collapse

ผู้เขียน หัวข้อ: คัมภีร์ทางสายกลาง (ปฐมบท)  (อ่าน 25137 ครั้ง)

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
        หากมีการเกิด ( ความชอบใจ ขัดใจ เสียใจ สุขใจ ) การเกิดขึ้นนั้นทุกอย่างจะต้องอยู่ในขอบเขตของความพอดีเมื่อเป็นความพอดี จึงเรียกได้ว่าเป็นความปกติและสมานกลมกลืน ในเมื่อจิตใจของคนเราคล้อยตามปรุงแต่งไปกับวัตถุสัมพันธ์ทางโลกอารมณ์จิตใจจึงปรวนแปรเรื่อยไปไม่ต่างอะไรกับกระแสน้ำ และในเมื่อน้ำ ไม่มีคุณสมบัติที่จะหยุดยั้งตัวเองให้สงบได้ เกลียวคลื่นลูกใหญ่จึงทำลายทุกอย่างที่ขวางหน้า
        คน มีคุณสมบัติที่จะระงับยับยั้งคลื่นอารมณ์ของตนได้ เพราะคนมีชีวิตจิตญาณซึ่งมีคุณวิเศษ ของเบ็ญจสภาวะธรรมคือ การุณย์ธรรม ( เหยิน ) คุณธรรม ( อี้ )จริยธรรม( หลี่) ปัญญธรรม(จื้อ) และสัตยธรรม (ซิ่น) เป็นธาตุแท้ในธรรมญาณ
        การุณย์ธรรม (เหยิน) จะก่อเกิดความเวทนาอาดูร           เมื่อประสบเรื่องเลวร้ายทารุณ
        คุณธรรม       (อี้)     จะก่อเกิดความรังเกียจละอาย       เมื่อประสบเรื่องผิดทำนองคลองธรรม
        จริยธรรม      (หลี่)    จะก่อเกิดความยินดีเสียสละ         เมื่อประสบเรื่องเอาเปรียบผิดจรรยา
        ปัญญาธรรม   (จื้อ)    จะก่อเกิดความเข้าใจในชั่วดีถี่ห่าง  เมื่อประสบเรื่องหลงผิดเหลวไหล
        สัตยธรรม      (ซิ่น)    จะก่อเกิดความเชื่อมั่น เมื่อสภาวะธรรมทั้งสี่ข้างต้นสำแดงคุณดังกล่าว
คนจึงมีคุณสมบัติที่จะระงับยับยั้งคลื่นอารมณ์ของตนเองได้ นอกจากนั้นคนยังมีคุณสมบัติของพลานุภาพ ศักยภาพ และธรรมานุภาพเป็นพื้นฐานในธรรมญาณ เมื่อสัญชาติญาณ วิจารณญาณ และปัญญาญาณเป็นสติ ให้สัญญาณเตือนภัยในจิตสำนึก คนจึงควรที่จะควบคุมสภาพจิตใจให้อยู่ในขอบเขตของความพอดี รู้จักยับยั้ยชั่งใจ หรือระงับดับอารมณ์ความรู้สึกต่าง ๆ ได้ มิให้เตลิดไปจนไร้ขอบเขต มิให้วุ่นวายไปจนเกินพอดี มิให้พลุ่งพล่านไปจนสร้างความเสียหายให้แก่ชีวิน ทรัพย์สิน และสิ่งต่าง ๆ ตลอดจนตนเอง ดังที่ได้เห็นได้ยินมาว่า มีคนหัวเราะชอบใจจนขาดใจตาย ร้องไห้เสียใจจนเสียสติ โกรจัดจนเสียสติบ้าคลั่ง..และอื่น ๆอีกมากมายหลายรูปแบบหลายระดับความรุนแรง ซึ่งล้วนเกิดจากใจเป็นต้นเหตุ
         ท่านบรมครูจอมปราชญ์ขงจื้อ จึงได้โปรดเตือนใจไว้ว่า หากมีการเกิดความชอบใจ  ขัดใจ  เสียใจ  สุขใจ  การเกิดขึ้นนั้นทุกอย่างจะต้องอยู่ในขอบเขตของความพอดี เมื่อเป็นความพอดี จึงเรียกได้ว่าเป็นความปกติและสมานกลมเกลียว

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
       สัจธรรมความเที่ยงตรงเป็นกลางนั้น เป็นธาตุแท้ต้นกำเนิดอันเป็นฐานเป็นหลักของทุกสิ่งอย่างภายใต้ฟ้านี้ ความสมานกลมกลืนเป็นปกตินั้น เป็นวิถีอนุตตรธรรม เป็นธรรมอันเกษม ซึ่งเป็นแก่นแท้แห่งธรรมภายใต้ฟ้าหนี้
       วิถีธรรม"จง-อยง" คือ "เที่ยงตรง-สุจธรรม"ที่ท่านบรมครูจอมปราชญ์ขงจื้อ หรือศาสดาแห่งศาสนาปราชญ์ได้โปรดแสดงต่อศิษย์เพื่อนำพาศิษย์ทั้งหลายให้รู้แจ้งเห็นจริงกับดวงจิตชีวิตแท้ธรรมญาณของตนเองโดยฉับพลันนั้น ประโยคแรกในบทแรกก็ได้ชี้ชัดในทันทีว่า"ชีวิตธรรมญาณจากฟ้าอันเป็นที่มาของจิตญาณ" หรืออีกนัยหนึ่งคือจิตญาณชีวิตจากฟ้าที่เรียกว่าธรรมญาณ
        เมื่อจิตญาณคือชีวิตที่มาจากฟ้า เคยมีสภาวะเป็นธรรมญาณอันบริสุทธิ์สูงส่งดีงามมาก่อน การมาสถิตย์อยู่ในกายสังขารซึ่งเป็นวัตถุธาตุอันหาความเที่ยงแท้มิได้นั้น กายสังขารจึงเป็นเพียงทางผ่านที่พักอาศัยใช้สอยชั่วคราวหลังจากทิ้งกายสังขารแล้วจึงควรจะกลับคืนไปสู่"ชีวิตธรรมญาณแห้งฟ้าเบื้องบน"ดังเดิมได้ 
        ท่านบรมครูขงจื้อ จึงได้โปรดแสดงธรรมประโยคที่สองต่อไปอีกว่า"ประคองรักษาจิตญาณอันเที่ยงตรงคือธรรมะ" หมายถึงการจะกลับคืนไปสู่สภาวะเดิมได้จะต้องประคองรักษาความบริสุทธิ์สูงส่งดีงามของดวงธรรมญาณไว้ให้ดี ๆ เรียกง่าย ๆ ว่า"มาอย่างไรก็ให้กลับไปอย่างนั้น" แต่การนี้มิใช่จะทำได้ง่าย ๆ เลยเพราะ"จิตสำนึกรู้ตื่น"ของแต่ละคนต่างกัน จึงมีทั้งตื่นจริง ตื่นไม่จริง มีทั้งตื่นชั่วขณะ และตื่นถึงที่สุด แน่นอนผู้ตื่นจริงและผู้ตื่นถึงที่สุดจึงต้องทำหน้าที่ชี้ทางนำพาผู้ไม่รู้ตื่น เหมือนพี่ที่จูงน้องเดินไปมิให้หลงทางท่านเหล่านั้นคือพระศาสดาผู้ก่อเกิด ศาสนาคำสอนอันตรงต่อความ"เที่ยงตรง-สัจธรรม"
         ท่านบรมครูขงจื้อศาสดาแห่งศาสนาปราชญ์จึงโปรดแสดงธรรมในบท "จง-อยง" ประโยคที่สามว่า "การบำเพ็ญเป็นที่มาของศาสนาคำสอน" การบำเพ็ญ หมายถึงการประคองรักษากล่อมเกลาจิตใจให้กลับคืนสู่สภาวะบริสุทธิ์สว่างสูงส่งดีงามพร้อมบริบูรณ์อย่างเดิม ผู้รู้ตื่น และตื่นถึงที่สุด เท่านั้นจึงจะเป็นผู้บำเพ็ญจริงและผู้บำเพ็ญจริงเท่านั้นที่จะบรรลุจริง
          ท่านบรมครูขงจื้อจึงได้โปรดแสดงธรรมประโยคที่สี่ต่อไปอีกว่า"ธรรมะ สภาวะธรรมนั้นเป็นสิ่งซึ่งมิอาจจากพรากแม้ชั่วขณะ แม้หากจากพรากได้ไซร้มิใช่ธรรมะ
          พระศาสดาทุกศาสนาจึงโปรดแสดงธรรมอันเป็นแก่นแท้ของการบำเพ็ญไว้เพื่อชี้ทางนำพาสาธุชนให้มุ่งตรงต่อวิถีแห่งจิตอันเป็นวิถีแห่งการบรรลุคือประคองรักษาจิตให้เที่ยงตรงอยู่ในสัจธรรม การบำเพ็ญจิตให้เที่ยงตรงอยู่ในสัจธรรมนั่นเอง จึงจะเป็นแก่นแท้ของศาสานาหรือเรียกได้ว่าเป็น""หัวใจของศาสนา""
          หัวใจของศาสนาปราชญ์นั้นท่านบรมครูขงจื้อ ได้โปรดแสดงไว้ว่า"โน้มนำจิต กล่อมเกลี้ยงธรรมญาณประคองความเป็นกลางเข้าสู่ความเป็นหนึ่ง" หมายถึงคุมใจให้คงที่เลี้ยงดูรักษาจิตเดิมแท้มั่นคงอยู่ในความเที่ยงตรงบรรลุสัจธรรมหนึ่งเดียวกันกับมหาจักรวาลคืออนุตตรภาวะ
           หัวใจของศาสนาเต๋านั้นท่านจอมปราชญ์เหลาจื้อได้โปรดแสดงธรรมไว้ว่า"บำเพ็ญจิตฝึกธรรมญาณประคองธาตุกำเนิดรักษาความเป็นหนึ่งไว้"หมายถึง บำรุงรักษาจิตใจให้บริสุทธิ์ฝึกฝนจิตญาณไว้ให้มั่นคงเที่ยงตรงประคองรักษาธาตุกำเนิดคือธรรมญาณ รักษาสภาวะธรรมความเป็นหนึ่งเดียวกันกับมหาจักรวาลคืออนุตตรภาวะไว้
           หัวใจของศาสนาพุทธก็เช่นเดียวกัน พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้โปรดแสดงธรรมอันตรงต่อวิถีแห่งจิตเพื่อการหลุดพ้นโดยตรงคือให้สาธุชน""รู้แจ้งเห็นจิตแท้ธรรมญาณแปดหมื่นสี่พันธรรมขันธ์รวมเป็นหนึ่งเดียว""หมายถึงรู้ชัดในสัจธรรมรู้เท่าทันจิตใจของตนรู้ตนในตนคือรู้ธรรมญาณตนจริงที่อาศัยอยู่ในสังขารอันเป็นตนสมมุติสภาวะและข้อธรรมกำหนดทั้งหลายทั้งปวงกลับคืนสู่สภาวะธรรมเที่ยงตรง-สัจธรรมหนึ่งเดียวกันกับมหาจักรวาลคืออนุตตรภาวะ
           ดังจะเห็นได้ว่า ศาสนาที่แสดงธรรมตรงต่อวิถีแห่งจิต ซึ่งได้ยกตัวอย่างโดยสังเขปเพียงสามศาสนาล้วนแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าดวงจิตชีวิตธรรมญาณซึ่งถือกำเนิดจากฟ้าคืออนุตตรธรรมมารดา แต่เดิมทีนั้นเป็นหนึ่งเดียวกัน
           ทุกพระองค์ซึ่งรู้แจ้งเห็นจริงต่อสัจธรรมนี้แล้วจึงได้แสดงธรรมตรงต่อกันว่า"กลับคืนสู่ความเป็นหนึ่ง"คือกลับคืนสู่อนุตตรภาวะแต่เดิมที ซึ่งเป็นหนึ่งเดียวกัน

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
         เมื่อจิตเข้าถึงจุดหมายอันเที่ยงตรงเป็นกลางมีสภาวะอันสามนกลมกลืนอันเป็นปกติ ฟ้าดินย่อมดำรงอยู่ด้วยความถูกต้องมั่นคง สรรพสิ่งย่อมเอื้อหนุนเนื่องกัน ดังกล่าวแล้วข้างต้นว่าชีวิตจริงของเราคือภาคที่แยกมาจากพระแม่องค์ธรรมศูนย์รวมพลังวิเศษมหาศาลเกินกว่าประมาณได้ในมหาจักรวาล
         ทุกชีวิตจิตญาณบริบูรณ์พร้อมด้วยสภาวะธรรมอันวิเศษแยบยลสุดประมาณ คนจึงเป็นสัตว์ประเสริฐ คนจึงเป็นผู้ก่อเกิดสร้างสรรค์พัฒนาสิ่งต่างๆ ได้ด้วยพลานุภาพอันบริสุทธิ์พร้อมด้วยสภาวะธรรมอันวิเศษแยบยลที่มีอยู่ในตน
         พลานุภาพยิ่งใหญ่ในมหาชนรวมกัน จึงอาจบันดาลความเป็นไปให้เกิดแก่โลกนี้ได้ ยกตัวอย่างง่าย ๆ เป็นการเทียบเคียงเฉพาะเรื่องว่าถ้าพลานุภาพของทุกชีวิตจิตญาณเปรียบได้ดั่งแสงไฟจากหลอดไฟฟ้าคนละเพียงห้าแรงเทียนเท่านั้น แต่หากหลายพันล้านคนพร้อมใจให้แสงส่อง โลกนี้คงไม่มีรัตติกาลอันมืดมิด ไม่มีวิกฤตการณ์ใด ๆ จะมีแต่ความใสสว่างทั้งกลางวันกลางคืน
         หากจะเปลี่ยนการเทียบเคียงจากแสงไฟไปเป็นคุณความดี ถ้าหลายพันล้านคนในโลกนี้พร้อมใจกันดำรงอยูาในคุณความดีตามปกติเท่านั้น โลกนี้คงไม่มีโจรภัยเรื่องร้ายทุกข์เข็ญเป็นแน่แท้
         ท่าบรมครูขงจื้อจึงได้โปรดชี้ชัดให้ศิษย์ตระหนักถึงความสำคัญของทุก ""ตัว"" ""ตน"" ว่าเมื่อจิตเข้าถึงจุดหมาย เป็นกลางคือเมื่อจิตเที่ยงตรง ไม่คล้อยตาม ไม่ปรุงแต่ง ไม่เอียงอิงสิ่งใด จิตมีสภาวะเป็นปกติสมานกลมกลืนอยู่ในหลักสัจธรรมเป็นหนึ่งเดียวกัน ฟ้าดินย่อมดำรงอยู่ด้วยความถูกต้องมั่นคง
         ฟ้า หมายถึงบรรยายกาศที่ห่อหุ้มโลกนี้ทั้งหมด สภาวะอันสูงส่งของชีวิตจิตญาณอันสูงส่งที่ครองอยู่ในกายสังขาร
         ดิน หมายถึงโลกและทุกสิ่งอย่างบนโลกนี้ กายสังขารที่ชีวิตจิตญาณครองอยู่
เมื่อทุกชีวิตจิตญาณเข้าถึงจุดหมายที่เป็นกลาง มีความเที่ยงตรงเป็นปกติ มีความสมานกลมกลืนอยู่ในหลักสัจธรรม ชีวิตของผู้นั้นย่อมดำรงอยู่ด้วยความถูกต้องมั่นคง ไม่มีเหตุร้ายโทษภัย เวรกรรมตามล้างตามสนอง เมื่อทุกชีวิตจิตญาณซึ่งมีพลานุภาพอันบริบูรณ์พร้อมด้วยสภาวะธรรมอันวิเศษแยบยลเข้าถึงจุดหมายที่เป็นกลางมีความเที่ยงตรงเป็นปกติ มีความสมานกลมกลืนอยู่ในหลักสัจธรรม บรรยายกาศที่ห่อหุ้มโลกนี้ และทุกสิ่งอย่างที่อาศัยหรือเกิดมีในโลกนี้ย่อมดำรงอยู่ด้วยความถูกต้องมั่นคงตามสภาพอันเหมาะสมและตามสภาพที่ควรจะเป็นของสิ่งนั้น ๆ
         สรรพสิ่งย่อมเอื้อคุณหนุนเนื่องกัน เมื่อผู้คนและทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดมีในโลกนี้ต่างก็ดำรงอยู่ร่วมกันในบรรยายกาศที่เป็นปกติถูกต้องมั่นคงตามสภาพอันเหมาะสมและตามสภาพที่ควรจะเป็นแล้วการดำรงอยู่ของผู้คนและทุกสิ่งทุกอย่างก็ย่อมให้คุณแก่กันสร้างเสริมซึ่งกันและกัน
        สภาวะของฟ้าดินในความหมายของชีวิตจิตญาณ กายสังขาร ก็เช่นกันคือ เมื่อสุขภาพจิต สุขภาพร่างกาย ดำรงอยู่ด้วยความปกติมั่นคง ไม่ผันผวนเจ็บป่วยด้วยอารมณ์ ด้วยโรคภัยไม่มี ความผิดปกติของอวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งแล้ว สมองย่อมปลอดโปร่งแจ่มใส ปัญญาญาณย่อมกระจ่าง กว้างไกล อวัยวะทุกส่วนของร่างกายก็จะทำงานด้วยความเหมาะสมพอดี ชีวิตจิตญาณและกายสังขารจึงเอื้อคุณหนุนเนื่องกัน สิ่งแวดล้อม อาหาร การกินทุกอย่างเอื้อคุณหนุนเนื่องกัน ชีวิตจิตญาณฟ้า กายสังขารดินก็จะดำรงอยู่ด้วยความเป็นปกติสุขอย่างแน่อน

Tags: