หลังจากรับประทานอาหารกลางวัน ศูนย์อายุรเวทจัดรถพากลับไปส่งยังที่พัก เพื่อใช้เวลาพักผ่อนส่วนตัว เพราะหลังจากทำทรีตเมนต์แล้ว คนซึ่งใช้ชีวิตกรำงานหนักหรือร่างกายเหนื่อยล้ามากๆ มักรู้สึกง่วงนอน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพปัญหาของร่างกายแต่ละคนก่อนหน้านี้ เรียกสภาวะนี้ว่า Healing Crisis บางคนอยากนอนหลับ บางคนอาจแค่ต้องการพักผ่อนสบายๆ ซึ่งสามารถทำได้หลายอย่างที่ ลา วิลเลทต้า เช่น นอนอ่านหนังสือ แช่ตัวในสระน้ำจากุชชี หรือจะขี่จักรยานของที่พักออกชมบริเวณใกล้เคียงที่มีบ้านเก่าสวยๆ อยู่หลายหลังก็ได้ แต่ขอให้กลับมาให้ทันเวลา 16.00 น.เพื่อรับประทานของว่างตามโปรแกรมคือผลไม้สดและน้ำผลไม้
ส่วนอาหารมื้อเย็นก็เป็น เซตเมนูอายุรเวท ซึ่ง ลา วิลเลทต้า จัดให้ตามคำแนะนำของดร.มาร์วาห์
แต่ด้วยความที่ที่พักตั้งอยู่ใกล้ย่านของอร่อยของ 'หนองหอย' คุณสามารถออกไปหาของอร่อยในย่านนั้นเลือกรับประทานเองก็ได้ สอบถามข้อมูลร้านอร่อยได้จากเจ้าหน้าที่ของที่พัก หรือถ้าไม่อยากออกไปไหน จะให้ ลา วิลเลทต้า จัดเตรียมเพิ่มเติมในส่วนนี้ก็ได้ ค่าบริการขึ้นอยู่กับอาหารที่เลือก
หากออกไปหาอาหารรับประทานเอง ต้องอย่าลืมเลือกรับประทานอาหารตามคำแนะนำของดร.มาร์วาห์ อาหารแต่ละประเภทมีประโยชน์ก็จริง แต่อายุรเวทก็มีศาสตร์ในกินอาหาร อาหารบางชนิดไม่ควรกินคู่กัน เนื่องจากทำให้ร่างกายเสียสมดุล
บ่อยครั้งที่เรากินอาหารแล้วรู้สึกไม่สบายท้อง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเรากินอาหารที่ไม่ควรกินคู่กัน
ดร.สุชาดา ยกตัวอย่างอาหารประเภท นม ไม่เข้ากับ เนื้อสัตว์ เนื่องจากทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานช้า อาหารไม่ถูกย่อยโดยสมบูรณ์ ร่างกายดูดซึมสารอาหารไม่ได้เต็มที่
ไม่ควรกิน อาหารร้อน คู่กับ อาหารที่มีความเย็น เช่น เมื่อสั่ง ‘อาหารตามสั่ง’ ซึ่งปรุงสุกและยังมีความร้อน ไม่ควรกินคู่กับน้ำดื่มที่มีความเย็น(แช่เย็นหรือใส่น้ำแข็ง) หรือตามด้วยการกินขนมหวานที่มีความเย็น ของร้อนและของเย็นที่กินเข้าไปพร้อมกันทำให้เกิด ‘อากาศ’ ซึ่งจะไปรวมตัวอยู่ตามจุดอ่อนแอภายในร่างกาย นั่นก็คือ ‘ข้อต่อ’ เมื่อสะสมนานวันเข้าจึงทำให้เกิดอาการข้อบวมและปวดข้อนั่นเอง
ดร.สุชาดา แนะนำ การกินอาหารแบบอายุรเวท สำหรับบุคคลทั่วไป นำไปเป็นหลักการพื้นฐานเบื้องต้นเพื่อสร้างสุขภาพที่ดี ไว้ดังนี้
# ข้อปฎิบัติในการรับประทานอาหารแนวอายุรเวท
1. อาหารที่รับประทานควรมีรสชาติครบทั้ง 6 รสชาติ คือ เปรี้ยว หวาน มัน เค็ม ขม เผ็ด โดยไม่มีการใช้สารปรุงแต่งรสชาติใดๆ ทั้งสิ้น
2. ควรรับประทาน อาหารอ่อนๆ แต่รับประทานอาหารบ่อยครั้ง โดยเติมอาหารลงไปในท้องเพียงครึ่งท้อง แล้วเติมด้วยน้ำดื่มอีก 1/4 ส่วน และเหลือที่ว่างไว้สำหรับการย่อยอาหาร
3. ควรรับประทานอาหารมื้อเช้าก่อนเวลา 09.00 น. อาหารมื้อกลางวันระหว่างเวลา 12.00-14.00 น. และอาหารมื้อเย็นก่อนเวลา 18.00 น. หรือก่อนเข้านอนประมาณ 4 ชั่วโมง
4. อาหารที่รับประทานควรเป็นอาหารปรุงสดใหม่ หลีกเลี่ยงอาหารกระป๋องหรืออาหารแช่แข็ง เนื่องจากไม่มีพลังงานพอที่จะช่วยเพิ่มแร่ธาตุให้กับร่างกายได้
5. อาหารที่จะรับประทาน ควรได้รับการเตรียมด้วยความรัก ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ความรู้สึกดีต่อกัน และหลีกเลี่ยงการทำอาหารหรือเตรียมอาหารด้วยความโกรธ ความฉุนเฉียว หรือแม้แต่ในขณะที่อารมณ์ไม่ดี
6. ขณะที่รับประทานอาหาร ควรรับประทานอาหารเพียงอย่างเดียว หมายถึงหลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมอื่นๆ ประกอบไปด้วย เช่น การดูโทรทัศน์ การฟังเพลงเสียงดัง การโต้เถียง และการเล่นอินเทอร์เน็ต
7. หลีกเลี่ยงการดื่มน้ำเย็นก่อนหรือระหว่างการรับประทานอาหาร ควรใช้การจิบน้ำอุ่นแทน
8. หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่ไม่ชอบ เนื่องจากทำให้รู้สึกไม่สบายตัวและไม่สบายใจ
9. หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่เข้ากันไม่ได้ดังนี้
- อาหารที่ร้อนและอาหารที่เย็น เช่น ก๋วยเตี๋ยวร้อนๆ กับเครื่องดื่มเย็นๆ เพราะจะทำให้ข้อบวม และตามมาด้วยอาการเจ็บตามข้อ
- การดื่มนมคู่กับผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว เนื้อปลา เนื้อสัตว์ และโยเกิร์ต เพราะจะทำให้เรามีกรดในกระเพาะอาหาร
- มันฝรั่งและมะเขือยาวกับไข่และนม, กล้วยและแตงโม หรือผลไม้จำพวกเมลอนต่างๆ
- โยเกิร์ตกับผลไม้รสเปรี้ยว เนื้อสัตว์ ปลา เนยแข็ง และเครื่องดื่มร้อน เพราะจะทำให้เกิดกรดในกระเพาะอาหารและอาการท้องป่อง
- น้ำผึ้ง ไม่ควรถูกทำให้ร้อนหรือปรุงแต่ง
- มะนาวกับแตงกวา นม และโยเกิร์ต
10. สลัดเย็น ไม่ควรรับประทานระหว่างรับประทานอาหารร้อน
11. ไม่ควรรับประทานผลไม้ทันทีหลังรับประทานอาหารมื้อหลักนั้นๆ โดยเฉพาะกล้วยสุกและมะม่วงสุก เพราะเป็นการสร้างน้ำหนักให้ร่างกาย และร่างกายจะอมน้ำ
แต่การกินแบบอายุรเวทใช่ว่าเป็นการกินอย่างไม่มีความสุข เช่น หากต้องการกินของเย็น เช่น ไอศกรีม น้ำแข็งปั่น ก็ควรกินหลังจากการกินอาหารปรุงสุกผ่านไปสองชั่วโมง เพื่อลดการปะทะกันระหว่างของร้อนและของเย็นภายในร่างกาย เป็นต้น
# ทรีตเมนต์อายุรเวท Anti-ageing Program
วันแรก : เริ่มด้วยการทำแบบสอบถามเกี่ยวกับลักษณะทางกายภาพตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ข้อมูลโรคประจำตัว อาการบาดเจ็บหรือเจ็บป่วยที่ต้องการบำบัด ฯลฯ เพื่อประเมินสุขภาพเบื้องต้นและจัดทรีตเมนต์บำบัดที่เหมาะสม
หลังจากแจ้งเกี่ยวกับอาการปวดหลังส่วนล่างบ้าง กับอาการปวดศีรษะได้ง่าย ดร.มาร์วาห์จัดให้เธอราพิสต์เริ่มปรับสมดุลภายในร่างกายผู้เขียนด้วยทรีตเมนต์การนวดบำบัดแบบอายุรเวท โดยใช้ ลูกประคบ ที่มีส่วนผสมของข้าว นม สมุนไพรสด จุ่มลงใน น้ำมัน (Natural Ayu Certified Oils) ซึ่งอุ่นไว้จนมีความอุ่น-ร้อน น้ำมันนี้ดร.มาร์วาห์พัฒนาสูตรตามหลักอายุรเวท เป็นน้ำมันธรรมชาติ 100% จากงาดำ มะพร้าว เมล็ดทานตะวัน อัลมอนด์ เป็นอาทิ ไล่ไปตามเส้นพลัง (Energy Lines) ทั่วร่างกายทั้งด้านหลังและด้านหน้า
ทรีตเมนต์เน้นความร้อน เพราะถ้ามีบริเวณที่ตึงหรือถูกปิดกั้น เราไม่จำเป็นต้องกดหนักเพื่อเปิด เราแค่ใช้ความร้อนและรู้ตำแหน่งที่ถูกต้อง จะเปิดจุดนั้นได้อย่างนุ่มนวลโดยไม่เจ็บปวด ดร.สุชาดา กล่าวและว่า น้ำมันที่ใช้เป็นน้ำมันธรรมชาติคุณภาพดีที่สุด ไม่ใช่น้ำมันทำอาหารทั่วไป สามารถซึมลงใต้ผิวหนังได้ลึก 7 ระดับ เป็นสื่อนำสรรพคุณสมุนไพรสดที่ใช้ในลูกประคบลงไปบำบัดได้จริง
ต่อด้วยทรีตเมนต์ Leap คือใช้แป้งอายุรเวทที่ทำจากแป้งโฮลวีตผสมขมิ้นและสมุนไพร วางขดไว้เหมือนเขื่อนบนตำแหน่งหลังส่วนล่าง แล้วใช้น้ำมันอายุรเวทผสมสมุนไพรที่สอดคล้องกับธาตุประจำตัวเทลงไป
รวมเวลาใช้ลูกประคบและการทำ Leap 90 นาที จากนั้นเป็นการนวดศีรษะและใบหน้าอีก 30 นาที
หลังเสร็จทรีตเมนต์ทั่วร่างกายและศีรษะจะชื้นด้วยน้ำมันอายุรเวท ดร.มาร์วาห์ขอให้เก็บน้ำมันนี้ไว้ประมาณสองชั่วโมงเพื่อให้ร่างกายซึบซับสรรพคุณสมุนไพร แล้วจึงค่อยอาบน้ำสระผม
วันที่สอง : หลังจากพูดคุยสอบถามถึง อาการหลังการทำทรีตเมนต์ (Healing Crisis) ดร.มาร์วาห์ก็จะเลือกทรีตเมนต์ที่เหมาะสมให้ ยังคงเป็นการนวดปรับสมดุล แต่เน้นการนวดที่บริเวณหลังช่วงล่าง หลังช่วงบน เป็นช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยความผ่อนคลาย เบาสบาย
วันที่สาม : ก่อนเริ่มทำทรีตเมนต์ ดร.มาร์วาห์ตรวจชีพจรที่ข้อมือทั้งสองข้าง ศีรษะ หน้าอก หน้าท้อง และเท้า รวมทั้งดูความปกติของดวงตาและลิ้น เสร็จแล้วจึงให้คำแนะนำเกี่ยวกับวิธีใช้ชีวิตและการเลือกรับประทานอาหารที่เหมาะสมกับธาตุประจำตัวเพื่อรักษาสมดุลภายในร่างกาย
ตลอดระยะเวลา 3 วันของการเข้าโปรแกรม ดร.มาร์วาห์ขอร้องให้งดการใช้โทรศัพท์มือถือหรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เนื่องจากความถี่คลื่นส่งของอุปกรณ์เหล่านี้มีผลต่อระบบความสมดุลของร่างกายที่กำลังปรับตัวเอง หากจำเป็นต้องใช้โทรศัทพ์ก็ควรเปิดสปีกเกอร์โฟนพูดห่างๆ โทรทัศน์ดูได้แต่ขอให้เป็นรายการสาระเบาๆ
เมื่อครบโปรแกรมสามวันจึงทราบว่า วันแรกเธอราพิสต์ไม่สามารถไล่ 'เส้น' ที่คู่ไปกับกระดูกสันหลังได้ตลอด เหมือนเส้นที่อยู่ตรงช่วงหลังส่วนบนด้านขวาเคลื่อนออกไปจากแนว อาจเกิดจากการนั่งทำงานติดต่อกันเป็นเวลานานหรือนอนผิดท่า ส่วนระบบย่อยอาหารก็ตึงมาก
แพ็คเกจอายุรเวทสามวันสองคืนเปรียบเสมือนหลักสูตรเร่งรัดแบบเข้มข้นที่ทำให้ร่างกายได้เริ่มต้นปรับสู่สมดุล ดังนั้นมร.มาร์วาห์จึงแนะนำกึ่งขอร้องให้ผู้ผ่านโปรแกรม ลองปฎิบัติตัวกิน-อยู่แบบอายุรเวทให้ได้ 21 วันต่อเนื่อง แล้วลองสังเกตความเปลี่ยนแปลงดีๆ ที่จะเกิดขึ้นกับตนเองอีกครั้ง
“21 วันเป็นกลอุบายอย่างหนึ่ง อะไรก็ตามที่เราทำต่อเนื่อง 21 วัน จะกลายเป็นนิสัย” ดร.สุชาดา กล่าว
ดร.ราจีฟกล่าวเพิ่มเติมว่า คนเรามักรอให้เจ็บไข้ได้ป่วยก่อนแล้วจึงไปโรงพยาบาล แต่อายุรเวทช่วยเตรียมร่างกาย ป้องกันปัญหาที่ยังมองไม่เห็น เราทุกคนเคยเป็นเด็กเป็นวัยรุ่น แต่เมื่ออายุสี่สิบ เจ็ดสิบ จะปฎิบัติตัวเหมือนสมัยที่ยังเป็นเด็ก ย่อมเป็นไปไม่ได้ เมื่อร่างกายมีอายุมากขึ้น เราต้องมีวินัยมากขึ้น
อายุรเวทไม่ได้บอกว่าเมื่อเจ็บไข้ได้ป่วยแล้วไม่ต้องไปพบแพทย์ คุณยังคงต้องไปพบแพทย์แผนปัจจุบันผู้เชี่ยวชาญ แต่อายุรเวทช่วยให้เกิดการฉุกคิดว่าจะกินอย่างไร ใช้ชีวิตอย่างไร ใส่ใจสุขภาพมากขึ้น เพื่อรักษาสมดุลภายในร่างกาย
อาการเจ็บป่วยของคุณจะดีขึ้นหรือไม่ แพทย์เฉพาะทางจะเป็นผู้บอกได้จากการทดสอบในห้องแล็บที่ได้รับการรับรอง
แต่อายุรเวทช่วยให้ 'ความหวัง' ได้
Source: กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
ภาพ:
www.goodfoodgoodlife.in.th ขอบคุณค่ะ