collapse

ผู้เขียน หัวข้อ: ขงจื่อ จอมปราชญ์แห่งแผ่นดิน  (อ่าน 35889 ครั้ง)

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                    ตั้งสำนักประสิทธิ์วิชา

        ปีหลู่เจากงศกที่ ๒๐ (๕๒๒ ก่อนปีคริสตศักราช) ขงจื่ออายุ ๒๙ ปี หากนับตามจีนก็จะมีอายุครบ ๓๐ ปีพอดี ในเวลานั้น ขงจื่อมีความตั้งใจในการศึกษาร่ำเรียนอย่างวิริยะ ดังนั้น จึงมีความเกร่งกล้าในศิลปวิทยาทุกแขนง  ไม่ว่าจะเป็นด้านนิติศาสตร์  จริยธรรม  รัฐศาสตร์แลคุณธรรม  ต่างล้วนมีความแตกฉานอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ ท่านจึงมีปณิธานหมายมั่นว่าจะอุทิศตนรับใช้ชาติให้เป็นที่ประจักษ์ในโลกา แต่จะให้สังคมประจักษ์เลยยอมรับอย่างไรนัน ก็ยังคงเป็นเรื่องที่เลือนลางสำหรับขงจื่อยิ่งนัก สำหรับเหยียนลู่
เองก็มักจะมาล้อมหน้าล้อมหลังสอบถามวิชาความรู้และอ้อนวอนขอกราบขงจื่อเป็นอาจารย์อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน วันหนึ่ง เหยียนลู่ยังคงเกลี้ยกล่อมให้ขงจื่อเปิดสำนักรับลูกศิษย์อย่างไม่ลดละความพยายาม ขงจื่อกล่าวแต่เพียงว่า "หากอยู่ร่วมศึกษาขัดเกลาวิชายังพอทำเนา แต่ถ้าจะให้เปิดสำนักประสาทวิชาแล้ว ก็คงจะวุ่นวายมิใช่น้อย" เหยียนลู่กล่าวว่า "ครั้นครูประสาทวิชา จะก้าวหน้าก็อยู่ที่วิริยา ขอเพียงแต่ท่านสอนเท่านั้น ส่วนพวกลูกศิษย์จะเป็นอย่างไร ก็เป็นเรื่องแต่ละคนจะต้องรับผิดชอบกันเอง"  ขงจื่อทำหน้าขึงขังขึ้นมาว่า "เมื่อข้าตั้งใจจะเปิดสอน ก็จะต้องมีความรับผิดชอบต่อลูกศิษย์ พึงรู้ว่าพื้นฐาน อารมณ์และความสามารถของแต่ละคนนั้นร้อยแปดพันเก้า หากจะให้พวกเขาต่างประสบความสำเร็จ ก็จะต้องสอนไปตามจริตของแต่ละปัจเจก" "ท่านอาจารย์กล่าวถูกต้องยิ่งนัก" ครั้นเหยียนลู่พูดจบก็รีบคุกเข่าหมอบกราบว่า "ศิษย์ขอกราบคารวะท่านอาจารย์" ขงจื่อรีบจูงมือเหยียนลู่ขึ้นพลางพูดว่า "น้องรักไยต้องถึงกับพิธีรีตองเช่นนี้ด้วย?"  เหยียนลู่กล่าวด้วยความจริงจังว่า "ศิษย์ไหว้ครูไม่ใช้พิธีเช่นนี้ไม่ได้" ขงจื่อกล่าวว่า "หมายความว่าข้าจะต้องรับเจ้าเป็นศิษย์ให้ได้ใช่ไหม?" เหยียนลู่กล่าวว่า "ความจริงข้าได้เป็นศิษย์ของท่านมานานแล้วล่ะ" นับแต่นั้นมา บ้านของขงจื่อจึงได้กลายเป็นสำนักศึกษา โดยมีต้นจามจุรีเก่าแก่ที่หน้าบ้านลานเฉลียงคอยให้ร่มเงา วันหนึ่ง ขณะที่ขงจื่อกำลังสอนลูกศิษย์อยู่นั้น ทันใดได้มีเสียงเคาะประตูบ้านเข้าขัดจังหวะ ข่งหลีหูไวขาเร็วจึงรีบไปเปิดประตูต้อนรับ ปรากฏว่าเป็นชายแปลกหน้าอายุประมาณ ๒๐ กว่าคนหนึ่ง ชายคนนี้มีรูปร่างปานกลาง คิ้วดกตาโต ข่งหลีเพ่งพินิจด้วยความตะลึงอยู่พักใหญ่ จึงถามว่า "ท่านมาหาใคร?" แขกที่มาถามขึ้นอย่างสุภาพว่า "ขอถามว่า ที่นี่คือบ้านของท่านข่งฟูจื่อหรือไม่?" ข่งหลีกล่าวว่า "ใช่ เชิญท่านเข้ามาก่อน" ขงจื่อและเหยียนลู่ได้ยินเสียงจึงรีบตามไปดู ทั้งหมดต่างรวมกันที่ระเบียงบ้าน แขกผู้มาเยือนแนะนำตนว่า ข้าเจิงเตี่ยน (เจิงเตี่ยน เป็นบิดาของเจิงเซิน (เจิงจื่อ) ซึ่งต่อมาก็ได้เป็นศิษย์ของขงจื่อเช่นกัน)ชาวเมืองอู่เฉิง ได้ยินกิติศัพท์ของท่านมาช้านาน วันนี้มาเพื่อขอ ฝากตัวเป็นศิษย์ของท่านฟูจื่อโดยเฉพาะ" ครั้นพูดจบก็มิคอยให้ขงจื่อต้องพูดต่อ เจิงเตี่ยนรีบวางสัมภาระบนไหล่กองกับพื้น  จัดแต่งเสื้อผ้าอาภรณ์ให้ดี  แล้วหมอบกราบลงทันทีว่า "ศิษย์เจิงเตี่ยนขอกราบคารวะท่านอาจารย์" เจิงเตี่ยนมีฉายาว่าจื่อชี ชาวเมืองอู่เฉิง แคว้นหลู่ เกิดเมื่อปีหลู่เซียงกง ศกที่ ๒๗ (๕๔๖ ปีก่อนคริสตศักราช)

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                      ตั้งสำนักประสิทธิ์วิชา 2   : 

        ครั้นขงจื่อได้เห็นคนหนุ่มไฟแรงที่มีความใสซื่อบริสุทธ์คนนี้
ความรู้สึกที่ต้องรับผิดชอบต่อภาระกิจก็พลุ่งพล่านขึ้นภายในใจ ตอนนั้นขงจื่อจึงตัดสินใจเปิดสำนักศึกษาเอกชนในที่สุด ครั้นคิดได้ดังนี้ ขงจื่อจึงพยุงเจิงเตี่ยนขึ้นและกล่าวว่า "เชิญเข้าในเรือนก่อนเถอะ" (เจิงเตี่ยนเป็นบิดาของเจิงเซิน (เจิงจื่อ) ซึ่งต่อมาได้เป็นศิษย์ของขงจื่อเช่นกัน) ครั้นเข้าสู่ภายในเรือน ขงจื่อได้แนะนำเหยียนลู่  ข่งหลี  ฉีกวนซื่อ  ข่งอู่เหวย  ให้ เจิงเตี่ยน ได้รู้จัก เจิงเตี่ยนคารวะฉีกวนซื่อ พลางเปิดห่อผ้าและหยิบเนื้อตากแห้ง ๑๐ ชิ้น ออกมาพูดว่า "ศิษย์อยู่ ณ ถิ่นทุรกันดาร จึงไม่มีของขวัญมีค่าเป็นค่าครูมอบให้ท่านอาจารย์ได้ จึงขอให้ท่านอาจารย์โปรดรับไว้เถิด"  หลังจากขงจื่อรับเนื้อตากแห้งไว้ ได้พูดด้วยความจริงใจว่า "ของขวัญเป็นเพียงของนอกกาย ไหนเลยจะสำคัญเท่าการประสิทธิ์วิชาได้ ในเมื่อข้าจะเปิดสำนักศึกษา ข้าก็จะขอขจัดประเพณีอันคร่ำครึของสำนักศึกษาราชการ ไม่ว่าผู้มาเรียนจะมีฐานะยากดีมีจนเช่นไร ขอเพียงเขายินยอมมาศึกษาวิชากับข้า  ยอมรับนับถือข้าเป็นอาจารย์ ข้าก็จะประศาสน์วิชาให้เขาอย่างสุดกำลังความสามารถ"  ในสมัยก่อน ค่าเล่าเรียนของสำนักศึกษาภาครัฐจะแพงมหาศาล ดังนั้น จึงมีเพียงบุตรหลานของบรรดาข้าหลวงและเหล่าธนบดีเท่านั้นที่มีสิทธิ์เล่าเรียนวิชาได้ แต่ขงจื่อกลับเก็บค่าเล่าเรียนเพียงเนื้อตากแห้ง ๑๐ ชิ้น ดังนั้น จึงเป็นโอกาสดีสำหรับผู้ที่มีฐานะยากจน กอปรกับขงจื่อมีกิตติศัพท์อันเลื่องลือไกล ซึ่งมีผู้คนมาศึกษาเล่าเรียนอย่างล้นหลาม ดังนั้น ขงจื่อจึงมีลูกศิษย์มากมายภายในเวลาไม่นานนัก วิธีการสอนของขงจื่อ จะเป็นการสอนตามจริตของแต่ละปัจเจก แล้วค่อย ๆ ให้พัฒนาก้าวหน้าอย่างเป็นลำดับ ท่านมักจะสอนหนังสืออยู่ใต้ร่มจามจุรีเก่าแก่ที่ระเบียงบ้าน ส่วนเนื้อหาที่สอนก็จะเป็นซือจิง  ซูจิง  จริยธรรม  คีตศาสตร์  คัมภีร์รพีจันทร์ต่าง ๆ บ่อยครั้ง ท่านจะเปิดโอกาสให้ลูกศิษย์ได้ถามคำถาม โดยท่านจะทำการอธิบายให้สอดคล้องต่อสถานการณ์ที่แตกต่างกัน ทั้งนี้ท่านยังมักพาลูกศิษย์ออกไปทัศนศึกษาที่ชานเมือง เพราะส่วนหนึ่งจะได้ความเพลิดเพลิน อีกส่วนหนึ่งก็จะได้ชื่นชมทัศนียภาพแห่งธรรมชาติ วันหนึ่ง ขณะที่ขงจื่อกำลังสอนลูกศิษย์อยู่ในระเบียงบ้าน ทันใดได้มีชายผู้หนึ่งบุกเข้ามาโดยไม่บอกกล่าว ชายคนนี้มีรูปร่างสูงใหญ่ ร่างกายล่ำสัน เอวหมีพลังยักษ์ โครงหน้าทรงเหลี่ยม หน้าผากสูงงาม ศรีษะสวมหมวกนักรบ บนหมวกปักขนไก่โต้ง กายสวมเสื้อไหมคลุมชะลูดสีน้ำเงิน เอวคาดกระบี่ยาว ขาสวมรองเท้าทรงกระบอก ดูแล้วจะเหมือนเป็นนักรบก็ไม่ใช่ จะเป็นนักศึกษาก็มิเชิง จากการแต่งกายเหมือนคนไม่สมจริต เขาเดินปรี่เข้าหาขงจื่อและพูดขึ้นอย่างห้วน ๆ ว่า"ศิษย์ จื่อลู่ ขอกราบคารวะท่านอาจารย์"  จ้งอิ๋ว ฉายา จื่อลู่ ชาวเมืองเปี้ยนตี้ แคว้นหลู่ เกิดเมื่อปีหลู่เซียงกงศกที่ ๓๑ (๕๒๒ ปีก่อนคริสตศักราช)

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                ตั้งสำนักประสิทธิ์วิชา 3   : 

        ขงจื่อหยุดสำรวจจื่อลู่ ด้วยความฉงน
แล้วกล่าวตำหนิว่า "เจ้าใส่ชุดอย่างหรูหรา หยิ่งทะนงดั่งไม่มีใครในสายตา ดูแล้วช่างไม่มีบุคลิกแห่งผู้ศึกษาเอาเสียเลย อย่างนี้จะใช้ได้ที่ไหนกัน พึงรู้ว่าน้ำแห่งมหาธารล้วนเกิดแต่ภูเขาสูง แต่ต้นสายของมันกลับตื้นเขิลจนลอยแม้แต่จอกเหล้าก็มิได้ ครั้นกลางลำน้ำเป็นต้นไป มันกลับมีความยิ่งใหญ่จนต้องอาศัยเรือเท่านั้นจึงจะสามารถข้ามสู่ฝั่ง นี่มิใช่ความอ่อนน้อมแห่งสายน้ำที่สามารถรวบรวมอนุภาคจนกลายเป็นมหาสาครอันไพศาลดอกหรือ? แต่เจ้าวันนี้กลับสวมชุดอย่างหรูหราฟู่ฟ่า กิริยามีความผยองเหมือนไม่มีใครอยู่ในสายตา แล้วใครยังจะกล้าตำหนิสั่งสอนเจ้าได้อีก?."  จื่อลู่นิ่งเงียบมิอาจต่อคำ จึงได้แต่ก้มหน้าเดินออกไปอย่างสงบ แล้วเดินกลับเข้ามาในชุดนักรบทะมัดทะแมงอีกครั้ง  จื่อลู่ชักกระบี่ออกจากฝักและเริ่มร่ายรำเพลงกระบี่ท่ามกลางลานระเบียงอย่างคล่องแคล่ว ปลายกระบี่ของจื่อลู่ฉวัดเฉวียน ทรงพลัง ท่าร่ายเดี๋ยวโดดเดี๋ยวรับ เดี๋ยวผงาดเดี๋ยวรุก ว่องไวดุจวิหกสยายปีก ทรงพลังดุจมังกรโจนนภา และในขณะที่ทุกคนต่างชมกันอย่างไม่กระพริบตาอยู่นั้น จื่อลู่ก็ย่ำสามขุมบุกไปข้างหน้า ชิดขาและเก็บกระบี่อย่างงดงาม พลางกล่าวกับขงจื่อว่า "แต่โบราณกาลมา ไม่มีวิญญูชนคนใดที่จะไม่พกกระบี่ติดตัว ข้าได้ทราบกิติศัพท์ของบิดาท่านอาจารย์ว่าเป็นถึงทหารเสือตราบจนถึงปัจจุบันที่เมืองปี่หยางยังกล่าวขานกันอยู่มิขาด ส่วนร่างกายอันกำยำของท่านอาจารย์ ก็ควรจะเรียนกระบี่ฝึกวิทยายุทธเพื่อสืบสานปณิธานของบรรพชนถึงจะถูก"  ขงจื่อกล่าวว่า "นับแต่จำเนียรกาลมา วิญญูชนล้วนยึดหลักแห่งความซื่อสัตย์ภักดีเป็นรากฐาน อิงเมตตาธรรมเป็นศูนย์กลาง หากเห็นทรชนก็จะใช้ความจงรักภักดีไปอบรม  หากเห็นคนหยาบช้าก็จะใช้เมตตาธรรมออกกล่อมเกลา มีเพียงเช่นนี้จึงจะทำให้เกิดผลอันดีงามได้ แล้วใยยังต้องใช้กระบี่ป้องกันตัวอีกด้วยเล่า?."  จื่อลู่สดับฟังด้วยความตั้งใจ ขงจื่อกล่าวสำทับต่อไปอีกว่า "ข้าได้ยินมาว่า ไม่ว่าจะเป็นพระเจ้าเฉิงทัง ที่ทรงปราบพระเจ้าเจี๋ย (เป็นกษัตริย์ที่โหดร้ายในสมัยราชวงศ์เซี่ย ต่อมาได้ถูกโค่นพระราชอำนาจโดยพระเจ้าทังแห่งราชวงศ์ซัง) แห่งราชวงศ์เซี่ยก็ดี หรือพระเจ้าโจวอู่หวังที่ทรงปราบพระเจ้าโจ้วแห่งราชวงศ์ซังก็ดี ทั้งสองพระองค์ก็หาได้เคยพกพระแสงกระบี่แต่อย่างใดไม่ แต่ที่สุดก็ทรงสามารถสยบเหล่าทรราชได้มิใช่หรือ?. ฉะนั้น เรียกว่าสยบด้วยบารมี ในความเห็นของข้านั้น มีแต่เพียงการสยบด้วยบารมีเท่านั้นจึงจะสามารถชนะใจคน เรื่องนี้ได้เป็นที่ประจักษ์แล้วในทุกยุคทุกสมัย แต่หากเป็นการสยบด้วยอำนาจ ก็จะมิอาจทำให้ผู้คนยอมรับได้ทั้งกายและใจ" ครั้นจื่อลู่ฟังจบ ก็เกิดความเลื่อมใสขงจื่อขึ้นจากใจจริง  จึงเจรจาด้วยขงจื่ออย่างนบนอบต่างจากก่อนว่า "วันนี้ได้รับคำชี้แนะจากอาจารย์ มีความรู้สึกเหมือนอยู่ในห้องมืดเป็นเวลานานแล้วได้รับแสงประทีปสาดฉายในบัดดล ขอให้ท่านอาจารย์โปรดรอสักครู่ รอให้ศิษย์ได้เปลี่ยนชุดใหม่ก่อนแล้วค่อยมาคารวะท่านอาจารย์ใหม่" 

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                   ตั้งสำนักประสิทธิ์วิชา 4

        ขงจื่อเห็นว่า แม้จื่อลู่จะมีนิสัยหยาบกระด้าง แต่ใจคอดูสัตย์ซื่อไร้เล่ห์เหลี่ยมกลโกง จิตใจจึงรู้สึกปิติยินดียิ่ง
จื่อลู่ได้เข้ามาภายในระเบียงอีกเป็นครั้งที่สาม หากแต่ครั้งนี้ได้สวมเครื่องแต่งกายเป็นนักปราชญ์ ลีลาการย่างก้าวดูอ่อนโยนนบนอบ ดวงตาไร้แววเย่อหยิ่งลำพอง อิริยาบถมีความสุภาพเรียบร้อยโดยหาได้มีกิิริยาหาญห้าวเหมือนเมื่อสักครู่ไม่  ขงจื่อกล่าวขึ้นอย่างเคร่งขรึมว่า "จื่อลู่ จงฟังให้ดี ในสายตาของข้าแล้วพวกที่ชอบยกยอตนว่าแข็งแกร่งไร้เทียมทาน พิเศษสุดไร้ใครปานนั้น เขาก็เป็นเพียงคนถ่อยที่ชอบอวดตัวเบ่งอำนาจ มีแต่คำโอ้อวดไร้แก่นสาร สำหรับพวกที่เอาแต่ทะนงตัวอวดฉลาด หากรู้ก็บอกว่ารู้ ไม่รู้ก็บอกว่าไม่รู้ สิ่งที่ทำได้ก็บอกว่าทำได้  สิ่งที่ทำไม่ได้ก็บอกว่าทำไม่ได้ นี่จึงจะเป็นท่างทีที่พึงมีของวิญญูชน"  จื่อลู่รับคำไม่หยุดว่า "ครับ ! ครับ ! ศิษย์เข้าใจแล้ว"  ขงจื่อรู้สึกชอบความสัตย์ซื่อของจื่อลู่ขึ้นมาจากใจ จึงยิ้มและถามว่า "จื่อลู่ เจ้ามีความชำนาญอะไรเป็นพิเศษหรือ?"  จื่อลู่ตอบว่า"ท่านอาจารย์ก็ได้เห็นไปแล้วเมื่อสักครู่ ศิษย์มีความชำนาญด้านกระบี่เป็นพิเศษ"  ขงจื่อกล่าวว่า "ข้าหาได้หมายถึงเรื่องวิทยายุทธไม่ ข้าหมายถึงเรื่องศิลปวิทยาของเจ้าต่างหาก เพราะข้าเห็นว่าเจ้าจะต้องมีความสามารถพิเศษอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นแน่ ในเมื่อเจ้าจะมาเรียนกับข้า แล้วเจ้าอยากเรียนอะไรล่ะ?"จื่อลู่พูดอย่างตรงไปตรงมาว่า "ศิษย์ไม่รู้ว่าการศึกษาจะมีประโยชน์อะไร ขอให้ท่านอาจารย์ชี้แนะด้วยเถิด"  ขงจื่อตรึกตรองอยู่พักหนึ่ง แล้วกล่าวอย่างสุขุมว่า "หากเจ้าแคว้นไร้ขุนนางที่ภักดีคอยทัดทานแล้ว ก็จะทรงดำเนินราชกิจอย่างบกพร่อง จนที่สุดจะกลายเป็นภัยแก่ประเทศชาติอย่างมิอาจประมาณ ส่วนบัณฑิตผู้เที่ยงตรงหากไม่คบศุภมิตร ก็จะมิอาจได้ฟังคำตักเตือนอันหวังดี ซึ่งที่สุดก็จะก้าวหน้าได้อย่างจำกัด  ส่วนอาชาหากไร้บังเหียนก็จะมิอาจควบคุม  ไม้ซุงหากไร้ด้ายสีก็ยากจะเกลาแต่งให้เที่ยงตรง ดังนั้นคนเราเมื่อมีความรู้จึงจะทำให้ใจแจ่มจิตกระจ่าง ทุกสิ่งสามารถราบรื่นสมดังประสงค์ แต่หากเราเกียจคร้านต่อการเรียน ไม่ขวนขวายใฝ่วิชา เช่นนี้ก็จะถอยหลังและทำผิด จนต้องได้รับโทษโดนอาญาในที่สุด ฉะนัน วิญญูชนจึงพึงเล่าเรียนใฝ่ศึกษา"  จื่อลู่ยังไม่ยอมแพ้ จึงค้านขึ้นว่า " ในโลกนี้มีอยู่หลายสิ่งที่มีหิตานุหิตเฉพาะตัว อย่างเช่นไม้ไผ่ในภูเขาหนันซัน แม้จะไม่มีใครเหลาแต่ง แต่มันก็ยังคงเหยียดผงาดท้าลมฝนได้อย่างมั่นคง และหากนำไม้ไผ่มาประดิษฐ์เป็นลูกธนู แม้แต่ความเหนียวอย่างหนังแรดก็ยังทะลุได้ นี่ไม่ใช่เป็นคุณประโยชน์ที่มีอยู่ในตัวหรอกหรือ?. แล้วมันได้เกี่ยวอะไรกับการเรียนรู้ด้วยเล่า?." 

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                    ตั้งสำนักประสิทธิ์วิชา 5

        ขงจื่อกล่าวว่า "ใช่ !
เจ้ากล่าวถูกต้อง แต่หากเรานำเหล็กแหลมสวมไว้บนลูกธนูแล้วนำไปยิงหนังแรด มันจะมิทะลวงได้ดียิ่งขึ้นดอกหรือ?" จื่อลู่รู้สึกว่ามีเหตุผล จึงพยักหน้ารับคำเป็นการใหญ่  ขงจื่อกล่าวเพิ่มเติมอีกว่า "แม้นจะมีความสามารถมาแต่กำเนิด แต่ก็ยังต้องพึ่งความเพียรในการเรียนรู้ประกอบเช่นนี้จึงจะก่อคุณประโยชน์มากขึ้นอย่างไพศาล อันเหมือนดั่งเช่นการนำเหล็กแหลมมาสวมที่ปลายธนูนั่นเอง"  จื่อลู่ถามว่า "หากมีคนหนึ่งที่สวมชุดมอซอ แต่เขาได้ครอบครองหยกงามไว้ เขาควรจะทำอย่างไรดี?"  ขงจื่อตอบโดยไม่ต้องตรึกตรองว่า "หากประสบเจ้านครโฉดเขลาไร้ครรลอง ก็จงนำหยกงามเก็บซ่อนไว้ในหุบเขา แต่หากประสบเจ้าเมืองที่ปรีชาแลคุณธรรมก็จงสวมชุดสง่า มือชูหยกงามและนำอวดให้ประจักษ์แก่ชาวโลก"  จื่อลู่กล่าวว่า "ศิษย์จะจดจำโอวาทของท่านอาจารยไว้ หากสบวิญญูชนก็จงเปิดเผย หากสบทรชนก็จงอำพราง"  ศิษย์อาจารย์ต่างสนทนาโต้ตอบกันไปมา ส่วนคนที่เหลือต่างก็ห้อมล้อมสดับฟังด้วยความตั้งใจ  ในเวลานั้นได้มีคนมาแจ้งว่า เหยียนลู่ได้บุตรชายแล้ว ขงจื่อจึงให้ฉีกวนซื่อนำเนื้อตากแห้ง ๖ แท่ง ไปมอบให้เป็นกำนัลครั้นเหยียนลู่ได้รับของขวัญ จึงโค้งคำนับขอบคุณด้วยความซาบซึ้ง และอำลากลับบ้านไปด้วยความยินดี  เพียงไม่นานก็มีคนมาแจ้งข่าวว่า อุปราชจื๋อฉั่นแห่งแคว้นเจิ้งได้ถึงแก่อนิจกรรมแล้ว จื๋อฉั่น เป็นบุคคลที่ขงจื่อให้ความเคารพเป็นอย่างมาก ท่านจึงมักจะเฝ้าหาโอกาสไปเยี่ยมคารวะอยู่มิขาด  ดังนั้นข่าวการเสียชีวิตของจื๋อฉั่นจึงกระทบกระเทือนจิตใจของขงจื่ออย่างมิอาจบรรยาย ท่านรู้สึกเสียใจที่มิได้รักษาโอกาสไปเยือนจื๋อฉั่นเสียแต่แรก และรู้สึกโกรธสวรรค์ที่ไม่ยอมให้คนดี ๆ มีอายุที่วัฒนา ขงจื่อยืนนิ่งอยู่นานจนน้ำตาไหลรินลงมาอย่างไม่รู้ตัว นับแต่นั้น ขงจื่อก็หม่นหมองซึมเศร้าติดต่อกันเป็นเวลาหลายวัน จวบจนวันหนึ่ง หลังจากท้องฟ้าสีครามได้แผ่บรรยายกาศสดใสหลังพายุฝน บนขอบฟ้าได้ปรากฏสายรุ้งหลากสีสันพาดยาวอยู่กลางนภาจิตใจขงจื่อรู้สึกแช่มชื้นขึ้นกว่าเดิม ดังนั้นจึงคิดจะออกไปทัศนาทิวทัศน์ หลังจากได้ถูกกระหน่ำจากพายุฝนตลอดสองวัน  ท่านเคยได้ยินมารดาเล่าว่าตัวท่านเกิดที่ภูเขาหนีซัน จึงใคร่จะไปชมทิวทัศน์ภูเขาหนิวซัน ที่ใฝ่ฝันจะไปมานาน  ในระหว่างนั้น ขงจื่อได้รับลูกศิษย์ที่มีชื่อเสียงในภายหลังอีกหลายคน โดยมี หมินสุ่น  ฉินชัง  หยั่นเกิง  และซีเตียวคาย เป็นอาทิ ขงจื่อได้นำความคิดที่จะท่องภูเขาหนีซันเล่าให้ศิษย์ทุกคนฟัง ทุกคนต่างเห็นชอบด้วยความดีใจ แต่เนื่องจากขงจื่อมีนิสัยที่ไม่เคยขาดสมุดไผ่ติดมือ ดังนั้นจึงเลือกสมุดไผ่ติดตัวไปด้วยผูกหนึ่ง

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                      ตั้งสำนักประสิทธิ์วิชา 6

        ฤดูคิมหันต์ที่ภูเขาหนีซัน
มีบรรยากาศที่แวดล้อมไปด้วยความร่มรื่นน่าอภิรมย์ รอบภูเขามีต้นไม้เก่าแก่ขึ้นประปรายสูงชะลูด ตฤณชาติชอุ่มชุ่มทั่วผืนปฐพี เหล่ามอแมลงจักจั่นต่างส่งเสียงร้องก้องกังวานไปทั่วบรรยากาศ ขงจื่อนำลูกศิษย์ไต่ขึ้นไปถึงไหล่เขา และนั่งพักที่ศาลเทพเทวาแห่งภูผา หลังจากทุกคนได้หายเหนื่อยจากการเดินทาง ขงจื่อได้แผ่สมุดไผ่ออกอ่าน ลูกศิษย์ทุกคนต่างมุงดูด้วยความสนใจ ปรากฏคือคัมภีร์ซือจิงนั่นเอง จื่อลู่รู้สึกแปลกใจจึงถามขึ้นว่า "ท่านอาจารย์ ไฉนท่านจึงชอบคัมภีร์ซือจิงนัก?"  ขงจื่อกล่าวขึ้นด้วยความสดชื่นว่า "ซือจิงทั้ง ๓๐๐ บท สามารถสรุปได้ด้วยคำหนึ่งคือ ดำริไร้มิจฉา ฉะนี้แล้ว ไยจึงไม่ศึกษาคัมภีร์ซือจิงเล่า? อนึ่ง การอ่านคัมภีร์ซือจิงจึงจะสามารถฝึกหัดความคิดสร้างสรรค์ สามารถพัฒนาทักษะ การสังเกต สามารถเพิ่มพูนความสามัคคีและการอ่านใจคน ทั้งยังสามารถเรียนรู้วิธีการเสียดสีคนได้อีกด้วย ทั้งนี้ ยังสามารถประยุกต์สาระแห่งคัมภีร์ซือจิงมาปรนนิบัติบุพการี ถวายงานรับใช้เจ้าแคว้นเจ้าแผ่นดิน แล้วยังสามารถรู้จักชื่อสกุณชาติ ตฤณชาติ  และรุกขชาติได้อย่างมากมาย คัมภีร์ซือจิงสามารถกระตุ้นจิตใจให้กระชุ่มกระชวย ดังนั้น ข้าจึงหมั่นศึกษาคัมภีร์ซือจิงอยู่เสมอ"  ครั้นกล่วจบ สายตาของขงจื่อก็เพ่งไปที่สายธารใต้ภูเขาหนิวซัน จากนั้นก็ตกสู่ภวังค์ความคิดอย่างลืมตัว สายน้ำฉีสุ่ยปกติจะใสแจ่มจนสามารถเห็นมัจฉาชาติแหวกว่ายไปมาอย่างเพลิดเพลิน สายน้ำไหลเลื่อนอย่างมีจังหวะ ประสานเป็นเสียงเพลงเย็นฉ่ำอย่างไม่มีดนตรีใด ๆ เสมอเหมือน  แต่หลังพายุฝนพัดผ่านไปไม่นาน สายน้ำกลับอึกทึกอย่างน่าเกรงขาม ขงจื่อถอนใจขึ้นว่า "เวลาดุจธารน้ำที่ไหลผ่านทั้งวันแลคืนมิรู้หยุด ศิษย์ทั้งหลาย พึงตระหนักว่าชีวิตคนเรานั้นแสนสั้น พวกเจ้าต้องรู้จักถนอมเวลาศึกษาหาความรู้ให้ได้มากที่สุด"  ศิษย์ทุกคนต่างรับคำขึ้นอย่งพร้อมเพรียง ขงจื่อพินิจใบหน้าอันเปี่ยมพลังของศิษย์แต่ละคน และทำการสังเกตอุปนิสัยใจคอของทุกคนอย่างพิจารณา พบว่า เหยียนลู่มีความหนักแน่น ซื่อตรง   จื่อลู่มีความเถรตรง วู่วาม  หยั่นป๋อหนิวมีความภูมิฐานหนักแน่น  ซีเตียวคายมีไหวพริบฉลาดว่องไว  หมิ่นจื่อเซียนมีความสัตย์ซื่อกตัญญู...ขงจื่อได้ทำการพิจารณาหาวิธีการประสาทวิชาให้แต่ละคนอย่างเหมาะสม เพื่อจะได้ให้ทุกคนเป็นปราชญ์คงแก่เรียนที่จะตอบแทนพระคุณประเทศชาติต่อไปในอนาคตเมื่อโอกาสอำนวย ในตอนนี้ ขงจื่อได้ฝากความหวังทั้งหมดไว้แก่ศิษย์ทั้งหลายเหล่านี้  หลังจากได้ชมทัสนียภาพและเพลิดเพลินกับพฤกษชาตินานาพันธุ์แล้ว ทุกคนจึงเดินทางกลับด้วยความเบิกบาน

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                  ตั้งสำนักประสิทธิ์วิชา 7

        ในวันนั้น
หลังจากจี้ผิงจื่อได้เสร็จจากงานราชการก็เดินทางกลับสู่จวนอุปราช แต่ครั้นเห็นพ่อบ้านหยางหู่ก็พลันเกิดความรู้สึกขยะแขยงขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก เพราะเขาได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับหยางหู่ที่ทำการช่องสุมกำลังอำนาจมานานพอควร ดังนั้นจึงคิดจะหาขุนนางกลุ่มใหม่มาคานอำนาจของหยางหู่อยู่มิขาด แต่หลังจากได้ใคร่ครวญดูแล้ว จี้ผิงจื่อได้วางเป้าหมายไว้ที่เหล่าศิษย์ของขงจื่อ ดังนั้นจึงใช้ทนายไปเชิญขงจื่อมาพบที่จวน แต่ครั้งนี้จี้ผิงจื่อได้ละท่าทีอหังการที่เคยแสดงกับขงจื่อไปจนหมดสิ้น "ได้ยินมาว่าท่านฟูจื่อได้ตั้งสำนักอบรมศิาญืไว้มากมาย เหล่าปราชญ์ของแต่ละหัวเมืองต่างชุมนุมกันที่สำนักของท่านอย่างล้นหลาม ข้าจึงอยากให้ท่านฟูจื่อเสนอชื่อศิษย์ของท่านออกมารับราชการสักหน่อย มิทราบว่าท่านฟูจื่อมีความเห็นเป็นเช่นไร?"  ขงจื่อตรึกตรองอยู่พักหนึ่ง พลางได้โค้งกายเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า "แม้ศิษย์ของข้าจะมีอยู่มากมายก็จริง แต่หากจะหาผู้ที่มีความสามารถและเหมาะกับการบริหารราชการนั้นยังถือว่าน้อยนัก ที่ดู ๆ ก็มีแต่จื่อลู่คนเดียวเท่านั้น ที่มีคุณสมบัติในการบริหารบ้านเมืองได้" จี้ผิงจื่อถามขึ้นทันควันว่า "ถ้าอย่างนั้นให้เขารับตำแหน่งนายอำเภอเลยดีไหม?"  ขงจื่อกล่าวว่า "จื่อลู่มีความเที่ยงตรง ซื่อสัตย์และเด็ดเดี่ยว หากใช้ทำราชการก็จะสามารถบริหารงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพียงแต่เขามีอุปนิสัยที่ค่อนข้างร้อนรน วู่วาม หากจะให้รับตำแหน่งในตอนนี้คิดว่ายังมิใช่โอกาส" จี้ผิงจื่อกล่าวว่า "หากเมื่อไรที่ท่านฟูจื่่อมีบุคคลากรที่เหมาะสม มิทราบว่าท่านพอจะกรุณาแนะนำให้ได้ไหม?"  ขงจื่อยิ้มอย่างสดชื่นว่า "จุดประสงค์ที่ข้าอบรมสั่งสอนศิษย์ก็เพื่อให้ทุกคนได้มีโอกาสรับใช้ประเทศชาติ ในเมื่อได้มีผู้ที่มีคุณสมบัติที่เหมาะสมแล้ว ข้าจะต้องแนะนำให้แก่ท่านอุปราชอย่างแน่นอน"  ครั้นอำลาจี้ผิงจื่อ ขงจื่อได้เดินทางกลับบ้านด้วยความเบิกบาน จนถึงกับรู้สึกว่าผืนนภาสีครามในเวลานี้มีความสวยงามผิดธรรมดา ท้องถนนที่สัญจรมีความกว้างขวางขึ้นต่างจากเดิม และนี่เป็นครั้งแรกที่ขงจื่อได้ตระหนักถึงความยิ่งใหญ่แห่งภาระกิจที่ตนทำอยู่ หลังจากกลับถึงบ้าน หมินสุ่นได้ถามขึ้นว่า "ท่านอาจารย์ คนประเภทใดจึงสามารถรับราชการได้"  ขงจื่อตอบโดยไม่ตรึกตรองว่า "โบราณกล่าวว่า "เรียนแล้วชำนาญจึงรับราชการ" ดังนั้นจึงเป็นที่แน่นอนว่าจะต้องมีความรู้ที่เยี่ยมยอดก่อนจึงจะรับราชการได้"  หมินสูถามขึ้นอีกว่า "ถ้าอย่างนั้น การรับราชการจะต้องระวังอะไรบ้าง?" ขงจื่อกล่าวว่า "ผู้รับราชการ  ต่อส่วนบนจะต้องจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์และเจ้าแคว้น ต่อส่วนล่างจะต้องรับผิดชอบต่ออาณาประชาราษฏร์ ดังนั้นจึงต้องทุ่มเทใจต่อการบริหารประเทศ มีความรักใคร่ต่อมวลประชา ทนุถนอมเด็กเล็กคนชรา ซึ่งจุดนี้จะต้องคั้งเป้าหมายของชีวิตอย่างมุ่งมั่น มิเช่นนั้น ก็จะหามีความสำเร็จในชีวิตไม่ ทั้งนี้ยังต้องรู้จักรับฟังความคิดเห็นของปราชญ์เมธีอย่างกว้างขวาง..."  ในขณะที่ทุกคนกำลังสนทนากันอย่างตั้งใจ ทันใดได้มีทูตแห่งแคว้นฉี มาขอพบ ขงจื่อจึงจัดแต่งเสื้อผ้าอาภรณ์ให้เรียบร้อยแล้วออกไปต้อนรับทูตแห่งแคว้นฉี

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                   ตั้งสำนักประสิทธิ์วิชา 8

        ทูตแห่งแคว้นฉีโค้งคำนับขงจื่อพลางกล่าวว่า "ท่านเจ้าเมืองฉีได้เสด็จเยือนเมืองหลู่พร้อมด้วยท่านอุปราช ตอนนี้จึงพำนักอยู่ที่จวนรับรอง พระองค์ทรงมีพระประสงค์ที่จะขอคำปรึกษาจากท่านฟูจื่อ จึงขอให้ท่านฟูจื่อโปรดเดินทางไปถวายคำชี้แนะด้วยเถิด"  อุปราชแคว้นฉีนามว่า "เยี่ยนอิง ฉายา ผิงจ้ง เป็นขุนนางผู้ใหญ่ของฉีกวงจง แต่หลังจากฉีกวงจงทรงเถลิงตำแหน่งเจ้าเมืองเมื่อตอน ๕๔๗ ปีก่อนคริสตศักราชแล้ว เยี่ยนอิงก็ได้รับพระราชทานแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งอุปราช หลังจากดำรงตำแหน่งได้ไม่นานก็สามารถผลักดันนโยบายต่าง ๆ อันได้สร้างคุโณปกรยิ่งใหญ่ทั้งระดับภายในและภายนอกรัฐได้อย่างงดงาม  ดังนั้นจึงเป็นอีกบุคคลหนึ่งที่ขงจื่อให้ความเคารพนับถือ ด้วยเหตุนี้ ขงจื่อจึงติดตามทูตฉีไปด้วยความดีใจ หลังจากได้กราบเฝ้าจนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ฉีจิ่งกงได้มีรับสั่งว่า "ได้ยินกิตติศัพท์ของท่านฟูจื่อมาช้านาน วันนี้ได้พบท่านจึงนับเป็นวาสนาของข้ายิ่งนัก"  ขงจื่อเพ็ดทูลว่า "กระหม่อมมีแต่เพียงชื่อเสียงที่เขาร่ำลือ หาได้เก่งกาจตามคำเหล่านั้นไม่" ฉีจิ่งกงรับสั่งถามอย่างตรงไปตรงมาว่า "ขอถามว่าเหตุใดฉินมู่กงในอดีตจึงสามารถดำรงความเป็นใหญ่ท่ามกลางสามนตรัฐได้?" ครั้งขงจื่อได้ฟังก็รู้สึกสะท้านไปทั้งสรรพางค์กาย พลางคิดไปว่า "หรือว่าพระองค์ทรงอยากจะประกาศศักดาต่อบรรดาเจ้าเมืองทั้งหลาย?. มิเช่นนั้นใยจึงสนพระทัยเรื่องนี้เป็นพิเศษ" ครั้นคิดได้ดังนี้ก็ได้ทำการพิจารณาฉีจิ่งกงโดยละเอียด พบว่าทรงมีชันษาประมาณ ๔๐ กว่า พระวรกายสูงโปร่ง  พระพักตร์แห้งตอบ พระเนตรมีประกายความลำพอง เมื่อสังเกตเห็นดังนี้ก็รู้สึกใจหาย จึงทำการตรึกตรอง อย่างรอบคอบแล้วกราบทูตว่า " เหตุที่ฉินมู่กงทรงเรืองอำนาจอยู่ท่ามกลางสามนตรัฐได้นั้น ก็เพราะฉินมู่กงทรงรู้จักใช้คน"  ฉีจิ่งกงตรัสว่า "ตามความเห็นของข้านั้น เจิ้งเจี่ยนกงทรงใช้จื๋อฉั่น ต่อมาเจิ้งติ้งกงก็ทรงใช้จื๋อฉั่นอีก เช่นนี้เรียกว่า ใช้คนได้อย่างเหมาะสมแล้ว แต่ไฉนแคว้นเจิ้ง จึงยังไม่สามารถยิ่งใหญ่เหนืออาณาจักรทั้งหลายได้ล่ะ?" ขงจื่อทูลตอบว่า "ทางตอนเหนือของแคว้นจิ้ง มีแคว้นจิ้นที่แข็งแกร่ง ส่วนทางตอนใต้ก็ยังมีแคว้นฉู่ที่เกรียงไกร อีกทั้งปัญหาการเมืองภายในก็ยังหมักหมมรุมเร้าจนวุ่นวาย ประชาชนได้หมดความศรัทธาต่อราชสำนักเสีย จึงเรียกได้ว่าแคว้นเจิ้งตกอยู่ในภาวะวิกฤติขั้นร้ายแรง แต่หลังจากจื๋อฉั่นได้เข้ามาบริหารบ้านเมือง แคว้นเจิ้งจึงเริ่มผงาดในท่ามกลางสามนตรัฐ ไพร่ฟ้าประชาราษฏร์ต่างใช้ชีวิตอย่างร่มเย็นเป็นสุข นี่จึงนับเป็นผลงานที่เหล่าแว่นแคว้นแดนไกลต่างยกย่องสรรเสริญกันไปทั่ว หากมิใช่เพราะจื๋อฉั่นได้เข้ามาบริหารการปกคอง เกรงว่าแคว้นเจิ้งคงจะระส่ำระสายไปนานแล้ว"  เยี่ยนอิงนั่งฟังอย่างสงบ ครั้นขงจื่อกล่าวจบ เขาได้ค้อมกายน้อย และกล่าวว่า "ตามที่ข้าเยี่ยนอิงได้ยินและเห็นมา ท่านฟูจื่อเป็นผู้ที่แตกฉานทั้งเรื่องอดีตและปัจจับัน เป็นผู้ที่มีอุดมการณ์อันสูงส่ง  อีกยังมีความรู้ความกล้าหาญที่หาใครเทียบได้ยาก แต่ไฉนท่านจึงไม่รับราชการเพื่อทำนุบำรุงแคว้นหลู่ให้วัฒนาสถาพรเล่า?" ขงจื่อกล่าวว่า "ความรู้ที่ข้าน้อยได้เรียนมาก็แค่เป็นสมบัติที่บรรพชนตกทอดมาแต่โบราณ หากเป็นเรื่องการปกครองก็เกรงว่าจะมิอาจใช้การได้ดีเท่าที่ควร อีกทั้งสังคมในปัจจุบันก็มีสภาพเสือมโทรมอยางน่าใจหาย คนดีจึงมักถูกข่มเหงรังแก คิดดูแล้วข้ายังคงรับศฺษย์ประสาทวิชาจะดีกว่า"  เยี่ยนอิงกล่าวว่า "หรือว่าท่านจะยอมเป็นบัณฑิตถือสันโดษไปตลอดชีวิตอย่างนั้นฤา"  ขงจื่อยิ้มโดยมิตอบความ ส่วนเยี่ยนอิงเองก็รู้สึกฉงนมิเข้าใจ   

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                      เยือนเหลาจื่อเรียนจริยธรรม

        ฉีจิ่งกงและเยียนอิง ต่างซักถามเรื่องการปกคอง
นับแต่อดีตตราบปัจจุบันอีกทั้งยังขอความรู้เรื่องโหราศาสตร์และภูมิศาสตร์ ซึ่งขงจื่อล้วนสามารถอ้างอิงและแนะนำได้อย่างแม่นยำ จนฉีจิ่งกงถึงกับทรงพยักพระพักตร์ตรัสชมขงจื่ออยู่มิขาด ส่วนเยี่ยนอิงนั้นถึงกับตกตะลึงจนมิอาจสกดความรู้สึกบนใบหน้า พลางคิดว่า "หากเจ้าเมืองหลู่ทรงใช้คน ๆ นี้แล้ว การที่จะแผ่แสนยานุภาพเหนือแคว้นน้อยใหญ่ ก็คงหาใช่เรื่องยากอีกต่อไปไม่"  หลังจากทั้งสามต่างสนทนาจนเวลาพลบค่ำ ขงจื่อก็ถือโอกาสกราบบังคมลา  ขงจื่อยังคงดำเนินกิจวัตรด้วยความมุ่งมั่นใฝ่เรียนและประสศาสน์วิชาให้เหล่ลูกศิษย์อย่างพากเพียรเช่นเดิม ท่านกลางกระแสธารแห่งเวลาที่พัดผ่าน ปีใหม่ได้มาเยือนทุกคนอีกครั้งอย่างไม่รู้ตัว เวลานั้นเหล่าลูกศิษย์ต่างทยอยลากันกลับไปฉลองตรุษจีนที่บ้านเกิด ขงจื่อจึงรู้สึกเงียบเหงาเปล่าเปลี่ยวขึ้นในทันใด แต่ก็ทำให้ขงจื่อได้มีเวลาทบทวนเหตุการณ์บ้านเมืองแต่ลำพัง เดือน ๓ ของปีนี้ ฉู่ผิงหวังทรงสังหารอู่เส่อสองพ่อลูก อู่เอวี๋ยนซึ่งเป็นบุตรชายอีกคนหนึ่งของอู่เส่อ จึงหลบหนีลี้ภัยไปที่แคว้นอู๋ ในเดือน ๑๐ ฮว๋าไฮ่  เซี่ยงหนิง และฮว๋าติ้งแห่งแคว้นซ่ง ต่างคิดคดก่อการกบฏ หากแต่ความได้แตกเสียก่อน ฮว๋าไฮ่ และเซี่ยงหนิงจึงลี้ภัยไปแคว้นเฉิน ส่วนฮว๋าติ้ง ลี้ภัยไปอยู่แคว้นอู๋  ในเดือน ๑๑ ซุนตงกว๋อ แห่งแคว้นไซ๋ ได้สังหารพระยาไซ่ผิงโหว และสถาปนาตนขึ้นเป็นพระยาไซ่เต้าโหว ขงจื่อรู้สึกว่าเหตุการณ์วุ่นวายต่าง ๆ ของบ้านเมืองที่เกิดขึ้นล้วนเป็นเพราะความละโมบของบุคคลส่วนน้อย แต่กลับสร้างภัยมหันต์ให้กับประชาชนหมู่มาก จึงรำพันขึ้นอย่างเศร้าใจว่า "ช่างเป็นปีที่แสนวุ่นวายเสียจริง ๆ หากจื๋อฉั่นยังอยู่เหตุการณ์คงจะไม่วุ่นวายถึงเพียงนี้แน่"  ทุกครั้งทีขงจื่อคิดถึงจื๋อฉั่น ท่านมักจะอกสะท้านน้ำตาซึมอย่งไม่รู้ตัว เพราะขงจื่อคาดหวังให้มีคนดีอย่างจื๋อฉั่น เข้ามาปกครองประเทศชาติ เพื่อให้จริยธรรมแห่งราชวศ์โจวได้รับการฟื้นฟู และสยบความอาเพศแห่งบ้านเมืองให้สิ้นจากแผ่นดินไปเสียเหลือเกิน

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                    เยือนเหลาจื่อเรียนจริยธรรม 2

        ปีหลู่เจากงศกที่ ๒๑ (๕๒๑ ปีก่อนคริสตศักราช) ขงจื่อ อายุ ๓๐ ปี
ในเดือน ๓ ของปีนี้ พระจักรพรรดิแห่งราชวงศ์โจว พระนามว่า โจวจิ่งหวังทรงมีพระบัญชาให้หล่อระฆังอู๋เนี่ยด้วยทองสัมฤทธิ์ ในคิมหันตฤดูของปีเดียวกัน ฮว๋าไฮ่ เซี่ยงเหนียนและฮว๋าติ้งที่ลี้ภัยในต่างแดนได้ยกกำลังเข้าบุกยึดอำนาจหนันลี่แห่งแคว้นซ่ง ทั้งนี้ยังขอกำลังสนับสนุนจากแคว้นอู๋ให้ร่วมสมทบอีกแรง แคว้นอู๋ได้ส่งกำลังทหารเข้าตีทัพซ่งจนต้องถอยร่นออกไป ในเดือน ๑๑ แคว้นจิ้น  แคว้นฉี  และแคว้นเหว่ยต่างกรีฑาทัพเข้าช่วยแคว้นซ่ง กองทัพของฮว๋าไฮ่ เซี่ยงหนิง และฮว๋าติ้งประสบกับความพ่ายแพ้ ปี หลู่เจากงศกที่ ๒๒ (๕๒๐ปีก่อนคริสตศักราช) วสันตฤดู แคว้นฉียกทัพรุกรานแคว้นหลวี่  ส่วนฮว๋าไฮ่ เซี่ยงหนิง ฮว๋าติ้งแห่งแคว้นซ่ง ต่างลี้ภัยไปแคว้นฉู่ ในเดือน ๔ พระจักรพรรดิโจซจิ่งหวังเสด็จสวรรคต พระองค์ทรงสถาปนาโจวเต้าหวังขึ้นสืบราชสมบัติต่อจากพระองค์ แต่ภายหลัง พระเจ้าโจวเต้าหวัง ได้ทรงถูกมกุฏราชกุมารนามว่าจี้ฉาวปลงพระชนม์และสถาปนาพระองค์ขึ้นเป็นกษัตริย์แทน เจ้าเมืองจิ้นฉิ่งกงจึงทรงกรีฑาทัพโค่นพระราชอำนาจและแต่งตั้งมกุฏราชกุมารพระนามว่าจี้ก้ายขึ้นครองราชสมบัติเป็นพระเจ้าโจวจิ้งหวังแทน ปีหลู่เจากงศกที่ ๒๓ (๕๑๙ ปีก่อนคริสตศักราช) เดือน ๖ จี้ฉาวทรงยกพลโจมตีราชธานีจนพระเจ้าโจวจิ้งหวังต้องทรงอพยบลี้ภัยไปที่เมืองหลิวอี้ และทรงหลบซ่อนพระองค์อยู่ที่ตี้เฉวียน ในปีเดียวกัน พระยาไช่เต้าโหวถึงแก่กรรม น้องชายจึงขึ้นสืบตำแหน่งเป็นพระยาไช่เจาโหว  ในเดือน ๗ แคว้นอู๋กรีฑาทัพเข้ารุกรานดินแดนในอาณัติของพระเจ้าจักรพรรดิหลายแห่ง แคว้นซ่งจึงติดต่อแคว้นเฉินและไช่ร่วมกันโจมตีแคว้นอู๋  ทั้งสามกองทัพประจัญกันที่จีฟู่ แคว้นอู๋เป็นฝ่ายได้รับชัยชนะ ทุกครั้งที่ขงจื่อได้ยินข่าวนี้ จิตใจรู้สึกหดหู่ และห่วงใยทุกข์สุขของราษฏร์ยิ่งนัก เพราะเหล่าเจ้าเมืองที่ถือศักดินาต่างแย่งชิงดินแดนและแผ่แสนยานุภาพกันไปมา จนทำให้ไพร่ฟ้าต้องประสบกับความยากลำบากไปทั่วทุกหัวระแหง ขงจื่อได้เห็นความเสื่อมสลายของระบอบจริยธรรมทีนับวันยิ่งมีแต่ทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น หากระบอบการปกครองโดยกฏหมายกลับยิ่งเฟื่องฟูขึ้นมาแทนที่ นี่คือสัญญาณความพินาศแห่งศีลธรรม เพราะจิตใจแห่งมนุษย์มิอาจถูกควบคัมโดยมโนธรรมสำนึกที่มีมาแต่เดิม หากจะต้องถูกควบคุมด้วยกฏข้อบังคับที่ผ่่านการบัญญัติขึ้นเพื่อควบคุมความประพฤติของคนนั่นเอง โดยเฉพาะในปีหลู่เจากงศกที่ ๖ (๕๓๖ปีก่อนคริสตศักราช) แคว้นเจิ้งได้นำตัวบทกฏหมายจารึกไว้ที่กระถางทองสัมฤทธิ์ขนาดใหญ่ ขงจื่อจึงยิ่งตระหนักชัดถึงความยากลำบากในการกอบกู้จริยธรรมมากยิ่งขึ้น ในปีหลู่เจากงศกที่ ๒๔ (๕๑๘ ปีก่อนคริสตศักราช) เมิ่งสีจื่อล้มป่วย เขามักจะล้มป่วยอยู่เป็นประจำ หากแต่ครั้งนี้หนักกว่าครั้งใด ๆ  ดังนั้นเขาจึงมีเวลาคิดทบทวนชีวิตของเขาอย่างมีสติ  และสิ่งที่เขารู้สึกเสียใจมากที่สุดในชีวิตก็คือความไม่เอาธุระกับการศึกษาของตน  ดังนั้น จึงเรียกบุตรชายทั้งสองคือ เมิ่งซุนเหอจี้และหนังกงจิ้งสู มาสั่งเสียว่า "หลังจากพ่อตายแล้ว พวกเจ้าทั้งสองจะต้องไปกราบขงจื่อเป็นอาจารย์ คน ๆ นี้พ่อรู้จักเขาดี เขาเป็นคนที่มีความแตกฉานทั้ง ๖ วิทยา เขาเป็นผู้ที่มีความรอบรู้มากที่สุด" 

Tags: