collapse

ผู้เขียน หัวข้อ: ศึกษาสูตรของเว่ยหล่าง ภาคสมบูรณ์ : คำนำ  (อ่าน 44171 ครั้ง)

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                  ศึกษาสูตรของเว่ยหล่าง  ภาคสมบูรณ์  :   ธรรมชาติที่แท้จริง

        ความแตกต่างกันสองอย่างที่เป็นจริงในโลกนี้คือ มีรูป กับ ไม่มีรูป  ศักยภาพแห่งการเห็นของกายหยาบ สัมผัสได้แต่สิ่งที่เป็นรูปลักษณ์ เช่น สัตว์ ต้นไม้ แม่น้ำ ภูเขา ฯลฯ เท่านั้น  ส่วน วิญญาณ อากาศ ความว่าง พลังงาน นัยน์ตาหยาบมองไม่เห็น เมื่อเป็นเช่นนี้ ธรรมญาณ จึงถูกหลอกลวงจากกายหยาบจึงไม่รู้จัก"ธรรมชาติ" แม้อยู่ในระดับโลกโลกีย์ เพราะการที่มุ่งหมายให้ "ตัวจริง" รู้ธรรมชาติอันแท้จริงที่เหนือไปจากโลกนี้จึงเป็นเรื่องยากนัก เพราะธรรมชาติที่เหนือโลกเป็นสิ่งที่แท้จริงไม่มีการเปลี่ยนแปลง และไม่ตกอยู่ในของกฏอนิจจัง  พระพุทธองค์ตรัสรู้สิ่งนั้น พระองค์จึงทรงสิ้นสงสัยใน "ธรรมะ" ทั้งปวง แต่ผู้ที่กำลังเดินอยู่บนเส้นทางแห่งการศึกษาย่อมสับสนต้นปลาย แห่ง "ํธรรมญาณ" แลหลงไปว่าทุกอย่างขาดสูญ  โดยเชื่อว่าทุกอย่างอยู่ในภาวะไม่เที่ยงแปรเปลี่ยนไปหมดทุกอย่างเพราะฉะนั้นจึงเกิด "ความสงสัย" แม้ "ธรรมะ" ในตัวเอง ขันทีนามว่า เซียเจี่ยน ก็เช่นเดียวกัน ได้กราบเรียนถามพระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงว่า "คำสอนของสำนักมหายานได้แก่อะไร"  "ในทัศนะของสามัญชน ปัญญา  และอวิชชา เป็นของสองสิ่งแยกจากกัน ส่วนคนที่ฉลาด ผู้ได้ตระหนักชัดถึงภาวะที่แท้แห่งธรรมญาณโดยตลอดแล้วย่อมรู้ว่าสิ่งเหล่านี้มีธรรมชาติเป็นอย่างเดียวกัน  ธรรมชาติอันเป็นอย่างเดียวกัน หรือ ธรรมชาติอันไม่เป็นของคู่นี้คือสิ่งที่เรียกว่า ธรรมชาติที่แท้จริง ซึ่งในกรณีของสามัญชนและคนโง่ก็ไม่ได้มีน้อยลง และในกรณีของปราชญ์ผู้บรรลุความรู้แจ้งแล้วก็ไม่ได้มีมากขึ้น เป็นสิ่งที่ไม่ได้ไหวสะเทือนในสภาพที่มีความวุ่นวายและก็ไม่ได้สงบนิ่งในสภาพที่มีสมาธิ ไม่ใช่เป็นสิ่งที่ถาวร ไม่ได้ไปหรือมา ไม่อาจพบได้จากภายนอก และก็ไม่อาจพบได้จากภายใน หรือไม่อาจพบได้ในอวกาศ ซึ่งอยู่ในระหว่างสิ่งทั้งสองนี้  เป็นสิ่งที่อยู่เหนือความมีอยู่และความไม่มีอยู่ เป็นสิ่งที่มีธรรมชาติ และปรากฏการณ์อยู่ในสภาพเช่นนั้นตลอดไปเป็นสิ่งที่ถาวรและไม่เปลี่ยนแปลง  สิ่งนี้แหละคือหลักธรรม" ความหมายแห่งพระวจนะของพระธรรมาจารย์นี้ ชี้ให้เห็นถึง "ธรรมญาณ" อันเป็นธรรมะที่แท้จริง ซึ่งไม่อาจเอาบัญญัติหรือภาษาใด ๆ ในโลกนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งธรรมชาติในโลกนี้ไปเปรียบเทียบได้เลยเพราะ "ธรรมญาณ" มิได้เป็นของคู่ที่สามารถเปรีบยเทียบกันได้  ขันทีเซี่ยเจียน จึงถามต่อไป "ท่านกล่าวว่า เป็นสิ่งที่อยู่เหนือความมีอยู่และความไม่มีอยู่ ถ้าเช่นนั้นท่านจะอ้างว่า ต่างกับคำสอนของพวกมิจฉาทิฏฐิ ซึ่งสอนอย่างเดียวกันเช่นนี้ได้อย่างไร" พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงอธิบายว่า "ในคำสอนของพวกมิจฉาทิฏฐิคำว่า "ไม่มีอยู่" หมายถึงการสิ้นสุดของคำว่า "มีอยู่" ส่วนคำว่า "มีอยู่" ก็ใช้เปรียบเทียบในทางตรงกันข้ามกับคำว่า "ไม่มีอยู่" สิ่งที่เขาหมายถึงความไม่มีอยู่ ไม่ใช่หมายถึงการทำลายล้างโดยแท้จริง และสิ่งที่เขาเรียกว่ามีอยู่ก็ไม่ได้หมายถึงความมีอยู่ที่แท้จริง  สิ่งที่ฉันหมายถึงความมีอยู่และความไม่มีอยู่ ก็คือ โดยเนื้อแท้แล้วย่อมไม่มีอยู่ แต่ในขณะปัจจุบันก็ไม่ได้ถูกทำลายล้างไป นี่แหละคือความแตกต่างระหว่างคำสอนของฉัน กับ คำสอนของพวกมิจฉาทิฏฐิ"  ถ้าจะวินิจฉัย คำสอนของพวกมิจฉาทิฏฐินั้นมีระดับความจริงแค่โลกีย์หรือในโลกนี้เท่านั้น จึงเป็นเรื่องของการปรากฏการณ์รุปลักษณ์ทั้งปวง แต่คำสอนของพระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงเป็นเรื่องของ โลกุตรภูมิอันเหนือไปจากความเป็นจริงของโลกนี้ และเป็น "ธรรมญาณ" อันแท้จริงที่มีสภาวะเดิมเหนือโลก เพราะฉะนั้น พระธรรมาจารย์จึงบอกแก่ขันทีเซี่ยเจี่ยนว่า  "ถ้าท่านปรารถนาจะทราบถึงประเด็นสำคัญในคำสอนของฉันแล้ว ท่านควรสลัดตัวของท่านให้ปลอดจากความคิดทั้งปวง ไม่ว่าดีหรือเลว เมื่อนั้นจิตของท่านจะอยุ่ในถาวะอันบริสุทธิ์สงบและสันติตลอดเวลา ทั้งคุณประโยชน์ที่จะได้รับจากการนี้ก็มีมากมายเท่าดุจเมล็ดทรายในแม่น้ำคงคา"  คำสอนของพระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงทำให้ขันทีเซี่ยเจียนบรรลุธรรมโดยสมบูรณ์อย่างฉับพลัน เขากราบนมัสการและอำลาพระธรรมาจารย์กลับเมืองหลวง เมื่อถึงพระราชวังแล้วจึงกราบทูลรายงานต่อพระมหาจักรพรรดิ ตามที่พระธรรมาจารย์ได้กล่าว การที่จิตของเรายังคงติดอยู่ในความดี หรือ เลว ย่อมทำให้ทัศนะของเราติดและหลงไปด้วยการปรุงแต่งตามสิ่งที่ติดจึงไม่พบ "ธรรมชาติที่แท้จริง" ครั้นถึงวันขึ้นสามค่ำ  เดือนเก้าปีเดียวกัน พระมหาจักรพรรดิมีพระบรมราชโองการประกาศชมเชยพระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงมีความว่า "ด้วยเหตุแห่งชราภาพและสุขภาพไม่สมบูรณ์ พระธรรมาจารย์ได้ปฏิเสธการนิมนต์มาเมืองหลวง ท่านขอสละชีวิตปฏิบัติธรรมในพระพุทธศาสนาเพื่อคุณประโยชน์ของพวกเราท่านเป็นเนื้อนาบุญแห่งชาติโดยแท้จริง ท่านได้ปฏิบัติตามอย่างท่านวิมลกีรติ ซึ่งพักฟื้นอยู่ในเมืองเวสาลี ทำการเผยแพร่คำสอนของมหายานได้ไพศาล ด้วยการถ่ายทอดหลักธรรมของสำนักเซ็น และด้วยการอธิบายหลักธรรมแห่งการไม่เป็นของคู่ จากการถ่ายทอดของเซี่ยเจี่ยน ผู้ซึ่งได้รับส่วนแบ่งในความรู้ทางพุทธะจากพระสังฆนายก ข้าพเจ้าทั้งสองจึงมีโอกาสเข้าใจถึงคำสอนชั้นสูงของพระพุทธศาสนา นี่จะต้องเนื่องมาจากกุศลและรากเหง้าแห่งความดีที่ข้าพเจ้าได้สร้างสมมาแต่ชาติปางก่อน มิฉะนั้นแล้วข้าพเจ้าก็คงไม่ได้เกิดมาทันพระคุณท่าน ในการน้อมสักการะต่อพระคุณของพระสังฆปรินายก ข้าพเจ้าสุดวิสัยที่จะกล่าวคำใด ๆ ให้ทัดเทียมได้ ฉะนั้นเพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งความคารวะอันสูงที่มีต่อพระคุณท่าน ข้าพเจ้าทั้งสองขอถวายจีวรโลมาและบาตรผลึก มาพร้อมนี้ และโดยคำสั่งนี้ให้เป็นหน้าที่ของข้าหลวงเซ่าโจวที่จะปฏิสังขรณ์พระอารามของพระคุณท่าน และดัดแปลงบ้านเดิมของพระคุณท่านให้เป็นวิหาร ทั้งให้ชื่อว่า กั๋วเอินซื่อ ซึ่งหมายถึงนาบุญแห่งรัฐ"  ผู้ที่จะทำความเข้าใจสัจธรรมแห่ง "ธรรมญาณ" จึงต้องวางทุกสิ่งทุกอย่างลงไปไม่ว่าเป็น "นาม" หรือ "รูป" เมื่อนั้นเขาจึงพบ "ธรรมญาณอันแท้จริง" แห่งธรรมญาณของตนเอง

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                   ศึกษาสูตรของเว่ยหล่าง  ภาคสมบูรณ์  :   อนุสัย  -  สันดาน

        มีคำกล่าวคล้ายคำพังเพยที่บอกว่า " สันดอนพอขุดได้ แต่สันดานยากที่จะขุด " ความหมายแห่งการพูดนี้ชี้ให้เห็นความเป็นจริงว่า การยึดมั่นถือมั่นปฏิบัติจนเคยชินกลายเป็นอนุสัยนอนเนื่องอยู่ในขันธ์ ย่อมยากที่จะเปลี่ยนแปลแก้ไขนัก ด้วยเหตุนี้ จึงไม่ต้องแปลกใจว่า เหตุไฉนคำสอนของพระบรมศาสดาที่มีเกจิอาจารย์ทั้งปวงถ่ายทอดสั่งสอนต่อประชาชนมายาวนานนับเป็นพันปี จึงไม่อาจถอนรากเหง้าแห่งความชั่วร้ายของคนลงไปได้  จิตใจของคนนับวันแต่โหดร้ายและมีพฤติกรรมไม่ได้ผิดแผกไปจากสัตว์เดรัจฉานเข้าไปทุกวัน มนุษย์สูญเสียความดีงามของตนจนเกือบหมดสิ้น แม้พระธรรมคำสอนก็ไม่อาจแทรกเข้าไปทำลายความมือบอดเหล่านี้ได้เลย อารมณ์ชั่วร้ายได้ฝังแน่นในธรรมญาณจนยากที่จะแก้ไขได้ จึงกลายเป็นอนุสัยหรือสันดานที่ตนเองเท่านั้นจักแก้ไขได้  วันหนึ่ง พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงสั่งให้ตามตัวสานุศิษย์เช่น ฝ่าไห่ จื้อเฉิง เสินฮุ่ย จื้อฉัง จื้อจง จื้อเซ่อ จื้อเต้า ฝ่าหุย  ฝ่าหยู ให้มาพบและกล่าวแก่ศิษย์เหล่านี้ว่า " ท่านทั้งหลายผิดกับคนอื่นที่เหลือ เมื่อฉันเข้าปรินิพพานไปแล้ว พวกท่านแต่ละคนจะได้เป็นอาจารย์ฌานคนละเมือง ฉะนั้น ฉันจะให้คำเตือนแก่พวกท่านในเรื่องสั่งสอน เพื่อท่านจะได้รักษาธรรมเนียมแห่งสำนักของเรา" เมื่อพระธรรมาจารย์พยากรณ์อนาคตของศิษย์เหล่านี้แล้ว จึงได้อรรถาธิบายหลักธรรมสำคัญ ๆ " ครั้งแรกกล่าวถึงธรรมสามประเภท ต่อไปก็กล่าวถึงสิ่งที่เป็นของคู่ประเภทตรงข้าม 36 คู่ อันเป็นภาวะไหวตัวที่แท้แห่งธรรมญาณ จากนั้น ก็สอนวิธีหลีกเลี่ยงความสุดโต่งทั้งสองข้าง ในการเข้ามาหรือออกไป การสอนทุกคราอย่าเบนออกไปจากภาวะที่แท้แห่งธรรมญาณเมื่อใครถามปัญหาท่านจงตอบเขาไปในลักษณะคำตรงข้ามเพื่อให้เกิดเป็นคำคู่ประเภทตรงข้าม เช่น การมา และการไป ก็เป็นเหตุเป็นผลต่อกันและกัน เมื่อเพิกถอนการอ้างอิงต่อกันและกันของคำคู้นี้โดยสิ้นเชิงแล้วก็จะเหลือความหมายอันเฉียบขาด คือไม่ใช่การมาและการไป"  ปุถุชนยึดในรูปลักษณ์ เพราะฉะนั้น จิต จึงติดอยู่ใน "ดี" และ "ชั่ว" แต่ธรรมญาณอันแท้จริงของตนเองปราศจาก "ดี" และ "ชั่ว" เพราะฉะนั้นตราบใดที่ไม่สามารถถอนความยึดติดใน "ดี" และ "ชั่ว" ก็ไม่อาจทำความเข้าใจ "ธรรมแท้" ภายในตัวเองได้เลย
        พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงได้อธิบายเกี่ยวกับ ธรรม สามประเภทดังนี้
 " ขันธ์ " ห้า  อายตนะ  สิบสอง   และ  ธาตุสิบแปด " ขันธ์ห้าได้แก่ รูป อันหมายถึง สสารหรือวัตถุทั้งปวง  เวทนาการรับอารมณ์สัญญา ความจำได้หรืออาการสำเหนียกรู้ในอารมณ์   สังขารความเจตนาของจิต  และวิญญาณ ความรับรู้ในอารมณ์
" ส่วนอายตนะ แบ่งออกเป็นภายนอกหก อันได้แก่ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส และความคิด   อายตนะภายในซึ่งเป็นอวัยวะรับอารมณ์หกอัน ได้แก่  หู จมูก ลิ้น  กายและใจ  ธาตุทั้งสิบ ได้แก่ วัตถุแห่งอารมณ์หก  อวัยวะรับอารมณ์หก  และวิญญาณซึ่งรู้ในอารมณ์หก"  ถ้าจะสรุปคำสอนของพระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิง พระองค์ชี้ให้เห็นความเป็นจริงอยู่สองประการเท่านั้นคือ "ตัวปลอม" และ "ตัวจริง"   ตัวจริงได้แก่ "ธรรมญาณ" ซึ่งไม่เกิดและไม่ดับไม่เปลี่ยนแปลงมากน้อย ย่อยสลายมิได้ เพราะฉะนั้นจึงเที่ยวไปอาศัยอยู่ในตัวปลอมซึ่งมีอิทธิพล แห่งการเปลี่ยนแปลงสัจธรรม จัดเป็นอนิจจัง  ส่วนสภาวะแห่ง "ตัวจริง" ย่อมเป็น "นิจจัง" ซึ่งเป็นภาวะที่อยู่เหนือการพูดและบัญญัติใด ๆ ในโลกนี้  พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงกล่าวต่อไปว่า "เนื่องจากภาวะที่แท้แห่งธรรมญาณ" เป็นสิ่งก่อกำเนิดธรรมทั้งหลาย จึงเรียกว่า วิญญาณคลัง  ในทันทีที่เริ่มวิถีแห่งความนึกคิด หรือ วิถีแห่งการหาเหตุผล ภาวะที่แท้แห่งธรรมญาณก้กลายเป็นวิญญาณประเภทต่าง ๆ เมื่อวิญญาณซึ่งรับรู้อารมณ์ทั้งหกเกิดขึ้น ก็จะสำเหนียกรู้ในวัตถุแห่งอารมณ์ทั้งหกนั้นจากทวารทั้งหก ดังนั้น กิจของธาตุสิบแปด จึงเนื่องมาจากแรงกระตุ้นของภาวะที่แท้แห่งธรรมญาณ ไม่ว่าบุคคลนั้นจะปฏิบัติกิจในทางชั่ว หรือจะปฏิบัติกิจในทางดี ก็แล้วแต่ว่าภาวะที่แท้แห่งธรรมญาณจะตกอยู่ในอารมณ์เช่นใด อารมณ์ชั่วหรืออารมณ์ดี กิจอันชั่วก็เป็นลักษณะของสามัญชน กิจอันดีก็เป็นลักษณะของพุทธะ เพราะว่ามีความรู้สึกที่เป็นของคู่ประเภทตรงข้าม ฝังติดเป็นนิสัยอยู่ในภาวะแท้แห่งธรรมญาณ" เพราะเหตุนี้เองพระบรมศาสดาจึงสอนให้สำรวมจิต เพราะเป็นต้นเหตุแห่งความดี และชั่ว อันสืบเนื่องมาจากเหยื่อทั้งปวงที่ล่อหลอก ผ่านเข้ามาทางอายตนะทั้งหกประการ   หากปิดทวารทั้งหกโดยเข้าใจว่า อายตนะเหล่านี้ไม่สามารถนำเหยื่อมาล่อหลอกจิตได้ แต่ที่ฝังเอาไว้ในธรรมญาณที่ได้เวียนว่ายมาไม่สิ้นสุดเล่า เหล่านี้ล้วนเป็น อนุสัยที่เป็นเชื้ออย่างดี ให้อารมณ์ทั้งปวงเกิดขึ้น คนหูหนวก ตาบอด จึงมิสิ้นกิเลสหรือไม่ถูกกิเลสทั้งปวงหลอกล่อ เพราะในขันธสันดานยังนอนเนื่องอยู่ในอารมณ์ความเคยชินนั้นเอง

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                     ศึกษาสูตรของเว่ยหล่าง  ภาคสมบูรณ์  :   หนึ่งเดียวเท่านั้น

        การยึดมั่นในรูปลักษณ์ทั้งปวงย่อมมิใช่ ธรรมะ แต่เป็นผลการแสดงออกของ ธรรมะ  เพราะฉะนั้นคนในโลกนี้จึงยึดติดอยู่กับ "ผล"  มากกว่า "ราก" ความสับสนเช่นนี้จึงก่อเกิดเวรกรรมขึ้นมากมายจนประมาณมิได้ แต่การที่จะถอนบุคคลเหล่านี้ให้พ้นไปจากความยึดมั่นอันผิด ๆ นั้น พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงจึงอธิบายลักษณะแห่นรูปลักษณ์เอาไว้ดังนี้  "สิ่งที่เป็นของคู่ประเภทตรงข้ามสามสิบหกประการได้แก่  วัตถุภายนอก  5 ประการ คือ ฟ้าและดิน  อาทิตย์กับจันทร์  แสงสว่างและความมืด ธาตุบวกและธาตุลบ  ไฟฟ้าและน้ำ  ธรรมลักษณะ  12 ประการ คือ  คำพูดและธรรม  การรับและการปฏิเสธ  สาระและไม่เป็นสาระ  รูปและปราศจากรูป  ความแปดเปี้อนและความไม่แปดเปื้อน  ความมีอยู่และความว่างเปล่า  ความเคลื่อนไหวและความสงบนิ่ง  ความบริสุทธิ์และมลทิน  สามัญชนและปราชญ์  พระสงฆ์และฆราวาส  คนแก่และคนหนุ่ม  ความใหญ่และความเล็ก   กิจของภาวะที่แท้แห่งพุทธจิต  19 คู่  คือ  ยาวและสั้น  ดีและชั่ว  อวิชชาและปัญญา  โง่และฉลาด  กระวนกระวายและสงบนิ่ง  กรุณาและชั่วช้า  ศีลและไม่มีศีล  ตรงและคด  เต็มและว่าง  ชันและระดับ  กิเลสและโพธิ  ถาวรและไม่ถาวร  เมตตาและโหดร้าย  สุขและโกรธ  อ่อนโยนและหยาบช้า  มีอยู่และไม่มีอยู่  ธรรมกายและกายเนื้อ  สัมโภคกายและนิรมานกาย   
        ผู้ที่รู้จักวิธีใช้สิ่งทั้ง  36 คู่เหล่านี้ ย่อมตระหนักชัดถึงหลักการที่แผ่ซ่านไปในทุกสิ่ง ซึ่งกล่าวไว้ทั่วไปในพระสูตรทั้งหลาย ไม่ว่าเขาจะเข้ามาหรือออกไป เขาย่อมสามารถหลีกเลี่ยงความสุดโต่งทั้งสองข้างนี้ได้"  ถ้านำเอาคำอธิบายของพระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงมาพิจารณาแล้วก็จะเห็นถึงความเป็นจริงแห่งความเคลื่อนไหวของ " ธรรมญาณ "  อันเป็นต้นกำเนิดของสรรพสิ่งทั้งปวง โดยภาวะแห่งความว่างอันยิ่งใหญ่สามารถก่อเกิด จักรวาลและสรรพสิ่งในจักรวาลนี้ซึ่งไม่ว่าจะเป็น ฟ้าดิน ดวงดาว หรือความมืดหรือสว่าง ล้วนสามารถดับสิ้นไปด้วยกันทั้งนั้นเพราะมีรูปลักษณ์ปรากฏอยู่ย่อมเสื่อมไป กฏของการเกิดขึ้น - ตั้งอยู่ - และดับลงไป  ส่วนธรรมลักษณะนั้นเป็นเรื่องของรูปที่อยู่ในลักษณะปราศจากรูป แต่เป็นสิ่งที่จิตสร้างขึ้นเท่านั้น เช่น ธรรมกับคำพูด  มีความหมายอันแท้จริงว่า คำพูดมิใช่ธรรมะ เพราะธรรมะไม่อาจพูดออกมาได้ หากจิตยึดติดสิ่งใดแล้วก็ย่อมสร้างสิ่งนั้นขึ้นมาได้ ไม่ว่าจะเป็นความสะอาด หรือแปดเปื้อน และยังคงอยู่ในภาวะไม่เที่ยงแท้นั่นเอง แต่การทำงานของ " พุทธจิต " ย่อมเป็นไปตามแรงส่งของสิ่งที่นอนเนื่องอยู่ในธรรมญาณ ว่าเป็นแรงแห่งดีหรือชั่ว โง่หรือฉลาด  ใครที่เข้าใจเช่นนี้จึงรอดพ้นไปจากการยึดมั่นอยู่ในความสุดโต่งทั้งสองด้านไม่ว่าดีหรือชั่ว   พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงกล่าวว่า "ในการปฏิบัติกิจของภาวะที่แท้แห่ง  ธรรมญาณ  และในการสนทนากับผู้อื่นทางภายนอกเราควรเปลื้องตัวเสียจากการยึดติดอยู่กับวัตถุ เมื่อจะต้องเกี่ยวข้องกับวัตถุนั้น ๆ ส่วนภายในตามคำสอนหรือความว่างเปล่าเราควรเปลื้องตนออกจากความคิดว่าขาดสูญ การเชื่อว่าวัตถุทั้งหลายมีความจริงแท้ หรือเชื่อว่าขาดสูญ ย่อมก่อให้เกิดมิจฉาทิฏฐิอย่างฝังรากลึก หรือพอกพูนอวิชชาให้หนาแน่นยิ่งขึ้น ผู้ที่เชื่อมั่นในลีทธิขาดสูญ ย่อมดูหมิ่นพระสูตรทั้งหลายในแง่ที่ว่าภาษานั้นไม่จำเป็น ถ้าเป็นเช่นนั้นแล้ว พวกเราก็ผิดในการที่พูดเพราะคำพูดย่อมก่อให้เกิดเนื้อหาทางภาษา และเขาก็อาจแย้งได้อีกว่า สำหรับวิธีตรงนั้นภาษาเป็นอันยกเลิกได้ แต่เขาจะพอใจคำว่า ยกเลิก  ซึ่งเป็นภาษาเช่นกันฉะนั้นหรือ เมื่อได้ยินผู้อื่นกล่าวถึงพระสูตร  คนเช่นนี้จะตำหนิผู้พูดในทำนองว่า ติดอยู่ในตำรามันเป็นความชั่วอย่างพอตัวทีเดียว ที่ยึดถือความคิดเห็นผิด ๆ เช่นนี้ไว้กับตน พวกท่านควรรู้ว่า การกล่าวร้ายต่อพระสูตรเป็นความผิดอย่างมหันต์ เพราะผลลัพธ์ที่จะได้นั้นหนักมากทีเดียว  ผู้ที่เชื่อความจริงแท้ในวัตถุภายนอกก็พยายามค้นหารูปนั้นด้วยการปฏิบัติในลัทธิบางอย่าง เขาอาจจัดห้องบรรยายไว้อย่างกว้างขวาง เพื่อถกเถียงกันถึงลัทธิเที่ยงแท้และลัทธิขาดสูญ แต่คนเช่นนี้แม้อีกมากมายหลายกัลป์ ก็ไม่อาจตระหนักชัดถึงภาวะที่แท้แห่ง ธรรมญาณ ได้เลย  เราควรเดินทางไปตามคำสอนของพระธรรม อย่าปล่อยให้เฉื่อยชา เพราะจะเกิดอุปสรรคแก่ความเข้าใจในหลักธรรมได้ การสอนหรือการฟังพระธรรมโดยไม่ได้ปฏิบัติตามย่อมเป็นการเปิดช่องให้เกิดมิจฉาทิฏฐิ ฉะนั้น เราควรเดินทางไปตามคำสอนของพระธรรม และในการเผยแพร่ธรรม ก็ไม่ควรให้ความคิดเห็นถึงความเจริญแท้แห่งวัตถุ มาชักนำเราไป ถ้าท่านเข้าใจสิ่งที่ฉันพูด และนำไปใช้ในการสั่งสอน ในการปฏิบัติ และในชีวิตประจำวัน ท่านจะสามารถจับความสำคัญของสำนักเราได้" ความหมายที่พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงได้เปลื้องตัวออกไปจากความคิดว่า มีหรือไม่มี นั้นเป็นเพราะต้องการให้สภาวะแห่ง ธรรมญาณ ปรากฏชัดเจนขึ้นมา และมองเห็นความเป็นจริงแท้แห่งสภาวะทั้งปวงตัวอย่างเช่น ถ้าหากเรายึดถือว่า  ต้นไม้  เป็นของมี  แต่แท้ที่จริงย่อมเสื่อมสลายหายไปเมื่อถึงกาลเวลา แต่ในขณะเดียวกัน เราไปคิดว่ามันขาดสูญ ก็เป็นความเข้าใจผิด เพราะยังคงสภาวะมีอยู่ เฉกเช่นเดียวกับ ธรรมญาณ  ของเรา ถ้าหากกล่าวว่า ไม่มีก็ไม่ได้ กล่าวว่ามีก็ไม่ได้ เพราะภาวะแห่งภาษามนุษย์ไม่อาจกล่าวถึงหรืออธิบายได้ชัดเจน เพราะเป็นธรรมะที่แท้จริงย่อมเป็นหนึ่งเสมอหาสิ่งใดมาเปรียบเทียบเพื่ออธิบายได้ยากนัก

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                      ศึกษาสูตรของเว่ยหล่าง  ภาคสมบูรณ์  :   ทางสายกลาง

        วิสัยของปุถุชนย่อมติดในรูปลักษณ์ทั้งปวงเพราะฉะนั้น จึงเอามาเป็นเกณฑ์ในการตัดสินหรือพิจารณาสภาวะธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "ทางสายกลาง" ซึ่งเป็นหนทางแห่งความสำเร็จในการปฏิบัติบำเพ็ญทั้งชีวิตทางธรรมและทางโลก  สมัยที่พระพุทธอค์ทรงบำเพ็ญเพียร เพื่อหลุดพ้นไปจากการเวียนว่ายตายเกิด ด้วยวิธีทารุณพระองค์เองจนหวุดหวินสิ้นพระชนม์ ตามตำนานกล่าวว่า ท้าวสักกะเทวราช ทรงพิณสามสายด้วยการขึงเสียตึง ดีดทีเดียวสายพิณขาดผึง จึงขันใหม่สายพิณหย่อนยานดีดหาเป็นเพลงไม่  ครั้นขึงสายพิณพอดี ๆ ดีดจึงเป็นเสียงดนตรีอันไพเราะ  ปริศนาธรรมเช่นนี้จึงทำให้พระสิทธัตถะกุมารได้คิด จึงละเว้นการบำเพ็ญทุกขกิริยาเสีย หันมาเสวยพระยาหาร และค้นหาทางสายกลางแห่งจิต  จนพบหนทางแห่งความหลุดพ้นไปจากบุญและบาปทั้งปวง เมื่อกลางคืนวันเพ็ญเดือนหก  ความพอดีแห่งธรรมญาณคือ  การพ้นไปจาก ดี และ ชั่ว  หรืออีกนัยหนึ่งสภาวะแห่งทางสายกลางนั้นสามารถรองรับได้ทั้ง ดี และ ชั่ว  พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิง ได้แนะวิธีแห่งการเผยแพร่คำสอนทางสายกลางเอาไว้อย่างแยบยลนัก  "เมื่อมีปัญหาถามมา จงตอบไปในทำนองปฏิเสธ ถ้าเป็นป็ญหากล่าวปฏิเสธจงตอบทำนองตอบรับ ถ้าถูกถามถึงสามัญชน จงตอบเรื่องของปราชญ์ จากการเปรียบเทียบกันหรืออ้างอิงกันระหว่างสิ่งตรงข้ามทั้งคู่ จะทำให้ผู้ฟังเข้าใจในทางสายกลางได้ ถ้าปัญหาต่าง ๆ ถามมาทำนองนี้ ท่านจงตอบอย่าให้ผิดไปจากสัจจะ" สภาวะจิตทียอมรับได้ทั้งสิ่งที่เป็นคู่กันนั่นแหละคือ ทางสายกลาง  เพราะสภาวะจิตเช่นนั้นจักปราศจากการเปรียบเทียบอย่างแท้จริง  พระธรรมาจารย์ชี้ถึงวิธีการเช่นนี้ต่อไปว่า "สมมุติมีคนมาถามท่านว่า ความมืดคืออะไร ท่านก็ตอบเขาไปว่าความสว่างเป็นเหตุ ความมืดเป็นปัจจัย เมื่อความสว่างหายไป ความมืดก็ตามมา สองสิ่งนี้อยู่ในลักษณะเปรียบเทียบต่อกันและกัน จากการเปรียบเทียบหรืออ้างอิงกันระหว่างสิ่งตรงข้ามกันทั้งคู่ก็จะเกิดทางสายกลางขึ้น"  ปุถุชนที่ติดอยู่ในทางใดทางหนึ่ง ซึ่งหมายถึงไม่ยอมรับสิ่งที่ตรงกันข้าม สภาวะจิตเช่นนี้มิใช่ทางสายกลาง เพราะเหตุนี้การนำเอามาอ้างอิงกันก็เพื่อให้สภาวะแห่งจิตยอมรับในสิ่งที่มีอยู่ เป็นอยู่ตามสัจธรรม พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงแม้เกิดต่างสมัยกับพระพุทธองค์ ซ้ำยังอ่านหนังสือไม่ออกสักตัวเดียว แต่เหุที่รุ้จักธรรมญาณแห่งตนจึงมีพระวจนะไม่ต่างไปจากพระพุทธองค์หรือพระอริยะเจ้าทั้งปวง พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงห่วงใยในการถ่ายทอดธรรมจึงตักเตือนและย้ำแก่สานุศิษย์ทั้งปวงว่า "จงตอบปัญหาอื่น ๆ ทั้งปวงไปในทำนองเดียวกันนี้ ในการถ่ายทอดธรรมให้สานุ
ศิษย์ของท่าน ท่านควรมอบคำสอนนี้ ต่อ ๆ กันไปตามอนุชนแต่ละชั้น เพื่อนเป็นเครื่องประกันความถาวรแห่งเป้าหมายและจุดประสงค์แห่งสำนักเรา" ครั้นถึงเดือนเจ็ดแห่งปีเยิ้นจื่อ คือปีชวด  อันเป็นปีที่หนึ่งแห่งรัชสมัยเอี๋ยนเหอ หรือไท่จี๋  พระธรรมาจารย์ได้สั่งให้ศิษย์บางท่านไปสร้างสถูปไว้ที่วัดแห่งหนึ่ง ที่ซิ่นโจว และกำชับให้แล้วเสร็จโดยด่วน พอจวนสิ้นฤดูร้อนต่อมา สถูปนั้นก็สร้างเสร็จเรียบร้อย  พอถึงวันขึ้นหนึ่งค่ำเดือนเจ็ด พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงก็ประชุมสานุศิษย์และ
กล่าวว่า "ฉันจะจากนี้ไปในเดือนแปด หากใครยังมีข้อสงสัยอันใดเกี่ยวกับหลักธรรมแล้ว จงถามเสียให้ทันเวลาเพื่อท่านจะได้เข้าใจให้กระจ่างเพราะท่านอาจไม่พบใครที่จะสอนท่านอีก เมื่อฉันจากไปแล้ว"  ข่าวร้ายเช่นนี้ ทำให้ท่านฝ่าไห่และสานุศิษย์อื่น ๆ น้ำตาไหล ส่วนท่านเสินฮุ่ยนั้น ตรงกันข้ามคงสงบนิ่ง พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงกล่าวชมเชยท่านเสินฮุ่ยว่า "อาจารย์หนุ่มเสินฮุ่ยคนเดียวเท่านั้นในที่นี้ ที่ได้บรรลุถึงฐานะของจิต ที่ไม่ยินดียินร้ายต่อความดีหรือความชั่ว ไม่รู้จักความดีใจหรือเสียใจ และไม่หวั่นสะเทือนต่อคำเยินยอหรือติฉิน แต่ท่านอบรมอยู่ในภูเขานี้ก็หลายปีแล้ว ท่านได้รับความก้าวหน้าอะไรบ้าง ขณะนี้ท่านร้องไห้ทำไม ท่านกังวลต่อฉัน เพราะฉันไม่รู้ว่าฉันจะไปที่ไหนกระนั้นหรือ แต่ฉันรู้มิฉะนั้นแล้วฉันคงบอกท่านล่วงหน้าไม่ได้ว่า จะเกิดอะไรขึ้น เรื่องที่ทำให้ท่านร้องไห้ก็คือ ท่านไม่รู้ว่าฉันจะไปที่ไหน  ถ้าท่านร้องไห้เพราะเหตุนั้น ก็ไม่น่าจะร้อง  ในสภาพแห่งความเป็นเช่นนั้น โดยเนื้อแท้แล้ว ย่อมไม่มีการมาหรือการไป ไม่มีการเกิดไม่มีการดับ นั่งลงเถิดทุก ๆ ท่าน ฉันจะกล่าวโศลกด้วยความจริงแท้และความลวง กับโศลกว่าด้วยความเคลื่อนไหวและความสงบนิ่ง ให้ท่านฟัง จงนำไปศึกษา แล้วความเห็นของท่านจะอยู่ในแนวเดียวกับความเห็นของฉัน จงนำไปปฏิบัติแล้วท่านจะทราบถึงเป้าหมายและจุดประสงค์แห่งสำนักของเรา"  พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิง ได้ล่วงรู้ต้นกำเนิดแห่ง ธรรมญาณ  ของพระองค์ เพราะเหตุนี้จึงเป็นพระอริยะเจ้าที่บรรลุถึงต้นกำเนิดคือ ดินอดนแห่งพระนิพพาน   ปัญหาที่ค้างคาใจพุทธศาสนิกชนก็คือ การเข้าถึงพระนิพพานแล้วหมดสิ้นสูญทุกสิ่งอย่างกระนั้นหรือ มิได้เป็นเช่นนั้นเลย เพราะหากจบสิ้นด้วยเหตุนี้ก็หมายความว่า ธรรมญาณนั้นถูกทำลายได้ จึงมีเกิดและมีดับ ย่อมไม่เวียนว่ายในวัฏสงสาร แต่เพราะไม่มีกรรมวิธีใด ๆ ทำลายธรรมญาณ เพราะฉะนั้น การพ้นไปจากการเวียนว่ายก็คงเหลือแต่ " ธรรมญาณ " อันบริสุทธิ์เข้าร่วมอยู่กับ ธรรมชาติอันยิ่งใหญ่นั่นเอง
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15/07/2554, 07:43 โดย jariya1204 »

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                  ศึกษาสูตรของเว่ยหล่าง  ภาคสมบูรณ์  :   วัตถุมายา

        พระพุทธวจนะตอนหนึ่งที่ตรัสว่า "สัพเพ สังขารา อนิจจัง   สัพเพ สังขารา ทุกขา   สัพเพ ธรรมา อนัตตา" ถ้าแปลออกมาเป็นภาษาชาวบ้านก็ได้ความว่า "สิ่งที่เป็นรูปลักษณ์ทั้งปวงไม่ยั่งยืน  และเพราะเช่นนี้เองจึงก่อให้เกิดทุกข์ทนอยู่ไม่ได้ และท้ายที่สุดทุกสิ่งอย่างไม่มีรูปลักษณ์อันแท้จริงเลย" แต่เพราะปุถุชนไม่เข้าใจหรือเข้าใจแต่ไม่แจ้งใจในความไม่เที่ยงทั้งปวง ของสรรพสิ่งเมื่อมีเกิดขึ้น ย่อมตั้งอยู่มิได้และเสื่อมสลายไปในที่สุดจึงพากันหลงยึดถือเอาไว้ด้วยคิดว่าจะมีอยู่เป็นอยู่ชั่วกาลนาน "ไม่มีใครคิดว่าตัวเองจะตาย พลันความตายก้มาถึง" พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงได้แสดงโศลกให้บรรดาศิษย์ทั้งปวงดังนี้ "ในสรรพสิ่งทั้งปวงย่อมไม่มีอะไรที่จริงแท้" ดังนั้นเราควรจะเปลื้องตน ออกเสียจากความคืดเห็นถึงความจริงแท้แห่งวัตถุเหล่านั้น ใครที่เชื่อว่าวัตถุเป็นสิ่งจริงแท้ ย่อมถูกพันธนาการอยู่ด้วยความคิดเช่นนั้นอันเป็นสิ่งที่ลวง ใครที่ตระหนักชัดถึงความจริงแท้ในตัวเขาเอง ย่อมรู้ว่า จิตที่แท้ต้องค้นหาต่างที่กับปรากฏการณ์ที่ผิด ถ้าจิตของใครถูกพันธนาการไว้ด้วยปรากฏการณ์ที่เป็นความลวงแล้ว จะไปหาความจริงแท้ได้ที่ไหน ในเมื่อปรากฏการณ์ทั้งหลายไม่ใช่จริงแท้ สัตว์ทั้งหลายย่อมเคลื่อนไหว วัตถุทั้งปวงย่อมหยุดนิ่ง ใครฝึกฝนให้เป็นผู้ไร้ความเคลื่อนไหว ย่อมไม่ได้ประโยชน์อะไร นอกจากทำตนให้แน่นิ่งอย่างวัตถุ ถ้าท่านจะหาความสงบนิ่งที่ถูกแบบก็ควรเป็นความสงบนิ่งภายในการเคลื่อนไหว ความสงบนิ่งอย่างวัตถุก็เป็นเพียงความสงบนิ่ง มิใช่ญาณ" พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงให้ความคิดเกี่ยวกับอาการหยุดนิ่งเอาไว้อย่างชัดเจนที่สุด ความสงบนิ่งที่ถูกต้องก็คือ เดิน นั่ง ยืน กิน ทุกอิริยาบถ ต้องแสวงหาความนิ่งในจิต ให้พบการเคลื่อนไหวที่มีความสงบนิ่งเป็นพื้นฐาน ย่อมหมายถึงผุ้นั้นเคลื่อนไหวอย่างมีสติอันสมบูรณ์และเป็นการเตรียมพร้อมเผชิญต่อสิ่งกระทบทั้งหลาย รู่เท่าทันและตัดทำลายได้ ใครทำได้เช่นนี้ในทุกอิริยาบถย่อมรอดพ้นไปจากกิเลสภัยทั้งปวง พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงกล่าวต่อไปอีกว่า "ในสรรพวัตถุทั้งหลายนั้น ท่านจะไม่พบเมล็ดพืชแห่งความเป็นพุทธะ ท่านผู้เชี่ยวชาญในการจำแนกธรรมลักษณะต่าง ๆ ย่อมพำนักอยู่อย่างสงบนิ่งในหลักธรรมเบื้องแรก ด้วยเหตุนี้ท่านจึงสำเหนียกรู้ในสิ่งทั้งหลาย นี่แหละคือหน้าที่ของตถตา บรรดาผุ้ที่ดำเนินไปตามมรรค จงกระตุ้นตนเองและคอยหมั่นระวัง ในฐานะที่เป็นสานุศิษย์ในสำนักมหายาน จงอย่ารวบรัดเอาความรู้ ประเภทที่จะผูกพันท่านไว้กับกงจักรแห่งความเกิดและความตาย" ความหมายของโศลกนี้ยืนยันให้รู้ว่า แม้เราทำตัวหรือจิตให้นิ่ง ๆ  ย่อมไม่เกิดประโยชน์ใด ๆ เพราะย่อมไม่รู้ความเป็นจริงแม้แต่ "จิต" ของตนเอง ความสงบนิ่งแห่งจิตใจจึงพร้อมที่รับรู้ในสรพสิ่งโดยไม่หวั่นไหวกับแรงกระตุ้นภายในและภายนอกและสามารถระวังกิเลสมากระทบได้ ตราบใดที่เรายังผูกติดกับความ "เป็น" และ "ตาย" ความคิดตลอดจนความเคลื่อนไหวย่อมพ้นไปจากหนทางอันถูกถ้วนของ ฎธรรมญาณ" เพราะเป็นสิ่งแท้ไม่มีเกิดและไม่ตาย พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิง กล่าวโศลกต่อไปว่า "สำหรับบุคคลที่มีความรู้สึกสอดคล้องกัน จงอภิปรายกันในหลักธรรมทางพุทธศาสนา ส่วนบุคคลที่มีทัศนะต่างจากเรา จงปฏิบัติต่อเขาอย่างสุภาพซึ่งจะเป็นการอำนวยความสุขให้แก่เขา เรื่องการโต้แย้งไม่ใช่วิธีการของสำนักเรา เพราะเป็นการขัดกับหลักธรรม การยึดมั่นหรือขัดแย้งกับสิ่งอื่น โดยไม่คำนึงถึงหลักข้อนี้ย่อมเป็นการผลักใสให้ภาวะที่แท้แห่งจิตของตนตกไปสู่ความขมขื่นแห่งโลกียภูมิ"คนที่มีความเห็นในทางธรรมสอดคล้องกันย่อมพูดจากันเข้าใจ และค้นคว้าได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น แต่สำหรับผู้ที่ขัดแย้งเขาไม่เชื่อในหลักแห่งธรรม หากพูดกันย่อมก่อความไม่เข้าใจและเป็นศัตรูกัน อันทำให้ไม่สามารถผูกบุญสัมพันธ์กันต่อไปได้  การผูกบุญสัมพันธ์กันไว้ย่อมมีหนทางช่วยให้เราได้พบหลักสัจธรรมในครั้งต่อไป บรรดาคนที่ขัดแย้งต่อหลักสัจธรรม ย่อมมองไม่เห็นหนทางอันแท้จริง เขาเหล่านั้นล้วนหลงอยู่กับวัตถุทั้งปวง เขาย่อมตกอยู่ในสภาพเช่นเดียวกัน เพราะหลงในมายาเหมือนกัน ย่อมเศร้าหมองเหมือนตกอยู่ในทะเลทุกข์นั่นเอง
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24/07/2554, 03:01 โดย jariya1204 »

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                         ศึกษาสูตรของเว่ยหล่าง  ภาคสมบูรณ์  :   เมล็ดพืชแห่งพุทธะ

        มนุษย์ที่เกิดมาในโลกนี้ล้วนแต่มีต้นกำเนิดมาจากที่เดียวกัน ทรงความศักดิ์สิทธิ์เสมอกันเพราะมี "ธรรมญาณ" เป็นเช่นเดียวกัน แต่ที่มนุษย์แตกต่างกันก็เพราะ บาปเวรกรรม สร้างมาไม่เหมือนกัน ความผิดแผกกันตรงนี้จึงไม่สมควรแบ่งแยกมนุษย์ให้ต่ำสูงไม่เท่ากัน มนุษย์มักเอาสิ่งที่มองเห็นมาเปรียบเทียบแบ่งแยกซึ่งกันและกัน และดูถูกดูแคลนกัน จนเกิดปัญหาความไม่เข้าใจกันและสร้างเวรกรรมต่อกันไม่มีที่สิ้นสุด อาการติดยึดในรูปลักษณ์ทั้งปวงจึงทำให้มนุษย์มีกังวลและเป็นทุกข์เมื่อรูปนั้นพังทลายลงไป ในโลกนี้จึงไม่มีใครสามารถรักษารูปลักษณ์ให้เป็นอมตะได้เลย ด้วยเหตุความหลงเช่นนี้ จึงทำให้การวินิจฉัยปัญหาทั้งมวลผิดพลาดไปได้โดยง่าย เมื่อพระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงประกาศจักละทิ้งกายสังขาร ท่านฝ่าไห่ ซึ่งเป็นศิษย์อาวุโสจึงเรียนถามว่า "เมื่อพระคุณท่านเข้าปรินิพพาานแล้ว ใครจะเป็นผู้ได้รับมอบบาตร จีวร และ ธรรมต่อไป"  "สำหรับคำสอนของฉันทั้งหมด นับแต่ได้กล่าวเทศนาในวัดต้าฝัน ตราบจนบัดนี้ จงคัดลอกเป็นเล่มแล้วแจกจ่ายกันไปก็ได้ แต่ให้ชื่อว่า  สูตรอันประกาศบนมหาบัลลังก์แห่งธรรมรถ  เพื่อช่วยเหลือสัตว์ทั้งปวง  บุคคลที่สั่งสอนตามคำสอนนี้ เป็นผู้สั่งสอนตามธรรมแท้ พอแล้วสำหรับธรรม  ส่วนการรับช่วงจีวรนั้น ถือเป็นการสิ้นสุดกันเพราะเหตุใดหรืือ เพราะว่าท่านทั้งหลายต่างก็ศรัทธาต่อคำสอนของฉันโดยพร้อมมูล ทั้งท่านก็ปราศจากความเคลือบแคลงสงสัยใด ๆ แล้ว ท่านสามารถสืบต่อจุดประสงค์อันสูงส่งของสำนักเราให่ลุล่วงไปได้ นอกจากนั้น ตามความหมายในโศลกของท่านโพธิธรรม พระธรรมาจารย์องค์แรกผู้ถ่ายทอดพระธรรมและบาตร จีวร ท่านก็ไม่ประสงค์จะมอบให้แก่ใครต่อไปอีก โศลกนั้นคือ  " จุดประสงค์ในการมาดินแดนนี้ ก็เพื่อถ่ายทอดพระธรรม สำหรับปลดปล่อยสัตว์ที่ถูกครอบงำไว้ด้วยความหลงผิด เมื่อมีกลีบครบห้ากลีบ ดอกไม้นั้นก็สมบูรณ์ หลังจากนั้น ผลจะปรากฏขึ้นเองตามธรรมชาติ " ความหมายแห่งคำกล่าวของพระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงเกี่ยวกับการส่งมอบตำแหน่งพระธรรมาจารย์สมัยต่อไป เป็นเรื่องที่น่าพิจารณาเป็นอย่างยิ่ง นับแต่พระมหากัสสปะ ซึ่งเป็นพระธรรมาจารย์สมัยที่หนึ่งของอินเดีย มาจนถึงพระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิง การส่งมอบตำแหน่งพระธรรมาจารย์อาศัยจีวรและบาตร เป็นเครื่องหมายแห่งตำแหน่งและฐานะผู้แบกรับพระโองการสวรรค์อันชัดเจนเพื่อสืบต่อเป็นพงศาธรรม  การสืบต่อ ยังคงรักษาพงศาธรรมเอาไว้ไม่ขาดสาย
แต่นับจากพระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงแล้ว ดอกไม้ก็สมบูรณ์บานครบห้ากลีบ ผลย่อมปรากฏเอง  ความหมายก็คือ การสืบต่อพระโองการสวรรค์ย่อมแสดงได้ด้วยการบำเพ็ญปฏิบัติ โดยอาศัยผลแห่งการปฏิบัตินั้นเป็นจริงขึ้นมาเอง  ผู้ได้รับมอบหมายสืบต่อพงศาธรรม เมื่อมีพระโองการอยู่กับตัว การปฏิบัติบำเพ็ญ ย่อมปรากฏผลชัดเจนโดยใช้ผลงานเป็นเครื่องพิสูจน์ มิใช่บาตรและจีวรดังแต่ก่อน  พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงกล่าวต่อไปว่า "ท่านผู้คงแก่เรียนทั้งหลาย จงชำระจิตของท่านให้   
บริสุทธิ์และฟังฉันพูด ใครที่ปรารถนาจะบรรลุปัญญาของพุทธะ ซึ่งรู้ไปในทุก ๆ สิ่ง เขาก็ควรรู้จัก สมาธิเฉพาะวัตถุประสงค์และสมาธิ เฉพาะแบบในทุกกรณี เราควรเปลื้องตนออกเสียจากความผูกพันธ์ในวัตถุทั้งหลาย และวางท่าทีต่อสิ่งเหล่านั้นให้เป็นกลาง ไม่ยินดียินร้าย อย่าปล่อยให้ชัยชนะหรือความปราชัย และการได้มา หรือการสูญเสีย ก่อความกังวลแก่เราได้ จงสงบและเยือกเย็น จงสุภาพและอารีอารอบ จงซื่อตรงและเที่ยงธรรม สิ่งเหล่านั้นคือ สมาธิเฉพาะวัตถุประสงค์ในทุก ๆ โอกาสไม่ว่าเราจะ ยืน เดิน นั่ง หรือนอน จงเป็นคนตรงแน่ว เราก็จะดำรงอยู่ในสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ และไม่ต้องเคลื่อนไหวแม้สักน้อย เราก็เหมือนอยู่ในอาณาจักรแห่งดินแดนบริสุทธิ์ สิ่งเหล่านี้คือ สมาธิเฉพาะแบบ  ผุ้ปฏิบัติตามสมาธิทั้งสองอย่างนี้ได้ครบถ้วนแล้ว ก็เสมือนกับเนื้อนาที่ได้หว่านเมล็ดพืชลงไป แล้วกลบไว้ด้วยโคลน เมล็ดพืชจึงได้รับการบำรุงและเจริญเติบโต ตราบจนกระทั่งผลิผล"  ความหมายแห่งคำกล่าวนี้ ชี้ให้เห็นความเป็นจริงอย่างหนึ่งว่า การสดับพระธรรมหรือคำพูดทุกอย่าง หากภายในใจของเรายังติดอยู่กับสิ่งใด คำพูดมิอาจฝ่าฟันไปสู่ความเข้าใจของเขาได้เลย เสมือนหนึ่งน้ำเต็มแก้ว ย่อมเติมลงไปมิได้ฉันใดก็ฉันนั้น  พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงกล่าวว่า  "คำสอนของฉันในขณะนี้ ไม่ผิดอะไรกับฝนตกตามฤดูกาล ซึ่งจะนำความชุ่มชื้นมาสู่ผืนแผ่นดินอันกว้างใหญ่ธรรมชาติแห่งพุทธะ ซึ่งมีอยู่ภายใน เสมือนหนึ่งกับเมล็ดพืชที่ได้รับความชุ่มชื้นจากสายฝน ย่อมจะเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ใครที่ปฏิบัติตามคำสอนของฉัน ย่อมได้บรรลุถึงโพธิอย่างแน่นอน ใครที่ดำเนินตามคำสอนของฉันย่อมได้รับผลอันสูงเลิศเป็นแน่แท้  จงฟังโศลกดังนี้  "" เมล็ดพืชแห่งพุทธะ แฝงอยู่ในจิตของเราย่อมงอกงามตามสายฝน ที่ซึมซาบไปในทุกสิ่ง ดอกไม้แห่งหลักธรรม เมื่อได้ผลิออกมาด้วยปัญญาญาณ ผู้นั้นย่อมแน่แท้ ที่จะเก็บเกี่ยวผลแห่งการตรัสรู้"" มนุษย์ทุกคนจึงมีภาวะแห่ง พุทธะ คือผู้รู้อยู่แล้วในตัวเอง ไม่มีใครมีมากหรือน้อยกว่ากัน แต่เหตุที่ไม่อาจบรรลุธรรมเท่าเทียมกันเป็นเพราะวิบากกรรมปิดบังปัญญาญาณของตนเองจนมือมิด แต่เมื่อใดที่เขาได้ใช้ปัญญาของตนเองแล้ว ย่อมเข้าสู่หนทางแห่งการรู้ตัวเองอย่างแท้จริง  """คำว่า  ตรัสรู้  หมายความว่าอย่างไร"""ปุจฉา  """แปลว่า  รู้เองไม่ต้องมีใครมาสั่งสอน"""วิสัชนา  """คำตอบอย่างนี้ใคร ๆ ก็ตอบได้ ไม่เห็นเข้าใจเลย""" """อย่างนั้น ถ้าเอาคำว่า  พุทธะ มารวมกันเข้าก้อาจเข้าใจได้มากขึ้น เพราะคำนี้มีความหมายว่า ผู้รู้  มิได้หมายความรู้อะไรข้างนอกตัวเองเลย  แต่รู้ทุกข์รู้สุข  รู้ความเคลื่อนไหวในจิตของตนเอง สรุปอย่างสั้นและง่ายก็คือ รู้กิเลสตนเอง นั่นเอง รู้แล้วสามารถชำระและตัดมันออกไปได้โดยเด็ดขาด อย่างนี้จึงเรียกว่า  ตรัสรู้  กรณีเช่นนี้ไม่มีใครช่วยเราได้เลยนอกจากตัวเองทั้งนั้น  รู้เองแก้เอง """ ""ใคร ๆ ก็ทำได้อย่างนั้นหรือ""" ถาม """แน่นอน เพราะทุกคนมีภาวะ พุทธะ ในตัวเองอยู่แล้ว"""ตอบ

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                     ศึกษาสูตรของเว่ยหล่าง  ภาคสมบูรณ์  :   อย่าทำจิตให้ว่างเปล่า

        ผู้ปฏิบัติธรรมมักสนใจที่จะทำให้จิตของตนว่างเปล่าด้วยการบังคับโดยอาศัยวิธีของสมาธิภาวนาิให้ "จิตว่างเปล่า" และถ้าทำได้เช่นนี้ ถือว่าเป็นการสำเร็จหนทางแห่งการทำสมาธิด้วยจิตที่ว่างเปล่ามันไร้ความคิดและยึดถือ ย่อมมีความสุข ความเชื่อเช่นนี้ผิดหนทางแห่งการปฏิบัติธรรม การบังคับหรือหลอกล่กให้จิตว่างเป็นเพียงการหลอกลวงตนเองชั่วคราวเท่านั้น เพราะสิ่งที่ทำให้เกิดขึ้นไม่ยั่งยืนและไม่เกิดประโยชน์ใด ๆ ต่อการบำเพ็ญภาวนาเลย  พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงจึงบอกแก่สานุศิษย์ทั้งปวง ""ธรรมนั้นไม่เป็นของคู่ และ ธรรมญาณ  ก็เป็นฉันนั้น  มรรค นั้นบริสุทธิ์และอยู่เหนือรูปทั้งมวล ฉันขอเตือนท่าน อย่าปฏิบัติสมาธิในเรื่องความเงียบสงบ หรือ อย่าทำจิตให้ว่างเปล่า ธรรมญาณบริสุทธิ์อยู่แล้วโดยธรรมชาติ ดังนั้น จึงไม่มีอะไรที่เราจะต้องใฝ่หาหรือยกเลิก แต่ละท่านจงปฏิบัติให้ดีที่สุด และไปในทุกแห่งตามแต่เหตุการณ์จะนำไป"" ธรรมะที่แท้จริงไม่มีอะไรมาเปรียบเทียบได้เพราะเป็นหนึ่งเดียวและปราศจากรูปลักษณ์ จึงจนปัญญาที่ไม่อาจเอาอะไรมาเทียบหรือชี้ให้เห็นสภาพแห่ง ธรรมะได้เลย  ธรรมญาณของคนเราก็เฉกเช่นเดียวกัน  ""ธรรมญาณ  นั้นคืออะไร""ปุจฉา  ""คือตัวจริงที่ไม่มีวันเกิดและวันตาย ไม่มีใครทำลายให้สูญหายไปจากธรรมชาติของตนเองได้ เป็นอมตะนิรันดรเพราะเป็นญาณที่มาจากธรรมชาติอันยิ่งใหญ่นั่นเอง"" หนทางแห่งธรรมญาณที่แท้จริงจึงบริสุทธิ์สะอาดเพราะอยู่เหนือรูปลักษณ์ทั้งปวง จึงไม่อาจเอาความสะอาดในโลกนี้ไปเปรียบเทียบได้เลย  ด้วยเหตุนี้การทำสมาธิเพื่อให้เกิดความเงีบยสงบจึงไม่ก่อประโยชน์ เพราะโดยธาตุแท้ของธรรมญาณล้วนสงบและสะอาดอยู่แล้ว เมื่อมีสภาวะเช่นนี้จึงไม่ต้องไปหาหรือยกเลิกอะไรทั้งสิ้น  การนั่งสมาธิภาวนาก็เพื่อใฝ่หาความสงบและยกเลิกความวุ่นวายทั้งปวงที่เกิดขึ้นในธรรมญาณของเราเอง เพราะเหตุนี้ร้อยแปดวิธีที่บรรดาฤาษีทั้งปวงค้นคิด จนสามารถเข้าฌาณสมาบัติได้ ถอดจิตได้ จึงไม่อาจหลุดพ้นไปจากการเวียนว่ายในวัฏสงสาร การทำสมาธิเพื่อให้จิตสงบและว่างเปล่่า จึงไม่อาจค้นหาวิธีการแห่งการหลุดพ้นไปได้เลย ด้วยเหตุนี้พระพุทธองค์จึงทรงละเลิกวิธีการเช่นนั้นเสียสิ้น  มีนิทานเซ็นที่เล่าเปรียบเทียบ ให้เห็นความเป็นจริงแห่ง ""ธรรมะ""ได้ดีเรื่องหนึ่ง  มีนักศึกษาเซ็นคนหนึ่งแสวงหาพระอาจารย์ซึ่งเป็นผู้มีชื่อเสียงเพื่อศึกษาหาหนทางแห่งความหลุดพ้น ครั้นพบพระอาจรย์ผู้มีชื่อท่านหนึ่ง จึงฝากตัวเป็นศิษย์อยู่ปรนนิบัติ เพื่อหวังจะได้รับคำสั่งสอนถ่ายทอดวิชาธรรมะอันลึกซึ้งจากพระอาจารย์ แต่อยู่ไปนานวันเข้าพระอาจารย์ก็มิได้สั่งสอนธรรมะแต่ประการใดเลย  ""พระอาจารย์ขอรับ กระผมอยากศึกษาธรรมะ""ลูกศิษย์อ้อนวอน ""เธอหิวข้าวหรือยัง""พระอาจารย์ถาม ""หิวขอรับ"" ""ถ้าเช่นนั้นก็จงไปกินข้าวเสีย"" ""กินอิ่มแล้วขอรับ"" ""จงไปล้างจาน และ ถ้าง่วงก็ไปนอนเสีย""พระอาจารย์ตอบแล้วก็นั่งนิ่งเสียไม่กล่าวว่ากระไรอีกต่อไป  ความจริงพระอาจารย์ได้สอนธรรมะอันลึกซึ้งให้แก่ศิษย์เรียบร้อยแล้ว เพียงแต่หารู้ไม่ว่า  ธรรมะนั้นคือธรรมชาติ  มิได้มีอะไรผิดแผกไปจากชีวิตธรรมดาสามัญเลย แต่ผู้ที่ไม่รู้สภาพแแท้จริงของธรรมะ ย่อมคิดว่าต้องเป็นเรื่องที่ยากลำบากในการค้นคิดหาหนทางแห่งการพ้นทุกข์ และหลายครั้งไปติดอยู่ที่พระพุทธประวัติที่ได้แสดงให้เห็นถึงความทุกข์ทรมานแห่งการค้นพบ สัจธรรม การที่พระพุทธองค์ทรงบำเพ็ฯถึงทุกริยา ด้วยการทรมานพระวรกาย เพื่อแสวงหาหนทางแห่งการพ้นไปจากการเวียนว่ายตายเกิด สรุปแล้ววิธีการเช่นนี้มิใช่หนทางแห่งการค้นพบธรรมะอันแท้จริงเลย แต่กลับเป็นทางที่ผิด และพระพุทะองค์ทรงห้ามเอาไว้  ""ธรรมะอันแท้จริงอยู่ในธรรมญาณของตนเอง"" มรรคคือหนทางแห่งการค้นพบ หรือ เส้นทางเดินของธรรมญาณนั้นก้แสนจะบริสุทธิ์ธรรมดา ๆ ไม่มีอะไรที่แปลกประหลาดมหัศจรรย์ จนกลายเป็นแสงสีวิจิตรพิสดารก็หาไม่  แต่็ผู้คนทุกวันนี้ ล้วนหลงทางปฏิบัติ ไปจับเอาตอนที่ปฏิบัติผิดของพระพุทธองค์ว่าเป็นหนทางอันถูกต้อง เพราะฉะนั้น จึงพยายามเข้มงวดและบังคับตัวเองทุกวิถีทาง ยิ่งทำอะไรได้ผิดแผกไปจากคนธรรมดาสามัญได้มากเท่าไหร่ยิ่งกลายเป็นผู้วิเศษ  เราจึงมีผู็วิเศษแปลกประหลาดมากมาย และ หลงกราบไหว้โดยเห็นว่าเป็นหนทางแห่งการพ้นทุกข์ แท้จริงแล้วผู้วิเศษผิดธรรมชาติเหล่านี้ กลับสร้างทุกข์ให้แก่ผู้หลงไปอีกมากมายจนประมาณมิได้  การควบคุมจิตของตนเองให้เดินอยู่ในหนทางที่มีสติตลอดเวลา และรู้หลักแห่งสัจธรรมแท้จริง ไม่ปฏิบัติผิดไปจาก สัจธรรมของธรรมชาติแล้วไซร์ น่าจะเป็นหนทางแห่งการปฏิบัติที่เกิด มรรคผลที่สุด

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                  ศึกษาสูตรของเว่ยหล่าง  ภาคสมบูรณ์  :   กลับคืนสู่รากเหง้าเดิม

        กายเนื้อมีที่มาที่ไปชัดเจน ไม่มีข้อสงสัย ต้นกำเนิดมาจากพ่อและแม่ เมื่อสิ้นสุดลงไปก็กลับสู่บ้านเก่า  ดินกลับไปสู่ดิน  น้ำกลับไปสู่น้ำ  ลมกลับไปสู่ลม  ไฟกลับไปสู่ไฟ  สรรพสิ่งล้วนกลับคืนไปสู่ต้นกำเนิดเดิมด้วยกันทั้งนั้น  แต่ความสับสนของปุถุชนอยู่ตรงที่ว่าไม่รู้ต้นกำเนิดแห่ง "ธรรมญาณ" ของตนเองเพราะฉะนั้นจึงหลงทางวนเวียนอยู่แต่ในทะเลทุกข์และหลง ร้ายกาจที่สุดล้วนคิดว่าไม่มี "ตัวจริง" เมื่อสิ้นสุดกายสังขารแล้วทุกอย่างก็ดับสูญไป  ความเชื่อเช่นนี้ พระพุทธองค์เคยวินิจฉัยว่าเป็น "ความเห็นผิด" ไม่ควรเชื่อถือ เพราะมิได้เป็นจริงเช่นนั้น แม้มีความเชื่อว่า "ตายแล้วเกิด" ก็ยังถือว่าเป็นความเห็นที่ผิดเช่นกัน เพราะ "ธรรมญาณ" ไม่มีวันเกิดจึงไม่มีวันดับ เมื่ออยู่ในภาวะเช่นนี้ย่อมมีต้นกำเนิดอย่างแน่นอน ซึ่งเรียกกันว่า "ต้นธาตุุต้นธรรม"  พระพุทธองค์เคยตอบปัญหาพระสุภูติว่า ""เธอมิต้องสงสัย แม้ปริยัติธรรมจะลึกซึ้ง ยากแก่การเข้าใจ แต่ภายหน้าในธรรมกาลยุคสุดท้าย คือหลังจากตถาคตเข้าสู่ปรินิพพานแล้ว สองพันห้าร้อยปี ระหว่างนั้นจะมีผู้ถือศีลบำเพ็ญกุศลเกิดขึ้นมากมาย  เมื่อนั้นแหละที่สัทธรรมจะได้เจิดจรัส โปรดสัตว์ทั่วไปอีกครั้ง ผู้บำเพ็ญกุศลทั้งหลายจะบังเกิดศรัทธาอันแท้จริงทั่วกัน เมื่อได้สดับสัทธรรมแต่เธอพึงรู้เถิดว่าบุคคลเหล่านั้นที่บังเกิดศรัทธาอันแท้จริง มิใช่เหตุปัจจัยอันบังเอิญ แต่ด้วยกุศลมูลอันปลูกฝังมานานช้า ซึ่งมิใช่เพียงชาติเดียว สองชาติ หรือ สามสี่ห้าชาติ แต่ด้วยปลูกฝังกุศลมูลมากมายนับพันหมื่นชาติอันประมาณมิได้มาแล้ว  ดังนั้น เมื่อได้สดับสัทธรรม จึงไม่เกิดความลังเลสงสัย ไม่สับสน บำเพ็ญทานโดยไม่ยึดถือ และโปรดสัตว์ทั่วไป""พระพุทธวจนะ ตอนนี้เป็นเครื่องชี้ให้เห็นถึงความเป็นจริงของกาลเวลาแห่งการบำเพ็ญ  และเรียนรู้ความเป็นไปแห่ง "ธรรมญาณ" ซึ่งในบรดาที่ได้รับสัทธรรมย่อมไม่สับสนในต้นกำเนิดของธรรมญาณ เหมือนอย่างที่พระพุทะองค์เคยตรัสไว้ว่า ผู้บำเพ็ญปฏิบัติธรรมนั้นไม่พึงเกิด วิจิกิจฉา คือลังเลสงสัยในธรรมที่ตนเองปฏิบัติอยู่  """สัทธรรมของมนุษย์อยู่ที่ไหนล่ะ""ปุจฉา ""ธรรมญาณของตนนั่นแหล่ะ ธรรมะแท้ พ้นจากนี้ไปแล้วมิใช่ธรรมะ""วิสัชนา  เพราะเหตุนี้ผู้ที่ลังเลสงสัยในธรรมก็คือ ผู้ที่สับสนแห่งความเป็นมาและเป็นไปของตัวจริงคือ "ธรรมญาณ" นั่นเองพระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงครั้นถึงเวลาที่จะคืนกลับจึงสั่งสานุศิษย์ เมื่อวันขึ้นแปดค่ำ  เดือนแปด  จัดเรือโดยด่วนเพื่อท่านจักกลับไปซินโจว เมืองเกิดของท่าน บรรดาสานุศิษย์ทั้งปวง ต่างวิงวอนขอให้ท่านอยู่ต่อไป พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงจึงกล่าวว่า ""เป็นธรรมดาเหลือเกินที่ฉันจะต้องไป เพราะความตายเป็นผลที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ของการเกิด แม้พระพุทธเจ้าทั้งหลายซึ่งเสด็จมาในโลกนี้ ก็ต้องผ่านการตายทางโลกีย์ก่อนจะเสด็จเข้าสู่พระมหาปรินิพพาน เรื่องนี้ก็ไม่มีข้อยกเว้น สำหรับกายอันเป็นเนื้อหนังของฉัน ซึ่งจะต้องเหยียดยาวลง ณ ที่ใดที่หนึ่ง  ""เมื่อท่านได้เยือนซินโจวแล้ว จะเร็วหรือช้าก็ตาม ขอได้โปรดกลับมาที่นี่เถิด""สานุศิษย์พากันวิงวอน ""ใบไม้ที่หล่นจากต้นแล้วย่อมกลับคืนไปสู่ราก เมื่อฉันมาที่นี่ครั้งแรก ฉันก็ไม่ได้บอกใคร""พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงตอบ   ความหมายนี้บอกชัดเจนว่า เมื่อทิ้งกายสังขารแล้ว "ธรรมญาณ" ย่อมคืนกลับสู่ต้นกำเนิดเดิม เพราะพระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงเป็นผู้ที่รับรู้ต้นกำเนิดแห่ง "ธรรมญาณ" และท่านได้ปฏิบัติจนเป็นจริง จึงไม่มีความสงสัยอีกต่อไป  ที่ประชุมจึงถามพระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงว่า ""ใครที่ได้รับการถ่ายทอดขุมกำเนิดแห่งดวงตาเห็นธรรมแท้"" พระธรรมามาจารย์ฮุ่ยเหนิงว่า ""มนุษย์ในหลักธรรมย่อมได้รับ และบรรดาผู้ที่หลุดพ้นแล้วจากความคิดเห็นอันเฉียบขาดย่อมเข้าใจ""  ความหมายแห่งวจนะนี้เป็นการบอกกล่าวปริศนาธรรมถึงการถ่ายทอดผู้รับสืบต่อสายทองหรือพงศาธรรมที่จะรักษา "ประตูศักดิ์สิทธิ์" เอาไว้ในโลกนี้  ""หลังจากนั้นจะมีเหตุวิบัติเกิดขึ้นแก่ท่านหรือไม่"" ""ห้าหรือหกปีหลังจากที่ฉันไปแล้ว จะมีคนผู้หนึ่งมาตัดศรีษะฉัน ฉันได้กำหนดคำทำนายไว้แล้วดังนี้ ""สิ่งสักการะและเลี้ยงดูบิดามารดา ได้เทิดทูนไว้เศียรเกล้า เมื่อมีเหตุวิบัติได้บังเกิดขึ้นแก่มุนี   หยางและหลิวจะได้เป็นขุนนาง"" พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงกล่าวเสริมอีกว่า ""เมื่อฉันจากไปแล้วเจ็ดสิบปี  จะมีพระโพธิสัตว์สององค์มาจากทางทิศตะวันออก องค์หนึ่ง เป็นฆราวาส  อีกองค์หนึ่งเป็นพระภิกษุ มาสั่งสอนธรรมในเวลาเดียวกัน จะเผยแพร่พระธรรมออกไปอย่างกว้างขวาง จะเสริมสร้างสำนักเราให้มีรากฐานมั่นคง  ปฏิสังขรวัดของเรา  และถ่ายทอดหลักธรรมให้แก่ผู้สืบทอดที่มีชื่อเสียงอีกมากมาย""การพยากรณ์ในครั้งนี้ น่าจะมีความหมายชัดเจนแล้วในยุคปัจจุบันซึ่งการเผยแพร่สัทธรรมได้เข้าสู่ยุคแห่งการโปรดสัตว์ทั่วไปและในครั้งนี้ มีพระโพธิสัตว์จันทรปัญญา องค์หนึ่งซึ่งอยู่ในรูปลักษณ์ของฆราวาส  และ พระพุทธจี้กง อันเป็นพระสงฆ์ผู้สำเร็จแต่ครั้งที่ยังมีพระชนม์ชีพอยู่ และในการโปรดครั้งสุดท้ายนี้ล้วนแต่ทำให้ผู้ได้รับสัทธรรมสามารถกลับคืนสู่รากเหง้าเดิมได้ทั้งสิ้น
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28/07/2554, 11:39 โดย jariya1204 »

Tags:
 

มหาปณิธาน

พระโพธิสัตว์กษิติครรภ์ (地藏王菩薩)

มหาปณิธานพระโพธิสัตว์กษิติครรภ์ (地藏王菩薩)

“...เพื่อหมู่สัตว์ทั้งหกภูมิผู้มีบาปทุกข์ ข้าพเจ้าจะใช้วิธีการต่างๆ ช่วยให้หลุดพ้นจนหมดสิ้น แล้วตัวข้าพเจ้าจึงจะสำเร็จพระพุทธมรรค”