collapse

ผู้เขียน หัวข้อ: พระอริยะ หวังเฟิ่งอี้ : บทแนะนำพระอริยหวัง  (อ่าน 7289 ครั้ง)

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                               พระอริยะ หวังเฟิ่งอี้   

                             บทแนะนำพระอริยหวัง

        พระอริยหวังเฟิ่งอี้ นาม ซู่ถง เป็นชาวเมืองเยิ่นเหอ เมืองเจาหยาง ตั้งแต่เด็กรับจ้างเป็นเด็กเลี้ยงวัว เมื่อเติบโตขึ้นรับจ้างทำงานขายแรงงาน เป็นผู้มีความกตัญญูกตเวทีมาแต่เล็ก ในหน้าที่แห่งการงานซื่อสัตย์และซื่อตรง อายุ 35 กล้าที่จะต่อสู้เพื่อผดุงธรรม จึงได้ช่วยลุงหยังอย่างไม่กลัวตาย คืนนั้นท่ามกลางความมืดในยามราตรีฟ้ากลับกลายสว่างจ้า ทำให้รู้แจ้งในธรรม จากนั้นก้เริ่มรักษาคนป่วย เตือนให้คนทำดี ฉุดช่วย แปรเปลี่ยนใจคนเปลี่ยนโลกทัศน์คน เป็นเวลานานถึงสี่สิบปี  มีบางคนเห็นคนประพฤติตัวไม่ดีก็เกิดโทสะ ซึ่งโดยความจริงแล้ว ถ้าไม่มีคนป่วยแล้ว จะมีหมอเพื่ออะไร ทำนองเดียวกัน หากไม่มีคนชั่ว คนบาปก้ไม่จำต้องมีพระศาสดาสอนธรรม และก็ไม่มีคนให้ฉุดช่วย เมื่อไม่มีคนให้ฉุดช่วยจะบรรลุธรรมได้อย่างไร มีคนถามว่า ศาสนาใดดี  ท่านก็ตอบว่าโลกเรานี้นับถือศาสนาทั้งห้า และทั้งห้าศาสนาก็ล้วนแล้วแต่เป็นจริง สำคัญต้อง เชื่อจริง  ทำจริง ก็จะเข้าถึงธรรมได้ พระศาสดาทั้งห้า ต่างก็ล้วนแล้วแต่ทรงไว้ซึ่งเมตตากรุณา ดำเนินอยู่ในวิถีธรรม จึงได้อุทิศพลีชีพเพื่อหน้าที่ทางธรรม เพื่อผดุงสัจธรรม ประจักษ์ชัดในธรรมญาณ หมดสิ้นความเห็นแก่ตน มีแต่ใจเพื่อปวงชน พระศาสดาแต่ละศาสนาต่างก็น้อมรับอดทนต่อความอัปยศที่คนให้ จึงไม่มีการแก่งแย่งแบ่งแยก จนใจว่าสานุศิษย์ล้วนไม่เข้าใจในความหมายแห่งพระศาสดาของตน จึงได้เกิดการแบ่งแยกพรรคแบ่งแยกพวกกัน จนเป็นที่น่าสังเวชนัก สานุศิษย์แห่งทุก ๆ ศาสนาพึงละได้แล้ว ในความคิดว่า ตนถูกคนอื่นผิด และแย่งแยกกันไม่มีที่สิ้น หากเป็นเช่นนี้ โลกเราไม่มีวันสงบสะอาดแน่ สานุศิษย์เอย !  หน้าที่ของพวกเจ้านั้นสำคัญและใหญ่หลวงยื่งนัก !  พระธรรมคำสอนแห่งทุก ๆ ศาสนาล้วนเป็นคำสอนที่เป็นสัจธรรม

พระเยซูเจ้า  ตรัสว่า     ล้างใจเปลี่ยนจิต             เภาวนาเป็นหนึ่ง

เหลาจื้อสอน            บำเพ็ญใจหลอมจิต          ผดุงเดิมสู่หนึ่ง

ขงจื้อสอน              เก็บใจบำรุงจิต                ถือตรงเป็นหนึ่ง

พระพุทธเจ้าตรัส       รู้แจ้งเห็นจิต                   สรรพสิ่งคืนหนึ่ง

พระอริยหวัง สอน     ตายใจเปลี่ยนจิต              ทุกศาสนาคืนหนึ่งเดียว

        หนึ่ง คือ ธรรมญาณ คนเราเมื่อตาย จะละทิ้งซึ่งชีวิต จิตญาณคืนสู่ฟ้า จึงจะเป็นการคืนสู่อย่างแท้จริง ฉะนั้น  จะเห็นได้ว่าคนเราเหมือนกันหมดเป็นคนเดียว  จึงไม่ควรที่จะแบ่งเขาแบ่งเรา ท่านอริยหวังจึงมักพูดเสมอว่า "มีคุณธรรมคือพระอริย เหมือนหลอดไฟมีมากเท่าไรยิ่งให้ความสว่างมากเท่านั้น                 
คนเรารู้ไม่แจ้งแทงตลอด จึงได้เกิดความฟุ้งซ่านหลายหลากกัน แข่งกันใหญ่ แข่งกันเก่ง อวดดีกัน และถือว่าเป็นการปกป้องธรรมกัน ทำให้หลงผิดพลาดหนทางบรรลุธรรมแห่งตน  เห็นหรือยังว่าน่าสงสารเพียงไร หากคิดอยาก รู้แจ้งธรรม ก็จำต้องศึกษาบทธรรมที่ท่านอริยหวังได้สอนไว้ในหนังสือเล่มนี้                 
                 
                   ใดใดในโลกล้วน                 อนิจจัง
                   คงแต่บาปบุญยัง                เที่ยงแท้
                   คือเงาติดตัวตรัง                 ตรึงแน่น   อยู่นา
                   ตามแต่บาปบุญแล้              ก่อเกื้อรักษา
                                                                         ลิขิตพระลอ   

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
พระอริยะ หวังเฟิ่งอี้ : คำนำ
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: 14/11/2011, 15:45 »
                            พระอริยะ หวังเฟิ่งอี้   

                                คำนำ

        โลกปัจจุบันเสื่อมโทรมถึงเพียงนี้ ผู้มีคุณธรรมย่อมร่ำไห้อาดูร สิ่งศักดิ์สิทธิ์โปรดลงในรูปแบบต่าง ๆ จะเป็นรูปจุติใหม่ หรือในรูปของการเข้าทรง หรือผ่านกะบะทราย โดยพยายามทุก ๆ วิถีทาง ผ่านทางหนังสือบ้าง  บทเพลงบ้าง  คำกลอนบ้าง ก็เพื่อหวังจะแปรเปลี่ยนใจคนทั้งสิ้น ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าได้ผลน้อย อนิจจา !  ที่สุดแล้ว ก็ยังมิอาจฉุดช่วยได้ ด้วยเหตุนี้เภทภัยที่อุบัติลง ก็เพื่อจะช่วยขจัดจิตญาณที่ดื้อรั้นเป็นการชะล้างสิ่งสกปรกสู่ความใสสะอาดเพียงเท่านั้นโดยไม่มีเจตนาอื่นแฝงใดเลย  ฉะนั้น จึงหวังว่าผู้ที่มีเมตตาธรรมทั้งหลายจะเกื้อกูลช่วยเหลือซึ่งกันและกัน มีหนึ่งแรงก็ให้หนึ่งแรง มีสองแรงก็ให้สองแรง ทุก ๆ คนควรจะร่วมใจช่วยกัน ถือบังเหียนนำนาวาธรรมนี้ให้รอดตลอดถึงฝั่ง ช่วยกันฉุดช่วยผู้หลงมัวเมาทั้งหลาย สิ่งศักดิ์ศิทธิ์ย่อมสนองผลบุญให้ แม้จะไม่ทันตาเห็น อาจจะให้กับลูกหลาน หรือไม่ก็ให้กับทางบรรพชน ไม่ต้องทนทุกข์ทรมานในยมโลกนั้น หรืออาจจะช่วยให้ไปเกิดในตระกูลมั่งคั่ง หรือไม่ก็อาจจะได้รับการเซ่นไหว้ เป็นเทพเป็นเทวดากราบไหว้กันสืบต่อไปทุกยุคทุกสมัย  หรือไม่ก็จุติ ณ แดนสุขาวดี  ผลตอบแทนนั้นมีแน่นอนอยู่ที่ช้าหรือเร็วเท่านั้น หวังว่าสาธุชนจะมานะบากบั่นกันช่วยกันฟันฝ่าไปให้ได้ จงละรูปมายา จงอย่าหลงมองแต่สิ่งที่ใกล้ตา  หัดมองภาพที่ไกลตาที่มองไม่เห็นนั้นกันบ้าง จึงนับได้ว่าเป็นผู้มีสติปัญญาจริง  ข้าเองก็มองเห็นความหยาบกร้านของมนุษย์ ที่ไม่คำนึงถึงคุณธรรม และเห็นแก่วัตถุธาตุเป็นสิ่งสำคัญ จะมองหาแบบฉบับที่ดีสักคนก็หายาก ได้แต่ตั้งใจว่า ตัวเองจะยืนหยัดจะยึดมั่นอยู่ใน "วิถีแห่งคุณธรรมเป็นหลัก"  โชคดีที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ฟ้าเบื้องบนได้โปรดประทานพรพิทักษ์ปกป้องและอุ้มชูมาตลอด ทำให้ได้ดำเนินอยู่บนวิถีที่ตั้งใจไว้ทุกย่างก้าว แม้จะก้าวไปด้วยความลำบากยากเย็น ก็ไม่เคยละ ห่างจากเป้าหมายที่ได้ตั้งไว้นั้น และเป็นผู้เปิดเผยเสมอมา  พอดีกับสภาวะปัจจุบันที่โลกประสบความทุกข์ยากถึงเพียงนี้ เหล่าสานุศิษย์ก็เห็นแก่ตัวระหกระเหินดำเนินชีวิตโดยไม่คำนึงถึงวิถีที่สืบทอดมานี้ ซึ่งทำให้มิอาจนิ่งดูดายต่อไป  ณ  สถานศิษย์ขงจื้อนี้  มีใจอยากเผยแพร่ "วิถีดำเนินตามธรรม" นี้  ทำให้ข้าฯ ได้มีโอกาสมากล่อมเกลาสาธุชนอีกครั้ง อันมิได้คาดคะเนมาก่อน หนังสือต้นฉบับเป็นภาษาเก่า ( ปักกิ่ง )  ค่อนข้างเข้าใจยาก จึงได้เปลี่ยนแปลงแก้ไขเป็นภาษากลางง่าย ๆ ที่เหมาะสมกับโลกปัจจุบัน ภาษาที่ใช้ก็ง่าย ๆ หวังว่าท่านผู้อ่านจะเข้าใจได้ง่าย ตามจุดประสงค์ แม้ไม่ใช้ภาษาที่วิจิตรพิศดาร หวังว่าท่านผู้มีเมตตา ผู้อาวุโส  จะให้อภัยกับความผิดพลาดที่มี พร้อมกับคำชี้แนะ ด้วยหวังว่าจะช่วยกันส่งเสริมให้ทุก ๆ คนได้อ่าน และช่วยกันจรรโลงความเป็นคนนี้ให้คงอยู่ เพื่อจะได้ผ่านพ้นผองภัยทั้งปวง

                                                     หมิงกั๋วปีวอก  เดือน 4  วันที่ 15 

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
พระอริยะ หวังเฟิ่งอี้ : บทนำ
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: 14/11/2011, 16:15 »
                        พระอริยะ หวังเฟิ่งอี้   

                              บทนำ

         หนังสือกล่อมเกลาฉุดช่วยสาธุชนมีมากล้น ต่างก็แฝงไว้ซึ่งนัยยะ ทั้งลึกกว้าง หากสาธุชนยอมตื่นขึ้นมาดู ก็เชื่อว่าสามารถจะฝึกฝนกล่อมเกลาจิตใจตนได้ และการที่จะแปรเปลี่ยนนิสัยตนนั้น  ย่อมต้องอาศัยการสนับสนุนอย่างมาก หนังสือหวังเฟิ่งอี๋เอี๋ยนสิงลู่  เป็นหนังสือบันทึกวัจนะคำสอนและการปฏิบัติแห่งข้า เมื่อครั้งยังดำรงชีพอยู่ในโลก เป็นหนังสือที่สมบูรณ์แบบด้วยหลักธรรมที่สืบทอด เป็นบันทึกที่ใช้ภาษาพื้น ๆ ภาษาพูดที่เข้าใจง่าย ตราบใดที่ภูผาไม่วัดกันที่สูงชัน วัดที่ความศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขา เมื่อนั้น นัยยะที่แฝงลึกล้ำนั้นมีอยู่   เมื่อครั้งมีชีวิต ข้าจะพร่ำสอนแต่หลักธรรม จึงได้ประจักษ์ชัดในญาณธรรม และถือเอาความสะดวกเอาจริง จึงได้ดื่มด่ำในรสธรรมที่ว่า ธรรมนั้นแท้อยู่ที่ตัวตน ไม่ต้องไปแสวงหาไกล  อยู่เบื้องหน้านี้เอง ชีวิตที่ดำรงอยู่นี้คือธรรม  และการดำรงชีวิตให้อยู่เป็นข้อสอบแห่งผู้บำเพ็ญธรรม ชีวิตที่ดรงอยู่ในแต่ละวัน โดยไม่ละเมิดขัดต่อ ธรรมญาณ  จึงจะนับได้ว่าเป็นคน มิฉะนั้น หากจะพูดถึงการบำเพ็ญตน  การบำราบตนแล้ว เสมือนหนึ่ง คนตาบอดพูดส่งเดช   ถังจงเซิ่นเต๋อเป้ากัว  ได้หาวิธีที่จะเผยแพร่ธรรม ตั้งปณิธานเจริญรอยตาม บันทึกที่หลากหลายแห่งพระอริยะ พร้อมทั้งใช้หนังสือเล่มนี้  เป็นการฝึกฝนตามแนวทางแห่งข้านี้  ซึ่งข้าเองก็รู้สึกซาบซึ้งใจ   เมื่อเจ้าคณะหยางจ้านหยู  ตั้งใจที่จะเผยแพร่หนังสือเล่มนี้  แต่หนังสือเล่มเก่านั้น ตัวหนังสือผิดพลาดมาก จึงต้องใช้เวลากว่าครึ่งปีในการแก้ไข เมื่อได้ตั้งจิตอธิษฐานเชิญข้ามา ข้าก็รีบลงมา ประการหนึ่งเพื่ออยากขอบใจ ที่ให้ข้าได้สืบทอดเผยแพร่ธรรมนี้อีก  ประการที่สองก็หวังว่า ผู้อ่านจะปฏิบัติตามคำสอนนี้ ทุก ๆ ท่านที่ได้อ่าน จะได้สามารถคืนกลับสู่ญาณเดิมนั้น

                                                    หวังเฟิ่งอี๋ฮูจื่อ

                                             ปีกุน  1972   เดือน  10  วันที่  15       

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                               พระอริยะ หวังเฟิ่งอี้   

                                    ตอนที่ 1 

                                   ชีวประวัติ

                                              การบำเพ็ญต้องถึงพร้อมความเป็นคน

                                              เข้าถึงญาณธรรมต้องหมดจดในกิเลส     

อย่าโทษไทท้าวท่วย        เทวา

อย่าโทษสถานภูผา          ย่านกว้าง

อย่าโทษหมู่วงศา            มิตรญาติ

โทษแต่กรรมเองสร้าง       ส่งให้เป็นเอง
                                                    ( โคลงโลกนิมิต )

                                              ความสุขสบายที่เหนือสิ่งใด คือ สุขสบายจากการเสียสละ

                                                  การเสียสละที่ยิ่งใหญ่ คือ เสียสละความสุขสบาย   

        หวังเฟิ่งอี๋ คนใจบุญ ถือกำเนิดในรัชสมัยเซง ปี ถงตี้ ที่ 3 ปีชวด วันที่ 3  เดือน 10  เวลายามหนึ่ง ชื่อเดิมตอนเด็ก  "ซุ่ถง"  มีฉายาว่า "เฟิ่งอี๋" มณฑลเยิ่นเหอ อำเภอเจาหยาง  ห่างจากตัวเมืองไป 150 ลี้  เมือง เหวินหมิงซันเฉียน  หมู่บ้านซู่หลิน  บิดาชื่อ "ชิงหัว"  มารดาชื่อ "หลี่ซวื่ิอ"  มีพี่น้อง 4 คน  ท่านเองเป็นคนที่ 2  ที่หมู่บ้านนี้ เป็นหมู่บ้านทุรกันดารแห้งแล้ง  สกุลหวัง แม้จะมีที่ดินทำกิน  2  ไร่กว่า ๆ แต่เป็นที่ดินแห้งแล้งทุรกันดารฉะนั้นผลเก็บเกี่ยวจึงไม่พอเพียง ที่จะเลี้ยงดูคนทั้งบ้าน ลูกทั้ง 4 คน  มักจะไม่ใส่เสื้อผ้ายามฤดูร้อน ด้วยเพื่อจะคลายร้อน แต่อีกประการหนึ่งเพื่อต้องการประหยัด เมื่อเจริญวัยขึ้นดูไม่ค่อยเหมาะสม  จึงทำเสื้อที่คาดเอวและพุง ( เอี้ยม )  ให้ใส่เพื่อไม่น่าเกลียด แต่น้องสามและสี่คน ก้อยากได้ ผู้เป็นแม่ก้ไม่ทำให้  จึงเกิดการอาละวาดกันขึ้น "ซู่ถง"  ก็พูดกับแม่ว่า " ลูกไม่อยากใส่เสื้อตัวนี้  แม่ให้น้องไปเถอะ"  พร้อมกับแอบตั้งใจว่า จะไม่ใส่เสื้อตัวนี้เด็ดขาดเพราะเสื้อตัวน้เอง ที่ทำให้แม่ต้องหลั่งน้ำตาด้วยทำใจได้ยาก จะเห็นได้ว่า ความกตัญญูนี้ มีมาแต่เล็ก         

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                            พระอริยะ หวังเฟิ่งอี้   

                                ตอนที่ 2

                              เลี้ยงควาย

        เมื่อซู่ถง  อายุได้ 14 ปี  ไปทำงานเลี้ยงควาย  เพื่อหวังจะหารายได้มาจุนเจือครอบครัวบ้าง อีกทั้งยังเป็นการลดค่าใช้จ่ายในบ้านด้วย จึงไปทำงานให้กับ บ้าน สกุลหวังซู่เต๋อ  ในหมู่บ้านนั้นเอง  เมื่อเข้ารับงานซู่เต๋อ ก็สั่งไว้ว่า ""เมื่อแต่ละวันต้อนควายขึ้นเขาไปหาหญ้ากิน  ให้กินน้ำ  และจะต้องคอยดูแลไม่ให้ไประรานที่นาของชาวบ้านด้วย ตกเย็นต้อนวัวเข้าคอกแล้ว ต้องจุดไฟเตาใต้ที่นอน ทั้ง 12 แห่ง  ดูแลเล้าไก่  เล้าหมู คอกวัวให้เรียบร้อย  ( ภูมิอากาศทางเหนือนี้  ปักกิ่ง หนาวมาก จึงต้องจุดเตาไฟใต้ที่นอนกัน)  ในวันแรกที่เริ่มงานนั้น เมื่อต้อนวัวขึ้นเขา เห็นว่าเด็กเลี้ยงวัวคนอื่น ๆ เมื่อต้อนวัวให้กินหญ้า ก้ปล่อยให้กินตามมีตามเกิด ไม่ว่า ณ ที่ตรงนั้นจะมีหญ้าให้กินหรือไม่ ทั้งยังขีดวงกลมให้อยู่ในวงกลมนั้น ถ้าออกนอกวงไปก็เฆี่ยน มีบางตัวที่ถูกเฆี่ยนถลอกบางตัวก็ขาหัก บางตัวถูกเฆี่ยนเป็นแผลเน่าเปื่อยเรื้อรังเป็นโรค กินก็ไม่อิ่ม  ซู่ถงเห็นเช่นนี้แล้ว ก็ให้นึกสงสาร จึงไม่เข้าวงร่วมกับเด็กเลี้ยงวัวควายอื่น ๆ  จะต้อนไปยังหญ้าเขียวชอุ่ม  ปล่อยให้วัวควายกินหญ้า กินน้ำ อิ่มหนำสำราญ และเมื่อเห็นกินน้ำกันอิ่มแล้ว ก็จะต้อนขึ้นจากน้ำไม่ให้นอนแช่ เพราะเกรงว่าจะไม่สบาย วัวควายแต่ละตัวจึงอ้วนพี  แข็งแรง  เมื่อวัวคลอดลูก ก็จะดูแลให้ความอบอุ่น  เอาไปเลี้ยงดูใกล้ชิด  กลางคืนให้นอนในห้องคนงาน เพราะเกรงว่าลูกวัวจะหนาวตาย  ฉะนั้น ลูกวัวที่ซู่ถงเลี้ยง แต่ละตัวจึงแข็งแรง อ้วนพี  ซู่ถง จะตระหนักดีเสมอว่า ก็เพราะมีวัวควายเหล่านี้ เราจึงมีงานทำมีที่กิน มีที่นอน  ถ้าไม่ดูแลพวกนี้ให้ดีดีแล้ว ก็จะแล้งน้ำใจกันเกินไป   แม้ในยามที่จุดไฟเตาทั้ง 12  แห่ง  ก็จะตรวจสอบเสมอดูทิศทางลม หากคืนไหนหนาวมาก ก็จะเพิ่มไฟแรง คืนไหนไม่หนาวมาก ก็จะหรี่ไฟ  คนชราก็จะดูไฟให้แรง คอยดูลมเย็นไม่ให้พัดมาปะทะกับไฟในเตา สิ่งใดที่เจ้านายสั่ง ก็จะทำครบบริบูรณ์ทุกอย่าง อย่างสุดกำลังและเต็มใจ  ไม่เป็นที่ผิดหวังของเจ้านายเลย  ซึ่งนายก็จะชมเสมอว่า "ซู่ถง  ซื่อสัตย์เช่นนี้ ต่อไปภายภาคหน้าจะได้ดีเป็นแน่"     

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                            พระอริยะ หวังเฟิ่งอี้   

                                ตอนที่ 3

                             ความกตัญญู

        เมื่ออายุ  15  ก็ยังคงเลี้ยงวัวอยู่ แต่ละปีที่ถึงคราวกลับไปเยี่ยมบ้านครั้งใด  แม่ก็มักจะทำอาหารดี ๆ ไว้ให้กินเสมอ และพูดว่า "ซู่ถง ของดี ๆ เหล่านี้ แม่เก็บไว้ให้เจ้ากินโดยเฉพาะ  ลูกกินเสีย"  ซู่ถงก็จะพูดกับแม่ว่า  "แม่จ๋า  ของดี ๆ เหล่านี้ ที่บ้านนั้นเขามีให้ลูกกินเสมอ ๆ ลูกกินอิ่มมาแล้ว กินไม่ไหวหรอกแม่เก็บไว้ให้น้องกินเถอะ คำพูดเช่นนี้ ก็เพื่อที่จะปลอบใจผู้เป็นแม่ เพราะแม่มักจะห่วงว่า ซู๋ถงอายุน้อย อยู่นอกบ้านคงไม่ได้กินอิ่ม นอนก็คงไม่พอ ซู่ถงแม้อายุจะน้อยก็เข้าใจในความคิดนี้ของแม่ดี จึงพูดเพื่อให้แม่สบายใจ  ซู่ถงรู้ดีว่า บ้านยากจน คนก็มาก  พี่น้องต้องแบ่งปันกันใช้แบ่งปันกันกิน ต่างก็ต้องการรองเท้าใหม่ ซึ่งซู่ถงก็มักจะเสียสละให้น้องเสมอ โดยมักจะเกล้งพูดว่า "ไม่ชอบบ้าง ไม่อยากใส่บ้าง เช่นครั้งหนึ่ง  เจ้านาย  "ซู่เต๋อ"  ใช้ให้ซู่ถงเอาของขวัญไปให้ญาติ  ซู่ถงก็คิดว่าควรจะแต่งตัวให้เรียบร้อยใส่รองเท้าด้วย คิดจะไปบ้านยืมรองเท้าพี่หรือน้องมาใส่ แต่คิดอีกที ไม่รู้ว่าจะทำให้แม่คิดมากหรือไม่ จึงตัดสินใจไปเท้าเปล่าดีกว่า  วันต่อมาเมื่อกลับบ้านเล่าให้แม่ฟัง แม่พูดว่า "ลูกอย่าคิดว่าจะทำให้แม่คิดมาก ลูกทำแบบนี้ยิ่งจะทำให้แม่คิดมาก ที่ที่เจ้าไปนั้น ก็เป็นหมู่บ้านของญาติ เราเมื่อญาติ ๆ เขาเห็นลูกไปเท้าเปล่า ไม่ใส่รองเท้า เขาก็จะหัวเราะเยาะเอาว่า บ้านเราขัดสนถึงเพียงนี้เชียวหรือ และนี่ยิ่งไม่ทำให้แม่ไม่สบายใจหรอกหรือ ซู่ถงจึงรู้ว่าตนเองคิดผิดเสียแล้ว ในปีเดียวกันนั้นเอง วันหนึ่ง ไม่ต้องไปทำงานกลับมาอยู่บ้าน ช่วยพ่อแม่ทำนา เมื่อพ่อลูกทำนาด้วยกันก็คุยกันไป พ่อพูดขึ้นว่า "หมู่บ้านเจาหยางนี้ ถ้าแต่ละคนมีที่ทำกินคนละ 5 ไร่  ก็ถือว่าเพียงพอที่จะยังชีพได้แล้ว" ขณะนั้นซู่ถงก็ตั้งใจไว้แล้วว่า แม้ต่อไปในภายภาคหน้าจะมั่งมีขึ้น ก็จะไม่โลภเป็นอันขาด จะทำตามคำของพ่อที่ว่านี้  เมื่ออายุ 16 ก็เปลี่ยนงานทำ  จากเด็กเลี้ยงวัวมาเป็นคนงานรับจ้าง อยู่กับเจ้านายคนใหม่ เจ้านายใหม่นี้เป็นคนดี หัวห้าคนงานก็ดี แต่ทว่ามีคนงานมาก และมีคนหนึ่งเกเร  เห็นซู่ถงเป็นคนซื่อ ก็มักจะรังแกอยู่เนือง ๆ ซู่ถงก็ไม่ใส่ใจ อยู่มาวันหนึ่ง คนงานคนหนึ่งร่างกายกำยำแข็งแรง พูดขึ้นว่า ""ซู่ถง" นายเป็นคนดีเกินไป ออกไปข้างนอกก็ต้องถูกเขารังแกข่มเหงแน่ อย่ากลัวไปเลย สู้เขา คนเลว ๆ พรรค์นั้น ถ้ามันรังแกอีกสู้ไปเลย ข้าจะอยู่ช่วย" ซู่ถงได้ฟังก็หัวเราะตอบว่า "ข้าก็ไม่ใช่คนขี้ขลาด เพียงแต่จากบ้านมาทำงาน แม่ก็เป็นห่วงอยู่แล้ว หากมีเรื่องชกต่อยกันอีก เข้าหูแม่เมื่อไร พ่อแม่ก็ต้องเป็นห่วงเป็นใย เกรงแต่ว่าแม่จะวิตกทุกข์และพาลไม่สลายไปเท่านั้น"  เมื่อคนที่ชอบระรานนั้นได้ยินเข้า ก็ไม่เคยแกล้งซู่ถงอีกเลย 

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                          พระอริยะ หวังเฟิ่งอี้   

                               ตอนที่ 4

                      ปัญญาและความอดทน

        เมื่ออายุ 17 ก็ได้เปลี่ยนงานอยู่กับเจ้านายคนใหม่  คืนนั้น ขณะที่เก็บของเพื่อเข้างานใหม่ในวันรุ่งขึ้น ก็คิดว่าเมื่อไปบ้านเจ้านายคนใหม่ ต้องดูใจและดูความเป็นไปของบ้านนั้นให้ดี ๆ ดูซิว่าจะเป็นคนดีมีน้ำใจหรือไม่ เข้าของวางอย่างไร เราก็น่าจะรู้ได้ว่าเจ้าของเป็นคนอย่างไร เป็นคนรักความสะอาดเรียบร้อยเราก็จะทำงานด้วยความตั้งใจ ให้เรียบร้อย แต่ถ้าเป็นคนมะโนสาเร่ ไม่เรียบร้อย เราก็ต้องช่วยจัดวางข้าวของให้เข้าที่เข้าทางให้เรียบร้อย  หากใน "สวนปุ๋ยวางระเกะระกะ ก้แสดงว่าเจ้านายเป็นคนรีบร้อน หากเรามัวจะรักษาความสะอาดสะอ้านก็จะไม้ทันใจดั่งที่ว่า "คำกล่าวกันว่า "ทำงานหากไม่ถูกใจเจ้านาย ทำจนตายก็ไม่เห็นคุณความดี"  คำพูดนี้เป็นจริงทีเดียว เมื่อเราจะเข้า "งานใหม่ก็ต้องให้รู้ใจเจ้านายก่อน จึงจะทำงานได้ถูกใจ เมื่อได้คิดไตร่ตรองถึงสิ่งเหล่านี้แล้ว ก้ผลอยหลับไป  เมื่อเข้าทำงานใหม่ ก็ทำตามที่นายสั่งทุกประการ จนเป็นที่พอใจของนาย ฤดูใบไม่ผลิผ่านไปเข้าสู่ฤดูร้อน ฤดูใบไม้ร่วงแล้วฤดูหนาว  เจ้านายปลูกผักกาดขาวไว้เป็นจำนวนมาก วันหนึ่ง ซู่ถง รดน้ำผผักตั้งแต่เช้าถึงค่ำ เจ้านายก็ยังไม่บอกให้พัก ซู่ถงจึงถามว่า ใช้ได้หรือยังนาย ก็ว่ารดไปเลยทั้งคืน พอถึงเช้าเอาไปขาย จะได้นำหนักมาก ซู่ถงคิดว่า  "การที่จะให้เรารดน้ำทั้งคืน เพื่อหวังให้ผักกาดขาวอมน้ำ จะได้น้ำหนักมาก แสดงว่าคิดไม่ซื่อ จึงไม่ยอมทำตาม  และคิดวางแผนใช้มีดสั้นตัดเชือกที่เสาถังน้ำขึ้นจากบ่อขาด จงใจให้ถังตกลงไป เมื่อถังตกส่งเสียงดัง จมลงไปในบ่อน้ำนั้น  นายจ้างได้ยินเสียงโครมครามก็ถามว่า เกิดอะไรขึ้น ถังตกลงไปในบ่อหรือ  ซู่ถงบอกว่า ใช่  นายจ้างก้เลยพูดว่า "ถ้าเช่นนั้น รอพรุ่งนี้เช้าค่อยรดแล้วนี่ก็ค่ำมืดมาก มองก็มองไม่เห็น ไปนอนกันเถอะ"  ซู่ถงก็คิว่า นายจ้างคิดได้ก็ยังถือว่ามีคุณธรรมอยู่บ้าง  อายุ 18  ไปทำงาน "อี้ซัน"  กับนายช่างหิน เป็นงานชั่วคราว ภรรยาของนายช่างหินนั้นได้ชื่อว่า  ยอดสกปรก  จึงจ้างไม่มีแรงงาน แม้จะจ้างมาได้ ทำไปไม่กี่วันก็ออก จะว่าจ้างได้ก็ประเภทชั่วคราวเท่านั้น  และต้องจ่ายค่าจ้างแพงด้วย  ซู่ถงต้องการสะสมเงินอยู่แล้ว ถึงได้มาสมัครทำงานนี้  ซึ่งพวกที่รู้ต่างก็ช่วยกันห้ามปราม แต่ซู่ถงว่า ไม่ว่าอะไรจะเกิดก็จะทำงานนี้ให้ลุล่วงไป จะไม่เหมือนคนอื่น ๆ ที่หนีออกไปครึ่ง ๆ กลาง ๆ  วันแรกที่ทำงานก็เห็นแล้วว่าโสโครกนัก ทั้งหม้อและเตา ดูไม่เป็นหม้อเป็นเตา ดูออกว่าคงจะไม่เคยผ่านการชะล้างมาตลอดปี  แม้แต่น้ำก็ยังมีกลิ่นเหม็น มีลูกเล็กอีก 3 คน  ถ่ายเรี่ยราดทั้งหนักทั้งเบา เมื่อถึงเวลาอาหารที่คนงานกลับมากินอาหารกัน นางก็สุดแล้วแต่จะคว้าอะไรได้ก็เอามาปิดกองที่ลูกถ่ายไว้นั้น รอจนคนงานกินเสร็จออกไป ก้เรียกหมามากินกองที่ลูกถ่ายไว้นั้น ซึ่งจะส่งกลิ่นเหม็นโซยออกมา คนงานจะกินข้าวไม่ลง ผ่านไปสามวัน ซู่ถงซึ่งไม่เคยได้กินสักมื้อ ก็ตั้งใจว่า ขณะที่กินจะไม่ไปมอง จะไม่สูดกลิ่นและจะไม่รับรู้กลิ่นนั้น เกิดคิดไปอีกว่า ถ้าตัวเองมีเมียเช่นนี้ จะทำอย่างไรดี  ในสภาพเช่นที่ว่านี้ จะทำอย่างไร  ในสภาพเช่นที่ว่านี้ ซู่ถงก็อดทนทำต่อไปจนครบสามเดือนตามสัญญา แต่ละวันก็จะต้องกินข้าวในสภาพเช่นนั้น ไม่กินก็ไม่มีเรี่ยวแรง แม้แต่นายจ้างเองยังพูดขึ้นว่า  "คนงานเช่นนี้หาไม่ได้อีกแล้วในโลก"ต่างก็นับถือความอดทนของซู่ถงมาก เมื่อเป็นที่กล่าวขวัญถึง ทุกคนก็อยากว่าจ้างซู่ถงทั้งนั้น

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
พระอริยะ หวังเฟิ่งอี้ เล่ม ๑ : สารบัญ
« ตอบกลับ #7 เมื่อ: 9/04/2012, 08:37 »
                                 พระอริยะ หวังเฟิ่งอี้

                                       เล่ม  ๑ 

                                     สารบัญ

ตอนที่  1   ชีวประวัติ
ตอนที่  2   เลี้ยงควาย
ตอนที่  3   กตัญญู
ตอนที่  4   ปัญญาและความอดทน
ตอนที่  5   เผยแพร่เมตตาธรรม
ตอนที่  6   ความพยายาม
ตอนที่  7   แต่งงาน
ตอนที่  8   แม่เสียชีวิต
ตอนที่  9   ตั้งมั่น
ตอนที่  10   รับความอัปยศอดสู  ดำรงใจมั่น

ตอนที่  11   เจริญรอยตามฟ่านกงฮว่าจู้
ตอนที่  12   แสวงหาแต่สิ่งดี
ตอนที่  13   พี่น้องแบ่งสมบัติ
ตอนที่  14   ตั้งใจจะไม่เล่นการพนัน
ตอนที่  15   ถกธรรม
ตอนที่  16   ญาติสิ้นชีพ
ตอนที่  17   ตัดสินใจ
ตอนที่  18   รับเลี้ยงปู่
ตอนที่  19   ถูกฟ้องร้อง
ตอนที่  20   คำสาธกขณะพรวนดิน

ตอนที่่  21   บรรลุความตั้งใจแม่
ตอนที่  22   บรรลุธรรมแห่งพี่น้อง
ตอนที่  23   นำภรรยาสู่ความกตัญญู
ตอนที่  24   หน้าที่
ตอนที่  25   รักสรรพสิ่ง
ตอนที่  26   สอนวัว
ตอนที่  27   รักษาฝี
ตอนที่  28   ดำเนินตามธรรมะแห่งกษัตริย์และขุนนาง
ตอนที่  29   เพื่อคนก็คือเพื่อตน
ตอนที่  30   ไม่อายที่จะถาม

ตอนที่  31   ช่วยโรงเรียน
ตอนที่  32   ปู่เสียชีวิต
ตอนที่  33   สงเคราะห์พงศ์พันธุ์
ตอนที่  34   หายจากโรคเรื้อรัง
ตอนที่  35   เบื่อโลกอยากตาย
ตอนที่  36   เพราะช่วยลูกหยัง  จึงได้ญาณวิเศษ
ตอนที่  37   ช่วยลุงหยังพ้นโทษ
ตอนที่  38   ฝึกช่วยบรรยายธรรม
ตอนที่  39   ไม่ยอมรับโทษ
ตอนที่  40   วิเคราะห์โรคซิ่วใจ๋  พร้อมวางระเบียบในบ้าน

ตอนที่  41   ชี้หลักธรรมบำบัดโรค
ตอนที่  42   วิเคราะห์โรคประหลาด
ตอนที่  43   ตั่งมั่นเจริญรอยอริยปราชญ์
ตอนที่  44   ส่งเสริมคนสู่ความกตัญญู
ตอนที่  45   เฝ้าหลุมฝังศพพ่อ
ตอนที่  46   เฝ้าญาณทะลุไตรภูมิ
ตอนที่  47   รู้เกิด - ตาย
ตอนที่  48   โองการโปรดลง
ตอนที่  49   เทพสดุดี
ตอนที่  50   ช่วยอาสะใภ้อยู่กันพร้อมหน้า

ตอนที่  51   วิเคราะห์โรคอาหญิง
ตอนที่  52   ดัดนิสัยพงศ์พันธุ์
ตอนที่  53   ฟ้าหนุนคนดี  ลงโทษคนชั่ว
ตอนที่  54   เวทนาอยากช่วยญาติสะใภ้
ตอนที่  55   สอนธรรมลูกสะใภ้
ตอนที่  56   ฉุดช่วยภรรยาเห็นญาณธรรม
ตอนที่  57   เตือนหลี่จื้อเหอ ถือธรรมแห่งพี่น้อง
ตอนที่  58   ครบกำหนดเฝ้าสุสาน
ตอนที่  59   หงเอี้ยหลิ่งเจาถัน
ตอนที่  60   จ้าวผิ่นซันขี้โรค

ตอนที่  61   ยอมคน
ตอนที่  62   การให้อภัยต่อกัน
ตอนที่  63   กล่อมญาติให้ปรองดองต่อกัน
ตอนที่  64   ช่วยคนขอลูก
ตอนที่  65   ส่งฮูหยินไปเข้าเรียน
ตอนที่  66   คุณหญิงนายพลให้ทำนายชะตา
ตอนที่  67   รองรับอารมณ์  ยังสุขสบายใจ
ตอนที่  68   บรรเทาทุกข์  ช่วยคนยากไร้ถูกลงโทษ
ตอนที่  69   ทดลองสร้างโรงเรียนธรรมสตรี
ตอนที่  70   ดลใจคุณหญิงเหอ

ตอนที่  71   สอนลูก
ตอนที่  72   โรงเรียนธรรมสตรีหยังซิงตุน
ตอนที่  73   จ้าวสือเขว่ยถกธรรม
ตอนที่  74   ความมุ่งมั่นบรรดาลผล
ตอนที่  75   ความรุ่งเรืองแห่งโรงเรียนธรรมสตรี
ตอนที่  76   ชี้แนะครูสตรี
ตอนที่  77   ถูกตรวจค้น
ตอนที่  78   โรงรับจำนำหย่งซิ่งที่หยังซันเจวิ้นล้มละลาย
ตอนที่  79   เรียกหุ้นเปิดโรงรับจำนำซั่นเต๋อ
ตอนที่  80   เลิกกิจการซั่นเต๋อ

ตอนที่  81   หลิวจิ้งหมิงอุทิศบ้านช่วยเพื่อน
ตอนที่  82   อุทิศตนเพื่อคน
ตอนที่  83   เผยแพร่ไปตงซันเสิ่ง  สอนคนทำดีและเล่าเรียน
ตอนที่  84   รักษาโรคหวังซู่เฉวิน
ตอนที่  85   วิธีรักษา
ตอนที่  86   อธิบาย  กุศล  บุญ  คุณธรรม
ตอนที่  87   โรงเรียนธรรมสตรี  โจวเจิ้งเป้า ที่ไห่เฉิง
ตอนที่  88   โรงเรียนธรรมสตรี  จางตงเป่า  ที่เมืองเหลียวหยาง
ตอนที่  89   โรงเรียนธรรมสตรี  อู่เจียนฝาง  ที่ไถอาน
ตอนที่  90   หลี่จื้อเหอมาทางไกล

ตอนที่  91   อุปสรรคครั้งแรกของโรงเรียนธรรมสตรี
ตอนที่  92   วิเคราะห์โรคหลิวจื่อหยัง
ตอนที่  93   ภิกขาจารแสวงธรรม
ตอนที่  94   รักษาโรคหลิววี้เฉิง
ตอนที่  95   แยกทางกับหลิวจิ้งหมิง
ตอนที่  96   โรงเรียนธรรมสตรี เฮยหลินจื่อ  ที่ไฮว่เต๋อ
ตอนที่  97   โรงเรียนธรรมบุรุษ  ซุนซันเป่า  ที่ไฮว่เต๋อ
ตอนที่  98   ซ่งเล่อซันเลิกฝิ่น  สร้างโรงเรียน
ตอนที่  99   หลิงฮ่านชิงโกรธ  จึงเปิดโรงเรียนธรรมสตรี
ตอนที่  100   โรงเรียนธรรมสตรี  ที่หนงอัน

ตอนที่  101   กลับโรงเรียนแม่  ที่ไห่เฉิง
ตอนที่  102   จูเอี้ยวถิงเห็นธรรม
ตอนที่  103   แสวงธรรมที่ปักกิ่ง
ตอนที่  104   คุณไป๋เลิกเหล้า
ตอนที่  105   รักษาแม่ของผู้ว่าหม่า
ตอนที่  106   การฝึกสอนที่ฟ่านเจียตุน
ตอนที่  107   เตือนหญิงสาวปฏิบัติธรรม
ตอนที่  108   แยกทางกับหวังเจ๋อผู่
ตอนที่  109   ตั้งโรงเรียนที่หลันซี

        " การบำเพ็ญต้องถึงพร้อมความเป็นคน
         เข้าถึงญาณธรรมต้องหมดจดในกิเลส "

                                 อย่าโทษไทท้าวท่วย        เทวา
                                 อย่าโทษสถานภูผา           ย่านกว้าง
                                 อย่าโทษหมู่วงศา             มิตรญาติ
                                โทษแต่กรรมเองสร้าง         ส่งให้เป็นเอง "
                                                 
                                                                  (โศลงโลกนิมิต)

        "ความสุขสบายที่เหนือสิ่งใด  คือ  สุขสบายจากการเสียสละ   
             การเสียสละที่ยิ่งใหญ่  คือ  เสียสละความสุขสบาย"             

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                               พระอริยะ หวังเฟิ่งอี้

                                        เล่ม ๑

                                     ตอนที่ 5

                               เผยแพร่เมตตาธรรม

        เมื่อซู่ถงอายุได้  20  ทำงานอยู่ที่กวนซัน กับครอบครัวหลี่ นายหญิงของตระกูลแม้จะอายุไ้ด้ 40 ปี ก็ยังหามีบุตรไม่ ด้วยเหตุนี้ นายหลี่จึงต้องหาอนุภรรยาเป็นชาวมองโกล เมื่อนางแต่งเข้ามาก็ได้กำเนินบุตรชายให้นายหลี่สมใจ บ้านของสกุลหลี่ใกล้กับเหมืองถ่านหิน ฉะนั้นการหุงต้มจะไม่ใช้ฟืน แต่จะใช้ถ่านหินแทน แต่นางมองโกลผู้นี้ ใช้ถ่านหินไม่เป็นการหุงหาอาหารจึงมีปัญหาเสมอ ๆ ข้าวถ้าไม่สุก ๆ ดิบ ๆ ก็สุกจนไหม้ นายหญิงใหญ่  "หวังสี" เป็นผู้มีจิตริษยานางไม่เพียงไม่ยอมสอน แต่จะคอยซ้ำเติมหัวเราะเยาะยามที่นางเห็นสามีโมโหทุกครั้งที่กินข้าว เพราะเห็นว่าข้าวไม่สุก เกรงว่าคนงานจะกินข้าวไม่อิ่มท้อง จะทำงานไม่เต็มที่ นางจึงมักจะถูกสามีตบตีเสมอมา นายหญิงใหญ่ไม่สงสารไม่เห็นใจ แต่จะยิ้มเยาะกระหยิ่มใจ

        เมื่อซู่ถงมาทำงานในสกุลนี้ ได้ยินเรื่องเหล่านี้มาก่อนแล้ว เมื่อมาสมัครงานนายจ้างก็รับเข้าทำงานยามที่ถึงเวลาอาหาร ขณะที่กินข้าวครึ่งสุกครึ่งดิบนั้น นายจ้างก็เริ่มด่าทอผู้เป็นภรรยารอง ครั้งจะเกิดตบตีขึ้น ซู่ถงก็พูดขึ้นว่า "นายหลี่ ท่านไม่ชอบข้าวแบบนี้เหรอ ข้าวแบบนี้เหมาะกับผู้ใช้แรงงานมาก และข้าก็ชอบข้าวแบบนี้มาก ถ้าได้ข้าวแบบนี้จะทำให้กินได้มากด้วย นายหลี่ก้หายโมโห  คราใดที่ท้องฟ้ามืดมิดไม่สามารถออกไปทำงานข้างนอกได้ ก็จะพูดกับนายหลี่ว่า "วันนี้ออกไปทำงานนอกบ้านไม่ได้ ข้าจะทำอาหารเอง"  และจะถือโอกาสนี้สอนนางมองโกล ให้รู้จักใช้ถ่านหิน เวลาผ่านไปถึงครึ่งปี นางก็ใช้เป็น สามีก็ไม่ต้องมีอารมณ์อีก นางก็ไม่ต้องถูกตบตีอีกต่อไป

        อยู่มาวันหนึ่ง เมื่อซู่ถงเห็นนายหลี่อารมณ์ดี ก็พูดขึ้นว่า "นายหญิงรองพลัดบ้านจากถิ่นฐานมาถึงที่นี่ ไม่มีญาติพี่น้องที่ไหน ภาษาพูดก็ไม่รู้เรื่อง ประเพณีก็ต่างกัน จะมีก็แต่นายท่านและนายน้อยที่ถือว่าเป็นญาติใกล้ชิดเท่านั้น ควรที่จะเห็นใจนางจึงจะถูก" นายหลี่ก็ให้ซาบซึ้งแก่ใจเช่นกัน พูดขึ้นว่า "ที่ข้าจำต้องด่าทอนาง ก็เพราะกลัวว่าคนงานจะกินกันไม่อิ่ม ไม่มีแรงทำงาน ที่ตีก็เพราะจำใจจริง ๆ "  วันเวลาผ่านไปเร็วมาก งานของซู่ถงก็สำเร็จลุล่วงได้เวลากลับบ้าน นายหลี่เอ่ยขึ้นกับซู่ถงว่า "ซู่ถงเจ้านี่เป็นคนดีเสียจริง มาบัดนี้ข้าไม่โมโหนางอีกแล้ว นางสองแม่ลูกอยู่เป็นสุขก็ด้วยบุญคุณของเจ้าแท้ ๆ ข้าหวังว่าภายภาคหน้าถ้าเจ้ามีทุกข์ร้อนใดที่ข้าพอช่วยได้ ข้าจะช่วยเจ้าแน่" จากนั้นต่างก็จำอำลาต่อกัน

        ซู่ถงอายุ  21 ปี ทำงานอยู่อีกบ้านหนึ่ง นายหญิงของบ้านนี้ชอบด่าทอมาก วัน ๆ จะด่าลูก  ด่าคนงาน  และด่าได้สามวันสามคืน ซู่ถงรู้ว่าการด่าทอเป็นสิ่งไม่ดี ก็ตั้งใจจะกล่ิอมเกลานาง แต่จะพูดตามอำเภอใจไม่ได้ จำต้องรอจังหวะเวลา พอดีเดือน 4 วันที่ 28 นั้น มีงานวัดในหมู่บ้าน ต่างจะเลิกงานเร็วกว่าทุกวัน พวกชาวนาก็ทำเพียงครึ่งวัน ชาวนาจึงเริ่มงานกันตั้งแต่เช้ามืดนั้น นายหญิงนั้นก็สั่งให้ลูกชายไปคุมงานพร้อมกับกำชับว่า เมื่อทำนาเสร็จให้ลงข้าวโพดต่อ ลูกชายนางไปถึงก็ได้แ่ต่ด้อม ๆ มอง ๆ ไม่พูดอะไรแล้วก็กลับ กลับมาก็ไม่พูดอะไรกับแม่อีก คนงานก็ไม่รู้ว่านางให้ทำอะไรก็ปลดคันไถเก็บ เมื่อถึงเวลาเที่ยง คนงานกลับมากินเลี้ยงฉลองกัน นางก็ด่าว่าเป็นการใหญ่ ซู่ถงฟังไปฟังมาจึงได้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อพ่อครัวมาเติมอาหารให้ครั้งใด ซู่ถงก็จะถามเสมอว่า ยังด่าอยู่หรือเปล่า ออกมาคราใดก็ถามอย่างนี้ถึงสามครั้ง คำตอบที่ได้ก็คือ "ยังด่าอยู่"  เมื่อซู่ถงกินอิ่มแล้ว ก้เข้าไปในห้องโถงใหญ่ของนายร้องตะโกนว่า "หยุดด่าได้แล้ว ถ้าท่านผู้เฒ่าเป็นอะไรไป เราจะรับไม่ไหว" แล้วกวักมือเรียกคนงานว่า ไไปกันไปลงข้าวโพดกัน"  นายหญิงก็พูดขึ้นว่าวันนี้เป็นวันหยุด จะออกไปทำงานได้อย่างไร  ซู่ถงว่า "ไม่เป็นไร วันนี้เป็นวันของพวกเรา จะห้ามก็ห้ามไม่ได้" เมื่อเราลงกันเสร็จค่อยไปเที่ยวกัน  นางก็พูดอีกว่า "นี่ก็มืดแล้วพรุ่งนี้ค่อยไป" ซู่ถงว่า "นี่เป็นแรงงานของเราเอง อย่ามัวชักช้ากันเลย" นางก้ไม่สบายใจพูดขึ้นว่า "ถ้าเช่นนั้นวันนี้จะจ่ายให้เป็นพิเศษ"  ซู่ถงก็ตอบว่าไม่ต้อง  พูดแล้วก็วิ่งไป ส่วนนายนั้นก็รีบวิ่งติดตามเอาเงินมาจ่ายให้  ซู่ถงก็พูดขึ้นว่า "ดีแล้วที่เราได้ซองแดง เราก็ควรจะให้ตอบแทนด้วย" คืนนี้เราควรรีบกลับบ้าน มาช่วยกันเก็บกวาดให้เรียบร้อย พูดไปก็วิ่งไป เมื่อเห็นนายวิ่งตามมาก็ชลอเท้ารอ ด้วยเกรงว่าผู้เป็นนายจะวิ่งเหนื่อยไป เพราะวิ่งตามเอาเงินมาให้กันคืนนี้  ตกดึกเมื่อกลับกันมาอย่างครื้นเครง นายหญิงก็อารมณ์ดี แต่นั้นมา นางก็เลิกด่าคน อีกทั้งยังสอนคนไม่ให้มีอารมณ์โกรธ โมโห ซู่ถงก็ว่า "ข้ามีอารมณ์ที่ไหน  ข้าอยากให้พวกเจ้าอยู่อย่างสงบสุขมากกว่า จากประสบการณ์นี้จึงสอนให้รู้ว่า "ผู้ใดประจักษ์ในธรรมะข้อใด ก็จะเชื่อในธรรมะข้อนั้น"  เป็นความจริง

        อยู่มาวันหนึ่ง นายน้อยตีกันเอง พี่ตีน้อง ทั้งแม่และพี่สาวต่างร้องไห้  ซู่ถงก็ตวาดว่า โดยไม่คำนึงว่าตัวเองเป็นผู้ใด  "เจ้าดูซิ ตีน้องตัวเองก้เท่ากับตีแม่เหมือนกัน ดู ! ดู !  แม่นั่งร้องไห้เจ็บปวดแค่ไหน เจ้ารู้หรือไม่ เมื่อนายน้อยได้ยินเช่นนั้นก้หยุดตีกันทันที การกระทำของซู่ถง เป็นความภักดีอย่างยิ่งต่อนายของตน โดยไม่คำนึงว่าตนเป็นเพียงคนงานในบ้าน แต่เพราะต้องการจรรโลงไว้ซึ่งคุณธรรมเท่านั้น ที่นายน้อยของตน ไม่เคยได้มีโอกาสรับการบ่มอบรมถึงคุณงามความดีนี้มาก่อน   

Tags: