collapse

ผู้เขียน หัวข้อ: คู่มือฉลาดเลือกกินผัก  (อ่าน 2481 ครั้ง)

ออฟไลน์ tik

  • Admin
  • มิตรนักธรรม
คู่มือฉลาดเลือกกินผัก
« เมื่อ: 14/10/2010, 00:36 »
Credit : นิตยสารชีวจิตฉบับที่ 287


คู่มือฉลาดเลือกกินผัก


          “เมื่อปัจจัยหนึ่งที่ชี้วัดถึงความเจริญของประเทศ คือความปลอดภัยในชีวิต โดยเฉพาะการกินการอยู่ ฉะนั้น จะมีประโยชน์อะไรหากในปัจจุบันมีพืชผักให้เลือกกินมากมาย แต่สุขภาพผู้คนกลับแย่ลง เพราะร่างกายได้รับสารพิษจากพืชผักเหล่านั้น”
 ความข้องใจจาก คุณชวน ชูจันทร์ เกษตรกรเดินดินคนหนึ่ง ผู้มีบทบาทในการผลิตพืชผักอินทรีย์ออกสู่ท้องตลาดมากว่า 10 ปี ชวนให้เราต้องย้อนถามตัวเองว่า ผักที่เรากินทุกวันนี้ ปลอดภัยแล้วหรือ
          ไม่เพียงเท่านี้ ยังมีข้อสงสัยเกี่ยวกับผักอีกมากมาย ที่ผู้บริโภคควรรู้ เพื่อประโยชน์ในการเลือกซื้อผักให้ครบคุณค่า และห่างไกลจากสารพิษตกค้าง

สำรวจผักในท้องตลาด
          ผักในท้องตลาดบ้านเรามีให้เลือกหลากหลายรูปแบบ ซึ่งแต่ละชนิดจะมีรายละเอียดแตกต่างกันไป คุณอรสา ดิสถาพร ผู้อำนวยการส่วนการส่งเสริมการผลิตผัก ไม้ดอก และพืชสมุนไพร กรมส่งเสริมการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์อธิบายประเภทของผักต่างๆ ตามความปลอดภัยไว้ดังนี้  

         ผักอินทรีย์ หรือผักออร์แกนิก แม้จะมีราคาค่อนข้างสูง แต่ได้รับความนิยมในกลุ่มคนรักสุขภาพอย่างต่อเนื่อง ด้วยปลอดภัยจากการปนเปื้อนสารเคมีค่อนข้างสูง ปัจจุบันผู้บริโภคสามารถสังเกตผักอินทรีย์ได้จากตราสัญลักษณ์รับรองที่ปรากฎบนบรรจุภัณฑ์
          ผักประเภทนี้ใช้วิธีการปลูกแบบองค์รวมที่ใส่ใจทุกรายละเอียด เริ่มตั้งแต่ไม่ใช้เมล็ดพันธุ์ที่ผ่านการตัดแต่งพันธุกรรม (จีเอ็มโอ) โดยปลูกในสิ่งแวดล้อมที่ดี พื้นที่นั้นเลิกใช้สารเคมีตั้งแต่ 3 ปีขึ้นไป
          ในการบำรุงพืชและกำจัดศัตรูพืชจะใช้สารที่สกัดจากธรรมชาติได้ เช่น น้ำหมักชีวภาพ น้ำยาสะเดาแทนสารเคมีสังเคราะห์และปุ๋ยเคมีทุกประเภท เนื่องจากมีผลกระทบต่อระบบนิเวศในดิน ทั้งเชิงกายภาพ เคมี และชีวภาพ รวมทั้งเพื่อป้องกันสารเคมีตกค้างในผลผลิตและสิ่งแวดล้อม
 
          ผักไร้สารพิษ การปลูกผักชนิดนี้คล้ายคลึงกับผักอินทรีย์ คือ ปลูกในพื้นที่ที่เลิกใช้สารเคมีไม่ต่ำกว่า 3 ปี ไม่ใช้สารเคมีสังเคราะห์และปุ๋ยเคมี แต่จะใช้สารสกัดจากธรรมชาติแทน อย่างไรก็ตามการปลูกผักประเภทนี้ยังไม่มีการจำกัดเมล็ดพันธุ์ที่นำมาใช้

          ผักปลอดสารพิษ ผักชนิดนี้ใช้สารเคมีสังเคราะห์และปุ๋ยเคมีในการปลูก แต่มีฤทธิ์ตกค้างไม่นานและไม่ใช่สารต้องห้าม สามารถใช้ฮอร์โมนเร่งผลผลิตได้ เพราะไม่ถือว่าเป็นสารเคมีอันตราย
จากนั้นเมื่อใกล้เวลาเก็บเกี่ยว จะงดใช้สารเคมีต่างๆ และเว้นระยะเวลาให้สารที่ใช้สลายตัว จึงจะเก็บเกี่ยวผักนั้นได้ ผักชนิดนี้อาจมีปริมาณสารเคมีตกค้างบ้าง แต่อยู่ในระดับที่ไม่เป็นอันตราย

          ผักทั่วไป ได้แก่ ผักที่ปลูกโดยใช้ทั้งสารเคมีสังเคราะห์ และปุ๋ยเคมีโดยไม่มีการควบคุม หรือเว้นระยะเวลาในการเก็บเกี่ยว จึงทำให้มีสารพิษตกค้างในผักปริมาณสูงเกินกำหนด และไม่ปลอดภัยต่อผู้บริโภค
เส้นทางการปนเปื้อนของผัก

          เพราะผักอุดมด้วยวิตามินและแร่ธาตุ คนกินผักจึงมีสุขภาพแข็งแรง แต่หากผักนั้นมีสารพิษเป็นของแถม ย่อมเป็นผลเสียต่อสุขภาพอย่างแน่นอน

          ด้วยแนวโน้มของผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญกับการบริโภคผักที่ปลอดสารพิษมากขึ้น จึงไม่น่าแปลกใจที่ปัจจุบันจะพบเห็นผักที่ตีตราว่าเป็นผักปลอดสารพิษ หรือผักออแกนิกส์วางจำหน่ายตามตลาดสด หรือซูเปอร์มาร์เก็ตกันมากขึ้น
 แต่ทราบหรือไม่ว่า นอกจากการเลือกซื้อผักที่ระบุว่าปลอดสารพิษแล้ว ยังมีเทคนิคง่ายๆที่หากคุณทำได้ จะช่วยปกป้องคุณจากสารเคมีตกค้างในผักได้อีกโขเลยค่ะ

          คุณวิลาวัณย์ ใคร่ครวญ นักวิชาการชำนาญพิเศษ กรมวิชาการเกษตร ได้ให้หลักการเบื้องต้นในการเลือกซื้อผักไว้ดังนี้
         • สด ไม่เหี่ยวเฉา ไม่มีรอยช้ำ หรือมีสีผิดธรรมชาติ
          • สะอาด ไม่มีเศษดินและสิ่งสกปรกเกาะเป็นคราบ และไม่มีคราบสีขาวซึ่งเป็นสารฆ่าแมลงตกค้างอยู่ที่ผัก
          • ไม่มีกลิ่นฉุน เมื่อดมผักดูแล้วต้องไม่มีกลิ่นฉุนแสบจมูก


          นอกจากนั้นคุณวิลาวัณย์ยังฝากเคล็ด(ไม่)ลับ แบบฉบับคนฉลาดเลือกกินผักเพิ่มเติมมาด้วย ดังนี้ค่ะ

          กินผักอายุสั้นดีที่สุด เลือกกินผักที่มีอายุสั้น เช่นผักบุ้ง ซึ่งตั้งแต่เริ่มปลูก จนถึงการเก็บเกี่ยว มีช่วงเวลาเพียง 45 วันเท่านั้น โอกาสในการเกิดโรค และแมลงจนต้องฉีดยาฆ่าแมลงจึงน้อยมาก เมื่อเปรียบเทียบกับผักที่เก็บเกี่ยวผลผลิตได้หลายรุ่น

          กินผักตามฤดูกาล ทราบหรือไม่ ผักบางชนิดมีฤดูกาลการเติบโตของมัน เช่น ผักคะน้า ซึ่งฤดูกาลที่เติบโตได้ดีคือช่วงฤดูหนาว ระหว่างเดือนตุลาคมถึงธันวาคม ทำให้ผักคะน้าในช่วงนี้ไม่จำเป็นต้องใช้ยาฆ่าแมลงมากเหมือนการปลูกผักคะน้านอกฤดูกาล โดยเฉพาะช่วงฤดูร้อน ที่มีทั้งโรคผัก และแมลงศัตรูพืชมาก

          กินผักใบดีกว่าผักหัว เพราะผักหัวจะสะสมสารพิษไว้มากกว่า

          กินผักให้หลากหลาย ไม่ควรกินผักเพียงชนิดเดียวติดต่อกันเป็นเวลานาน เพราะมีโอกาสสูงที่สารเคมีตัวเดิมๆ ในผักจะเข้าไปสะสมอยู่ในร่างกาย ก่อให้เกิดความเจ็บป่วยได้

          กินผักพื้นบ้านดีที่สุด ลองหันมากินผักพื้นบ้านให้มากขึ้น เพราะผักพื้นบ้านส่วนใหญ่มักขึ้นอยู่ตามธรรมชาติและมีคนไปเก็บมาจำหน่าย ทำให้แน่ใจได้ว่าปลอดสารเคมีตกค้างอย่างแน่นอน


          ในฐานะผู้บริโภค เราก็มีบทบาทช่วยเหลือคนกินผักด้วยกันได้ค่ะ
          กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (บก.ปคบ.) ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) จัดโครงการสายสืบผักสดปลอดภัย ส่งเสริมคนไทยสุขภาพดี หรือสายสืบผักสดขึ้น เพื่อป้องปรามและส่งเสริมให้มีการขายผักปลอดสารพิษตกค้างเพื่อสุขภาพของผู้บริโภค

          โครงการนี้เชิญชวนให้ประชาชนร่วมสมัครเป็นสายสืบผักสดอาสา เพื่อเป็นเครือข่ายแจ้งข้อมูลตลาดที่ขายผักสดไม่ปลอดภัยไปยังเจ้าหน้าที่ โดยสายสืบจะได้รับการอบรมความรู้เรื่องผักจากอย. ทั้งการเลือกซื้อผักสดที่ไม่มีสารตกค้างและยาฆ่าแมลง รวมถึงสาธิตการล้างผักและการตรวจสอบยาฆ่าแมลงด้วยชุดทดสอบเบื้องต้น

          นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่จากทั้งสองหน่วยงานจะนำรถ Mobile Unit ออกให้ความรู้ และสุ่มเก็บตัวอย่างผักสดในตลาดเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลมาตรวจสอบ ร้านที่ขายผักปลอดภัยจะได้รับป้ายรับรองคุณภาพผักสด แต่หากผักไม่ปลอดภัยจะสั่งให้ดำเนินการแก้ไข และหากไม่ปฏิบัติตามจะดำเนินการทางกฎหมายทันที

สนใจร่วมเป็นสายสืบผักสดอาสา ติดต่อที่สายด่วน 1135 ค่ะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14/10/2010, 08:50 โดย ติ๊กน้อย »

ออฟไลน์ หนึ่งเดียว หลุดพ้น

  • Elder
  • มิตรนักธรรม
                                            ประโยชน์ของใบบัวบก
 
               ใครที่ชอบทานใบบัวบกกันบ้าง รู้หรือไม่ว่า ใบบัวบกนั้นมีประโยชน์อะไรบ้าง

  :)  ใบบัวบกมีคุณค่าทางอาหาร มีวิตามินเอสูงมาก ช่วยบำรุงสายตาและมีสารแคลเซี่ยมมากเช่นกัน นอกจากนั้นยังมีวิตามินบี 1 สูงกว่าผักหลาย ๆ ชนิด

  :) ใบบัวบกมีสรรพคุณทางยา ในการแก้ช้ำใน ทำให้หายฟกช้ำได้ดี แก้ร้อนในกระหายน้ำ ลดอาการปวดศรีษะข้างเดียว บำรุงสมอง แก้ความดันโลหิตสูง แก้อ่อนเพลีย เมื่อยล้า บำรุงธาตุ บำรุงหัวใจ และขับปัสสาวะ

 :) นอกจากนี้ในการศึกษาทางเภสัชวิทยาเพื่อค้นหาสารสำคัญ หรือหาสารออกฤทธิ์ต่าง ๆ ที่มีอยู่ในใบบัวบก พบว่า ใบบัวบกจะให้สารไกลโคไซด์ (Glycosides) หลายชนิดที่ให้ผลต้านการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชั่น (Antioxidation) ซึ่งส่งผลให้การลดความเสื่อมของเซลล์ อวัยวะต่าง ๆ ของร่างกายได้ นอกจากนี้ยังพบว่าสารไกลโคไซด์ที่ได้จากใบบัวบกยังส่งผลในการช่วยเร่งการสร้างสารคอลลาเจน (Collagen) ที่เป็นโครงสร้างของผิวจึงถูกนำมาใช้ประโยชน์ในการกระตุ้นให้แผลสมานตัวได้เร็ว
 
ผู้ที่ควรทานใบบัวบก ได้แก่
           1. ผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงต่อโรคความจำเสื่อม อาทิ ผู้สูงอายุ สตรีวัยทอง
           2. ผู้ที่อยู่ในวัยทำงานที่ต้องใช้สมองอย่างมาก และเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพความทรงจำ
           3. ผู้ที่มีความเครียดสูงจากการทำงานหนัก
           4. ผู้ที่มีความผิดปกติทางผิวหนัง และกล้ามเนื้อโดยมีอาการฟกช้ำ และผิวหนังอักเสบ
           5. ผู้ป่วยหลังการผ่าตัด เพราะช่วยเร่งการสมานแผลให้เร็วยิ่งขึ้น

รู้ถึงประโยชน์ของใบบัวบกแล้ว ก็อย่าลืมหันมาหาทานกันได้ เพื่อสุขภาพที่ดีนะคะ
                                                                                                        ขอบคุณค่ะ  :}                   

Tags: