ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีเศรษฐีคนหนึ่งมีลูกชายเป็นคนไม่รักดี ได้แต่ใช้จ่ายทรัพย์เที่ยว กิน เล่น เลี้ยงเพื่อนฝูง ไม่นึกทำมาหากิน พ่อแม่จะว่ากล่าวตักเตือนอย่างไรก็ไม่เชื่อฟัง ในที่สุดเศรษฐีก็ตรอมใจตาย แต่ก่อนตายได้เอาเงินกับทองใส่ตุ่มอย่างละตุ่มฝังไว้ และด้วยความดีที่ได้กระทำมา ส่งผลให้เศรษฐีไปเกิดเป็นเทวดา ฝ่ายลูกเศรษฐี เมื่อพ่อแม่ตายแล้วก็ยิ่งกำเริบ ใช้เงินเลี้ยงเพื่อนเที่ยวเตร่เสเพล ไม่นานเงินก็หมด เพื่อนฝูงที่เคยล้อมหน้าล้อมหลังก็หายหน้าไปทีละคน อยู่มาวันหนึ่งเพื่อนชวนไปกินเลี้ยงกันตามเคย โดยสั่งลูกเศรษฐีตกยากว่า ถ้าคิดจะไปกินเลี้ยง ก็ให้เอาไก่ไปร่วมในการกินเลี้ยงด้วยหนึ่งตัว ลูกเศรษฐีอยากกินเลี้ยงมาก ถึงแม้จะไม่มีเงินแล้ว ก็ยังขวนขวายหาไก่ได้ตัวหนึ่ง จึงจัดการลวกน้ำร้อนถอนขน แล้วผูกห่อใบตองเตรียมที่จะไปร่วมงานกินเลี้ยง ครั้นเดินมาตามทาง เพราะความเหนื่อยจึงแวะพักใต้ต้นไม้ข้างทางแล้วม่อยหลับไป บังเอิญมีอีกาตัวหนึ่งเกาะอยู่บนต้นไม้นั้น ได้กลิ่นเนื้อโชยมาจากใบตอง จึงบินโฉบลงมาคาบห่อใบตองไป เขาจึงต้องไปงานกินเลี้ยงมือเปล่า พอถึงบ้านเพื่อนที่นัดกินเลี้ยงก็เล่าให้เพื่อนฟัง แต่ไม่มีใครเชื่อในคำพูดของเขาเลยต่างคิดว่าเขาคงไม่มีปัญญาหาไก่มา จึงกุเรื่องแก้เก้อ แถมยังพูดจาเยาะเย้ยถากถางว่าไม่มีปัญญาหาไก่มา แล้วยังไปโทษอีกาอีก ลูกเศรษฐีทั้งเจ็บทั้งอาย ตัดสินใจไม่ร่วมวงกินเลี้ยงด้วย รีบเดินทางกลับบ้าน เมื่อถึงบ้านแล้วก็ยังน้อยใจไม่หาย นึกถึงความหลังที่ตนมั่งมีเงินทอง ผู้คนล้อมหน้าล้อมหลัง เสียใจกินไม่ได้ นอนไม่หลับ ร่างกายก็ผ่ายผอมลง
ฝ่ายเทวดาพ่อแม่เห็นอาการของลูกก็อดสงสารเสียมิได้ จึงมาเข้าฝันลูกว่า"นั่นแหละลูกเอ๋ย เมื่อพ่อแม่ยังอยู่ก็ได้สอนเจ้านักหนาเรื่องการใช้เงินทอง เมื่อยามลำบากยากจน ใครเขาจะมานับถือ พูดจริงก็เป็นหลอกไปได้ ขอให้เจ้ารู้สึกตัวและทำตัวเสียใหม่ พ่อแม่จะช่วย" ในฝันนั้นเองลูกเศรษฐีก็คิดได้ จึงสัญญากับพ่อแม่ว่า ต่อไปจะเลิกความประพฤติเดิม จะตั้งใจทำมาหากิน เลี้ยงตัวให้มีเงินพอ จะไม่ให้ใครมาดูถูกได้อีกต่อไป เมื่อ
เทวดาพ่อแม่ได้รับคำสัญญาจากลูกเช่นนั้นก็พอใจยิ่งนัก เมื่อลูกสัญญาว่าจะกลับตัวเป็นคนดีจึงได้บอกที่ซ่อนตุ่มเงินและตุ่มทองให้ในฝันนั้นเอง พอตื่นขึ้นมาลูกเศรษฐีก็รีบไปขุดหาตุ่มเงินตุ่มทอง ก็พบจริงตามฝัน จึงนำเงินในตุ่มมาทำทุนตั้งหน้าตั้งตาทำมาหากิน ไม่นานก็กลับฟื้นตัวพอมีฐานะขึ้นอีก เพื่อน
ที่เคยหนีหาย ก็เริ่มกลับมาคบหาเพิ่มขึ้นทุกวัน มากินเลี้ยงกันอีกเหมือนเมื่อยังร่ำรวยหนก่อน เพื่อนฝูงต่างก็มากันพร้อมหน้าพร้อมตาขณะที่กินเลี้ยงอย่างครึกครื้นเฮฮาอยู่นั้น ลูกเศรษฐีได้นำมีดเหี้ยนๆ เล่มหนึ่งมาให้เพื่อนดูพลางพูดขึ้นว่า "อัศจรรย์จริงๆ มีดเล่มนี้เพิ่งซื้อมาใหม่ๆ แท้ๆ ทิ้งไว้คืนเดียวหนูมากัดเสียจนเหี้ยนหมดเหลือเท่านี้เอง" เพื่อนฝูงทั้งหลายเมื่อได้ยินก็รับคำเชื่อตามคำพูด บางคนก็ประสมโรงพูดว่า "จริงเหมือนเพื่อนว่าหนูมันร้ายนัก มีดของเราก็เคยโดนเหมือนกัน เหี้ยนเหมือนอย่างนี้ไม่มีผิด" เพื่อนคนอื่นก็พูดว่า "ใช่ๆ" คนละคำสองคำ ลูกเศรษฐีเมื่อได้ยินดังนั้น ก็คิดได้ว่า "ยามเมื่อเรายากจนคนดูถูก ถ้อยคำที่พูดไม่มีน้ำหนัก ถึงพูดความจริงก็ยังไม่มีคนเชื่อ แต่เมื่อยามมั่งมีเงินทอง จะพูดอย่างไรจริงหรือเท็จไม่สำคัญ คนย่อมยอมรับ
เชื่อถือ"
ยามมั่งมี มากมาย มิตรหมายมอง
ยามมัวหมอง มิตรมอง เหมือนหมูหมา
ยามไม่มี มิตรเมิน ไม่มองมา
ยามมอดม้วย หมูหมา ไม่มามอง
ที่มา :
http://www.everykid.com/nitan/rat_iron.html ขอบคุณค่ะ