นักธรรม

ห้องครัว นักธรรม => เคล็ด(ไม่)ลับเพื่อสุขภาพ => ข้อความที่เริ่มโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 28/07/2013, 19:16

หัวข้อ: ทำไมไม่ควรกินก๋วยเตี๋ยวร้อนๆ คู่กับเครื่องดื่มเย็น 1
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 28/07/2013, 19:16
(July 28) ทำไมไม่ควรกินก๋วยเตี๋ยวร้อนๆ คู่กับเครื่องดื่มเย็น ทำไมไม่ควรดื่มนมคู่ผลไม้รสเปรี้ยว ฯลฯ 'อายุรเวท' ศาสตร์ของการมีอายุยืนจะตอบคำถามนี้

อายุรเวท (Ayurveda) รากศัพท์มาจากคำในภาษาสันสกฤต 2 คำคือ 'อายุส' หมายถึง อายุยืนยาว และ 'เวท' หมายถึง องค์ความรู้ (หรือ ‘ศาสตร์’) อายุรเวทจึงหมายถึง ศาสตร์ของการมีอายุยืน เกิดขึ้นในประเทศอินเดียเมื่อห้าพันปีมาแล้ว เน้นให้ความสำคัญกับสุขภาพในองค์รวม ทั้งร่างกาย จิตใจ และความคิด นับเป็นศาสตร์การแพทย์ทางเลือกเก่าแก่ที่สุดศาสตร์หนึ่งของโลกที่สืบทอดมาถึงปัจจุบัน และกำลังกลับมาได้รับความสนใจมากขึ้นเรื่อยๆ

ปรัชญาตามแนวคิด ‘อายุรเวท’ ยอมรับว่า คนเราแต่ละคนล้วนมีรูปแบบ การรวมเข้าด้วยกันของพลังงาน ที่เป็นเอกลักษณ์เป็นรายบุคคล

การรักษาค้ำจุนภาวะสมดุลระหว่าง ร่างกาย จิตใจ และ ความคิด ช่วยให้ร่างกายเกิด พลังงาน (Energy) ที่น่าพึ่งพอใจอย่างที่สุด


เมื่อร่างกายมี ‘พลังงาน’ คุณจะรู้สึกเป็นหนุ่มเป็นสาว (Young) แม้อายุจะมากขึ้นก็ตาม

นอกจากสร้างสมดุลเพื่อให้เกิดพลังงานภายในร่างกายแล้ว ‘อายุรเวท’ ยังช่วยให้พลังงานนั้นไหลไปตาม เอ็นเนอร์ยี ไลน์ (Energy Lines) ภายในร่างกาย


“เอ็นเนอร์ยี ไลน์ เป็นเส้นภายในร่างกายที่มองไม่เห็น ความจริงคือไม่มีเส้น แต่ถ้าเรากดตามตำแหน่งนั้น เราสามารถสร้างให้พลังงานไหลไปตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย เพื่อให้เรามีพลังทำสิ่งต่างๆ ในชีวิต” ดร.สุชาดา มาร์วาห์ (Dr.Suchada Marwah) ผู้ก่อตั้ง Ayu Holistic Healing Center (ศูนย์อายุรเวทองค์รวม) ในจังหวัดเชียงใหม่ กล่าว


“สมมุติพลังงานเปรียบเหมือนกระแสไฟฟ้า เรามองไม่เห็น เราเห็นแต่สายไฟ ถ้าเรามีพลังงาน และพลังงานไหลไปทั่วร่างกายเป็นปกติ เราจะมีความสุข มีความรู้สึกดี อยากทำสิ่งต่างๆ วิ่ง เต้นรำ เช่นเดียวกันถ้าคุณมีสายไฟ แต่ไม่มีกระแสไฟฟ้า ก็ไม่มีอะไรเกิดอะไรขึ้น” ดร.ราจีฟ มาร์วาห์ (Dr.Rajeev Marwah) ผู้ร่วมก่อตั้ง Ayu Holistic Healing Center ยกตัวอย่าง

พูดง่ายๆ คือถ้าเรามี ‘พลังงาน’ หรือ ‘พลังชีวิต’ เราก็จะรู้สึกกระปรี้กระเปร่า สดชื่น มีเรี่ยวแรง อยากทำนั่นอยากทำนี่ ตรงกันข้าม หากร่างกายไม่มีพลังงาน เราก็จะรู้สึกเซื่องซึม หดหู่ ไม่กระตือรือร้น ฯลฯ


“แต่เราอยู่ในโลกสมัยใหม่ที่คนส่วนใหญ่ต้องการดูสวยดูดี แก้มเป็นสีชมพูระเรื่อ นั่นคือสิ่งภายนอกที่มองเห็น แต่นั่นเป็นผลมาจากการไหลของพลังงานภายในร่างกาย(energy flows) ถ้าคุณได้พลังงานกลับคืนมา คือ ระบบย่อยอาหารที่สมดุล ระบบหมุนเวียนโลหิต การนอนหลับที่ดีขึ้น นี่คือสิ่งที่คุณมองเห็นได้ทางกายภาพจากภายนอก และจะเห็นในอีกสามวันข้างหน้า” ดร.ราจีฟ กล่าว


คำว่า “สามวันข้างหน้า” ของ ดร.ราจีฟ หมายถึง โปรแกรมคืนความอ่อนเยาว์ให้แก่ร่างกายและจิตใจ (Anti-ageing Program) แพ็คเกจพิเศษระยะสั้น 3 วัน 2 คืน ดูแลสุขภาพด้วยวิถีธรรมชาติแบบอายุรเวท ภายใต้การดูแลและให้คำปรึกษาแนะนำอย่างใกล้ชิดโดยดร.ราจีฟและดร.สุชาดา


สองสามีภรรยานักอายุรเวทซึ่งดูสดชื่นกระปรี้กระเปร่าอยู้เสมอ ดร.ราจีฟ (Internationally Certified Professor of Holistic Medicine จาก Open International University of Complementary Medicine กรุงโคลอมโบ ประเทศศรีลังกา) และ ดร.สุชาดา(Internationally Certified Doctor of Ayurvedic Medicine จาก Open International University of Complementary Medicine กรุงโคลอมโบ ประเทศศรีลังกา) ต่างเป็นผู้มีความรู้และมีความเชี่ยวชาญในศาสตร์ของอายุรเวท มีประสบการณ์ยาวนาน เคยให้การบำบัดประจำสปาโรงแรมในเครือแมนดารินโอเรียนเต็ล เคยดำรงตำแหน่งประธานในการจัดงาน World Congress of Holistic Medicine มาแล้ว 2 ครั้ง เป็นที่ปรึกษาด้านอายุรเวทให้กับกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและแพทย์ทางเลือกของกระทรวงสาธารณสุข, ในปีค.ศ. 2010 ดร.ราจีฟได้รับรางวัลอาสาสมัครบริการ จากประธานาธิบดี บารัค โอบามา แห่งสหรัฐอเมริกาจากการที่ได้อุทิศตนเพื่อศาสตร์ในการบำบัดด้วยวิถีธรรมชาติ เป็นอาทิ


แพ็คเกจพิเศษสำหรับโปรแกรมนี้เป็นความร่วมมือระหว่าง Ayu Holistic Healing Center ของดร.มาร์วาห์ซึ่งดูแลการทำทรีตเมนต์บำบัด และ ลา วิลเลทต้า (La Villetta, Design Serviced Apartment Bed & Breakfast) ตั้งอยู่ที่ถนนเกาะกลาง ซอย 1 ตำบลหนองหอย ให้บริการที่พักสำหรับผู้เข้ารับการทำทรีตเมนต์ ใช้เวลาเดินทางไปยังศูนย์อายุรเวทฯ ได้ภายใน 15 นาที


ดร.ราจีฟและดร.สุชาดาเลือกสรรที่พักของ ลา วิลเลทต้า เนื่องจากมีบรรยากาศเป็นส่วนตัวใกล้เคียงกับบ้านพักอาศัย ตัวอาคารที่พักขนาด 14 ห้องที่มีดีไซน์โมเดิร์นกึ่งเรโทรตั้งอยู่ท่ามกลางสวนอันร่มรื่นและจัดแต่งไว้สวยงาม เหมาะแก่การพักผ่อนในระหว่างช่วงพักการนวดบำบัดของแต่ละวัน ดูแลมาตรฐานบริการโดย ชลีนุช วิสิทธิ์ และทีมงานที่มากด้วยประสบการณ์จากโรงแรมชั้นนำในเครือเชอราตัน แมนดารินโอเรียนเต็ล และเพนนินซูลา

'อายุรเวท' เป็นศาสตร์ของการมีอายุยืน ด้วยการสร้างสมดุลให้กับระบบการทำงานต่างๆ ภายในร่างกายผ่านทรีตเมนต์การนวดบำบัด ประกอบกับ การปรับรูปแบบการใช้ชีวิต (Lifestyle)ให้สอดคล้องกับแนวคิดอายุรเวท ซึ่งนั่นหมายรวมถึง การรับประทานอาหาร ด้วยนั่นเอง
หัวข้อ: ทำไมไม่ควรกินก๋วยเตี๋ยวร้อนๆ คู่กับเครื่องดื่มเย็น 2
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 28/07/2013, 19:21
การรับประทานอาหารเป็นความสำคัญส่วนหนึ่งของการสร้างสมดุลตามหลักอายุรเวท เพราะ 'พลังงาน' เกิดจากการรับประทานอาหาร


หากไม่เลือกประเภทอาหารให้ดี แทนที่ร่างกายจะได้พลังงาน ก็อาจกลับกลายเป็นไขมันส่วนเกิน นำมาซึ่งการเสียสมดุลและโรคภัยไข้เจ็บ

ที่สำคัญ ร่างกายคนเราแต่ละคนมี ธาตุประจำตัว (body type) ไม่เหมือนกัน ประเภทของอาหารที่จะสร้างสมดุลให้ร่างกายแต่ละคนจึงไม่เหมือนกัน


ดร.สุชาดา ยกตัวอย่างบุคคลซึ่งเกิดมาในขณะที่ดวงดาวเต็มไปด้วยสัญลักษณ์ของธาตุลมและธาตุน้ำ หมายความว่าพื้นฐานร่างกายของคนผู้นั้นมี ความเย็น อยู่แล้ว หากรับประทานอาหารที่เป็น 'ธาตุเย็น' เข้าไปอีก ร่างกายจะเย็นเกินไป หมายถึงการเสียสมดุล ทำให้ร่างกายขาดพลังงาน อ่อนแอ ไม่แข็งแรง จึงควรสร้างสมดุลด้วยการเลือกอาหารที่เมื่อรับประทานแล้วให้ความร้อนตามธรรมชาติกับร่างกาย เช่น อาหารที่ส่วนผสมของขิงและใบกะเพรา


อายุรเวท เป็นการศึกษาเรื่องราวและปรับสมดุล เฉพาะบุคคล หรือเรียกตามภาษาวัยรุ่นว่า “ทำแทนกันไม่ได้”

ดังนั้นผู้สนใจเข้ารับการบำบัดแบบอายุรเวทกับดร.มาร์วาห์ จึงควรเตรียมข้อมูล วันเดือนปีเกิด สถานที่เกิด และ เวลาเกิด ไปด้วย เพื่อความถูกต้องในการระบุธาตุประจำตัวตั้งแต่วันแรกของโปรแกรม

อายุรเวทไม่เพียงแต่บอกว่าผู้มีพื้นฐานธาตุประจำตัวเป็นธาตุเย็น ควรกินอาหารธาตุร้อน แต่ยังให้คำแนะนำที่ลึกลงไปถึง ชนิดของอาหาร ชนิดผัก-ผลไม้ ชนิดสมุนไพร ฯลฯ ซึ่งเป็นข้อมูลที่ดร.มาร์วาฮาจะแนะนำเป็นรายบุคคลตามลักษณะเฉพาะของธาตุประจำตัวที่แตกต่างกันไปนั่นเอง


โปรแกรมบำบัดเริ่มในเวลา 10.00 น. ของทุกวัน ลา วิลเลทต้าซึ่งเป็น Bed & Breakfast เซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ รับหน้าที่จัดเตรียมบริการอาหารเช้าตามคำแนะนำของดร.มาร์วาห์

หลังจากทำทรีตเมนต์เป็นเวลา 2 ชั่วโมง ดร.มาร์วาห์จัดเตรียมอาหารกลางวันตามหลักอายุรเวทไว้ให้ เช่น คิตชารี (Kitchari) ประกอบด้วยข้าว 1 ส่วน ถั่วเขียว 3 ส่วน ปรุงรสด้วย กี (Ghee) เนยอินเดียทำจากนม และสมุนไพร จีร่า (Jeera) เมนูนี้คล้ายข้าวต้ม รสชาติอ่อนๆ กินง่าย


ดร.สุชาดากล่าวว่า ด้วยส่วนผสมต่างๆ ทำให้ ‘คิตชารี’ เป็นหนึ่งในเมนูฟื้นฟูระบบย่อยอาหารได้เป็นอย่างดี กินมากเท่าใดก็ได้ในหนึ่งมื้อ เนื่องจากย่อยง่าย อิ่มท้อง แต่ไม่หนักกระเพาะอาหาร สมุนไพรจีร่ายังมีสรรพคุณช่วยในการขับถ่ายล้างพิษ สามารถทำกินได้ 3 วัน/สัปดาห์ หรือ 1 วัน/สัปดาห์ก็ได้


อีกหนึ่งเมนูในโปรแกรมคือ ข้าวมธุปายาส (Khir หรือ Kheer) ทำจากข้าวหุงผสมกับนม น้ำตาลอ้อย อัลมอนด์ ปรุงรสด้วยลูกกระวานเขียว (Cardamom) สมุนไพรช่วยย่อยอาหาร ในเชิงอายุรเวทเมนูนี้คือเมนูสร้างพลังงานได้เป็นอย่างดี ดร.สุชาดาแนะนำว่า หากวันใดรับประทานเมนูนี้แล้ว ไม่ควรกินอาหารประเภทเนื้อสัตว์อีกในวันนั้น เพราะร่างกายจะได้รับโปรตีนส่วนเกิน
หัวข้อ: ทำไมไม่ควรกินก๋วยเตี๋ยวร้อนๆ คู่กับเครื่องดื่มเย็น 3
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 28/07/2013, 19:26
หลังจากรับประทานอาหารกลางวัน ศูนย์อายุรเวทจัดรถพากลับไปส่งยังที่พัก เพื่อใช้เวลาพักผ่อนส่วนตัว เพราะหลังจากทำทรีตเมนต์แล้ว คนซึ่งใช้ชีวิตกรำงานหนักหรือร่างกายเหนื่อยล้ามากๆ มักรู้สึกง่วงนอน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพปัญหาของร่างกายแต่ละคนก่อนหน้านี้ เรียกสภาวะนี้ว่า Healing Crisis บางคนอยากนอนหลับ บางคนอาจแค่ต้องการพักผ่อนสบายๆ ซึ่งสามารถทำได้หลายอย่างที่ ลา วิลเลทต้า เช่น นอนอ่านหนังสือ แช่ตัวในสระน้ำจากุชชี หรือจะขี่จักรยานของที่พักออกชมบริเวณใกล้เคียงที่มีบ้านเก่าสวยๆ อยู่หลายหลังก็ได้ แต่ขอให้กลับมาให้ทันเวลา 16.00 น.เพื่อรับประทานของว่างตามโปรแกรมคือผลไม้สดและน้ำผลไม้


ส่วนอาหารมื้อเย็นก็เป็น เซตเมนูอายุรเวท ซึ่ง ลา วิลเลทต้า จัดให้ตามคำแนะนำของดร.มาร์วาห์


แต่ด้วยความที่ที่พักตั้งอยู่ใกล้ย่านของอร่อยของ 'หนองหอย' คุณสามารถออกไปหาของอร่อยในย่านนั้นเลือกรับประทานเองก็ได้ สอบถามข้อมูลร้านอร่อยได้จากเจ้าหน้าที่ของที่พัก หรือถ้าไม่อยากออกไปไหน จะให้ ลา วิลเลทต้า จัดเตรียมเพิ่มเติมในส่วนนี้ก็ได้ ค่าบริการขึ้นอยู่กับอาหารที่เลือก

หากออกไปหาอาหารรับประทานเอง ต้องอย่าลืมเลือกรับประทานอาหารตามคำแนะนำของดร.มาร์วาห์ อาหารแต่ละประเภทมีประโยชน์ก็จริง แต่อายุรเวทก็มีศาสตร์ในกินอาหาร อาหารบางชนิดไม่ควรกินคู่กัน เนื่องจากทำให้ร่างกายเสียสมดุล


บ่อยครั้งที่เรากินอาหารแล้วรู้สึกไม่สบายท้อง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเรากินอาหารที่ไม่ควรกินคู่กัน

ดร.สุชาดา ยกตัวอย่างอาหารประเภท นม ไม่เข้ากับ เนื้อสัตว์ เนื่องจากทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานช้า อาหารไม่ถูกย่อยโดยสมบูรณ์ ร่างกายดูดซึมสารอาหารไม่ได้เต็มที่
ไม่ควรกิน อาหารร้อน คู่กับ อาหารที่มีความเย็น เช่น เมื่อสั่ง ‘อาหารตามสั่ง’ ซึ่งปรุงสุกและยังมีความร้อน ไม่ควรกินคู่กับน้ำดื่มที่มีความเย็น(แช่เย็นหรือใส่น้ำแข็ง) หรือตามด้วยการกินขนมหวานที่มีความเย็น ของร้อนและของเย็นที่กินเข้าไปพร้อมกันทำให้เกิด ‘อากาศ’ ซึ่งจะไปรวมตัวอยู่ตามจุดอ่อนแอภายในร่างกาย นั่นก็คือ ‘ข้อต่อ’ เมื่อสะสมนานวันเข้าจึงทำให้เกิดอาการข้อบวมและปวดข้อนั่นเอง


ดร.สุชาดา แนะนำ การกินอาหารแบบอายุรเวท สำหรับบุคคลทั่วไป นำไปเป็นหลักการพื้นฐานเบื้องต้นเพื่อสร้างสุขภาพที่ดี ไว้ดังนี้

# ข้อปฎิบัติในการรับประทานอาหารแนวอายุรเวท
1. อาหารที่รับประทานควรมีรสชาติครบทั้ง 6 รสชาติ คือ เปรี้ยว หวาน มัน เค็ม ขม เผ็ด โดยไม่มีการใช้สารปรุงแต่งรสชาติใดๆ ทั้งสิ้น
2. ควรรับประทาน อาหารอ่อนๆ แต่รับประทานอาหารบ่อยครั้ง โดยเติมอาหารลงไปในท้องเพียงครึ่งท้อง แล้วเติมด้วยน้ำดื่มอีก 1/4 ส่วน และเหลือที่ว่างไว้สำหรับการย่อยอาหาร
3. ควรรับประทานอาหารมื้อเช้าก่อนเวลา 09.00 น. อาหารมื้อกลางวันระหว่างเวลา 12.00-14.00 น. และอาหารมื้อเย็นก่อนเวลา 18.00 น. หรือก่อนเข้านอนประมาณ 4 ชั่วโมง
4. อาหารที่รับประทานควรเป็นอาหารปรุงสดใหม่ หลีกเลี่ยงอาหารกระป๋องหรืออาหารแช่แข็ง เนื่องจากไม่มีพลังงานพอที่จะช่วยเพิ่มแร่ธาตุให้กับร่างกายได้
5. อาหารที่จะรับประทาน ควรได้รับการเตรียมด้วยความรัก ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ความรู้สึกดีต่อกัน และหลีกเลี่ยงการทำอาหารหรือเตรียมอาหารด้วยความโกรธ ความฉุนเฉียว หรือแม้แต่ในขณะที่อารมณ์ไม่ดี
6. ขณะที่รับประทานอาหาร ควรรับประทานอาหารเพียงอย่างเดียว หมายถึงหลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมอื่นๆ ประกอบไปด้วย เช่น การดูโทรทัศน์ การฟังเพลงเสียงดัง การโต้เถียง และการเล่นอินเทอร์เน็ต
7. หลีกเลี่ยงการดื่มน้ำเย็นก่อนหรือระหว่างการรับประทานอาหาร ควรใช้การจิบน้ำอุ่นแทน
8. หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่ไม่ชอบ เนื่องจากทำให้รู้สึกไม่สบายตัวและไม่สบายใจ
9. หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่เข้ากันไม่ได้ดังนี้
- อาหารที่ร้อนและอาหารที่เย็น เช่น ก๋วยเตี๋ยวร้อนๆ กับเครื่องดื่มเย็นๆ เพราะจะทำให้ข้อบวม และตามมาด้วยอาการเจ็บตามข้อ
- การดื่มนมคู่กับผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว เนื้อปลา เนื้อสัตว์ และโยเกิร์ต เพราะจะทำให้เรามีกรดในกระเพาะอาหาร
- มันฝรั่งและมะเขือยาวกับไข่และนม, กล้วยและแตงโม หรือผลไม้จำพวกเมลอนต่างๆ
- โยเกิร์ตกับผลไม้รสเปรี้ยว เนื้อสัตว์ ปลา เนยแข็ง และเครื่องดื่มร้อน เพราะจะทำให้เกิดกรดในกระเพาะอาหารและอาการท้องป่อง
- น้ำผึ้ง ไม่ควรถูกทำให้ร้อนหรือปรุงแต่ง
- มะนาวกับแตงกวา นม และโยเกิร์ต
10. สลัดเย็น ไม่ควรรับประทานระหว่างรับประทานอาหารร้อน
11. ไม่ควรรับประทานผลไม้ทันทีหลังรับประทานอาหารมื้อหลักนั้นๆ โดยเฉพาะกล้วยสุกและมะม่วงสุก เพราะเป็นการสร้างน้ำหนักให้ร่างกาย และร่างกายจะอมน้ำ


แต่การกินแบบอายุรเวทใช่ว่าเป็นการกินอย่างไม่มีความสุข เช่น หากต้องการกินของเย็น เช่น ไอศกรีม น้ำแข็งปั่น ก็ควรกินหลังจากการกินอาหารปรุงสุกผ่านไปสองชั่วโมง เพื่อลดการปะทะกันระหว่างของร้อนและของเย็นภายในร่างกาย เป็นต้น


# ทรีตเมนต์อายุรเวท Anti-ageing Program
วันแรก : เริ่มด้วยการทำแบบสอบถามเกี่ยวกับลักษณะทางกายภาพตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ข้อมูลโรคประจำตัว อาการบาดเจ็บหรือเจ็บป่วยที่ต้องการบำบัด ฯลฯ เพื่อประเมินสุขภาพเบื้องต้นและจัดทรีตเมนต์บำบัดที่เหมาะสม
หลังจากแจ้งเกี่ยวกับอาการปวดหลังส่วนล่างบ้าง กับอาการปวดศีรษะได้ง่าย ดร.มาร์วาห์จัดให้เธอราพิสต์เริ่มปรับสมดุลภายในร่างกายผู้เขียนด้วยทรีตเมนต์การนวดบำบัดแบบอายุรเวท โดยใช้ ลูกประคบ ที่มีส่วนผสมของข้าว นม สมุนไพรสด จุ่มลงใน น้ำมัน (Natural Ayu Certified Oils) ซึ่งอุ่นไว้จนมีความอุ่น-ร้อน น้ำมันนี้ดร.มาร์วาห์พัฒนาสูตรตามหลักอายุรเวท เป็นน้ำมันธรรมชาติ 100% จากงาดำ มะพร้าว เมล็ดทานตะวัน อัลมอนด์ เป็นอาทิ ไล่ไปตามเส้นพลัง (Energy Lines) ทั่วร่างกายทั้งด้านหลังและด้านหน้า


ทรีตเมนต์เน้นความร้อน เพราะถ้ามีบริเวณที่ตึงหรือถูกปิดกั้น เราไม่จำเป็นต้องกดหนักเพื่อเปิด เราแค่ใช้ความร้อนและรู้ตำแหน่งที่ถูกต้อง จะเปิดจุดนั้นได้อย่างนุ่มนวลโดยไม่เจ็บปวด ดร.สุชาดา กล่าวและว่า น้ำมันที่ใช้เป็นน้ำมันธรรมชาติคุณภาพดีที่สุด ไม่ใช่น้ำมันทำอาหารทั่วไป สามารถซึมลงใต้ผิวหนังได้ลึก 7 ระดับ เป็นสื่อนำสรรพคุณสมุนไพรสดที่ใช้ในลูกประคบลงไปบำบัดได้จริง

ต่อด้วยทรีตเมนต์ Leap คือใช้แป้งอายุรเวทที่ทำจากแป้งโฮลวีตผสมขมิ้นและสมุนไพร วางขดไว้เหมือนเขื่อนบนตำแหน่งหลังส่วนล่าง แล้วใช้น้ำมันอายุรเวทผสมสมุนไพรที่สอดคล้องกับธาตุประจำตัวเทลงไป

รวมเวลาใช้ลูกประคบและการทำ Leap 90 นาที จากนั้นเป็นการนวดศีรษะและใบหน้าอีก 30 นาที

หลังเสร็จทรีตเมนต์ทั่วร่างกายและศีรษะจะชื้นด้วยน้ำมันอายุรเวท ดร.มาร์วาห์ขอให้เก็บน้ำมันนี้ไว้ประมาณสองชั่วโมงเพื่อให้ร่างกายซึบซับสรรพคุณสมุนไพร แล้วจึงค่อยอาบน้ำสระผม

วันที่สอง : หลังจากพูดคุยสอบถามถึง อาการหลังการทำทรีตเมนต์ (Healing Crisis) ดร.มาร์วาห์ก็จะเลือกทรีตเมนต์ที่เหมาะสมให้ ยังคงเป็นการนวดปรับสมดุล แต่เน้นการนวดที่บริเวณหลังช่วงล่าง หลังช่วงบน เป็นช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยความผ่อนคลาย เบาสบาย


วันที่สาม : ก่อนเริ่มทำทรีตเมนต์ ดร.มาร์วาห์ตรวจชีพจรที่ข้อมือทั้งสองข้าง ศีรษะ หน้าอก หน้าท้อง และเท้า รวมทั้งดูความปกติของดวงตาและลิ้น เสร็จแล้วจึงให้คำแนะนำเกี่ยวกับวิธีใช้ชีวิตและการเลือกรับประทานอาหารที่เหมาะสมกับธาตุประจำตัวเพื่อรักษาสมดุลภายในร่างกาย


ตลอดระยะเวลา 3 วันของการเข้าโปรแกรม ดร.มาร์วาห์ขอร้องให้งดการใช้โทรศัพท์มือถือหรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เนื่องจากความถี่คลื่นส่งของอุปกรณ์เหล่านี้มีผลต่อระบบความสมดุลของร่างกายที่กำลังปรับตัวเอง หากจำเป็นต้องใช้โทรศัทพ์ก็ควรเปิดสปีกเกอร์โฟนพูดห่างๆ โทรทัศน์ดูได้แต่ขอให้เป็นรายการสาระเบาๆ

เมื่อครบโปรแกรมสามวันจึงทราบว่า วันแรกเธอราพิสต์ไม่สามารถไล่ 'เส้น' ที่คู่ไปกับกระดูกสันหลังได้ตลอด เหมือนเส้นที่อยู่ตรงช่วงหลังส่วนบนด้านขวาเคลื่อนออกไปจากแนว อาจเกิดจากการนั่งทำงานติดต่อกันเป็นเวลานานหรือนอนผิดท่า ส่วนระบบย่อยอาหารก็ตึงมาก

แพ็คเกจอายุรเวทสามวันสองคืนเปรียบเสมือนหลักสูตรเร่งรัดแบบเข้มข้นที่ทำให้ร่างกายได้เริ่มต้นปรับสู่สมดุล ดังนั้นมร.มาร์วาห์จึงแนะนำกึ่งขอร้องให้ผู้ผ่านโปรแกรม ลองปฎิบัติตัวกิน-อยู่แบบอายุรเวทให้ได้ 21 วันต่อเนื่อง แล้วลองสังเกตความเปลี่ยนแปลงดีๆ ที่จะเกิดขึ้นกับตนเองอีกครั้ง


“21 วันเป็นกลอุบายอย่างหนึ่ง อะไรก็ตามที่เราทำต่อเนื่อง 21 วัน จะกลายเป็นนิสัย” ดร.สุชาดา กล่าว

ดร.ราจีฟกล่าวเพิ่มเติมว่า คนเรามักรอให้เจ็บไข้ได้ป่วยก่อนแล้วจึงไปโรงพยาบาล แต่อายุรเวทช่วยเตรียมร่างกาย ป้องกันปัญหาที่ยังมองไม่เห็น เราทุกคนเคยเป็นเด็กเป็นวัยรุ่น แต่เมื่ออายุสี่สิบ เจ็ดสิบ จะปฎิบัติตัวเหมือนสมัยที่ยังเป็นเด็ก ย่อมเป็นไปไม่ได้ เมื่อร่างกายมีอายุมากขึ้น เราต้องมีวินัยมากขึ้น


อายุรเวทไม่ได้บอกว่าเมื่อเจ็บไข้ได้ป่วยแล้วไม่ต้องไปพบแพทย์ คุณยังคงต้องไปพบแพทย์แผนปัจจุบันผู้เชี่ยวชาญ แต่อายุรเวทช่วยให้เกิดการฉุกคิดว่าจะกินอย่างไร ใช้ชีวิตอย่างไร ใส่ใจสุขภาพมากขึ้น เพื่อรักษาสมดุลภายในร่างกาย

อาการเจ็บป่วยของคุณจะดีขึ้นหรือไม่ แพทย์เฉพาะทางจะเป็นผู้บอกได้จากการทดสอบในห้องแล็บที่ได้รับการรับรอง

แต่อายุรเวทช่วยให้ 'ความหวัง' ได้

Source: กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
ภาพ: www.goodfoodgoodlife.in.th          ขอบคุณค่ะ