collapse

ผู้เขียน หัวข้อ: ศรีอารยเมตตรัยมนุษิโพธิสัตว์  (อ่าน 2306 ครั้ง)

ออฟไลน์ nakdham

  • Admin
  • มิตรนักธรรม
ศรีอารยเมตตรัยมนุษิโพธิสัตว์ 
 

ขอเล่าความเกี่ยวกับที่มาของพระสังกระจายจีน(ซึ่งเป็นรูปพระจีนอ้วนท้วน ใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส, ดูร่าเริง) ซึ่งแท้ที่จริงแล้ว เป็นรูปเคารพ พระศรีอารยเมตตรัยมานุษิโพธิสัตว์   ซึ่งจะเสด็จจากสวรรค์ชั้นดุสิต ลงมาจุติประกาศพระสัทธรรมพุทธศาสนาต่อจากพระศากยมุนี พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน นั่นเอง
 
อีกประการหนึ่ง   พระรูปเคารพนี้ก็เป็นที่แพร่หลายในบ้านเราอย่างมาก   ไม่ว่าวัดพุทธหินยานหรือวัดพุทธมหายาน   แม้แต่ตามศาลเจ้าซึ่งเป็นส่วนของศาสนาเต๋าก็ไม่เว้น มักจะสร้างพระรูปเคารพของพระโพธิสัตว์องค์นี้ประดิษฐานเอาไว้เสมอ   ชาวจีนถือว่าเป็นสัญลักษณ์แห่งความมั่งมีศรีสุข   ความอุดมสมบูรณ์พูนสุขของฐานะครอบครัว ซึ่งเป็นไปตามรูปลักษณ์ของท่าน

บังเอิญพระโพธิสัตว์พระองค์นี้ไปพ้องกับพระอสิติอรหันต์พระองค์หนึ่งในคัมภีร์ของฝ่ายเถรวาทคือ   พระมหากัจจายนะเถรเจ้า   มีคติสร้างพระรูปเคารพเป็นพระอ้วนท้วน นั่งสมาธิ ยิ้มแย้มแ่จ่มใสเหมือนกัน   แต่ที่จริงแล้วเป็นคนละองค์กัน   ในหมู่ชาวพุทธที่เชื่อถือในเรื่องนี้มีความสับสนกันมาก   ไม่สามารถแยกแยะได้ว่า องค์หนึ่งเป็นพระอรหันต์สาวก และอีกองค์เป็นพระโพธิสัตว์ ว่าที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
 
ลองมาดูประวัติของพระอรหันต์ฝ่ายหินยานเถววาทพระองค์นี้กันก่อน
 
เดิมทีท่านเป็นกุลบุตรในตระกูลเศรษฐี ( บางคัมภีร์ก็ว่าเป็นกุลบุตรในสกุลพราหมณ์เป็นปุโรหิต   มีฐานะดี) บิดามารดามีทรัพยสินมากในระดับอภิมหาเศรษฐี   มีกิจการเชิงพาณิชย์หลายอย่าง แล้วท่านก็เป็นลูกโทนเพียงคนเดียวของครอบครัว   เมื่อท่านศรัทธาเข้าบวชเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนาแล้ว   ไม่นานนักบิดามารดาก็มาอ้อนวอนรบเร้า   ให้ลาสิกขาบทออกมาช่วยทำมาค้าขาย   ช่วยดูแลทรัพยสินและกิจการของครอบครัวที่มีอยู่มากมาย
 
ท่านทนการรบเร้าไม่ได้ก็ลาสิกขาบทออกมา   แต่เมื่อสักระยะเวลาหนึ่ง ท่านเห็นว่าเวลาผ่านไปได้ระยะหนึ่งแล้ว   ทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้ว   ก็ออกบวชใหม่อีกครั้ง   ต่อมาบิดามารดาก็มาอ้อนวอนรบเร้าให้ลาสิกขาบทอีก   อ้างว่าสองตายายชราภาพมากแล้ว   ไม่มีใครปรนนิบัติดูแล   และทรัพย์สินเงินทองมากมายก็ไม่รู้จะยกให้ใครได้
   
ท่านต้องบวชแล้วลาสิกขาบทอย่างนี้   วนเวียนอยู่ถึง 7 ครั้ง 7 ครา   จึงได้บรรลุพระอรหันต์ในชั้นที่สุด

พระมหากัจจายนะเถรเจ้า   ได้ชื่อว่าเป็นพระอรหันต์ที่มีพระสรีระงดงาม   สง่าผ่าเผย   หลายคัมภีร์พรรณนาความตรงกันว่า   มีพระสรีระและพระจริยาวัตรทุกกระเบียดนิ้ว   คล้ายหรือเรียกว่าเหมือนก็น่าจะได้   กับพระพุทธเจ้ามากที่สุดในบรรดาพระอสีติอรหันต์ทั้ง 80 พระองค์
 
แม้แต่พระอริยเจ้าในสมัยเดียวกันซึ่งมีฌานต่ำกว่าท่าน   มักจะเข้าใจผิดคิดว่าเป็นพระบรมศาสดาเจ้า   พุทธบริษัทสี่ก็ยิ่งไปกันใหญ่   เมื่อเห็นพระมหากัจจายนะเถรเจ้า   ก็ให้เข้าใจว่าเป็นพระพุทธองค์ทุกคราวไป

บรรดาสาวแก่แม่หม้ายที่มักมากในกิเลสกามคุณ   ครั้นได้พบเห็นพระอรหันต์พระองค์นี้   ต่างก็เกิดกระสันสิเน่หา   ดุจดังมีใครเอาไม้ไปกวนตะกอนนอนก้นของน้ำที่ใสอยู่   ให้ขุ่นข้นขึ้นมาฉับพลัน   ไม่สามารถระงับกามราคะไว้ได้   ใคร่จะได้สัมผัสจับต้องพระวรกายในทุกๆที่ที่เสด็จโปรดสัตว์   บางก็สำเร็จความใคร่ในอารมณ์ด้วยจินตนาการว่าถ้าตนมีสามีงดงามดังนี้   ก็จะปรนนิบัติกามกิเลสกันสุดชีวิตทีเดียว

เล่ากันว่า   บ่อยครั้งมักมีหญิงสาวระงับอารมณ์ไว้ไม่ได้   โผเข้าสวมกอดพระวรกายของท่าน   ด้วยเหตุผลที่พรรณนามาเป็นสังเขปนี้   ย่อมเป็นเหตุหรืออุปสรรคอย่างยิ่ง   ต่อการรักษาพรหมจรรย์ของพระอรหันต์   และเป็นเหตุให้พระบารมีต้องด่างพร้อย   ด้วยความเข้าใจผิดของพุทธบริษัท   อันนำพระองค์ไปเสมอด้วยพระบรมศาสดาเจ้าโดยรู้เท่ามิถึงการณ์   ซึ่งเป็นสิ่งไม่บังควรและไม่พึงกระทำอย่างยิ่ง

ครั้งหนึ่ง ,  ท่านได้เข้าเฝ้าพระบรมศาสดาเจ้า   แล้วทูลความทั้งหมดให้ทรงทราบ   ก็แล้วพระมหากัจจายนะเถรเจ้าจึงทูลขอพระบรมพุทธานุญาต   สำแดงฤทธิ์ด้วยอำนาจแห่งพระฌานของพระอรหันต์   ให้พระสรีระ(ร่างกาย, กายเนื้อ) แปรเปลี่ยนไป   จากความงดงามอันน่าสิเน่หา   ให้ร่างกายอ้วนพองเจ้าเนื้อขาดซึ่งความน่ารื่นรมย์เสียสิ้น   จึงปรากฏพระสรีระดังที่เห็นกันในรูปเคารพปัจจุบัน

( ชาวพุทธนิยมสร้างเป็นพระเครื่องพระบูชา   ด้วยกิริยาพระอ้วนนั่งขัดสมาธิเอาสองฝ่ามือปิดหน้า   หรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่าพระปิดตามหาลาภบ้าง   มหาเสน่ห์บ้าง   ส่วนพระเครื่องอีกแบบที่ปิดหน้าปิดตาปิดก้น   ปิดหมดรอบตัวนั้น   ไม่ใช่ต้นแบบของพระอรหันต์องค์นี้   เรียกว่าพระปิดทวารบ้าง   พระมหาอุดบ้าง   คนละความหมายกันนะครับ)
 
คติพุทธศาสนาหินยานเถรวาท   จึงมักสร้างพระรูปเคารพพระอรหันต์พระองค์นี้   เป็นพระอ้วนใหญ่พุงป่องที่เรียกว่าพระสังขจายบ้าง   พระสังกัจจายน์บ้าง   ตามแต่จะเรียกกันไป

แต่แม้จะมีพระสรีระฉะนี้แล้ว   ความงดงามน่ารักน่าเอ็นดูก็ยังบังเกิดแก่ผู้พบเห็น   ทำให้เกิดความสุขและความอิ่มเอิบใจอยู่เสมอ   นั่นเป็นเพราะพระบารมีซึ่งเป็นคุณสมบัติของพระอรหันต์   ผู้บริสุทธิ์หลุดพ้น   อันไม่มีสิ่งใดจะปิดกั้นไว้ได้   แม้จะปรากฏอยู่ในนิรมาณกายใดๆก็ตาม   เปรียบเนื้อขนุนที่หอมหวาน   แม้มีเปลือกห่อหุ้มไปด้วยหนามและหนาด้วยยวง   ก็ไม่สามารถปิดกั้นหมู่ภมรให้ร่อนมาเฝ้าแหงนได้ฉันนั้น

บังเอิญรูปลักษณ์หรือรูปเคารพของพระอสิติอรหันต์พระองค์นี้ ไปสอดคล้องต้องตามคัมภีร์มหายานว่าด้วยพระศรีอาริยเมตตรัยมนุษิโพธิสัตว์   ซึ่งมีคติสร้างพระรูปเคารพเป็นพระอ้วนท้วนนั่งสมาธิยิ้มแย้มแจ่มใสเหมือนกัน   บ้างก็เรียกขานว่า พระสังขจายจีน

ลองมาดูประวัติความเป็นมาของพระรูปเคารพพระสังกัจจายน์จีน(พระศรีอาริยเมตตรัยมานุษิโพธิสัตว์)กันบ้าง

พระพุทธศาสนาได้แผ่เข้าสู่แผ่นดินจีนในราวศตวรรษที่ 3  ซึ่งตรงกับรัชสมัยของราชวงค์ฮั่น (พ.ศ. 337-551)  ผู้ที่นับถือพระพุทธศาสนาตอนนั้นก็รับเอาคตินี้ ( คติที่ว่า พระมานุษิโพธิสัตว์พระองค์นี้จะตรัสเป็นพระพุทธเจ้าในกาลต่อไป) มาจากอินเดียด้วย   มีการสร้างพระรูปเคารพบูชาองค์พระศรีอารยเมตตรัย   ซึ่งนิยมสร้างเป็น รูปวีระบุรุษที่มีความสง่างามขนาดใหญ่ ในยุคนั้น ตามความเชื่อที่ว่าพระศรีอาริย์จะเป็นบุรุษร่างใหญ่ สง่างาม ขี่ม้าขาวเป็นพาหนะ เสด็จมาโปรดมนุษย์โลกให้พ้นจากยุคเข็ญ   
 
รูปเคารพยุคแรกๆที่ว่านี้ นิยมเคารพบูชากันมากโดยเฉพาะแผ่นดินจีนทางตอนใต้   ( มีการขุดพบรูปเคารพลักษณะนี้กันมากในแผ่นดินจีนภาคใต้นี่แหละ   เช่นที่เมืองยุนกาง   เมืองลุงเม็น)   ซึ่งนักโบราณคดีของจีน ,  เกาหลี ,  ฝรั่งเศล ,  ล้วนให้ความเห็นตรงกันว่า เป็นพระรูปเคารพของพระศรีอาริยเมตตรัยมานุษิโพธิสัตว์ในยุคสมัยนั้น

ต่อมาราวพุทธศตวรรษที่ 8-9 ( พ.ศ 821-921)  แผ่นดินจีนระส่ำระสายอย่างหนัก   นั่นเป็นช่วงสมัยสามก๊กตอนปลาย ( ภาคใต้ของจีนเป็นแดนปกครองของก๊กซุนกวน   ซึ่งนับถือพระพุทธศาสนาเป็นหลัก)   มีการรบพุ่งฆ่าฟันกันและขาดแคลนอาหารอย่างหนัก   เรียกได้ว่าเข้าขั้นกลียุค   ผู้คนล้มตายกันเป็นอันมาก แผ่นดินลุกเป็นไฟ   ทั้งจากการสงคราม , ปล้นชิงวิ่งราว ,  ขาดแคลนอาหารและเครื่องอุปโภคบริโภค ,  โรคภัยไข้เจ็บ ,  ภัยพิบัติตามธรรมชาติ   ผู้คนล้มตายกันเป็นผักปลา ฯลฯ

จนผู้คนจำนวนมากพากันเชื่อว่า   นี่คือปรากฏการณ์วาระสุดท้ายแห่งธรรม   เป็นการสิ้นสุดโดยสิ้นเชิงของยุคพระศากยมุนี ( ตามความในคัมภีร์ทั้งของหินยานและมหายาน)   แล้วก็เฝ้ารอคอยการเสด็จมาอุบัติของพระศรีอาริยเมตตรัย   เพื่อชำระพระธรรมให้สะอาดหมดจดอีกวาระหนึ่ง   เพื่อเปิดศักราชโลกใหม่นำความร่มเย็นเป็นสุข   นำสันติภาพมาสู่มวลพุทธศาสนิกชนอีกครั้ง

แต่เมื่อกาลเวลาไ้ด้ผ่านพ้นมาเนิ่นนาน   ความเชื่อในการเสด็จมาโปรดของพระศรีอาริยเมตตรัย   ก็ค่อยๆเลือนรางลง และการเคารพบูชาวีรบุรุษผู้มีม้าขาวเป็นพาหนะที่ว่านี้ ก็ค่อยๆผ่อนคลายลงตามกาลเวลา   ในช่วงคาบเกี่ยวกันนั้น   ก็หันไปรับเอาคติมหายาน ลัทธิสุขาวดี ซึ่งกำลังมาแรงในช่วงนั้น (พ.ศ. 1021)  ด้วยการสร้างพระรูปเคารพองค์ พระอมิตาภะพุทธเจ้า และ พระรูปเคารพของพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรกวนอิม แทน   ในที่สุดพระรูปเคารพของพระศรีอารยเมตตรัยก็ขาดหายไป

ต่อมาในแผ่นดินรัชสมัยของราชวงศ์ซ่ง(พ.ศ. 1503-1819)  พระรูปเคารพของพระศรีอาริยเมตตรัยมานุษิโพธิสัตว์ ก็กลับมาปรากฏเป็นที่นิยมอีกครั้ง   แต่พระรูปเคารพที่พบในรัชสมัยนี้ ไม่เหมือนในยุคก่อน   และได้กลายเป็นต้นแบบพระรูปเคารพของพระโพธิสัตว์พระองค์นี้ มาจนถึงยุคปัจจุบัน     นั่นคือพระอ้วนท้วนพุงพลุ้ย   ยิ้มแย้มแจ่มใส, ยิ้มปากกว้างอย่างอารมณ์ดี,   มือขวาถือเส้นประคำพาดหัวเข่าซึ่งยกชัน   มือซ้ายพาดหน้าตัก   บ้างก็ถือย่ามป่าน ฯลฯ

เหตุที่พระรูปเคารพแปรเปลี่ยนไปอย่างนั้น   เล่ากันว่ามีพระภิกษุมหายานรูปหนึ่งเป็นชาวเมืองเฉ้อเจียง   รูปร่างเป็นคนอ้วนท้วน   พุงพลุ้ย   ยิ้มร่าเริงอารมณ์ดีอยู่เสมอ   ท่านมีคุณสมบัติพิเศษหลายประการเช่น   สามารถพยาการณ์อากาศได้ราวตาเห็น   ฝนจะตกแดดจะออก   จะมีพายุหมุน   จะมีพายุหิมะ   น้ำจะท่วม   แผ่นดินไหว ไฟจะไหม้ป่าหรืออื่นๆอีกหลายประการ   ชนิดที่กรมอุตุนิยมวิทยาอเมริกาอายม้วนทีเดียว
 
ว่ากันว่ามีความแม่นยำร้อยเปอร์เซ็นต์ ( การพยากรณ์อากาศถือเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งกับสังคมเกษตร   โดยเฉพาะในยุคพันปีที่แล้ว   ไม่มีเครื่องไม้เครื่องมือหรือวิทยาการเกี่ยวกับการตรวจวัดภูมิอากาศ   ไม่สามารถหลีกเลี่ยงภัยพิบัติจากธรรมชาติประเภทนี้ได้เลย ทำให้ภัยจากธรรมชาติเป็นภัยที่ใหญ่หลวงเกินประมาณ   การพยากรณ์อากาศที่แม่นยำจึงสำคัญมาก)

มีผู้คนพบเห็นพระภิกษุรูปนี้ท่านลงไปสรงน้ำในแม่น้ำ   ว่าท่านมี 3 ตา   โดยตาที่ 3 อยู่กลางแผ่นหลังนั่นเอง   ส่วนย่ามป่านนั้นท่านมักจะหยิบขนมหรือของเล่นต่างๆแจกจ่ายให้เด็กๆ   ซึ่งมักจะเดินตามท่านเป็นกลุ่มใหญ่อยู่เสมอ   ว่ากันว่าแม้จะหยิบสักเท่าไรก็ไม่เคยหมดย่ามเสียที   ทำนองเดียวกันกับกระเป๋าโดเรมอนการ์ตูนญี่ปุ่นยอดฮิตของช่อง 9 นั่นแหละครับ

( ผมเข้าใจว่าผู้สร้างหนังการ์ตูนเรื่องนี้   คงเอาคติมาจากย่ามป่านพระโพธิสัตว์พระองค์นี้   ใส่ลงไปในการ์ตูนที่ตัวโดเรมอนนั่นเอง   เพราะญี่ปุ่นเองก็เป็นแหล่งใหญ่ของพุทธศาสนานิกายมหายาน   ซึ่งก็รับอิทธิพลมาจากจีนอีกทอดหนึ่ง   น่าจะมีความเป็นไปได้มาก   ทำนองเดียวกับเรื่องสตาร์วอร์   ที่วางคอนเซ็ปของเรื่องอิงปรมัตถธรรมขั้นสูงในพุทธศาสนา   เป็นเรื่องบังเอิญที่น่าสนใจครับ)

ผู้คนก็พากันเลื่อมใสและด้วยคติที่มีความเชื่อเรื่องพระศรีอาริย์มาก่อน   จึงเชื่อว่าพระภิกษุรูปนี้คือ พระศรีอารยเมตตรัยโพธิสัตว์   ต่างก็พากันสร้างพระรูปเคารพโดยยึดเอารูปลักษณ์พระภิกษุองค์นี้ เป็นต้นแบบ   โดยมีนัยว่า   ผู้ใดมีพระรูปเคารพไว้สักการะบูชาแล้ว   ย่อมมีความมั่งมีทรัพย์สินเงินทอง   ไม่มีวันหมด   เช่นข้าวของในย่ามของท่าน   อุดมสมบูรณ์ทั้งร่างกายและจิตใจ   เพราะท่านอ้วนพุงพลุ้ย   แปลว่ามีกินมีใช้ไม่ขาดปากขาดมือ   เด็กๆชอบห้อมล้อมหน้าหลังเนืองๆ   ก็หมายความว่าจะมีลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมือง   ไม่ขาดเชื้อสายสืบวงศ์สกุล
 
( ผมว่านี่เป็นความฉลาดหรือภูมิปัญญาของคนโบราณ   ที่ท่านฉลาดในการสื่อ   แล้วแฝงปรัชญาการดำรงชีพเอาไว้ได้สนิทแนบเนียน   แถมสามารถรักษาไว้ในลักษณะนี้ได้ยาวนาน   เพราะผู้คนย่อมแสวงหาแต่สิ่งที่ดีอย่างนี้เสมอ   พื้นฐานดั้งเดิมของคนทั่วไปก็มักจะรับไว้ได้ไม่ยากนัก)

นั่นคือตำนานที่มาของพระรูปเคารพ   พระศรีอารยเมตตรัยมานุษิโพธิสัตว์ ( หรือที่ชาวบ้านเข้าใจและเรียกกันว่าพระสังกัจจายน์จีนนั่นแหละครับ)

การจัดวางหรือประดิษฐานพระรูปเคารพพระโพธิสัตว์พระองค์นี้   ตามคติของมหายาน   จะต้องจัดวางไว้เป็นอันดับแรกของพระรูปทั้งหมด   หมายความว่าเมื่อเดินเข้าไปในเขตสังฆาวาสของมหายาน   ด่านแรกที่เห็นก็จะเป็นพระรูปพระโพธิสัตว์พระองค์นี้เป็นเบื้องแรก   นั่งหันพระพักตร์ออกมาข้างหน้า(หันหลังให้โบสถ์) ห้อมล้อมด้วยท้าวจัตตุโลกบาลทั้งสี่   ซึ่งเทพอภิบาลหรือธรรมบาลนี้   ผูกพันกับพระพุทธศาสนาอย่างลึกซึ้งตั้งแต่ต้นจนจบ   มีรายละเอียดเกี่ยวข้องอยู่มากเหมือนกัน   แต่ผมจะไม่ลงไปในรายละเอียดแล้วล่ะครับ   เพราะได้เขียนเรื่องราวส่วนนั้นแยกเอาไว้ให้ได้อ่านกันแล้ว

ด้านหลังของพระรูปเคารพนี้จะต้องจัดวางพระรูปเคารพขององค์พระเวทโพธิสัตว์   ประทับยืนเอาปฤษฏางค์พิงกันไว้อีกพระองค์หนึ่ง(ผินพระพักตร์เข้าหาอุโบสถ)   หมายความว่ามีพระรูปพระโพธิสัตว์สองพระองค์   เอาหลังพิงกัน   องค์หนึ่งหันหน้าออก   อีกองค์หันหน้าเข้าหาตัวโบสถ์ (หันหน้าเข้าหาพระประธานในโบสถ์)   ถัดเข้าไปตรงกึ่งกลางจะเป็นตัวโบสถ์ประดิษฐานพระประธาน   แล้วแยกออกสองข้างเป็นมุขซ้ายขวา   ด้านซ้ายมือของเราจะเป็นมุขที่ประทับของพระรูปเคารพพระกษีติครรภมหาโพธิสัตว์ ส่วนมุขด้านขวาจะเป็นที่ประทับของพระรูปเคารพ พระอวโลกิเตศวรกวนอิมมหาโพธิสัตว์
 
ในพระอุโบสถนั้นจะมีองค์พระประธาน “ รูปลักษณ์เหมือนกันทุกอย่าง ” เรียงกัน 3 องค์   จากขวาคือ   พระอมิตภะพุทธเจ้า องค์กลางคือ พระศรีศากยมุนีพระพุทธเจ้า ( พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน)   และองค์ซ้ายคือ   พระไภษัชยคุรุพุทธเจ้า   ถือเป็นพระรัตนสูงสุดของมหายานดังที่ได้กล่าวไว้แล้วในตอนต้น

อธิบายความโดยบุคลาธิษฐานธรรมได้ว่า   พระพุทธรูปทั้งสามนั้น   มีนัยหมายถึง “ ตรีกาย ” ของพระพุทธเจ้าคือ นิรมาณกาย ,  ธรรมกายและสัมโภคกาย นี่เป็นประการหนึ่ง
 
ความเหมือนกัน “ ทุกอย่าง ” ของพระพุทธรูปทั้งสามพระองค์   อธิบายโดยธรรมาธิษฐานได้ว่า   มีพระประสงค์เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันคือ   พุทธกิจในการโปรดสรรพสัตว์ทั้งปวง   ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์เทพเทวดา   ปีศาจยักษ์มาร   ให้ล่วงพ้นจากความทุกข์ พาข้ามห้วงโอฆสงสาร   มุ่งสู่แดนสุขาวดีพุทธเกษตรมณฑลเป็นที่สุด   นี่เป็นนัยอีกประการหนึ่ง

พระอวโลกิเตศวรกวนอิมมหาโพธิสัตว์นั้น   อยู่ทางเบื้องขวา   มีนัยว่าช่วยพุทธกิจข้างต้น   โดยมุ่งเน้นไปที่มนุษย์และเทวดา   และมีภาระที่หนักหนาสาหัสสากรรจ์ทีเดียว   เรื่องนี้ต้องยกเอาไว้ว่ากันเป็นฉากๆไป ส่วนพระกษิติครรภมหาโพธิสัตว์(ชาวแต้จิ๋วเรียก พระตี่จั๊ง)อยู่ทางเบื้องซ้าย มีนัยว่าช่วยปลดเปลื้องความทุกขเวทนาของสรรพสัตว์ทั้งหลายในนรกภูมิ
 

Tags: