มรดกของพ่อ
หลายเดือนมาแล้วข้าพเจ้าได้ฟังคนสำคัญผู้หนึ่งเล่าถึงบิดาของเขาว่า ก่อนจะถึง แก่กรรม ท่านได้ให้ คำแนะนำอันมีค่ายิ่งแก่ชีวิตของเขา ซึ่งได้ช่วยให้เขาเป็นตัวเป็นตนขึ้นมาได้ เขาคิดเสมอว่า ถ้าหากบิดาของเขาให้มรดกเป็นเงินทอง ป่านนี้ก็คงจะผลาญหมดไปเสียนานแล้ว และก็คงจะใช้วิธีอีลุ่ยฉุยแฉก ไม่มีโอกาสได้รับเชิญมาพูดวิทยุอย่างคืนนี้หรอก...
บุคคลผู้นั้นเล่าว่า …. เมื่อบิดาเจ็บหนักจนรู้สึกว่าจะไม่รอดก็ได้เรียกเขาซึ่งเป็นบุตรคนเดียวของท่านเข้าไปสั่งสอนว่า “พ่อกำลังจะตายแล้วลูกเอ๋ย พ่อไม่มีข้าวของอะไรให้ลูกหรอก … แกจำเป็นจะต้องออกไป ผจญกับโลก และคิดอ่านทำมาหากินไปตามความสามารถของแกเองตามลำพัง แต่แกคงจะรู้สึกมืดแปดด้านอยู่สักหน่อย จริงไหมล่ะ? เพราะไม่มีอะไรเป็นทุนอยู่เลย เงินก้อนก็ไม่มี ชื่อเสียงแกก็ไม่มี แต่พ่อจะให้มรดกอันมี
ค่าไว้สัก ๓ อย่าง
กฏแห่งชีวิต ๓ ข้อ ที่พ่อจะให้แกนี้ เป็นกฏง่ายๆ ธรรมดาๆ ใครๆ ก็รู้ มิใช่ของลึกลับ หรือเพิ่งค้นพบก็เปล่า แต่ถ้าแกทำได้ตามกฏเหล่านี้ ชีวิตก็จะมีแต่ความสุขความเจริญ
ข้อแรก แกอย่ากลัว “เขา” คนโดยมากร้อยทั้งร้อยกลัว “เขา” เสียจริงๆ…"เขา” ว่าอย่างโน้น “เขา” ว่าอย่างนี้ กลัวไปเสียหมดจนแทบไม่ต้องทำอะไรและ “เขา” ก็กลายเป็น สิ่งที่น่ากลัวที่สุดในโลก แม่ทัพที่กล้าหาญชาญชัยในสงคราม ก็ยังมากลัวว่า “เขา” จะพูดอย่างนั้นอย่างนี้ กลัว “เขา” จะชอบหรือไม่ชอบ พ่อมีคำ แนะนำอันเด็ดขาดสำหรับแกอย่างเดียวคือ เมื่อเห็นว่าดี และถูกต้องแล้ว จงทำไปเถอะ “เขา”จะว่าอย่างไร ช่าง "เขา” “
ข้อสอง ก็สำคัญอยู่เหมือนกัน” บิดาพูด “อย่าพยายามสะสมสิ่งของใดๆ อย่าไปยึดถือว่ามันเป็นของเรา" ความรู้สึกว่าเป็นเจ้าของสิ่งนั้นสิ่งนี้ จงพยายามอย่าให้มี เพราะถ้าแกไปยึดถืออะไร สิ่งนั้นมันจะกลับมายึดถือแกเข้าบ้าง แกก็จะตกเป็นทาสมัน ไม่แต่ของเท่านั้น แม้สัตว์ เช่น หมาที่เลี้ยงไว้ ก็อย่ารักมันอย่างหลงไหล อย่าปล่อยหัวใจของแกให้หมา หรือตึกรามบ้านช่อง มิฉะนั้นหมามันจะเอาหัวใจของแกไปแทะเล่น บางคนเลี้ยงหมาไว้ รักเหลือเกิน เพื่อนขับรถยนต์ชนหมา ก็โกรธกับเพื่อนตลอดชีวิต แล้วเจ็บแค้นทนทุกข์อยู่คนเดียว ไม่เป็นอันคิดถึงเรื่องอื่น อย่างนี้พ่อเรียกว่า ส่งหัวใจของตัวเองให้หมาเอาไปแทะเล่น อย่างนี้พ่อไม่ชอบ แกต้องพยายามหลีกให้พ้น อย่ายึดถือว่าเป็นเจ้าของสิ่งใดๆ บุคคลผู้นั้นสารภาพว่า… คำแนะนำของบิดาในข้อนี้ช่วยเขามาก เขาคิดว่าคนเรายิ่งเป็นเจ้าของอะไรต่ออะไรมากเข้า ตัวเองก็เหมือนกับมีเจ้าของมากเข้าด้วยเพราะฉะนั้นเมื่อเขาไม่พยายามไปเป็นเจ้าของสิ่งใด นอกจากที่จำเป็นจริงๆเขาจึงรู้สึกว่ามีชีวิตอย่างอิสระเหมือนอากาศ และสุขสบายอย่างประหลาด เขาย้ำว่าเขาจำคำพ่อไว้ขึ้นใจ คือ จะไม่ยื่นหัวใจให้หมาแทะ ถ้ามันจะตายก็ช่างมัน ถ้าตึกจะพังก็ช่างมัน หาเอาใหม่ หรือหลบไปอยู่กระท่อม ดีกว่าจะปล่อยให้ตึกพังลงมาทับหัวใจ จนหัวใจแหลกลาญเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยไปด้วย เขาจึงสอนผู้ฟังวิทยุคืนนั้นว่า… อย่าเอาหัวใจให้หมาแทะ และอย่าให้ตึกพังลงมาทับหัวใจ เก็บหัวใจของท่านไว้ให้ดี มันเป็นบ่อเกิดแห่งความรื่นรมย์ของชีวิต เขาเล่าต่อไปถึงคำแนะนำ ข้อสามของบิดาว่า ท่านสอนให้รู้จักหัวเราะเยาะตนเองเสมอๆ“บิดาของข้าพเจ้าอธิบายว่า …. ทุกๆ คนย่อมมีสิ่งน่าหัวเราะอยู่ในตัวทั้งนั้น แต่พวกเราส่วนมากชอบหัวเราะเยาะคนอื่น"
บิดาข้าพเจ้าสอนว่า “แกจงหัวเราะเยาะตนเองเสียก่อน แล้วหัวเราะนั้นจะเป็นโล่ป้องกันตัวอย่างดีหากใครๆ จะมาหัวเราะแกอีก ก็เหมือนเอาหอกพุ่งมา แต่แกมีโล่อย่างดีป้องกันตัวเสียแล้ว หอกนั้นก็ทำอันตรายอะไรไม่ได้” ข้าพเจ้าขอร้องท่านทั้งหลายให้ทำอย่างนี้ดู แล้วจะเห็นคุณประโยชน์ของการหัวเราะเยาะตัวเอง อย่างน้อยมันทำให้เราไม่ลืมตัว แล้วคนเรานั้นลืมอะไรก็ลืมได้ แต่ถ้า “ลืมตัว” เสียอย่างเดียว ก็เสียคนเท่านั้น คำแนะนำจากวิทยุดังที่ข้าพเจ้านำมากล่าวนี้ เข้าใจว่าคงจะเป็นประโยชน์สำหรับผู้อ่านที่ชอบคิด เพราะถ้าเราลองใคร่ครวญแล้วจะเห็นว่า สามารถนำมาปฏิบัติได้ทั้งสามข้อ ไม่ว่าเราจะทำงานอาชีพอะไร หรือเป็นอะไร
ข้อหนึ่ง . จะทำให้เราเข้มแข็ง กล้าที่จะทำตามความคิดซึ่งเราเห็นว่าถูกต้อง ข้อนี้จะทำให้เรามีความก้าวหน้ากว่าคนอื่น
ข้อสอง . จะทำให้เรามีอารมณ์โปร่งสบายทุกเมื่อ ไม่ลุ่มหลงของรักใดๆ จนเกิดทุกข์ ไม่ยอมให้อะไรๆ มาบีบหัวใจเล่นได้ และ...
ข้อสาม การรู้จักหัวเราะเยาะความทุเรศของตัวเอง ทำให้สำนึกอยู่เสมอว่าเรามิใช่เทวดา ข้อนี้จะช่วยให้เราไม่เหลิงจนลอยลมตกลงมาปีกหัก เพราะการเป็นคนสำคัญนั้น เป็นหน้าที่ซึ่งคนอื่นจะยกเราขึ้น เราจะยกตัวเราเองนั้นไม่มีวันสำเร็จคนที่โด่งดังขึ้นนั้นจะถูกกด ….คนที่กดตัวเองจะรุ่งโรจน์
ที่มา :
http://www.love4home.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=110202&Ntype=5 ขอบคุณค่ะ