ความเชื่อสองชนิดที่พระพุทธองค์ทรงตรัสว่าเป็น มิจฉาทิฏฐิ ความผิดคือ 1.เชื่อว่า ตายแล้วสูญ 2.เชื่อว่า ตายแล้วเกิด"แล้วความเชื่ออย่างไหนที่ตรงต่อสัจธรรมเล่า" "ตราบใดที่ยังมีเหตุปัจจัยย่อมต้องเกิดอีก เมื่อหมดเหตุปัจจัยแล้วย่อมไม่ต้องเกิด" ความหมายแห่งพระพุทธวจนะนี้เพ่งเล็งตรงที่เหตุเป็นสำคัญ ถ้าตัดต้นเหตุเสียได้ย่อมพ้นทุกข์ แต่ความเชื่อทั้งสองอย่างนั้นที่เป็นผิดเพราะไม่เพ่งเล็งเอาที่ผล เพราะฉะนั้นย่อมตัดทุกข์มิได้ แต่เพราะการศึกษาปฏิบัติมิได้ใช้ปัญญาพิจารณาให้ถ่องแท้ ความเชื่อเช่นนี้จึงได้ยืนยาวมาจนถึงปัจจุบันสมัย บัดนี้ยังมีผู้เชื่อกันว่าหากบำเพ็ญธรรมจนบรรลุเข้าสู่ปรินิพพานแล้วหมายถึงการดับสูญหมดสิ้น ไม่มี้หลือแม้ธรรมญาณของตนเอง "ความว่างที่เรีัยกว่า สูญญตา นั้นคืออะไรกันแน่" "ก็ว่างจากเหตุปัจจัยปรุงแต่งทั้งปวง" "และอะไรล่ะว่าง"" "ธรรมญาณแท้ซึ่งเป็นตัวจริงนั่นแหล่ะ ว่างจากเหตุปัจจัยทั้งมวล เพราะฉะนั้นสูญญตา จึงมิได้หมายความว่าปราศจากทุกอย่าง อย่างน้อยก็มีธรรมญาณ เป็นตัวตนอันแท้จริงเหลืออยู่ ซึ่งไม่อาจเอาบัญญัติทั้งปวงในโลกนี้มาอธิบาย ธรรมญาณได้เลย"
พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงกล่าวถึง คนธรรมดาสามัญทั่วไปว่า "ปุถุชนทำตัวให้ติดพันอยู่กับวัตถุภายนอก ส่วนภายในก็จมอยู่ในความเห็นผิด เรื่อง ความว่างเปล่า เมื่อใดเขาปลดเปลื้องตนเองออกมาเสียจากความผูกพันอยู่กับวัตถุต่าง ๆ ที่เขาได้ประสบและเปลื้องตัวเองออกมาเสียจากความเห็นผิดเรื่องความขาดสูญ อันเกี่ยวกับคำสอนเรื่องสูญญตา เมื่อนั้นเขาจะเป็นคนอิสระจากอวิชชาความหลงผิดภายใน และจากสิ่งอันเป็นมายาภายนอก บุคคลที่เข้าใจอันแจ่มแจ้งในความจริงอันนี้และใจของเขาสว่างไสวออกไปทันที นี่แหละควรเรียกว่าผู้ได้เปิดตาของเขาแล้วเพื่อการเห็นแจ้งซึ่งพุทธธรรม
คนธรรมดาสามัญยังติดอยูกับรูปลักษณ์ทั้งปวงเพราะฉะนั้นจึงยึดถือว่าเป็นสิ่งที่ยั้งยืนหรือมีตัวตนอยู่ตลอดกาล เพราะฉะนั้นพอหันเข้าหาภายในย่อมเห็นเป็นตรงกันข้ามคือ ความว่างเปล่า ไม่มีอะไรเลย บุคคลเหล่านี้จึงมีความเชื่อสุดโต่งสองอย่างคือ ตายแล้วสูญ กับ ตายแล้วเกิด เพราะฉะนั้นชีวิตจริงของคนเหล่านี้จึงเวียนว่ายไม่มีที่สิ้นสุด เพราะไม่ทราบเหตุปัจจัยแห่งการเกิดและไม่เกิด ปุถุชนจึงเห็นมายาเป็นของจริง และเห็นของจริงเป็นมายา ความรู้ที่ผิด จึงกลายเป็นควมไม่รู้ และก่อให้เกิดการยึดถือกันอย่างผิด ๆ การกระทำของคนเหล่านี้จึงกลายเป็นการส่งเสริมตนเองเข้าสู่วังวนแห่งการเวียนว่ายตายเกิด ไม่มีที่สิ้นสุด คนที่เชื่อว่า ตายแล้วสูญย่อมเสพสุขเบียดเบียนผู้อื่น กลายเป็นผู้เห็นแก่ตัว คนที่เชื่อว่าตายแล้วเกิดย่อมละโมบโลภมากสร้างสมบุญเอาไว้เสวยสุขในชาติหน้า
เพราะฉะนั้นคนทั้งสองประเภทนี้ จึงไม่มีอิสระอย่างแท้จริงเพราะถูกความเห็นผิดครอบงำและตกไปสู่วิถีแห่งการเวียนว่าย ธรรมญาณ จึงถูกร้อยรัดด้วยวิบากกรรมของตนเอง พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงกล่าวถึง "พุทธธรรม" ว่า คำว่า พุทธะ มีความหมายเท่ากับคำว่า ตรัสรู้ ซึ่งควรถูกกำหนดไว้ภายใต้หัวข้อ 4 หัวข้อดังนี้...
เปิดตาขึ้น เพื่อการเห็นแจ้ง ""ธรรมอันเป็นเหตุให้ตรัสรู้""
แสดงความเห็นแจ้งใน ""ธรรมอันเป็นเหตุให้ตรัสรู็"" นั้นให้ปรากฏ
ตื่นขึ้นเพื่อการเห็นแจ้งใน ""ธรรมอันเป็นเหตุให้ตรัสรู็""
เป็นผู้ตั้งมั่นใน ""ธรรมอันเป็นเหตุให้ตรัสรู็""
ความหมายของพระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงได้แสดงให้รู้ว่า ภาวะแห่งการตรัสรู้ นั้นเป็นเรื่องเฉพาะตัว ดังนั้นจึงมิอาจประกาศป่าวร้องบอกใครได้เลยเพราะเหตุนี้การตรัสรู้จึงไม่ใช่เรื่องที่เกจิอาจารย์ผู้มรฤทธิ์ที่ไหนจักมาสั่งสอนได้ถ้าหากผู้นั้นปราศจากรากฐานแห่งการบำเพ็ญ พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงอธิบายต่อไปว่า เมื่อได้รับการสั่งสอนแล้ว ถ้าเราสามารถจับฉวยและเข้าใจโดยทั่วถึงในคำสอนอันว่าด้วย ""ธรรมอันเป็นเหตุแห่งการตรัสรู้"" เมื่อนั้นแหละ คุณสมบัติอันประจำอยู่ภายใน หรือ เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ธรรมชาติอันแท้จริงอันได้แก่ ""ธรรมอันเป็นเหตุให้ตรัสรู็""นั้นก็มีโอกาสแสดงตัวออกมาให้ปรากฏ
ท่านไม่ควรตีความหมายในตัวพระสูตรอย่างผิด ๆ แล้วลงมติเสียในที่สุดว่า พุทธธรรมนั้นเป็นสิ่งมีไว้สำหรับพระพุทธเจ้าโดยเฉพาะไม่เป็นของทั่วไปสำหรับเราทั้งหลายด้วย โดยที่เผอิญไปพบข้อความในพระสูตรที่กล่าวไว้ว่า "เปิดตาขึ้นเพื่อการเห็นแจ้งในพุทธธรรม" แสดงความเห็นแจ้งให้ปรากฏ ฯลฯ ดังนี้ การตีความหมายผิดเช่นนี้ จึงถึงกับเป็นการป้ายร้ายให้แก่พระพุทธเจ้า และเป็นการแช่งด่าพระสูตรนั่นเองทุก ๆ คำที่ตนพูด เพราะเขาก็เป็นพุทธะด้วยองค์หนึ่ง เขาจึงมีโพธิธรรมอันนี้มาด้วยพร้อมแล้ว แต่ไม่มีโอกาสสำหรับเขาเองที่จะเปิดตาดูสิ่งนั้น เพราะฉะนั้นท่านควรรับเอาการตีความหมายที่ว่า พุทธธรรม นั้นคือ พุทธธรรมของใจเราเอง หาใช่ของพระพุทธเจ้าอื่นใดที่ไหนไม่""
ใครพบธรรมญาณของตนเอง จึงประจักษณ์แจ้งว่า สูญญตามิใช่สิ่งที่ขาดสูญเสีย แต่การบำเพ็ญเพื่อตรัสรู้นั้น จึงจักทำให้ธรรมญาณเป็นอิสระพ้นไปจากวิถีแห่งการเวียนว่ายตายเกิดนั่นแล