collapse

ผู้เขียน หัวข้อ: คัมภีร์ธรรมรัตนะบัลลังก์สูตร 六祖法寶壇經(ลิ่วจู่ฝ่าเป่าถันจิง)  (อ่าน 71980 ครั้ง)

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382

     เมื่อลิ่วจู่ (ฮุ่ยเหนิง) กราบลาพระธรรมาจารย์แล้ว ก็ออกเดินทางด้วยเท้ามุ่งไปทางใต้ ประมาณสองเดือนก็มาถึงเทือกเขา""ต้าอวี่หลิ่ง""  พระธรรมาจารย์หงเหยิ่น กลับสู่""วัดบูรพาฌานตงฉันซื่อ"" แล้วหลายวันแต่ก็มิได้ออกบัลลังก์ธรรมศาลา ศิษย์ทั้งหลายพากันแปลกใจ จึงส่งตัวแทนเข้ากราบเรียนถามว่า ""พระเถระเจ้าท่านสบายดีอยู่ หรือวิตกด้วยเรื่องอันใด"" พระธรมาจารย์โปรดว่า ""มิได้อาพาธแต่อย่างใด แต่จีวรธรรมได้ไปทางใต้แล้ว"" ศิษย์รีบถาม "ผู้ใดได้รับมอบ" โปรดว่า ""ผู้มีความสามารถ""ศิษย์ทั้งหมดจึงได้รู้
      ความหมาย...พิจารณา...
      พระธรรมาจารย์มิได้ปิดบังลวงหลอก แต่กล่าวด้วยปริศนาธรรมว่า ผู้ที่ได้รับบาตรกับจีวร คือ""ผู้มีความสามารถ"" ลิ่วจู่ ฮุ่ยเหนิง""เหนิง"" แปลว่าสามารถ  ที่มาของนามว่า""ฮุ่ยเหนิง"" คือ ในวันที่สองหลังจากที่ฮุ่ยเหนิง (ลิ่วจู่) อุบัติมา  วันนั้น อยู่ ๆ ก็มีพระสงฆ์สองรูปมาแสดงความยินดีสาธุการต่อบิดามารดาของฮุ่ยเหนิง แล้วกล่าวว่า ""บุตรชายคนนี้ของท่านมีฐานะแห่งความเป็นพุทธะอาตมาจึงใคร่ของตั้งชื่อให้ว่า ""ฮุ่ยเหนิง  หมายถึง ผู้มีปัญญา ความสามารถ มีปัญญาธรรมล้ำเลิศ จนอาจประสิทธิ์ประสาทธรรมคุณอันสูงยิ่งแก่สาธุชน อีกทั้งเกินกว่าจะประมาณได้ จะเป็นผู้จรรโลงพุทธศาสนาด้วยปัญญาธรรม""" กล่าวจบ พระสงฆ์ทั้งสองรูปก็หายไปจากที่นั่นอย่างน่าอัศจรรย์
      เมื่อสงฆ์ทั้งหลายได้รู้ว่า ""บาตรกับจีวร"" อันเป็นวัตถุสัญญา เป็นสัญลักษณ์ของตำแหน่งพระธรรมาจารย์"" ถูกท่านฮุ่ยเหนิงรับไป ซึ่งขณะนี้กำลังเดินทางไปทางทิศใต้เท่านั้นเอง โดยมิต้องนัดหมาย..."""ความโลภอยากเป็นสิ่งซึ่งมิพึงต้องนัดหมายแกัน""   
     สงฆ์หลายร้อยรูปพากันออกติดตาม เพื่อจะแย่งชิงบาตรกับจีวร ไว้เป็นของตนหรือกลับคืนมา  ในจำนวนนั้นมีสงฆ์รูปหนึ่ง สามัญนามว่า ""เฉินฮุ่ยหมิง"" เคยเป็นนายพันทหารมาก่อน นิสัยจิตใจ การกระทำบุ่มบ่าม ห่ามและหยาบ แม้จะตั้งใจฝึกฌานเพื่อให้เข้าถึงจิตญาณตน แต่ก็ยังบำเพ็ญไปได้ไม่ถึงไหน จึงหวังเต็มที่จะติดตามลิ่วจู่ฮุ่ยเหนิงไป เพื่อขอวิถีธรรม อาศัยความสามารถจากการเคยเป็นทหารและสังขารแกร่งกล้าจึงตามมาทันลิ่วจู่ฮุ่ยเหนิงก่อนใคร ๆ
     ลิ่วจู่ฮุ่ยเหนิงวางบาตรกับจีวรไว้บนก้อนหินใหญ่กล่าวว่า ""บาตรกับจีวรเป็นสัญลักษณ์สูงส่ง เป็นสิ่งซึ่งใช้กำลังแย่งชิงได้หรือ"ลิ่วจู่แฝงกายอยู่ในพงหญ้า เฉินฮุ่ยหมิงตามมาถึง เห็นบาตรกับจีวรบนก้อนหิน ก็ตรงเข้าไปหยิบยก แต่บาตรกับจีวรมิได้ขยับเขยื้อนเลยจึงร้องเรียกว่า ""ท่านผู้จาริก ท่านผู้จาริก ข้าพเจ้ามาเพื่อแสวงธรรม มิได้มาเพื่อบาตรกับจีวร"" ลิ่วจู่ฮุ่ยเหนิง จึงออกจากที่ซ่อน ขึ้นนั่งสมาธิบัลลังก์บนก้อนหินใหญ่
     ความหมาย...พิจารณา...
     ...เป็นสัญลักษณ์สูงส่ง เป็นสิ่งซึ่งใช้กำลังแย่งชิงได้หรือ มีความหมายสองประการ  สัญลักษณ์สูงส่ง พึงบำเพ็ญเพียรกอปรด้วยบารมี จึงสมควรรับไว้ หาใช่ ใช้กำลังแย่งชิงกันเช่นนี้  ความหมายอีกประการหนึ่งคือ สัญลักษณ์สูงส่ง แม้แย่งชิงไปได้ ถึงอย่างไรก็เป็นเพียงวัตถุ จะเกิดประโยชน์อันใดที่ใช้กำลังแย่งชิงไป
      เฉินฮุ่ยหมิง กราบแล้วกล่าวว่า ""ขอท่านผู้จาริกได้โปรดแสดงธรรมแก่ข้าพเจ้าด้วย"" พระธรรมาจารย์ลิ่วจู่จึงได้โปรดว่า""ในเมื่อท่านมาเพื่อแสวงธรรม ก็จงระงับอารมณ์ความเกี่ยวพันทุกอย่าง อย่าได้เกิดความคิดใดเลย เราจะกล่าวแก่ท่าน...""
     ความหมาย...พิจารณา...
     ในอาณาจักรธรรม ขณะถ่ายทอดวิถีธรรม พิธีกรเอกกล่าวว่า ""...ทำใจให้เป็นสมาธิ (สงบ) มองดูพุทธประทีป..."""นั่นก็คือความหมายในภาวะเดียวกันกับที่ท่านลิ่วจู่ โปรดแก่ฮุ่ยหมิงเป็นเบื้องต้นว่า ระงับความเกี่ยวพันทุกอย่าง อย่าได้เกิดความคิดใดเลย  ในคัมภีร์วัชรญาณสูตร จินกังจิง จารึกความตอนหนึ่งที่พระสุภูติ กราบทูลถามต่อพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า""กุลบุตร กุลธิดาบังเกิดจิตอนุตตรสัมมาสัมโพธิ พึงกำหนดจิตลง ณ ฐานใด พึงสงบจิตนั้นประการใด...""" พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตอบว่า""ณ บัดนั้น ท่านจงสดับ"" หมายถึง จงระงับอารมณ์เกี่ยวพันทุกอย่าง อย่าได้เกิดความคิดใดเลย เช่นนี้จึงเข้าถึงการสดับสัทธรรมได้

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382

       เวลานั้น สงฆ์ฮุ่ยหมิงต้องใช้เวลานานโขกว่าจะสงบลงได้ พักใหญ่ ลิ่วจู่จึงแสดงธรรมแก่สงฆ์ฮุ่ยหมิงว่า ""ไม่คิดดี ไม่คิดชั่ว(ไม่มีความคิดใด ๆ เลย) ขณะนั้นเอง นั่นก็คือโฉมหน้าแท้จริง(คือภาวะจิตหมดจดแต่เดิมที) ของเถระฮุ่ยหมิงท่านเองแล้ว สงฆ์ฮุ่ยหมิงรู้แจ้งจิตญาณตนทันที เมื่อฟังจบลง  สงฆ์ฮุ่ยหมิงเรียนถามอีกว่า ""ตั้งแต่ก่อนมา นอกเหนือจากพระรหัสวาจา ความลับเฉพาะดังกล่าวแล้ว ยังมีความลับยิ่งกว่านี้อีกหรือไม่""
      ความหมาย...พิจารณา...
     ความลับที่ถ่ายทอดเฉพาะบุคคล ซึ่งพระอริยเจ้าเก็บรักษาไว้ แท้จริงแล้วก็มิใช่ความลับ แต่เนื่องจาก ""คน"" หลงติดอยู่ในอารมณ์ความคิดรูปแบบใหม่ ไม่รู้จักคาวมคิดจิตใจที่ใสบริสุทธิ์ของตนแต่เดิมที จึงกลับเห็นรูปแบบเดิมทีเป็นความลับ
     ไตรรัตน์ในวิถีอนุตตรธรรมที่ว่าเป็นความลับเฉพาะแท้จริงแล้วก็มิใช่ความลับ แต่ที่มิให้แพร่งพรายก็เพราะคนหลงไม่อาจเข้าถึงภาวะนั้นได้ ทุกอย่างจึงเป็นความลับสำหรับเขา  พระพุทธะพระโพธิสัตว์ทุกพระองค์ ต่างเข้าถึงความลับนั้นได้เอง โดยมิพึงแสวงหาจากที่ใด จึงมิใช่ความลับสำหรับพระองค์
     พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงโปรดว่า ""ที่กล่าวแก่ท่านแล้วนั้นมิใช่ความลับสำหรับท่านต่อไป หากย้อนมองส่องตนได้ความลับที่ยิ่งกว่านั้น ก็อยู่ที่ตัวของท่านเอง   สงฆ์ฮุ่ยหมิงกล่าวว่า ""ฮุ่ยหมิง แม้จะอยู่ที่หวงเหมย (สถานที่และพระธรรมาจารย์เดียวกัน) แต่แท้จริงมิได้รู้ตื่นพิจารณาโฉมหน้าแห่งตนเลย  จากบัดนี้ท่านผู้จาริกก็คืออาจารย์ของฮุ่ยหมิง""
     พระธรรมาจารย์ลิ่วจู่กล่าวว่า ""เมื่อท่านเป็นเช่นนี้ คิดได้ดังนี้ เราต่างก็เป็นศิษย์พระธรรมาจารย์หวงเหมย (หงเหยิ่น)ด้วยกันจงประคองรักษา""ตน จิตญาณตน"" ให้ดีเถิด""" ฮุ่ยหมิงกราบเรียนถามอีกว่า ""หลังจากนี้ศิษย์ควรจะมุ่งสู่ที่ใด"" พระธรรมาจารย์ลิ่วจู่ตอบว่า ""เมื่อพบเอวี๋ยน (คือเมืองเอวี๋ยนโจว ในมณฑลเจียงซี) ให้หยุด  พบเหมิง (มีภูเขาลูกหนึ่งชื่อว่าเหมิงซัน ลิ่วจู่ให้ฮุ่ยหมิงไปอยู่บำเพ็ญที่นั่น) ให้พำนัก""
      ลิ่วจู่เป็นชาวป่าเมืองใต้ ล่วงรู้ด้วยญาณวิเศษของท่านเองว่า สถานที่ใดอย่างไร เช่นเดียวกับที่พระธรรมาจารย์หงเหยิ่นชี้แนะลิ่วจู่ก่อนจะจากมา  ฮุ่ยหมิง กราบลาพระธรรมาจารย์ลิ่วจู่กลับทางเดิมไปถึงชายเขา บอกกล่าวแก่ผู้ไม่ประสงค์ดีนับร้อยที่ตามรอยท่านลิ่วจู่มา เมื่อได้พบเขาเหล่านั้นก็บอกกล่าวว่า ""เราปีนป่ายขึ้นไปหา แม้แต่เขาสูงก็ไม่พบร่องรอยของท่านฮุ่ยเหนิงทางแถบนี้ เราจงพากันไปค้นหาทางทิศอื่นเถิด""ทั้งหมดเชื่อว่าเป็นความจริง
     ความหมาย...พิจารณา...
     ด้วยความเคารพในพระคุณล้นพ้นจากพระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงที่ได้โปรดธรรม  ภายหลัง ฮุ่ยหมิงได้เปลี่ยนชื่อเป็น""เต้าหมิง""
มิกล้าใช้ ""ฮุ่ย""ซึ่งตรงกับพระธรรมาจารย์
     ภายหลังฮุ่ยเหนิงหลบลี้มาถึงตำบลเฉาซี ยังถูกคนร้ายไล่ตามค้นหาติดตามมาจนได้พบเวลาผ่านไปเก้าเดือนกว่า ผู้มุ่งหมายบาตรกับจีวร ยังคงไม่ละความพยายาม ลิ่วจู่จึงต้องหลบซ่อนหลี้ภัยอยู่กับกลุ่มนายพรานที่ ""อำเภอซี่ฮุ่ญ"" ตั้งแต่บัดนั้นเป็นเวลานานถึงสิบห้าปี  (สิบห้าปีที่ใช้ชีวิตร่วมอยู่กับเหล่านายพราน) ลิ่วจู่จะแสดงธรรมกับเขาเหล่านั้นตามควรแก่โอกาสเสมอ
     นายพรานมักจะให้ลิ่วจู่ทำหน้าที่เฝ้าสัตว์ที่จับมาซึ่งได้กักขังไว้ ลิ่วจู่จะแอบปล่อยสัตว์ทุกตัวที่แข็งแรง ซึ่งจะมีชีวิตรอดต่อไปได้อยู่เสมอ โดยที่เหล่านายพรานไม่ได้เอะใจเลย เพื่อมิให้เป็นที่รำคาญใจแก่เหล่านายพราน ลิ่วจู่จะฉันอาหารพืชผักที่อาศัยต้มลวกในหม้อน้ำแกงเนื้อสัตว์ของนายพราน แต่มิได้แตะต้องชิ้นเนื้อใด ๆ เลย บางครั้งถูกถามก็จะตอบว่า""ฉันกินแต่ผักข้างเนื้อ
      ความหมาย...พิจารณา...
      ""ฉันพืชผัก ต้ม ลวก ในหม้อน้ำแกงของนายพราน อย่างนี้อยู่ทุกมื้อ ทุกวัน นานถึงสิบห้าปี  เป็นภาวะอึดอัดกระอักกระอ่วนอย่างยิ่ง แต่เพื่อรักษาชีวิตร่างกายที่แบกรับภาระศักดิ์ศิทธิ์ ในฐานะพาศาธรรมาจารย์สมัยที่หกแห่งยุค มิให้ชีพจรพงศาธรรมต้องขาดช่วงไป จึงต้องจำใจลี้ภัยอยู่ในสภาพนั้นเรื่ิอยมา
       อาจมีชาวเราผู้บำเพ็ญเห็นว่า ถ้าเช่นนั้น เรากินเจก็น่าจะกินพืชผักในหม้อน้ำแกงเนื้อได้ด้วย โดยไม่แตะต้องชิ้นเนื้อได้ไหม??? จงมองดูเจตนาเป็นที่ตั้ง มองดูภาวะ ""จำใจ""ของท่านลิ่วจู่  กับภาวะ ""ตามใจ ย่ามใจ""ของตนเอง เพื่อสรุปคำตอบที่ถูกต้องได้     

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382

       วันหนึ่ง ลิ่วจู่ใคร่ครวญดูว่า บัดนี้สมควรแก่วาระที่จะแพร่ธรรมได้แล้ว จะหลบลี้ต่อไปอีกไม่ได้  จึงละจากกลุ่มนายพรานเดินทางตรงไปที่""วัดธรรมญาณ ฝ่าซิ่งซื่อ ในเมืองกว่างโจว (รัสมัยเซ่าชิง ราชวงศ์ซ่ง ปีที่สิบเอ็ด เปลี่ยนชื่อวัดเป็น""รังสีกตัญญุตารามกวงเซี่ยวซื่อ"") พอดีเป็นเวลาที่เจ้าประคุณพระอภิธรรมาจารย์อิ้นจงฝ่าซือ มาโปรดอรรถาพระคัมภีร์ "มหาปริวาณสูตร เนี่ยผันจิง""
      ขณะนั้น ธงทิวประดับต้อนรับพระอภิธรรมาจารย์อิ้นจง ต้องลมโบกสบัดอยู่รอบวัด สงฆ์รูปหนึ่งเอ่ยขึ้นว่า "ลมไหว"  สงฆ์อีกรูปหนึ่งขัดขึ้นว่า "ธงไหว" ต่างแสดงเหตุผลกันไปไม่จบสิ้น ท่านลิ้วจู่จึงเดินเข้าไปหากล่าวแก่สงฆ์ทั้งสองรูปว่ามิใช่""ลมไหว""มิใช่""ธงไหว""แต่ท่านเอง ""ใจไหว"" ผู้ได้ฟังตื่นใจกับสัจธรรมคำนี้
      ความหมาย...พิจารณา...
      ผู้เห็นว่าลมไหว คือติดอยู่ในนามรูปของลม หากไม่เคยรู้จักลม ไม่เคยเห็นนามรูปของลม อันเป็นภาวะจิตภายนอกเดิมแท้ ก็จะไม่กล่าวว่าลมไหว  ผู้ที่เห็นว่าธงไหว ก็เช่นกัน ติดอยู่ในนามรูปของธงอันเป็นวัตถุ เป็นภาวะจิตภายนอกเดิมแท้
     แม้ธงและลมจะเป็นนามรูปแต่หากใจไม่ปรุงแต่งกำหนดหมายไปตามนามรูปนั้น ใจก็จะว่างจากลมไหว หรือธงไหว ท่านลิ่วจู่จึงกล่าวว่า ""ท่านเองใจไหว""
     ยุคโลกาภิวัตน์สับสนวุ่นวายในปัจจุบัน มีเสียงบ่นกันมากมายว่าใคร่หาความสงบได้จากที่ใด ก็คงจะหาได้ง่าย ๆ โดยไม่ต้องเดินทางไกล ณ ที่ใจของท่านนั่นเอง    ::: ใจหยุด  ทุกอย่างหยุด     ::: ใจไหว      ทุกอย่างไหว
                                          :::  ใจสงบ  ทุกอย่างสงบ     :::  ใจวุ่นวาย   ทุกอย่างวุ่นวาย
     พระอภิธรรมาจารย์อิ้นจง  รับทราบดังนั้นแล้ว จึงเชิญลิ่วจู่ขึ้นนั่งบนอาสนะระดับสูง เรียนถามข้อธรรมลึกซึ้งจากท่านลิ่วจู่  ได้เห็นท่านลิ่วจู่ อรรถาธิบายด้วยคำพูดธรรมดา ๆ  สั้น ๆ ง่าย ๆ แต่ชัดเจนถ้วนถี่ ตรงต่อหลักสัจธรรมทุกถ้อยคำ โดยมิต้องมีสำนวนโวหารพระอภิธรรมาจารย์อิ้นจง  ทราบได้ทันทีว่าท่านผู้นี้มิใช่บุคคลธรรมดา จึงเอ่ยถามว่า ""ท่านผู้จาริกจะต้องมิใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน ...ได้ยินมาช้านานแล้วว่า จีวรพงศาธรรมแห่งหวงเหมยโปรดสู่ทางใต้ คงจะเป็นท่านผู้จาริกกระมัง"" ท่านลิ่วจู่ตอบสั้น ๆ อย่างถ่อมตนว่า ""มิกล้า""
      ความหมาย...พิจารณา...
      ถ่อมองค์ว่า ""มิกล้า"" ซึ่งเป็นการแสดงสถานภาพของพงศาธรรมาจารย์สมัยที่หกแห่งยุคแล้วอย่างชักเจน  ในที่นี้  ใคร่ขอให้ผู้บำเพ็ญโปรดพิจารณายกย่องผู้อื่นของพระอภิธรรมาจารย์อิ้นจงด้วยว่า ปราศจากอัตตา ปราศจากทิฐิวิสัยได้อย่างสูงส่งเพียงไร
      เมื่อชัดเจนเช่นนี้แล้ว พระอภิธรรมาจารย์อิ้นจง จึงนำศิษย์น้อมกราบพระธรรมาจารย์ลิ่วจู่ทันที อีกทั้งขอให้พระธรรมาจารย์เปิดเผยบาตรกับจีวรพงศาธรรมให้สาธุชนได้กราบนมัสการกัน
      ความหมาย...พิจารณา...
      พระอภิธรรมาจารย์อิ้นจง ก็มิใช่บุคคลธรรมดาท่านเป็นศิษย์พงศาธรรมาจารย์สมัยที่ห้า มหาเถระหวงเหมย (หงเหยิ่น)เช่นกันหลังจากที่พระธรรมาจารย์ดับขันธ์กลับคืนไปแล้ว  ก็จาริกมาที่วัดธรรมญาณที่กว่างโจว...ย้อนกลับไปสู่เหตุการณ์ที่ผ่านมา  หลังจากที่พระธรรมาจารย์หวงเหมย (หงเหยิ่น) ส่งศิษย์ฮุ่ยเหนิง (ลิ่วจู่) ข้ามฟากแล้ว ต่อมาภายหลังพระธรรมาจารย์หงเหยิ่นได้เจริญธรรมวิเศษ จาริกโปรดสัตว์เรื่อยไป จนถึงอำเภอเจิ้งฝู่ฝัง และได้ดับขันธ์ละกายสังขารไปอย่างเงียบ ๆ ในถ้ำหินบนภูเขาฝังซัน
     ก่อนละสังขารบรรลุธรรม ชาวบ้านแถบนั้นต่างแลเห็นแสงสีรุ้งพวยพุ่งออกจากถ้ำ สว่างเหนือถ้ำนับพันหมื่นสายอยู่หลายวัน เป็นที่อัศจรรย์นัก  สิบห้าค่ำเดือนห้า ตรงตามกำหนดที่กล่าวแก่ลิ่วจู่ ฮุ่ยเหนิงไว้ว่า""อีกสามปีเราจึงจะละกายสังขาร""
     ปัจจุบัน พระเจดีย์ที่บรรจุพระสรีระร่างของพระองค์เป็นปูชนียสถานสำคัญที่สานุชนยังมากราบนมัสการกันไม่ขาดสาย ณ อำเภอหวงเหมย ที่พระองค์อุบัติมา
     กลับมากล่าวถึงพระอภิธรรมาจารย์อิ้นจง เผยแผ่พุทธธรรมอยู่ในเมืองกว่างโจวอยู่สิบสองปี  เป็นที่เคารพเลื่อมใสของสาธุชนทุกวงการ ลูกศิษย์ลูกหามากมาย นับเป็นพระมหาเถระเจ้าสำคัญยิ่งในสมัยนั้น
     เรื่องราวการมอบหมายบาตรกับจีวรแก่ลิ่วจู่ ท่านก็ได้ฟังมาจากคนรุ่นก่อนซึ่งมีความคิดเห็นต่างกัน ...บ้างคิดว่าลิ่วจู่ได้รับมอบ...บ้างก็คิดว่าลิ่วจู่ลักโขมยไป  ฝ่ายหลังจึงออกติดตามเพื่อจะช่วงชิงเอากลับคืน
     พระอภิธรรมาจารย์อิ้นจง อยู่ในฝ่ายคิดเห็นว่า ""ได้รับมอบ""" จึงมีความเคารพนบนอบ อีกทั้งขอความกระจ่างในข้อธรรมจากลิ่วจู่   พระอภิธรรมาจารย์กราบเรียนถามอีกว่า ""พระธรรมาจารย์หวงเหมยได้โปรดกำชับมอบหมายชี้แนะแนวทางไว้อย่างไรลิ่วจู่ตอบว่า ""ชี้แนะแนวทางหามิได้ ได้แต่พิจารณาการรู้แจ้งจิตญาณตน ไม่พิจารณาฌานสมาธิเพื่อการหลุดพ้น""
      ความหมาย...พิจารณา...
      ที่ว่า ไม่พิจารณาฌานสมาธิเพื่อการหลุดพ้น  นั้นด้วยเหตุจะทำให้ตกไปสู่ธรรมปฏิบัติยึดหมายในมโนวิญญาณ ยากจะเข้าสู่สภาวะรู้แจ้งจิตญาณตน ซึ่งสำหรับผู้ที่ได้รับวิถีจิตโดยตรงแล้ว น่าจะเพียรพยายามในทางตรงที่ได้รับรู้นั้น  นี่คือความหมายประการหนึ่ง  ประการที่สอง คือวิถีจิตที่พระธรรมาจารย์หงเหยิ่นถ่ายทอด หนึ่งจุดเบิกนั้นคือจุดกำหนดสูญตา ความว่าง นำจิตเข้าสู่ภาวะว่าง  ณ  จุดนั้น  ก็จะรู้แจ้งจิตญาณตน รู้ได้เช่นนี้แล้ว ยังจะวกกลับไปพิจารณาฌานสมาธิเพื่อการหลุดพ้นอีกทำไม
 

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
           
         หมายเหตุ !!!   พระธรรมาจารย์ลิ่วจู่ฮุ่ยเหนิงได้ถ่ายทอดวิถีธรรมโปรดแสดงธรรมแก่ศิษย์ สงฆ์ฮุ่ยหมิง (เฉินฮุ่ยหมิง  บวชอยู่ที่หวงเหมยสถานที่และพระธรรมาจารย์เดียวกันทั้งสองต่างก็เป็นศิษย์พระธรรมาจารย์หวงเหมย (หงเหยิ่น) ภายหลัง ฮุ่ยหมิงได้เปลี่ยนชื่อเป็น"เต้าหมิง" มิกล้าใช้ ""ฮุ่ย"" ตรงกับพระธรรมาจารย์ลิ่วจู่ฮุ่ยเหนิง) ""ไม่คิดดี  ไม่คิดชั่ว  ไม่มีความคิดใด ๆ เลย""

         พระอภิธรรมาจารย์อิ้นจง (ท่านเป็นศิษย์ของพระธรรมาจารย์หงเหยิ่น (พระมหาเถระเจ้าหวงเหมย ) สมัยที่ห้า ท่านดับขันธ์ละกายสังขารไปเงียบ ๆในถ้ำหินบนภูเขา"ฝังซัน"อำเภอเจิ้งฝู่ฝัง สิบห้าค่ำเดือนห้า ปัจจุบัน พระเจดีย์ที่บรรจุพระสรีระร่างของพระองค์เป็นปูชนียสถานสำคัญ  ณ  อำเภอหวงเหมย)  เช่นกัน ท่านลิ่วจู่ฮุ่ยเหนิง

         พระอภิธรรมาจารย์อิ้นจงยังกังขา จึงกราบเรียนถามซ้ำว่า ""เหตุใดจึงไม่พิจารณาฌานสมาธิเพื่อการหลุดพ้น"" ตอบว่า""เหตุด้วยธรรมะปฏิบัติอันแยกเป็นสองกรณี มิใช่พุทธธรรม  พุทธธรรมเป็นเอกะหนึ่งเดียวไม่เป็นสอง""
        ความหมาย...พิจารณา...
  .....ไม่พิจารณาฌานสมาธิเพื่อการหลุดพ้น ด้วยเป็นสองกรณี  เหตุใด ! จึงต้องหลุดพ้น?? เพราะเหตุที่มีสิ่งผูกมัด เพื่อแก้ปมผูกมัด จึงต้องเอาหลุดพ้นเป็นข้อกำหนด  เหตุใด ! จึงต้องเอาฌานสมาธิเป็นธรรมปฏิบัติ ??  เพราะเหตุที่มิอาจเข้าถึงภาวะรู้แจ้งจิตตนฉับพลัน มิอาจดับลงโดยตรงทันที จึงต้องเอาฌานสมาธิเป็นข้อกำหนด  เช่นนี้  พระธรรมาจารย์หงเหยิ่น จึงมิได้โปรดกำชับหมอบหมายชี้แนะแนวทางให้พิจารณาฌานสมาธิเพื่อการหลุดพ้น แต่โปรดให้พิจารณารู้แจ้งจิตญาณตนเป็นสำคัญ เคยมีคนถามว่า""วิถีอนุตตรธรรมคือพุทธศาสนาหรือมิใช่"" วิถีอนุตตรธรรมมิใช่พุทธศาสนาโดยตรง แต่เผยแผ่หลักพุทธธรรมอันเป็นสัจจะ เป็นทางรู้แจ้งจิตเดิมตนเข้าถึงภาวะหลุดพ้นได้ เผยแผ่วิถีจิต สืบต่อเรื่อยมาจากพระบรรพจารย์ครั้งก่อนเก่า  ในพิธี มีธรรมประกาศิตจากเบื้องบนว่า"" หนึ่งจุดศูนย์กลางรู้ได้ในจิตตน อี้จื่อจงเอียงฮุ่ย""" นั่นคือ การพิจารณารู้แจ้งจิตตนเป็นหลักสัจธรรมที่ให้เข้าถึงจิตพลัน
   """ปรกโปรดกาลสุดท้าย จากโบราณกาลมา มิเคยเอ่ยให้  """  "" ณ ที่นี่ วิสุทธิอาจารย์จะขานไข "" ให้รู้แจ้งจริง  """คนโง่หลง ได้รู้หนทางกลับบ้านเดิม """ ให้ก้าวสู่วิถีจิตมิพึงวกวน ให้แจ่มแจ้งสัจธรรม กำหนดกาลนี้จึงเรียกว่า ""ธรรมกาลยุคขาว"" ""ขาวใสด้วยใจรู้แจ้ง""  เข้าถึงภาวะเอกะธรรม
        พระอภิธรรมาจารย์อิ้นจง จึงเรียนถามอีกว่า ""เช่นไรจึงเป็นเอกะพุทธรรม"" 
        ความหมาย...พิจารณา...
        สิบห้าปีก่อน เมื่อลิ่วจู่เดินทางมาถึงเฉาซี พบแม่ชีอู๋จิ้นจั้ง  แปลว่าคลังมหาสมบัติมิอาจประมาณ (พุทธญาณขุมคลังปัญญา) สวดท่องพระคัมภีร์ ""มหาปรินิรวาณสูตร"" โดยไม่เข้าใจความหมาย ลิ่วจู่จึงอรรถาธิบายให้ฟัง
        เมื่อพระอภิธรรมาจารย์อิ้นจง มีคำถามมา จึงตอบว่า ""ที่อภิธรรมาจารย์เทศนาคัมภีร์มหาปรินิรวาณสูตร ไปเมื่อสักครู่นั่นแหละเป็นความหมายให้แจ้งใจในพุทธญาณตน คือพุทธธรรมอันไม่เป็นสอง
       ความหมาย...พิจารณา...
       แจ้งใจในพุทธญาณตน คือแจ้งใจในพุทธธรรม  จึงเข้าถึงเอกะธรรม  เราได้รับวิถีธรรม พระวิสุทธิอาจารย์ถ่ายทอดหนึ่งจุดศูนย์กลางรู้ได้ในจิตตน ณ บัดใจ ให้เข้าถึงพุทธธรรม
       เช่นในคัมภีร์มหาปรินิรวาณสูตร  พระเจ้าปเสนทิโกศล ทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ""ผู้ล่วงผิดต่อศีลข้อห้ามสี่ กระทำอนันตริยกรรมห้า และไม่ศรัทธาเลื่อมใสต่อพุทธรรมเหล่านี้ จะต้องขาดจากกุศลมูลแห่งพุทธญาณหรือไม่"""
       ความหมาย...พิจารณา...
       ศีลสี่ คือ ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ลักขโมย ล่วงผิดในกาม มุสาเพ้อเจ้อ   อนันตริยกรรมห้า คือ ฆ่าพ่อ ฆ่าแม่ ฆ่าพระอรหันต์ ทำให้สงฆ์แตกแยก ทำให้พระพุทธองค์ห้อโลหิต  ซึ่งเจตนาร้ายทำลายพุทธสาทิสลักษณ์ หรือพระพุทธรูปบูชา ก็จัดอยู่ในข้อนี้

         

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382

    พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสว่า "" กุศลมูลมีสอง  หนึ่งเที่ยง  สองไม่เที่ยง  พุทธญาณนั้นมิใช่เที่ยงและมิใช่ไม่เที่ยง ฉะนั้นจึงมิขาด อันได้ชื่อว่า ไม่เป็นสอง ""
    ความหมาย...พิจารณา...
    พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไว้เป็นสองกรณี ทั้งขาดและไม่ขาด ก็เพื่อมิให้ละเมิดผิดต่อศีล มิให้เป็นโอฆะเวร และมิให้ขาดศรัทธาวึ่งจะทำให้ยากแก่การบรรลุธรรม  ภายหลังก่อนกาลอันใกล้ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าจะเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน พระองค์ได้ตรัสจารึกไว้ในสัทธรรมปุณฆลฑริกสูตรกับมหาปรินิรวาณสูตร ว่า ""เวไนยสัตว์ล้วนมีพุทธญาณ อันอาจบรรลุพุทธะได้ในที่สุด""" ประการหลังนี้ประกาศสัจธรรม ความเป็นจริงอันเที่ยงแท้  ฉะนั้น ผู้ละเมิดผิดต่อศีล บาปเวรและสรัทธา ลัวนอาจบรรลุธรรมได้ เพียงแต่ขึ้นอยู่กับเวลา เหตุปัจจัยที่จะส่งผลให้ต่อไป  มีคำกล่าวว่า ""โทษบาปมากมาย คลายลงได้ด้วยสำนึก"" ตัวอย่างเช่นองคุลีมาร กลับตัวกลับใจสำนึก เลื่อมใสในพุทธธรรมทันที ก็บรรลุธรรมได้ในที่สุด ด้วยทุกคนล้วนมีพุทธญาณแต่เดิมที ผิดชอบชั่วดีย่อมรู้ได้ด้วยตน จะต่างกันที่บ้างรู้เร็วรู้ช้า รู้แท้รู้ไม่แท้  กาลเวลาที่จะอำนวยผลให้ได้ฟื้นฟูพุทธญาณจึงต่างกัน หากจะเอาการโคจรของดวงอาทิตย์กับโลก มาเป็นข้อเปรียบเทียบก็ได้ว่า โลกหมุนรอบตัวเอง จึงมีกลางวันกลางคืน ตรงข้ามกัน เปรียบเช่นกุศลมูลกับอกุศลมูล
      ดวงอาทิตย์เปรียบเช่นธรรมญาณ เป็นอยู่อย่างนั้นเอง โดยไม่มีกลางวันกลางคืน ไม่แตกต่างด้วยความมืดสว่าง จึงอยู่เหนือกฏการณ์อันเป็นกลางวันกลางคืน พุทธญาณเป็นเช่นนี้ อยู่เหนือความเที่ยงและไม่เที่ยงอย่างแท้จริง จึงกล่าวได้ว่า ไม่ขาดจากกุศลมูลแห่งพุทธะ
      หนึ่งคือ กุศล  สองคือ อกุศล พุทธญาณมิได้เป็นทั้งกุศล และอกุศล  จึงได้ชื่อว่าไม่เป็นสอง
      ความหมาย...พิจารณา...
      ด้วยพุทธญาณอยู่เหนือภาวะตอบโต้แปรเปลี่ยน การนำพาสาธุชนเข้าขอรับวิถีธรรม บางคนมาได้ง่ายบ้างมาได้ยาก เราจะระลึกว่าเขาเคยสร้างสมกุศลมูลมาอย่างไร แต่มิอาจคิดว่า เขามีภาวะพุทธญาณหรือไม่ แม้คนที่ไม่อาจมา เรายังเพียรนำพาครั้งแล้วครั้งเล่า   ปราชญ์เมิ่งจื่อประกาศทฤษฏีธรรมว่า ""ธรรมญาณมีภาวะเดิมทีที่ดีงาม เที่่ยงธรรมดั่งฟ้าดินแผ่มหาพลานุภาพไพศาล คงอยู่ในมหาจักรวาล"" ความหมายคือ เป็นเอกะหนึ่งเดียว ไม่เป็นสองเช่นกัน
      ในโลกของขันธ์ห้า ปุถุชนเห็นพุทธญาณเป็นสอง ผู้มีปัญญาจบสิ้นภาวะจิตญาณอันเป็นสองของตน เมื่อจิตญาณไม่เป็นสองก็คือพุทธญาณ
      ความหมาย...พิจารณา...
      ปุถุชนยังตกอยู่ในขันธ์ห้า เวียนวนอยู่กับรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ จึงคุ้นเคยและหมายว่า พุทธญาณมีภาวะแปรไปเป็นสองเช่นนี้
      พระอภิธรรมาจารย์อิ้นจง  สดับดังนั้นแล้ว ปลื้มปิติสาธุการกล่าวว่า ""อาตมาอรรถาธรรมเปรียบได้ดังเศษกระเบื้อง ท่านสาธยายธรรมเปรียบได้ดั่งทองคำแท้""  ดังนั้นแล้ว จึงปลงพระเกศาแด่พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิง ถวายความเคารพเป็นพระอาจารย์
     ความหมาย...พิจารณา...
     พระธรรมาจารย์ได้รับถ่ายทอดวิถีจิตจากพงศาธรรมาจารย์หงเหยิ่น บวชจิตรู้แจ้งฉับพลัน รับฐานะพงศาธรรมาจารย์สมัยที่หกสืบต่อทันทีตั้งแต่สิบห้าปีก่อน  แต่เนื่องด้วยกาลเวลานั้น ความกระทันหัน อีกทั้งต้องระหกระเหิน จึงยังมิได้บวชกายตามพิธีภายหลังพระเกศาของพงศาธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิง ได้รับการเก็บรักษาไว้ในพระเจดีย์ที่วัดธรรมญาณ ฝ่าซิ่งซื่อ เป็นที่สักการำลึกมาจนถึงทุกวันนี้

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
 
        ณ  บัดนั้น พงศาธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงจึงเข้าประทับนั่งยังใต้ต้นศรีมหาโพธิ์ เปิดปฐมกาลประกาศสัทธรรมวิถี ""บูรพาบรรพต"" ตงซัน   เกี่่ยวกับศรีมหาโพธิ์  คือในรัชสมัยเหลียงอู่ตี้ ปีต้นศักราชเทียนเจี้ยน (ค.ศ.502) สมเด็จพระคุณเจ้าไภษัชย์ปัญญาปิฏก ข้ามทะเลมาถึงที่แห่งนี้ ได็โปรดปลูกต้นศรีมหาโพธิ์ ที่นำมาจากอินเดียลงตรงนี้ อีกทั้งได้สลักศิลาจารึกไว้อีกแผ่นหนึ่ง
        แผ่นแรกสร้างโดยสมเด็จพระคุณเจ้าคุณาภัทรปิฏก ซึ่งล่องเรือจากอินเดียมาประกาศพุทธธรรมในประเทศจีน ตั้งแต่สมัยราชวงศ์ซ่ง  สมเด็จพระคุณเจ้าไภษัชย์ปัญญาปิฏก ได้สลักศิลาจารึกแผ่นที่สองไว้ ณ ที่นั้น มีใจความว่า ""อีกร้อยเจ็ดสิบปีภายหน้า จะมีพระโพธิสัตว์ที่ยังดำรงกายเนื้อยู่ จาริกมาแสดงสัทธรรมแห่งมหายาน ณ ที่นี่ จะกอบกู้อุ้มชูเวไนยฯไม่ประมาณ เป็นธรรมราชาผู้ถ่ายทอดพุทธรรม เป็นธรรมราชาผู้ถ่ายทอดวิถีจิตจากพระพุทธโดยแท้"" มีคำกล่าวว่า ""พระอริยะย่อมรู้ได้ในพระอริยะ""  ฮุ่ยเหนิงที่ปุถุชนเห็นเป็นชาวป่าชาวเยิง แท้จริงคือพระภาคจาก ""พระบรรพพุทธะกษิติครรภ์"" ตี้จั้งอ๋วงกู่ฝอ
        เมื่อพงศาธรรมาจารย์ประทับนั่งยังใต้ต้นศรีมหาโพธิ์แล้ว ประกาศสัทธรรมวิถี ""บูรพาบรรพต  ตงซัน"" นั้นว่า...
        ความหมาย...พิจารณา...
        เนื่องด้วยภูเขาหวงเหมย ถิ่นกำเนิดของพงศาธรรมาจารย์สมัยที่ห้า อยุ่ทางแถบตะวันออกของเมืองฉีโจว เรียกว่า ตงซันหมายถึงบูรพาบรรพต  พงศาธรรมาจารย์สมัยที่สี่ และพระองค์เองก็เจริญธรรมที่ ""ตงซัน""
       สัทธรรมวิถีจิตฉับพลัน ก็ได้รับการถ่ายทอดมาจากตงซัน ด้วยรำลึกพระคุณหลายประการนี้ พระธรรมาจารย์ลิ่วจู่จึงได้ประกาศสัทธรรม โดยให้ชื่อว่า ""วิถีธรรมแห่งตงซัน"" บูรพาบรรพต
      พระธรรมาจารย์ลิ่วจู่ได้โปรดเล่าประวัติการเจริญธรรมของพระองค์ให้ทุกคนฟัง  พระธรรมาจารย์อิ้นจงเป็นบุคคลสำคัญมากสำหรับประวัติการช่วงนี้
     เมื่อพระอภิธรรมาจารย์อิ้นจงกราบถวายตัวเป็นศิษย์ของพระธรรมาจารย์ลิ่วจู่แล้ว ท่านก็ได้ยกอาณาจักรธรรมทั้งหมดที่ดำเนินงานแพร่ธรรมมานานถึงสิบสองปีให้แก่พระธรรมาจารย์ลิ่วจู่ปกครองทั้งหมด  ฉะนั้น  ทันทีที่ประกาศวิถีสัทธรรมที่ตงซัน พระธรรมาจารย์ลิ่วจู่ ก็จึงพรั่งพร้อมด้วยอุบาสกอุบาสิกา สาธุชนผู้ศรัทธา และทุกสิ่งอย่างอันพึงมี  จากจุดนี้ เราจะเห็นได้ว่า พระอภิธรรมาจารย์อิ้นจงนั้นมิใช่ธรรมดา เราชาวอนุตตรธรรมก็เช่นกัน ""บำเพ็ญเพื่อให้  แต่มิใช่เพื่อแย่งชิง""
     หากเป็นเช่นนี้ มหาเอกภาพของโลกจึงจะเกิดขึ้นได้จากอาณาจักรธรรม
  ...อาตมาฮุ่ยเหนิง  ได้รับวิถีธรรมจากตงซัน เจริญธรรมด้วยความลำบากยากยิ่งทุกสิ่งอย่าง  (ผู้แย่งชิงบาตรกับจีวรไม่ลดละทุกขณะเวลา) ชีวิตดั่งแขวนอยู่บนเส้นด้าย
     บำเพ็ญธรรมควรอยู่ที่รู้แจ้งฉับพลัน มิใช่อยู่ที่หาวิธีหาหนทางไปเคี่ยวกรำ  การเคี่ยวกรำยังอาจเป็นเหตุบั่นทอนการเจริญอีกด้วยซ้ำไป หากไม่รู้เท่าทันต่อการเคี่ยวกรรมนั้น แต่หากมีเหตุจะต้องถูกเคี่ยวกรรมอย่างไร ก็ให้น้อมรับสภาพนั้น เป็นประสบการณ์ไว้เพื่อใช้ในการเจริญธรรม
     พระธรรมาจารย์กล่าวว่า ""วันนี้ได้ประชุมธรรมที่นี่พร้อมกันกับขุนนาง ข้าราชการ สงฆ์ ชี ผู้ถือศีล และสาะุชน ชะรอยจะเป็นเหตุปัจจัยแห่งบุญแต่ครั้งอดีตชาติอีกทั้งยังเคยได้ร่วมกันสักการะอุปัฏฐากเหล่าพุทธะ เคยร่วมปลูกเหตุกุศลมูลมาก่อน จึงเป็นเหตุให้ได้สดับพุทธธรรมวิถีฉับพลัน
     การจะร่วมปฏิบัติบำเพ็ญอยู่ในอาณาจักรธรรมเดียวกัน มิใช่เหตุบังเอิญ แต่เป็นบุญสัมพันธ์วิเศษยิ่งเหนือกว่าบุญสัมพันธ์อื่นใดในทางโลก  ฉะนั้น  จะไม่ดำรงคุณค่าไว้จะได้หรือ
     ศาสนาเป็นสิ่งซึ่งอดีตอริยเจ้าถ่ายทอดให้ มิใช่ปัญญาจากฮุ่ยเหนิงเอง  ท่านผู้ยินดีสดับคำสอนจากอริยะ จึงต่างชำระใจตน ได้ฟังแล้วต่างจะขจัดข้อสงสัยได้เอง ก็จะไม่ต่างจากอดีตอริยะ
     ซือจุน พระวิสุทธิอาจารย์ของเราโปรดไว้ ""บำเพ็ญธรรมไม่มีอื่นใด ล้วนอยู่ที่สงสัยต้องถาม"" บำเพ็ญเพื่อเข้าถึงแก่นธรรมให้กระจ่างแจ้ง  ผู้เก็บเอาความคลุมเครือลังเลสงสัยไว้โดยไม่ใฝ่รู้ มิใช่วิสัยของผู้บำเพ็ญจริง 

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382

       พระธรรมาจารย์โปรดแก่สาธุชนต่อไปว่า ""ท่านผู้เจริญปัญญาแห่งโพธิญาณ ชาวโลกต่างมีอยู่เองเดิมที ด้วยเหตุที่ใจหลงไม่อาจสำนึกรู้ได้ จึงต้องอาศัยมหาบุรุษผู้เจริญธรรมชี้นำให้เห็นจิตญาณ
       ความหมาย...พิจารณา...
       ท่านผู้เจริญ หมายถึง ผู้สามารถชี้นำสาธุชนให้ละเลิกต่ออกุศลกรรม และเจริญกุศลกรรมได้  ผู้สามารถชี้นำสาธุชนให้รู้เห็นปัญญาแห่งโพธิญาณได้  ในอาณาจักรธรรมมากไปด้วยผู้ที่เป็นปากเสียงแทนฟ้าเบื้องบน ท่านเหล่านั้นก็เป็นท่านผู้เจริญในระดับหนึ่งเช่นกัน
     ...พึงรู้ว่าคนโง่คนฉลาด พุทธญาณมิแตกต่างกันแต่เดิมที ด้วยเหตุที่จิตหลงต่างกัน ดังนั้นจึงมีโง่มีฉลาด  หลงมาก -- โง่มาก  หลงนาน -- โง่นาน  หลงลึก - โง่ลึก
        บัดนี้จะกล่าวแก่ท่านทั้งหลายในข้อธรรม  ""มหาปัญญาปารมิตา""  เพื่อท่านทั้งหลายต่างเกิดปัญญา  ขอจงใฝ่ใจสดับฟังอาตมาจะกล่าวแก่ท่าน
        ความหมาย...พิจารณา...
        ""ใฝ่ใจ""มิให้ใจแวะเวียนฟุ้งซ่าน   ""ตั้งใจ"" ให้มีสมาธิคงที่ไว้ มิให้เลื่อยลอย
        ท่านผู้เจริญ...ชาวโลกต่างท่องบ่น ""ปัญญาปารมิตา""กันทั้งวันแต่ไม่รู้จักปัญญาญาณแห่งตน ท่องบ่นเสียเปล่า ดั่งกินข้าวซึ่งมิอิ่มได้ กล่าวอ้างเสียเปล่า หมื่นกัปมิอาจเห็นได้ในจิตญาณ ที่สุดคือไร้ประโยชน์  ข้อความท่อนหนึ่งกล่าวไว้ว่า.""..อ่านคัมถีร์เพื่อสยบอารมณ์...ไม่เข้าใจความหมายไม่เป็นไร...นานวันไปก็อาจเห็นจิตญาณตน...""  กับข้อความที่ว่า ...ท่องบ่นเสียเปล่า...มิอาจเห็นได้ในจิตญาณตน...""  ข้อความทั้งสองมิได้ขัดกันในการปฏิบัติและข้อสรุป พึงรู้ว่าพระผู้มีพระภาคเจ้า  พระอริยเจ้า ล้วนให้ธรรมะที่ตรงต่อจริต ตรงต่อสภาพความเป็นจริงของผู้รับ ดั่งให้โอสถที่มีสรรพคุณและขนาดรับประทานที่เหมาะแก่โรคของผู้นั้น
       นัยเดียวกันที่ตถาคตเจ้าได้แสดงธรรมกรณีเดียวกัน แต่ด้วยคำตอบต่างกัน ในวาระในบุคคลต่างกัน เช่นที่กล่าวไว้ข้างหน้าอันว่าด้วย ""การขาดจากกุศลมูลแห่งพุทธะหรือไม่ อย่างไร??? นั้น ท่านผู้ศึกษาจงโปรดพิจารณา
       พระธรรมาจารย์โปรดต่อไปว่า  ""ท่านผู้เจริญ "" มหาปัญญาปารมิตา""  เป็นภาษาสันสกฤต คำนี้หมายถึง""มหาปัญญาบรรลุฟากฝั่ง"" ...การนี้พึงดำเนินไปด้วยจิต มิอยู่ที่ปากสวดท่อง  ปากสวดท่องแต่จิตมิได้ดำเนินตาม จะเป็นเช่นภาพมายา อากาศธาตุ จะเป็นเช่นน้ำค้าง สายฟ้า หามีแก่นแท้ไม่  ปากท่องบ่นไป จิตใจดำเนินตาม ปากกับใจจะสอดคล้องกัน  จิตญาณตนคือพุทธะ พ้นจากจิตเดิมไป อื่นใดหามีพุทธะไม่  อย่างไรได้ชื่อว่า ""มหา""  มหาคือใหญ่  ปริมาตรใจกว้างใหญ่ ดุจดั่งอวกาศ ปราศจากขอบเขตปราศจากกรอบ เหลี่ยมกลมใหญ่เล็ก ปราศจากเขียวเหลืองแดงขาว ปราศจากบนล่างยาวสั้น ปราศจากโทสะ ปราศจากยินดี ปราศจากผิด  ปราศจากดี  ปราสจากชั่ว  ปราศจากเบื้องต้นและปราศจากเบื้องปลาย...
       ความหมาย...พิจารณา...
       ปริมาตรใจกว้างใหญ่  ชาวโลกมีคำชื่นชมกันว่า คนนี้ใจกว้างดั่งแม่น้ำ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ให้ได้ไม่อั้นทั้งหมดเท่าที่มี   พระเยซูคริสต์มีพระหฤทัยรักกว้างใหญ่ไพศาล  จนมีคำนิยามสรรเสริญว่า""พระผู้เป็นเจ้าทรงรักโลก""เป็นความรักยิ่งใหญ่ไม่อาจประมาณจำกัดโดยแท้ ปริมาตรใจในพระคัมภีร์จึงเป็นใจที่มิอาจประมาณความเวิ้งว้างของอวกาศมิอาจคำนวนวัดขอบเขต
      ซุนอู้คง (ซุนหงอคง) ในไซอิ๋ว ตีลังกาทีเดียวไปไกลถึงหนึ่งหมื่นแปดพันลี้ แต่ยังมิอาจพันไปจากใจกลางฝ่าพระหัตถ์ของพระเยซูไลพุทธเจ้าได้  ครั้งหนึ่งซุนอู้คง วิ่งไปจนถึงขอบฟ้า มองเห็นภูเขาห้านิ้ว อู่ซื่อซัน   หมายว่าจุดนี้ถึงที่สุดแล้วของโลกกว้าง จึงปัสสาวะรดไว้ตรงนั้นเพื่อเป็นหลักฐานที่ระลึก  อีกทั้งเขียนหนังสือประกาศความยิ่งใหญ่ที่ได้มาถึงที่สุดขอบฟ้าว่า "เรา"มหาอริยะเทียมฟ้า ฉีเทียนต้าเซิ่ง  ได้มาเที่ยวถึงที่นี่  กลับมาจากขอบฟ้า ซุนอู้คงกราบทูลพระยูไลพุทธเจ้าด้วยความกระหยิ่มใจว่า ""ข้าพเจ้ากลับจากขอบฟ้ามาแล้ว"" พระยูไลพุทธเจ้าแบพระหัตถ์ออก ซุนอู้คงเห็นข้อความตัวหนังสือลายมีอของตนที่เขียนไว้บนภูเขาห้านิ้ว ชัดเจนอยู่บนนิ้วพระหัตถ์ของพระยูไลพุทธเจ้า...
       ยูไล หมายถึง ตถตา พระผู้มีพระภาคเจ้าอันเสด็จมาจากภาวะ "อันเป็นเช่นนั้นเอง" หมายถึงโพธิญาณอันปราศจากรูปลักษณ์ ความกว้างใหญ่แห่งโพธิญาณนั้นเพียงไร  ดุจมหาอวกาศ หมื่นโลกธาตุ
       ซุนอู้คง ยังมิอาจไปถึงความกว้างไกลปานนั้น มิเกินกว่าใจกลางฝ่าพระหัตถ์พระยูไลพุทะเจ้าได้เลย  นี่คือ !!! ยกตัวอย่างให้เห็นความแตกต่างระหว่างใจกว้างดั่งแม่น้ำของคน กับปริมาตรใจไร้ขอบเขตของโพธิญาณ
       พุทธเกษตรแห่งพุทธทั้งหลาย กว้างใหญ่ดุจอวกาศ พุทธเกษตรจึงมิได้กำจัดอยู่ ณ ทิศตะวันตก ตามที่เคยเข้าใจกันมาดินแดนแห่งพุทธะ ดุจเดียวกับมหาอวกาศ  ชาวโลกมีจิตญาณเดิมอันว่างเปล่าแต่เดิมทีจึงปราศจากธรรมอันใดอันได้รับไว้ สุญตาแห่งจิตญาณตนก้เป็นเช่นนี้ เมื่อจิตเข้าสู่ภาวะสุญตาแล้ว ยังจะมีธรรมะใดกำหนดหมายอยู่ในจิตนั้น
       ท่านผู้เจริญ จงอย่ายึดหมาย เมื่อได้ยินอาตมากล่าวว่า ""ว่าง"" ก็ไปยึดหมายในความว่างกัน  ข้อหนึ่ง อย่าได้ยึดหมายในความว่าง หากทำสมาธิโดยยึดหมายความว่าง จะเข้าสู่การยึดหมายในความว่างอันมิพึงยึดหมายไว้
       พระธรรมาจารย์ลิ่วจู่โปรดว่า ""ไม่ยึดหมายในความดี ความชั่ว แต่ชัดเจนรู้ได้ในความดีความชั่วนั้น

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382

      ท่านผู้เจริญ  ความว่างของมหาจักรวาล โอบรับสรรพสิ่งทั้งวัตถุรูปลักษณ์ ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดวงดาว ภูเขา แม่น้ำ ผืนแผ่นดิน สายน้ำลำธารคูคลองน้อยใหญ่ ต้นหญ้า ต้นไม้ ไพรพฤกษ์ คนชั่วคนดี อกุศลธรรมกุศลธรรม สวรรค์นรก มหาสมุทรทั้งหมด เขาพระสุเมรุ ล้วนอยู่ท่ามกลางของอวกาศนั้น จิตญาณว่างของชาวโลกก็เป็นเช่นนั้น
      ความหมาย...พิจารณา...
      โลก ในพระคัมภีร์ หมายถึง ชาติภพ กาลเวลา เช่น สามโลกคือ อดีต ปัจจุบัน อนาคต   จิตญาณว่างของชาวโลก หมายถึงว่างจากสามโลก ว่างจากสรรพสิ่ง  "" จิตญาณว่างอยู่ท่ามกลางความมีอยู่ของสรรพสิ่ง"""
                                    ""  สรรพสิ่งมีอยู่ท่ามกลางความว่างของจิตญาณ""
                                    ""  สรรพสิ่งมีอยู่ท่ามกลางความว่างของมหาจักรวาล""
      พระเยซูเจ้ากล่าวว่า "เราคือสัจธรรม คือชีวิต คือหนทาง"" ภาษาที่นิยามต่างกัน แต่ความหมายอย่างเดียวกัน  อริยปราชญ์เหลาจื่อ จารึกไว้ในคัมภีร์วิสุทธิสูตร ชิงจิ้งจิง  ว่า "คน บริสุทธิ์ สงบ เที่ยงแท้ไซร์ ฟ้าดินสรรพสิ่งล้วนเป็นของตนคือสภาวะใหญ่ท่ามกลางมิใช่สังขาร  ฟ้าดินสรรพสิ่งล้วนเป็นของตน ซึ่งแท้จริงตนก็คือส่วนหนึ่งของฟ้าดิน สรรพสิ่งเมื่อไม่มีตนเฉพาะตน ไม่ยึดหมายเฉพาะส่วน ทุกขณะจะเป็นอิสระ เสมือนยืนอยู่บนที่สูงอันเวิ้งว้าง  พุทธญาณตนสงบบริสุทธิ์แต่เดิมที เมื่อใดที่กลับคืนไปสู่พุทธญาณแต่เดิมทีนั้น ได้มหาจักวารก็คือฉัน ฉันก็คือมหาจักรวาล ล่วงพ้นจากการถูกควบคุมกำหนดจากการเวลาที่เรียกว่า"ภาวะอมตะนิรันดร์กาล
     ท่านผู้เจริญ จิตญาณที่เรียกว่าใหญ่ คือครอบคลุมหมื่นธรรมอยู่ภายใน ฉะนั้นหากพบเห็นคนทั้งปวงในความชั่วในความดี ล้วนโดยมิได้ยึดหมาย มิได้สลัดละทิ้งด้วยเหตุแห่งดีชั่วนั้น มิถูดแปดเปื้อนด้วยความดีชั่วนั้น จิตใจก็จะว่างดุจอวกาศว่าง จึงเรียกได้ว่าใหญ่ (สันสกฤตเรียกว่า มหา)
     ท่านผู้เจริญ คนหลงพูดแต่ปาก ผู้มีปัญญาดำเนินจริงด้วยใจ ยังมีคนหลงที่ใจว่างนั่งนิ่ง ไม่เกิดความคิดใด ๆ ยกตนว่ายิ่งใหญ่ คนประเภทนี้ จะมิอาจอรรถาธรรมด้วยได้ เนื่องจากมีความเห็นผิด  ตถาคตเจ้าเข้าถึงภาวะอันหาขอบเขตมิได้ รายรอบธรรมธาตุมิอาจประมาณ หากเข้าถึงจะรู้แจ้งเห็นจริงทุกสิ่งอย่าง หากใช้ประโยชน์จะรู้การทั้งปวง ไปมาอิสระ ปราศจากขัดข้องด้วยกายใจ นั่นคือปัญญา  มีผู้กราบเรียนถามมหาเถระเจ้า "เจ้าโจวเหอซั่ง ถามว่า อย่างไรเรียกว่า หมื่นธรรมขันธ์รวมอยู่ในหนึ่งเดียว"พระมหาเถระเจ้าตอบว่า "อาตมากลับมาจากเมืองชิงโจว ซื้อสังฆพัสตรา (เครื่องนุ่งห่มของสงฆ์) มาผืนหนึ่ง หนักเจ็ดชั่ง" คำตอบของมหาเถระช่างแยบยลแท้ "หมื่นพันธรรมขันธ์รวมอยู่ในจิตญาณหนึ่งเดียว" อุปมา หนึ่ง สังฆพัสตรา แต่เนื้อผ้าประกอบด้วยเส้นด้ายทอตรง - ขวางผ่านการตัดเย็บประกอบกันเป็นส่วนต่าง ๆ รวมอยู่เป็นหนึ่งเดียวในสังฆพัสตราผืนนั้น
     ท่านผู้เจริญ ปริมาตรใจกว้างใหญ่ รายรอบธรรมธาตุเมื่อนำออกใช้ จะกระจ่างแจ้งจริง เสร็จสิ้นทุกสิ่งได้ไม่คลุมเครือ เมื่อนำออกมาใช้ สนองรับ สนองตอบ ก็จะรู้ได้ในทุกสิ่ง ทุกสิ่งคือหนึ่ง หนึ่งคือทุกสิ่ง เป็นไป เป็นมาอิสระ กายใจมิได้สดุดอุปสรรค นั่นคือปัญญา   ท่านผู้เจริญ  ปัญญาทั้งปวงล้วนเกิดแต่จิตญาณตน มิใช่ได้มาจากภายนอก โปรดอย่าได้เข้าใจผิด ได้ชื่อว่าการสำแดงคุณของจิตญาณตน  หนึ่งจริงทุกอย่างจริง ปริมาตรใจเป็นเรื่องใหญ่ ไม่เดินทางเล็ก พร่ำพูดแต่จิตว่าง แต่ใจมิได้ดำเนินจริงตามนี้ อุปมาดั่งสามัญชนตั้งตนเป็นพระราชา ถึงอย่างไรก็มิอาจเป็นจริงได้  หากปฏิบัติเช่นนี้ไซร์ มิใช่แห่งศิษย์อาตมา
     ความหมาย...พิจารณา...
     หนึ่งจริง คือเข้าถึงจิตญาณ อันเป็นหนึ่งของตนได้จริง เมื่อนั้น ก็จะรู้ในความเป็นสัจธรรมจริงของทุกสิ่งอย่าง มิฉะนั้นจะยังยึดหมายไปทั่ว โดยอาจไม่รู้ตัว "ปริมาตรใจ" ใจพระพุทธะมิอาจประมาณเป็นเรื่องใหญ่ จะเข้าถึงภาวะไร้ขอบเขตเช่นนั้นได้ จะต้องไม่เดินทางเล็ก คือทางเฉพาะตัว เหมือนอยู่ในห้องทิบแคบเล็ก หลับตาภาวนาเพื่อตน  มิอาจช่วยใครได้ ยังจะหลงตนว่าเป็นใหญ่

Tags:
 

มหาปณิธาน

พระโพธิสัตว์กษิติครรภ์ (地藏王菩薩)

มหาปณิธานพระโพธิสัตว์กษิติครรภ์ (地藏王菩薩)

“...เพื่อหมู่สัตว์ทั้งหกภูมิผู้มีบาปทุกข์ ข้าพเจ้าจะใช้วิธีการต่างๆ ช่วยให้หลุดพ้นจนหมดสิ้น แล้วตัวข้าพเจ้าจึงจะสำเร็จพระพุทธมรรค”