collapse

ผู้เขียน หัวข้อ: ธรรมธาดาคู่โลกา : ปฏิปทาองค์สมเด็จพระกตธิการบรมอริยธรรมราชเจ้าผู้เฒ่าน้ำใส  (อ่าน 27668 ครั้ง)

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม

      ในด้านหลักธรรมต่าง ๆ นั้น  ต้องถือว่าท่านเหล่าเฉียนเหรินมีความแตกฉานอย่างลึกซึ้ง ในทุกวจนะที่ปราศัย แม้นจะดูแล้วแสนธรรมดาหากทุก ๆ คำล้วนแฝงด้วยหลักธรรมอันแยบยล และท่านไม่เพียงสามารถประคองรักษาสัทธรรมที่ท่านซือจุนซือหมู่ได้ถ่ายทอดให้เท่านั้น หากท่านยังนำไปปฏิบัติในทันทีได้อย่างเที่ยงตรงประพฤติตนให้เป็นแบบอย่างแห่งธรรมได้อย่างงดงาม และเผยแพร่ศาสตร์แห่งปราชญ์ให้ขจรจนกว้าวไกลได้อีกด้วย ท่านมักกล่าวว่า "สิ่งศักดิ์สิทธิ์เคยเมตตาไว้ว่า ในยุคท้ายศาสนาปราชญ์สนองวาระ เก็บงานสมบูรณ์"  ดังนั้นในทุกรายละเอียดแห่งกิจวัตรประจำวัน ในทุกการเดิน ยืน นั่ง นอน ในทุกการปฏิสันถารและปฏิปทา ท่านล้วนได้แสดงออกถึงจริยวัตรแห่งปราชญ์ได้ประจักษ์อย่างงดงาม
     ท่านเมตตาว่า "ในวัชรสูตรบทที่ ๑๗ ที่ว่าด้วยที่สุดไร้อัตมะ ได้กล่าวไว้ว่า "พระพุทธองค์ทรงรับการประทานจุดจากพระทีปังกรพุทธเจ้า  อันความหมายของพระทีปังกรพุทธเจ้านี้ มิใช่คือการจุดความสว่างดอกหรือ นั่นมิใช่การชี้จุดจากพระวิสุทธิอาจารย์เมื่อตอนที่รับธรรมะหรอกหรือ" ท่านยังได้เมตตาอีกว่า "เพียงครึ่งถ้อยน้อยคำก็เข้าใจ ไยต้องใช้ถึงร้อยพันบทพระคัมภีร์ ได้รู้แจ้งซึ่งโฉมแท้แต่เดิมมี ก็ตรงรี่ด้วยหนึ่งก้าวเข้านิพพาน" "ท่านพระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงได้กล่าวไว้ว่า "ยามใจสงบไยต้องถือศีลให้วุ่นวาย ยามประพฤติเที่ยงตรงมิคลาย ไฉนต้องบำเพ็ญฌาน รู้พระคุณก็จักกตัญญูอุปัฏฐากบุพการี รู้มโนธรรม ก็จักดำรงใจอารีย์ต่อผู้เฒ่าผู้เยาวว์ รู้อภัยก็จักใฝ่ใจเคารพปรองดอง รู้ขันติ บาปวิถีจักไม่บังเกิด หากสามารถสีไม้ให้เกิดไฟ บัวแดงอำไพจักผุดขึ้นจากโคลนตรม ที่ขมปากคือยาดี คำวจีที่เสียดหูแท้คือคำทัดทาน รู้แก้ผิดจักเกิดปัญญาญาณ  ป้องผิดพลาดดวงมานปราชญ์เมธี กิจวัตรหมั่นประโยชน์แก่ชาวประชา วิมุตินั้นหนาหาใช่เิกิดจากทักษิณา อันโพธิเพียงค้นได้จากจิตตา ไยต้องค้นหาใฝ่แยลยลที่ภายนอก หากสดับรับบำเพ็ญเพียรตามนี้ สุขาวดีจักปรากฏเพียงเบื้องตา" ซึ่งก็แน่นอน อันหนึ่งจุดชี้จากพระวิสุทธิ์อาจารย์ ก็เป็นดังเนื้อหาในพระสูตรฮุ่ยเหนิงที่บันทึกว่า..."มีคนถามว่า อันสัทธรรมจุกษุเร้น จะถ่ายทอดให้แก่ผู้ใด" พระธรรมาจารย์ตอบว่า "ผู้มีธรรมจักได้ ผู้รู้ธรรมจักแจ้ง"
    ท่านเหล่าเฉียนเหรินกล่าวว่า "ในโลกใบนี้ อะไรบ้างที่เป็นจริง ก็มีเพียงใจจริงดวงนี้เท่านั้นที่เป็นจริง" เหล่าธรรมอันแยบยลทั้งหลายล้วนที่อยู่ที่ใจจริงดวงนี้ และก็ด้วยใจที่จริงดวงนี้ สิ่งที่ปฏิบัติออกมาจึงจะเป็นคุณธรรมอันแท้จริง ดังนั้นโอวาทที่ท่านได้เมตตาพวกเราในชีวิตประจำวัน ทุกประโยคล้วนเน้นที่การปฏิบัติให้เป็นจริงในชีวิตประจำวันทั้งสิ้น ดังนั้นท่านจึงรณรงค์คุณธรรมแห่งศาสนาปราชญ์ ประกาศให้ปฏิบัติมั่นในคุณธรรมแปด (กตัญญุตาธรรม  ภราดรธรรม  ภัคดีธรรม  สัตยธรรม  จริยธรรม  มโนธรรม  สุจริตธรรม หิริธรรม) อย่างเคร่งครัด โดยท่านมักจะเมตตาเราในหลักธรรมที่เข้าใจง่าย ๆ ดังนี้..."การบำเพ็ญของเรานั้นควรทำอะไรกันบ้าง บำเพ็ญธรรมด้วยความเสมอภาคอย่างนั้นหรือ สังคมสมัยนี้ล้วนมีคำขวัญว่าชายหญิงต้องเสมอภาค ต้องมีเสรีภาพอย่างเสมอภ่ค หากว่าคุณลุงคุณตา คุณพ่อของเธอที่บ้านบอกว่าสิทธิต้องเสมอภาค แล้วอย่างนี้ยังจะเหมือนครอบครัวอีกหรือ ทำเช่นนี้มิใช่วุ่นวายไปหมดดอกหรือ.....เราบำเพ็ญธรรมคือเน้นความเสมอภาค ไม่ว่าจะยากดีมีจนหนุ่มสาวผู้เฒ่าเยาว์ ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม คนไหนบำเพ็ญคนนั้นได้ คนไหนปฏิบัติคนนั้นบรรลุ อย่างนี้ต่างหากจึงเป็นความเสมอภาค" "กราบพระคือต้องเรียนรู้ และเอาอย่างในพระมหาเมตตา กรุณาแห่งองค์พระพุทธโพธิสัตว์ จากนั้นก็ย้อนมองส่องตน ย้อนสำรวจพิจารณาตน นี่จึงเป็นความหมายที่แท้จริงของการกราบพระ หลักธรรมข้อนี้เราทุกคนควรเข้าใจไว้"

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม

       อ่านคัมภีร์แห่งพระอริยา ที่เรียนนั้นคือฉันใด...การอ่านเรียนที่สำคัญนั้นคือ ต้องแจ้งในความ หรือก็คือ แจ้งในหลักของการเป็นคน เมื่อเข้าใจในความหมายนี้แล้วยังต้องนำพากันไปทำ หลักคุณธรรมทั้งหมดที่มีอยู่ในหนังสือก็อ่านกันไปแล้ว แต่ทำไมถึงไม่ทำ ถ้าเช่นนั้นการอ่านหนังสือจะมีประโยชน์อะไรพระอาจารย์เมตตาว่า "อะไรคือคนจริงนั่งสมาธิ" อันว่านั่งก็คือ สองคนประคองดิน อันสองคนนั้นหมายถึง คนจริง และ คนปลอม แล้วควรนั่งเมือ่ไหร่ นั่งทุก ๆ ช่วงเวลาคนจริงคนปลอมประคองรักษาดิน ยึดมั่นในมัชฌิมา ดำรงซึ่งความสงบแห่งจิตใจ นี่มิใช่การนั่งสมาธิทั่วไปหรอกนะ" วันนี้เบื้องบนทรงเมตตาโปรดธรรมะ คือช่วยคนดีออกมานี่คือการปฏิบัติธรรม การบำเพ็ญธรรมมิใช่การบำเพ็ญจิตดอกหรือ ถามตนเองดูซิว่า โลถ โกรธ หลง ได้ขจัดไปแล้วหรือยัง กตัญญูพ่อแม่แล้วหรือยัง ได้ละสิ้นซึ่งความกังวล เผยออกมาซึ่งความเมตตา ลืมสิ้นซึ่งอัตตา นี่ก็คือพระพุทธา" ปัจจุบันคือยุคสามปลายกัป มีการปกโปรดอย่างกว้างขวาง หากเรากู้โลกช่วยคน วันนี้ตาย วันนี้ก็คือพระพุทธะ เจ้าเชื่อไหม...พระพุทธะมิใช่ว่าต้องตายแล้วจึงจะเป็นพระพุทธะ ตอนที่เจ้ายังอยู้เจ้าทำความดี กู้โลกช่วยคน ทุกคนก็จะชมเจ้าว่าเป็นพระโพธิสัตว์เดินดิน...ดังนั้นทุกคนต่างก็มีจิตพุทธะ ก็ดูแต่เพียงว่าเจ้าไปทำความดีหรือเปล่า ทำความดีก็จะเป็นพระพุทธอย่างแน่นอน  ปัจจุบัน คือช่วงของยุคขาว พระแม่องค์ธรรมทรงส่งจดหมายให้เราเตรียมพร้อม ในอนาคตจะมีการเก็บสมบูรณ์ในยุคปลาย พวกเราจะต้องเก็บสมบูรณ์ตัวเองก่อน หรือก็คือชีวิตตนก็ต้องตนเป็นผู้ช่วย ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถช่วยเราได้ ทั้งหมดต้องพึ่งพาตนเอง ตนเองไม่ช่วยตน แล้วจะมีใครช่วยเราได้อีก" ต้องช่วยตนเอง มิใช่พึ่งเพียงแค่สวดมนต์ประจำวัน และก็มิใช่พึ่งการปักธูปไหว้พระประจำวัน ง่ายดายมาก ที่บ้านเจ้าต่างก็มีพระอยู่สององค์ เจ้าไม่ต้องไหว้ เขาก็ปกป้องคุ้มครองเจ้าอยู่ทุกวัน หากแม้แต่พระที่ปกป้องคุ้มครองเจ้าอยู่ทุกวันยังไม่รู้จักกตัญญู ไหว้พระพุทธโพธิสัตว์แล้วจะมีประโยชน์อะไร กับพ่อแม่ยังไม่รู้จักกตัญญู สวดมนต์แล้วจะได้อะไร ดังนั้นแม้ความเป็นมนุษย์ยังทำได้ไม่ดี ไม่มีความซื่อสัตย์กตัญญู ไม่เมตตาการุณ ไหว้พระสวดมนต์ บริจาค ล้วนไม่มีประโยชน์ทั้งสิ้น อยากช่วยตนเองก็ต้องพึ่งตนเอง โดยควรเริ่มทำจากที่บ้านเราก่อน แล้วจึงผลักดันไปสู่ผู้คน วิธีนี้ง่ายดายที่สุด เพียงแต่ต้องดูว่าเจ้าได้ทำหรือเปล่าเท่านั้น"
       ปัจจุบันเบื้องบนทรงปกโปรดอย่างกว้างขวาง ได้บอกให้เราทราบถึงสัจธรรม พวกเราทุกคนต่างได้รับพระบัญชาจากฟ้าเบื้องบนทั้งสิ้น พระอริยาเคยตรัสว่า " อันชีพฟ้าก็คือธรรมญาณ" ที่พูดคือหมายถึง สิ่งนี้  หรืออย่างประโยคแรกในพระหฤทัยสูตรกล่าวไว้ว่า "พระโพธิสัตว์ผู้พินิจตน" ซึ่งหมายความว่า พินิจดูซิ ดูพุทธญาณของตนเองนี่ซิ ซึ่งทั้งหมดได้กล่าวอย่างชัดเจนแล้ว "สารีบุตรไม่เกิด ไม่ดับ ไม่ผ่องแผ้วไม่มัวหมอง" ตรงนี้คือ การกล่าวถึงธรรมญาณเดิมอันบริสุทธิ์ของพวกเรา  หากก่อนนี้มิได้รับหนึ่งจุดจากพระวิสุทธิอาจารย์ เราก็ไม่สามารถเข้าใจในความนี้ได้ ในพุทธคัมภีร์กล่าวไว้เช่นกันว่า "สรรพธรรมล้วนไม่ห่างจากธรรมญาณ" สรรพสิ่งทั้งหลายล้วนเกิดมาจากตรงนี้ทั้งสิ้น เข้าใจไหม
     ชาวต่างชาติกำลังค้นคว้าเรื่องของความนึกคิด โดยเริ่มค้นคว้าจากสมองใหญ่ สมองน้อย ในทางจีนจะพูดถึงเรื่องใจนึกคิด ซึ่งก็คือใจนี้กำลังนึกคิด บนหนังสือเขียนไว้ว่าจิตญาณ ซึ่งจิตก็คือญาณของพวกเรา เราต่างได้รับหนึ่งจุดชี้แล้วจึงเข้าใจ เหตุใดจึงไม่เรียกว่าญาณเสียเลยล่ะ คัมภีร์กล่าวว่า "อันชีพฟ้าก็คือธรรมญาณ" ญาณฟ้าแต่เดิมมา หากไม่แปรสภาพก็จะเรียกว่า ธรรมญาณ แต่ภายหลังได้ถูกบดบังจากอารมณ์ ๗ กิเลส ๖ ก็จะเกิดเป็นการเปรียบเทียบ นี่เรียกว่าใจ สมมุติว่าเธอไม่ดีต่อเรา เราก็จะไม่ดีต่อเธอ เธอด่าฉัน ฉันไม่พอใจ เธอชมฉัน ฉันดีใจ นี่ก็คือการเปรียบเทียบ แต่ญาณฟ้าแต่เดิมมาจะไม่มีสิ่งเหล่านี้ และญาณฟ้าแต่เดิมมาก็คือ ใจไร้เดียงสาอย่างเด็กนั่นเอง"
การปฏิบัติธรรม ก็คือ ต้องกู้โลกช่วยคน เหตุใดการกู้โลกช่วยคนก็คือ การปฏิบัติธรรม เพราะที่เราปฏิบัตินั้น คือ อนุตตรธรรม  อะไรคืออนุตตรธรรม อนุตตรธรรมก็คือ หนทางสายหนึ่งที่จะกลับคืนเบื้องบน อีกคือ สิ่งที่ให้ญาติธรรมสามารถเจริญตามรอยแห่งพระพุทธอริยออกโปรดเวไนย เมื่อไหร่ที่โลกสู่ความสันติสุข เมื่อนั้นจึงถือว่าภารกิจของเราสร็จสิ้น และเวลานั้นจึงจะถึงเวลากลับคืนเบื้องบนถวายรายงานได้ ปณิธานที่พวกเราตั้ง ก็คือหน้าที่ คือภารกิจ ไปถึงที่ไหน ก็ควรปฏิบัตถึงที่นั่น วันนี้ปฏิบัติธรรม วันนี้ก็คือพระพุทธะ แต้ก็พึงรู้ไว้ว่า มีปณิธาน การปฏิบัติงานธรรมก็คืองานของเราจะวิงวอนขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์อย่างไรก็ไม่มีทางให้เราได้หรอก บุญกุศลที่เราทำก็คือ ของ ๆ เราเอง ทุกสิ่งล้วนอยู่ที่ตัวเราเอง ปัจจุบันคือเช่นนี้ จุดนี้ไม่ทำความเข้าใจไม่ได้

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม

      ตอนนี้เราต่างรู้ว่าการปฏิบัติธรรม การบำเพ็ญธรรม  การเผยแพร่ธรรม คือ กิจแห่งพุทธอริยะ คือกิจแห่งการกู้โลกช่วยคน สร้างบุญกุศล แต่รู้อย่างเดียวจะมีประโยชน์อะไร รู้แล้วควรต้องไปทำ หลายคนรู้ว่านี่คือสิ่งดี แต่ก็ไม่ไปทำเสียที...พระอริยะตรัสว่า "การรู้และการกระทำต้องเป็นหนึ่งเดียว" ความหมายนั้นก็คือ เมื่อรู้ว่าดีก็ควรไปทำ เปรียบเสมือนรู้ว่ากินข้าวแล้วจึงจะมีสารอาหาร สามารดำรงชีพให้คงอยู่ แต่ถ้าหากไม่กินเราก็ต้องตาย ถ้าเช่นนั้นจะมีประโยชน์อะไรความสำคัญของการรู้และการปฏิบัติต้องเป็นหนึ่งเดียว ก็คือจุดนี้เองแล
     การบำเพ็ญธรรม ก็คือ การบำเพ็ญใจของตน พิจารณาตน สำรวจตน ดูว่าตนได้ทดแทนพระคุณบุพการีแล้วหรือยัง ตนได้ทำความชั่วไว้หรือไม่...การบำเพ็ญธรรม ก็คือ ต้องบำเพ็ญให้จิตธรรมปรากฏออกมา จิตธรรม ก็คือ จิตฟ้า พุทธกล่าวว่า ต้องย้อนมองส่องตน พระอริยะกล่าวว่า ต้องสำรวจตน การบำเพ็ญธรรมนั้นคือเพื่อให้ตนได้ดี บุตรชายของท่านขงจื่อถึงแก่กรรม แต่ท่านขงจื่อก็ยังคงปฏิบัติต่อบุตรของคนอื่นดุจการปฏิบัติต่อบุตรของตน อย่างเช่น เอ็นดูบุตรตนอีกทั้งบุตรของผู้อื่น ปรนนิบัติบุพการีของตนอีกทั้งบุพการีของผู้อื่น เราบำเพ็ฯธรรมก็คือ ต้องนำจิตธรรมออกมา จิตธรรมก็คือจิตฟ้า ฟ้าทรงให้กำเนิดสรรพสิ่ง ก็คือทรงประทานให้แก่ชนทั้งหลาย โดยไม่เคยจำกัดว่าจะไม่ให้ใครเลย"
    ตอนนี้เธอได้รับธรรมะแล้ว ก็ควรรู้ว่าฟ้าทรงประทานจิตญาณให้แก่เรา บุพการีเป็นผู้มอบสังขารให้แก่เรา สังขารเราเมื่อมรณาก็สิ้นแล้วหากมีเพียงจิตญาณนี้ที่เราต้องนำกลับคืนฟ้าไป ทุกคนจึงมิควรยึดสิ่งปลอมมาเป็นสิ่งจริง วันใดที่เราหลับตาไป อะไรก็ไม่ใช่ของ ๆ เราอีกแล้ว ในพุทธคัมภีร์ได้กล่าวไว้ว่า" สวรรค์นรกล้วนเกิดขึ้นเพียงชั่วห้วงความคิด" อะไรคือช่วงห้วงความคิด สมมุติว่า เธอด่าฉัน "ขอโทษนะ ต้องขอบคุณท่านที่ช่วยลบล้างหนี้บาปให้เรา เราก็ไม่ต้องไปกังวล ไม่โกรธ นี่ก็คือสวรรค์ แต่หากเธอด่าฉัน "คุณมีสิทธิ์อะไำร" แล้วก็ด่ากลับไป เกิดการตบตีกันขึ้นมา นี่ก็คือความทุกข์และนี่ก็คือนรก เช่นนี้มิใช่เป็นเพียงแค่ชั่วห้วงความคิดดอกหรือ"
    พุทธระเบียบบอกให้เราเคารพอาจารย์ เทิดทูนธรรมะ เคารพอาวุโส เคร่งครัดในพุทธระเบียบ กตัญญูต่อพ่อแม่ ที่ถูกก็ควรเคารพรักษา หากไม่ถูกก็ไม่ควรรับฟัง หากพระอาจารย์ใช้ให้เราหยิบดาบฆ่าคน เราก็จะฟังคำพูดพระอาจารย์เลยหรือ พ่อของเราเป็นหัวขโมย บอกให้เราเป็นขโมย เราก็เป็น อย่างนี้จะเรียกว่าบุตรกตัญญูอย่างนั้นหรือ  วันนี้เราบำเพ็ญธรรม ก็คือ ต้องรู้จักแยกแยะผิดชอบชั่วดี นี่ก็คือ ยึดหลักคืนสู่จริง ต่อพระโอวาทของสิ่งศักดิสิทธิ์ก็ควรเป็นเช่นนี้เหมือนกัน มีเหตุผลก็จงนำไปปฏิบัติ ไม่มีเหตุผลก็ไม่ควรเชื่อ หากเชื่อก็ต้องถือว่าโง่เขลาเบาปัญญา ตรงนี้จะต้องแยกแยะให้ดี การยึดหลักคืนสู่จริงก็คือความหมายนี้นั่นเอง การบำเพ็ญธรรมต้องเน้นที่ความเสมอภาค ดดยไม่มีการแบ่งแยกยากดีมีจน หรือคุณวุติสูงต่ำแต่อย่างใดการบำเพ็ญธรรมหาได้เกี่ยวข้องกับระดับการศึกษาไม่ เรื่องยากดีมีจนก็มิได้เกี่ยวข้องด้วยเช่นกัน ยาจกก็อาจเป็นพระโพธิสัตว์ได้  ฟ้าทรงปกโปรดอย่างกว้างขวาง ศาสนาปราชญ์เก็บงานอย่างสมบูรณ์ ปัจจุบันทั่วทั้งโลกต่างค้นคว้าเรื่องปรัชญาชีวิต ซึ่งทั้งหมดล้วนอิงปรัชยษเหลาจื่อ ขงจื่อ และเมิ่งจื่อเป็นพื้นฐาน เริ่มทำจากมนุษยธรรม หากมนุษยธรรมยังปฏิบัติได้ไม่ดีแล้วยังจะเหลือศักดฺืศรีแห่งมนุษย์อีกหรือ แล้วหากสักสวดมนต์แต่คาถามันมิใช่ไร้ประโยชน์ใด ๆ ดอกหรือ แล้วเช่นนี้จะสำเร็จเป็นพุทธะได้หรือ ดังนั้นการบำเพ็ญธรรมควรเริ่มจากมนุษยธรรม เริ่มจากพื้นฐาน ตัวเราดีแล้วยังต้องส่งเสริมให้คนอื่นได้ดี ตัดกิเลสสิ้นแล้วจึงจะบรรลุสู่ปัญญาอันยิ่งใหญ่ สำรวมใจบำเพ็ญกายให้เที่ยงตรง หากทุกคนเป็นเช่นนี้ โลกเราก็จะกลายเป็นสันติภพแล้วมิใช่หรือ
     เราบำเพ็ญธรรมปกิบัติธรรม ที่สำคัญคือต้องรู้จักสำนึกคุณ อยู่ในบ้านต้องรู้สำนึกพระคุณบุพการีที่เลี้ยงดู เมื่อรับธรรมะแล้วต้องรู้สำนึกว่าสรรพสิ่งล้วนได้ถูกรังสรรค์จากองค์มารดา ดังนั้นเวลารับประทาน ก็ต้องรำลึกว่าทั้งหมดนี้ฟ้าทรงประทานให้ อยู่ในสังคมยิ่งต้องรู้จักขอบคุณทุก ๆ คน ให้ทุก ๆ วันดำรงแต่จิตสำนึกคุณ เราก็จะมีความสุขล้ำทุกเวลา เช่นนี้ก็เปรียบเช่นอยู่บนแดนนิพพาน หากแต่ละวันมีเรื่องที่ไม่พอใจ นั่นก็ไม่พอใจ นี่ก็ไม่พอใจ แต่ละวันมีแต่เรื่องกลัดกลุ้ม นี่มิเท่ากับใช้ชีวิตบนนรกดอกหรือ ไยต้องเป็นเช่นนั้นด้วย ในแต่ละวัน ในทุกขณะเวลา ในทุก ๆ สถานที่ ให้ดำรงไว้ซึ่งจิตสำนึกคุณ รู้ถนอมบุญปัจจัยให้จงดี  สำหรับสารัตถะข้างต้นที่คัดสรรมา ทุก ๆ วาจาล้วนแสนจะเรียบง่ายหากแต่แฝงด้วยนัยอันแยบยล โดยทัศนะการบำเพ็ญที่สำคัญล้วนแฝงอยู่ในนี้ทั้งสิ้น และสำหรับทัศนะการบำเพ็ญแต่อดีตมา เคยมีไหมที่จะอยู่นอกเหนือจากกรอบโอวาทเหล่านี้ได้ขอเพียงแต่เราตั้งใจในการอ่าน ค่อย ๆ ซึมซาบอย่างละมุน เราก็จักสัมผัสถึงคุณธรรมอังสูงล้ำ การปฏิบัติที่เคร่งครัดและความเรียบง่ายในกิจวัตรของท่านเหล่าเฉียนเหรินได้เป็นอย่างดี
    ท่านซือจุนเคยเมตตาไว้ว่า "ธรรมะก็ไม่เห็นมีอะไร  คือสิ่งเรียบง่ายอย่างที่สุดแล้ว เพียงแต่ใจมนุษย์ของเจ้าต่างหากที่ทำให้ซับซ้อนเสียอีก"  ท่านจวงจื่อกล่าวไว้ว่า " รู้ตัวจริงก่อนแล้วจึงจะมีการรู้จริง" เมื่อไม่รู้แจ้งความเป็นชีวิตอย่างลึกซึ้งมากพอก็จะไม่รู้จริงในหลักสัจธรรมทั้งปวง หากไม่มีการรู้จริงเราก็จะกลายเป็นคนตาบอดที่คลำช้างได้ และควรเป็นเช่นไรจึงจะมีการปฏิบัติจริงล่ะ ดังนั้นจากจรอยวัตรของท่านเหล่าเฉียนเหริน เรียกได้ว่าท่านคือผู้ที่แจ้งในใจตนได้อย่างดีที่สุดและจากโอวาทต่าง ๆ เหล่านี้ของท่านก็ล้วนมีประสิทธิผลเช่นตะเกียงที่นำความสว่างให้เราได้บำเพ็ญปฏิบัติสู้ทิศทางอันถูกต้อง จนทำให้เราไม่เคว้งคว้างหลงทางไปในความมืดมนได้เพราะท่านไม่เพียงแต่สามารถแยกแยะความจริงออกจากมายาได้เท่านั้นหากท่านยังเป็นผู้ไม่ยึดติดในลักษณะ ละวางซึ่งอัตตา จิตใจบริสุทธิ์ผุดผ่องเหมือนเช่นตะวันที่ลอยเด่นบนห้วงนภาแล

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม

       จากบทก่อน ๆ เราพอจะทราบได้ว่า ท่านเหล่าเฉียนเหรินเป็นผู้ที่เน้นความสำคัญของการปฏิบัติ ซึ่งปฏิปทาข้อนี้ของท่านได้ถูกปลูกฝังมาแต่เยาวว์วัยและอาจเป็นเพราะท่านมีจิตเมตตาที่แรงกล้าเหนือผู้คนโดยทั่วไป ดังนั้นเมื่อคราวท่านอายุ ๒๐ กว่า นอกจากท่านจะมุ่งมั่นทุ่มเทให้กับกิจการแล้ว ท่านยังปัดกวาดถนนหนทางที่หน้าบ้านท่านตลอดทั้งสายทุกเช้าอย่างเสมอต้นเสมอปลาย จนผู้คนในหมู่บ้านต่างยกย่องท่านว่าเป็นคนดีโดยถ้วนหน้า แต่ท่านก็หาได้เจาะจงทำความดีเฉพาะแค่ผู้คนในหมู่บ้านไม่ หากแต่ท่านจะเมตตาอารีต่อทุก ๆ คน นับแต่เยาว์วัยจนถึงวัยชรา โดยมิเคยเปิดเผยให้ใครรู้แต่อย่างใด อย่างเมื่อปีที่แล้ว ภาคใต้ทางใต้หวันประสบวาตภัยจากพายุใต้ฝุ่นอย่างแสนสาหัส ครั้นท่านทราบข่าวก็รีบดำเนินการบริจาดเงินช่วยเหลือเป็นจำนวนห้าล้านเหรียญ โดยมีญาติธรรมร่วมสมทบอีกสิบล้านเหรียญ โดยท่านจะกำชับอยู่ตลอดเวลาว่าไม่ให้ลงข่าว หรือประกาศออกไปอย่างเด็ดขาด ท่านกล่าวว่า "การให้ความช่วยเหลือคือหน้าที่ที่พวกเราควรทำอยู่แล้ว"
     ในตลอดชีวิตของท่าน ท่านไม่เพียงแต่รณรงค์หลักคุณธรรมแห่งปราชญ์ให้กว้างไกลเท่านั้น หากแต่ยังมุ่งมั่นปฏิบัติให้เป็นรูปธรรมอีกด้วย ในปีหมินกั๋วที่๖๘ (ค.ศ.๑๙๗๙) เดือน ๑๒ วันที่ ๑๖ ท่านได้ก่อตั้งสถานอนุบาลซิ่นอี้ ที่ซีหลัว โดยมีจุดประสงค์ในการรับเลี้ยงเด็กกำพร้า และทำการอบรมบ่มสอนให้เป็นคนดีของสังคมสืบไป ตราบจนปีหมินกั๋วที่ ๗๖ (ค.ศ.๑๙๘๗) ท่านได้เปิดสถานสงเคราะคนชราที่ผูหลี่ โดยให้ผู้ชราได้ใช้ชีวิตในการบำเพ็ญอย่างมีความสุข ดุจว่าได้อาศัยในบนวิมานในบั้นปลาย ต่อมาในปีหมินกั๋วที่ ๗๘ (ค.ศ. ๑๙๘๙) ท่านยังได้ก่อตั้งอนุตตรธรรมวิทยาลัย เพื่อทำการอบรมสร้างสรรค์ยุวชนที่มีใจมุ่งมั่นบำเพ็ญปฏิบัติในอาณาจักรธรรม ในปีหมินกั๋วที่ ๗๙ (ค.ศ. ๑๙๙๐) ท่านยังได้เดินทางไปทำพิธีเบิกหน้าดินเพื่อก่อสร้างอนุตตรธรรมวิทยาลัยที่เมืองไทย ปีหมินกั๋วที่ ๘๑ (ค.ศ. ๑๙๙๒) ขณะท่านเดินทางไปอเมริกา ท่านเห็นที่ดินที่เหมาะสมผืนหนึ่ง จึงเตรียมโครงการก่อสร้างอนุตตรธรรมวิทยาลัยอีกแห่งหนึ่งที่นั่น ฯลฯ  สำหรับกุศลวัตรต่าง ๆ เหล่านี้ของท่าน หากมิใช่เพราะจิตเมตตากรุณาอันยิ่งใหญ่ และวิสัยทัศน์อันยาวไกลที่จะสร้างสาธารรประโยชน์แก่ชาวโลกแล้ว ไยท่านจึงต้องเหน็ดเหนื่อยตรากตรำ และแปลงอุดมการณ์ให้เป็นรูปธรรมอย่างมากมายเช่นนี้ด้วย

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม

       เหตุด้วยท่านเหล่าเฉียนเหรินมีความเข้าใจต่อธรรมะอย่างลึกซึ้ง มีทัศธรรมอันเที่ยงตรง กอปรกับความพากเพียรในการบำเพ็ญปฏิบัติมาตลอดหลายสิบปีจิตใจภายในของท่านจึงบรรสานเป็นหนึ่งเดียวกับฟ้าดินตลอดเวลา ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นการบำเพ็ญธรรมก็ดี การปฏิบัติธรรมก็ดี ทุกจิตทุกใจของท่านจะต้องปฏิบัติไปตามครรลองแห่งฟ้า ท่านเน้นอยู่เสมอว่า "ธำรงจิตฟ้ามาทำงานแห่งฟ้า ตัดซึ่งบุคคลอัตตา นั่นคือ ความเสมอภาคที่แท้จริง" ท่านเมตตาต่อพวกเราอยู่เสมอว่า "การบำเพ็ญธรรมนั้นอยู่ที่ตัวพวกเราเองทั้งสิ้น จะทำหรือไม่อย่างไรไม่มีใครฝืนบังคับเราได้ สมัยพระอาจารย์ยังมีชีวิตอยู่ก็ยังไม่เคยกล่าวว่า "พวกเจ้าจะต้องเชื่อฟังฉัน" เลยสักคำ ดังนั้นทุกสิ่งทุกอย่างต้องให้เป็นไปโดยธรรมชาติ" "ในโลกใบนี้ นอกจากใจจริงของเจ้าที่เป็นจริงดวงนี้แล้ว นอกนั้นล้วนเป็นสิ่งปลอมที่หาได้จีรังยั่งยืนไม่" หนึ่งจุดชี้จากพระวิสุทธิอาจารย์ นั้นคือ ธรรมะ นอกนั้นล้วนเป็นเพียงคำสอน ตรงนี้ต้องทำความเข้าใจ"
     " ยุคสุดท้าย ต้องบำเพ็ญคุณธรรมภายในของตัวเองเสียบ้าง อย่าได้เอาปฏิบัติแต่ภายนอก ที่ปฏิบัติได้ก็จงพากเพียรเร่งปฏิบัติ หากปฏิบัติไม่ได้ ก็จงประคองรักษาปณิธานของตนไว้เช่นนี้ก็จะกลับเบื้องบนได้"
    " พวกเราจะต้องรักษาพุทธระเบียบ นับแต่อดีต ผู้บำเพ็ญยังไม่เคยปรากฏว่า ได้ก่อตั้งเป็นองค์กรหรือคณะเผยแพร่อบรมใด ๆ การบำเพ็ญธรรมก็คือ การบำเพ็ญธรรม ก็เพียงแค่การเจริญตามรอยแห่งปราชญ์อริยา ฉุดช่วยจิตญาณแห่งปวงชนให้คืนสู่เบื้องบน ก็เพียงแค่เรื่องนี้เรื่องเดียวเท่านั้น" วจนะเหล่านี้มีความถูกต้องสมบูรณ์ยิ่ง ถึงแม้จะดูธรรมดา แต่ก็แฝงด้วยปัญญาญาณอันแสนลึกล้ำ
     ความสำเร็จของงานใหญ่ทั้งปวง จะต้องตั้งอยู่บนรากฐานของศักดิ์ศรีมนุษย์อันยิ่งใหญ่ และอันศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์อันยิ่งใหญ่นี้ ก็ต้องมีต้นกำเนิดมาจากจิตใจอันยิ่งใหญ่น่นเอง อันจิตใจที่ยิ่งใหญ่ก็คือ ความรัก ความเมตตา ที่มีต่อมวลมนุษย์ชาติอย่างไม่มีวันเหือดหาย ความมีมนุษยภาพที่แน่วแน่ของท่านในการประคองรักษาสัทธรรมเช่นนี้ ย่อมหมายถึง ท่านเอาชีวิตทั้งชีวิตทุ่มเทต่อการแสวงหาสัทธรรมอย่างไม่ลดละ และเพียรให้ธรรมแท้ปฏิบัติจริง ท่านเอาจิตมุ่งมาดอันเปี่ยมด้วยมหากรุณานี้บุกเบิกสร้างสรรค์หาทางเดิน ที่กว้างใหญ่ราบเรียบไว้ให้มวลมนุษยชาติสร้างสถาบันครอบครัวที่ผาสุก แปรเปลี่ยนโลกอันอัปลักษณ์นี้ให้สวยงาม แปรโลกอันมืดมนให้กลายสว่างไสว เพื่อทุกคนได้ละจากทางมิจฉาสู่ทางสัมมา คลายความโง่เขลาให้เป็นปัญญา เพื่อพ้นจากโลกีย์สู่ความเป็นอริยา ให้สังคมได้สงบสุข ผู้คนสมัครสมานกัน จนกระทั่งโลกเป็นสันติสุข ทั้งหมดนี้คือ อุดมคติชั่วชีวิตของท่านเหล่าเฉียนเหริน ท่านจึงทุ่มเทอุทิศต่อเวไนยสัตว์โดยไม่ย่อท้อใด ๆ  และสิ่งนี้ก็คือปณิธานของท่านเหล่าเฉียนเหริน
     ดังนั้น ท่านจึงอุทิศเสียสละโดยไม่คำนึงถึงความสุขสบาย บ่อยครั้งที่ท่านต้องเดินทางไกล ท่านต้องอดหลับอดนอน ต้องเหน็ดเหนื่อยจากการกรำงานเมื่อมีญาติธรรมมาขอเข้าพบ ท่านก็ไม่เคยปฏิเสธแม้แต่ครั้งเดียว ด้วยเพราะภายในหัวใจของท่านมีแต่เรื่องการส่งเสริมเวไนยสัตว์นั่นเอง ด้วยการอุทิศเสียสละอย่างทุ่มเทของท่าน จึงทำให้เวไนยชนจำนวนมากสามารถตื่นแจ้งจากความฝัน ผู้คนจึงต่างสำนึกในพระคุณของท่าน และยกย่องเทิดทูนท่านให้เป็นธรรมปรินายกแห่งอาณาจักรธรรม และแม้นท่านซือหมู่จะเคยเรียกท่านเช่นนี้มาแล้วก็ตาม แต่ท่านก็ไม่เคยรับฐานะตำแหน่งนี้ ท่านยังคงถ่อมตน และปฏิเสธต่อทุกคนว่า "เราทุกคนต่างก็เป็นศิษย์ของพระอาจารย์ ต่างก็เป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องด้วยกันทั้งนั้น" นี่ก็คือ คุณธรรมอันยิ่งใหญ่ของผู้ทรงธรรมที่มีแต่ให้ โดยหาเคยหวังผลในลาภสักการะแต่อย่างใดไม่ ในตลอดชีวิตของท่าน ท่านไม่เคยเอ่ยคำว่า ""คนนี้คือ โฮ่วเสวียของเรา"" แต่อย่างใด และสิ่งนี้ก็คือแบบอย่างอันน่ายกย่อง คือ ปฏิปทาที่พวกเราควรเจริญรอยตาม
     พระอาจารย์ทรงเคยเมตตาไว้ว่า ""ที่ใดมีธรรม ที่นั่นย่อมดึงดูดผู้คน"" ท่านเหล่าเฉียนเหรินไม่เคยเรียกร้องชื่อเสียง หรือการยกย่องจากผู้อื่นแต่อย่างใด โดยท่านจะปฏิบัติตนเหมือนเช่นดวงอาทิตย์ที่จะมีแต่มอบแสงสว่างและความอบอุ่นให้แก่ชาวโลก โดยหาได้เคยสนใจว่าชาวโลกจะปฏิบัติต่อดวงอาทิตย์อย่างไรไม่ ชาวโลกจะรักใคร่ก็ดี จะเกลียดชังก็ดี ดวงอาทิตย์ก็ยังคงทำหน้าที่ของตนอยู่เช่นนั้น ด้วยเหตุนี้ ท่านเหล่าเฉียนเหรินจึงเป็นที่ยกย่องของผู้คน ด้วยเพราะท่าน คือ ธรรมธาดาผู้เมตตา คือ ผู้ทรงบารมี และคือ ศูนย์รวมจิตใจของเหล่าเวไนยสัตว์นั่นเอง
    อาวุโสเคยเล่าให้ฟังว่า ที่ไต้หวัน หากใครจะเขียนจดหมายถึงท่านเหล่าเฉียนเหริน แมันจะไม่ทราบที่อยู่ของท่านก็ไม่เป็นไร ขอเพียงจ่าหน้าซองว่า ฝูซันท่านเหล่าเฉียนเหริน  บุรุษไปรษณีย์ก็จะนำส่งจดหมายถึงท่านเหล่าเฉียนเหรินได้อย่างแน่นอน และนี่ก็คือบทพิสูจน์ถึงคณธรรมของท่านเหล่าเฉียนเหรินที่ได้ปฏิบัติต่อทุกคนอย่างเสมอภาค ไม่แบ่งแยกยากดีมีจน จนเป็นที่รักใคร่ขออนุชนอย่างไม่มีข้อกังขาใด ๆ เลย

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม

      ตลอดหลายสิบปีมานี้ เพื่อการฉุดช่วยเวไนยสัตว์ ท่าต้องตรากตรำกรำงานกับการเดินทางจนยากที่จะมีวันหยุดพักผ่อน ทั้งนี้เพื่อเป็นการตอบแทนพระมหากรุณาธิคุณแห่งฟ้า เพื่อฉุดช่วยเหล่าเวไนยสัตว์ให้หลุดพ้น และเพื่อให้พุทธบุตรทั้งหลายต่างได้กราบเฝ้า พระแม่องค์ธรรมอย่างพร้อมเพรียงกันนั่นเอง ดังนั้นที่ฝูซันครั้งถึงวันหยุดเมื่อไร ญาติธรรมก็จะทยอยกันเดินทางมาคารวะท่านเหล่าเฉียนเหรินตั้งแต่เช้าจรดค่ำอย่างไม่ขาดสาย และท่านเหล่าเฉียนเหรินก็จะเมตตาต่อทุกคนตลอดทั้งวัน ท่านจะคอยส่งญาติธรรมกลุ่มแล้วกลุ่มเล่า คนแล้วคนเล่า ดังนั้นตลอดหลายสิบปีมานี้ จึงถือว่าท่านได้ปฏิบัติดั่งเช่น ท่านบรมครูขงจื่อที่ได้อบรมผู้คนอย่างไม่รู้เหนือยหน่ายอย่างแท้จริง ขอเพียงมีญาติธรรมมาเยือน ท่านก็จะทุ่มเทส่งเสริม และต้อนรับทุกคนด้วยผลไม้หรือขนมว่างอย่างอบอุ่น ครั้นญาติธรรมอำลากลับ ท่านก็จะมอบผลไม้ที่บูชาแล้วให้ทุกคน พร้อมทั้งส่งทุกคนถึงประตูใหญ่ จนรถแล่นลับตาไปแล้วจึงจะกลับเข้าไปในเรือน ท่านจะทำเช่นนี้ตลอดทั้งวัน โดยไม่คำนึงถึงอายุสังขารของท่านแต่อย่างใด
     มีอยู่ปีหนึ่ง ได้มีญาติธรรมจากไทเปคณะหนึ่งมาคารวะท่าน ทุกคนต่างเห็นท่านเมตตาต่อญาติธรรมจนน้ำเสียงแหบแห้ง ริมฝีปากบวมแดง แต่ท่านก็ยังมิยอมหยุดพักผ่อน ยังคงส่งเสริมทุกคนด้วยความเอ็นดู ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างซาบซึ้งจนน้ำตาคลอ และในวันหนึ่งของปีที่แล้ว ญาติธรรมจากประเทศญี่ปุ่นได้เดินทางมาคารวะท่าน  ท่านเหล่าเฉียนเหรินก็ยังคงออกมาต้อนรับทุกคนด้วยความอบอุ่น และส่งทุกคนเดินทางกลับเหมือนเช่นทุกครั้งที่ผ่านมา เมื่อท่านกลับถึงห้องพัก เสื้อผ้าของท่านก็ชุ่มไปด้วยเหงื่อเสียแล้ว สำหรับจิตใจที่เสียสละอย่างไม่ย่อท้อเช่นนี้ แม้นท่านจะสิริอายุสูงถึง ๙๐ กว่าแล้วก็ยังมิเคยเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด พวกเราจึงรู้สึกละอายใจเป็นยิ่งนัก
    หรือกระทั่ง  บ่อยครั้งที่ท่านเมตตาส่งเสริมญาติธรรมจนน้ำเสียงแหบแห้ง เมื่อญาติธรรมมาถึง ก็มิทราบว่าพละกำลังของท่านได้ผุดขึ้นมาจากไหน เพียงพริบตาท่านก็กลับมากระปรี้กระเปร่าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น จะต่างก็แต่เพียงน้ำเสียงที่ยังคงแหบแห้งเท่านั้น ในสมัยก่อนท่านซือจุนเคยทรงเมตตาท่านเหล่าเฉียนเหรินว่า " เมื่อเขาอยู่นิ่งปากก็ต้องขยับ เมื่อปากอยู่นิ่งขาก็ต้องขยับ " เราต่างก็ทราบดีว่าท่านเหล่าเฉียนเหรินจะมีความเคารพรักและนำพาในโอวาทของท่านซือจุนทุกประการ และแม้นจะเป็นเช่นนั้นก็จริง แต่หากท่านเหล่าเฉียนเหรินมิได้มีความศรัทธาจริงใจอันบริสุทธิ์ มิได้มีปณิธานที่มุ่งฉุดช่วยเวไนยอันยิ่งใหญ่แล้ว จะมีพละกำลังจากที่ใดที่จะมาประคับประคองร่างกายอันแสนเหนื่อยล้าให้กลับมีชีวิตชีวา เพื่อส่งเสริมเวไนยสัตว์อีกเล่า
    เมื่อสามเดือนก่อน ท่านซือจุนได้ทรงประทับญาณเมตตาว่า " พวกเจ้าทราบไหมว่าเหล่าเฉียนเหรินของพวกเจ้าช่างยิ่งใหญ่เสียจริง ๆ เขารักพวกเจ้ามากเหลือเกิน พวกเจ้ายังมิได้แก่ชรา พวกเจ้าจึงไม่รู้ถึงความลำบากของคนชรา โดยเฉพาะคือ คนชราที่มีอายุสูงถึง ๙๐ กว่าแล้ว ความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้านั้น หาใช่สิ่งที่โฮ่วเสวียอย่างพวกเจ้าจะสามารถสัมผัสรับรู้ได้ไม่ พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่า เหล่าเฉียนเหรินของพวกเจ้าต้องการอยู่ดูแลพวกเจ้าต่ออีกหลายๆ ปี ฟ้าเบื้องบนทรงมิอาจอดใจทนดูได้เลย พวกเจ้ารู้ไหม ที่เหล่าเฉียนเหรินของพวกเจ้าเดินทางไปสาธารรรัฐอริเซียสในปีนี้ แท้จริงคือฝืนสังขารไป แม้แต่พระอาจารย์ที่เฝ้าดูอยู่ข้าง ๆ  ก็ยังอดสงสารมิได้เลย" นักเรียนที่ฟังอยู่ต่างพากันซาบซึ้งจนน้ำตาคลอเป้า
     และในปีหมินกั๋วที่ ๓๐ (ค.ศ. ๑๙๔๑) ท่านซือจุนทรงเคยปรารภที่เทียนจินว่า " ญาติธรรมที่ศรัทธากินแจก็มีมากขึ้นแล้ว หากมีที่ให้ทุกคนฝังอยู่ด้วยกันได้ ฉันก็จะเบาใจไม่น้อย" ครั้นท่านเหล่าเฉียนเหรินได้สดับก็นำพาในใจอยู่เสมอมา และตลอด ๕๐ ปีมานี้ ท่านไม่เคยลืมความตั้งใจที่จะสานปณิธานของท่านซือจุนแม้แต่น้อย ดังนั้นในปีที่แล้ว แม้นท่านจะสิริอายุสูงถึง ๙๔ ปีแล้วก็ตาม ท่านก็ยังคงห่วงใยในเรื่องนี้อยู่ตลอดเวลา ท่านจึงตัดสินใจซื้อที่ดินที่ผูหลี่ เพื่อใช้สำหรับก่อสร้างสถูปอังคารมอบให้บรรดาญาติธรรมทั้งหลาย
     ตลอดหลายสิบปีมานี้ สิ่งที่ท่านเหล่าเฉียนเหรินได้ทำให้กับพวกเรานั้นมากมายจนสุดจะพรรณาให้สิ้นได้ ท่านไม่เพียงแต่ได้ฉุดช่วยจิตวิญญาณของพวกเราเท่านั้น หากท่านยังห่วงใยในสารทุกข์สุกดิบของพวกเรา อันหัวใจที่ห่วงหาอาทรต่อพวกเราเช่นนี้ ได้ทำให้พวกเราทุกคนรู้สึกซาบซึ้งและละอายใจยิ่งนัก เพราะความจริงควรเป็นพวกเราต่างหากที่ต้องปรนนิบัติดูแลท่าน แต่ท่านกลับเหมือนเช่นบิดาที่คอยคำนึงถึงความเป็นอยู่ของพวกเราทุกคนอย่างไม่ว่างเว้น สำหรับพระคุณอันยิ่งใหญ่เช่นนี้ แม้นจนชีพวายก็ยังหาอาจทดแทนพระคุณของท่านให้สิ้นได้ไม่ และอันน้ำใจของท่านนั้นก็ได้ประทับตรึงใจพวกเราอย่างมิมีวันเสื่อมคลาย
    ครั้นรำลึกถึงอดีต สมัยที่ท่านยังอยู่กับพวกเราทุก ๆ คน ท่านไม่เพียงแต่จะเมตตาพวกเราในชั้นประชุมธรรมเท่านั้น หากท่านจะคอยอบรมเมตตาพวกเราทุกคนอยู่ทุกโอกาส ไม่ว่าจะอยู่ในเวลาไหน สถานที่ใด เมื่อสบโอกาส ท่านก็จะเมตตาต่อญาติธรรมในทุกรายละเอียดอย่างไม่ย่อท้อ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการยกน้ำชา เปิดประตู กวาดพื้น หั่นผัก ดายหญ้า เขียนหนังสือ กราบพระ  ตลอดจนมารยาทในการต้อนรับแขกต่าง ๆ ท่านล้วนให้ความใส่ใจและอบรมพวกเราด้วยความอดทนอยู่เสมอ ท่านกล่าวว่า " ธรรมะมิอาจห่างได้แม้นเพียงชั่วครู่ "  " หากห่างจากชีวิตประจำวันแล้ว ไหนเลยจะมีธรรมะได้ "
    ทั้งหมดเหล่านี้ล้วนแสนจะธรรมดา แต่ภายในนั้นล้วนแฝงไว้ด้วยความรักอันยิ่งใหญ่ ดังความตอนหนึ่งที่มีบันทึกในคัมภีร์ไบเบิลว่า "ความรักนั้นหาได้ขาดตอนไม่" ซึ่งคำๆ นี้ ก็สามารถเป็นบทสะท้อนในความรักของท่านเหล่าเฉียนเหรินที่มีต่อพวกเราทุกคนได้เป็นอย่างดี ไม่เพียงแค่นี้เท่านั้น เนื่องจากท่านเหล่าเฉียนเหรินเป็นคนที่มีน้ำใจไมตรีสูง ท่านจึงให้ความห่วงใยและดูแลต่อบรรดานักธรรมอาวุโส หรือ สามคุณผู้สูงอายุมากเป็นพิเศษ ดังนั้นท่านจึงมักทักทายหรือโทรศัพท์ถามไถ่สารทุกข์สุกดิบ หรือกระทั่งเดินทางไปเยี่ยมเยือนด้วยตัวท่านเองอยู่เสมอ ท่านเหล่าเฉียนเหรินจะคอยดูแล และคำนึงถึงนักธรรมผู้สูงอายุเหล่านั้นมิเคยขาด ด้วยน้ำใจของท่านเช่นนี้ ก็ได้สร้างความประทับใจให้แก่นักธรรมเหล่านั้นเป็นอย่างมาก

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม

      ดังนั้น เมื่อข่าวการสำเร็จธรรมของท่านเหล่าเฉียนเหรินได้แพร่กระจายออกไป นักธรรมเหล่านั้นจึงร่ำไห้เพรียกหาท่านเหล่าเฉียนเหรินปานจะแหลกสลายต่างเศร้าโศกเสียใจดุจสูญเสียบุพการีผู้ให้กำเนิด ในโลกนี้ยังจะมีความสูญเสียใดที่ได้สร้างความเจ็บปวดทรมานถึงเพียงนี้อีกหรือ

            สำนึกบุญคุณฟ้าอันยิ่งใหญ่
            จึงตั้งใจฝักใฝ่โปรดคนหลง
            สำนึกคุณพระอาจารย์อันยืนยง
            จึงจำนงคงมั่นฉุดเวไนย

     เพื่อพระมหากรุณาธิคุณอันไพศาล เพื่อเวไนยสัตว์ในโลกหล้าอันมากมาย ท่านเหล่าเฉียนเหรินจึงได้ตั้งปณิธานอันยิ่งใหญ่ที่จะต้านภัยช่วยโลกโดยไม่ขอสิ้นสุกหยุดยั้ง ท่านปฏิบัติเหมือนเช่นเหล่าพุทธะแลพระโพธิสัตว์ทั่วสากลที่จะคอยปกป้องคุ้มครองเหล่าเวไนยสัตว์ ส่งเสริมเมตตาเหล่าเวไนยสัตว์ ตราบจนเวไนยสัตว์คนสุดท้ายได้เป็นพระพุทธาแล้วจึงจะถือว่าสิ้นสุดในภารกิจได้
    ดังนั้นตลอดหลายสิบปีมานี้ ท่านจึงเผาผลาญพลังชีวิตของท่านเพื่อส่องสว่างจิตใจชาวโลกให้ตื่นฝัน จนแม้นชีวิตจะหาไม่แล้ว ท่านก็ยังคงเฝ้าทนุถนอมพวกเราอยู่ทุกเวลา แม้นบัดนี้ท่านได้จากพวกเราไปแล้ว แต่ปฏิปทาของท่านก็ยังคงฝังรากหยั่งลึกอยู่ในดวงใจของพวกเราทุกคน และจะเจริญงอกงามอยู่ในดวงใจของเวไนยทั่วหล้าสืบไปชั่วกาลนาน   

                  ท่านทรงธรรมบารมีไพศาลยิ่ง
          คอยติติงประสิทธิ์ศาสตร์ให้ตื่นฝัน
          คอยห่วงหาเมตตาด้วยชีวัน
          คอยแบ่งปันรักมั่นมิผันแปร
                 ห้าสิบกว่ามิผันผายหายไปไหน
          ทุกหายใจห่วงใยและดูแล
          ทั้งชีวิตรักเวไนยใจแน่แท้
          มิเคยแปรเปลี่ยนไปตามเวลา
                 ท่านเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้ากรำงานหนัก 
          ไม่เคยพักความหนักหน่วงห่วงกายหนา
          ต้องเดินทางอย่างวิบากทั้งชีวา
          ด้วยรำลึกถึงคุณฟ้ากตัญญู   
                   มาบัดนี้เก้าสิบห้าท่านลาจาก
          เราเคว้งคว้างดุจถูกพรากดวงชีวัน
          อสนีลั่นเปรี้ยงปร้างมิคาดฝัน
          เศร้าจาบัลย์พลันสะอื้นทั่วฝูซัน
                   แสงสุรีย์ริบหรี่กระไรหนอ
          ฤาน้ำคลอหน่วยตาจนสิ้นแสง
          จิตระทมตรมทุกข์จนสิ้นแรง
          อกระแหงแห้งผากในราตรี
                   หวนระลึกถึงคำที่ท่านมอบ
          จึงยังขอบใจชื้นฟื้นชีวี
          มัวจมปรักดักดานไม่มีดี   
          มิสู้ปรี่รี่ทำแทนคุณไป   
                   ขอให้สานปณิธานของเราเถอะ
          อย่าเลอะเทอะยึดสังขารท่านว่าไว้
          ให้ฉุดช่วยทวยเวไนยด้วยดวงใจ
          ก็ดุจได้ท่านอยู่เคียงมิไกลเลย
                    จึงน้อมจิตอธิษฐานพนมกร
          จิตอมรมิคลอนแคลนทำเมินเฉย
          ต่อแต่นี้จะมุ่งมั่นนำธรรมเผย
          ดุจลมเย็นที่รำเพยทั่วธรา
                     จะขอใจใฝ่ธรรมบำเพ็ญมั่น
          จะบุกบั่นแพร่ธรรมไปทั่วหล้า
          จะรจิตดวงใจด้วยธรรมา
          เพื่อโลกาได้สันติสุขีเอย

                                                              จบเล่ม 

Tags: