collapse

ผู้เขียน หัวข้อ: พระวจนท่านผู้เฒ่าหวังเฟิ่งอี๋  (อ่าน 30531 ครั้ง)

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382
        เมื่อครั้งยังเยาว์วัยได้ยินญาติเพื่อนพ้องคุยกันเสมอว่าปู่กับพ่อของฉันล้วนเป็นคนร่ำเรียน ปู่ทวดของฉันได้ตั้งชื่อว่า"หนังสือธรรมะ" (ตู้อภิธรรมเคลื่อนที่ ) แต่ฉันไม่เคยได้เรียนหนังสือสักวันเดียว เรียกได้ว่า""บอดหนังสือ"" ต่อไปจะมีหน้าอะไรไปพบบรรพบุรุษในปรโลกได้ คิดถึงตรงนี้ฉันละอายใจนัก จึงได้ตั้งความมุ่งมั่นว่าจะยากจนข้นแค้นเพียงใด ฉันก็จะให้ลูกเรียนหนังสือให้ได้ลูกชายฉันจึงได้เข้าโรงเรียนตั้งแต่แปดขวบ (เร็วมากสำหรับคนสมัยนั้น) ฉลาด เรียนไว ได้รับคำชมจากครู
        ฉันเห็นคนแต่ก่อนคนภายหลังได้เล่าเรียนกันอย่างนี้แล้ว ฉันจะไม่ก่อตั้งโรงเรียนได้อย่างไร ฉันจึงตั้งจิตปณิธานต่อตนเองว่าฉันจะไม่เล่าเรียนไม่ได้ ตั้งแต่เมื่อฉันอายุสามสิบแปดปีเป็นต้นมา ฝึกพูดหนังสือธรรมะ ต่อมาได้รู้จักอักษรบางตัว ยังฝึกพูด(อ่าน)หนังสือธรรมะให้สาธุชนศึกษาคุณธรรมกัน คิดขึ้นมาแล้วเบิกบานใจแท้ เหล่านี้ล้วนเกิดได้จากการตั้งความมุ่งมั่น
        คนมักจะพูดว่า จะต้องมีกุศลมูลใหญ่ พลังใหญ่คืออย่างไรหรือ เมื่อยังเยาว์วัยฉันเป็นคนงานรับจ้าง ได้ยินเขาว่ามโนธรรม "สามก๊ก" ว่ากวนกงถูกจับเป็นเฉลยในค่ายโจโฉ ได้รับการเลี้ยงดูเอาใจให้เป็นพวกแตกวนกงจงรักภักดีมีมโนธรรมยิ่ง ก่อนจะหนีศรัตรูไปยังคิดว่า"" แม้ยังไม่ได้สร้างความดี (คืนสนอง) สักเล็กน้อยจะไม่ออกจากค่ายโจโฉ (ที่กักกันอย่างยกย่อง)""
        ฉันจึงตั้งจิตมุ่งมั่น "ไม่ว่าจะรับจ้างทำงานแก่บ้านใดแม้ยังมิได้สร้างความดี (คืนสนองนายจ้าง)จะไม่ออกจากค่ายโจโฉ (ที่กักกันทำงาน) เช่นกัน ตั้งจิตมุ่งมั่นก็คือ""กุศลมูลใหญ่""  บุคลากรใหญ่คือทำการใดจะต้องคิดว่าจะผลักดันความดีนี้ไปทั่วโลกได้ไหม ถ้าได้จะได้เผยแพร่หลายไปสู่ทุกคนทำเช่นนี้จึงเป็น""บุคลากรใหญ่"" แต่คนเดี๋ยวนี้ผิดพลาดที่เห็นอิทธิพลเป็นบุคลากรใหญ่ คิดผิดมหันต์
         เมื่อตอนที่ฉันอายุสามสิบห้าปี ก็รู้แล้วว่าโลกโลกียะจะถึงวาระสุดท้ายแล้ว ภายหน้าจะเป็นโลกโลกุตตระ สองโลกจะต่างกันมาก ผู้ที่ใส่ใจแต่ลูกเมียตน ก็คือคนในโลกโลกียะ ผู้ที่ไม่ใส่ใจส่วนตนแต่มุ่งทำเพื่อสวัสดิการส่วนรวมเท่านั้นจึงจะเป็นคนในโลกุตตระ เมื่อฉันอายุได้ยี่สิบเอ็ดปีรับจ้างทำงาน เห็นพี่น้องเขาแตกแยกครอบครัว ใช้อาวุธมีดพร้าจะเข่นฆ่าแย่งชิงสมบัติกัน ที่ถึงตายก็มี ฉันแอบคิดอยู่ในใจ พวกเขาแย่งชิงกันเพื่อใครหรือ ครุ่นคิดพิจารณาอยู่หนึ่งวัน ทันใดก็เข้าใจชัด อ้อ!!เขาแย่งชิงเพื่อลูกเมีย  ขณะที่คิดได้ ฉันกำลังหาบปุ๋ยมูล ฉันโยนหาบปุ๋ยลงบนกองมูล ตะโกนว่า"ฉันจะต้องเป็นคนพิเศษกว่าใครๆให้ได้ (ไม่แย่งชิง) เพื่อนร่วมงานที่หาบตามกันมาพากันค้อนฉัน เขาไม่รู้ว่าฉันกำลังกระอักใจเรื่องอะไร จนกระทั่งฉันอายุสามสิบแปดปี ไว้ทุกข์เฝ้าสุสานบิดาจึงพูดกับภรรยาว่า""จากนี้ไปฉันจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวเรื่องวุ่นวายทางบ้านของพวกเธออีกแล้ว""
         พอครบกำหนดวันเฝ้าสุสาน ฉันก็ทำหน้าที่ของฟ้าด้วย การพูดธรรมะเตือนใจให้ใฝ่ศึกษาเป็นกิจวัตร จนบัดนี้สามสิบปีผ่านมา  ที่อำเภอจิ่นซี หมู่บ้านเมิ่งเจีย  ทำการซ่อมแซมศาลบูชาจอมมารดาเมิ่ง มารดาของท่านปราชญ์เมิ่งจื่อ เป็นโครงการยิ่งใหญ่มโหฬาร ซ่อมสร้างเสร็จแล้ว ฉันไปเที่ยวชมปูชนียสถานนั้น ได้พบผู้จัดการศาลบูชาแห่งนี้ ท่านชื่อว่า เมิ่งเหล่าเฟิง ฉันน้อมคารวะท่านด้วยความเคารพยิ่ง (ที่ท่านแซ่สกุลเดียวกับท่านปราชญ์เมิ่งจื่อ ) ท่านเมิ่งเหล่าเฟิงไม่แยแส ฉันพูดด้วยก็ไม่ตอบ ออกจากศาลบูชา ฉันตั้งจิตมุ่งมั่นว่า"ถือดีว่าตระกูลเมิ่งของตนได้ให้กำเนิดอริยะ จึงวางท่ายโสโอหังดั่งนี้ ตระกูลแซ่หวังของเราไม่กำเนิดอริยบุคคลได้บ้างก็ให้มันรู้ไป" ฉันจึงตั้งความมุ่งมั่นจะเริ่มเรียนรู้ความเป็นอริยะให้ได้ คนรอบข้างยิ้มเยาะฉันว่า"จะตามทันหรือ (อายุมากไม่ได้เล่าเรียน) ฉันตอบว่า"ตามไม่ทันก็จะตาม ได้กี่ก้าวก็ยังดี"
         ฉันได้ยินเขาอรรถาคัมภีร์ทางสายกลาง (จง-อยง ) ประโยคหนึ่งว่า ""ผู้มีความกตัญญูนั้นสามารถยิ่งต่อการสืบสานจิตมุ่งมั่น สามารถยิ่งต่อการสาธยายปฏิปทาท่าน"" นั่นคือทำตามบรรพบุรุษตน ฉันว่าน่าจะขยายขอบข่ายไปถึง"ท่าน"อื่น ๆ ที่เป็นแบบอย่างด้วย ฉันได้ยินเรื่องราวที่"หยังเจี่ยวไอ สละชีวิตทั้งหมดให้" (ประวัติพิมพ์อยู่ในหนังสือ"ใครกำหนด"ชุดที่สี่ หน้า๗๑ ในเรื่องกัลยาณมิตร ) ฉันสืบสานจิตมุ่งมั่นนั้นไปช่วย นักบุญหยังป๋อ สหายธรรม ให้พ้นจากถูกจองจำ
          ฉันสาธยายเรื่องราวนี้ทำตามความจริงใจนี้ฉันจึงเปลี่ยนจากโง่เขลาเป็นสว่างปัญญา จิตมุ่งมั่นของอริยปราชญ์ใครจะสืบสานไม่ได้หรือไร สืบสานจิตมุ่งมั่นของอริยปราชญ์พระองค์ใด จะไม่ใช่ลูกกตัญญูหรือ (สืบสานทุกพระองค์ได้ไม่จำกัด)
          โลกยุคปัจจุบันพระพุทธสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั่วทุกสากลโลกล้วนอยู่ในโลกมนุษย์ มิได้หมายความว่ามาเกิดกาย แต่หมายความว่า"ใครจริงจังประกบอยู่กับจิตมุ่งมั่นเยี่ยงพระองค์ใดแสงญาณศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์นั้นก็จะประกบอยู่ในจิตญาณหรือมาถึงผู้นั้นอย่างจริงจัง ไม่ว่าพุทธะ อริยะ ปราชญ์ เมธี โพธิสัตว์
          เมื่อมีเหตุอันใดเราก็จะเรียนรู้ได้จากท่านนั้น พระองค์นั้น เหมือนเราเป็นตัวแทนแต่ละท่าน แต่ละพระองค์ ปราชญ์เมิ่งจื่อกล่าวไว้ว่า "ทุกคนล้วนเป็นอริยกษัตริย์เหยา - ซุ่น ได้) ก็คือบอกให้ทุกคนประกบญาณจริงจัง (ดั่งช่วงชิง)กับจิตมุ่งมั่นของอริยปราชญ์ สามัญชนไม่รู้จักจะช่วงชิงจิตมุ่งมั่นดังนี้ จึงต้องเป็นสามัญชนอยู่ตลอดกาล
          ลองถามตนเอง  ทั้งหมดนี้  มีสักกี่ข้อ  ที่เราทำได้
 
  :}  หมายเหตุท้ายเล่ม  
          ท่านเจิ้งจื่อตง  ผู้รวบรวมคติพจน์ของท่านนักบุญหวังเฟิ่งอี๋ ด้วยความซาบซึ้งเคารพรักยิ่ง เจริญรอยตามปฏิปทาอรรถาธรรมสืบต่อ สร้างโรงเรียนสงเคราะห์  สร้างสถานอภิบาลผู้สูงวัย  ท่านพูดเสมอว่า""จะอยู่กับธรรมะ ตายกับธรรมะ"" ปีหมินกั๋วที่ ๖๒ เดือน ๘ ท่านป่วยถูกสหายธรรมนำส่งโรงพยาบาล แพทย์ถามว่า "ท่านไม่สบายตรงใหน" ท่านตอบเรียบ ๆ อารมณ์ดีตามปกติว่า""ตั้งแต่ป่วยมา ไม่เพียงไม่รู้สึกว่าไม่สบาย ยังกลับมีความสุขจริง ๆ "" ว่าแล้วก็หัวเราะเบิกบาน ท่านตายกับธรรมะ ไม่มีใครโศรกเศร้าอาดูร สภาพของท่านเหมือนคนแก่ใจดีที่หลับสบาย
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 4/09/2553, 18:10 โดย jariya1204 »

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382

      ลูกชายคนที่สามคหบดีเฉิง ชื่อจิ่งเอี๋ยง เป็นโรคเกี่ยวกับตา ขณะที่เข้าฟังธรรมได้ยินข้าพูดว่า "ข้าดูโลกเรานี้น่าขำสิ้นดี ไม่บังคับกวดขันเมีย ก็บังคับกวดขันลูก และบังคับกวดขันแม้กระทั่งพี่ชายน้องชาย พี่สาวน้องสาว จนกระทั่งเพื่อนสนิท มิตรสหาย ขอให้มีความเกี่ยวข้องด้วยเท่านั้น ก็จะเข้าถือศิษย์บังคับกวดขัน แต่แปลกที่ไม่รู้จักบังคับกวดขันตัวเองบ้าง ทำราวกับว่า ตัวเองเท่านั้นที่อยู่ในสายตา เพราะตัวเองมิอาจบังคับความโกรธอารมณ์ตนได้ ยามโกรธตาก็โตแดงก่ำก็จะเริ่มปวดตา  ร้องเรียกหาบุพการี ถึงยามนี้จะบังคับตนก็บังคับไม่ได้อีกแล้ว จะบังคับไม่ให่เจ็บปวดก็ไม่ได้ ฉะนั้นคนที่มีธรรมแล้ว เขาจะรู้จักบังคับกวดขันตนก่อน ต้องบังคับไม่ให้อารมณ์ตนเองเกิดขึ้น จึงจะนับว่าเป็นคนดี
     คนปัจจุบันนี้ เพียงแค่กินเจก็ถือว่าตัวเองเป็นคนดี ซึ่งความเป็นจริงแล้วการกินเจหมายถึงเป็นไปโดยหลักธรรมชาติ เพราะเราไม่กินเขา เขาก็ไม่กินเรา จะมีคุณความดีอะไรที่น่าได้ ในเมื่อไม่กินสิ่งนั้น ก็คือเรากั้นกำแพงขวางสิ่งนั้นแล้ว เมื่อไม่กินเนื้อ ก็คือกั้นกำแพงขวางกั้นกับสัตว์เดรัจฉานแล้ว
    คำพูดนี้ที่บันดาลใจเฉิงจิ่งเอี๋ยง ทำให้ตัดสินใจกินเจ และติดตามเขาไปฝึกฝนปฏิบัติธรรม และต่อมาได้มาถึง  "เหอเป่ย บุกเบิกแปรเปลี่ยนสู่วัฒนธรรมที่ดีงาม และอาสาเป็นผู้บรรยายธรรมประจำที่ ธรรมศึกษาเทียนจิน ที่สุดก็เป็นครอบครัวที่มีคุณธรรมโดยสมบูรณ์แบบ
    บทแทรก  ธรรมศึกษาฮูหลัน
    เผยฉงเหวียน ชื่อเล่นเฮว่ยชิง ชาวฮูหลัน เป็นคนใจบุญชอบทำทานเมื่อถึงสิ้นปี ผู้เช่าทำนามาจ่ายข้าวเป็นค่าเช่า เขาก็จะต้อนรับขับสู้ยิ้มแย้มแจ่มใส และไม่เคยตรวจของเลยว่าค่าข้าวที่ให้มาครบหรือไม่ ดีหรือไม่ดี หากปีใดแห้งแล้งเก็บเกี่ยวไม่ได้ผล เขาก็จะยกเลิกค่าเช่าปีนั้น เมื่อถึงเทศกาลไหว้เจ้าปลายปี เขาก็จะนำเอาสัญญาเช่าออกมาเผา โดยไม่ดูว่า สัญญาเช่าฉบับใดยังมีผลหรือไม่
    เขาได้เปิดธรรมสถานขึ้นก่อน จากนั้นได้เป็นนายกสมาคมธรรมสถานนี้ เมื่อได้ข่าวว่าท่านหวังเปิดโรงเรียนธนนมสตรีขึ้น จึงไปร่วมสังเกตุการณ์ทั้งที่เมืองฟง และจี๋ สองแห่ง และต่อมาได้เปิดโรงเรียนธรรมสตรีที่ ฮูหลัน

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
  • กระทู้: 6,382

     ข้าใช้จางเจียอวนข่งเจ้อ ที่เต๋เเฮว่ย เป็นที่อบรมฝึกสอนในช่วงปิดเทอมเพื่อศึกษาพิเคราพห์หลักคุณสัมพันธ์ มีผู้เข้าร่วมฟังเต็มห้อง จนต้องแบ่งชั้นออกไปเป็น 4 มณฑล ที่ เย่อ ฟง จี๋ และ เฮวย ด้วยเหตุดังนี้ทำให้สมาคนการกุศลนี้ก็แพร่เข้าไปถึงหมู่บ้าน ข้ารับผิดชอบในการอบรมธรรมแห่งสตรี คนก็กระตือรือร้นเข้าฟังกันและนายกสมาคนที่ชื่อ ปี๋เฮว่ยชิเคยเป็นทหารมาก่อนเป็นคนมุทะลุเห็นว่าการอบรมของเราจะทำให้กระเทือนต่อความเจริญของสมาคม ก็สั่งคนมาจับข้าพร้อมกับประนามต่อหน้าว่า "เจ้าเป็นคนชาวนา คนป่า คนดง มีความรู้อะไรที่กล้าอวดดีมาก่อกวนสังคมของเรา ข้าไม่กำจัดเจ้าไป เป็นไม่ได้การ" พวกที่ติดตามข้าไป ต่างก็ไม่ยอม จึงเกิดการโต้เถียงกัน จนเกือบจะชกต่อยกัน ข้าก็ว่าต่างคนต่างมีความตั้งใจ น้ำในบ่อกับน้ำในแม้น้ำก็ไม่เกี่ยวกันอยู่แล้ว ต่างคนก็ต่างมีมุมมองแตกต่างกันไป ความเห็นก็ย่อมไม่เหมือนกัน เอาเป็นว่าต่างคนก็ต่างปฏิบัติตามทางของตนก็ดีแล้ว จะมาหาเรื่องกันทำไม เมื่อพูดจบก็เดินจากไปอย่างนอบน้อม
    นึกไม่ถึงสามวันให้หลัง นายกสมาคนปีี้ มาขอลุแก่โทษต่อข้า จากเรื่องนี้จะเห็นได้ว่า คนเราจะต้องมีจิตใจที่มั่นคง เมื่อเจอสิ่งยุ่งยากใจ จิตเราก็ไม่หวั่นไหว ก็จะเป็นที่บันดาลใจคนได้

Tags:
 

มหาปณิธาน

พระโพธิสัตว์กษิติครรภ์ (地藏王菩薩)

มหาปณิธานพระโพธิสัตว์กษิติครรภ์ (地藏王菩薩)

“...เพื่อหมู่สัตว์ทั้งหกภูมิผู้มีบาปทุกข์ ข้าพเจ้าจะใช้วิธีการต่างๆ ช่วยให้หลุดพ้นจนหมดสิ้น แล้วตัวข้าพเจ้าจึงจะสำเร็จพระพุทธมรรค”