collapse

ผู้เขียน หัวข้อ: ไขหลักจิตภาวะสัจธรรม ถ้อยแถลงจากผู้เรียบเรียง  (อ่าน 40395 ครั้ง)

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                                ไขหลักจิตภาวะสัจธรรม   

                    @   อนุตตรธรรม มนุษยธรรม ต่างกันอย่างไร ควรจะเริ่มอะไรก่อน

        ถ้าบำเพ็ญโดยเห็นความสำคัญของชีวิตจิตญาณ และการโปรดสัตว์ครั้งใหญ่ในยุคสามก็คืออนุตตรธรรม  ถ้าปฏิบัติดดยเห็นความสำคัญของคุณสัมพันธ์ระหว่างคนก็คือมนุษยธรรมของคนทั่วไป มนุษยธรรมเป็นกิ่งก้านสาขาของอนุตตรธรรม  ฉะนั้น ผู้บำเพ็ญอนุตตรธรรมจะต้องยืนหยัดให้มั่นคงในมนุษยธรรมเป็นจุดเริ่มต้น  กตัญญู  พี่น้องปรองดอง  จริงใจ  จงรัก  มีความสัตย์จริง  มีจริยะ  มโนธรรม  สุจริตฯ  รู้ละอาย  เป็นเรื่องสำคัญที่สุดของสามโลก  ฟ้าดินสอดส่องมองดูจิตใจและพฤติกรรมของคนอยู่ทุกเวลา หากไม่รู้จักกตัญญูต่อพ่อแม่บังเกิดเกล้า ไม่รู้จักรักสมัครสมานต่อพี่น้อง ไม่จริงใจต่อญาติเพื่อนฝูง ปากกับใจไม่ตรงกัน ไม่มีความสัตย์จริง ไม่มีจริยะมโนธรรม ขาดความสุจริต ไม่ละอายต่อความผิดบาป คนเช่นนี้บำเพ็ญไปก้ไร้ประโยชน์ เมื่อขาดมนุษยธรรม จะยังพูดถึงอนุตตรธรรมได้หรือ  ฉะนั้น  ผู้บำเพ็ญอนุตตรธรรม จึงพึงปฏิบัติมนุษยธรรมให้ดีที่สุดเสียก่อน ท่านจอมปราชญ์ขงจื้อกล่าวไว้ว่า "ศึกษาเบื้องล่าง บรรลุเบื้องบน" (ศึกษาความเป็นคน บรรลุอริยะ) เมื่อถึงพร้อมในมนุษยธรรม ก็ใกล้อนุตตรธรรมแล้ว

                    @   ปัญญาชนคืออย่างไร

        ปัญญาชนคือผู้รู้ มีแต่ผู้มีปัญญาเท่านั้นที่รู้ว่ามีวิถีอนุตตรธรรมให้บำเพ็ญได้ รู้ว่ามีอริยวิชาให้ศึกษาได้ รู้ว่ามีพระวิสุทธิอาจารย์ให้แสวงขอได้ รู้ว่ามีบุญให้ทำ รู้ว่ามีบาปให้สำนึกขอขมา และที่สุด รู้ว่ามีหนทางมาสู่โลกและพ้นโลกได้  วัฏจักรกงกรรม เช่น ท้องฟ้ามีตะวัน เช่นกลางคืนมีโคมไฟ เมื่อได้รู้ได้เห็น บาปบุญคุณโทษตอบสนอง ได้รู้ได้เห็นจิตแท้แห่งตนและสัจธรรมก็จะละชั่วมาสู่ดี ละบาปมาสู่บุญ เปลี่ยนทางผิดให้เป็นทางถูก  ผิดหลักความจริงไม่พูด  ผิดต่อธรรมะไม่ทำ  มิใช่ของตนไม่หยิบฉวย  มีความเที่ยงตรงทุกขณะ  จริงใจทุกเวลา  สร้างสมคุณงาม เชืดชูเกียรติประวัติให้คงชื่อไว้ว่าเป็นผู้มีปัญญา  รวมความว่า ให้มีแต่เมตตามโนธรรม พูดแต่คุณงามตั้งตนดี  อีกทั้งช่วยผู้อื่น บรรลุตน บรรลุท่าน เพื่อจุดหมายในอันที่จะทำให้ทุกคนบรรลุสู่เส้นทางอริยปราชญ์

                     @   คนโง่เขลาคืออย่างไร

        คนโง่คือคนเขลาเบาปัญญา  คนโง่เขลาจิตใจมืดมัว ใจมืดมัวจึงไม่รู้จักความสูงต่ำ ไม่รู้ว่ามีนรกสวรรค์ ไม่เชื่อว่ามีวัฏจักรชีววิถีหก รู้แต่โลภอยากสุรานารี ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ปรนเปรอปากท้องของตน ชั่วชีวิตน้อยใหญ่นับร้อยล้าน ผูกเวรจองกรรมนับชีวิตร้อยล้าน ต้องเกิดกายเวียนว่ายมาเจอกัน ขบเคี้ยวกินกันไม่มีวันจบสิ้นด้วยเหตุอะไร วัว ควาย ม้า แพะ แกะ สัตว์ต่าง ๆ ล้วนเป็นคนสนิทชิดเชื้อเครือญาติ ทั้งดีร้ายเกี่ยวกรรมกันมา ที่สุดเมื่อตกไปสู่วงเวียนกรรมเปลี่ยนโฉมหน้าเกิดมาเป็นเดรัจฉาน คนโง่เขลาจับเอามาฆ่ากิน ก็คือฆ่าพ่อแม่ของตนเอง กินเนื้อเครือญาติของตนเอง  พ่อถูกลูกฆ่า ในหนทางเวียนว่าย พ่อลูกไม่รู้จักกัน ฆ่ากันกินกันเรื่อยไปไม่มีสิ้นสุด พ้นจากกายสังขารเป็นคนแล้ว นานนับหมื่นกัปไม่กลับคืน เช่นนี้เรียกว่าคนโง่เขลา ดังนั้น  ท่านปราชญ์ซังเจี๋ย สร้างอักษรจีนคำว่าเนื้อ  จึงประกอบด้วยคนสองคนคร่ำทำลายกันอยู่ในวงแคบ ดังคำพังเพยที่ว่า "กินเขาแปดตำลึงจ่ายคืนหนึ่งชั่ง บัญชีหักล้างยังคือคนกินคน" ความหมายเป็นเช่นนี้

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                               ไขหลักจิตภาวะสัจธรรม   

                   @    คนหลงคืออย่างไร 

          คนหลงคือเลอะเลือนไม่กระจ่าง คนหลงจะอาวรณ์โลกีย์ จะโลภในสุรานารี ปล่อยอินทรีย์หกไปตามตัณหา หลงรูป  รส กลิ่น เสียง สัมผัส ธรรมารมณ์ ระเริงราคะจริต ชั่วช้าสามานย์ ผิดทำนองคลองธรรมมากมาย เพียงเพื่อความต้องการเฉพาะหน้า ไม่ห่วงความหายนะจะตามมา หลงหายจากสัจธรรม ติดตามแต่สิ่งนอกกาย อ่านพระธรรมคัมภีร์เสียเปล่าให้ผิดพระประสงค์ที่พระองค์ได้โปรด หันหลังให้สัมมาสติไปเข้ากับเหล่าโลกีย์ คนเช่นนี้แม้ได้ประสบอริยปราชญ์ก็ไม่อาจฉุดช่วยจะจมอยู่ในทะเลทุกข์ยาวนาน สิ้นสูญจิตแท้ตลอดไป เมื่อตกเข้าไปสู่วงเวียนกรรม หมื่นกัลป์ไม่กลับคืน เช่นนี้เรียกว่าคนหลง

                   @   คนรู้แจ้งคืออย่างไร

        คนรู้แจ้งคือคนมีสัมมาสติ   คนรู้แจ้งจะรู้ว่าจิตคนคือพุทธะ  จะชื่นชมธรรมะบำเพ็ญไม่ผิดในมโน วจี และกายกรรม หู ตา จมูก ลิ้น กาย ใจ สะอาดสงบ รู้จักเป็นผู้ให้ในอันการควรทุกเมื่อ ไม่แบ่งเขาแบ่งเรา ฉุดช่วยตนฉุดช่วยคนอื่นให้รู้แจ้งต่อธรรมะเยี่ยงเดียวกัน แม้จะใช้ชีวิตอยู่ในโลกวิตกวุ่นวาย แต่ก้เวียนมหาธรรมจักร แพร่ธรรมคำสอนแทนเบื้องบน เปลี่ยนนรกให้เป็นสวรรค์ ชี้คนหลงทางให้เห็นพุทธจิตตน ปฏิบัติพุทธกิจต่าง ๆ นำพาเวไนยฯให้หลุดพ้นบังเกิดมหาเมตตากรุณา ปฏิญาณว่าจะฉุดช่วย คนเช่นนี้เรียกว่าคนรู้แจ้ง

                   @   สร้างบาปเวรในวัยเยาว์ แก่เฒ่าได้บำเพ็ญ จะบรรลุหรือไม่

        ทะเลทุกข์กว้างใหญ่ไร้ขอบเขต แต่เมื่อหันหลังก็ขึ้นฝั่งได้ ชาวโลกแม้หากกลับใจ ตั้งปณิธานจะปฏิบัติบำเพ็ญ ละทิ้งสิ่งผิดมุ่งหาสิ่งถูกต้อง เปลี่ยนแปลงความชั่วไปสู่ความดี รักษาศีลกินเจ ได้กราบพระวิสุทธิอาจารย์ รับรู้หนทางตรงสัมมาปัญญา ไม่ว่าคนแก่หรือเล็กล้วนบรรลุได้ ดังคำกล่าวว่า "วางมีดที่คิดฆ่า ณ ตรงนั้น ฉับพลันก็บรรลุอรหันต์"  ท่านปราชญ์หันอุ๋นกง เริ่มศรัทธาต่อธรรมะเมื่อวัยชรา ในที่สุดก็บรรลุ ซึ่งเป็นตัวอย่างได้ในเรื่องนี้

                    @   ชั่วชีวิตถือศีลกินเจสร้างบุญกุศลต่าง ๆ แก่เฒ่ากลับเลิกเจทุศีลจะบรรลุไหม

        คนเช่นนี้แม้จะมีรากฐานบุญ แต่ไม่มีปณิธานความมุ่งมั่นยิ่งใหญ่ ไม่รู้แท้แน่ชัดในธาตุแท้ญาณตน  แต่ห่างไกลจากพระวิสุทธิอาจารย์ จึงทำให้เกิดวิปริต ละทิ้งบุญกุศลที่ทำมาก่อน โจรผู้ร้ายทั้งหก (หู ตา จมูก ปาก ลิ้น กาย ใจ)  กลับเข้ามายึดครองบ้าน ปล้นบุญกุศลเอาไป เมื่อหมดบุญวาสนาสูญสิ้นธรรมะสมบติ สุดท้ายก็ต้องจมลงในทะเลทุกข์ เวียนว่ายต่อไป จะบรรลุได้อย่างไร

                    @   ความรู้ความเข้าใจน้อย บำเพ็ญแล้วจะเพิ่มพูนหรือไม่

        อุตส่าห์เสริมสร้างบุญกุศล เพิ่มพูนปัญญาจากการทำจิตให้สงบเป็นใช้ได้ คนโบราณกล่าวว่า "สมถะเพื่อเสริมส่งใจมุ่งมั่น สงบใจเพื่อบรรลุหนทางไกล"  และกล่าวว่า "การศึกษาพึงอาศัยความสงบ ความรู้พึงศึกษา ไม่ศึกษาไม่อาจได้รู้ความ ไม่สงบใจ เรียนไม่สำเร็จ"  ผู้ผยองตนจึงไม่อาจเข้าถึงความลึกซึ้ง คนเจ้าเล่ห์ร้อนรนจึงไม่อาจพิจารณาด้วยเหตุผล หากเป็นความรู้ที่ได้มาด้วยความสงบ ความรู้และคุณงามจะดีพร้อม ผู้คงแก่เรียนทั้งหลายในโลก ด้วยเหตุใดจึงได้ข้อความและอรรถรสพิเศษจากการใช้อักษร นั่นเป็นเพราะหลังจากใจสว่างเห็นจิตภาวะตนแล้ว เหตุผลที่เขียนจึงเป็นหลักของพุทธะที่เขียนออกมาจากพุทธจิตนั่นเอง 

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
                            ไขหลักจิตภาวะสัจธรรม   

                    @   ผู้บำเพ็ญกลัวตายด้วยหรือไม่

        ชีวิตคนเราเมื่อมีมาก็ต้องมีไป ชายชาตรีเห็นความตายเหมือนกลับไปสู่ที่พัก การเกิดในวันนี้ คือจุดเริ่มต้นของการตายในวันข้างหน้า การตายในวันนี้คือจุดเริ่มต้นของการเกิดในวันข้างหน้า อินหยังมืดสว่างผันเวียน แม้อริยปราชญ์ก็ไม่อาจยกเว้น ฉะนั้น ผู้บำเพ็ญจึงเห็นคำว่า ตาย สำคัญที่สุด และไม่สำคัญที่สุดหมายความว่าอย่างไร  หากจะกล่าวว่าไม่กลัวตาย เราทำไมจึงต้องศึกษาธรรมะเพื่อชีวิตนิรันดร์ แต่หากว่ากลัวตายทำไมผู้บำเพ็ญเราจะลดละทางโลกไม่สนใจในความตาย ยิ่งกว่านั้น เมื่อบำเพ็ญวิถีอนุตตรธรรมแล้วจะพ้นเวียนว่ายตายเกิดได้ เช่นนี้แล้วยังจะเห็นความสำคัญของชีวิตสั้นยาวทางโลกอีกหรือ

                   @   "ใจคนหมิ่นเหม่ยิ่ง  ใจธรรมสุขุมยิ่ง วิเศษสุดจุดหนึ่ง น้อมรักษาตรงกลางให้มั่นคง" วจนะนี้เป็นวิถีแห่งจิต ที่ปิยะมหากษัตริย์เหยาซุ่นถ่ายทอดสืบต่อมา มีคำอธิบายดังนี้

        ใจคนหมิ่นเหม่ นั่นคือ คนเป็นหนึ่งในสามคุณ (ฟ้าเป็นคน แผ่นดินเป็นคุณ คนคือคุณ) คนมีสัจธรรมอันสมบูรณ์ เป็นสัตว์โลกที่วิเศษกว่าสัตว์อื่นใด ใจ คือศูนย์กลางของสรรพชีวิต เป็นหลักควบคุมสรรพสิ่ง หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ใจของคนคือวิญญาณขันธ์ ที่มีอารมณ์รับรู้ ผูกพัน กระเจิงไกล แปดเปื้อน ฯลฯ  ซึ่งเรียกว่าจิตที่มีจริตอันเกิดขึ้นเมื่อมาอยู่ในกายสังขารแล้ว จึงมีทั้งดีและไม่ดี  เมื่อวิญญาณขันธ์เป็นหลักคิดอ่าน ตัณหาอารมณ์ก็กอบก่อ ใจคนมีกึ่งภาวะอินกึ่งภาวะหยัง จึงดีก็ได้ชั่วก็ได้ ไม่เอียงก็เอน หากเอียงไปทางหยังก็จะฟุ้งซ่าน เอียงไปทางอินก็จะมืดมน ความฟุ้งซ่านมืดมนเป็นอันตรายไม่ปกติสุข จึงได้กล่าวว่า "ใจคนหมิ่นเหม่ยิ่ง" "ใจธรรมสุขุมยิ่ง"  ธรรมะเป็นต้นกำเนิดของฟ้าดิน ครอบคลุมสรรพสิ่ง เป็นจุดเริ่มต้นของสรรพสิ่ง ใจธรรมจึงเป็นปัญญา เป็นธาตุแท้ของชีวิต เป็นจิตแท้จริงอันสงบเยือกเย็นเป็นประภัสสร ที่กล่าวว่า เป็นสัจธรรมอันสมบูรณ์ คือเป็นอยู่อย่างนั้นเองในอนุตตรภาวะ ปราศจากดี ปราศจากไม่ดี  เป็นดวงปัญญาอันกลมใส เป็นธาตุแท้ญาณเดิมอันวิสุทธิ์สงบว่างเปล่า ไม่เกิด ไม่ดับ ไม่เพิ่มขึ้น ไม่ลดลง วิเศษลึกซึ้งแยบยลมิอาจประมาณการ จึงได้กล่าวว่า "ใจธรรมสุขุมยิ่ง"  วิเศษจุดหนึ่ง วิเศษสุดคือ ความสว่างอันวิสุทธิ์ จุดหนึ่ง คือ ศรัทธา สัจจริง คงที่  วิเศษสุด เป็นเครื่องกำจัดความมืดมน  จุดหนึ่ง เป็นเครื่องกำจัดความฟุ้งซ่าน ทั้งนี้ด้วยเหตุที่วิเศษสุดเป็นความสว่าง จุดหนึ่งเป็นศรัทธาแท้นั่นเอง  ปัญญาอันวิลาศล้ำเยือกเย็น เป็นปัญญาและสมาธิเนื่องกัน เป็นจิตสุขุมอันได้กำจัดตัณหาแล้วจนหมดสิ้น เปลี่ยนจากวิญญาณขันธ์เป็นสัมปชัญญะ เช่นนี้ความหมิ่นเหม่ก็จะปกติได้เอง ความสุขุมก็จะปรากฏได้เอง  ที่กล่าวว่า เมื่อสว่างกระจ่างแจ้งก็จะเกิดศรัทธา สัจจริงคงที่ เมื่อเกิดศรัทธา สัจจริง คงที่ ก็จะสว่างกระจ่างแจ้งนั้น รวมความง่าย ๆ ก็คือ เป็นคุณที่เกิดจากวิเศษสุดจุดหนึ่ง คือเก็บความฟุ้งซ่านกลับมาสู่สัจธรรม สว่างใสในความดีงามคือสู่ภาวะธาตุแท้แต่เดิมทีนั่นเอง น้อมรักษา  ตรง  กลาง  ให้มั่นคง    อวิ่นคือน้อมรับ    จื๋อคือรักษาคงมั่น   เจวี๋ยจงคือจิตอันวิลาศล้ำ   เป็นสูญญตาอันกว้างใหญ่ไพศาลมิอาจประมาณ เป็นความเล็กละเอียดอันไม่มีสิ่งใดแทรกซอนอยู่ได้ เป็นความมีอยู่อันวิเศษ ซึ่งไม่มีจุดเริ่มก่อนหน้าและไม่มีจุดจบในภายหลัง แผ่ไพศาลทั่วทั้งสามโลกทศทิศอันไร้ขอบเขต  นั่นคือสัจธรรมแห่งธรรมจักรวาล พูดง่าย ๆ ก็คือ น้อมรักษา ตรง  กลาง  มั่นคง  (อวิ่นจื๋อเจวี๋ยจง) หมายถึง น้อมรักษาสัมมาธรรมะ มั่นคงในสัจธรรมนั่นเอง  นี่คือวิถีแห่งจิต ที่อริยเจ้าถ่ายทอดจิตประทับจิต สืบต่อกันมาตั้งแต่ครั้งมหาปิยะกษัตริย์ ทั้งสาม  เหยา  ซุ่น  อวี่  เรื่อยไปจนถึง ทัง  อุ๋น  อู่  โจวกง  และจอมปราชญ์ขงจื้อ  เป็นสัจวิถีทั้งสามศาสนาร่วมเทิดทูนปฏิบัติ และถ่ายทอดสืบต่อมาโดยไม่เปลี่ยนแปลง สรุปคือ เป็นวิถีจิตประทับจิตโดยมิอาจคาดคำนึง  ถ่ายทอดแท้จริงตามลำดับพงศาธรรม ซึ่งมิให้จารึกอักขระปรากฏไว้  ดังเช่นในคัมภีร์วัชรญาณสูตร อันมีพระสุภูติทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า "สาธุชนชายหญิงอันได้บังเกิดโพธิจิตแล้ว จะรักษาไว้เสมอไปโดยไม่ถดถอยได้อย่างไรฤา แม้หากเกิดความฟุ้งซ่านจะกำราบใจได้อย่างไร"  "พึงหยุดลง  ณ   ตรงนี้   กำราบลง  ณ  ตรงนี้"  โพธิจิตหมายถึง จิตอันเป็นธรรมะ ผู้มีจิตความคิดฟุ้งซ่านคือใจคน  พึงกำราบและหยุดลง  ณ  ตรงนี้คือ  น้อมรักษา  ตรง  กลาง  ให้มั่นคงนั่นเอง

โลกอิน - หยัง             มืดสว่าง             ไม่ต่างกัน

ทุกชีวัน                      เกิดดับ               กับเหตุ - ผล

ยุติธรรม                      คือนัยน์ตา            ฟ้าเบื้องบน

แม้เส้นขน                    ไม่เลยละ              ปละปล่อยไป

                                                                     ~  จบเล่ม  ~   

Tags:
 

มหาปณิธาน

พระโพธิสัตว์กษิติครรภ์ (地藏王菩薩)

มหาปณิธานพระโพธิสัตว์กษิติครรภ์ (地藏王菩薩)

“...เพื่อหมู่สัตว์ทั้งหกภูมิผู้มีบาปทุกข์ ข้าพเจ้าจะใช้วิธีการต่างๆ ช่วยให้หลุดพ้นจนหมดสิ้น แล้วตัวข้าพเจ้าจึงจะสำเร็จพระพุทธมรรค”