เพราะ...หัวปลาทูแท้ ๆ***(เรื่องเล่า)
มีหญิงหม้ายผู้หนึ่ง หลังจากสามีตายจากนางต้องดูแลลูกชายทั้งสี่คนเพียงลำพัง มีอาชีพขายขนมที่ตลาด ชาวบ้านแถวนั้นต่างรู้กันดีว่าหญิงหม้ายผู้นี้มีความขยันเพียงใด โดยลูกของนางแต่ละคนนั้นเป็นเด็กที่ว่านอนสอนง่ายและไม่ซน ไม่ดื้อส่วนนางนั้นจะตื่นตี 4 ของทุกวันเพื่อไปขายของที่ตลาดมีลูกชายคนโตที่อายุเพียง 13 ปี เป็นคนช่วยแม่ขนของไปขายที่ตลาดส่วนลูกคนที่สองอายุ 11 ปี จะมีหน้าที่ดูแลน้องทั้งสองคนที่อายุ 8 ปี และ 6 ปี ตามลำดับ เด็กทั้งสี่คนจะรู้หน้าที่หลักของตัวเองนั่นคือ การที่จะต้องไปโรงเรียนทุกวัน และวันหยุดช่วยแม่ขายของ
นอกจากนางจะขายของแล้วนางยังรับจ้างเย็บผ้าที่บ้านเพื่อที่จะเก็บเงินให้ลูก ๆ ของนางได้เรียนหนังสือให้สูง ๆ นางมักจะสอนลูก ๆ ของนางได้เรียนหนังสือให้สูง ๆ นางมักจะสอนลูก ๆ ทุกคนว่าการเรียนนั้นสำคัญแค่ไหนและคนเราย่อมต้องรู้หน้าที่ของตัวเองนั่นคืออะไร และนางก็จะพูดอยู่ทุกวันตอนนี้ลูก ๆ ควรตั้งใจเรียนหนังสือเพราะแม่ไม่มีสมบัติอะไรจะให้ลูก ที่จะให้ได้ก็คือการศึกษา ดังนั้นลูก ๆ จงเอาการศึกษาที่แม่ให้นี้เป็นวิชาหาเลี้ยงชีพตัวเองต่อไปในอนาคต แล้วก็เป็นที่น่ายกย่องสรรเสริญเพราะไม่เพียงแต่นางจะทุ่มเทส่งเสียลูก ๆ ทั้งสีให้ได้เรียนจบในขั้นสูงแล้วลูก ๆ ทั้งสี่ก็ยังมีหน้าที่การงานที่ดีในสังคมอีกด้วย
โดยลูกคนที่หนึ่งนั้นมีอาชีพเป็นตำรวจ ลูกคนที่สองมีอาชีพครูสอนที่โรงเรียนรัฐบาล ลูกคนที่สามมีอาชีพทหารเรือ ลูกคนที่สี่มีอาชีพวิศวกร และแยกย้ายมีครอบครัวกันหมด ส่วนผู้เป็นแม่นั้นไม่ยอมที่จะย้ายไปอยู่กับลูก ๆ เพราะไม่ต้องการให้ทางครัวของลูกแต่ละคนมาลำบากกับการดูตัวเองจึงอยู่ที่บ้านเก่าเหมือนเดิมโดยลูก ๆ ทุกคนจะมีหน้าที่สับเปลี่ยนหมุนเวียนมาเยี่ยมผู้เป็นแม่อยู่เสมอไม่เคยขาด
อยู่มาวันหนึ่งแม่ผู้เหน็ดเหนื่อยตรากตรำตลอดชีวิตได้ล้มป่วยลง ลูก ๆ ทั้งสี่ต่างคอยดูแลปรนนิบัติแม่ด้วยจิตกตัญญูอีกทั้งอาหารทั้งสามมื้อก็ได้ตกลงกันว่าลูกทั้งสีจะเป็นคนจัดหาและลงมือปรุงเองนั่นก็คือ หัวปลา เป็นสิ่งที่แม่ชอบทานที่สุดหลังจากทานอาหารที่ประกอบด้วยหัวปลาไปหลายมื้อ นางจึงเอ่ยถามลูก ๆ ว่า
“ทำไมทุกมื้อมีแต่หัวปลาล่ะลูก”
“แม่ครับ ! นี่เป็นอาหารที่แม่ชอบทานที่สุดไม่ใช่หรือครับ ”
ถึงตอนนี้ นางไม่อาจที่จะกลั้นน้ำตาเอาไว้ได้อีก จึงได้เอ่ยความลับที่เก็บไว้มานานหลายปี
“โธ่ เจ้าลูกโง่! มิน่าล่ะเจ้าทั้งหลายจึงปรุงอาหารที่ประกอบไปด้วยหัวปลาให้แม่ทุกมื้อ แต่เมื่อมาถึงวันนี้แล้วแม่ไม่จำเป็นที่จะต้องปิดบังพวกเจ้าอีกต่อไปแม่ทนกินหัวปลามาหลายสิบปี ทั้ง ๆ ที่ไม่เคยชอบกินมันเลย แต่ก่อนครอบครัวเรายากจนเจ้าทั้งสี่ต่างก็ชอบกินเนื้อปลากันทั้งนั้นหากแม่กิน....พวกเจ้าก็ได้กินน้อยลง แต่หากแม่ไม่กิน ก็กลัวเจ้าจะไม่สบายใจ ก็เลยแสร้งบอกเจ้าทั้งหลาย ว่าแม่ชอบกินหัวปลา ใช่ว่าแม่จะไม่ชอบกินเนื้อปลา แท้จริงแล้วไม่กล้าแย่งพวกเจ้ากินต่างหาก!”
เมื่อแม่พูดจบ ลูกทั้งสี่จึงพากันรีบคุกเข่าขอโทษ แท้จริงแล้ว แม่เป็นผู้ยิ่งใหญ่กว่าที่พวกเขาคิดไว้มากเหลือเกิน
พ่อแม่หยิบยื่นแต่เรื่องดี ๆ จนลืมนึกถึงตัวเอง แล้ววันนี้คุณได้กินแต่ของดี ๆ ลืมคนที่เคยให้อะไรดี ๆ กับคุณมาก่อนหรือเปล่า วันนี้ท่านได้กินอาหารดี ๆ มีประโยชน์ต่อสุขภาพท่านแล้วหรือยัง หรือจะรอให้ถึงเวลาก่อน ตั้งใจทำให้พ่อแม่กินแม้ครั้งเดียวมื้อเดียว ยังดีกว่าการไป "เคาะโลง" เป็นร้อยครั้งพันครั้ง
ที่มา : เรื่องจากสังฆทานนิวส์ ขอบคุณค่ะ