่างที่พูดว่า การเกิดการตายมีอิสระ ไม่มีติดขัด  การมาการไปมีเสรีอย่างนี้เรียกว่า หลุดพ้นการเกิดการตาย คนแบบนี้ซิจึงจะนับว่าเป็นมหาบุรุษที่แท้จริงล่ะ ! 

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
             คัมภีร์กรรม  ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า

                                           บทที่สาม

                                           ตรวจสอบ

              คัมภีร์  :  ยังมีเทพเจ้าดาวเหนือสามองค์  อยู่เหนือศีรษะมนุษย์  บันทึกชั่วบาป  คอยตัดอายุขัย

อธิบาย   :  นี่เป็นการพูดถึงร่างกายของมนุษย์ อิริยาบถเดินหยุด นั่งนอน  ล้วนมีเทพเจ้าคอยตรวจสอบ เป็นเทพเจ้าสามองค์ ซึ่งเป็นดาวเทพเจ้าของกลุ่มดาวเหนือ จะลอยอยู่เหนือศีรษะของมนุษย์ คอยบันทึกการกระทำว่าทำบาปชั่วอะไรบ้าง กรรมที่ทำมีหนัก มีเบาแล้วนำมาตักทอนอายุขัย  พูดถึงอายุขัยของมนุษย์ ๑๒ ปี เรียกว่าหนึ่งรอบ (อิจี่) หนึ่งร้อยวันเรียกว่า  อิช้วน  ดาวเทพทั้งสามจะคอยควบคุมอายุขัยของคนว่าสั้นหรือยาว  เทพเจ้าดาวเหนือจะคอยควบคุมความดีความชั่วของคน ในพระสูตรเหตุปัจจัยว่า "ปราณของดาวเจ็ดดวงรวมกันเป็นดาวหนึ่งดวง อยู่เหนือศีรษะของคนประมาณ ๓ นิ้ว หากคนนั้นเป็นคนที่ทำความดี บนศีรษะจะมีแสงสว่าง ถ้าหากคนนั้นทำความชั่ว แสงที่ออกมาจะเป็นแสงสีเทา ถ้าหากเป็นคนที่ทำมหากุศล แสงบนศีรษะยิ่งสว่างไสว  ถ้าเป็นคนทำความชั่วมาก แสงบนหัวจะไม่มีเลย  แสงชนิดนี้จะมองไม่เห็นตัวแสง เทพเจ้าจึงมองเห็นได้อย่างชัดเจน

นิทาน   :  ในสมัยราชวงศ์ถัง มีขุนนางผู้ใหญ่คนหนึ่งชื่อ โหลวซือเต๋อ  ได้รับความพอใจจากฮ่องเต้ถังเกาจงมาก เขาจึงได้สนองพระเดชพระคุณต่อราชสำักมาก ในเช้าวันหนึ่ง ขณะที่โหลวซือเต๋อลุกจากที่นอน ก็พบดาวเทพพูดกับเขาว่า "เธอได้พลาดฆ่าชีวิตคนไป ๒ ชีวิต  โทษครั้งนี้ควรตัดอายุขัย  ๑๒ ปี  แสงบนศีรษะเธอใกล้จะดับลงแล้ว"  โหลวซือเต๋อ รู้สึกว่าดวงวิญญาณมึนงงไปบ้าง เพราะเหตุนี้เขาจึงบอกแ่ก่คนรอบข้างของเขาว่า "ตลอดชีวิตการทำงานของข้าจะระมัดระวังมาก แต่เพราะพลาดจนทำให้ชีวิตคน ๒ คนต้องตายไป ตอนนี้ก็จะให้ข้าตายเร็วขึน ๑๒ ปี ต่อมาไม่นาน  เขาก็ตายจากไปจริง ๆ

สรุป   :  ท่านจางหงจิ้งกล่าวว่า  "ตลอดชีวิตของโหลวซือเต๋อ ก็ทำงานเพื่อคนอื่น เป็นผู้ที่ได้รับการยกย่อง เป็นขุนนางผู้ใหญ่ที่สำคัญต่อราชสำนัก แต่ก็ไม่อาจหลบพ้นความผิดจนถูกตัดขัยไป ๑๒ ปี แล้ว  นับประสาอะไรกับบุคลทั่วไป ไม่รู้ว่าได้ทำวิบากกรรมอะไรเอาไว้มากมายแค่ไหน ขอให้ดูโหลวซือเต๋อเป็นตัวอย่าง จะไม่พยายามระมัดระวังเลยหรือ ! 

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
             คัมภีร์กรรม  ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า

                                           บทที่สาม

                                           ตรวจสอบ

              คัมภีร์  :  ยังมีเทพอีกสามตนอยู่ในกายคน เมื่อถึงวัน แกชิง ก็ขึ้นทูลพระเจ้าเบื้องบน รายงานความชั่วบาปของมนุษย์

อธิบาย   : 

        มีเทพสามตนที่อยู่ในกายคน ไม่ว่าจะเป็น ใจ ปาก ความคิด และ คำพูด  ไม่อาจจะปิดบังเทพทั้งสามได้  พอถึงวันแกชิง ก็คือวันที่พระเจ้าจะตัดสินความดีความชั่วของคน เทพทั้งสามนี้ก็ขึ้นไปที่ทำการของพระเจ้า รยงานความดีความชั่วของคนตามความเป็นจริงพูดถึงใจคน  ไม่ว่าจะเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อย ก็อยู่ในความควบคุมของเทพ  เทพสีฟ้าด้านบนชื่อ เผิงจี  สถิตอยู่บนศีรษะของคน เทพตนนี้ทำให้คนคิดคำนึงมาก  มีความอยากมาก  ทำให้คนตาลาย หน้ามืด ผมร่วง    เทพสีขาวกลางตัวชื่อ เผิงเจ๋อ  สถิตอยู่ในท้องของคน เทพตนนี้ทำให้คนชอบดื่มกินแล้วลืมงานมาก  และก็ทำให้ชอบความชั่ว  เทพสีเลือดทางตอนล่างของตัวชื่อ เผิงเฉียว  สถิตอยู่ที่ขาของคน เทพตนนี้ทำให้คนชอบกามารมณ์  ชอบฆ่าคน  ทำให้คนอยู่ไม่เป็นสุข  การกระทำของเทพ  ๓ ตนนี้ มีจุด
มุ่งหมายทำให้คนตายเร็วขึ้น จะได้ไปกินของที่เขานำมาเซ่นไหว้ เพราะฉะนั้นในวันแกชิง ตอนคนกำลังหลับสนิท ก็จะนำพาเจตภูตของคนขึ้นไปหาพระเจ้า ไปรายงานความชั่วบาปของคน เพราะฉะนั้น   เวลา ใจ ปาก ความคิด และ คำพูดของคนเพียงขยับความเคลื่อนไหว เทพทั้งสามจะได้ยินชัดเจน   คนในปัจจุบันไม่รู้จักสำรวจตนเอง ไม่รู้จักกดข่มตนเอง ไม่ทำให้จิตใจใสสะอาด มักน้อยในกามารมณ์  ท่านเฉินจื่อ ในสมัยราชวงศ์ซ่ง เขียนกลอนไว้ว่า " ไม่เฝ้าวันแกชิง ไม่สงสัย ให้ใจนี้พึ่งธรรมเป็นนิจ พระเจ้าก็รู้การกระทำตน ต่อให้สามเทพพูดเหลวไหล"

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
              คัมภีร์กรรม  ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า

                                           บทที่สาม

                                           ตรวจสอบ

               คัมภีร์  :  ในวันสิ้นเดือน เทพแห่งเตาไฟก็เช่นกัน

อธิบาย   :  วันสุดท้ายของปฏิทินจันทรคติเช่น  เทพแห่งเตาไฟก็เหมือนกัน วันนี้เป็นการพูดถึงครอบครัวของมนุษย์ การกระทำของมนุษย์ล้วนอยู่ในการเฝ้ามองของเทพ เทพแห่งเตาไฟจะควบคุมชะตากรรมของคนทั้งบ้าน เพราะฉะนั้น จึงเรียกผู้บัญชาการ ไม่ว่าชายหญิงเฒ่าวัยในบ้าน ที่ทำบาปไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ เทพเตาไฟจะตรวจสอบหมด พอถึงวันสิ้นเดือน ก็จะขึ้นไปรายงสนสองเทพ คือ สุริยันจันทรา ทั้งยังไปบันทึกความผิดลงในสมุด การกระทำของชาวโลกรู้เพียงความสุขเฉพาะหน้า ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องถามว่าเทพเจ้าแห่งเตาไฟคอยจดความผิดหรือไม่

นิทาน   :  แถวเมืองจุ่นจวิน มีนักศึกษาคนหนึ่ง แต่ละครั้งที่เมาสุราเขาก็จะลวนลามสาวใช้ในบ้าน สาวใช้รู้สึกอับอาย ก็จะแข็งขืนต่อการลวนลาม ด้วยเหตุนี้เธอก็จะหาโอกาสหลบหนีจากเจ้านาย  ขณะนั้น  พอดีเป็นวันสิ้นเดือนพอดี นักศึกษาคนนั้นกำลังนอนถึง ตี ๔  ภรรยาเขาตื่นขึ้นมาเรียกเขาให้ตื่นแล้วก็เล่าให้ฟังว่า "เมื่อครู่ฉันได้เห็นเทพเจ้าองค์หนึ่ง  บนศรีษะสวมหมวกทรงสี่เหลี่ยม กายสวมเสื้อสีดำ ทรงม้าวิ่งไปทั่ว พกสมุดติดตัวแล้วก็มุ่งมาทางฉัน ชี้มาที่ฉันแล้วก็ขีดลงในสมุดจากนั้นก็วิ่งออกไป ฉันฟังไม่ชัดเจนและก็ไน่รู้ว่าเขาพูดอะไรกับฉัน เพียงรู้สึกว่านาเกรงขาม ฉันก็ตกใจตื่นขึ้นมา" นักศึกษาคนนี้ฟังภรรยาเขาพูดเช่นนี้ ทำให้รู้สึกขนลุกซู่ซ่านเข้าไปในกระดูก แล้วก็พูดกับภรรยาว่า เทพเจ้าองค์นี้คงจะเป็นเทพเจ้าแห่งเตาไฟ  ต่อมาภายหลังเขาก็แต่งงานให้กับสาวใช้ให้กับผู้อื่นไป หลังจากนั้นก็พูดกับภรรยาเขาว่า "เมื่อก่อนโน้นที่เธอได้ฝันว่าเทพเตาไฟชี้มือมาที่เธอนั้น เป็นเพราะฉันเมื่อก่อนชอบลวนลามสาวใช้คนนี้ แต่เป็นเพราะเธอแข็งขืนต่อต้านจึงรอดตัว ไม่คิดว่าวันนี้เทพเจ้าก็มาตักเตือน ฉันคิดว่าเรื่องนี้แม้จะยังไม่สำเร็จล่วงละเมิด แต่ในใจก็มีบาปบันทึกแล้ว เพราะฉะนั้นจึงถูกเทพเจ้าเตาไฟ  จดบันทึกลงสมุดเพื่อรายงานเบื้องบน เมื่อก่อนนีฉันไม่กล้าบอกกับเธอ เป็นเพราะกลัวเธอจะระแวงและกลัว่าเธอจะทำสาวใช้คนนี้เดือดร้อน วันนี้เล่าเรื่องนี้ให้ฟัง เพื่อแสดงถึงความบริสุทธิ์ของสาวใช้ประการหนึ่ง  และแสดงถึงความผิดที่ฉันได้ล่วงละเมิดไปแล้วอีกประการหนึ่ง เป็นการสำนึกผิดต่อเธอด้วย ! 

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
             คัมภีร์กรรม  ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า

                                           บทที่สาม

                                           ตรวจสอบ

              คัมภีร์  :  ผู้มีความผิด มหันต์ตัดขัยหนึ่งรอบ  ลหุตัดขัยร้อยวัน

อธิบาย   :  ใครก็ตามที่เคยทำความผิดมาแล้ว ก็ยากที่จะหลบเลี่ยงการตรวจสอบของเทพเจ้าได้ คนที่ทำความผิดไว้มากก็จะถูกตัดอายุขัยหนึ่งรอบ คือ ๑๒ ปี   คนที่ทำผิดเล็กน้อยก็จะถูกตัดอายุขัยครั้งละหนึ่งร้อยวัน อันนี้เป็นการกำหนดบทลงโทษ ประโยคนี้มีความหมายคือ ตลอดชีวิตของคน ไม่ว่าจะเป็นกาย ใจ หรือครอบครัว ทุกหนแห่งล้วนมีเทพเจ้าคอยตรวจสอบ จุดมุ่งหมายก็เพื่อให้คนระมัดระวัง ภายหลังคนปฏิสนธิขึ้นในครรภ์แล้ว  ช่วงอายุขัยจะเพิ่มหรือลดล้วนมีบันทึกไว้แล้ว ท่านไท่ซั่งได้บัญชาให้เทพเจ้าทั้งหลายว่า "พวกท่านที่เข้าตรวจสอบความดี ความชั่วของคน ต้องกำหนด ๓ วันพูดหนึ่งครั้ง ๑๐วันกราบทูลครั้งหนึ่ง  ๑๐๐ วัน หนึ่งสรุปยอดครั้งหนึ่ง หากเป็นการทำความดีสร้างกุศล คน ๆ นี้ก็สามารถที่จะยึดอายุให้ยาวขึ้น หากเป็นการทำชั่วก็ให้ตัดทอนอายุขัยทันที" เพราะฉะนั้น  โทษเบาโทษหนัก ก็ตัดทอนร้อยวันหรือหนึ่งรอบ ซึ่งมีความแตกต่างกันอย่างมากนะ !

นิทาน  ๑   :  ในสมัยราชวงศ์หมิง มีพระภิกษุนิกายเทียนไถ คือ พระธรรมาจารย์หวังปี้หยู ในสมัยหนุ่มเขาสามารถสอบบรรจุรับราชการได้ จึงถูกส่งไปเป็นนายอำเภอชินจิน เขาเป็นผู้รักษาศีลมาแต่เด็กแล้ว เขาจะไม่ฆ่าสัตว์  ไม่ลักขโมย  ไม่ละเมิดกาม  ไม่พูดหลอกลวง ศีล ๔ ข้อนี้เขารักษามาตลอด จนกระทั่งเข้ารับราชการเขาก็เลิกรักษาศีล ต่อมาเขาได้รับคำสั่งให้เ้ข้าเฝ้า  เขานั่งเรือมาในระหว่างทาง ขณะที่เรือแวะพักที่ทะเลสาบบู่หู วิญญาณถูกยมทูตพาไปยังยมโลก เขาเห็นเจ้ายมบาลนั่งอยู่บนบัลลังก์ใหญ่ ข้าง ๆ มียมทูต ๒ ตนอยู่ซ้ายขวา เจ้ายมบาลเรียกชื่อของเขา และก็ดุใส่เขาว่า "หวังปี่หยู อายุขัยของเจ้าจบลงแค่เดือน ๘ เมื่อปีก่อนเท่านั้น แต่ที่ยังมีชีวิตอยู่ถึงตอนนี้ ก็ด้วยแรงกุศลที่ถือศีลเจมา แล้วทำไมตอนนี้จึงเลิกเสียเล่า" เจ้ายมบาลพูดจบก็สั่งให้ยมทูตนำสมุดบันทึกให้หวังปี่หยูดู  หวังปี่หยูเห็นชื่อเขาและบันทึกรายการของวันเดือนปีต่าง ๆ แต่พอถึงเดือน ๘ ปีกลาย ก็จบลง เขาเห็นแล้วก็ก้มกราบยมบาลว่า "ตอนรับราชการไม่มีความสะดวกในการกินเจ เลยเลิกถือศีลเจ อันนี้เป็นเพราะจำใจ"  เจ้ายมบาลว่า "เจ้าพูดพอมีเหตุผลบ้าง แต่อายุขัยของเจ้าหมดแล้ว" พูดจบก็สั่งให้ยมทูตนำเขาเข้าไปในนรก ตอนนี้ผีร้ายต่าง ๆ ก็รุมเข้ามา ทำท่าจะเข้ามาจับอย่างนั้น ขณะนั้นยมทูตที่นั่งอยู่ข้างซ้ายของยมบาลก็พูดขึ้นว่า "หากไม่เป็นไรก็เอาเรื่องต่างๆ ที่หวังปี่หยูเลิกถือศีลมาสำรวจดูบ้าง" ไม่นานนัก เหล่าสมุนยมทูตกนำเอาหีบใหญ่ ๆ ๒ หีบยกมา ล้วนเป็นงานที่หวังปี่หยูทำภายหลังรับราชการ ไม่ว่าจะเป็นจดหมาย หรือบทความ หรือข้อเขียนต่าง ๆ ในแต่ละวัน ล้วนปรากฏมีปราณกระเพื่อมขึ้นมา บ้างสีเขียว สีดำ สีแดง สีขาว แตกต่างกัน เจ้ายมบาลสั่งให้แยกเป็นพวก ๆ แล้วตรวจสีเขียวกับสีดำก่อน วางไว้กองหนึ่ง ต่อไปตรวจสีขาวแล้ววางไว้อีกกองหนึ่ง ตรวจดูสีแดงแล้วไว้ที่เดียวกัน  ตอนนี้สีเขียวอันตธานหายไป สีดำก็หดเล็กจนเหลือแค่ตะเกียบอันหนึ่ง ส่วนสีแดงกลับปรากฏเด่นชัดขึ้น หวังปี่หยูเห็นกองสีแดงชัดเจน ที่แท้เป็นบทวัชรปรัชญาปารมิตาสูตร คัมภีร์ปฏิสนธิดี เมื่อสมุนยมทูตตรวจเสร็จ ตอนนี้น้ำเสียงของเจ้ายมบาลนุ่มนวลขึ้นจึงพูดกับยมทูตซ้ายมือว่า "เอ้อ ! เจ้ายังรู้จักสั่งสมบุญกุศล พอมีเหตุผลให้มีชีวิตอยู่ ถ้าอย่างนั้นก็ให้ทำลายอวัยวะของเขาให้กายสังขารเขาอยู่ได้ ให้เขามีชีวิตอยู่ต่อไปเถอะ !  พูดจบก็ให้สมุนยมทูต เข้ามาควักลูกตาสองข้าง แล้วเอาวางไว้บนหัวเสาบนบัลลังก์ แวตาก็ยังแวววับส่องได้รอบ ๆ ตอนนี้หวังปี่หยูนึกขึ้นได้ "ตาของฉันถูกควักออกไป จะมองเห็นได้อย่างไร" แค่พริบตาเขาก็เป็นลมล้มลง ยมบาล ยมทูตก็หายวับไป ต่อมาก็มีใครตบหลังเขาเบา ๆ พูดว่า "หวังปี่หยู เดินเถอะไปได้แล้ว ! " แพล็บเดียวเขาก็ล้มลงตกใจตื่นขึ้นมา วันรุ่งขึ้นตาเขาก็บอดทั้งสองข้าง  ดังนั้น  เขาจึงละทิ้งครอบครัวไปปฏิบัติธรรม ต่อมาเขาก็บรรลุธรรม ตาทั้งสองก็กลับมองเห็นได้อีก หวังปี่หยูก็ออกจาริกไปทั่ว เห็นสัจธรรมประจักษ์แจ้ง บำเพ็ญวิถีมหาเมตตา จึงมีชีวิตต่อมาอีก ๑๒ ปี   จากชีวะประวัติของหวังปี่หยู นอกจากปราชอริยเจ้าแล้ว คนต้องรู้ว่าแต่ละวันไม่มีหรอกที่ไม่ทำผิด หากสามารถหันกลับแก้ไขเปลี่ยนแปลง ก็สามารถแก้ไขความผิดได้ มิฉะนั้นแล้วเหตุที่ก่อไว้อยู่ไม่ไกลนักหรอกทั้งวิบากกรรมที่สร้างเพิ่มอีกในภายหลัง แม้จะมีบุญตอบสนองที่มีมากหรือลูกหลานมีมากก็ตามเถอะ เมื่อลมหายใจขาดผึงลง อะไร ๆ ก็เอาติดตัวไปไม่ได้ มีแต่เวรกรรมที่ตนทำเอาไว้ติดตามตัวไป ตอนนั้นก็จะเห็นเจ้ายมบาลตรวจสอบก็ทุกข์ลำบากเสียแล้ว สมบัติเอาไปได้ไหม ลูกหลานรับหนี้แทนเธอได้ไหม เราต้องคิดใคร่ครวญให้ดี ๆ !

นิทานที่  ๒   :  ในสมัยราชวงศ์ซ่ง นางหูจงสิ้ง  มีฐานะร่ำรวยและชอบบริจาคมาก แต่พออายุได้ ๓๕ ปี เขาก็ล้มป่วยกะทันหัน การเจ็บป่วยทรุดหนักจนอันตราย ทั้งตนเองก็พูดถึงเรื่องยมโลก เขาได้พบกับเพื่อนเก่า ๆ หลายคนถามเขาว่า "ท่านผู้มีพระคุณ ! ทำไมท่านจึงมาถึงที่นี่เล่า ! เพื่อนเก่า ๆ ต่างพากันช่วยก้มคำนับต่อยมทูตตนหนึ่งเพื่อไต่ถาม ยมทูตพูดว่า "หูจงสิ้ง คนนี้เดิมทีมีดวงชะตาเป็นผู้อดอยากเพราะว่าเขาเป็นผู้ชอบช่วยเหลือคนอื่น เพราะฉะนั้น จึงตั้งตัวได้และจะมีอายุขัยถึง ๕๙ ปี แต่ว่าตนเองไม่จุดธูป นอนดึก  บุ,กุศลหมดสิ้นแล้วตอนนี้" เพื่อนเก่ายังพูดว่า "ไม่จุดธูปเพราะใจไม่เคารพฟ้าดิน นอนดึกเพราะมีใจหมกมุ่นในกาม ทำไมจึงว่าเป็นเรื่องที่ผิดเล็ก ๆ " พอพวกเขาได้ยิน ต่างพากันตกใจมองมาทางหูจงสิ้งแล้วพุดว่า "ผู้มีบุญกุศลเช่นหูจงสิ้ง เป็นเพราะแค่เรื่อง ๒ เรื่องก็ถูกตัดอายุขัย แล้วคนทั่ว ๆ ไปจะปล่อยปละละเลยตนเองได้หรือ"  ต่อมาไม่นานนัก หูจงสิ้งก็ตายไป

สรูป   :  ควรรู้ว่าอายุขัยเป็นสิ่งที่คนได้มาด้วยยาก มักถูกตัดอายุขัยไปโดยไม่รู้ตัว เพราะฉะนั้นท่านไท่ชั่งจึงสอนหลักธรรมเหล่านี้ให้ฟังก็เพื่อตักเตือนชาวโลก ต้องสนใจระมัดระวังความคิดของตน อย่าได้คิดผิดไปนิดเดียว บุญวาสนาที่สามารถเสวยได้ก็จะหลุดลอยไป ท่านไท่ชั่งมีมหาเมตตาต่อชาวโลกเสียจริงเลย   

Tags:
 

มหาปณิธาน

พระโพธิสัตว์กษิติครรภ์ (地藏王菩薩)

มหาปณิธานพระโพธิสัตว์กษิติครรภ์ (地藏王菩薩)

“...เพื่อหมู่สัตว์ทั้งหกภูมิผู้มีบาปทุกข์ ข้าพเจ้าจะใช้วิธีการต่างๆ ช่วยให้หลุดพ้นจนหมดสิ้น แล้วตัวข้าพเจ้าจึงจะสำเร็จพระพุทธมรรค”