collapse

ผู้เขียน หัวข้อ: คัมภีร์กรรม ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า : คำนำ  (อ่าน 144166 ครั้ง)

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                                   คัมภีร์กรรม  เล่ม ๔

                   ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า 

                          วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ 

                                     บทที่หก

                                     ชั่วบาป 

                           คัมภีร์   :  ทำทานแล้วเสียดาย

อธิบาย   :  ภายหลังการให้ทานแล้วรู้สึกเสียดาย เรื่องการให้บริจาค เป็นการสร้างกุศลที่รวดเร็ว แต่ต้องมีความยินดี มีความสบาย มีความสุขกับกุศล โดยไม่เบื่อหน่ายจึงจะก้าวหน้า แม้นว่ากำลังเงินของตนจะไม่เพียงพอก็ตามก็ต้องมีใจยินดีในการบริจาค การกระทำเช่นนี้เป็นการขจัดความตระหนี่ถี่เหนียวของใจ เพื่อไม่ให้ใจดำริขึ้นแต่แรกต้องห่อเหี่ยวดับไป ยังไม่ทันได้บริจาคทานก็คิดเสียดายก่อน จึงทำให้หมดโอกาสการบริจาคทานไป ถ้าหากบริจาคทานแล้วเกิดเสียดาย ก็จะไม่ไปบริจาคอีก ใจคอแบบนี้เหมือนความกรุณาถูกปล้นทำร้ายธรรม นี่ก็เป็นรากเหง้าของใจที่ป่วย ท่านไท่ชั่ง จึงไม่เขียนเรื่องทำความดีโดยบริจาคของคนด้านนี้ แต่ชี้ให้เห็นถึงคนที่บริจาคแล้วนึกเสียดายว่ามีโทษบาปอย่างไร เป็นเพราะอริยเจ้าสรรเสริญก็คือการแก้ไขความผิดเป็นคนดี และน่าเบื่อที่สุดก็คือ ผู้ที่ทำดีไม่ตลอด !  เมื่อศึกษาค้นคว้าของใจแรกเริ่มของเขาที่ภายหลังให้ทานแล้วรู้สึกเสียดาย เป็นคนที่ไม่จริงใจที่ยินดีต่อการทำดีเป็นเพียงแค่ชั่ววูบที่ดีใจ อยากได้ชื่อดี และก็หวังได้แต่บุญเท่านั้น เพราะฉะนั้นพอเริ่มต้นก็ผิดเสียแล้ว ทำอย่างไรจึงไม่รู้สึกเสียดาย ?. หากมีความจริงใจที่จะบริจาค เป็นผู้ที่ฝึก "ทั้งเขาและเราล้วนว่าง"  ก็คือ ภายในไม่พบตัวฉันผู้ให้บริจาค ภายนอกไม่เห็นตัวเขาผู้รับบริจาค ท่ามกลางไม่เห็นทรัพย์สินสิ่งของที่บริจาค ทำได้แบบนี้ก็ย่อมไม่เกิดทำทานแล้วเสียดาย ถ้าหากให้ทานแล้วนึกเสียดาย คนที่ทำดีจะต้องใส่ใจ จริงใจไปพิจารณาตนเองที่บังเกิดใจจะทำความดี ! 

นิทาน   :  นายหูหยาเป็นผู้ยินดีในการให้ทาน หน้าบ้านจะมีขอทานเต็มไปหมด เขามักพูดกับคนทั่วไปว่า "ทรัพย์สินในโลกนี้เป็นสิ่งไม่แน่นอน วันนี้ร่ำรวยแล้ว วันข้างหน้าก็เปลี่ยนเป็นคนจนแล้ว เหมือนวงกลมที่เคลื่อนไหว !  ถ้าหากไม่ให้ทานสักวันหนึ่ง ฉันก็ไม่มีความสุขวันหนึ่ง !" ผู้คนในสมัยนั้นก็มีคำคมพูดกันว่า "ไม่เป็นเศรษฐีเหมือนนายค่วนซิ่ง ขอเป็นยาจกเหมือนนายหูหยา"  (นายค่วนซิ่ง เป็นเศรษฐีที่ตระหนี่ต่อการให้ทาน)  ต่อมานายหูหยาได้เลื่อนตำแหน่งเป็นถึงซั่งซุ ลูกหลานของเขายิ่งร่ำรวยมาก

นิทาน   :  นายซีไป่ซันยากจนมาก  บังเอิญเห็นนักพรตคนหนึ่งกำลังบริจาคอยู่หน้าร้านค้าร้านหนึ่ง ไม่มีร้านค้าให้ทาน นายซีไป่ซันก็คลำหาที่เอว ในถุงเงินเหลือเพียงอีแปะเดียว ก็ให้ทานแก่นักพรตไป คืนวันนั้นก็ฝันเห็นนักพรต ช่วยขจัดเนื้องอกที่หน้าผากเขาพอตื่นขึ้นมาก็ปรากฏว่า เนื้องอกบนหน้าผากหลุดออก  หนึ่งอีแปะของซีไป่ซัน ยังทำให้เขาพ้นทุกข์จากโรคจะเห็นได้ว่า การให้ทานไม่ใช่อยู่ที่เงินจำนวนมากน้อย  หากแต่อยู่ที่จริงใจให้ทาน !  ชาวโลกควรจริงใจ ขยันทำดีให้ทาน ไปเตือนชาวบ้านช่วยกันทำก้อาจจะช้าไปแล้ว นับประสาอะไรกับการให้ทานแล้วนึกเสียดายเล่า

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                                   คัมภีร์กรรม  เล่ม ๔

                   ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า 

                          วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ 

                                     บทที่หก

                                     ชั่วบาป 

                           คัมภีร์   :  ยืมทรัพย์ไม่คืน

อธิบาย   :  หยิบยืมทรัพย์สินสิ่งของผู้อื่น เมื่อตนมีแล้วไม่ยอมคืน การหยิบยืมเป็นเรื่องปกติ ไม่มีแล้วช่วยเหลือสงเคราะห์เร่งด่วน นับเป็นเรื่องที่ดี การยืมของเขา ๆ ก็เป็นผู้มีพระคุณต่อเรา ถือไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย แล้วจะอาศัยอิทธิพลแข็งกร้างคดโกงไม่ยอมคืนหรือต้องรู้หลักธรรมที่ว่า ถ้ายังมีหนี้เก่า ตายแล้วก็ต้องยังชดใช้เขา โทษเบาก็ไปเป็นบ่าวไพร่ ถ้าโทษหนักก็ไปเกิด เป็นวัว เป็นควาย เป็นหมาบ้านเขา เป็นการชดใช้หนี้ที่ตัวเองติดเขา  ถ้าหยิบยืมข้าวของคนอื่น ควรใส่ใจถนอมดูแล การยืมของคนอื่นเป็นเรื่องเสียไม่ได้จึงไปยืมเขา เมื่อยืมมาแล้วใช้แล้วก็ต้องรีบนำไปคืน ทำแบบนี้ผู้อื่นจะได้สบายใจด้วย ตลอดจนการยืมเงินก็ต้องใช้คืนเขาให้หมด  คนปัจจุบันยืมเงินเขาแล้วไม่ให้ กลับไม่คิดว่าเงินนี้ไม่ใช่ของตัวแม้จะเก็บไว้ แต่สุดท้ายก็ต้องให้เขา เก็บไว้กลับจะเป็นภาระหนี้เพิ่มเสียอีก แบบนี้จะดีสำหรับตนเองอย่างไร ?.  ขอให้พวกเราคิดให้ดี ๆ

นิทาน   :  ในสมัยชิง รัชสมัยฮ่องเต้คังซี ในฤดูใบไม้ร่วง มีชาวปักกิ่ง บ้านนายจางหยวน ได้เลี้ยงล่อไว้ตัวหนึ่ง มันสามารถวิ่งได้ 200 ลี้ต่อวัน แต่เจ้าล่อตัวนี้ชอบเตะคนและกัดคนด้วย มีแต่นายจางหยวน 3 คนพ่อลูกที่สามารถขี่ได้  ส่วนคนอื่นมันจะไม่ยอมให้ขี่เลย มีอยู่คราวหนึ่ง มีคนแซ่หยางอยากยืมล่อขี่สักหน่อย พูดแล้วก็แปลก เจ้าล่อตัวนี้ก็ยอมที่จะให้นายหยางขี่โดยดี จนกระทั่งกลับ ในคืนนั้นนายหยางก็ฝันว่า มีคนใส่เสื้อสีดำพูดกับเขา ว่า "ฉันคือเจ้าล่อที่อยู่ในบ้านจางหยวน ชาติที่แล้วฉันยืมเงินคุณไปสามร้อยยังไม่ได้ใช้คืน ในชาติปัจจุบันฉันควรชดใช้คืนคุณ แต่เมื่อวานนี้ฉันวิ่งมาทั้งหมดสองร้อยแปดสิบลี้แล้ว ฉันจึงมาขอร้องให้คุณช่วยขี่ฉันอีกยี่สิบลี้ ก็จะเป็นการหมดหนี้กัน !"  นายหยางจึงถามว่า แล้วเธอเป็นหนี้บ้านตระกูลหยางเขาเท่าไหร่ละ ?" คนใส่เสื้อดำก็ทำหน้าอมทุกข์แล้วพูดว่า "มากๆๆ จนพูดไม่ถูก"  หลังจากนายหยางตื่นแล้วก็ไปยืมล่อบ้านจางหยวนมาขี่อีก วิ่งไปได้ระยะทางไกลพอสมควร ทันใดเจ้าล่อก็กระโดดขึ้นมา จนทำให้นายหยางตกลงมา นายหยางคำนวนระยะทางดูก็ได้ประมาณยี่สิบลี้ จึงพูดกับเจ้าล่อด้วยความรู้สึกที่จริงใจว่า "ฉันเข้าใจถึงเหตุอาการที่เธอไม่ยอมให้ขี่อีก"  แต่ว่าระยะทางก็ห่างจากบ้านฉันถึงสิบลี้ถ้าหากฉันไม่ขี้เจ้าแล้วฉันจะกลับบ้านได้อย่างไร ?  เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ให้ฉันขี่เธอกลับถึงบ้าน แล้วฉันก็จะไปซื้อหญ้าด้วยเงินสิบอีแปะให้เธอกินดีไหม ?.  เจ้าล่อยืนอยู่ตั้งนานแล้วก็ยอมให้เขาขี่กลับบ้าน หลังจากนั้นนายหยางก็แกล้งที่จะขี่มันอีก แต่พอเข้าใกล้อานบนหลังมันเท่านั้น เจ้าล่อก็จะเตะเขา และกัดเขาด้วย ทั้งยังร้องเสียยาวไม่หยุดด้วย ! 

อธิบาย   :  คุณจูไจ้อันพูดว่า "คนเป็นหนี้เพราะยากจน แต่บางคนรวยก็ยังเป็นหนี้"  คนจนเป็นหนี้เพราะไม่มีปัญญาใช้หนี้  ถ้าพูดตามหลักวินัยสูตร ถ้ามีความจริงใจคิดอยากจะใช้หนี้แล้ว แบบนี้ก็จะไม่มีบาป แต่กับคนที่มีเงิน แต่ไม่ยอมใช้หนี้ถ้าไม่เป็นเพราะใช้อิทธิพลข่มขู่ก็ต้องเป็นผู้สูญเสียมโนธรรมหลักธรรมฟ้ามืดมัว แน่นอน ! ต้องรู้ว่าการเป็นหนี้แล้วไม่ใช้คืนก็ต้องชดใช้หนี้เขาทุก ๆ ชาติไปจนกว่าหนี้จะหมดค่อยยุติกัน !   

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                                   คัมภีร์กรรม  เล่ม ๔

                   ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า 

                          วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ 

                                     บทที่หก

                                     ชั่วบาป 

                           คัมภีร์   :  ไม่เจียมตนหานอกลู่

อธิบาย   :  ไม่ตั้งอยู่บนพื้นฐานส่วนตนหากินนอกลู่นอกทาง  เป็นเพราะคนไม่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของตนเอง มักคิดว่าการมุ่งเสาะแสวงหาเอาก็คงจะได้ประโยชน์ แต่ไม่เคยคิดว่า ความร่ำรวยยากจนของคนล้วนถูกลิขิตไว้แล้ว ดวงชะตาไม่มีจะไปเสาะหาเอานอกลู่นอกทางได้อย่างไร ใจฟุ้งซ่านคิดโลภเผื่อจับพลัดจับผลู หวังได้มันไม่มีประโยชน์แต่อย่างไร แต่เกรงว่าการทำเช่นนั้นจะบั่นทอนบุญวาสนา ทำไมไม่ไปเรียนรู้คำพูดของท่านเมิ่งจื่อที่ว่า "การแสวงหาโดยธรรมการได้โดยดวงชะตา"  กับประโยคของท่านฮุ่ยเหนิงที่ว่า "เนื้อนาบุญทั้งหลาย ไม่เกินเลยแม้เพียงนิ้ว"

นิทาน   :  ในสมัยถังปีแรกในรัชสมัยฉางซิ่ง นายเฟยผูผู้คุมเรือนจำจื่ออัน อำเภอซินผิงตายไปแล้ว ฮัวหยวนลูกพี่ลูกน้องของเฟยผู ขณะมาเป็นแขกที่เมืองหลงอิ่ว เขาไปเจอะเจอข้าราชการฝ่ายบู๊ คนหนึ่งบนถนนมีผู้ติดตามมากมาย พอเพ่งดูดี ๆ ข้าราชการผู้นั้นเป็นนายเฟยผู !  นายฮัวหยวนทั้งตกใจทั้งดีใจพูดกับเขาว่า "ท่านได้ตายไปแล้วไม่ใช่หรือ ?.  ทำไมจึงมารับตำแหน่งฝ่ายบู๊เล่า ?.  นายเฟยผูตอบว่า "หน้าที่ปัจจุบันของข้า คือ  เป็นทูตผู้ชำระปัดถูแห่งเมืองเสฉวน มีหน้าที่ควบคุมจัดการทรัพย์สินของมนุษย์ ยังมีกำหนดในดวงชะตาอยู่แล้วนับประสาอะไรกับเงินทอง !  ที่ยมโลกมีบันทึกไว้ เพราะฉะนั้นการได้มาของเงินทองแต่ละคน ล้วนมีกำหนดแน่นอน ถ้าหากมีเงินเกินเลยตามกำหนดก็จะถูกชำระปัดกวาดออก หรือถูกตนเองใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายทิ้งขว้าง หรือได้ประสบกับเคราะห์ภัย หรือทำการค้าลงทุน จนขาดทุน หรือเจ็บป่วยจนใช้จ่ายหมดตัว เหล่านี้ล้วนถูกควบคุมโดยข้าด้วยการชำระปัดถูกวาดล้าง ในโลกมนุษย์ ชาวนาที่อดทนขยันไถหว่านเพาะปลูกได้ธัญหาร  พ่อค้าขยันทำกการค้าจนเก็นหอมรอบริบได้ บัณฑิตที่ขยันมั่นเรียนจนได้ตำแหน่ง ได้เบี้ยหวัดบำนาญ  เป็นต้น  ล้วนตั้งอยู่บนพื้นฐานส่วนตนที่ได้ทรัพย์มา ทั้งไม่ได้เพิ่มเติมเงินทองนอกลู่นอกทาง ถ้าหากไม่ขยันขันแข็งแล้ว แม้ในพื้นดวงที่ตนมีอยู่ก็ยังอาจสูญไปด้วยเลย !  นี่เธอจะมาเจอะเจอข้า นี่ก็มีในกำหนดการเธอควรจะได้ับทองคำ 2 ชั่ง หากเธอได้ทองเกิน 2 ชั่ง ที่เกินไปก็จะถูกชำระกวาดทิ้งเพราะฉะนั้น ข้าก็จะไม่ให้เธอเกิน 2 ชั่งล่ะ !  พอพูดจบก็ไม่เห็นเฟยผูเลย

นิทาน   :  นายหลิวเป้ยเขียนบทความได้ดีมาก และคิดว่าตนเองน่าจะสอบเอาตำแหน่งราชการได้ ประจวบกับพระเจ้าอวี่เซิ้นเจินจวินลงประทับญาณที่เขาจงหนาน ดังนั้นนายหลิวเป้ย จึงเข้าไปกราบถามถึงอนาคตการสอบเอาตำแหน่งของตนกับท่านเจินจวิน ๆ ตอบว่า "ถึงแม้บทความของเจ้าจะดี แต่ดวงชะตาของเจ้าน้อยมาก  เจ้าน่าจะเจียมตนถอนตัวอยู่ในความสงบจะดีกว่าไปแสวงหานอกลู่ก็จะรักษาชีวิตในช่วงที่เหลือได้ ถ้าหากมัวไปแสวงจนเกินเลยก็จะทำให้ชีวิตของเจ้าสั้น !"  หลิวเป้ยไม่ฟังคำของพระเจ้าอวี่เซิ้นเจินจวิน สุดท้ายก็สอบไม่ได้ วิ่งเต้นเกินเลยจนตายไป

อธิบาย   :  ควรรู้ว่าเรื่องของการสอบเอาตำแหน่งเป็นเกียรติที่ทำให้บรรพชนมีชื่อเสียง และบุญวาสนาของบรรพชนคุ้มครองลูกหลาน ซึ่งไม่อาจใช้วิธีทุจริตหรือเล่ห์เหลี่ยมไปแสวงหาเอาได้ มีแต่ต้องสั่งสมบุญกุศลเอาเท่านั้น  ในความมืดก็จะได้รับตำแหน่งเอง อย่างนี้มิใช่การแสวงหานอกลู่ !  กับเงินทองแล้วหลักธรรมก็อย่างเดียวกัน 

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                                   คัมภีร์กรรม  เล่ม ๔

                   ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า 

                          วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ 

                                     บทที่หก

                                     ชั่วบาป 

                           คัมภีร์   :  ใช้จนสุดอำนาจ

อธิบาย   :  การใช้พลังความสามารถของตนจนสุดอำนาจ  หาวิธีการใช้อำนาจ  ใช้อิทธิพลจนหมดใจ โดยไม่เหลือทางข้างหลัง (หลังติดฝา) ถ้าอิทธิพลยังใช้ไม่หมดก็จะไม่ยอมหยุด ดังคำพังเพยที่ว่า  "กางใบเต็มที่แล้วยังเพิ่มแปดฝีพาย" ตัวอย่างเช่น ข้าราชการที่ใช้อำนาจหน้าที่ใช้อิทธิพลบังคับเค้นเอาจากประชาชน  คนร่ำรวยก็ใช้อำนาจอิทธิพลต่อคนจน ตลอดจนมนุษย์ใช้แรงบังคับสัตว์ เหล่านี้ล้วนละเมิดศีลของท่านไท่ซั่งทั้งนั้น เช่น ใช้แรงงานวัว ควายไถนา  ม้าล่อใช้ขี่ลากรถเป็นต้น  ไม่ควรใช้มันจนสุดแรง สัตว์เหล่านี้ล้วนเป็นหนี้ที่ต้องมาชดใช้กรรมทั้งนั้น ควรที่จะให้ความรักดูแลมัน สงสารมัน  เวลาใช้งานก็อย่าใช้จนหักโหมเต็มที่  จะพูดว่า "มันเป็นสัตว์จะต้องทำตามความต้องการของฉันอย่างนั้น"  ไม่ถูกต้อง

นิทาน   :  ในสมัยซ่ง  นายซีเซี้ยนตู้ มีหน้าที่ดูแลรับใช้ท่านเศรษฐี  ฮ่องเต้ลี่อู๋มีคำสั่งให้เข้าไปคุมงานก่อสร้าง เขาเป็นคนที่เข้มงวด และโหดเหี้ยม  ไม่ฟังเหตุผล  เขาไม่ฟังคนงาน  ถ้าไม่พอใจก็ทุบตี ไม่ว่าอากาศจะหนาวร้อน ฝนตกหิมะตก เขาก็ไม่ยอมให้คนงานหยุดงาน คนงานจำนวนมากรับความทารุณไม่ไหว ถึงกับฆ่าตัวตาย หลังจากเรื่องราวเหล่านี้เกิดขึ้นแล้ว ฮ่องเต้จึงสั่งลงโทษประหารชีวิตเขา

นิทาน   :  นายฮัวถิงเฉียน บัณฑิตชาวเห้อทัน เขาสร้างบ้านที่หลินเซี้ย พวกคนงานก็ให้รู้สึกเบื่อหน่ายเจ็บปวด คนในหมู่บ้านก็เหน็ดเหนื่อยตาม ๆ กัน จนเจ็บป่วย มีคนงานอีกคนหนึ่งไม่ยอมทำงานอีกต่อไป บัณฑิตเฉียนก็ดุด่าว่าเขาด้วยความโกรธ  คนงานก็พูดว่า "สมัยก่อนที่นายหวงถีสิงที่สร้างบ้าน ตอนนั้นฉันเป็นผู้รับผิดชอบหน้าที่นี้ก็เหนื่อยจนล้มป่วย ตอนนี้บ้านนายหวงถีสิงก็ผุกร่อน กำแพงพังแล้ว แต่การเจ็บป่วยของข้ายังไม่หายดี เพราะฉะนั้น ฉันจึงไม่กล้ารับงานนี้ !" บัณฑิตเฉียนได้ฟังแล้วก็แจ้งประจักษ์ รีบหยุดงานทันที !   

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                                   คัมภีร์กรรม  เล่ม ๔
                 ไท่ซั่ง กั่นอิ้งเพียน ของเหลาจื่อ ศาสดาแห่งเต๋า 
                           วิถีสร้างบุญวาสนา ขจัดภัยพิบัติ 
                                       บทที่หก
                                        ชั่วบาป 
                             คัมภีร์   :  เสพกามเกินเลย

อธิบาย   :  สามีภรรยามีกิจกรรมในห้องบ่อย ๆ เกินเลยกว่าปกติ เกินขอบเขต บาปกรรมจากการละเมิดกามซึ่งท่านไท่ชั่งได้กล่าวเอาไว้ข้างต้นแล้ว มาในเรื่องกิจกรรมทางเพศระหว่างสามีภรรยาควรจะมีการยับยั้งด้วย ถ้าจะพูดเรื่องกิจกรรมระหว่างสามีภรรยาไม่ใช่เรื่องละเมิดกามแล้วละก็ เรื่องเคราะห์ภัยกับการฆ่าตัวตายที่เกิดจากความใคร่จะขจัดปัดปเ่าได้อย่างไร เพราะร่างกายมนุษย์ ถ้าความใครกำหนัดเกิดขึ้น ทั้งปราณและโลหิตจะถูกกระตุ้นให้ไหลเวียนรุนแรง ทำให้สูญเสียพลังชีวิตไปมาก หากไม่มีการยับยั้งแล้ว ก็เปรียบเหมือนน้ำในหนองบึงที่หลั่งไหลออกไปจนแห้ง เป็นเรื่องที่น่ากลัวมาก !  ถ้าหากคนสามารถสงวนพลังไว้ได้มาก พลังชีวิตก็สมบูรณ์ ประสาทก็กระปรี้กระเปร่า ความคิดอ่านปัญญาก็เกิด คนก็จะฉลาดแข็งแรง จะทำกิจการใดก็สำเร็จ ถ้าหาก
อยู่ในวัยหนุ่มสาวหมกมุ่นอยู่กับทางเพศ จนสูญเสียพลังชีวิตหมดไป ความเก่งฉกาจฉกรรจ์ก็หมดไป ชั่วชีวิตก็ไม่มีความเจริญในหน้าที่การงานเลย ! 
        การเจ็บป่วยตลอดชีวิตก็เริ่มจากการแต่งงาน เพราะว่าอายุยังน้อยไม่มีความรู้ อารมณ์เพศไม่รู้จักยับยั้ง  สุดท้ายก็ป่วยด้วยโรคตรากตรำ ถ้าหากร่างกายอ่อนแออยู่แล้วก็ทำให้อายุสั้น ทำให้ลูกเมียเป็นกำพร้า ต้องทุกข์กับการเป็นหม้าย ความคิดจะอยู่ถึงไม้เท้ายอดทองกระบองยอดเพ็ชร ที่จะอยู่คู่ภรรยาไปยาวนาน ก็จงอย่าให้ติดเชื้อโรคซึ่งเป็นรากเหง้าแห่งภัยจากการเริ่มต้นของชีวิตแต่งงาน เพราะฉะนั้น คนที่เป็นพ่อ พี่ชาย ถ้าหากลูกหรือน้องแต่งงาน ก็ควรที่จะสั่งสอนให้เขารู้จักการยับยั้งเสพกาม
        คำพังเพยว่า  "สุขถึงที่สุดโศกเศร้าเกิด  ตามใจความใคร่เกิดโรค"  อีกคำ  "เลือดลมไม่สะดวก ห้ามเสพกาม"  ผู้เฒ่าเพิงว่า "ผู้สูงอายุให้แยกเตียงผู้กลางคนแยกห่มผ้า  ทานยาร้อยขนานสู้นอนคนเดียวไม่ได้"  พุทธองค์ว่า  "รูปหญิงเป็นรากเหง้าของสรรพทุกข์ เป็นรากเหง้าของอุปสรรค  เป็นรากเหง้าของการฆ่าแกง  เป็นรากเหง้าของเศร้าโศก"  พระสูตรหวงถิงจึงว่า "รีบสงวนอสุจิ อย่ามัวหลั่ง ปิดกั้นรักษาไว้อยู่ยืนยาว"  การเสพความใคร่เป็นสาเหตุให้คนสูญเสียจิตเดิม สูญเสียชีวิต มีบางคนได้รับการบาดเจ็บโดยไม่รู้ตัว บางคนทั้ง ๆ รู้ถึงผลร้ายของการเสพใคร่แต่ก็ไม่ยอมยับยั้ง นี่แหละทำให้อริยเจ้าปราชญ์เมธีจึงตักเตือนผู้คนอย่างจริงใจ และปลุกตื่นรู้สาเหตุอยู่ที่ไหน ! 
        คนสามัญที่ไม่รู้อันตรายของมัน ก็จะปล่อยปละตามใจความใคร่ ดังนั้น ไอคาวแห่งการเสพกาม ผีเทพสัมผัสได้จึงโกรธ เคาะห์ภัยอัปมงคลจึงเกิดขึ้นขอให้ชาวโลกสามารถยับยั้งและอดทน ก็จะมีชีวิตยืนยาวและสุขอนามัยได้ประโยชน์ มิฉะนั้น การเสพความใคร่ ก็คือการถวายชีวิต คนแบบนี้ไม่มีทางช่วยได้เลย ท่านเหยินฮุยก้ง ในวัยชราร่างกายกลับแข็งแรงมีคนถามเขาถึงวิธีดูแลสุขภาพ คุณเหยินตอบว่า เป็นเพราะข้าได้อ่านหนังสือเหวินช่วน จึงเข้าใจบางสิ่งบางอย่าง"  ในเหวินช่วนกล่าวว่า "ก้อนหินหากมีเนื้อหยกงามซ่อนอยู่ภายใน ก็จะทำให้สีสันของภูเขาดูสดใส ในน้ำหากมีอัญมณีซ่อนไว้ก็จะทำให้สีสันของสายน้ำอ่อนไหว นี่แหละคือเหตุผล"  ท่านเฉินอีชวนคิดว่า "คนถ้าปล่อยตามอารมณ์ใคร่โดยไม่ห่วงสุขภาพเป็นเรื่องที่น่าละอาย เพราะฉะนั้น เมื่ออายุถึง 70 ปี เลือดลมพลังปราณของเขาก็ยังแข็งแรงเหมือนตอนอายุหนุ่ม ๆ ตอนที่ท่านลีเจียะเหนียนอายุ 100 ปี ผิวพรรณหน้าตาดูเหมือนวัยเด็ก มีคนถามเขาว่ามีเคล็ดลับอะไร ?.  เขาพูดว่า "เป็นเพราะข้าตัดความใคร่ตั้งแต่หนุ่ม ๆ " ส่วนคุณหลิวหยวนเฉินตอนอายุ 80 ปี ร่างกายของเขายังแน่นแข็งปึงปั๋งอยู่เลยเขาพูดว่า ข้าตัดความใคร่ได้ 30 ปีแล้ว เพราะฉะนั้น เลือดลมประสาทก็ยังเหมือนเดิม  ภิกษุจุ่นเจียงอายุกว่า 90 ปีแล้ว เขาสามารถเดินทางไกลได้ ฝีก้าวดุจบิน อีกทั้งผมเคราก้ไม่ขาว เขาว่าไม่มีวิธีการอะไรเพียงตอนหนุ่ม ๆ เขาก็ตัดความใคร่ลงแล้ว  จางชุ่ยชาวเมืองไท่ชั่ง อายุกว่า 90 ปีแล้ว เขายังตาดีหูดีอยู่ เขายังวาดรูปได้ มีคนถามถึงสาเหตุ เขาตอบว่า "ตลอดชีวิตใจใคร่อยากจืดชืด ควบคุมเรื่องความใคร่เท่านั้น"
        ควรรู้ว่าเมื่อยามชรายังมีสุขภาพแข็งแรง เป็นความสุขอันแรกของมนุษย์ ที่เป็นเช่นนั้นได้ก็เพราะการควบคุมการเสพกามให้น้อยนั้นเอง คนทั่วไปจะฝึกเอาอย่างก็ไม่เป็นเรื่องยาก  ท่านเพิ่งจูกล่าวว่า "หนึ่งเดือนหลั่ง 2 ครั้ง ในหนึ่งปีก็ยี่สิบสี่ครั้ง นี่คือวิธีการควบคุมความใคร่"  ซู้หนี่กล่าวว่า "เมื่อคนมีอายุ 60 ปีแล้ว ต้องหยุดรักษาไม่ให้มีการหลั่ง เป็นวิธีที่ระมัดระวังหักห้าม"  สำหรับอาตมาว่าท่านเพิ่งจูกับซู้หนี่เป็นคนสมัยโบราณ ความหนักที่ฟ้าปางก่อนประทานให้มีมาก เพราะฉะนั้น จึงพูดแบบนี้ได้ แต่ในยุคปัจจุบันลมฟ้าเบาบางแบบนี้ จึงไม่สามารถเอาคำพูดของท่านเพิ่งจูและซู้หนี่เป็นแบบมาตรฐาน โดยเฉพาะคนที่มีปราณค่อนข้างอ่อนแอยิ่งต้องเพิ่มทวีในการควบคุมระมัดระวังยับยั้งมากยิ่งขึ้น ! 

นิทาน   :  ในสมัยหมิง มีชายหนุ่มแซ่อวี่ เมืองเอ้อโจ หน้าตารูปหล่อ มีการศึกษาเขาค่อนข้างดีมีชื่อเสียง อายุยังไม่ถึง 20 ก็สอบได้ตำแหน่งจิ้นสือ ทางราชสำนักส่งไปรับตำแหน่งที่เมืองซ่งเจียง ญาติพี่น้องพากันอิจฉา แต่เพราะเขาชอบเสพกามมาก มีภรรยานับสิบคนที่งดงาม ทุกวันก็ปล่อยอารมณ์ใคร่ไม่ยับยั้ง ไปทำงานที่ซ่งเจียงเพียงเดือนกว่า ๆ เท่านั้นก็ตายไป บรรดาภรรยาก็ไปแต่งงานใหม่       

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
บทที่ 6 ชั่วบาป : เสพกามเกินเลย

นิทาน :  นายขื่นอู่เซิง เติบโตหน้าตาดี แต่ชอบเสพกาม มีคืนหนึ่งเขาฝันว่า  พระศาลหลักเมืองดุด่าเขา ทั้งยังตรวจนับจำนวนที่เขาเสพกาม ได้ลงโทษตีเขาไปหลายสิบไม้ หลังจากขื่นอู่เซินตื่นขึ้นมา พบว่าขาทั้งสองข้างเขียวคล้ำ แล้วก็เริ่มเน่าเปื่อย เขาป่วยอยู่ราว 1 เดือนก็ตาย

อธิบาย :  "ละเมิดกามเป็นบาปหนักอันดับหนึ่ง  ความกตัญญูเป็นความดีอันดับหนึ่ง"  เป็นคำพูดของท่านยมบาล จะเห็นได้ว่าแม้แต่ผีเทพก็พอใจกับความกตัญญู แต่ไม่พอใจกับการละเมิดกามเป็นอย่างยิ่ง กฏหมายในโลกอาจมีช่องโหว่ แต่ยากที่จะรอดพ้นจากกฏในยมโลก มนุษย์ทำไมต้องไปละเมิดบาปที่ผีเทพไม่พอใจจนต้องถูกลงโทษ เพราะฉะนั้น ตั้งแต่โบราณมาแล้ว พวกที่ลุ่มหลงจมปลักอยู่กับนารี ไม่มีหรอกที่ต้องตายลง แม้แต่คนแก่ยิ่งไม่สมควรแต่งหาหญิงสาวมาเป็นเมีย เพราะเมื่อเราดูแลเธอไม่ได้ เธอก็จะโกรธมากและแค้นอย่างยิ่ง อารมณ์แค้นที่สั่งสมก็จะทำลายบุญกุศล โดยเฉพาะคนวัย
หนุ่มอารมณ์ใคร่ควบคุมลำบาก ถ้าหากมันยุติกันไม่ได้แล้วจะควบคุมอย่างไร ?. นับประสาอะไรกับผู้ใหญ่อายุมากเหมือนอาทิตย์กำลังตกดิน ชีวิตของตนยามแก่ก็รักษาให้อยู่ได้ยากแล้ว ยังจะดิ้นรนที่ให้ยมทูตมาเร็วขึ้น ลากตัวไปพบยมบาลเร็วขึ้น จะให้โง่ปานนั้นหรือ ?.

เตือนสติ :  หลังจากร่วมเพศระหว่างสามีภรรยา หรือฝันเปียกภายใน 3 - 5 วัน ไม่ควรลงน้ำเย็น เช่น อาบน้ำเย็น ทั้งยังไม่ควรทานข้าวเย็น หรือดื่มของเย็น  หรือยาเย็น  แต่ถ้ามีไข้ต้องกินยาเย็นแล้วควรบอกหมอให้ชัดเจน ฤดูร้อนก็อย่าโลภอยู่ในที่เย็น ๆ  ฤดูหนาวก็ไม่ให้ตากลมฝน ถ้าหากละเมิดกฏข้อห้ามเหล่านี้แล้ว ไปมีเพศสัมพันธ์ ผู้ชายก็อาจมีเพศเสื่อมง่าย  ผู้หญิงก็มีถันเหี่ยว  ถ้าหากมีแขนขาหนาวเย็น ปวดท้องก็ถึงตายได้ ถ้าสามีภรรยาไม่ระมัดระวังป้องกันรักษาข้อห้าม หญิงมีครรภ์ก็แท้งลูก เพราะฉะนั้น มักจะเห็นว่ามีครรภ์ได้แค่ครึ่งเดือนก็แท้งลูกเสียแล้ว โดยไม่รู้ว่าทำไมจึงเป็นเช่นนี้ ถ้าหากมีการแท้งอยู่หลายครั้งก็จะทำให้ตับอักเสบ ตลอดชีวิตก็จะไม่มีครรภ์  วิธีป้องกัน ภายหลังที่ตั้งครรภ์ สามีภรรยาต้องแยกเตียงหรือหยุดมีเพศสัมพันธ์ จึงจะไม่แท้งลูก ถ้าหากตั้งครรภ์แล้วยังมีเพศสัมพันธ์อีก ถ้าโชคดีลูกเกิดขึ้นมาก็มักจะอ่อนแอเลี้ยงให้โตยาก เพราะได้รับบาดเจ็บขณะอยู่ในครรภ์ เพราะฉะนั้น สามีภรรยาต้องระมัดระวัง จะได้ไม่ต้องเจ็บปวดทุกข์ทรมานในภายหลัง มีบางคนคิดอยากได้ลูกถึงกับใช้ยาปลุกกำหนัด หรือใส่ยาเม็ดเข้าไปในมดลูก วิธีการไม่ถูกต้องเหล่านี้ ไม่มีทางได้ลูก ยังเป็นการสร้างบาปทำลายกุศล ทำลายร่างกาย เหตุผลเหล่านี้ ควรที่คนเป็นพ่อ แม่จะพูดให้ลูกชายลูกสะใภ้เข้าใจ ดังนั้นการพูดให้พวกเราเข้าใจก็หวังให้พวกเรารักถนอมร่างกาย และรักลูกรักสะใภ้ให้แข็งแรง  ท่านอริยเจ้าซุนกล่าวว่า ร่างกายของคนสำเร็จด้วยเลือดลม ไม่ใช่เหล็กไหลทองแดงสร้างขึ้น เพราะฉะนั้น ถ้าไม่ควบคุมความใคร่ในตอนเริ่มต้นจะไม่รู้สึกว่าเป็นอะไร แต่นาน ๆ ไป บาดเจ็บสะสมเพิ่มก็จะทำลายไขกระดูก เลือดลมเสื่อมสุดท้ายก็ล้มตาย  เพราะว่าเลือดลมของคนต้องทะลุผ่านด่าน 6 ด่าน  (อาทิตย์มาก  อาทิตย์สว่าง  อาทิตย์น้อย  จันทร์มาก  จันทร์น้อย  และจันทร์มืด  6 ด่าน)  จึงได้ครบวงจรเลือดลม จึงเดินครบวงจรหนึ่งรอบ  ดังนั้น การร่วมเพศครั้งหนึ่ง เลือดลมจะถูกกระทบหนึ่งด่าน จึงต้องรอถึงเจ็ดวัน เลือดลมจึงเดินมาถึงด่านนี้ แล้วก้เริ่มต้นใหม่ ในตำราอี้จิงว่า "เจ็ดวันเวียนครบ"  ก็คือต้องการให้คนนี้ต้องพักผ่อน 7 วันนั่นเอง แต่หลายคนยังไม่ทันถึง 7 วันก้มีเพศสัมพันธ์อีก  จึงทำให้บาดเจ็บแล้วบาดเจ็บอีก ดังนั้นจึงมีโรคต่าง ๆ เกิดขึ้น ดังนั้น จึงต้องมีการควบคุมเป็นพื้นฐานการรักษาร่างกายให้มีสุขภาพ  อายุ 20 ปีเพศสัมพันธ์ 7 วันครั้ง  30 ปี 14 วันครั้ง  40 ปี 28 วันครั้ง  50 ปี 45 วันครั้ง   พอ 60 ปีแล้วไขกระดูกเลิกผลิตเลือดแล้ว ควรตัดขาดมีเพศสัมพันธ์ การร่วมเพศดังกล่าวให้ใช้จำเพาะฤดูใบไม้ผลิ และฤดูใบไม้ร่วงเท่านั้น  ในฤดูร้อนอากาศร้อน ปราณไหลออกเกินเลย  ในฤดูหนาวลมปราณหนาวเหน็บก็จะปิดกั้น  ดังนั้น ใน 2 ฤดูนี้จึงไม่ควรมีเพศสัมพันธ์ ถ้าทำตามวิธีนี้ได้ อายุจะยืน  ถ้าฝ่าฝืนจะมีโรคมาก อายุสั้น
        การรักษาร่างกาย  รักษาชีวิต  ระหว่างสามีภรรยามีข้อกำหนดห้ามตลอดจนฟ้าห้าม  ดินห้าม  คนห้าม  ใน "หนังสืออายุสุขภาพ"  มีรายละเอียดอธิบายชัดแจ้ง หากไม่ห้าม ไม่งดเว้น มีลูกไม่สมประกอบ ร่างกายไม่ครบ 32 ทั้งมีเคราะห์ภัย นับอะไรกับร่างกาย คนที่เลือดลมไหลเวียนซึ่งตอบรับกับฟ้าดิน ถ้าหากมีเพศสัมพันธ์ในเวลาที่ไม่เหมาะสม ก็จะทำให้ลมปราณเลือดไม่เข้ากัน เกิดการบาดเจ็บมากกว่าธรรมดา จึงต้องเข้มงวดกว่าปกติหลายเท่า แม้กระทั่งวันสำคัญ เช่น วันพระ  วันเทพสมภพของพุทธโพธิสัตว์ ถ้าหากสามีภรรยาไม่รักษาศีล ละเมิดเสพกามก็จะเป็นการละเมิดเหยียดหยามต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์อาจได้รับโทษภัย ทั้งยังเสียกุศลด้วย ด้วยเหตุนี้ แม้ชาวโลกถึงแม้เป็นคนซื่อสัตย์ ถ้าละเมิดก้เจ็บป่วยอายุสั้น ตลอดจนตำแหน่งถูกริบถอดถอน ถูกตัดทอนอายุขัย  ทั้งหมดล้วนเกิดจากจริยธรรมของสามีภรรยา ในเรื่องเพศสัมพันธ์ที่ไม่รู้จักระงับยับยั้งชั่งใจทั้งนั้น     
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27/06/2555, 16:19 โดย ติ๊กน้อย »

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
บทที่หก ชั่วบาป  :  หน้าซื่อใจอำมหิต

อธิบาย   : 
คนจิตใจร้าย แต่หน้าตาดูดีมีเมตตา จิตใจคนร้ายกาจก็ทำให้คนเขาระวังลำบาก แล้วถ้ามีใบหน้าเหมือนคนใจดีมีเมตตาด้วยแล้ว ยิ่งทำให้คนคาดเดาได้ยาก คนเมื่อพบกับเสือสิงห์หรืองูก็ต้องหลบหลีกหนี ก็เพราะว่ามันดุร้าย แต่กับคนที่หน้าดีใจดำ เพราะเห็นหน้าก็ทำให้คนคิดอยากเข้าใกล้ แต่พอคนเผลอไม่ระวังก็จะปล่อยความร้ายกาจออกมา คนแบบนี้นับว่าน่ากลัวยิ่งกว่าเสือสิงห์เสียอีก คนแบบนี้ตายแล้วต้องตกนรกและก้เร็วยิ่งกว่าลูกศรออกจากคันเสียอีก ทุกชาติเขาต้องได้รับทุกข์ไม่มีวันสิ้นสุดเลย ! 

นิทาน  :  นายฉั่วหยวนตู้จะต้อนรับผู้คนด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใส แม้บางคนจะเป็นแขกที่เขาไม่ชอบก็ตาม แต่อากัปกิริยาที่เขาแสดงออกมาเหมือนผู้มีเมตตากับทุกคน ด้วยเหตุนี้ คนจึงคาดเดาความคิดของเขาไไม่ได้ ทุกคนจึงขนานนามเขาว่าหน้ายิ้มใจยักษ์ ต่อมาเมื่อเขาถูกไล่ออกจากข้าราชการและถูกเนรเทศไปอยู่ที่ทุรกันดารและตายไป คนแบบฉั่วหยวนตู้มีมากมายในสังคม เราต้องใช้ความซื่อสัตย์และจริยธรรมปฏิบัติต่อเขา ถ้าหากจะ
เอาแบบตรงไปตรงมาปฏิบัติต่อเขา เช่นดีมาก็ดีไป ร้ายมาก็ร้ายไป ถึงแม่เขาจะอันตรายโหดเหี้ยมก็ไม่มีทางจะทำอะไรเราได้ !   
        ท่านอูเถี่ยเจียว กล่าวว่า "คนที่สายตามองต่ำ ไม่พูดจา และที่ระหว่างคิ้วไม่มีวี่แววแห่งมงคลเมตตา นิ่งสงบแม้แต่น้อย เขาก็เป็นคนที่มีจิตใจโหดเหี้ยม คนแบบนี้คบเป็นเพื่อนไม่ได้ และต้องหลบหลีกให้ไกลไปเลย  สมัยก่อนมีพระสงฆ์รูปหนึ่ง เขานอนหลับตอนกลางวัน จิตวิญญาณเคลื่อนออกทางจมูกกลายเป็นงูสีดำตัวหนึ่ง เลื้อยไปมาที่พื้น หลายคนเห็นมาแล้ว ต่อมาเมื่อพระสงฆ์ตายลง ร่างกายก็แตกแยกออกกลายเป็นงู ดังนั้น เวลาเราคบเพื่อนควรที่อยู่ห่างเอาไว้ก็คือคนพวกนี้ !  ถ้าหากเขาว่าพื้นจิตของเขาดุร้ายเช่นนี้เขาควรเจ็บปวดและสำนึกผิดเพื่อชำระล้าง ก็เหมือนหมอดีรักษาโรคฝีร้ายจะต้องดูดเอาหัวหนองแบบถอนรากถอนโคน จึงจะรักษาหายได้ คนแบบนี้เข้าสู่ทางธรรมไม่ได้ และเขาก็คงไม่ยอมทำตามนี้แน่อยู่แล้ว ทำอย่างไรได้ ! เรื่องมันน่าเศร้านะ !

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
บทที่หก ชั่วบาป  :  ให้ของกินสกปรกเขา

อธิบาย   :
  ทำอาหารสกปรกขายหรือให้เขากิน อาหารที่สกปรกอาจเกิดจากการทำไม่สะอาด หรือมีหนูมีแมลงมาตอมกินหรือของค้าคืนในเดือนที่อากาศร้อนทั้งสีและรสก็เปลี่ยนไปแล้ว หรือตกค้างนานเกินไป หรือของกินเลยกำหนดจนเสีย เป็นต้น เมื่อกินแล้วทำให้เกิดโรคเจ็บป่วย หรือเอาอาหารสกปรกขายไปให้คนกิน คนอื่นต้องโกรธแค้น เทพเจ้าก็คงไม่ชอบเช่นกัน หรือไม่ก้พวกบ่าวไพร่ในบ้านทำของมากเกินไปจนกินไม่หมด แล้วเททิ้งในท่อหรือโถส้วม การกระทำเช่นนี้ถือมีโทษมาก !  โทษบาป  เหล่านี้กึ่งหนึ่งตกอยู่กับเจ้าของบ้าน ที่ไม่สั่งสอนบ่าวไพร่ เพราะฉะนั้น ทั้งเขาและเราจึงต้องช่วยกันห้าม !

นิทาน :  ที่ตลาดเมืองหางโจวมีร้านอาหารขายห่านย่างแห่งหนึ่ง วันหนึ่งเจ้าห่านถูกงูพิษรัดตัวจนตาย ก็ให้บังเอิญคุณครูโรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่งเห็นเข้า คุณครูคิดว่า "ถ้าห่านตัวนี้ขายให้คนเอาไปกิน คนที่กินต้องถูกพิษเป็นแน่"  ดังนั้นจึงซื้อห่านตัวนี้มา ตกลงราคากับเจ้าของห่านว่าเป็นเงิน 2 ร้อยอีแปะ ในตัวมีเงินอยู่แค่ร้อยอีแปะ ก็ไปขอยืมคนข้างบ้านอีกร้อยอีแปะ ซื้อห่านตัวนี้มา ทั้งสามก็เดินไปที่ว่างเปล่าเพื่อฝังกลบห่านตัวนี้ แต่ตอนขุดหลุมอยู่ก็ปรากฏพบเงินจำนวนหนึ่ง คนข้างบ้านก็พูดว่า "เงินจำนวนนี้ข้าเอามาซ่อนเอง"  เจ้าร้านขายห่านก็พูดว่า "เงินนี้ข้าเป็นคนมาทิ้งเอาไว้" ก็ให้พอดีปลัดอำเภอเดินผ่านมาจึงถามเอาความชัดเจน แล้วก็ถอนใจพูดว่า "นี่เป็นผลตอบสนองของคุณครูที่ใจบุญสุนทาน"  เธอทั้งสองคิดจะแย่งชิงผลประโยชน์ของเขา อย่างนี้เป็นการละเมิดฟ้านะ" ว่าแล้วปลัดอำเภอก็สั่งลงโทษโบยคนทั้งสองไปหลายไม้ และนำเงินนี้ให้กับคุณครูไป

นิทาน  :  มีข้าราชการคนหนึ่งที่เมืองเหวินโจวชื่อลีถี เนื่องจากเขาต้องการเก็บดอกเบี้ยที่ปล่อยกู้ไป เขาจึงใช้บ่าวให้ไปทวงหนี้แทนเขา มีอยู่ครั้งหนึ่งบ่าวคนนี้เก็บเงินไม่ได้ จึงจับลูกหนี้ผูกกับต้นไม้  แล้วเอาน้ำอุจจาระกรอกปากจนลูกหนี้ยอมนำเงินหนึ่งพันอีแปะมาใช้หนี้ เมื่อบ่าวคนนี้เดินทางผ่านหน้าวัดผูอันซื่อ ก็ให้บังเอิญสายฟ้าผ่าเปรี้ยงเข้าใส่จนเขาตาย และเพราะบ่าวคนนี้ผูกเงินไว้ที่เอว ปรากฏว่าเงินทั้งหมดถูกฝังเข้าไปในเนื้อของเขาโดยหนังบิดอยู่ข้างบน

สรุป  :  คดีนี้ ไม่เพียงตักเตือนให้คนรู้ว่าการเอาของสกปรกให้คนกินเท่านั้น ยังตักเตือนบ่าวร้ายที่อาศัยอิทธิพลเจ้านายรังแกคนอื่นด้วย !  เพราะมีบ่าวไพร่บางคนอาศัยอิทธิพลเจ้านาย มักบุกเข้าไปในบ้านจนถึงห้องนอนของพวกผู้หญิงและข่มขืนกระทำชำเราก่อเกิดบาปมหันต์จนเป็นที่มาของมหาภัยเคราะห์ และนี่แหละ ทำไมสายฟ้ามักฝ่าลงมาบนหัวของบ่าวไพร่ร้ายพวกนี้ !   

Tags:
 

มหาปณิธาน

พระโพธิสัตว์กษิติครรภ์ (地藏王菩薩)

มหาปณิธานพระโพธิสัตว์กษิติครรภ์ (地藏王菩薩)

“...เพื่อหมู่สัตว์ทั้งหกภูมิผู้มีบาปทุกข์ ข้าพเจ้าจะใช้วิธีการต่างๆ ช่วยให้หลุดพ้นจนหมดสิ้น แล้วตัวข้าพเจ้าจึงจะสำเร็จพระพุทธมรรค”