collapse

ผู้เขียน หัวข้อ: ขงจื่อ จอมปราชญ์แห่งแผ่นดิน  (อ่าน 35854 ครั้ง)

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
ถูกลบหลู่ที่จวนอุปราช 1

     แต่เจิงจ้ายได้ตั้งใจอย่างแน่วแน่อยู่ก่อนแล้ว
นางจึงกล่าวกับลูกว่า "ลูกมีความรู้ที่แตกฉาน ความจำก็เป็นเลิศ สิ่งนี้ถือว่าเป็นเรื่องดี เพียงแต่มิควรยึดถืออยู่กับจารีตจนไม่ยอมพลิกแพลงให้สอดคล้องกับสถานการณ์เสียเลย โบราณกล่าวว่า "อดีตเป็นครูแห่งอนาคต" ในสมัยที่พ่อของลูกมาขอแม่ ตอนนั้นพ่อของลูกอยู่ในช่วงมัชฌิมวัย จึงทำให้แม่ต้องมาเป็นหม้ายตั้งแต่ยังสาว ทำให้ลูกกำพร้าตั้งแต่เยาว์ แต่ตอนนี้ลูกมีร่างกายอันแข็งแรง การแต่งงานในวันนี้ จึงไม่นับเป็นเรื่องที่เสียหายอะไร" ข่งชิวเป็นผู้ที่มีความกตัญญูรู้คุณ รู้ดีว่ามารดาต้องตรากตรำลำบากกับตนเสมอมา ดังนั้นจึงคิดแต่จะทดแทนพระคุณของมารดาอยู่ทุกขณะ โดยจะไม่ยอมให้มารดาต้องเดือดร้อนอนาทรแต่อย่างใด จึงพูดกับมารดาว่า "ในเมื่อเป็นความประสงค์ของท่านแม่เช่นนี้ ก็ขอให้ท่านแม่เป็นผู้ตัดสินให้ด้วยเถิด"  ครั้นเจิงจ้ายได้ฟัง ก็รู้สึกเปรมปรีดิ์ยิ่ง จึงรีบติดต่อแม่สือให้ช่วยเสาะหากุลสตรีที่เหมาะสม กระทั้่งได้พบฉีกวนซื่อ ชาวเมืองซ่ง สตรีผู้มีพร้อมด้วยคุณธรรม  โวหาร  โฉมพักตร์และความสามารถ ทั้งสองครอบครัวจึงแลกเปลี่ยนวันเดือนปีเกิด ได้ทราบในภายหลังว่า ฉีกวนซื่อ มีอายุที่เท่ากับข่งชิวพอดี อีกทั้งยังมีดวงที่สมพงษ์กันอีกด้วย ดังนั้นจึงทำการหมั่นหมายและจัดงานวิวาห์ฤกษ์ในทันที หลังจากข่งชิวได้แต่งงานแล้ว ทั้งครอบครัวน้อยใหญ่ต่างอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข แต่ทว่า ข่งชิวเป็นคนที่มีความใฝ่ฝันและอุดมการณ์ที่จะรับใช้ประเทศชาติอย่างแรงกล้า ด้วยความรู้ความสามารถที่มี ไฉนจึงปล่อยเวลาให้ล่วงเลยไปอย่างไร้คุณค่าได้ โดยเฉพาะที่ทุกครั้งได้รำลึกถึงคำสั่งเสียของท่านตาว่า "๓ กษัตริย์ ๕ ราชันได้ทรงปราบกบฏ ทรงพิทักษ์ชาติราษฏรโดยยึดถือความยุติธรรมต่อปวงชนเป็นเอกหมาย" คำเหล่านี้ยังคงก้องอยู่ริมหูมิรู้คลาย ดังนั้น ข่งชิวจึงมีความตั้งใจจะอุทิศกายรับใช้ชาติบ้านเมืองในเร็ววัน  ตลอดเวลาที่ผ่านมา ข่งชิวคิดแต่จะคบหาเพื่อนร่วมอุดมการณ์เพื่อร่วมกันผดุงความยุติธรรมให้ปรากฏบนแผ่นดิน และถวายความรู้ความสามารถของตนเพื่อรับใช้ชาติบ้านเมืองอย่างสุดกำลังความสามารถ เพราะสมัยนั้นยังมิได้ดำเนินระบบการบริหารคัดสรรปราชญ์โดยการสอบคัดเลือก ฉะนั้น ตำแหน่งต่าง ๆ จึงถูกผูกขาดโดยลูกหลานเรื่อยมา แต่สำหรับบิดาของข่งชิวเอง แม้นว่าจะเคยดำรงตำแหน่งนายอำเภอเมืองโจวอี้ ก็จริง แต่ก็เป็นเพียงชื่อที่ไพเราะแค่เปลีอกนอก โดยหาได้มีอำนาจทางการปกครองไม่ โดยเฉพาะ สูเหลียงเฮ่อ ได้ถึงแก่กรรมเมื่อตอนข่งชิวอายุเพียง ๓ ขวบเท่านั้น ด้วยสภาพสังคมอันโหดร้าย พวกเหล่าขุนนางอภิชนจึงลืมเขาไปจนหมดสิ้น  ในยามที่ข่งชิวเดินอยู่บนท้องตลาด มักจะได้เห็นพฤติกรรมการขูดรีดเอารัดเอาเปรียบของเหล่าพ่อค้าวานิชอยู่เสมอ สิ่งเหล่านี้จึงยิ่งกระตุ้นให้ข่งชิวรู้สึกอัดอั้นใจเป็นอย่างยิ่ง หากสภาพสังคมยังเป็นเช่นนี้ไม่เปลี่ยน อนาคตของเมืองหลู่จะไปอยู่ที่ไหน?" ข่งชิวคิดด้วยอารมณ์อันฉุนเฉียวและเดินกลับบ้านด้วยความหนักใจ

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
ถูกลบหลู่ที่จวนอุปราช 2 

      นับแต่นั้น
ข่งชิวเริ่มนอนไม่หลับเพราะข่งชิวกำลังวาดภาพแผนงานที่จะกรอบกู้ความเกรียงไกรให้แก่เมืองหลู่ขึ้น เช่น  ผลักดันคุณธรรม  ปกครองด้วยจริยธรรม  การประกาศใช้กฏหมาย  หยุดเหล่าทรชน  เช่นนี้ก็จะทำให้มิเกิดโจรผู้ร้าย พ่อค้าวาณิชจะมิโลภมากเที่ยวหลอกลวง จนส่งผลให้อยู่เย็นเป็นสุขในที่สุด  แล้วจากนั้นจึงค่อยผลักดันไปสู่รัฐน้อยใหญ่ด้วยศักภาพการปกครองของเมืองหลู่ จนที่สุดการกอบกู้ความเสื่อมโทรมของราชวงศ์โจว และยังสันติสุขให้เกิดขึ้นบนแผ่นดิน แต่ข่งชิวรู้สึกมันเป็นเป้าหมายที่กว้างเกินไป ดังนั้นควรจะเริ่มต้นจากจุดไหนดี? ในตอนนี้ข่งชิวยังมิอาจพบหนทางที่ตนมั่นใจได้ จึงได้แต่ให้กำลังใจตนว่า "อย่ายอมแพ้ สู้ชีวิตต่อไปเถอะ" ในสมัยนั้น เจ้าเมืองหลู่หวนกง ทรงอภิเษกสมรสกับเหวินเจียง ซึ่งเป็นพระขนิษฐาของเจ้าเมืองฉี คือฉีเชียงกง แต่เหวินเจียงได้แอบสมโยคกับฉีเจียงกงมาก่อนโดยที่หลู่หวนกงหาทรงทราบไม่ เมื่อ ๖๙๓ ปีก่อนคริสตศักราช วสันตฤดู หลู่หวนกงเสด็จเยือนเมืองฉี โดยมีเหวินเจียงตามเสด็จ ในครั้งกระนั้น เหวินเจียงทรงแอบสมโยคกับฉีเชียงกงอีก จนที่สุดก็ความแตก ฉีเชียงกงจึงทรงสั่งให้ทหารลอบปลงพระชนม์หลู่หวนกง  ดังนั้น บุตรที่เกิดแก่สนมเอกนามว่าจีถง จึงสืบขึ้นตำแหน่งเจ้าเมืองแทน โดยมีพระนามว่า "หลู่จวงกง" ทรงมีพี่น้องอยู่ ๓ พระองค์ พระเชษฐาที่เกิดแต่สนมโท มีพระนามว่า เซิ่งฟู่ พระอนุชาที่เกิดแต่สนมโทมีพระนามว่า สูหยา ส่วนพระอนุชาร่วมพระอุทรอีกพระองค์หนึ่งมีพระนามว่า จี้หยิ่ว เนื่องจากพวกเขาล้วนเป็นพระญาติกับเจ้าเมือง ดังนั้นจึงต่างมีอำนาจกันพอสมควร หลังจากเจ้าเมืองหลู่จวงกงเสด็จสวรรคตแล้ว ก็ได้มี  หมิ่นกง  หลีกง  เหวินกง  เซวียนกง  เฉินกงขึ้นสืบตำแหน่งการบริหารตามลำดับ ตราบจนหลู่เซียงกงสวรรคตเมื่อตอน ๕๔๒ ปีก่อนคริสตศักราช หลู่เจากง จึงสืบราชสมบัติแทน และด้วยการปรับเปลี่ยนอำนาจเรื่อยมาของรัฐหลู่ อนุชนเชื้อสายของ ซิ่งฟู่  สูหยา  และจี้หยิ่ว  จึงได้ขยายอิทธิพลมากยิ่งขึ้น  โดยต่างมีชื่อว่าเมิ่งชันซื่อ  สูชุนซื่อ  และจี้ชันซื่อ ซึ่งประวัติศาสตร์ได้ขนานนาม ๓ ตระกูลนี้ว่า "๓ อิทธิพล" ในสมัย ๕๓๗ ปีก่อนคริสตศักราช รัฐหลู่ถูกผูกขาดอำนาจบริหารโดย ๓ ตระกูลผู้มีอิทธิพลนี้ โดยผู้ดำรงตำแหน่งอุปราชแห่งรัฐหลู่คือ จี้ซุนอี้หยู จี้ซุนอี้หยู ได้ทำการแบ่งอำนาจการทหารเป็น ๒ ส่วน โโยตนครอบครองอำนาจการทหารไว้ส่วนหนึ่ง ส่วนอำนาจการทหารอีกส่วนหนึ่งก็ปันให้สองตระกูลคือ สูชุนเฉิงจื่อ และ เมิ่งสีจื่อ ดูแล ขณะเดียวกัน เขายังได้แบ่งประชากรและดินแดนของรัฐหลู่ออกเป็น ๔ ส่วน ตัวเขาครอบครอง ๒ ส่วน และให้ตระกูลสูชชซุนและตระกูลเมิ่งซุนครอบครองตระกุ,ละส่วน ด้วยการกระทำเช่นนี้ มิเพียงแต่ได้แขวนเจ้าเมืองจนสิ้นอำนาจเท่านั้น หากยังได้ทอนอำนาจของ ๒ ตระกูลจนลดน้อยลงไปอีกด้วย ดังนั้น ทั้งสามตระกูลจึงคอยหักเหลี่ยมหักคม จนทำให้รัฐหลู้เคราะห์ซ้ำกรรมกระหน่ำและมีแต่เสื่อมถอยลงทุกที  ครั้นข่งชิว ได้เห็นสภาพการณ์เช่นนี้ อารมณ์ก็อัดแน่นในทรวงอก จนอยากจะเป็นขุนศึกที่แผ่สิงหนาทเข้าฟาดฟันศัตรูในสนามรบให้สิ้นซาก เพื่อกอบกู้ความเสื่อมทรามของชาติให้กลับสู่ความชัชวาลอีกวาระหนึ่ง แต่ทว่า ทุกครั้งที่เขาคิดเช่นนี้ เขาก็ต้องแอบยิ้มให้กับความไร้เดียงสาและความอ่อนหัดของตนเสมอไป ในมโนภาพของข่งชิว เต็มไปด้วยความฝัน เขารู้ดีว่าการใหญ่ทั้งปวงจักต้องเริ่มจากรากฐานเป็นสำคัญ และด้วยการไตร่ตรองเป็นระยะเวลานาน ข่งชิวจึงเริ่มออกเผยแพร่อุดมการณ์ของตนกับเหล่าธีระผู้รักชาติในเมืองหลู่  วันหนึ่ง ขณะที่ข่งชิวเดินอยู่บนท้องถนน เขาได้ยินผู้คนสนทนาโดยบังเอิญว่า "ท่านอุปราชจะรับปราชญ์อีกแล้ว" "เห็นได้ไฉน"  "ก็ท่านอุปราชกำลังเตรียมงานเลี้ยงต้อนรับบัณฑิตกันอุตลุตเลยนิซิ"  "ก็อีแค่ผักชีโรยหน้าละกระมัง"  "แต่อาจจะจริงใจก็ได้นะ" ... สำหรับข่าวลือนี้ ข่งชิวเคยได้ยินมาอยู่บ้างแล้ว เพียงแต่ยังไม่อาจเชื่ออย่างสนิทใจเท่านั้น แต่เมื่อมีการร่ำลือกันอย่างหนาหูเช่นนี้ ข่งชิวจึงมั่นใจว่ามิใช่ข่าวลือเสียแล้ว ในวันนั้นจึงเดินทอดหุ่ยกลับบ้านด้วยความอิ่มเอม สายธารแห่งเวลาได้ไหลผ่านไปอย่างเฉื่อยช้า ในที่สุด วันเวลาที่รอคอยก็มาถึง ในเช้าตรู่ของวันนั้น ข่งชิวได้แต่งกายภูมิฐานและมุ่งหน้าไปที่จวนอุปราชด้วยสีหน้าอันสดใส ท่ามกลางสายรุ้งที่ลอยพาดขอบฟ้าอย่างตระการตา

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
ถูกลบหลู่ที่จวนอุปราช 3   

     จวนอุปราช เป็นอาคารที่ก่อสร้างรายล้อมด้วยกำแพงสูงทะมึน
ตัวเรือนสูงตระหง่านอย่างวิจิตรท่ามกลางนิคมเมือง และที่ประตูทางเข้า มีเหล่าบัณฑิตนักศึกษาแต่งตัวเต็มยศด้วยสีเขียวแดงเข้าออกขวักไขว่ ดูเขาเหล่านั้นช่างภูมิใจในตัวเองเสียเหลือเกิน ที่เบื้องหน้าประตูทางเข้าได้มีชายร่างใหญ่อายุประมาณ ๓๐ กว่า แต่งกายชุดโปร่งสีน้ำเงินเทา หนวดเครารุงรังยุ่งเหยิง ใบหน้ากลมดิก สีหน้าเดี๋ยวห่อไหล่ยิ้มประจบ อีกประเดี๋ยวก็ขึงขังแยกเขี้ยวตามแต่บุคลิกที่เดินเข้าออก ข่งชิวได้เห็นภาพนี้แต่ไกลทำให้อดหนาวสะท้านทั่วสรรพพางค์กายเสียมิได้ ในใจพลางคิดว่า "ช่างเป็นคนถ่อยสองหน้าเสียจริง ๆ " และครั้นได้เดินเข้าใกล้สังเกตดู "นั่น... นั่นมิใช่พ่อบ้านหยางหู่ของอุปราชจี้ผิงจื่อหรอกหรือ?"  คน ๆ นั้นคือหยางหู่ มิผิด ในยุคสมันชุนชิว ตำแหน่งขุนนางของเหล่าเจ้าแคว้นล้วนถูกแต่งตั้งด้วยระบบการตกทอด หากแต่พ่อบ้านของเหล่าขุนนางจะไม่สืบทอดโดยระบบอภิสิทธิ์ ซึ่งจะถูกแต่งตั้งโดยขุนนางให้มีตำแหน่งเป็น โหย่วจ่าย  ซือถู  ซือหม่าต่าง ๆ และตำแหน่งเหล่านี้รวมเรียกว่า พ่อบ้าน   ครั้นข่งชิวได้เห็นใบหน้าที่ประจบชวนอาเจียนของหยางหู่ฝีเท้าก็เริ่มชะลอช้าลง ในตอนนั้น ข่งชิวเริ่มลังเลและคิดจะถอยกลับ แต่แล้วข่งชิวก็ต้องเปลี่ยนใจ "เพื่อเมืองหลู่ เพื่ออาณาจักรประชาราษฏร์ เพื่อเกียรติแห่งบรรพชน เราจะต้องฉวยโอกาสนี้ให้จงได้" ครั้นคิดได้ดังนี้ก็ยืดอกมุ่งหน้าไปสู่จวนอุปราชอย่างองอาจ หลังจากถึงเชิงบันไดหิน ข่งิชวได้ประสานมือคารวะทักทาย แต่หยางหู่หาได้ใ่ใจไม่  หากยังอัดเสียงทางจมูกอย่างดูถูกดูแคลนว่า "เจ้าคือใคร?  มาที่นี่ทำอะไร?" ข่งชิวก้มศรีษะลงต่ำเล็กน้อย พลางกล่าวด้วยความสุภาพตามประสาบัณฑิตว่า "ข้าน้อยชื่อข่งชิว ได้ทราบว่าท่านอุปราชกำลังจัดงานเลี้ยงต้อนรับเหล่าบัณฑิตทั่วพิภพ..."  "ฮ่า..." เสียงหัวเราะเหยียดหยามดังสนั่นอย่างน่าสยองของหยางหู่ดังขึ้น  "ท่านอุปราชเชิญแต่ปราชญ์บัณฑิตที่มีชื่อเสียงโด่งดัง เจ้าก็คือนักศึกษาจน ๆ ก็อยากจะมาร่วมครื้นเครงในงานอันทรงเกียรตินี้ด้วยรึ ช่างไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำเสียจริง ๆ" ครั้งข่งชิว ถูกวาจาลบหลู่ก็ได้สติขึ้นมามากมาย เขาเงยหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธจ้องมองหยางหู่ ด้วยหมายจะเข้าปะทะคารมให้สิ้นอาย  หยางหู่รู้เจตนาของข่งชิวดี จึงไม่คอยให้ข่งชิวต้องเป็นฝ่ายเอ่ยปากและชิงสะบัดแขน้เสื้อขับไล่ พลางกระโชกด้วยเสียงอันดังว่า "ยังไม่รีบถอยออกไปอีก ! มัวเกะกะที่นี่อยู่ได้ !" ข่งชิวเป็นคนที่หยิ่งในศักดิ์ศรี อีกทั้งยังเป็นคนที่สุภาพถ่อมตน ครั้นถูกเหยียดหยามเช่นนี้ จึงรู้สึกอับอายจนอยากจะหาที่หลบซ่อนตัวในทันที อีกด้วยเพราะไม่อยากจะลดตัวมาต่อคำกับคนถ่อยสองหน้าเยี่ยงหยางหู่ ดังนั้นจึงได้แต่เดินกลับบ้านไปด้วยอารมณ์อันห่อเหี่ยว แม้นจะถูกปรามาสเหยียดหยามที่จวนอุปราช แต่ข่งชิวก็หาได้ท้อแท้ไม่  หากกลับยิ่งมีความเข้าใจต่อสัจธรรมอีกประการหนึ่งก็คือ หนทางแห่งชีวิตจะเต็มไปด้วยหนทางคดเคี้ยวและกันดาร จะมีเพียงความอดทนต่อการเคี่ยวหลอมเท่านั้นจึงจะสามารถสรรค์สร้างการใหญ่ให้เกรียงไกร ฉะนั้น ข่งชิวจึงยิ่งมุมานะอดทนในการเรียนรู้ ๖ วิทยามากยิ่งขึ้นเพราะข่งชิวตระหนักดีถึงคุณค่าของเวลาในเวลานี้ ข่งชิวนอกจากจะเคร่งศึกษาจริยศาสตร์  คีตศาสตร์  และนิรุกติศาสตร์แล้ว ส่วนหนึ่งก็ยังฝึกปรือการยิงธนูและการขับบังคับรถม้าอีกด้วย ในสถานที่ ๆ ห่างจากตัวบ้านของข่งชิวไปไม่ไกล มีสนามฝึกยิงธนู เจวี๋ยเซี่ยงฝู่ ที่ผู้คนใช้เป็นสนามฝึกซ้อมฝีมืออยู่เป็นประจำ ซึ่งข่งชิวก็ใช้เวลาฝึกซ้อมฝีมือที่นั่น ด้วยความมานะพยายาม วิชาธนูของข่งชิวจึงเริ่มพัฒนาจนสามารถยิงธนูทั้ง ๕ วิธีได้อย่างช่ำชอง และทุกครั้งที่ข่งชิวไปฝึกซ้อมฝีมือที่นั่น ผู้คนก็จะเบียดเสียดชมดูอย่างเนืองแน่นเป็นประจำ ในเวลานั้น ครอบรู้สารพันของข่งชิวได้เริ่มเป็นที่ประจักษ์แก่ทุกคนแล้ว และก็เริ่มมีผู้คนมาฝากตัวขอเรียนวิชามากยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
ถูกลบหลู่ที่จวนอุปราช 4 

     วันหนึ่ง
เทศกาลการบูชาบรรพชนประจำปีที่วัดหลวงได้จัดขึ้นอีกครั้ง ยังไม่ทันที่พิธีบูชาจะเริ่มต้น  ผู้คนก็มายืนเบียดเสียดจนเนืองแ่น่นประตูวัดหลวงไปเสียแล้ว ในหมู่นั้นได้มี ข่งชิวที่ยืนเบียดจ้องอย่างมิกระพริบตารวมอยู่ด้วย ครั้นได้ครวญแก่ลัคนาฤกษ์ เสียงกลองระฆังก็พร้อมสนั่น ในตอนนั้น พิธีกรประธานได้ป่าวประกาศนำพิธีกรสนาม คือหลู่เจากง พร้อมด้วยลูกขบวนทั้งฝ่ายดนตรี และฝ่ายรำ ก้าวเข้าสู่มณฑลพิธี มณฑลพิธีที่ว่านี้เป็นลานสี่เหลี่ยมผืนผ้าหน้าศาลบรรพบุรุษโจวกง โดยมีระยะยามจากทิศบูรพาไปปัจฉิมและมีระยะแคบจากทิศอุดรไปทักษิณ ปริมณฑลแห่งนั้นล้วนปูลาดด้วยหินตัดรูปสี่เหลี่ยมก้อนใหญ่อย่างเป็นระเบียบ หลังจากพิธีกรประธาน ได้หลั่งมัชธาราและอ่านบทสดุดีพระเกียรติคุณของท่านโจวกงจบ ได้ทำความเคารพด้วยเกียรติพิธีระดับสูงแล้วจึงก้าวถอยลงจากมณฑลพิธี ในตอนนั้น ลูกขบวนฝ่ายดนตรีที่ถือเครื่องดนตรีอย่างพร้อมสรรพก็เคลื่อยเข้าสู่ชายคาหน้าศาลบรรพบุรุษ โดยจัดขบวนเป็น ๖ จัตุรัส รวมทั้งสิ้น ๓๖ คน มืซ้ายแต่ละคนถือขนไก่ฟ้า มือขวาถือขลุ่ย ทุกคนเริ่มร่ายรำภายใต้เสียงเพลงที่บรรเลงด้วยเครื่องดนตรีที่ทำจากโลหะ หิน  ดิน  ไผ่  ไม้  หนัง  น้ำเต้าเป็นอาทิ  โดยบรรยายกาศการร่ายรำเต็มไปด้วยความสง่างาม  ท่วงท่าสุขุม  ลีลาพลิ้วพราย  จนผู้ชมล้วนเคลิบเคล้มไปตามทำนอง  ข่งชิวจ้องมองอย่างเคลิบเคลิ้มจนมือไม้เริ่มร่ายรำไปตามจังหวะและคลอเพลงแผ่วเบา อันเสมือนคนที่ต้องมนต์จนหลงใหลแลตกอยู่ในภวังค์ ในทันใด เสียงดนตรีได้หยุดลงจนทุกสิ่งตกอยู่ในความเงียบงัน ลูกขบวนต่างถอยลงจากสนามพิธีอย่างเป็นระเบียบ พร้อมด้วยเสียงอันกังวานจากพิธีกรประธานว่า "จบพิธี" แต่ในโสตประสาทของข่งชิวยังคงติดตรึงภาพและเสียงของขบวนพิธีอยู่มิคลาย  ข่งชิวยังไม่อยากจะจากลา จึงรีบเข้าไปถามไถ่พิธีกรประธานท่านนั้นว่า "ขอรบกวนเวลาท่านสักครู่ ไฉนพิธีเมื่อสักครู่จึงใช้ฉกสังคีต?"  พิธีกรท่านนั้นเป็นชายราววัย ๕๐ กว่า มีรูปร่างอันสมส่วน  มีหน้าขาวผ่อง  มีหนวดและจอนยาวพลิ้วสยาย  ดูแล้วสง่าน่านับถือ  ครั้นชายชราได้เห็นข่งชิวเดินเข้ามาถาม จึงเพ่งมองข่งชิวอย่างพิเคราะห์ พลางกล่าวด้วยลีลาสุขุมว่า "อัฏฐสังคีต จะใช้เฉพาะแต่องค์จักรพรรดิ  ส่วนฉกสังคีต จะใช้กับเหล่าเจ้าแคว้นของแต่ละนครรัฐ  โจวกงได้ทรงรับพระราชทานบรรดาศักดิ์ให้กินเมืองหลู่ จึงถือว่าเป็นเจ้านคร ดังนั้นจึงควรใช้ฉกคีตในพิธีบูชา"  ข่งชิวกล่าวว่า "ตามหลักแล้วโจวกงได้ถวายความจงรักภักดีจนโจวอู่หวังทรงปราบดาภิเษกขึ้นครองราชสมบัติได้สำเร็จ ทั้งยังทรงปกครองอาณาประชาราษฏร์จนร่มเย็นเป็นสุข แล้วไฉนจึงไม่ใช้อัฏฐสังคีตล่ะ?"ชายชรากล่าวว่า "มาตรว่าโจวกงจะทรงมีคุณงามความดีเทียบดินฟ้าก็จริง แต่หากมิได้เป็นกษัตริย์ อย่างไรก็มิอาจใช้อัฏฐสังคีตได้อย่างเด็ดขาด และแม้นโจวเฉิงหวังจะเคยรับสั่งถึงคุณความดีที่โจวกงได้ทรงมีต่อประเทศชาติ และยังเคยทรงมีพระราชานุญาตให้โจวกงใช้อัฏฐสังคีตได้ก็ตาม แต่โจวกงทรงเห็นว่า เป็นการผิดต่อข้อบัญญัติแห่งจริยธรรม ดังนั้นจึงยืนกรานปฏิเสธการใช้พิธีนี้เสมอมา ด้วยเหตุนี้ การไม่ใช้พิธีอัฏฐสังคีตจึงสอดคล้องต่อเจตนาจริยธรรมแห่งโจวกงแล้ว"  ข่งชิวได้ไต่ถามข้อกังขา ที่มีต่อพิธีบูชาอีกมากมาย พิธีกรท่านนั้นล้วนตอบคำถามอย่างละเอียด ด้วยความอดทน  ครั้นจบคำถาม ข่งชิวได้โค้งคารวะว่า "ขอขอบพระคุณเป็นอย่างสูง ข้าน้อยขอรบกวนแต่เพียงเท่านี้ " ครั้นแล้วก็หันหลังกลับไปอย่างสุภาพ ชายชรารู้สึกชื่นชมในความใฝ่ศึกษาของข่งชิว จึงยืนส่งข่งชิวเดินกลับไปจนลับสายตา

หมายเหตุ !  ๖ จัตุรัส คือพิธีบูชา ที่ใช้ผู้คนร่ายรำตามเสียงดนตรี  โดยกษัตริย์จะใช้คนร่ายรำ ๖๔ คน เรียงเป็นแถวจัตุรัส เรียกว่า อัฏฐสังคีต เจ้าเมืองจะใช้คนร่ายรำ ๓๖ คน เรียงเป็นแถวจัตุรัส เรียกว่าฉกสังคีต  ส่วนขุนนางจะใช้คนร่ายรำ ๑๖ คน เรียงเป็นแถวจัตุรัส เรียกว่าจัตุสังคีต       

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
ถูกลบหลู่ที่จวนอุปราช  5

     ข่งชิวเดินออกจากอารามหลวงด้วยอารมณ์สุนทรีย์
แต่เขายังไม่อยากกลับบ้านในตอนนี้ดังนั้นจึงเดินเรียบไปตามถนนใหญ่จนถึงสี่แยก ข่งชิวกวาดสายตาไปทางทิศอุดร เห็นแท่นดินที่ตั้งอยู่บนทุ่งกว้างที่ห่างไปไม่ไกลนัก บริเวณนั้นร่มรื่นด้วยทิวสน ทุ่งหญ้าปลิวพลิ้วไปตามกระแสคลื่นแห่งสายลม ข่งชิวสาวเท้าก้าวมุ่งไปที่แท่นดินแห่งนั้น จำได้ว่านี่คือแท่นคอยพ่อแห่งป๋อฉิน ป๋อฉิน คือพระโอรสองค์โตของโจวกง ทรงเป็นเจ้าเมืองพระองค์แรกของรัฐหลู่ ในตอนนั้น ข่งชิวได้เดินวนแท่นดินหนึ่งรอบ  ได้เห็นแท่นดินแห่งนันถูกปกคลุมด้วยเถาวัลย์และกอวัชพืช แม้แท่นดินนี้จะไม่เป็นที่สดุดตาของคนทั่วไป แต่มันก็ได้สกิดอารมณ์ความรู้สึกที่โหยหาบิดาของป๋อฉินในมโนภาพของข่งชิวขึ้น ป๋อฉินได้ทรงสร้างแท่นดินแห่งนี้เพื่อบ่ายหน้าไปทางวังหลวง ณ ทิศประจิมเพื่อเป็นการคลายความเจ็บปวดจากความคิดถึงที่ทรงมีต่อพระบิดา แต่บัดนี้ เจ้าเมืองหลู่ที่เป็นอนุชนของโจวกงกลับลืมบรพบุรุษไปเสียสิ้น ความเสื่อมโทรมแห่งแคว้นหลู่จึงสามารถเห็นได้จากจุดนี้อย่างมิอาจปิดบัง  เพราะแม้แต่พิธีอย่างี้ยังเป็นที่ลืมเลือน แล้วจะมีคุณค่าอะไรหลงเหลืออยู่อีกเล่า? หลังจากกลับถึงบ้าน ข่งชิวยังมุ่งมั่นในปณิธาน  และตั้งใจเล่าเรียน ๖ วิทยาอีกต่อไป อย่างไม่ย่อท้อ  แต่นั้นไม่นาน เรื่องประหลาดขนาดที่ข่งชิวคาดไม่ถึงก็เกิดขึ้น คือหลังจากข่งชิวได้กลับจากพิธีบูชาโจวกงที่วัดหลวงแล้ว ชาวเมืองหลู่น้อยใหญ่ต่างร่ำลือเรื่องข่งชิวมากยิ่งขึ้นกว่าเก่า เพียงแต่ครั้งนี้ได้วิจารย์ข่งชิวว่าเป็นบุคคลที่ไม่มีความรู้คสามสามารถอะไรเลย  วันหนึ่ง ขณะที่ข่งชิวกำลังฝึกปรือวิชาธนูกับบรรดาสหายที่สนามเจวี๋ยเซี่ยงผู่ ได้มีมาณพคนหนึ่งเดินเข้ามากระซิบที่ข้างหูของข่งชิวว่า "ข่งชิว ทุกคนต่างลือเรื่องอขงเจ้าใหญ่เลย"  ข่งชิวถามด้วยความประหลาดใจว่า "ลือข้าว่าเป็นอย่างไรหรือ ?"  "พวกเขาลือว่าเจ้าไม่รู้อะไรเลยสักอย่าง ไปที่วัดหลวงแล้วยังต้องซักไซร์เรื่องพิธีบูชาอีก"  "แล้วพวกเขายังว่าอย่างไรอีก"  "พวกเขาว่าเจ้าไม่มีความรู้เลยสักนิด"  ครั้นข่งชิวได้ฟังก็พูดขึ้นอย่างไม่เห็นด้วยว่า "พวกเขาไม่เข้าใจข้าเลยสักนิด คนเราควรคล่องแคล่วใฝ่ศึกษา ไม่ละอายในการไต่ถามผู้ที่มีความรู้ดอยกว่า ข้าคิดว่าในโลกนี้มีคนที่มีความรู้อยู่มากมาย สามคนร่วมเดินทางก็ยังต้องมีสักคนหนึ่งที่สามารถเป็นครูของเราได้อย่างแน่นอน มาตรว่าเราจะมีอัจฉริยภาพจนมีใครเทียมได้ก็จริง แต่ก็ยังต้องมีความถ่อมตนในการศึกษาวิชา เพราะขอบเขตความรู้ไม่มีที่สิ้น การศึกษาจึงไม่ควรมีการหยุดด้วยเช่นกัน"  มาณพคนนั้นฟังแล้วรู้สึกเห็นด้วย จึงได้พยักหน้ารับคำเป็นการใหญ่ ส่วนชายหนุ่มคนอื่น ๆ ก็ยังคงทยอยกันมาฟังคำปราศรัยของข่งชิวอย่างคับคั่งตามเดิม  กาลนทีว่องไวดุจกระสวยแล่น เพียงไม่นานก็ผ่านไปอีก ๑ ปี  ซึ่งตอนนั้น ข่งชิวมีอายุได้ ๑๙ ปีแล้วส่วนชื่อเสียงของท่านก้เริ่มโด่งดังจนสะพัดไปทั่วรัฐหลู่น้อยใหญ่  เช้าวันหนึ่ง หลังจากเสร็จสิ้นพิธีออกขุนนางเช้า  หลู่เจากง ได้มีรับสั่งให้เรียกจี้ผิงจื่อ  สูซุนเฉิงจื่อ  และเมิ่งสีจื่อเข้าเฝ้า  ได้ตรัสขึ้นอย่างสราญพระทัยว่า "ท่านเสนาทั้งสาม ข้าได้ทราบมาว่า บุตรชายของสูเหลียงเฮ่อที่โจวอี้เป็นผู้ที่มีความรู้สูงส่ง มิทราบว่าจริงเท็จเป็นเช่นไร? " จี้ผิงจื่อ เป็นคนที่มีรูปร่างอ้วนเตี้ยและชอบมองคนด้วยหางตา  ส่วน สูซุนเฉิงจื่อ เป็นบุคคลที่มีรูปร่างปานกลาง หน้าตาแห้งตอบ เป็นคนที่ไม่ชอบแสดงความคิดเห็น แต่ในตอนนั้นทั้งสองคนต่างจ้องมองหน้ากันโดยมิได้นัดหมาย แววพระเนตรอันกระหายคำตอบของหลู่เจากง ยังคงสอดส่ายไปมาที่บุคคลทั้งสองอยู่มิขาด  เมิ่งสีจื่อทูลขึ้นว่า "กระหม่อมก็เคยได้ยินมาบ้าง เพียงแต่ยังมิได้ประสบพบเห็นมาด้วยตนเอง ดังนั้นจึงมิกล้าด่วนสรุปเร็วไปนัก"  หลู่เจากงตรัสว่า "ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ลองเรียกตัวเข้าวังสักครา หากว่าเป็นจริงตามที่ล่ำลือก็จะได้มอบหมายตำแหน่งราชการให้"  ครั้งจี้ผิงจื่อได้ฟังก็รู้สึกไม่สบายใจยิ่งนัก  ส่วนสูซุนเฉิงจื่อก็แสร้งทำเป็นไม่ได้ยินไปเสียเลย  เมิ่งสีจื่อทูลว่า "ในเมื่อฝ่าบาททรงมีพระทัยเช่นนี้แล้ว กระหม่อมก็จะให้คนไปเบิกตัวข่งชิวมาเข้าเฝ้าในทันที"     

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
        ถูกลบหลู่ที่จวนอุปราช   6 

     ในตอนนั้นข่งชิวกำลังท่องซือจิง
อยู่ในบ้าน ข่งชิวจะชอบซือจิงมากเป็นพิเศษ เพราะซือจิงเป็นบทเพลงพื้นบ้านที่งามพร้อมด้วยอักขระและอรรถรสอันสุนทรีย์ ขณะที่เพลิดเพลินอยู่กับอารมณ์ความคิด ทันใดได้มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น ฉีกวนซื่อจึงรีบไปเปิดประตู ครั้นเห็นเป็นทูตหลวงมือไม้ก็สั่นเทาจนทำอะไรไม่ถูก ข่งชิวรีบแต่งอาภรณ์และรับรองทูตหลวงเข้าในบ้าน  ทูตมิได้อ้อมค้อมมากพิธี ได้กล่าวถึงจุดประสงค์การมาอย่างตรงไปตรงมาว่า "ฝ่าบาทมีรับสั่งให้ท่านรีบเข้าวังร่วมปรึกษาราชการโดยด่วน"  ครั้งข่งชิวได้ฟังก็รู้สึกปิติยินดียิ่ง จึงได้ตามทูตหลวงเข้าวังโดยมิทันได้บอกกล่าวให้มารดาและภรรยาทราบ วังหลวงเมืองหลู่ ดูโอ่อ่าอลังการ ประดับกระบวนด้วยศิลปะโบราณดูงามตา ทั้งปริมณฑลมีอาคารสูงต่ำที่ผสมผสานกันอย่างกลมกลืน แม้นข่งชิวจะรู้อยู่แก่ใจว่าไม่มีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้น แต่นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ได้เข้าสู่ตำหนักรโหฐานส่วนพระองค์  ข่งชิวจึงอดที่จะใจเต้นระทึกอยู่ตลอดเวลาเสียมิได้ ดังนั้นจึงได้แต่เดินตามทูตหลวงอยู่ห่าง ๆ ครั้นถึงเบื้องพระพักตร์ก็รีบคุกเข่าถวายพระพร  พระพักตร์ของหลู่เจากงเต็มไปด้วยความปิติยินดี ทรงอนุญาตให้ข่งชิวนั่งสนทนาได้  ข่งชิวกลั้นลมหายใจอยู่พักหนึ่งแล้วจึงกราบทูลว่า "ขอบพระทัยฝ่าบาท" จากนั้นจึงพับแขนเสื้อและเดินสู่ที่นั่งชั้นสูงที่ตั้งอยู่ด้านข้างพระที่นั่ง หลู่เจากง ตรัสว่า " ข่งชิว ข้าได้ทราบมาว่าท่านมีความรู้ความสามารถในศิลปวิทยาทุกแขนง ข้าจึงอยากฟังทัศนะการปกครองจากท่านสักหน่อย"  ข่งชิวลุกขึ้นจากที่นั่ง และคุกเข่าลงกราบทูลว่า "กระหม่อมเป็นเพียงปุถุชนคนสามัญ จึงมิกล้าแสดงถ้อยความเห็นอันต้อยต่ำพ่ะย่ะค่ะ"  หลู่เจากงตรัสว่า "ลุกขึ้นก่อน"  ข่งชิวเพ็ดทูลว่า "ขอบพระทัยฝ่าบาท"  หลู่เจากงตรัสถามว่า แก่นการปกครองแห่ง ๓ กษัตริย์  ๕ราชันคืออะไร ?" ข่งชิวทูลว่า "ความเสมอภาพเพื่อมวลประชา"  "ผลงานหลักของท่านโจวกงคืออะไร"  "กำหนดแบบแผนจริยธรรมและคีตศาสตร์"  "ตามสถานการณ์บ้านเมืองในปัจจุบัน เมืองฉีเข้มแข็งอุกอาจ เมืองหลู่อ่อนล้าโรยแรง ข้ามีประสงค์จะกอบกู้ความเข้มแข็งให้เมืองหลู่เหนือเมืองฉี  แต่ควรใช้วิธีเช่นใดดี"  ข่งชิวก้มหน้าใคร่ครวญอยู่พักหนึ่ง จากนั้นจึงทูลตอบอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า "ตามความเห็นของกระหม่อมนั้น หากเมืองหลู่ประสงค์จะเข้มแข็งขึ้นมาควรเริ่มจากการฟื้นฟูธรรมครรลองแห่งราชวงศ์โจว ดำเนินการปกครองด้วยเมตตาธรรม ใส่ใจไพร่ฟ้าข้าแผ่นดิน นำพาเหล่าพสกนิกรด้วยคุณธรรมความดีและรณรงค์ให้ทั้งหมดอยู่ในกรอบแห่งจริยธรรมเป็นเบื้องต้น โดยเฉพาะเหล่าขุนนางราชบุรุษทั้งปวงจะต้องปฏิบัติตนอย่างเคร่งครัดเพื่อเป็นแบบอย่าง  ด้วยฉะนี้ หากมีคำสั่งทุกคนจะต้องปฏิบัติตาม หากมีข้อห้ามทุกคนก็จะต้องงดเว้น และการที่จะทำเช่นนี้ได้ ก็ควรรู้จักเลือกใช้คนดีเป็นสำคัญ  แต่งตั้งเหล่าธีระที่ถูกหลงลืมขึ้นดำรงตำแหน่ง ฉะนี้ก็จะทำให้บุคลากรในราชสำนักกอปรด้วยคุณธรรมความสามารถ ฉะนี้ก็มิไยต้องกังวลว่าเมืองหลูจะด้อยกว่าเมืองฉีอีก?"  ครั้นหลู่เจากงได้ทรงสดับก็ปิติยินดียิ่ง จึงตรัสชมขึ้นว่า "ท่านฟูจื่อเป็นอริยชนโดยแท้ มิทราบว่าท่านฟูจื่อมีประสงค์จะอยู่รับราชการเพื่อเสนอความเห็นต่อข้าสืบไปหรือไม่?" นี่มิใช่เป็นโอกาสงามที่จะประกาสศักดาและอุดมการณ์ของตนหรอกหรือ? เพียงแต่มันมาอย่างรวดเร็วเกินไป จนทำให้ข่งชิวรู้สึกตะลึงจนตั้งตัวไม่ทัน

หมายเหตุ   :  ซือจิง เป็นหนังสือโบราณที่รวบรวมกลอนและบทเพลงที่เก่าแก่ที่สุดของจีน มีทั้งหมด ๓๐๕ บท รวบรวมโดยขงจื่อ  แต่เดิมมีชื่อว่า  ซือ  (กลอน)  อย่างเดียว แต่เนื่องจากสำนักปราชญ์ (หมายถึงสำนักขงจื่อ)  ยึดถือเป็นคัมภีร์ที่ศิษย์ทุกคนจะต้องศึกษา ดังนั้นจึงเรียกว่า  "ซือจิง" (จิง แปลว่า สูตร) ในคัมภีร์แบ่งออกเป็นสามหมวดใหญ่คือ หมวดฟง  หมวดอย่า  และหมวดซ่ง  ชนรุ่นหลังถือว่าคัมภีร์ซือจิงเป็นหนังสือที่มีอิทธิพลต่อวงการวรรณกรรมจีนมาตลอดสองพันกว่าปี อีกทั้งยังเป็นข้อมูลประวัติศาสตร์ที่ทรงคุณค่ามากเป็นอย่างยิ่ง     

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
        ถูกลบหลู่ที่จวนอุปราช 7 

     ครานั้น  จี้ผิงจื่อ
ผู้มีรูปร่างม่อต้อและมีจิตใจริษยาคนเก่งเป็นอุปนิสัย ครั้นได้เห็นความปรีชาสามารถระดับปกครองใต้หล้าได้ของข่งชิว ทั้งยังได้ยินหลู่เจากงรับสั่งว่าจะประทานตำแหน่งหน้าที่ให้แก่ข่งชิวในทันใดอีกด้วยแล้ว จี้ผิงจื่อจึงรีบฉวยโอกาสที่ข่งชิวยังมิทันตั้งตัวชิงกราบทูลก่อนว่า "ฝ่าบาท ข่งชิวมีความรู้ความสามารถด้วยวัยวุฒิเพียงเท่านี้ ถือว่าเป็นสิ่งที่น่ายกย่อง เพียงแต่การรับราชการประทานบรรดาศักดิ์เป็นเรื่องใหญ่แห่งบ้านเมือง ดังนั้นจึงต้องตรึกตรองอย่างรอบคอบก่อนการตัดสินพระทัย เพื่อประโยชน์สุขจะได้เกิดขึ้นแก่ไพร่ฟ้าประชาราษฏร์พ่ะย่ะค่ะ"  แม้หลู่เจากงจะทรงทราบดีว่าจี้ผิงจื่อมีใจริษยาแต่ก็ติดอยู่ที่จี้ผิงจื่อเป็นอุปราชผู้มีอำนาจราชศักดิ์ อีกทั้งยังมี สูชุนเฉิงจื่อ และเมิ่งสีจื่อ  ร่วมอยู่ด้วยเหตุการณ์อีกประการหนึ่ง ดังนั้นพระองค์จึงไม่อยากโต้แย้งจนเกิดข้อบาดหมางโดยไม่จำเป็น กอปรกับพระองค์ยังไม่รู้จักข่งชิวดีพอ หากจะอาศัยคำพูดเพียงไม่กี่คำมาตัดสินประทานตำแหน่งราชการให้ ขุนนางน้อยใหญ่อาจจะไม่ยอมรับได้ จึงตรัสขึ้นว่า "คำพูดของท่านอุปราชนั้นชอบแล้ว ข้าควรตรึกตรองให้รอบคอบเสียก่อน"  ข่งชิวได้ยินกิตติศัพพ์ของ  ๓  อิทธิพลนี้มาพอสมควร รู้ว่าจี้ผิงจื่อเป็นคนยะโสโอหัง ได้กระทำการรวบอำนาจการบริหารบ้านเมืองไว้โดยอหังการ ส่วนสูซุนเฉิงจื่อเป็นคนโลเลไม่เด็ดขาด จึงมักจะโอนเอียงไปมาท่ามกลางตรกูลทั้งสอง ส่วนเมิ่งสีจื่อ เป็นคนซื่อไร้กลเหลี่ยม ไม่มีความมานะในการศึกษาเล่าเรียนวิชา ความรู้จึงดาด ๆ จนไม่สามารถบริหารราชการให้เข้มแข็ง อำนาจจึงมีน้อยที่สุดใน ๓ ตระกูล  ในสายตาของข่งชิว ตอนนี้เต็มไปด้วยแววตาที่ดูถูก เสียดายและแค้นใจระคนกัน ข่งชิวรู้สึกดูถูกพวกเหล่าขุนนางที่เอาแต่ละโมบบ้าอำนาจ ใช้แต่เล่ห์เหลี่ยมกลโกงโดยไม่นำพาในทุกข์สุขของประชาชน และรู้สึกเสียดายที่อำนาจทั้งหมดของเมืองหลู่ต้องตกอยู่กับทรชนทั้งสาม บ้านเมืองจึงมีแต่ความผุกร่อนลงทุกวัน ทั้งยังรู้สึกแค้นใจที่ฟ้าได้ปล่อยให้คนต่ำทรามเหล่านี้มาบริหารบ้านเมืองอย่างอยุติธรรม โดยเฉพาะคือจี้ผิงจื่อคนนี้  ข่งชิวอยากจะลุกขึ้นยืนปะคารมเพื่อฉีกหน้ากากอันอัปลักษณ์และตำหนิพฤติกรรมอันต่ำช้าสามานย์ของเขาให้เป็นที่ประจักษ์ แต่ทว่า ข่งชิวคือผู้ที่มีการศึกษามาดี ดังนั้นจึงกลืนคำพูดที่แทบจะหลุดออกมาและฝืนยิ้มขึ้นว่า "ข่งชิวด้อยความสามารถ คาวมรู้ตื้นเขินจึงขอให้ฝ่าบาทและใต้เท้าโปรดชี้แนะสอนสั่ง" หลู่เจากงทรงเห็นกิริยาวาจาอันสุภาพของข่งชิวจึงรู้สึกโปรดปรานเด็กหนุ่มคนนี้เป็นอย่างมาก พระองค์ทรงลุกจากพระที่นั่งและเสด็จมาทักว่า "เจ้าคืออนุชนที่สืบเชื้อสายมาแต่อริยกษัตริย์เฉิงทัง ข้าหวังให้เจ้าสามารถฝ่าฟันอุปสรรคให้ก้าวหน้าพัฒนา จนที่สุดได้เป็นอริยชนของราชสำนักในภายหน้าอย่างแท้จริง"  ข่งชิวรีบจัดอาภรณ์ให้เรียบร้อยและคุกเข่ากราบทูลว่า "กระหม่อมจะขอจดจำพระโอวาทฝ่าบาทใส่เกล้าตลอดไป และกระหม่อมจะขอมานะพยายามเพื่อไม่ให้ฝ่าบาททรงผิดหวังพ่ะย่ะค่ะ"  ครั้นได้กราบอำลาแล้ว ข่งชิวได้ก้าวออกประตูวังด้วยใบหน้าอันหนักหน่วงแต่ครั้นออกนอกประตูวัง จิตใจจึงรู้สึกปลอดโปร่งเหมือนวิหคที่สยายปีกโผบินสู่เวหา ข่งชิวรู้สึกปลื้อปิติที่ได้เข้าเฝ้าหลู่เจากง พลางคิดอยู่ใจในว่า "ต้องมีสักวันที่หลู่เจากงจะทรงรับความเห็นของเขาไปใช้ และได้กอบกู้ศักดิ์ศรีของเมืองหลู่จนเข้มแข็งทัดเทียมเหล่าอารยรัฐที่รายล้อมอย่างแน่นอน" และโดยความจริงแล้วการที่ข่งชิวได้เข้าเฝ้าหลู่เจากงในครั้งนี้ก็มีสิ่งดีอยู่ไม่น้อย เพราะหลู่เจากงได้รับสั่งเรียกข่งชิวว่า ฟูจื่อ มิใช่หรือ?. ดังนั้นผู้คนน้อยใหญ่จึงเริ่มเรียกข่งชิวว่า ฟูจื่อ  นับแต่นั้นเป็นต้นมา

หมายเหตุ   :  ฟูจื่อ เป็นสรรพนามที่ใช้เรียกบุคคลที่มีคุณธรรมความสามารถ   

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
          ถูกลบหลู่ที่จวนอุปราช 8 

     ครั้นข่งชิวกลับถึงบ้าน
พลันได้ยินเสียงทารกร้องอุแว้อยู่มิขาด จึงรีบวิ่งเข้าไปในบ้านด้วยความดีใจ ได้เห็นฉีกวนซื่ออุ้มเด็กทารกชายที่ทั้งขาวและอ้วนท้วนแข็งแรงอยู่แนบอก  ข่งชิวรีบเข้าไปทักทายมารดาในเรือนแล้ววิ่งออกมาอุ้มบุตรของตนขึ้นเชยชมอย่างมิกระพริบสายตา จิตใจเจิงจ้ายตอนนี้เอ่อล้นไปด้วยความปลาบปลื้อมปิติอย่างยากจะบรรยายเพราะในที่สุดนางก็หมดห่วงลงได้เสียที เธอภาวนาต่อสามีด้วยความดีใจว่า "ท่านพี่ที่อยู่สรวงสวรรค์คงจะวางใจได้แล้ว"  ในตอนนั้น ฉีกวนซื่อได้กล่าวกับสามีว่า "รีบตั้งชื่อให้ลูกของเราเถอะ" ข่งชิวอุ้มลูกเดินวนไปมาในห้องและลานบ้านอย่างใช้ความคิด แต่ก็ยังมิอาจนึกชื่อที่ถูกใจได้สักที สุดท้ายจึงได้แต่เดินกลับเข้าบ้านนั่งคิดใคร่ครวญต่อไป ในคืนนั้น  ข่งชิวมีความรู้สึกปิติจนมิอาจข่มตาหลับลงได้ เพราะการได้ถูกเรียกตัวให้เข้าเฝ้า การทีบุตรชายได้ถือกำเนิด เหล่านี้นับเป็นเรื่องมงคลที่ประดังเข้ามาอย่างน่ายินดี  ข่งชิวคิดกลับไปกลับมาเกี่ยวกับปัญหาบ้านเมืองและปัญหาการอบรมบุตรให้สามารถสานปณิธานของตนต่อไปในภายภาคหน้า จวบจนพระอุทัยสาดแสงอร่ามพาดขอบฟ้า จึงค่อยสลึมสลือหลับไปในที่สุด ในความฝัน ข่งชิวขับรถม้ามุ่งตรงไปยังพระมหาราชวังแห่งราชวงศ์โจว ที่นั่นมีถนนหนทางอันโอ่อ่า ตึกรามบ้านช่องล้วนประดับด้วยศิลปะสมัยโบราณอย่างวิจิตรพิศดาร ชายหญิงต่างแยกเดินมิเบียดเสียด ผู้คนล้วนอ่อนน้อมมีไมตรี  ผู้เยาว์ให้ความเคารพแก่ผู้สูงอายุ  พ่อค้าวาณิชสุจริตมิคดโกง ข่งชิวได้เที่ยวชมอารยบุรีแห่งนี้อย่างหลงใหล จนรถม้าได้นำพาเข้าสู่เขตพระราชฐานโดยไม่รู้ตัว ในขณะที่ข่งชิวกำลังจะกระโดดลงจากรถม้าเพื่อกล่าวขออภัยที่ล่วงล้ำ ได้มีชายชราท่านหนึ่งเดินตรงมาหาด้วยรอยยิ้มอันเมตตา พลางใช้มือพยุงข่งชิวขึ้นและกล่าวว่า "มิเป็นไร !  มิเป็นไร !" คาดว่าท่านคงคือข่งชิวแห่งเมืองหลู่กระมัง ?. ข่งชิวรู้สึกประหลาดใจ พลางประสานมือคำนับว่า "ข้าน้อยคือข่งชิว มิทราบว่าท่านอาวุโสรู้จักข้าน้อยได้อย่างไีร?"  อาวุโสท่านนั้นตอบว่า "ข้าคือโจวกงที่ท่านเฝ้าถวิลหาอยู่ทุกวันคืนไงล่ะ ข้าได้ประมาณไว้แล้วว่าท่านจะมาในวันนี้ ดังนั้นจึงมาคอยต้อนรับอยู่ที่นี่" ข่งชิวตั้งใจพิเคราำะห์ชายชราอีกครั้ง จึงเห็นว่าเป็นชายชราผมขาวโพลนทั้งศรีษะ หากแต่สุขภาพยังดูแข็งแรงและกำลังส่งสายตาอันอารีย์มาที่ตนอยู่มิขาด จึงรีบกล่าวทันทีว่า "ข้าน้อยเป็นเพียงคนธรรมดาสามัญ ไฉนกล้ารบกวนให้อาวุโสมาต้อนรับได้  โจวกงตอบว่า "ข้ามิใช่มาต้อนรับท่านเพียงอย่างเดียวหรอก ห่กเป็นการต้อนรับความอุดมสุขแห่งเมืองหลู่ต่างหาก ได้ยินมาว่าท่านเป็นผู้มีคุณธรรมความสามารถ ดังนั้นภารกิจแห่งความมั่นคงของชาติต้องมอบให้แก่ท่านแล้วล่ะ" ข่งชิวกล่าวว่า "ข้าน้อยยินดีถวายงานรับใช้เจ้าเมืองหลู่อย่างสุดกำลังความสามารถ เพียงแต่ข้าน้อยโดดเดี่ยวเปลี่ยวกำลัง จึงไม่ทราบว่าจะทำอย่างไร ประการใดดี ?"  โจวกงรีบตีหน้าขึงขังขึ้นมาทันทีว่า "ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จต้องอยู่ที่นั่นเสมอ" ในตอนนั้นข่งชิวมีประสงค์จะเรียนถามหลักการบริหารประเทศจากโจวกง แต่ทันใดก็ถูกเสียงเรียกของทารกปลุกให้ตื่นขึ้นจากภวังค์ความฝัน ยามนี้แสงอุทัยได้สาดส่องเข้ามาในลานบ้านโดยเฉพาะคือต้นจามจุรีเก่า ๆที่ต้องแสงอรุณจนเปล่งประกายลายกนกที่แซมด้วยสีเขียวหยกอย่างวาววับ หลังจากข่งชิวกวาดพื้นบ้านเสร็จ ท่านยังคงยืนประหวัดถึงความฝันยามเช้าอยู่มิาด ทันใดได้มีคนมาเคาะประตูปลุกข่งชิวให้ตื่นขึ้นจากภวังค์ความคิด ข่งชิวจึงรีบไปเปิดประตูบ้านแต่แล้วก็ต้องตกตะลึงเมื่อได้เห็นผู้มาเยือน   

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
        แรกประกาศศักดา   

     ที่แท้ผู้มาเยือนคือ ทูตหลวงของเจ้าเมืองหลู่
นั่นเอง ในมือขอทูตหลวงได้ถือปลาหลี่ตัวใหญ่มาด้วย 2 ตัว ขงจื่อรีบเชิญผู้แทนพระองค์เข้าไปในบ้านทูตหลวงกล่าวว่า "ฝ่าบาททรงทราบว่าท่านมีบุตร จึงรับสั่งให้ข้านำปลานี้มามอบให้เพื่อเป็นศิริมงคล"   ขงจื่อกล่าวด้วยความตื้นตันว่า "ข่งชิวไร้คุณงามความดีใด ๆ จึงรู้สึกละอายใจต่อพระมหากรุณาธิคุณยิ่งนัก" ทูตหลวงกล่าวว่า "ท่านฟูจื่อโปรดรับไว้ก่อน เรื่องตอบแทนพระคุณไว้ภายหลังค่อยหาโอกาสตอบแทนก็ได้"   ขงจื่อชูสองมือรับปลาจากทูตหลวง ส่วนทูตหลวงก็รีบขอตัวอำลากลับเพื่อนำความกราบบังคมทูลให้หลู่เจากงได้ทรงทราบ ขงจื่อยืนส่งทูตหลวงจนจากไปไกลแล้วจึงหิ้วปลาเข้าไปในบ้าน แต่แล้วพลันนึกได้ว่า "ได้แล้ว เราตั้งชื่อให้แก่ลูกชายว่า "หลี่  นามรองว่า ป๋ออวี๋  ดีกว่า"  ครั้นแล้วก็นำความคิดนี้มาร่วมปรึกษาด้วยมารดาและภรรยาว่า "เมื่อวานลูกได้บุตรชาย อีกวันนี้ยังได้รับของพระราชทานจากฝ่าบาทอีก สิ่งนี้จึงนับเป็นพระมหากรุณาธิคุณที่ควรแก่การระลึกถึงยิ่ง ดังนั้นลูกจึงนึกถึงคำว่า  หลี่ นี้ขึ้นมาส่วนคำว่า ป๋อ จะมีความหมายว่า เติบโต  ดังนั้นการตั้งชื่อว่าป๋ออวี๋ จึงนับว่ามีความเหมาะสมที่สุดแล้ว"  ครั้นเจิงจ้ายและฉีกวนซื่อ ได้ฟังก็รู้สึกว่ามีเหตุผลจึงพยักหน้าเห็นชอบด้วยความยินดี  การกำเนิดของข่งหลี่ ได้นำความสำราญมาให้แก่ครอบครัว นี้ได้ไม่น้อย แต่ความจริงก็ได้กลายเป็นภาระหนักสำหรับข่งชิวด้วยเช่นกัน เพราะข่งชิวจะต้องคำนึกถึงความเป็นอยู่ของคนในครอบครัวทั้งหมด ในเมื่อตอนนั้นเมิ่งผีได้แยกออกไปตั้งรกรากต่างหากกับมารดาและภรรยานานแล้ว และปีนั้นก็ได้กลายเป็นจุดพลิกผันอันสำคัญบนเส้นทางชีวิตของขงจื่อ  ณ ตำบลที่อยู่ในอาณัติการปกครองของเมิ่งสีจื่อ แห่งหนึ่งได้เกิดการทุจริตอากามาเป็นเวลานานเมิ่งสีจื่อมีความคิดที่จะปลดเจ้าพนักงานที่นั่นมานานแล้ว เพียงแต่ยังมิอาจสรรหาบุคคลที่เหทาะสมไปแทนตำแหน่งได้สักที และนับแต่เมิ่งสี่จื่อได้เห็นความปรีชาสามารถของขงจื่อ ภายในใจก็รู้สึกชื่นชมในสติปัญญาของขงจื่อยิ่งนัก กอปรกับตอนนี้ได้เริ่มเข้าสู่การเก็บเกี่ยวในฤดูสารท  เมิ่งสีจื่อจึงตัดสินใจส่งขงจื่อไปรับผิดชอบการเก็บอากรที่นาแทนเจ้าพนักงานคนเก่าที่นั่น ทั้งนี้ ไม่เพียงแต่สามารถปลดหัวหน้าอากรคนเก่าได้เท่านั้น หากยังสามารถทดสอบความสามารถด้านการบริหารของขงจื่อได้อีกทางหนึ่งด้วย ครั้นคิดได้ดังนี้ก็รีบส่งคนไปเชิญขงจื่อเข้าพบในทันที ครั้นผู้ส่งสาสน์ได้ถ่ายทอดเจตนาให้ขงจื่อทราบแล้ว ขงจื่อได้รีบออกเดินทางโดยมิรอช้า พลางคิดตลอดทางว่า "แม้นเมิ่งสีจื่อจะเป็นคนที่หามีความรู้ความสามารถไม่ แต่ก็เป็นบุคคลที่เคารพปราชญ์ผู้คงแก่เรียน ซึ่งนับเป็นเรื่องที่หาได้ยากยิ่ง หากเราได้รับการสนับสนุนจริง เราต้องตั้งใจทำงานอย่างสุดกำลังความสามารถ เพื่อเป็นการปูหนทางในการประกาศอุดมการณ์ให้เป็นที่ประจักษ์ให้จงได้" 

หมายเหตุ   :  ป๋อ มีความหมายว่าบุตรคนโต  ส่วน  อวี๋  มีความหมายว่า ปลา  ป๋ออวี๋ จึงมีความหมายว่า ลูกชายคนโตที่มีชื่อว่าปลา เหตุที่ขงจื่อและข่งหลีมีการออกเสียงนาสกุลไม่เหมือนกัน เพราะวิธีการอ่านออกเสียงภาษาจีนได้กำหนดไว้ว่า หากอักษรสองตัวมีวรรณยุกต์เหมือนกัน อักษรตัวหน้าจะต้องลดวรรณยุกต์หนึ่งระดับ เพื่อให้มีความไพเราะในการอ่าน 

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
           แรกประกาศศักดา  2

        ขงจื่อคิดอย่างเพลิดเพลินจนมาถึงหน้าบ้านของเมิ่งสีจื่อ
โดยไม่รู้ตัว ตัวบ้านของเมิ่งสีจื่อดูโอ่อ่ากว้างใหญ่ ถึงแม้จะไม่มีความวิจิตรเท่าบ้านของจี้ผิงจื่อก็จริง แต่ก็นับเป็นบ้านที่มีการประดับอย่างหรูหรามากหลังหนึ่ง ในขณะที่ขงจื่อกำลังเพลิดเพลินกับความคิด เสียงคนใช้ก็มาขัดจังหวะขึ้นว่า "ขอเชิญท่านฟูจื่อเข้าข้างในก่อนเถอะ"  ทางเดินภายในบ้านปูลาดด้วยศิลาแลงที่วนเวียนคดเคี้ยวไปมาท่ามกลางรุกขชาติ ทางเดินอันลดเลี้ยวได้สิ้นสุดลงที่ห้องโถงภายใน  ขงจื่อต้องผ่านประตูใหญ่ถึง ๓ บาน จึงจะสามารถเข้าไปถึงส่วนรโหฐานของเมิ่งสีจื่อได้ ขงจื่อทราบดีว่า การที่เมิ่งสีจื่อได้ให้การต้อนรับที่หลังคฤหาสน์ นั่นหมายความว่า เมิ่งสีจื่อได้ให้เกียรติเขาเป็นแขกพิเศษแล้ว และก็หาได้ผิดจากที่คาดไว้ไม่ เพราะไม่นานนัก เมิ่งสีจื่อได้เดินออกมาต้อนรับเขาเข้าสู่ภายในเรือนด้วยความเป็นกันเอง หลังจากทั้งสองต่างคำนับให้กันตามธรรมเนียมจนเรียบร้อยแล้ว ทั้งสองจึงค่อยพากันก้าวเข้าสู่ห้องโถงภายใน ขณะที่ทั้งสองต่างโอภาปราศัยกันอย่างเพลิดเพลิน คนใช้ได้จัดแต่งโต๊ะอาหารเสร็จพอดี เมิ่งสีจื่อเชิญขงจื่อร่วมรับประทานอาหาร ขงจื่อกล่าวขอบคุณแล้วนั่งบนเก้าอี้สำหรับแขกบ้านอย่างสง่า ครั้นได้รับประทานจนพอประมาณ เมิ่งสีจื่อกล่าวขึ้นว่า "ด้วยคุณธรรมความสามารถของท่านฟูจื่อ หากจะให้ดำรงบรรดาศักดิ์เป็นพระยาก็ยังว่านับไม่ยาก เพียงแต่โอกาสยังไม่อำนวยให้เท่านั้น เหตุด้วยข้ากำลังต้องการผู้แทนตำบลที่รับผิดชอบการเก็บอากรที่นาพอดี มาตรว่าจะเป็นตำแหน่งเล็ก ๆ แต่มิทราบว่าท่านฟูจื่อพอจะให้เกียรติรับงานนี้ได้หรือไม่?."  ขงจื่อตอบว่า "ได้รับความกรุณาจากใต้เท้าเช่นนี้ ข้าน้อยใยกล้าขัดศรัทธาของท่านได้"  ครั้นเมิ่งสีจื่อได้รับฟังก็ปิติยินดียิ่ง จึงรีบรินสุราให้ขงจื่อเพื่อแสดงความขอบคุณ จากนั้นจึงเล่าเรื่องการทุจริตของหัวหน้าอากรคนก่อนพร้อมทั้งกำชับวิธีการจัดการแก่ขงจื่อโดยละเอียด หลังจากขงจื่อได้อำลาเมิ่งสีจื่อ กลับถึงบ้านก็ได้รายงานเรื่องการรับราชการให้มารดาทราบ จากนั้นจึงเริ่มเตรียมตัวสำหรับการรับตำแหน่งอย่างขะมักเขม้น  หัวหน้าพนักงานอากรคนก่อน เป็นคนเจ้าเล่ห์เพทุบาย เขาได้กระทำการทุจริตยักยอกอากรจากชาวนามาช้านาน  ดังนั้น ครั้นขงจื่อได้รับตำแหน่งนี้ก็ได้สั่งเรียกบัญชีมาตรวจดูโดยละเอียด พบว่าสมุดบัญชีได้ถูกเติมแต่งขีดฆ่าจนสับสนวุ่นวาย ขงจื่อจึงเรียกเจ้าพนักงานมาพูดด้วยน้ำเสียงอย่างเป็นกันเองว่า "ข้าได้รับคำสั่งจากใต้เท้าเมิ่งซุน ให้มารับตำแหน่ง เนื่องจากเจ้าพนักงานคนก่อนทำงานไม่เรียบร้อย จุดนี้จะต้องชำระสะสาง ส่วนเจ้าพนักงานคนอื่น ๆ ข้ายังจะรับไว้ทำราชการต่อไป หวังว่าพวกเจ้าจะรับผิดชอบต่อหน้าที่ และร่วมแรงร่วมใจกันเก็บอากรที่นาในปีนี้ให้ลุล่วงโดยดี"  เหล่าเจ้าพนักงานต่างเห็นว่าหัวหน้าคนใหม่อายุยังน้อย จึงแสดงกิริยาดูถูกและพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่ไยดีว่า "ขอเพียงใต้เท้ามีคำสั่ง พวกเราก็ต้องปฏิบัติตามอยู่แล้ว"  แม้นทุกคนกล่าวว่าจะขอน้อมรับคำบัญชา หากกิริยากลับแสดงอาการกระด้างกระเดื่องอย่างเห็นได้ชัด แต่ขงจื่อหาได้ใส่ใจไม่ โดยยังคงทำการแบ่งสรรหน้าที่การเก็บอากาออกเป็น ๕ ส่วน เพื่อกระจายให้เจ้าพนักงานแต่ละคนออกเก็บอากรในแต่ละพื้นที่อย่างทั่วถึง หลังจากพวกเจ้าพนักงานได้ออกไปแล้ว ขงจื่อก็สวมชุดชาวบ้านออกตรวจราชการ ครั้งถึงริมท้องนาก็เดินตรงไปจับเข่านั่งคุยกับชาวบ้านที่พักผ่อนอยู่ใต้ร่มไม้อย่งเป็นกันเอง  ขงจื่อถามว่า "ผลผลิตปีนี้เป็นอย่างไรบ้าง?"  ชาวนาตอบว่า "ผลผลิตปีนี้ดีมาก" "การเก็บอากรที่นามีปัญหาไหม?"  เพียงขงจื่อถามถึงเรื่องการเก็บอากร กลุ่มชาวนาก็หุบยิ้มและไม่ยอมพูดจาด้วยอีก  ขงจื่อได้พิจารณาสีหน้าของพวกเขาอยู่พักหนึ่งและนั่งรอคอยคำตอบจากพวกเขาด้วยความอดทน หลังจากได้เงียบเสียงอยู่พักใหญ่ ชาวนาคนหนึ่งได้จ้องสังเกตขงจื่ออย่างพิจารณา เห็นว่าขงจื่อมีลักษณะหน้าผากกว้าง  คิ้วดกตาโต  กิริยาสุภาพดูสง่าน่านับถือ จึงคิดว่าขงจื่อคงมิใช่คนที่เจ้าเล่ห์กลับกลอกเป็นแน่ จึงกล่าวว่า "โดยความจริงแล้ว หากดูตามผลผลิตสำหรับปีนี้ ถ้าจะจ่ายให้คบตามเกณฑ์อากรคงไม่มีปัญหา เพียงแต่..."     

Tags: