ประจักษ์หลักฐานสภาพความเป็นจริงในสามด่าน
ถือศีลเจได้ไม่บริสุทธิ์พลาดต่อวาระโอกาสของตน ( เฉาหมิงหวง ถันจู่ )
บำเพ็ญธรรม อย่าได้ลืมระเบียบข้อห้ามศีลวินัย อย่าได้ใส่ร้ายทำลายมหาธรรม เพราะมันจะย้อนมาที่ตัวเอง ข้าพเจ้า
"เฉาหมิงหวง" ได้รับพระมหากรุณาธิคุณเบื้องบน วันนี้จึงมีโอกาสมาปรากฏกายที่พุทธสถานแห่งนี้ บำเพ็ญธรรมจะต้องรู้ถูกผิดดีชั่วจะต้องรักษาศีลวินัยให้เคร่งครัด ถ้าต้องการตอบแทนพระคุณฟ้าดิน หรือต้องการหลุดพ้นกลับคืนสู่พระนิพพานก็จะต้องตั้งกำหนดตั้งปณิธาน อย่าได้แค่มีชื่อปลอม ๆ อย่างข้าพเจ้าผิดต่อเจตนาของเบื้องบน
ตอนอายุ ๓๕ ปี ข้าพเจ้าได้ตามภรรยาไปรับวิถีธรรม พออายุได้ ๓๘ ปี ก็ตั้งพุทธสถานที่บ้าน พวกเราสองคนสามีภรรยาศรัทธาอย่างเต็มเปี่ยม แต่งานที่ข้าพเจ้าทำเป็นงานหยาบใช้แรงงาน อยู่นอกบ้านจะกินเจก็ไม่สะดวก
ข้าพเจ้ามักจะพูดต่อหน้าโต๊ะพระเสมอ ๆ ว่า
" ข้าพเจ้าหมิงหวง วันนี้ต้องทำงานหยาบ อยู่ที่บ้านจะกินเจ แต่เมื่ออยู่นอกบ้านขอกินชอ ( อาหารคาว ) อย่างคนอื่นเขา ขอพระแม่องค์ธรรมอย่าได้ถือ " ข้าพเจ้าให้อภัยตนเองอย่างนี้เสมอ ๆ เมื่อนักธรรมอาวุโสถามข้าพเจ้าว่า กินเจบริสุทธิ์หรือเปล่า ข้าพเจ้าก็ตอบว่า
"อยู่ที่บ้านก็กินแต่อาหารเจ " แต่ข้าพเจ้าไม่ได้ตอบไปว่า เวลาอยู่นอกบ้านก็กินชอกับคนอื่น ตนเองอภัยผ่อนปรนกับตนเอง ไม่ปฏิบัติตามพุทธระเบียบ ไม่รักษาศีลวินัย และยังหลอกลวงตนเองอีกด้วย
เพราะข้าพเจ้าต้องทำงาน ถ้ากินเจก็กลัวว่าพวกที่ทำงานด้วยกันจะหัวเราะเยาะเย้ยเอา ดังนั้นข้าพเจ้าจึงกินชอกับพวกเขา เพียงแต่ไม่ได้กินถูกเนื้อสัตว์ แต่น้ำแกงที่ดื่มก็เป็นน้ำแกงเนื้อหมู ภรรยาของข้าพเจ้าก็เสียใจเป็นทุกข์กับสิ่งที่ข้าพเจ้าทำ เธอพูดว่า
"หมิงหวงเอ๋ย ! เธอกับฉันตั้งปณิธานกินเจวันเดียวกันแต่เธอทำอย่างนี้ จะกลับคืนเบื้องบนได้หรือ ?" ข้าพเจ้าก็พูดไปว่า
"ต้องกลับคืนเบื้องบนได้อยู่แล้ว ฉันคิดว่าพอแก่ตัวแล้วค่อยมาทำให้สมบูรณ์ไม่บกพร่อง แต่ตอนนี้ยังต้องทำงานอยู่ภาวะการเงินที่บ้านก็ยังไม่ค่อยดีนัก ออกไปทำงานนอกบ้านก็ต้องใช้แรงงาน อย่างนี้เบื้องบนก็ไม่ถือสาหรอก " ด้วยเหตุอย่างนี้เลยให้อภัยกับตนเองมาตลอด ใครจะรู้ว่า บุญกับบาป ทุกอย่างนั้นเบื้องบนจดบันทึกไว้ชัดเจน
ตอนที่อายุได้ ๖๕ ปี ข้าพเจ้าเป็นอัมพาต ไม่สามารถลุกขึ้นยืนได้ ในตอนนี้จึงเสียใจเป็นอย่างยิ่ง ข้าพเจ้าพูดว่า
" ฉันอายุยังไม่ถึง ๗๐ ปี รอจนอายุ ๗๐ ปีก่อน แล้วจะกินเจอย่างบริสุทธิ์ " ใครจะไปคิดว่าข้าพเจ้าเป็นอัมพาตเอาตอนที่อายุ ๖๕ ปีและก็ด้วยความเจ็บปวดครั้งนั้จึงละกายสังขาร วิญญาณจึงไปยังนรก ยังดีที่เบื้องบนเมตตาสงสารในนรกไม่มีชื่อของข้าพเจ้าอยู่แล้ว จึงได้นำพาวิญญาณของข้าพเจ้า ไปพิจารณาคดีที่สามด่านเก้าทวาร ข้าพเจ้าจำไตรรัตน์แก้วสามประการได้ทุกข้อ ใครคืออาจารย์แนะนำ และอาจารย์รับรองให้รับวิถีธรรม ข้าพเจ้าก็จำได้ขึ้นใจ ทั้งสามด่านนั้นต้องผ่านการทดสอบทีละด่าน ๆ ภายในสามด่านเก้าทวารนั้น ด้วยเหตุตอนที่มีชีวิตอยู่ ข้าพเจ้ารักษาศีลเจได้ไม่บริสุทธิ์ ถ้าพลาดไปอีกนิดเดียว ก็คงต้องไปอยู่ที่คุกสวรรค์ เบื้องบนสงสารที่ข้าพเจ้า เป็นคนซื่อ ๆ ไม่มีเจตนากินชอ (อาหารคาว) แต่ว่าหลอกลวงตัวเองอยู่บ่อย ๆ ถึงแม้จะไม่ได้กินเนื้อสัตว์คำใหญ่ ๆ กินแค่ผักข้างเนื้อ สองปีมานี้ที่ต้องทำงานนอกบ้าน ก็กินผักข้างเนื้อนี่แหละ เมื่ออยู่ที่บ้านจึงกินเจ ทุก ๆวันจะกินเจสองมื้อ กินชออีกหนึ่งมื้อ แต่เรื่องอย่างนี้เบื้องบนก็บันทึกเอาไว้อย่างชัดเจน ข้าพเจ้าคิดว่าที่ทำเช่นนี้คงไม่เป็นอะไร เมื่อไปเข้าชั้นประชุมธรรมที่พุทธสถาน พอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประทับทรงก็ไม่ได้พูดว่าอะไรข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจึงคิดเอาว่าทำอย่างนี้คงจะได้ เบื้องบนได้เตือนสติข้าพเจ้าตั้งนานแล้ว แต่ข้าพเจ้าไม่รู้เอง คิดเพียงว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้พูดตรง ๆ กับข้าพเจ้า อย่างนี้คงไม่เป็นไรหรอก ภรรยาของข้าพเจ้ายังคงส่งเสริมข้าพเจ้ายังคงตักเตือนข้าพเจ้า
ข้าพเจ้าก็บอกกับเธอไปว่า
"ไม่มีแรงแล้วจะทำงานได้อย่างไร ใครหาเงินมาเลี้ยงดูเธอล่ะ เธอต้องคิดสิว่า ที่ฉันให้เธออยู่กับบ้าน จะได้ปฏิบัติธรรมอย่างสะดวกดีแล้ว" ข้าพเจ้ามีชื่อว่าเป็นถันจู่คนหนึ่ง เวลาที่นักธรรมอาวุโสให้ข้าพเจ้ากลับไปประชุมหารือกันที่พุทธสถาน ถึงมีคำถามมา แต่ข้าพเจ้า ก็ไม่รู้ไม่ตอบเสียอย่างนั้น นั่งฟังไปก็หลับไป แต่ละคนก็บอกว่าข้าพเจ้าเป็นคนซื่อ ๆ คงไม่มีความคิดความเห็นอะไร พอกลับถึงบ้าน ภรรยาก็ถามว่าวันนี้ประชุมถันจู่ได้ความว่าอะไรบ้าง ข้าพเจ้าก็จะตอบแต่ว่าไม่รู้ๆ ข้าพเจ้าลบหลู่นักธรรมอาวุโส ข้าพเจ้าพูดว่า
"โธ่เอ๋ย ! แต่ละคนยังเด็ก ๆ กันอยู่เลย พวกเขาจะทำอะไรกันเป็น ฉันก็เลยหลับของฉันไปตามเรื่อง" ข้าพเจ้าลบหลู่พวกท่านเหล่านั้น ตัวเองไม่ก้าวหน้า ไม่พัฒนา กินชอด้วย และลบหลู่นักธรรมอาวุโสด้วย จากผิดบาปเหล่านี้ ถ้าพลาดไปอีกนิดเดียว ก็จะถูกจับไปอยู่ที่คุกสวรรค์แล้ว แต่ยังโชคดีที่เบื้องบนเมตตาสงสาร ในปีที่ข้าพเจ้าละกายสังขารนั้น เป็นเพราะมีเงินเก็บสะสมอยู่บ้าง ภรรยาของข้าพเจ้าจึงนำเงินสองแสนเหรียญสร้างบุญให้กับข้าพเจ้า โดยนำไปร่วมพิมพ์หนังสือธรรมะอุทิศบุญกุศลให้กับข้าพเจ้า เป็นการชดเชยโปะเสริมกับความผิดพลาดผิดบาปที่ข้าพเจ้าทำ
ดังนั้นเบื้องบนจึงเมตตาให้ข้าพเจ้าได้บำเพ็ญขัดเกลาอยู่ที่
"สถานบำเพ็ญขัดเกลา" บำเพ็ญขัดเกลาจิตญาณของข้าพเจ้า ให้มีแต่ความเบาใส ไม่มีความหนักขุ่น อีกด้านหนึ่งก็เป็นเพราะข้าพเจ้าไม่เคารพนักธรรมอาวุโส ไม่รักษาพุทธระเบียบเลิกงานกลับมาถึงพุทธสถานที่บ้าน ถ้าเป็นเวลาถวายธูปเย็นพอดี ภรรยาก็จะเรียกให้ข้าพเจ้ามากราบไหว้ด้วยกัน ข้าพเจ้าก็จะตอบไปว่า
"ยุ่งเหลือเกิน ทำงานมาเหนื่อย ๆ อยู่ ท้องหิวแล้วขอกินก่อนก็แล้วกัน" ข้าพเจ้าไม่รู้ว่า บุญกับบาป นั้นจดบันทึกเอาไว้ชัดเจน เมื่อไปถึงสามด่านเก้าทวาร จึงต้องถูกตรวจสอบทุกประการ จึงพึ่งได้รู้ว่า ข้าพเจ้าผิดพลาดทุกสิ่งอย่าง พลาดวาระบุญที่มี และยังผิดพลาดต่อภาระหน้าที่ของฟ้าด้วย
แต่ข้าพเจ้าก็มีข้อดีอยู่บ้าง หากสิ่งไหนที่ข้าพเจ้าทำได้ ข้าพเจ้าจะอุทิศบริจาคให้ เวลาที่ภรรยาทำบุญ ข้าพเจ้าไม่เคยที่จะคิดเสียดายหรือคิดเล็กคิดน้อยหยุมหยิม มีก็แต่ว่าข้าพเจ้าศีลเจไม่บริสุทธิ์ ลบหลู่นักธรรมอาวุโส และไม่รักษาพุทธระเบียบทั้งสามประการนี้ก็เพียงพอที่จะให้ข้าพเจ้ารับการลงโทษแล้ว
ข้าพเจ้าบำเพ็ญขัดเกลาอยู่ที่สถานบำบัดขัดเกลา ในวันนี้ได้รับความเมตตาจากเบื้องบน และพระอาจารย์จี้กงได้เมตตานำพาข้าพเจ้ามาถึงพุทธสถานแห่งนี้ ข้าพเจ้าจึงได้มีโอกาสบอกเล่าทุกสิ่งอย่างให้ได้ฟังกันอย่างชัดเจน
ขอให้ศิษย์พี่น้องชายหญิงทั้งหลาย ได้ช่วยกันเผยแพร่บอกกล่าวเรื่องราวของข้าพเจ้า ให้รับรู้กันทั่วด้วย
เพื่อให้ศิษย์พี่น้องชายหญิงที่กำลังบำเพ็ญกันอยู่ ได้เข้าใจ
คนที่ต้องทำงานใช้แรงงานอยู่ จะได้ไม่คิดว่ากินเจแล้วไม่มีคุณค่าสารอาหารหรือร่างกายจะไม่มีเรี่ยวแรง แล้วจึงให้อภัยตนเอง
และหวังเอาเองว่าเบื้องบนจะไม่ถือสาเรา
อย่าลืมว่าเบื้องบนไม่มองที่ความสัมพันธ์ส่วนบุคคล เบื้องบนไม่เห็นแก่หน้าใครทั้งสิ้น
มีแต่พิจารณาที่บุญกุศลเท่านั้น
มีแต่บุญกุศลจึงจะสามารถช่วยเหลือเราได้
ในวันนี้ข้าพเจ้าได้บอกเล่าอย่างชัดเจนแล้ว หวังว่าศิษย์พี่น้องชายหญิงทั้งหลายจะได้เข้าใจกัน