collapse

ผู้เขียน หัวข้อ: ขงจื่อ จอมปราชญ์แห่งแผ่นดิน  (อ่าน 35847 ครั้ง)

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
ภูเขาหนีซิวที่งดงาม 7

        แต่ความสุขมักจะอยู่ได้ไม่จีรัง
วันหนึ่ง สูเหลียงเฮ่อเกิดล้มป่วยลงกระทันหัน ในเริ่มแรกทุกคนต่างเข้าใจว่าเป็นเพียงไข้หวัดธรรมดา เพราะคนที่ฝึกวิทยายุทธและร่างกายแข็งแรงกำยำ ขอเพียงรำมวยสักพักหนึ่ง อาการหวัดก็จะหายไปเองโดยพลัน  แต่อาการป่วยไม่เพียงแต่ไม่ดีขึ้นเท่านั้น หากแต่ร่างกายกลับทรุดหนักลงทุกวัน  มีอาการวิงเวียนศรีษะ และเหงื่อไหลโทรมกายตลอดเวลา เมื่อเห็นว่าอาการไม่ดีขึ้น ทุกคนจึงเริ่มหวั่นวิตกและรีบตามหมอมารักษากันเป็นพัลวัน เจิงจ้ายจะเป็นคนคอยต้มยา และอยู่ปรนนิบัติตลอดทั้งวันและคืน แต่อาการได้หนักถึงขั้นกระษัยแล้ว ไม่ว่าจะทานยาอะไรก็ไม่เกิดผลใด ๆ ทั้งสิ้น  คืนวันหนึ่ง สูเหลียงเฮ่อฟื้นจากอาการสลบไสล เขารู้ตัวว่าคงจะอยู่ได้อีกไม่นาน จึงกุมมือเจิงจ้ายทั้งน้ำตา และพูดด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาว่า "ข้าคงอยู่ได้อีกไม่นานแล้ว พวกเจ้าและลูก ๆ คงต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวเดียวดาย ชีวิตต่อไปในอนาคตก็คงต้องลำบากไม่น้อย  ข่งชิวเป็นลูกของข้า เด็กคนนี้มีความฉลาดเกินคน ถ้าหากได้รับการอบรมอย่างเหมาะสม อนาคตก็จะไปไกลไม่น้อย แต่ ... ที่ข้าเป็นห่วงที่สุดคือ เมิ่งผี  เขาไม่เพียงแต่มีสติปัญญาน้อยกว่า หากแต่ร่างกายยังมีความพิการอีกต่างหาก ข้าจึงอยากจะขอร้องเจ้า ให้เห็นแก่การที่เราได้เป็นสามีภรรยากัน ขอให้เจ้าตั้งใจเลี้ยงดู เมิ่งผี ให้ดี ๆ ให้เขาได้ ..."
        สูเหลียงเฮ่อเริ่มหายใจติดขัด น้ำเสียงยิ่งแผ่วเบาลงมากขึ้นทุกที  ตอนนี้ เจิงจ้ายได้ร่ำไห้เสียใจจนน้ำตาอาบชุ่มใบหน้าไปเสียแล้ว นางแนบหูที่ปากของสามี  แต่ก็หาได้ยินเสียงพูดของสูเหลียงเฮ่ออีกไม่  เจิงจ้ายจึงรีบตั้งสติและกล่าวขึ้นด้วยความหนักแน่นว่า  "ถึงแม้เมิ่งผีจะไม่ใช่ลูกแท้ ๆ ของข้า แต่เขาก็เป็นสายเลือดของตระกูลข่ง ขอให้ท่านพี่วางใจเถอะ ข้าจะดูแลเมิ่งผีให้ดีที่สุด" สูเหลียงเฮ่อพยายามใช้มือประคองตัวเองให้ลุกขึ้น แต่ก็ไม่มีเรี่ยวแรงที่จะทำได้เช่นนั้นอีก เขาจึงใช้พลังทั้งหมดที่มีอยู่พูดออกมาว่า "หาก ... เจ้า ... สามารถ ... ดูแล ... เมิ่งผี ...ได้ ... แม้ข้าจะอยู่ในปรภพ ... ข้าก็ ... นอนตาย ... ตาหลับ ... แล้ว ..." เพียงพูดจบ สูเหลียงเฮ่อก็สิ้นใจจากไป  เจิงจ้ายร้องไห้เสียใจจนแทบน้ำตาจะเป็นสายเลือด "ขอให้ท่านพี่วางใจเถอะ ข้าจะต้องรักษาสัญญาอย่างแน่นอน" 
        สำหรับครอบครัวที่มีแต่เด็กและผู้หญิงเช่นนี้ การตายของสูเหลียงเฮ่อจึงนับเป็นการสูญเสียที่ยิ่งใหญ่  แต่เจิงจ้ายก็ทำตัวสมกับเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งนางสามารถระงับอารมณ์โศกเศร้า และตั้งสติด้วยความรวดเร็ว หลังจากเสร็จสิ้นงานอวมงคลพิธีของสามี นางได้ชะลอศพสามีไปฝังไว้บนภูเขาฝังชาน และนับแต่นั้น นางต้องรับผิดชอบความอยู่รอดของครอบครัวแต่เพียงผู้เดียว  เวลานั้น ลูกสาวทั้ง ๙ ของสูเหลียงเฮ่อได้แต่งงานออกเรือนกันไปหมดแล้ว จึงทำให้สมาชิกครอบครัวเหลืออยู่เพียง ๔ คน  เจิงจ้ายเข้าใจดีว่า สมบัติต้องมีวันใช้หมดในสักวันหนึ่ง ดังนั้น จึงต้องประหยัดค่าใช้จ่ายเพื่อให้มีทุนทรัพย์สำหรับเลี้ยงดูลูกให้เติบใหญ่ ด้วยเหตุนี้ นางจึงแบกรับภาระบริหารครอบครัวไว้ทั้งหมด ซึ่งก็ทำให้ครอบครัวมีความเป็นระเบียบเรียบร้อยได้เป็นอย่างดี
        เวลานั้น เมิ่งผี อายุได้ ๙ ขวบ แล้ว เจิงจ้ายจึงนำไปฝากที่สำนักศึกษา แต่ก็มีเด็กเกเรบางคนที่มักจะเอาความพิการของเมิ่งผีมาเยาะเย้ยให้อับอายอยู่ตลอดเวลา  ครั้งหนึ่ง เมิ่งผีได้ถูกเพื่อน ๆ กลั่นแกล้งด้วยการแอบเอาไม้เท้าไปซ่อนไว้ จนไม่สามารถกลับบ้านได้ เด็กน้อยจึงได้แต่ร้องไห้บนโขดหินด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ  กระทั่งพลบค่ำ เจิงจ้ายและมารดาของเมิ่งผี จึงมาพากลับบ้าน หลังจากเหตุการณ์ในครั้งนั้น เมิ่งผีก็สาบานว่าจะไม่ยอมไปเรียนที่สำนักศึกษาอีกต่อไป     

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
ครูคนแรก

          หลังจาก เมิ่งผี ถูกเพื่อน ไ เยาะเย้ยรังแก เมิ่งผีก็สาบานว่าจะไม่ไปสำนักศึกษาอีกต่อไป แม้นเจิงจ้ายและมารดาจะเกลี้ยกล่อมอย่างไรก็ไม่เป็นผล เจิงจ้ายรู้สึกจนปัญญาจึงถอนใจขึ้นว่า  "เด็กคนนี้กำพร้าพ่อมาแต่เด็ก ทั้งยังเป็นเด็กพิการอีก ปมด้อยจึงมีไม่น้อย เอาเถอะ ! ให้เมิ่งผีอยู่ที่บ้านก็แล้วกัน นับแต่นี้ ข้าจะเป็นคนสอนหนังสือให้เอง" ครั้นมารดาของเมิ่งผีได้ฟัง ก็รู้สึกซาบซึ้งตื้นตันจนมิอาจบรรยาย  เจิงจ้าย เป็นสตรีที่เติบโตในครอบครัวที่แวดล้อมไปด้วยศิลปวรรณกรรม ดังนั้น จึงได้รับการอบรมศึกษามาแต่เยาว์วัย วิชาความรู้จึงนับว่าไม่น้อยหน้าใครในละแวกนั้น และนับแต่นั้นเป็นต้นมา เจิงจ้ายนอกจากทำงานบ้านและเลี้ยงดูข่งชิวแล้ว นางยังต้องใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการสอนหนังสือให้แก่เมิ่งผี แม้นว่าเมิ่งผีจะเป็นเด็กหัวช้า แต่นางก็ยังคงอบรมสอนสั่งเมิ่งผีด้วยความอดทน  เมิ่งผีได้รับการอบรมจากเจิงจ้าย จึงทำให้วันเวลาเปี่ยมไปด้วยความสุขเสมอมา ด้วยความสำนึกในพระคุณ เมิ่งผีจึงเคารพรักเจิงจ้ายเหมือนมารดาอีกคนหนึ่ง ปกติจึงมักเรียกเจิงจ้ายว่าคุณแม่อย่างนั้น คุณแม่อย่างนี้ จนทำให้เจิงจ้ายรู้สึกชื่นใจอย่างบอกไม่ถูก และนอกเหนือจากเวลาเรียนแล้ว เมิ่งผีก็ยังใช้เวลาเที่ยวเล่นกับข่งชิวอยู่เสมอ สองพี่น้องจึงมีความสนิทสนมรักใคร่กันเป็นอย่างมาก

        จากนั้นไม่นาน พวกเขาต้องย้ายบ้านจากโจวอี้ ไปที่ ฉวี่ฮู่ ซึ่งเป็นถิ่นฐานบ้านเดิม อันเมืองฉวี่ฮู่นั้นเป็นสถานที่ที่ทั้งเจริญและแออัดคับคั่งที่สุดในรัฐหลู่  ส่วนบ้านที่ย้ายไปอยู่ก็เป็นเพียงกระท่อมหญ้าที่ต่อกันไม่กี่หลัง ตัวบ้านมีระเบียงรูปทรงสี่เหลี่ยมตั้งอยู่ท่ามกลางแมกไม้อันร่มรื่นตามประสาชนบท หากนำไปเทียบกับถนนหนทางที่เจริญแล้ว สถานที่แห่งนี้จะมีความสงบร่มเย็น จนดูเหมือนเป็นมุมหนึ่งที่ถูกโลกทอดทิ้งไปอย่างไม่ไยดี แต่ทว่าสถานที่แห่งนี้ กลับกลายเป็นสถานที่ ๆ นักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่กำลังเจริญวัยอยู่ เมื่อข่งชิว อายุได้หกขวบ  แววตาของข่งชิวดูหนักแน่นเป็นประกาย ร่างกายก็ดูสูงใหญ่กว่าเด็กในวัยเดียวกัน ดังนั้นสำหรับอาณาจักรกระท่อมหญ้าแห่งนี้จึงไม่อาจเป็นที่พึงใจแก่ผู้ยิ่งใหญ่ท่านนี้ได้อีก เพราะข่งชิวได้แต่ร้องขอไปเที่ยวนอกบ้านตลอดเวลา 

        ในวันนี้เป็นวันเทศกาลที่ตรงกับวันเหมายัน* (เป็นจุดที่ดวงอาทิตย์โคจรไปถึงราววันที่ ๒๒ ธันวาคม อันเป็นจุดที่ฤดูหนาวมีเวลากลางคืนนานกว่ากลางวันมากที่สุด) ตามจันทรคติ ซึ่งเป็นวันที่รัฐหลู่จะทำพิธีบูชาฟ้ากลางแจ้ง สำหรับพิธีบูชาฟ้ากลางแจ้งนี้ จะเป็นมหาพิธีที่ดึงดูดความสนใจของชาวบ้านจนแห่มามุงดูเป็นจำนวนมาก พิธีนี้จะมีความสำคัญที่สุด ในหมู่พิธีทั้งหลาย หากเวลานั้นได้มีบุคคลสำคัญของรัฐถึงแก่อนิจกรรมและตรงกับวันมหาพิธี พิธีศพยังต้องเลื่อนหมายออกไป เพราะไม่ว่าใครก็ไม่มีอภิสิทธิ์ที่จะเลื่อนกำหนดวันมหาพิธีนี้ได้ทั้งสิ้น และสำหรับปะรำพิธีที่ใช้สำหรับบูชาฟ้าในครั้งนี้ ก็ได้กำหนดให้จัดขึ้นที่ด้านนอกของประตูเมืองทิศใต้ริมฝั่งแม่น้ำฉีสุ่ย

        ยามอรุโณทัย ข่งชิวและพี่ชายเพิ่งจะตื่นนอน เจิงจ้ายก้าวเข้ามาพูดกับข่งชิวว่า "ข่งชิว ลูกมิใช่บ่นแต่จะออกไปเที่ยวนอกบ้านหรอกหรือ ?. พอดีวันนี้เป็นวันบูชาฟ้ากลางแจ้ง ลูกทำไมไม่ลองไปขอให้พี่เมิ่งผีพาไปเที่ยวล่ะ ?." ถึงแม้ข่งชิวจะไม่ทราบเลยว่าอะไรคือพิธีบูชาฟ้ากลางแจ้ง เพียงแค่ได้ยินว่ามารดาได้อนุญาตให้ออกไปเที่ยวได้เท่านั้น เด็กน้อยก็ถึงกับดีใจจนกระโดดโลดเต้นเสียแล้ว "ไชโย ! จะได้ออกไปเที่ยวแล้ว" เจิงจ้ายเรียกเด็กทั้งสองมาทานข้าวเช้าให้เรียบร้อย  หลังจากได้ใส่เสื้อผ้าเพิ่มให้กับเด็กทั้งสองเสร็จก็สั่งกำชับว่า "เมิ่งผี เจ้าเป็นพี่ เจ้ารู้อะไรได้ดีกว่า ฉะนั้นต้องนำน้องให้ดี ๆ นะ ข่งชิว พี่เจ้าเดินเหินไม่สะดวก ลูกต้องคอยดูแลพี่ของลูกด้วย อย่าเอาแต่เล่นอย่างเดียวล่ะ" จิตใจของข่งชิวตอนนี้ได้ล่องลอยเหมือนนกที่โผบินออกนอกกรงจนไม่มีใครสามารถเหนี่ยวรั้งไว้ได้อีกแล้ว
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 5/07/2012, 20:14 โดย ติ๊กน้อย »

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
ครูคนแรก 1.

        เมืองหลวงของรัฐหลู่กว้างขวางใหญ่โต ลำพังแค่ถนนที่ตัดขนานในทิศตะวันออกไปสู่ทิศตะวันตกก็มีจำนวนถึง ๑๑ สายใหญ่ ส่วนถนนที่ตัดเป็นแนวฉากจากทิศเหนือไปสู่ทิศใต้ก็เป็นจำนวนถึง ๗ สายใหญ่ ซึ่งถนนสายนี้ได้ตัดสานกันไปมา เฉพาะถนนสายที่กว้างที่สุดก็มีความกว้างถึง ๖ จั้งกว่า (๑จั้ง = ๓.๕ เมตร) ส่วนร้านขายของที่เปิดเรียงรายอยู่สองฝั่งทางก็มีมากมายจนมิอาจนับถ้วนได้ ไม่ว่าจะเป็นร้านสุรา  ร้านอาหาร  รวมทั้งพ่อค้าวาณิช ที่สัญจรไปมาต่างก็เดินเบียดเสียดจนดูครึกครื้นเจริญตายิ่ง  ข่งชิว ชื่นชมยินดีจนดวงตาลุกวาวเป็นประกาย เดี๋ยวมองซ้ายแลขวา เดี๋ยวเหลียวหน้าแลหลัง จนบางครั้งรู้สึกแค้นใจตนที่เกิดมามีเพียงแค่สองตา ข่งชิวเดินชมพลางพูดกับพี่ชายว่า "พี่ ! พี่ ! รีบดูรถคันนั้นสิ สวยงามจริง ๆ เลย อู้ฮู !  บ้านนั้นสูงเหลือเกิน ! ดูม้านั่นสิ ... "  ข่งชิวทั้งวิ่งเต้นทั้งกระโดด ทั้งหัวเราะทังส่งเสียงดัง จนทำให้เป็นเป้าสายตาของผู้คนจำนวนมาก  ส่วน เมิ่งผี แต่เกิดมาก็มีอุปนิสัยที่เก็บตัวกอปรกับมีความพิการมาแต่กำเนิด จิตใจจึงประหวั่นพรั่นกลัวว่าผู้คนจะตำหนิ ดังนั้นจึงไม่ยอมพูดจาและเดินกระโผกกระเผกตามหลังข่งชิวไปอย่างเขินอาย  แต่เพื่อป้องกันมิให้น้องวิ่งพลัดหายไป เมิ่งผีจึงนำไม้เท้าข้างซ้ายให้ข่งชิวถือไว้ ส่วนมือซ้ายของเมิ่งผีก็จะพาดประคองไว้บนบ่าของข่งชิว พอเดินได้สักพักหนึ่ง เมิ่งผีสังเกตเห็นข่งชิวเหนื่อยอ่อนจนเหงื่อโชกเต็มใบหน้า จึงรีบนำไม้เท้ากลับมาพยุงน้ำหนักตัวดังเดิม และถามข่งซิวด้วยความเห็นว่า "น้อง ! เหนื่อยหรือเปล่า ?."  ข่งชิว เป็นคนที่มีอุปนิสัยเข้มแข็ง ไหนเลยที่จะยอมรับว่าเหนือ่ยได้ "ไม่เหนื่อยเลยสักนิด ! "  เด็กน้อยยืดอกกล่าวขึ้นอย่างหนักแน่น  เมิ่งผีพูดว่า "พวกเราเดินช้าหน่อยดีไหม ?."  เมิ่งผีกล่าวเหมือนขอความเห็น แต่ความจริงคือการขอความเห็นใจ  ข่งชิวเป็นเด็กที่ฉลาดเกินวัย ไหนเลยจะไม่รู้ได้ ดังนั้น จึงรู้สึกละลายใจที่เอาแต่ห่วงเล่นโดยไม่สนใจในความรู้สึกของพี่ชาย แต่ เอ ... จะพูดอะไรดีนะ ?. ดวงตากลม ๆ ของข่งชิวตอนนี้ได้กลอกไปมาอย่างใช้ความคิด แต่ก็ไม่สามารถหาเหตุผลที่เหมาะสมได้สักที จึงได้แต่พยักหน้ารับคำตามที่พี่ชายขอ
        พี่น้องสองคนเริ่มเดินทางต่อ แต่คราวนี้ เมิ่งผีจะพยุงไม้เ้ท้าด้วยตัวเอง ส่วนข่งชิวก็จะคอยพยุงพี่ชายและก้าวเดินต่อไปอย่างระมัดระวัง  ประตูเมืองหลู่มีทั้งสิ้น ๑๑ บาน แต่ตอนนี้กลับมีผู้คนเบียดเสียดจนเนืองแน่นไปเสียแล้ว  เมิ่งผี และ ข่งชิว จึงต้องคอยแหวกฝูงชนเข้าไปอย่างยากลำบาก แต่เนื่องจากตัวเล็กกว่าเขามากมาย จึงถูกฝูงชนเบียดออกมาในที่สุด ข่งชิวรู้สึกกลัดกลุ้มร้อนใจเป็นยิ่งนัก จึงได้แต่ส่ายหน้าถอนใจด้วยความเสียดาย ในทันใด ดวงตาของข่งชิวก็ลุกโตเป็นประกาย เขาพบว่าทางทิศใต้ที่ห่างออกไปไม่ไกล มีเนินดินที่ก่อเป็นฝายน้ำอยู่แห่งหนึ่ง ข่งชิวไม่มีเวลาพอที่จะอธิบายเหตุผลแก่เมิ่งผีได้อีก จึงรีบฉุดดึงพี่ชายไปทางฝายน้ำ ครั้นขึ้นไปบนเนินฝายน้ำ ได้เห็นแท่นบูชาตั้งตระหง่านงดงามอยู่ท่ามกลางฝูงชนอันหนาแน่น ข้าวของรอบปะรำพิธีได้ถูกจัดวางไว้อย่างบรรจง ข่งชิวพิศมองอย่างหลงใหล ทั้งยังวาดมือวาดเท้าตามพิธีกรที่อยู่ท่ามกลางมณฑลพิธีแห่งนั้นจนจบพิธี  แม้พิธีการเซ่นไหว้จะจบลงไปแล้วแต่อารมณ์ความรู้สึกของข่งชิวยังคงตรึกใจอยู่มิเลือนหาย ข่งชิวรู้สึกทึ่งกับความงดงามของพิธีเป็นเวลานาน จนกระทั่งฝูงชนได้แยกย้ายกลับกันหมดแล้ว จึงค่อยยอมเดินตามเมิ่งผีกลับด้วยความรู้สึกที่ยังอาวรณ์   

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
ครูคนแรก 2

        เจิงจ้ายและมารดาของเมิ่งผี ได้ชะเง้อคอยเด็ก ๆ อยู่หน้าบ้านอย่า่งกระวนกระวายอยู่ก่อนแล้ว ครั้นได้เห็นเด็กทั้งสองเดินมาแต่ไกล จิตใจของทั้งสองจึงรู้สึกโล่งอกลงไปอย่างมาก ครั้นกลับมาถึง ข่งชิวจะวาดท่าวาดทางพลางเลียนเสียงสำเนียงทั้งหมดที่ได้เห็นให้มารดาฟังอีกรอบหนึ่ง ส่วนเมิ่งผีจะอยู่คอยตอบคำถามของมารดา ถึงแม้จะต่างคนต่างพูดจนวุ่นวาย แต่ทั้งสองต่างก็ซบอยู่ในอ้อมอกเพื่อดื่มด่ำกับไออุ่นของมารดาอย่างมีความสุข  หลังจากได้เปิดหูเปิดตาในครั้งนี้แล้ว ข่งชิวก็บังเกิดความสนใจต่อพิธีบูชาขึ้นอย่างมากมาย และทุกครั้งที่ได้ยินว่ามีการจัดพิธีบูชาขึ้น เด็กน้อยก็จะมารบเร้าให้พี่ชายพาไปดูด้วยอยู่มิขาด แต่ด้วยเพราะเมิ่งผีเดินเหินไม่สะกดวกประการหนึ่ง อีกด้วยเพราะเป็นคนรักสันโดษอีกประการหนึ่ง หลังจากไปดูด้วยกันสองครั้งแล้วก็ไม่ยอมไปด้วยอีก แต่สิ่งนี้ก็หาได้เป็นอุปสรรคให้ข่งชิวละความพยายามไม่  ในราชธานีของเมืองหลู่ จะมีศาลบรรพชนหลวงอยู่แห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นสถานที่สำหรับบูชาพระอริยโจวกง เพราะโจวกงได้รับพระราชทานแต่งตั้งจาก พระเจ้าโจวอู่หวัง ซึ่งเป็นพระเชษฐา ให้เป็นเจ้านครแห่งรัฐหลู่ มาตรว่าจะยังไม่ได้ประกอบพิธีอภิเษกตามราชพิธี ด้วยมีราชกิจอันจำเป็นก็ตาม แต่ก็นับว่าได้รับพระราชทานแต่งตั้งอย่างเป็นทางการตามระเบียบแห่งราชสำนักแล้ว ดังนั้น ศาลของโจวกงในสมัยนั้นจึงถูกเรียกว่าศาลบรรพชนหลวงเสมอมา ซึ่งในภายหลังได้เปลี่ยนชื่อใหม่เป็นวัดหลวงโจวกง สำหรับพระอริยเจ้าโจวกงถือเป็นปฐมบรรพบุรุษแห่งัฐหลู่ ในสมัยนั้น ฉะนั้น จึงมีพิธีบูชาอยู่เนือง ๆ และทุกครั้งที่มีพิธีบูชา ข่งชิวก็จะรีบวิ่งไปชมดูมิขาด  โดย ข่งชิวจะสังเกตทุกกิริยาท่าทางของพิธีกรที่ร่วมในพิธีการอย่างมิกระพริบสายตา และเนื่องด้วยข่งชิวมีความจำเป็นเลิศฉะนั้นเพียงดูไม่กี่ครั้งก็สามารถเรียนรู้ระเบียบพิธีนั้นได้ทั้งหมด
        วันหนึ่ง  ข่งชิวได้นำเศษเงินที่มารดาให้ไปซื้อภาชนะเครื่องบูชาจากร้านขายของเล่น ครั้นหอบกลับบ้านก็นำมาจัดวางตามระเบียบพิธีและเริ่มพิธีการนั้นขึ้น ข่งชิวมักจะชวนเมิ่งผีมาเล่นด้วยอยู่บ่อยครั้ง แต่เนื่องจากเมิ่งผีต้องเดินกระโผกกระเผก เพียงไม่กี่ครั้งก็ปฏิเสธข่งชิวและเอาแต่เก็บตัวอ่านหนังสืออยู่ในห้อง สุดท้ายข่งชิวจึงต้องฝึกเล่นแต่เพียงผู้เดียว และทุกครั้งที่ข่งชิวดำเนินพิธีการ ข่งชิวจะมีความจริงจังและทำเช่นนี้อยู่ทุกวันโดยมิรู้สึกเบือหน่ายแต่อย่างใด สำหรับคำประกาศของพิธีกรประธาน อีกทั้งระเบียบท่าทางของพิธีกรสนามทั้งหมด ข่งชิวล้วนสามารถเลียนแบบได้อย่างสมจริงทั้งสิ้น
        ในเริ่มแรก เจิงจ้ายมิได้ติดใจอะไรแต่ระยะหลังเห็นข่งชิวเอาจริงเอาจังกับการฝึกฝนจนเสมือนว่ากำลังเพ้อคลั่งปานนั้น จึงถามข่งชิวด้วยท่าทีขึงขังว่า  ลูกฝึกอย่างนี้ทุกวัน หรือลูกคิดจะเป็นพิธีกรเหมือนอย่างพวกที่ดูแลวัด อย่างนั้นหรือ"  ข่งชิวเบ้ปากแย้งว่า "ก็แม่เอาแต่สอนพี่อ่านหนังสือ ไม่เห็นสอนลูกเลย ถ้าลูกไม่เล่นเป็นพิธีกรแล้วจะให้ลูกเล่นอะไรล่ะ ?."  ครั้นเจิงจ้ายได้ยินว่าลูกอยากเรียนหนังสือก็รู้สึกยินดียิ่ง "ถ้าลูกอยากเรียนหนังสือก็มิใช่เรืองยาก ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป ลูกก็ไปเรียนหนังสือกับพี่เมิ่งผี  แม่จะเป็นคนสอนลูกเอง แต่มีข้อแม้ว่าลูกจะต้องตั้งใจเรียนอย่าได้เอาแต่เล่นอีก !"  เช้าวันรุ่งขึ้น หลังจากเจิงจ้ายเสร็จจากงานบ้านแล้ว ได้หยิบสมุดไผ่ออกมากางบนโต๊ะ และบรรจงเลือกตัวหนังสือที่จดจำได้ง่ายกว่า ๓๐๐ คำไว้สำหรับให้ข่งชิวได้อ่านท่องเป็นเวลาหนึ่งเดือน  แต่คาดไม่ถึงว่า ข่งชิวจะใช้เวลาเพียงไม่ถึงวัน ก็สามารถท่องจำตัวอักษรทั้ง ๓๐๐ กว่าคำได้หมดด้วยการผ่านตาเพียงครั้งเดียว ความปลาบปลื้มได้เอ่อล้นอยู่ในดวงใจของเจิงจ้าย จนทำให้อดคิดถึงอดีตที่ข่งชิวเพิ่งเกิดเสียมิได้ จำได้ว่าในตอนนั้นนางเพียงพูดเล่นเพื่อให้สามีสบายใจเท่านั้น นางมองไปที่ลูกของตนด้วยแววตาเอ็นดู และเพิ่งจะสังเกตเห็นว่า ข่งชิวได้เติบโตผึ่งผายเหมือนบิดา ไม่มีผิด จึงยิ่งรู้สึกปิติจนมิอาจพรรณาด้วยคำพูดใด นางได้แต่ภาวนาขอพรต่อฟ้าเบื้องบน ขอให้ลูกของตนได้เป็นเสาหลักของชาติต่อไปในอนาคต 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 8/07/2012, 11:03 โดย jariya1204 »

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
ครูคนแรก 3  : 

       "แม่ ! ลูกเรียนหมดแล้ว"
เสียงแหลมเล็กของข่งชิวได้ปลุกเจิงจ้ายให้ตื่นขึ้นจากภวังค์ ข่งชิวดึงมือของนางส่ยไปมา  "แม่ ! ลูกอยกจะเรียนอีก" เจิ่งจ้ายเกรงว่าลูกจะเกิดความเบื่อหน่ายเสียก่อนจึงพูดว่า "ไว้พรุ่งนี้ค่อยเรียนต่อเถิอะนะ"  ข่งชิวเบ้ปากพูดออดอ้อนว่า "แม่สอนพี่เมิ่งผผีเรียนทุกวันแต่สอนลูกแค่นิดเดียวก็ไม่สอนแล้ว อย่างนี้มิใช่ลำเอียงหรอกหรือ"  ครั้นเจิงจ้ายได้ฟังก็ยิ้มอย่างอ่อนโยนว่า "ลูกต้องตั้งใจทบทวนตัวอักษร ๓๐๐ คำนี้ก่อนแล้วพรุ่งนี้แม่จะสอนให้ใหม่ และแม่จะทดสอบลูกในวันพรุ่งนี้ด้วย"  ข่งชิวมีความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม จึงพยักหน้ารับด้วยความมั่นใจ  ค่ำคืนวันนั้น ข่งชิวโหวกเหวกจะขอนอนกับเมิ่งผีให้ได้ด้วยความรู้สึกเห็นใจและสงสาร เจิงจ้ายจึงไม่อนุญาตด้วยเกรงว่าข่งชิวจะไปรบกวนเวลาพักผ่อน แต่มารดาของเมิ่งผีก็ได้ช่วยข่งชิวอ้อนวอนอีกแรงหนึง เจิงจ้ายจึงต้องจำยอมอนุญาตในที่สุด และครั้นสองพี่น้องได้นอนอยู่ด้วยกันแล้ว ทั้งสองต่างกุมมือก่ายขาเพื่อให้เกิดไออุ่น ครั้นแขนขาได้อบอุ่นขึ้นบ้างแล้ว ข่งชิวก็กดเสียงพูดขึ้นว่า "พี่ ! พรุ่งนี้แม่จะสอบตัวอักษรที่เรียนในวันนี้ น้องจะเขียนให้พี่ดูก่อนว่าถูกหรือเปล่านะ"  เมิ่งผีพูดว่า "ตอนนี้ห้องมืดมิดไปหมด จะเห็นได้อย่างไร?. ข่งชิวได้คิดวิธีไว้แต่แรกแล้ว จึงกล่าวว่า "น้องจะเขียนไว้ที่ฝ่ามือพี่"  "อย่างนั้นหรือ"  เมิ่งผีรู้สึกว่ามีเหตุผล จึงตอบรับคำขอไป ข่งชิวกุมมือพี่ชายมาทาบไว้ที่อก และบรรจงเขียนตัวอักษรไว้ที่ฝ่ามือ พลางอ่านออกเสียงตามที่เขียนว่า "ฟ้า ดิน ปู่ ย่า บรรพชน ..." หลังจากเขียนได้ประมาณสี่ห้าสอบตัว น้ำเสียงของข่งชิวเริ่มแผ่งลงและหลับใหลไปโดยไม่รู้ตัว ทุกสิ่งในห้องได้ตกอยู่ในความเงียบสงัด เหลือแต่เพียงเสียงลมหายใจที่สม่ำเสมอของเด็กน้อยทั้งสอง โดยที่ข่งชิวยังคงกุมมือของเมิ่งผีไว้แนบแน่น  แสงอุษาทอแสงบ่งบอกถึงวันใหม่ ยามเมื่อเปิดประตูก็เห็นปุยหิมะพลิ้วลอยอยู่ทั่วนภา ปุยหิมะได้ทับถมจนสูงท่วมหัวเข่า สวนแมกไม้ที่เคยเขียวขจี บัดนี้ได้ถูกปกคลุมด้วยหิมะจนขาวโพลนไปทั่ว เสียงหิมะร่วงหล่นจากต้นไม้ดังเป็นระยะ ๆ ส่วนระเบียงทางเดินก็ถูกอัดแน่นด้วยหิมะจนมิอาจสัญจรได้อีก ทุกคนจึงระดมแรงช่วยกันกวาดหิมะออกจากระเบียง แสงประกายอันขาวนวสในยามเช้าได้ส่องสว่างจนเด็กทั้งสองลืมตาไม่ขึ้น เด็กทั้งสองเริ่มลงมือกวาดหิมะออกจากระเบียง แม้นทั้งสองจะถือไม้กวาดเตรียมกวาดหิมะอย่างเอาจริงเอาจังก็ตาม  แต่ความจริงแล้วเป็นการเล่นหิมะต่างหาก ครั้นทั้งสองสนุกสนานกันจนได้ที่  เมิ่งผีก็ทิ้งไม้เท้าของตน ไม้กวาดในมือจึงเป็นไม้เท้าไปโดยปริยาย แต่สำหรับเมิ่งผี การไม่มีไม้เท้าถือเป็นเรื่องลำบากอยู่พอสมควร กอปรกับพื้นผิวหิมะลื่นเป็นมัน ไม่ทันระวังจึงไถลล้มลงอย่างแรง ขาขวาของเมิ่งผีพับรองอยู่ใต้สะโพก น้ำหนักตัวบวกกับแรงกระแทกจึงกดทับจนกระดูกขาหลุดอย่างง่ายดาย ทุกคนช่วยกันพยุงเมิ่งผีเข้าไปในบ้านด้วยความตกใจ ในตอนนั้น ความเจ็บปวดได้ทรมานเมิ่งผีจนเหงื่อเม็ดโตไหลรินลงเป็นทาง มารดาของเมิ่งผีมีอาการกระวนกระวายจนทำอะไรไม่ถูก  หากแต่เจิงจ้ายเท่านั้นที่คุมสติไว้ได้  นางจึงสั่งเมิ่งผีให้นอนนิ่งในฟูก ครั้นแล้วจึงรีบหมุนตัวออกไปตามหมอโดยไม่รอช้า
        ตามถนนหนทางล้วนขาวโพลนไปด้วยกองหิมะ เจิงจ้ายจำได้เลือนลางว่าเคยเห็นป้ายร้าน "หมอต่อกระดูก" ติดอยู่ตรงหัวมุม แต่เหตุใดวกไปเวียนมาอยู่หลายรอบก็ยังไม่พบสักที นางตัดสินใจถามคนข้างทาง จึงทราบว่าตนได้เดินเลยร้านหมอมาแล้ว นางจึงวกกลับไปและรู้สึกสดุดตากับป้านร้านแผ่นหนึ่งที่ถูกปกคลุมด้วยหิมะ จึงรีบรุดเข้าไปเคาะประตูบ้านโดยไม่รอช้า ผู้ที่เปิดประตูคือชายชราภูมิฐานวัย ๗๐ มีหนวดเคราขาวโพลน รูปร่างผอมสูงชายชราได้ทักทายอย่างสุภาพว่า "ท่านหญิง มาเยือนยามพายุโหมหนักเช่นนี้ หรือว่ามีธุระเร่งด่วนอย่างนั้นฤา?. จิตใจของเจิงจ้ายตอนนี้รุ่มร้อนดุจไฟสุมนางจึงเล่าถึงเจตนาการมาอย่างรวบรัด ชายชรามิพูดจาไถ่ถามอีก เขารีบจัดยาใส่เป้และตามเจิงจ้ายออกไปในทันที   

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  ครูคนแรก 4  : 

        ครั้นหมอมาถึง ขาของเมิ่งผีก็ออกอาการอักเสบบวมแดงเสียแล้ว
ชายชราคลำไปที่ขาของเมิ่งผี พลงเล่านิทานปรัมปราสมัยการเบิกฟ้าเบิกดินให้ฟัง เจิงจ้ายและทุกคนต่างงงวยกับพฤติกรรมของชายชรายิ่ง ขณะที่ทุกคนยังจับต้นชนปลายไม่ถูก พลันได้ยินเสียงของเมิ่งผีร้องดังขึ้นด้วยความเจ็บปวด ชายชรายิ้มอย่างแช่มชื่นว่า "เอ้า ! เสร็จแล้ว !" เพลานั้นสีหน้าของเมิ่งผีได้คลายความเจ็บปวดลงไปอย่างมาก เจิงจ้ายและคุณแม่ของเมิ่งผีต่างกล่าวขอบคุณและมอบค่าตอบแทนให้แก่ชายชราอย่างมากมาย "ด้วยการดูแลเอาใจใส่ของทุก ๆ คน เพียงไม่กี่วัน อาการบาดเจ็บของเมิ่งผีก็หายเป็นปกติและกิจวัตรของทั้งครอบครัวก้เข้าสู่ภาวะปกติอีกครั้ง โดยเมิ่งผียังคงเรียนหนังสือกับเจิงจ้าย ส่วนขงชิวก็ยังบ่นว่าเรียนน้อยไป จนเจิงจ้ายต้องปรับเปลี่ยนวิธีการสอนเป็นแบบแนะนำให้รู้จักวิทยาความรู้และจริยพิธีต่าง ๆ ของราชวงศ์โจว [/b]  ข่งชิวจึงรู้สึกว่าได้เปิดหูเปิดตาและมุ่งมั่นต่อการเล่าเรียนด้วยความตั้งใจ เจิงจ้ายมักจะให้ข่งชิวอธิบายความหมายของสิ่งที่ได้เรียนอยู่เสมอ ซึ่งข่งชิวล้วนสามารถตอบได้อย่างถูกต้องและแม่นยำ นางรู้สึกพอใจต่อผลการเรียนของบุตรชายเป็นอย่างมาก แต่เพื่อให้เด็กทั้งสองต่างมีพัฒนาการด้านการศึกษาและกระตุ้นความคิดอ่านได้มากยิ่งขึ้น นางจึงให้ทั้งสองต่างตั้งคำถามกันไปมา หากคนใดตอบผิด นางก็จะทำการแก้ไขใหม่ให้ถูกต้อง เจิงจ้ายทำการสอนเช่นนี้ตลอด ๓ ปีจน ข่งชิวอายุได้ ๙ ขวบ ในตอนนั้น เจิงจ้ายไม่อาจมีเวลามากพอสำหรับงานบ้านงานเรือนได้อีก นางจึงตัดสินใจส่งเด็กทั้งสองไปเรียนที่สำนักศึกษา เช่นนี้จึงจะทำให้เด็กทั้งสองสามารถเียนรู้มากยิ่งขึ้นได้  ห่างจากบ้านไปไม่ไกลนักมีสำนักศึกษาอยู่แห่งหนึง หลังจากเจิงจ้ายได้ไปปรึกษากับครูที่สำนักศึกษาแล้ว เช้าวันที่สองก็พาเด็กทั้งสองไปเรียนหนังสือที่นั่น ซึ่งครูได้อนุญาตให้เด็กทั้งสองได้เรียนด้วยกัน  ดังนั้นครั้งนี้เมิ่งผีจึงมีข่งชิวเป็นเพื่อน กอปรกับปุจจุบันมีอายุ ๑๕ ปีแล้ว  จึงทำให้เพื่อน ๆ ไม่กล้าหยอกล้อในความพิการของเมิ่งผีอีก  ๓ ปีให้หลัง ข่งชิวเริ่มรู้สึกว่าที่สำนักศึกษามีวิชาเรียนน้อยไป จึงไปขอร้องมารดาให้เปลี่ยนสำนักศึกษาแห่งใหม่ เจิงจ้ายได้เสาะหาอยู่เป็นเวลานาน แต่ก็หาได้มีสำนักศึกษาที่เหมาะสมไม่ จึงกล่าวกับข่งชิวว่า "ลูกไปเรียนหนังสือที่ท่านตาเถอะ เพราะท่านตาเป็นผู้มีภูมิธรรมความรู้อย่างแท้จริง"  ข่งชิวพยักหน้ารับคำ ส่วนเมิ่งผียังรู้สึกพอใจกับสิ่งที่ตนเรียนอยู่ จึงไม่คิดจะย้ายสถานที่เรียนแต่อย่างใด บ้านเกิดของเจิงจ้ายอยู่ทางทิศอิสานของราชธานี ในเช้าวันที่สอง เจิงจ้ายได้พาลูกชายกลับไปที่บ้านบิดา ครั้นถึงแล้วก็เล่าถึงเจตนาการมาในครั้งนี้ให้บิดาทราบโดยละเอียด

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
ครูคนแรก 5  :

     เหยียนเซียง ในปัจจุบันเป็นชายชราวัย 60
ที่มีหนวดขาวโพลน สวมชุดที่ตัดด้วยผ้าหยาบพอหลวมตัว ซึ่งโดยปกติเหยียนเซียงก็รักใคร่และเอ็นดูข่งชิวมากเป็นพิเศษอยู่แล้ว ครั้นได้ทราบจากลูกสาวว่าหลานรักเป็นคนที่รักเรียนใฝ่ศึกษา จึงรีบรับปากโดยไม่รีรอ พลางกล่าวว่า "การศึกษาแต่โบราณจะเน้นศึกษา ๖ แขนงวิชาคือ จริยา  คีตะ  เกาทัณฑ์  อาชายาน  นิรุกติ์  คำนวน หรือก็คือ ๖ วิทยาที่ในปัจจุบันเรียกกัน สำหรับหลานของพ่อคนนี้ พ่อก็รักดุจแก้วตาดวงใจอยู่แล้ว ฉะนั้นพ่อต้องถ่ายทอดความรู้ทั้งหมด เพื่อให้หลานคนนี้ได้เป็นสดมภ์หลักของชาติบ้านเมืองอย่างแน่นอน เพียงแต่พ่อจะสันทัดเพียง  จริยา  คีตะ  นิรุกติ์  และการคำนวน  ส่วนด้านอาชายานและเกาทัณฑ์ ลูกก็รู้ว่าพ่อไม่เคยฝึกวิทยายุทธมาก่อน จึงรู้เพียงแค่ผิวเผินเท่านั้น"  ข่งชิวรีบถามขึ้นทันทีว่า "หลานเคยได้ยินท่านแม่สอนถึง ๖ วิทยามาก่อน แต่หลานไม่ทราบรายละเอียดของ ๖ วิทยานี้เลย"  เหยียนเซียงพูดอย่างแช่มชื่นว่า "เอาไว้ตาจะค่อย ๆ สอนให้นะ"  ข่งชิวรบเร้าท่านตาใหญ่ว่า "หลานอยากจะฟังในตอนนี้จังเลย"  "ใจร้อนไปทำไม ยังมีเวลาอีกมากมาย" เจิงจ้ายรีบปรามขึ้นในทันใด  ข่งชิวจึงได้แต่สะกดเสียงด้วยสีหน้าอันผิดหวัง  ครั้นเหยียนเซียงได้เห็นความมานะใฝ่เรียนของข่งชิวก็รู้สึกสราญใจเป็นยิ่งนัก จึงดึงข่งชิวเข้ามาพลางกล่าวด้วยความปิติว่า "ตาจะอธิบายให้ฟังอย่างคร่าว ๆ ก่อน แล้ววันหลังค่อยอธิบายในรายละเอียดต่อไปนะ"  สีหน้าของข่งชิวแช่มชื้นขึ้นในทันใด ได้ดึงมือของเหยียนเซียงส่ายไปมาว่า "ท่านตาอธิบายเร็ว ๆ หน่อยสิ"  เหยียนเซียงนั่งลงและกระแอมเสียงให้คล่องคอ กล่าวว่า "๖ วิทยาที่โบราณได้กล่าวถึง จะประกอบด้วย  จริยา ๕  คีตะ ๖  เกาทัณฑ์ ๕  อาชายาน ๕  นิรุกติ์ ๖  และคำนวน ๙ " เหยียนเซียงยังไม่ทันกล่าวจบ ข่งชิวก็รบเร้าถามต่อไปว่า "จริยา ๕ คืออะไรครับท่านตา?"  เหยียนเซียงตอบว่า  จริยา ๕ หมายถึงจริยพิธี ๕ ชนิด ประกอบด้วยพิธีที่เกี่ยวกับการบวงสรวงเรียกว่ามงคลพิธี  พิธีที่เกี่ยวกับงานศพเรียกว่าอวมงคลพิธี   พิธีที่เกี่ยวกับการปริสัญญูเรียกว่าอาคันตุกะพิธี  พิธีที่เกี่ยวกับกองทัพเรียกว่าพยุหพิธี  พิธีที่เกี่ยวกับการแต่งงานเรียกว่าวิวาหพิธี" ข่งชิวถามต่อไปอีกว่า "แล้วคีตะ ๖ คืออะไร?"  เหยียนเซียงสูดหายใจจนเต็มปอดแล้วพูดว่า "คีตะ ๖ หมายถึงศิลปะการร่ายรำและดนตรี ๖ ประการ  ซึ่งจะแบ่งเป็นกลุ่มโดยยึดตามรัชสมัยของแต่ละยุคคือดนตรีสมัยหวงตี้เรียกว่ายวิ๋นเหมิน   ดนตรีสมัยเหยาเรียกว่าเสียนฉือ   ดนตรีสมัยซุ่นเรียกว่าต้าเสา   ดนตรีสมัยอวี่เรียกว่าต้าเซี่ย   ดนตรีสมัยทังเรียกว่าต้าฮั่ว   ดนตรีสมัยอู่เรียกว่าต้าอู่" น้ำเสียงของเหยียนเซียงเพิ่งจะสงบ ข่งชิวตั้งท่าจะซักต่อ เจิงจ้ายจึงรีบยั้งว่า "ให้ท่านตาพักผ่อนก่อน" 

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
ครูคนแรก  6  :

      เหยียนเซียงกล่าวว่า 
"เดี๋ยวพ่อจะอธิบายให้หมดเลยก็แล้วกัน"
"อัน เกาทัณฑ์ ๕ หมายถึงวิธีการยิงธนู ๕ ประการ  ประกอบด้วยป๋ายซือ  ไซเหลียน  เอี่ยนจู้  เซียงฉื่อ  จิ่งอี๋ 
ส่วนอาชายาน ๕ หมายถึงการขับรถม้า ๕ ประการ  ประกอบด้วย หมิงเหอหล่วน  จู๋สุ่ยฉวี่  กั้วจวินเปี่ยว  อู่เจียวฉวี  จู๋ฉินจั่ว
ส่วนนิรุกติ์ ๖  หมายถึงวิธีการสร้างคำ ๖ ประการ อันประกอบด้วยสัญลักษณ์คติ  รูปคติ  สำเนียงคติ  สมาสคติ  หมวดคำคติ  ยืมใช้คติ  ส่วนสำนวน ๙ หมายถึงวิธีการคำนวณ  ๙ ประการคือ ฟังเถียน  ซู่หมี่  ชาเฟิน  เส้าก่วง  ชังจง  จวินซู  ฟังเฉิง  อิ๋งปู๋เย่า ส่วนเรื่องรายละเอียดนั้น คงจะไม่สามารถอธิบายให้กระจ่างในวันสองวันได้หรอกนะ"  เจิงจ้ายพูดว่า "ก็ใช่สิ"  นางดึงลูกไปอยู่ข้างกายพลางกำำชับว่า "เวลายังมีอีกนาน ไว้ค่อย ๆ ให้ท่านตนสอนให้ไม่ดีกว่าหรือ ?"  ข่งซิวพยักหน้ารับคำ ในใจพลางคิดว่า "คำแปลก ๆ ในวันนี้มีตั้งมากมาย คงต้องใช้เวลาในการเรียนและทำความเข้าใจไม่น้อย" จากนั้น ทั้ง ๓ คนต่างสนทนาในเรื่องทั่ว ๆ ไปอย่างสนุกสนาน โดยเหยียนเซียงยังคงแอบสังเกตุหลานของตนอย่างพิเคราะห์ ได้เห็นถึงอุปนิสัยใฝ่เรียนและอากัปกิริยาอันสุภาพภูมิฐานในขณะเจรจา จึงทำให้ชายชรารู้สึกภูมิใจเป็นยิ่งนัก  ครั้นเสร็จจากการรับประทานอาหารกลางวัน เหยียนเซียงเริ่มทดสอบดูพื้นฐานของข่งชิว แต่แล้วก็ต้องตกตลึง เพราะสำหรับความรู้อันเข้าใจยากสำหรับเด็กโต ข่งชิวกลับสามารถโต้ตอบได้อย่างคล่องแคล่วฉะฉาน ครั้นถามถึงสิ่งใด ข่งชิวล้วนตอบได้อย่างถูกต้อง กระชับและแม่นยำ  ฉะนั้นทั้งสองตาหลานจึงพูดคุยกันอย่างสนุกสนานจนเวลาล่วงเลยไปกว่า ๒ ชั่วโมง โดยที่เหยียนเซียงยังมิรู้สึกเหน็ดเหนื่อยแต่อย่างใด หากแต่ยิ่งเพิ่มความปลาบปลื้มและความกระชุ่มกระชวยเป็นกำลัง จนในที่สุดได้ตบลงที่บ่าของข่งชิวและพูดกับลูกสาวว่า "หลานของพ่อคนนี้เป็นเสมือนหยกงามที่กำลังคอยการเจียระไนโดยแท้ !" เจิงจ้ายกล่าวว่า "ท่านพ่อ" ท่านพ่ออย่าเอาแต่ชมหลานสิ ท่านพ่อต้องเข้มงวดต่อหลานให้มาก ๆ นะ"  เหยียนเซียงตอบด้วยแววตาอันมุ่งมั่นว่า "แน่นอนอยู่แล้ว !  แน่นอนอยู่แล้ว !"  หลังจากได้ฝากฝังข่งชิวกับบิดาเสร็จ เจิงจ้ายได้อยู่ตออีกสองสามวันแล้วจึงอำลากลับ  แม้ข่งชิวจะเศร้าใจจากการที่ต้องห่างจากมาราดา อยู่บ้างก็จริง แต่ข่งชิวก็หาได้ละเลยการเรียนไม่ หากจะยิ่งเพิ่มความพยายามในการเรียนจนกระทั่งลืมเวลาพักผ่อนและเวลาอาหารไปเลยเช่นนั้น สำหรับอุปนิสัยของข่งชิวแต่เล็กมาคือชอบชักไซ้ให้ได้คำตอบจนถึงที่สุด โดยจะมิยอมให้ความสงสัยไหลเลยผ่านกระแสความคิดไปอย่างเด็ดขาด แต่ไม่ว่าข่งชิวจะเป็นคนชางซักปานใดเหยียนเซียงกลับยิ่งมีความชอบใจและจะอธิบายจนข่งชิวสิ้นกังขา ดังนั้นในตลอดระยะเวลา ๖ ปี ที่ผ่านมา ทั้งสองตาหลานจะใช้ชีวิตเช่นนี้เรื่อยมาอย่างมีความสุข  จนกระทั่งเหยียนเซียงได้ถ่ายทอดวิชาความรู้ให้แก่ข่งชิวจนหมดสิ้น ตลอดเวลาที่ผ่านมา เหยียนเซียงพบว่าข่งชิวมีความจำอันเป็นเลิศ อีกทั้งยังมีปณิธานอันยิ่งใหญ่ ด้วยเหตุนี้จึงสอนข่งชิวให้ทำความเข้าใจในพระราชปณิธานของ ๓ กษัตริย์  ๕ ราชัน (สามกษัตริย์หมายถึง ฝูซี  เสินหนง  และฮ๋วงตี้  ส่วนห้าราชันหมายถึง เส้าคัง  จวนชวี  ตี้คู่  พระเจ้าเหยา   และพระเจ้าซุ่น) พร้อมทั้งยังคอยอบรมส่งเสริมข่งชิวให้เป็นธีรชนที่พร้อมด้วยคุณธรรมความสามารถอยู่ทุกเวลา  แต่ก็ช่างน่าอัศจรรย์ หลังจากข่งชิวได้สดับพระจริยวัตรของพระมหาธีรราชเจ้าแต่ละพระองค์แล้ว ข่งชิวกลับรู้สึกว่ายังมีภาระกิจที่ต้องกระทำอีกมากมายและเพื่อให้บรรลุสู่จุดหมายที่วาดหวังไว้ ข่งชิวจึงยิ่งมานะเล่าเรียนและอ่อนน้อมถ่อมตนมากขึ้นกว่าเก่า

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
ครูคนแรก  7  : 

     เมื่อ ๕๓๓ ปีก่อนคริสศักราช เดือน ๙ ตามจันทรคติ ข่งชิวอายุเพิ่งครบ ๑๘ ปีบริบูรณ์
วันหนึ่ง เหยียนเซียงรู้สึกมึนงง จนมิอาจประคองสังขาร รู้ตัวว่าตนเองจะต้องวายชนในอีกไม่ช้า จึงเรียกข่งชิวมากล่าวสั่งเสียว่า "เสียทีที่ตาพร้อมด้วยความรู้ความสามารถ แต่กลับมิมีโอกาสสนองคุณรับใช้ชาติ นี่คือสิ่งที่ทำให้ตาเสียใจจวบจนวันนี้ แต่ยังดีที่ตาได้ถ่ายทอดความรู้ทั้งหมดให้แก่หลาน หวังว่าในภายภาคหน้าหลานจะต้องคงมานะเล่าเรียน เพื่อสืบไปในอนาคตจะสามารถรับใช้ชาติอย่างสุดกำลัง หลานจะต้องจำไว้ คนเราเกิดมาในโลกนี้ จะต้องสร้างผลงานอันยิ่งใหญ่ให้เป็นที่ประจักษ์ เพื่อเป็นแบบอย่างอันอำไพแก่ชนรุ่นหลังสืบไป หากหลานสามารถทำได้ก็จะเป็นการเชิดชูเกียรติแห่งวงศ์ตระกูล และตาจะได้นอนตายตาหลับในปรภพเสียที" ข่งชิวเป็นคนที่มีจิตใจเข้มแข็งมาแต่เด็ก ไม่ว่าจะอยู่ในภาวะการใดก็จะมิยอมหลั่งน้ำตาโดยง่าย แต่ตอนนี้ข่งชิวกลับต้องร้องไห้จนน้ำตาอาบสองแก้ม  ครั้นเหยียนเซียงเห็นหลานรักเศร้าโศกเสียใจ จึงพลอยให้รู้สึกตื้นตันจนดวงตาแดงก่ำ แต่เหยียนเซียงยังคงตั้งสติกล่าวกำชับข่งชิวด้วยน้ำเสียงอันทรงพลังว่า "หลานอย่าได้ทำตัวอ่อนแอจนผิดวิสัยลูกผู้ชาย หลานจะต้องเข้มแข็ง  เพราะหนทางชีวิตของหลานยังอีกยาวไกล เป็นไปไม่ได้หรอกที่ชีวิตคนเราจะราบเรียบดุจโรยด้วยกลีบกุหลาบเสมอไป ฉะนั้น จึงต้องมีความพร้อมที่จะต่อสู้กับทุกสถานการณ์ จงจำไว้ว่า อุปสรรคเป็นสิ่งที่สร้างวีรบุรุษให้แกร่งกล้า อีกอย่างตาก็อายุปูนนี้แล้ว ชีวิตของตาก็เป็นเสมือนแป้งเปียกที่สิ้นความเหนียว  เหล้าเก่าที่สิ้นความหอม  มันก็ควรแล้วที่ต้องฝากชีวิตนี้ไว้กับผืนปฐพี" ข่งชิวยืนฟังด้วยอาการนบนอบ จิตใจรู้สึกฮึกเหิมด้วยพลังธรรมที่อัดแน่นอยู่เต็มหัวใจ แต่ครั้นได้ฟังสองประโยคสุดท้ายจบ ก็ถึงกับทะลักความรู้สึกที่ถูกปิดกั้นมานานจนหมดสิ้น ข่งชิวได้แต่ร้องไห้จนมิอาจจับสุ้มเสียงใจความได้อีก  เหยียนเซียงจึงกำชับว่า "รีบไปตามแม่ของหลานมาเถอะ ตายังมีคำสั่งเสียกับแม่ของหลานอีก"  ข่งชิวห่มผ้าให้กับท่านตา และรีบเดินทางไปตามมารดาด้วยความรวดเร็ว ครั้นเจิงจ้ายทราบข่าว ก็บังเกิดความโทมนัสเสียใจและรีบเดินทางมาหาบิดาอย่างรีบร้อน  เหยียนเซียงกล่าวว่า "ความรู้ของข่งชิว ถือว่าเหนือกว่าพ่อมากมาย พ่อคิดว่าหลานคนนี้จะสามารถสร้างประวัติอันเกรียงไกรในอนาคตได้เป็นแน่ หากพ่อยังมีชีวิตอยู่ ก็คงจะได้เห็นหลานคนนี้ประสบความสำเร็จ เพียงแต่ชะตาคงจะไม่อนุญาตให้อยู่จนถึงวันนั้นแล้วกระมัง ฮ่าย !ชีวิตคนเราฟ้าได้ลิขิตไว้แล้ว  หากพ่อตายไป ลูกจะต้องตั้งใจอบรมหลานคนนี้ให้จงดี เพื่อจะได้เชิดชูเกียรติประวัติอันยืนยงสืบไป"  กล่าวจบ ดวงตาก็ค่อย ๆ หรี่ลงและสิ้นใจไปในที่สุด  ข่งชิวได้อยู่ไว้ทุกข์เป็นเพื่อนมารดาตามจารีตประเพณีจนครบกำหนดร้อยวัน จากนั้นจึงได้ติดตามมารดาเดินทางกลับ หลังจากนั้นไม่นาน เมิ่งผีได้แต่งงานและแยกออกไปตั้งรกรากที่ต่างเมือง เวลานั้น ข่งชิวได้เติบโตเป็นหนุ่ม รูปร่างสูงใหญ่ ไหล่กว้าง เอวกลม ใบหน้าคมสัน กิริยาภูมิฐาน วาจาสุภาพ  วันหนึ่ง เจิงจ้ายเรียกข่งชิวเข้ามาหา พลางพูดด้วยท่าทีขึงขังว่า "ข่งชิวมานี่หน่อย แม่มีเรื่องจะปรึกษา"

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
        เจิงจ้าย เรียกข่งชิวเข้ามาหา ได้กล่าวขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า "ลูกก็โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว แม่จึงอยากให้ลูกรีบมีครอบครัว เพื่อจะได้ให้แม่คลายความกังวลไปอีกเปราะหนึ่ง" ข่งชิวยืนตัวตรงอย่างสุภาพ พลางกล่าวอ้างตำราว่า "อันการสมรสนั้น ถือเป็นเรื่องปกติของบุตรที่ควรปฏิบัติตามโอวาทแห่งบุพการี เพียงแต่... การแต่งงานเป็นเรื่องใหญ่ ดังนั้นจึงมิรอบคอบมิได้ โบราณกล่าวไว้ว่า "ชายครบ ๓๐ จึงแต่ง"  ซึ่งจารีตนี้เป็นกฏที่ท่านโจวกงได้กำหนดไว้ในวันวิวาพิธีมาแต่โบราณ ลูกเองจึงมิอยากละเมิดกฏนี้"  โจวกง แซ่จี  มีพระนามว่าตั้น เป็นพระราชโอรสแห่งโจวเหวินหวัง พระองค์เคยทรงช่วยพระเชษฐา (โจวอู่หวัง) ปรามซังโจ้วหวัง และสถาปนาราชวงศ์โจวขึ้น เล่าลือกันว่า ระเบียบแบบแผนแห่งจริยธรรมและคีตะได้ถูกร่างขึ้นโดยโจวกง ฉะนั้น พระองค์จึงเป็นเสมือนสดมภ์เอกแห่งราชวงศ์ที่ยืนยงค้ำชูความมั่นคงแห่งชาติเสมอมา  โดยเฉพาะ เมื่อโจวอู่หวังเสด็จสวรรคตแล้ว ในครั้งกระนั้น พระยุวกษัตริย์ โจงเฉิงหวัง (จี้ทง) ยังทรงพระเยาว์ โจวกงมิอาจวางพระทัย ด้วยมาตรว่าพระองค์จะได้รับพระราชทานแต่งตั้งให้ไปกินเมืองที่แคว้นหลู่แล้วก็ตาม โดยพระองค์ได้ทรงละทิ้งโอกาสที่จะไปเสวยสุขเป็นเจ้าแคว้นที่เมืองหลู่ และอยู่ช่วยสำเร็จราชการที่ราชธานีห่าวจิงแทน ในเบื้องต้น ทุกคนต่างสงสัยว่าโจวกงจะคิดกบฏโค่นราชบัลลังก์ ดังนั้น ข่าวลือต่าง ๆ ที่ทำลายพระเกียรติยศจึงเกิดขึ้นจนกระทบกระเทือนถึงโจวกงอย่างมิอาจหลีกเลี่ยง ครั้นโจวเฉิงหวัง ทรงเจริญวัยและสามารถออกมาว่าราชการด้วยพระองค์เองแล้ว ทุกคนจึงสิ้นสงสัยในโจวกง และต่างยกย่องสรรเสริญในความจงรักภักดีของโจวกงโดยทั่วกัน
        โจวกง คือบุรุษที่ข่งชิวให้ความเคารพนับถือมากที่สุด ในดวงใจของข่งชิว จึงเห็นโจวกงเป็นสัตบุรุษที่มีความสมบูรณ์พร้อมทั้งคุณธรรมความสามารถเสมอมา ดังนั้น ข่งชิวจึงยกย่องใหเโจวกงเป็นครูบาอาจารย์ของตนไปโดยปริยาย และนี่จึงเป็นเหตุที่ข่งชิวได้ยกเอากฏระเบียบของโจวกงมาอ้างแก่มารดานั่นเอง แต่เจิงจ้ายได้ตั้งใจอย่างแน่วแน่อยู่ก่อนแล้ว นางจึงกล่าวกับลูกว่า "ลูกมีความรู้ที่แตกฉาน ความจำก็เป็นเลิศ สิ่งนี้ถือว่เป็นเรื่องดีเพียงแต่มิควรยึดถืออยู่กับจารีตจนไม่ยอมพลิกแพลงให้สอดคล้องกับสถานการณ์เสียเลย โบราณกล่าวว่า  "อดีตเป็นครูแห่งอนาคต" ในสมัยที่พ่อของลูกมาขอแม่ ตอนนั้นพ่อของลูกอยู่ในช่วงมัชฌิมวัย จึงทำให้แม่ต้องมาเป็นหม้ายตั้งแต่ยังสาว ทำให้ลูกต้องกำพร้าตั้งแต่ยังเยาว์ แต่ตอนนี้ลูกมีร่างกายอันแข็งแรง การแต่งงานในวันนี้จึงไม่นับเป็นเรื่องที่เสียหายอะไร"

หมายเหตุ   :  พระเจ้าโจวเหวินหวัง (ก่อน ค.ศ. ๑๒๒๓ - ๑๑๒๒) เป็นพระบิดาแห่งพระเจ้าโจวอู่หวัง ซึ่งเป็นผู้กรีธาทัพโค้นล้มทรราชซังโจ้วหวังและสถาปนาราชวงศ์โจวขึ้น  พระเจ้าโจวเหวินหวังทรงเป็นเจ้าแคว้นโจว ผู้ทรงธรรมในสมัยโบราณ  แม้ซังโจ้วหวังจะทรงสั่งจำคุกพระองค์ถึง ๗ ปี อย่างไร้เหตุผลก็ตาม แต่พระเจ้าโจวเหวินหวังก็ยังทรงถวายความจงรักภักดีต่อราชวงศ์ซังไม่เคยเปลี่ยน  คุณธรรมของพระองค์ขจรไกล จนสามารถครองใจเหล่าเจ้าแคว้นทั่วแผ่นดินได้ถึงสองในสาม  เคยมีสองแคว้นเกิดข้อพิพาทเรื่องดินแดน ทั้งสองเจ้าเมือง จึงต่างเดินทางมาขอให้โจวเหวินหวังเป็นผู้ตัดสิน ครั้นเข้าสู่แคว้นโจว ก็ได้เห็นชาวนาต่างยอมยกเขตนาให้กันและกัน  ได้เห็นคนสัญจรต่างเชิญฝ่ายตรงข้ามให้เดินนำหน้าตน ผู้เฒ่าได้รับความเคารพราชบุตรต่างสมัครสมานรวมกันเป็นหนึ่ง ครั้นสองเจ้าแคว้นได้ทอดพระเนตรดังนี้ ก็เดินทางกลับด้วยความละอายพระทัย จึงเห็นได้ว่า พระเจ้าโจวเหวินหวังทรงเป็นที่รักใคร่ของประชาชนมากเพียงใด

Tags: