ศึกษาสูตรของเว่ยหล่าง ภาคสมบูรณ์ : ธรรมชาติที่แท้จริง
ความแตกต่างกันสองอย่างที่เป็นจริงในโลกนี้คือ มีรูป กับ ไม่มีรูป ศักยภาพแห่งการเห็นของกายหยาบ สัมผัสได้แต่สิ่งที่เป็นรูปลักษณ์ เช่น สัตว์ ต้นไม้ แม่น้ำ ภูเขา ฯลฯ เท่านั้น ส่วน วิญญาณ อากาศ ความว่าง พลังงาน นัยน์ตาหยาบมองไม่เห็น เมื่อเป็นเช่นนี้ ธรรมญาณ จึงถูกหลอกลวงจากกายหยาบจึงไม่รู้จัก"ธรรมชาติ" แม้อยู่ในระดับโลกโลกีย์ เพราะการที่มุ่งหมายให้ "ตัวจริง" รู้ธรรมชาติอันแท้จริงที่เหนือไปจากโลกนี้จึงเป็นเรื่องยากนัก เพราะธรรมชาติที่เหนือโลกเป็นสิ่งที่แท้จริงไม่มีการเปลี่ยนแปลง และไม่ตกอยู่ในของกฏอนิจจัง พระพุทธองค์ตรัสรู้สิ่งนั้น พระองค์จึงทรงสิ้นสงสัยใน "ธรรมะ" ทั้งปวง แต่ผู้ที่กำลังเดินอยู่บนเส้นทางแห่งการศึกษาย่อมสับสนต้นปลาย แห่ง "ํธรรมญาณ" แลหลงไปว่าทุกอย่างขาดสูญ โดยเชื่อว่าทุกอย่างอยู่ในภาวะไม่เที่ยงแปรเปลี่ยนไปหมดทุกอย่างเพราะฉะนั้นจึงเกิด "ความสงสัย" แม้ "ธรรมะ" ในตัวเอง ขันทีนามว่า เซียเจี่ยน ก็เช่นเดียวกัน ได้กราบเรียนถามพระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงว่า "คำสอนของสำนักมหายานได้แก่อะไร" "ในทัศนะของสามัญชน ปัญญา และอวิชชา เป็นของสองสิ่งแยกจากกัน ส่วนคนที่ฉลาด ผู้ได้ตระหนักชัดถึงภาวะที่แท้แห่งธรรมญาณโดยตลอดแล้วย่อมรู้ว่าสิ่งเหล่านี้มีธรรมชาติเป็นอย่างเดียวกัน ธรรมชาติอันเป็นอย่างเดียวกัน หรือ ธรรมชาติอันไม่เป็นของคู่นี้คือสิ่งที่เรียกว่า ธรรมชาติที่แท้จริง ซึ่งในกรณีของสามัญชนและคนโง่ก็ไม่ได้มีน้อยลง และในกรณีของปราชญ์ผู้บรรลุความรู้แจ้งแล้วก็ไม่ได้มีมากขึ้น เป็นสิ่งที่ไม่ได้ไหวสะเทือนในสภาพที่มีความวุ่นวายและก็ไม่ได้สงบนิ่งในสภาพที่มีสมาธิ ไม่ใช่เป็นสิ่งที่ถาวร ไม่ได้ไปหรือมา ไม่อาจพบได้จากภายนอก และก็ไม่อาจพบได้จากภายใน หรือไม่อาจพบได้ในอวกาศ ซึ่งอยู่ในระหว่างสิ่งทั้งสองนี้ เป็นสิ่งที่อยู่เหนือความมีอยู่และความไม่มีอยู่ เป็นสิ่งที่มีธรรมชาติ และปรากฏการณ์อยู่ในสภาพเช่นนั้นตลอดไปเป็นสิ่งที่ถาวรและไม่เปลี่ยนแปลง สิ่งนี้แหละคือหลักธรรม" ความหมายแห่งพระวจนะของพระธรรมาจารย์นี้ ชี้ให้เห็นถึง "ธรรมญาณ" อันเป็นธรรมะที่แท้จริง ซึ่งไม่อาจเอาบัญญัติหรือภาษาใด ๆ ในโลกนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งธรรมชาติในโลกนี้ไปเปรียบเทียบได้เลยเพราะ "ธรรมญาณ" มิได้เป็นของคู่ที่สามารถเปรีบยเทียบกันได้ ขันทีเซี่ยเจียน จึงถามต่อไป "ท่านกล่าวว่า เป็นสิ่งที่อยู่เหนือความมีอยู่และความไม่มีอยู่ ถ้าเช่นนั้นท่านจะอ้างว่า ต่างกับคำสอนของพวกมิจฉาทิฏฐิ ซึ่งสอนอย่างเดียวกันเช่นนี้ได้อย่างไร" พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงอธิบายว่า "ในคำสอนของพวกมิจฉาทิฏฐิคำว่า "ไม่มีอยู่" หมายถึงการสิ้นสุดของคำว่า "มีอยู่" ส่วนคำว่า "มีอยู่" ก็ใช้เปรียบเทียบในทางตรงกันข้ามกับคำว่า "ไม่มีอยู่" สิ่งที่เขาหมายถึงความไม่มีอยู่ ไม่ใช่หมายถึงการทำลายล้างโดยแท้จริง และสิ่งที่เขาเรียกว่ามีอยู่ก็ไม่ได้หมายถึงความมีอยู่ที่แท้จริง สิ่งที่ฉันหมายถึงความมีอยู่และความไม่มีอยู่ ก็คือ โดยเนื้อแท้แล้วย่อมไม่มีอยู่ แต่ในขณะปัจจุบันก็ไม่ได้ถูกทำลายล้างไป นี่แหละคือความแตกต่างระหว่างคำสอนของฉัน กับ คำสอนของพวกมิจฉาทิฏฐิ" ถ้าจะวินิจฉัย คำสอนของพวกมิจฉาทิฏฐินั้นมีระดับความจริงแค่โลกีย์หรือในโลกนี้เท่านั้น จึงเป็นเรื่องของการปรากฏการณ์รุปลักษณ์ทั้งปวง แต่คำสอนของพระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงเป็นเรื่องของ โลกุตรภูมิอันเหนือไปจากความเป็นจริงของโลกนี้ และเป็น "ธรรมญาณ" อันแท้จริงที่มีสภาวะเดิมเหนือโลก เพราะฉะนั้น พระธรรมาจารย์จึงบอกแก่ขันทีเซี่ยเจี่ยนว่า "ถ้าท่านปรารถนาจะทราบถึงประเด็นสำคัญในคำสอนของฉันแล้ว ท่านควรสลัดตัวของท่านให้ปลอดจากความคิดทั้งปวง ไม่ว่าดีหรือเลว เมื่อนั้นจิตของท่านจะอยุ่ในถาวะอันบริสุทธิ์สงบและสันติตลอดเวลา ทั้งคุณประโยชน์ที่จะได้รับจากการนี้ก็มีมากมายเท่าดุจเมล็ดทรายในแม่น้ำคงคา" คำสอนของพระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงทำให้ขันทีเซี่ยเจียนบรรลุธรรมโดยสมบูรณ์อย่างฉับพลัน เขากราบนมัสการและอำลาพระธรรมาจารย์กลับเมืองหลวง เมื่อถึงพระราชวังแล้วจึงกราบทูลรายงานต่อพระมหาจักรพรรดิ ตามที่พระธรรมาจารย์ได้กล่าว การที่จิตของเรายังคงติดอยู่ในความดี หรือ เลว ย่อมทำให้ทัศนะของเราติดและหลงไปด้วยการปรุงแต่งตามสิ่งที่ติดจึงไม่พบ "ธรรมชาติที่แท้จริง" ครั้นถึงวันขึ้นสามค่ำ เดือนเก้าปีเดียวกัน พระมหาจักรพรรดิมีพระบรมราชโองการประกาศชมเชยพระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงมีความว่า "ด้วยเหตุแห่งชราภาพและสุขภาพไม่สมบูรณ์ พระธรรมาจารย์ได้ปฏิเสธการนิมนต์มาเมืองหลวง ท่านขอสละชีวิตปฏิบัติธรรมในพระพุทธศาสนาเพื่อคุณประโยชน์ของพวกเราท่านเป็นเนื้อนาบุญแห่งชาติโดยแท้จริง ท่านได้ปฏิบัติตามอย่างท่านวิมลกีรติ ซึ่งพักฟื้นอยู่ในเมืองเวสาลี ทำการเผยแพร่คำสอนของมหายานได้ไพศาล ด้วยการถ่ายทอดหลักธรรมของสำนักเซ็น และด้วยการอธิบายหลักธรรมแห่งการไม่เป็นของคู่ จากการถ่ายทอดของเซี่ยเจี่ยน ผู้ซึ่งได้รับส่วนแบ่งในความรู้ทางพุทธะจากพระสังฆนายก ข้าพเจ้าทั้งสองจึงมีโอกาสเข้าใจถึงคำสอนชั้นสูงของพระพุทธศาสนา นี่จะต้องเนื่องมาจากกุศลและรากเหง้าแห่งความดีที่ข้าพเจ้าได้สร้างสมมาแต่ชาติปางก่อน มิฉะนั้นแล้วข้าพเจ้าก็คงไม่ได้เกิดมาทันพระคุณท่าน ในการน้อมสักการะต่อพระคุณของพระสังฆปรินายก ข้าพเจ้าสุดวิสัยที่จะกล่าวคำใด ๆ ให้ทัดเทียมได้ ฉะนั้นเพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งความคารวะอันสูงที่มีต่อพระคุณท่าน ข้าพเจ้าทั้งสองขอถวายจีวรโลมาและบาตรผลึก มาพร้อมนี้ และโดยคำสั่งนี้ให้เป็นหน้าที่ของข้าหลวงเซ่าโจวที่จะปฏิสังขรณ์พระอารามของพระคุณท่าน และดัดแปลงบ้านเดิมของพระคุณท่านให้เป็นวิหาร ทั้งให้ชื่อว่า กั๋วเอินซื่อ ซึ่งหมายถึงนาบุญแห่งรัฐ" ผู้ที่จะทำความเข้าใจสัจธรรมแห่ง "ธรรมญาณ" จึงต้องวางทุกสิ่งทุกอย่างลงไปไม่ว่าเป็น "นาม" หรือ "รูป" เมื่อนั้นเขาจึงพบ "ธรรมญาณอันแท้จริง" แห่งธรรมญาณของตนเอง