นักธรรม

ห้องครัว นักธรรม => เคล็ด(ไม่)ลับเพื่อสุขภาพ => ข้อความที่เริ่มโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 30/06/2013, 10:16

หัวข้อ: ความรักคืออะไร ตอนที่ 2 - ตอนที่ 1
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 30/06/2013, 10:16
ความรักคืออะไร (ตอนที่7:ความรัก10มิติ:ประเภพของความรัก)

.....เมื่อเอ่ยคำว่ารัก มนุษย์ปุถุชนธรรมดาย่อมเข้าใจไปในทางว่า เป็นเรื่องของคนสองคน ที่เข้าใจกันว่า เป็นความรักแบบหนุ่มสาว เป็นเรื่องของการใช้ชีวิตคู่ ที่สุดท้ายลงเอยด้วยการแต่งงานอยู่กินด้วยกัน ซึ่งแต่ละคู่ก็จะมีความยึดมั่นถือมั่น ยึดติด ครอบครอง (เธอรักฉัน ฉันรักเธอ เธอต้องเป็นของฉัน ฉันต้องเป็นของเธอ แต่เพียงผู้เดียว)แตกต่างกันไป ตามแต่กรอบความคิดของแต่ละคนไป...

.....จากบทความ ความรักคืออะไร (ตอนที่6:ความรัก10มิติ:นิยามแห่งรัก) ความรัก คือ อาการชอบใจผสมความยินดี ที่พร้อมกับมีความปราถนาดีอย่างสัมมาทิฎฐิ ตามคำนิยามนั้น

.....แท้จริงแล้ว ยังมีเหตุปัจจัยมากมาย ที่ทำให้จิตใจของมนุษย์มีอาการดังกล่าวได้ เช่น พ่อ แม่รักลูก: พ่อ แม่ก็จะมีความชอบใจผสมความยินดีในตัวบุตร...คุณครูรักลูกศิษย์: คุณครูก็จะมีความชอบใจผสมความยินดีในตัวลูกศิษย์...คุณรักเพื่อนคุณ: คุณก็จะมีความชอบใจผสมความยินดีในตัวเพื่อนคุณ...เรารักในหลวงเรา: เราก็จะมีความชอบใจผสมความยินดีในในหลวงของเรา...ฯลฯ...ยังมีตัวอย่างอีกมากมาย ที่เป็นเหตุปัจจัยของอาการดังกล่าว หรือเป็นเหตุปัจจัยของความรักได้ ซึ่งจะไม่ใช่แค่จำกัดอยู่ในกรอบแคบๆว่า ความรัก เป็นเรื่องของคนสองคน ที่เข้าใจกันว่า เป็นความรักแบบหนุ่มสาว เป็นเรื่องของการใช้ชีวิตคู่ ที่สุดท้ายลงเอยด้วยการแต่งงานอยู่กินด้วยกัน อีกต่อไป

.....เพราะฉะนั้น เวลามีใครมาบอกเรา หรือเราเข้าใจไปว่า เขารักเรา ก็จงใช้สติ พิจารณาว่า เหตุปัจจัยแห่งความรักนั้น คืออะไร ซึ่งในที่นี้ จะแบ่งความรักออกเป็น 10มิติ ดังนี้

.....ความรักมิติที่1: กามนิยม (เมถุนนิยม)
.....ความรักมิติที่2: พันธุนิยม
.....ความรักมิติที่3: ญาตินิยม
.....ความรักมิติที่4: ชุมชนนิยม
.....ความรักมิติที่5: ชาตินิยม
.....ความรักมิติที่6: สากลนิยม
.....ความรักมิติที่7: เทวนิยม
.....ความรักมิติที่8: อเทวนิยม
.....ความรักมิติที่9: นิพพานนิยม
.....ความรักมิติที่10: พุทธภูมินิยม

.....ในแต่ละมิติ มีความหมายและรายละเอียดอย่งไร ก็จะได้อธิบายเป็นตอนๆในบทต่อๆไป...

ขอบคุณครับ
นพ.ไมตรี พิชญังกูร   ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: ความรักคืออะไร ตอนที่ 8
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 30/06/2013, 10:18
ความรักคืออะไร: (ตอนที่ 8:ความรัก10มิติ:มิติที่1:กามนิยม1)

.....ในบทก่อนๆ เราได้นิยามว่า ความรักคืออาการทางจิต หรือสภาวะทางจิตที่มี "อาการชอบใจผสมความยินดี ที่พร้อมกับมีความปรารถนาดีอย่างสัมมาทิฎฐิ"

.....ความรักในมิติที่1: คือ ความรักที่เป็นเรื่องของความใคร่ เรื่องของกาม เรื่องของการสมสู่ของผู้หญิงผู้ชาย เรื่องของคน2คน หากจะเห็นแก่กันก็แค่อยู่ในวงวนของ "คนคู่" หรือคน2คน ซึ่งเป็นความรักที่เผื่อแผ่แก่กันอยู่แค่คน2คน...

.....ความรักมิตินี้ ถ้ายิ่งรักมากติดใจในรสกามของคู่ตน สุขสมในรสใคร่มากเท่าใดๆ ก็ยิ่งแคบมากเข้าๆเท่านั้นๆ มันเป็นวงแคบที่เห็นแก่แค่คู่รักคู่ใคร่ของตนเท่านั้น ถ้าแม้นติดมากยึดมาก ดูดดึงมาก ก็ยิ่งหวงแหนมาก ผูกมัดรัดรึงตรึงใจเป็นอุปทานแน่นขึ้นๆ...

.....และหากยิ่งมีแต่ความใคร่มากขึ้นๆก็ยิ่งจะมืดซ้ำดำกฤษณา เป็นความหลงใหลคลั่งไคล้และหึงจัดรัดรอบรุนแรง ไม่มีคนอื่นแทรกเข้าได้เลย มีอะไรก็ทุ่มโถมให้แก่เธอแก่ความรักที่หลงติดผูกแน่นนี้เท่านั้น หนักเข้าๆจะเห็นแต่แก่ตัว โดยอาศัยคู่ที่ตนรักสุดนั่นแหละเป็นเครื่องมือ หรือเป็นองค์ประกอบในการเสพสมสุขสมให้แก่ตน...

.....ยิ่งหลงในรสสุขนั้นมากเท่าใดก็ยิ่งยึดเป็นของตัวของตนสนิทเนียนเข้าเป็นตน กระทั่งถึงขั้นใครมองใครแตะต้องไม่ได้ จะหึงแรงจนถึงขั้นทำร้ายคนที่มากล้ำกรายได้ถึงขั้นเอาตายกันทีเดียว ซึ่งก็เคยเห็นตามข่าวบ่อยๆ...

.....อารมณ์ชนิดนี้ คือ ความเห็นแก่ตัวแท้ๆ คือ ความโลภเพื่อตัวเพื่อตนเต็มๆ คือ กามราคะสมบูรณ์แบบ หากจะเรียกว่า "ความรัก" ก็เป็นความรักที่ต้องการมาบำเรอตนนั่นเอง...

.....การบำเรอตนเอง ไม่ใช่ "ความรัก" การได้มาสมใคร่สมอยากแก่ตน เป็น "ความเห็นแก่ตัว"...

.....ใครถ้าแม้นถึงขั้นปฎิบัติต่อคู่ของตนเยี่ยงทาสหรือเยี่ยงวัตถุบำบัดความใคร่ ไม่มีใจเผื่อแผ่เกื้อกูลปรารถนาดีต่อคู่ของตน แม้ด้านกายภาพจะจ่ายวัตถุข้าวของเงินทองทรัพย์ศฤงคารให้ด้วยอากัปกิริยาที่ดูเหมือนมีน้ำใจเอื้อเอ็นดูเสียสละปานใดๆก็ตาม ก็เป้นเพียงค่าจ้าง ทุกอย่างเพื่อ "ตัวเอง"แท้ๆ คนผู้นี้ยังไม่ชื่อว่า "มีความรัก" เป็นแค่ผู้ "ให้" หรือผู้ "จ่าย" ค่าจ้าง เพื่อบำเรอความใคร่ของตน...

.....จนกว่าคนผู้นี้ จะมี "การเผื่อแผ่การเสียสละ"ให้แก่ "คู่" ของตน อย่างบริสุทธิ์ใจไม่ว่าจะ "ให้"วัตถุธรรมให้รูปธรรม หรือให้นามธรรม ถ้าให้มาก ใจสะอาดมากก็ "รัก"มาก ให้น้อย ใจสะอาดน้อยก็ "รัก"น้อย...เพราะการ "ให้" หรือ "สละ" ที่ออกไปจาก "ความรัก" เกิดจาก "ความรัก" นั้น จะมิใช่เพื่อแลกอะไรอย่างใดอย่างหนึ่งอยู่ เป็นอันขาด...

....."ความรัก" ไม่ใช่ "ความโลภ" หรือ "ความแลก" มาให้ตน...

.....หากยังมีความโลภใดๆที่เหลือเป็นเศษเป็นส่วนอันต้องการแลกเปลี่ยนกับสิ่งที่ตน "ให้" หรือตน "สละ" อยู่เท่าใดๆ ก็ลด "ค่าของความรัก"ลงตามจริงเท่านั้นๆ ยิ่งเป็นการ "ให้"หรือ "สละ" เพื่อแลกเอามา "เป็นของตนคนเดียว" หรือ "ทาสผู้ซื่อสัตย์ต่อตน" ที่ตนจะได้ทาสนั้นไว้บำเรอประโยชน์แก่ตนแต่เพียงผู้เดียว ก็ยิ่งมิใช่ "การให้-การสละ"เลย แต่เป็น "การซื้อ"แท้ๆตรงๆ ป่วยการกล่าวถึงคำว่า "ความรัก"...

.....ยิ่งชอบมาก ติดใจมากในรสกามของคู่ตน สุขสมในรสใคร่มาก ที่เห็นคู่เสพย์ของตนเจ็บปวดทุกข์ทรมาน ตนยิ่งสุขสะใจ(Sadist) นั่นยิ่งมิใช่ "ความรัก" แต่นั่นคือ การสุขสมอารมณ์ที่ตนชอบความรุนแรงโหดร้าย ซึ่งฝังอยู่ส่วนลึกในก้นบึ้งของจิตตนเอง อันเป็น "สัญชาตญาณหรืออนุสัย"(unconcious) ที่เจ้าตัวไม่สามารถหยั่งลงไปล่วงรู้ความจริงของ "จิตวิปริต"เหล่านี้ได้ เพราะมันเป็น "จิตไร้สำนึก"(unconcious) ที่เกิดจากตนเคยยินดีในความรุนแรง และได้สะสมความรุนแรงใส่จิตตนมานาน...

.....เช่น ชอบดูการแข่งขันที่เอาชนะคะคานกันอย่างถึงพริกถึงขิง หรือชอบดูการต่อสู้ที่ฟาดฟันห้ำหั่นกัน ดูการทำร้ายเข่นฆ่า ยิ่งต่อสู้กันรุนแรงโหดเหี้ยมเท่าไหร่ก็ยิ่งชอบ กระทั่งรุนแรงสูงขึ้นหยาบขึ้นๆเป็นคนชอบความโหดร้าย จึงกลายเป็น "คนชอบในความรุนแรงทุกข์ทรมานเหี้ยมโหดฝังลึกอยู่ในจิตไร้สำนึก(Sadist)...

.....จิตที่สั่งสม "ความชอบหรือรักรสชาติของความอำมหิต"เช่นนี้ เมื่อมาแสดงออกกับใครย่อมมิใช่ "ความรัก" แม้จะมี "การให้ การสละวัตถุธรรมรูปธรรมนามธรรม" "กับคู่รักของตนมากเท่าใดๆก็ยังมิใช่ "ความรัก" แต่เป็นเพียง "สิ่งแลกเปลี่ยน" เพื่อให้ได้มาซึ่ง "ความอำมหิต"หรือ "ความวิปริต" ที่ฝังลึกอยู่ใน "จิตไร้สำนึก" ของตนโดยแท้...

.....ถ้า "จิตวิปริต" ในความอำมหิตได้สั่งสมใส่จิตร้ายหนักยิ่งๆขึ้นไปกว่านี้ ก็ก้าวถึงขั้น "ตนสุขสะใจ เมื่อตนได้เจ็บเสียเอง ปวดเสียเอง ทุกข์เองทรมานเอง" (Masochist) ไม่ว่าตนทำตนเอง หรือใครจะเป็นผู้กระทำให้ ก็สุขสะได้ทั้งนั้น เพียงแต่ว่า คนผู้อำมหิตถึงขั้น "ตนเองทำตนเอง" จึงจะสุขสะใจ นั้นแหละคือ ผู้มีจิตรุนแรงร้ายยิ่งกว่า ผู้ที่ "คนอื่นทำให้ตนเจ็บ" แล้วก็สุขสะใจ...
................................ยังมีต่อครับ..............................
ขอบคุณครับ
นพ.ไมตรี พิชญังกูร   ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: ความรักคืออะไร : ตอนที่ 9
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 30/06/2013, 10:20
ความรักคืออะไร: (ตอนที่ 9:ความรัก10มิติ:มิติที่1:กามนิยม2)

.....ต่อจากตอนที่แล้ว...

.....ความรักมิติที่ 1 นี้ เป็นความรักแบบเพศสัมพันธ์ ไม่ว่าเพศตรงกันข้ามหรือวิตถารเพศเดียวกัน เป็นความรักที่เห็นแก่กันและกัน อยู่แค่ฉันกับเธอเท่านั้น หรือเห็นแก่ผู้อื่นก็แผ่ออกไปแค่คนคนเดียว วงรักจึงแคบอยู่แค่คน2คน คือ ให้แก่กันและกันก็แค่2คน ซึ่งถ้าจัดจ้านก็มีอารมณ์หึงหวง แก่งแย่งรุนแรง ถึงขั้นฆ่ากัน ฆ่าตนเองสังเวยชีวิต เช่นบูชารัก ก็เป็นได้ ซึ่งในแต่ละวันเราก็เห็นจากข่าวกันเป็นประจำ และก็มีจำนวนมาก เห็นกันเกือบทุกวัน...

.....ขึ้นชื่อว่า "กาม" มีแต่ความขาดทุน เพราะว่าได้เสพอารมณ์กามสุขนิดหน่อย แต่ทุกข์ยากมากหลาย ทำลายก็หนักหนา เปลืองชีวิต เปลืองใจ เปลืองเวลา เปลืองแรงกาย เปลืองแรงสมอง เปลืองทุนรอนวัตถุทรัพย์สิน เป็นความผลาญพล่าเสียหายที่สุดในโลก ความรักมิติที่่ 1 นี้จึงต่ำต้อย ด้อยค่าที่สุด นับว่าไร้คุณประโยชน์ยิ่งกว่าความรักชนิดใดๆ...

.....อารมณ์ "กามสุข" ก็เป็นแค่ "รสอร่อยที่หลงติด"(อัสสาทะ) ซึ่งเป็นเพียง "อารมณ์หลอกๆ,ไม่จริง"(อลิกะ) เพราะแท้ๆมันเป็น "ความยึดมั่นถือมั่น"(อุปทาน) ที่คนสามารถจะเลิก จะศึกษาปฎิบัติละล้างจนหมดเกลี้ยงไปจากจิตของผู้หลงติดหลงยึด ให้สำเร็จเด็ดขาดสัมบูรณ์ (Absolute)ได้จริง อันเป็นเรื่อง "เหนือธรรมชาติ-เหนือความวนเวียน"(โลกุตระ) หรือเป็นเรื่อง "ล้างสัญชาตญาณการสืบพันธุ์แห่งสัตว์โลก"(โลกุตระ)กันทีเดียว เรื่องนี้ก็ยากที่จะเชื่อกัน แต่ขอยืนยันว่า "เป็นไปได้"(possible) หรือ "สามารถทำได้"(practicable) จริงแน่แท้ ซึ่งในโลกแห่งความเป็นจริง เราก็เห็นกันเยอะแยะ...

.....สรุปแล้ว "ความรัก" มิติที่1นี้ หากใครจะหมายเอาว่าเป็น "ความเห็นแก่ตัว" ก็ช่างเห็นแท้ดูจริงมากยิ่งเหลือเกิน เพราะกิเลสพาให้เกิดสภาพเช่นนั้นจริง แต่ถ้าหากหมายเอาว่าเป็น "ความเผื่อแผ่-เสียสละ" ก็เป็นแค่ "ให้" เพื่อแลกกับที่ตนจะได้เสพ "รสอร่อยที่ใคร่อยาก" เป็นการเกื้อกูลวนแคบอยู่แค่กับคนคนเดียว หรือเกื้อกูลแก่กันและกันแค่ "คน 2 คน"...

.....ความรัก มิติที่ 1 นี้ จึงเรียกว่า "กามนิยม" หรือ "เมถุนนิยม"...

.....หากใครยังกำจัดกิเลสของตนให้ลด "ความเห็นแก่ตัว"ที่เผื่อแผ่แก่กันและกันอยู่แค่คน 2 คนนี้ ไม่ได้ เมื่อได้ก่อกรรมผูกเวรขึ้นมีคู่จนเป็นภาระแท้จริงเสียแล้ว ก็ควรจะต้องเมตตาหรือปรารถนาดีแก่คู่ของตนบ้าง ควรจะต้องพากเพียรแบ่งใจ แบ่งพลังงาน แบ่งเวลา แบ่งทุนรอนเอื้อเฟื้อเกื้อกูลเสียสละให้คู่ของตน ควรจะต้องรับผิดชอบตามหน้าที่อันสมควร มิเช่นนั้น ก็จะได้ชื่อว่า ยิ่งต่ำเพราะเลวซ้ำเลวซ้อน...

.....แต่นั่นแหละ อย่างไรมันก็เป็นความแคบ "ความรัก" อื่นที่ประเสริฐกว่านี้ยังมีอีกมาก ควรศึกษาเสริมสร้างความรักที่เป็นคุณค่าประโยชน์เกื้อกูลต่อผู้อื่น พลังงานและเวลาแม้แต่ทุนรอนทรัพย์วัตถุโดยเฉพาะจิตใจ ซึ่งคนอื่นๆอีกมากหลายในโลกที่ควรได้ประโยชน์ ซึ่งจะเป็นการแบ่งพลังงานของเราไปใช้ในเรื่องที่เป็นประโยชน์มากกว่า...

....."ความรัก" ไม่ใช่แค่ "คน 2 คน" เท่านั้นแน่ๆ ที่เราจะเกื้อกูลแบ่งใจแบ่งชีวิต แบ่งพลังงาน แบ่งเวลา แบ่งทุนรอน เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่หรือเสียสละให้ เพราะผู้อื่นมีอีกมากมายในโลกที่เราจะเอื้อมเอื้อเกื้อกว้างออกไปจากตัวจากตน ที่เป็นวงแคบเพียง 2คน ซึ่งถ้าทุกๆคนเข้าใจในเรื่องนี้ สังคมนี้ โลกนี้คงศิวิไลซ์สวยงาม และน่าอยู่มากขึ้นอีกเยอะ...

.....หากได้ศึกษาพุทธธรรมถึงขั้นโลกุตระ ประพฤติตนให้บรรลุมรรคผลดีขึ้น สูงขึ้น ลดกาม ลดกิเลส ที่ทำให้เห็นแก่ตัวอยู่ออกไปได้อีก มากเท่าใดๆ "ความรัก" ก็จะเป็น "ความเกื้อกูลเสียสละ" ที่เจริญงอกงามไปสู่ความประเสริฐยิ่งๆขึ้นเท่านั้นๆ...

.....หากใครสามารถลดความสูญเสียพลังงาน ทั้งพลังกาย พลังใจ ลดความสูญเสียเวลา ลดความสูญเสียทุนรอน เพื่อความรักมิติที่1 นี้ลงได้มากเท่าใดๆ หรือที่สุดไม่ต้องสูญเสียอะไรเพื่อความรักมิตินี้เลย ก็นั่นแหละคือ ความหลุดพ้นจาก "ความรัก มิติที่1" นี้สำเร็จ...

.....บทความ "ความรักคืออะไร" ในตอนก่อนๆหลายตอน คงเป็นตัวอย่างและอุทธาหรณ์ได้เป็นอย่างดี...

ขอบคุณครับ

นพ.ไมตรี พิชญังกูร      ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: ความรักคืออะไร : ตอนที่ 6
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 30/06/2013, 10:39
ความรักคืออะไร (ตอนที่6:ความรัก10มิติ:นิยามแห่งรัก)

การเขียนเรื่องความรัก10มิติจากนี้ไป ผมนำเอาเค้าโครงเรื่องและแนวคิดทั้งหมดมาจากการบรรยายธรรมะของท่านสมณะโพธิรักษ์ เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม 2518 ณ.วิทยาลัยครูเชียงใหม่ และวันที่ 8 กรกฎาคม 2518 ณ.มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ความเห็นและแนวคิดทั้งหมดเป็นของท่านสมณะโพธิรักษ์ ผมขออนุญาตนำมาเผยแพร่ต่อ ณ.ที่นี้ อาจจะมีการสอดแทรกคำอธิบายลงไปบ้าง ไม่มาก ท่านสามารถตรวจสอบกับต้นฉบับในหนังสือ ความรัก 10 มิติได้

นิยามแห่งรัก:ความรักคืออะไร

ความรัก คือ อาการทางจิตชนิดหนึ่ง ซึ่งเป็นอาการที่มีความรู้สึก "ชอบใจผสมความยินดี" ถ้าหากชอบถึงขั้นผูกพันก็เป็นความยึดติด นั่นคือ เริ่มเห็นแก่ตัว และถ้าหากติดยึดถึงขั้นดูดดึงเข้ามาเป็นของตัวของตนเท่าใดๆ ก็เป็นความเห็นแก่ตัวมากขึ้นเท่านั้นๆ ที่สุดหากถึงขนาดดึงดูดมาเพื่อตัวเองแต่ผู้เดียว และหวงแหนไม่เผื่อแผ่ให้ใคร ความรักที่มีลักษณะปานฉะนี้ ก็คือ "ความเห็นแก่ตัว"สุดๆเต็มๆแล้วนั่นเอง

แต่ถ้าหากอาการ "ชอบใจผสมความยินดี"นั้น ลดความเห็นแก่ตัว ลดความหลงไหลคลั่งไคล้ ลดความหวงแหน ลดความดึงดูด ความยึดติด ความผูกพันลงไปๆตามลำดับ คุณค่าของความรักก็จะสูงขึ้นๆๆ และถ้าหากผู้ใดสามารถลดอาการดังกล่าวนี้ด้วย และทั้งตนก็สามารถเสริมสร้างความเสียสละเกื้อกูลช่วยเหลือเผื่อแผ่ออกไปแก่ผู้อื่นให้พ้นทุกข์ ได้กว้างได้ลึกซึ้งสูงส่งครบคุณภาพและปริมาณมากขึ้นๆอีกด้วย ก็ยิ่งเป็นความรักที่ประเสริฐมีคุณค่าสูงมีประโยชน์มากยิ่งๆขึ้น

คนที่มีอาการชอบใจผสมความยินดีแต่เฉพาะตัวเอง มีแต่ความปราถนามาให้แก่ตน ไม่มีแก่คนอื่นเลย คนชนิดนี้คือ คนผู้มีแต่ "ความเห็นแก่ตัว" ถ่ายเดียว จึงเท่ากับคนที่ไม่มี "ความรัก"เลย เพราะ "เห็นแก่แต่ตัวเอง" เป็นคนที่มีแต่ "ตัวเอง" หรือมีแต่ "อัตตา"แท้ๆเท่านั้นเต็มๆ โดดๆ เดี่วยๆ หนึ่งเดียวไม่มีอื่นเลย นั่นจึงไม่ใช่ "ความรัก"

หนึ่งเดียวเป็น "ความรัก"ไม่ได้ "ความรัก"ต้องมีสองขึ้นไป ยิ่งเผื่อแผ่กว้างมากกว่าสองทวีมากขึ้นเท่าใดๆก็ยิ่งเป็น "ความรัก" ที่ประเสริฐยิ่งๆขึ้นเท่านั้นๆ

"อวิชชา"หรือ"กิเลส"มักทำให้คน"เห็นผิด"ไปว่าความรัก คือ ความผูกพันไม่ห่างเหิน ความหวงแหนเพื่อตัวเพื่อตน ความติดยึดไม่ปล่อยไม่วาง ความดูดดึงให้เหนียวให้แน่น ความเห็นแก่ตัวให้แคบให้จัดจ้าน ความหลงใหลคลั่งไคล้ปราถนาเป็นของตัวของตน หากใครมีอาการผูกพัน..หวงแหน..ติดยึด..ดูดดึง..เห็นแก่ตัว และหลงใหลคลั่งไคล้ปรารถนาเป็นของตัวของตน ได้มากได้หนักได้แน่นได้แรง ยิ่งๆเพียงใดๆ ก็คือผู้ "มากไปด้วยความรัก" หรือผู้มี "ความรัก" ที่น่าเชิดชูยกย่องเลิศลอยเพียงนั้นๆ

แท้จริงแล้ว อาการดังกล่าวนั้น มิใช่ "ความรัก"เลย "เห็นผิด" (เป็นมิจฉาทิฏฐิ)กันไปชนิดตรงกันข้ามเลยทีเดียว มันเป็น "ความโลภ"ต่างหาก ซึ่งโลภจัดชัดแจ้ง ยิ่งแรงยิ่งเป็น "ตัวกู ของกู" (อัตตา,อัตตานียา)

ตามสารสัจจะที่ถูกต้องนั้น ความรักไม่ใช่ความชั่วที่มีลักษณะ "เห็นแก่ตัว" ความรักเป็นความดี ที่มีลักษณะ "เมตตาหรือปรารถนาให้ผู้อื่นได้สุข" ความรักมิใช่ลักษณะของ "ความเป็นอัตตาหรืออัตตนียา"ที่มีลักษณะแคบเพื่อตัวกูของกู โดยเนื้อแทัแก่นจริงแล้ว "ความรัก"มีลักษณะตรงกันข้ามกับ "อัตตาหรืออัตตนียา"ด้วยซ้ำ ความรักที่สูงส่งที่ประเสริฐยิ่งมีคุณลักษณะถอดตัวถอดตนสู่ "ความเป็นอนัตตา" ยิ่งมีอาการเอื้อมเอื้อเผื่อแผ่ออกไปจากตัวจากตน จนหมดตัวหมดตน นั่นแหละจึงจะเป็นความรักที่วิเศษสุด ความรักตามสัจจะนั้น ทวนกระแสกับอัตตา ความรักไม่ใช่ลักษณะ "เอกพจน์หรือเอกเทศ" แต่มีลักษณะ "พหุพจน์หรือพหุภาค" "ความรัก"ไม่ใช่ "ความโลภ" ที่จะกอบโกยเข้ามาหาตนเข้ามาบำเรอตน หรือมีแต่แคบเข้ามาเป็นตนเป็นตัวเอง แต่เป็น "ความเผื่อแผ่เอื้อเฟื้อเกื้อกูล"ออกไปหาผู้อื่นมากขึ้น ยิ่งขยายกว้างขึ้นๆก็ยิ่งเป็นความรักที่ประเสริฐสูงส่งยิ่งๆขึ้น

ขอยืนยันว่า โดยสัจจะนั้น "ความรัก"ไม่ใช่ "ความเห็นแก่ตัว" "ความเห็นแก่ตัว" จึงไม่ใช่ "ความรัก"

เพราะ "ความเห็นแก่ตัว"ก็ประกาศลักษณะของมันเอง อยู่ชัดๆโต้งๆ ว่า เป็น "กิเลสโลภมาให้แก่ตน"

คนที่กล่าวว่า "ความรักคือความเห็นแก่ตัว"นั้น กล่าวผิด อวิชชาหรือกิเลสต่างหากพาให้เขากล่าวเช่นนั้น "ความรัก"ที่แท้ที่บริสุทธิ์จริง ไม่ใช่ "ความเห็นแก่ตัว"เลย ทว่าเป็น "ความเมตตาหรือปรารถนาให้ผู้อื่นได้สุข" เป็น "ความภาคภูมิที่พากเพียรขยันเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ออกไปจากตัวจากตน จนกระทั่ง "หมดตัวหมดตน" นั่นต่างหาก จึงจะเป็นความรักที่วิเศษสูงสุด

สรุป ความรัก คือ อาการชอบใจผสมความยินดี ที่พร้อมกับมีความปรารถนาดีอย่างสัมมาทิฎฐิ หากใครปฎิบัติพัฒนา "อาการชอบใจผสมความยินดี ที่ไม่เห็นแก่ตัวเลย มีแต่เต็มไปด้วยความเมตตาหรือปรารถนาให้ผู้อื่นได้สุข" หรือ "มีแต่ความเผื่อแผ่ของตนเสียสละแก่ผู้อื่น"ให้เจริญสูงสุดจนเกิดจริงเป็นจริงได้เท่าใดๆ ผู้นั้นก็คือ ผู้ได้สร้าง "ความรัก" ที่ใหญ่ยิ่งประเสริฐสุดๆเท่านั้นๆ

คนผู้มี "ความรัก" ประเสริฐที่สุด สูงที่สุด จึงได้แก่ ผู้ที่หมดตัวหมดตน ชนิดไม่มีกิเลสถึงขั้นสิ้นอาสวะ เห็นแก่ผู้อื่นด้วยความบริสุทธิ์ใจ เสียสละเกื้อกูลช่วยเหลือเผื่อแผ่ออกไปให้ผู้อื่นอยู่อย่างภูมิใจสุขใจ และยืนยาวหาประโยชน์มิได้และเต็มไปด้วยความปรารถนาดีที่ตัวเราจะได้เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น ให้มากๆให้ยิ่งๆให้กว้างที่สุดเท่าที่จะให้ได้

ดังนั้น คำว่า "ความรัก" มิติที่ 1 นี้ หากจะหมายความเอาว่าเป็น "ความเห็นแก่ตัว" ก็ใกล้เคียงความจริงที่สุด แต่ถ้าหากจะหมายเอาว่า เป็น "ความเผื่อแผ่-เสียสละ" ก็แคบและเล็กสุดๆ

ความรักยังมีอีกหลายมิติ ซึ่งจะได้อธิบายต่อไปถึง 10 มิติ ในตอนต่อๆไป

ขอบคุณครับ
นพ.ไมตรี พิชญังกูร
081 4031484
083 8949921       ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: ความรักคืออะไร : ตอนที่ 5
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 30/06/2013, 10:43
ความรักคืออะไร (ตอนที่5:โอกาสแห่งรัก)

ผู้คนบนโลกนี้ ส่วนมากรู้จักจักพรรดิ์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งฝรั่งเศษนาม นโปเลียน โปนาปาร์ต รบชนะมาตลอดทั่วดินแดนยุโรป ความสามารถในการรบเป็นที่เลื่องลือ มีควาสามารถในการยิงปืนใหญ่อย่างแม่นยำ การรบครั้งสำคัญที่ถูกจารึกใว้ในประวัติศาสตร์คือสงคราม Waterloo ซึ่งเป็นการพ่ายแพ้ครั้งสำคัญที่ถูกกล่าวขานกันมาจนถึงทุกวันนี้

คศ.1815 นโปเลียนต่อสู้กับกองทัพของอังกฤษและกองทัพของปรัสเซียที่รุกเข้าโจมตีกองทัพของนโปเลียนที่ทุ่งWaterloo วันนั้ฝนตกหนักมาก พื้นดินเปียกชุ่ม ดินโคลนเต็มไปหมด การเคลื่อนย้ายต่างๆลำบากมาก กองทัพนโปเลียนไม่สามารถรบตามแผนได้ เนื่องจากไม่สามารถเคลื่อนย้ายปืนใหญ่ไปยังจุดที่สามารถยิงกองทัพศัตรูได้อย่างแม่นยำได้ทันเวลา ทำให้ไม่สามารถยิงปืนใหญ่เพื่อต่อสู้กับกองทัพของอังกฤษและปรัสเซียได้ สุดท้ายก็แพ้สงคราม ซึ่งเป็นการพ่ายแพ้ศึกสงครามของนโปเลียน ในประวัติศาสตร์ของพระองค์

พระองค์ทอดพระเนตรไปในกลางสมรภูมิ พร้อมกับกล่าวว่า
"Ability without opportunity means nothing."
"มีความสามารถ แต่ไร้ซึ่งโอกาส ย่อมไร้ความหมาย"

เหตุการณ์ต่างๆย่อมผ่านเข้ามาในชีวิตมนุษย์ทุกๆวันทุกๆเวลา เพียงแต่ว่า เราเข้าใจมันหรือไม่ว่า นั่นคือโอกาส
โอกาสมาแล้วหรือยัง?
โอกาสมาแล้ว แต่เราไม่รู้ว่านั่นคือโอกาส แล้วก็ปล่อยให้ผ่านไป
โอกาสมาแล้ว แล้วเราก็รู้ว่านั่นคือโอกาส แต่เราก็ยังปล่อยให้ผ่านไปอยู่ดี
โอกาสมาแล้ว แล้วเรารู้ว่านั่นคือโอกาส เรารับโอกาสนั้น และมีการกระทำอะไรบางอย่างกับโอกาสนั้น

เมื่อมีเหตุการณ์ผ่านเข้ามาในชีวิต เราจะรู้หรือไม่รู้ว่านั่นคือโอกาสก็แล้วแต่ ถ้าเราเพิกเฉย ไม่สนใจ ไม่หยิบฉวยมัน มันก็คือเหตุการณ์เหตุการณ์หนึ่งที่ผ่านเข้ามาในชีวิต แล้วก็ผ่านไป ก็เท่านั้นเอง แต่ถ้าเราหยิบฉวยได้ทัน และมีการกระทำอะไรบางอย่างในเวลาที่เหมาะสม เราก็สามารถเปลียนจากโอกาสนั้นมาเป็นความสำเร็จได้

สิบกว่าปีที่แล้ว ศัลยแพทย์รุ่นพี่ผมคนหนึ่ง มาพูดเรื่องเครือข่ายให้ผมฟัง ผมมองไม่เห็นและได้ละทิ้งโอกาสอันนั้น แต่วันนี้รุ่นพี่ผมคนนี้ มีอิสระภาพทางการเงินไปแล้ว ในวันนั้น ผมได้ละทิ้งโอกาสที่มีค่ามากที่สุดโอกาสหนึ่งไปอย่างน่าเสียดาย

มีอยู่ครั้งหนึ่ง ผมขับรถไปกับเพื่อนผมแล้วเห็นป้ายประกาศขายที่ดิน เพื่อนผมมองเห็นโอกาสทันที และมีการกระทำบางอย่างต่อ สุดท้ายเขาสามารถทำกำไรจากที่ดินแปลงนี้มากมาย

สมันผมเป็นวัยรุ่น เคยแอบรักเพื่อนร่วมรุ่นผู้หญิงคนหนึ่ง แต่ไม่กล้าบอกเธอ สุดท้ายเธอก็รักและแต่งงานกับคนอื่นไป ผ่านไปเกือบยี่สิบปี มาเจอกันอีกที เหลือแต่ความเป็นเพื่อนเก่า เลยได้คุยกันอย่างสนุกสนาน ไม่ต้องมีฟอร์ม ผมได้บอกกับเธอตรงๆว่า ในสมัยที่เราเรียนด้วยกัน ผมได้แอบชอบเธอนะ แต่ไม่กล้าบอกรักเธอ(ถ้าเป็นสมัยนี้ ฮึ่มมมมม.....) จนกระทั่งเธอมีแฟน ผมก็เลยทำใจเงียบๆอยู่คนเดียว

ในขณะนั้น ผมเห็นแววตาเธอผิดปกติไป ผ่านไปสักครู่หนึ่ง เธอก็บอกว่า ช่างมันเถอะ เพราะว่าในเวลานั้น เธอก็แอบชอบผมอยู่เหมือนกัน และเราก็คุยกันอีกยาว แต่มันก็เป็นอดีตไปแล้ว โอกาสผ่านไปแล้ว ไม่มีทางหวนกลับคืนมาได้อีก

มีอยู่2สิ่งที่ผมไม่ชอบเลยในชีวิต คือ
1, สิ่งที่สมควรทำ แต่ไม่ได้ทำ โอกาสผ่านไปแล้ว ไม่มีโอกาสได้ทำอีก
2, สิ่งที่ไม่สมควรทำ แต่ก็ทำ แก้ไขอะไรไม่ได้อีก โอกาสผ่านไปแล้ว

ไม่ทุกคนหรอกที่จะเห็นความสำคัญในแต่ละเหตุการณ์ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตและมองเห็นเป็นโอกาส มิฉะนั้นแล้วเราคงไม่เรียกว่าโอกาส(opportunity)

สถิติจากการสำรวจประชากรไทยปี พ.ศ.2551-2552 พบว่า ผู้ชายไทยมีอายุเฉลี่ย 69ปี ผู้หญิงไทยเฉลี่ย 76ปี(มีบางคนเอาไปกระแนะกระแหนว่า แก่ง่าย ตายยาก: ผมไม่ได้พูดนะ) ถ้าดูจากสถิตินี้แล้ว ชีวิตมนุษย์สั้นมาก ถ้านับเป้นวันแล้ว ของผมเหลือไม่ถึงหนึ่งหมื่นวันก็หมดแล้ว

ถ้ามีเหตุการณ์อะไรผ่านเข้ามาในชีวิต จงมองให้เป็นโอกาส แล้วค่อยนำมาพิจารณาในรายละเอียดว่าจะกระทำอย่างไรกับมัน วันนี้ท่านจะทำอะไรก็จงทำ วันนี้ท่านจะรักใครก็จงรัก วันนี้ท่านจะบอกรักใครก็จงบอก ท่านจะใช้ชีวิตที่เหลือทำอะไรเพื่อใครก็จงรีบทำ ก่อนที่จะไม่มีโอกาสได้ทำ

ไม่ว่าจะทำอะไรก็ต้องเริ่มต้นที่ความรักและความศรัทธาในสิ่งนั้นๆ อยากจะแนะนำว่า ให้เริ่มต้นที่ความรักในหัวใจเราที่มีต่อสิ่งนั้นๆ แล้วพัฒนาความรักนั้นไปในมิติที่สูงขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งผมจะขอแบ่งความรักออกเป็น 10มิติ ถ้าเราสามารถพัฒนาไปถึงมิติที่ 10แล้ว ก็ถือว่าไม่เสียชาติเกิดแล้ว

ความรัก 10มิติ คืออะไร มีอะไรบ้าง แต่ละมิติเป็นอย่างไร โปรดติดตามในตอนต่อไป

อนุสรณ์สถานรูปสิงห์โตบนยอดเขาที่สร้างขึ้นเพื่อระลึกถึงจักพรรดิ์นโปเลียนผู้ยิ่งใหญ่ ขณะนี้อยู่ในดินแดนของประเทศเบลเยี่ยม ผมชอบเอามาดู เพื่อระลึกถึงคำพูดของพระองค์ เพื่อเตือนความทรงจำ

"Ability without opportunity means nothing."
"มีความสามารถ แต่ไร้ซึ่งโอกาส ย่อมไร้ความหมาย"
ขอบคุณครับ
นพ.ไมตรี พิชญังกูร
081 4031484(dtac)
083 8949921(true)              ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: ความรักคืออะไร ตอนที่ 4
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 30/06/2013, 10:48
ความรักคืออะไร (ตอนที่4:บิลลี่)

บิลลี่เกิดเมื่อ 19 ม.ค.2549 เป็นสุนัขเพศผู้พันธุ์ยอร์คเชีย เทอร์เรีย ขณะนี้อายุ 7ปี4เดือนแล้ว

เมื่อวันที่ 24 ก.พ.2549 ขณะที่ผมกำลังจะกลับจากการทำธุระที่ห้าง บังเอิญเดินผ่านจุดที่เขาขายน้องหมากัน เห็นบิลลี่ยืนเกาะที่กรง สายตาจ้องมาที่ผม เศร้าๆ เว้าวอน น่าสงสารมาก (ทุกวันนี้ยังจำภาพนั้นได้) ก็เลยเดินเข้าไปดู สุดท้ายก็ซื้อบิลลี่กลับมาบ้าน

คืนแรกให้บิลลี่นอนที่ห้องหนังสือ เตรียมที่นอนอย่างดีให้ พอถึงตอนดึกๆด้วยความเป็นห่วง จึงได้ลุกขึ้นมาดู บิลลี่ไม่ได้นอนเลย บิลลี่นั่งคอยและจ้องมาที่ประตูห้องนอนผม ทันที่ที่เห็นผม บิลลี่ดีใจมาก ก็เลยอุ้มมานอนบนเตียงด้วยกัน ตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้

ทุกคืนบิลลี่จะนอนเตียงเดียวกับผม เวลานอนบิลลี่จะต้องหันหลังชนกับผมบิลลี่ถึงจะนอนหลับ คืนไหนฝนตกหรือฟ้าร้อง บิลลี่จะกลัวจนตัวสั่น จะต้องอุ้มมากอดไว้ พอหกโมงเช้า บิลลี่จะมีหน้าที่ปลุกผม ตรงต่อเวลาทุกวัน หลังจากตื่นแล้วบิลลี่จะนอนตาพริ้มให้ผมนวดขาให้ เป็นอย่างนี้ทุกวัน

ทุกๆเช้า บิลลี่จะกระโดดขึ้นรถตรงเบาะคนขับ ขาหน้าสองข้างจะจับที่พวงมาลัย ติดตามผมไปคลินิคทุกวัน วันไหนถ้าไม่ให้ไป บิลลี่จะร้องให้เสียใจมากๆ ตอนบิลลี่ยังเล็กๆ ผมจะป้อนอาหารให้เองทุกวัน อุจจาระเสร็จผมก็จะล้างก้นให้ทุกครั้ง (เราก็มาคิด:ไม่รู้ว่าชาติที่แล้วผมทำกรรมอะไรกับบิลลี่ไว้ ชาตินี้จึงต้องมาล้างก้นให้บิลลี่:หมา)

ผ่านไปนานเข้า บิลลี่มีความรู้สึกว่าเป็นเจ้าของคลินิค จะมีอาการหวงสถานที่และตัวผม บิลลี่จะวิ่งไล่กัดคนไข้ ใครจะมาเข้าใกล้ผมไม่ได้ บิลลี่จะกัด มีอยู่ครั้งหนึ่ง บิลลี่ไปกัดคนไข้ซึ่งเป็นเด็กอายุ3ปี จนเป็นแผล สุดท้ายจึงตัดสินใจให้บิลลี่อยู่บ้าน ไม่ให้มาที่คลินิค

ทุกครั้งที่ผมเข้าบ้าน บิลลี่จะดีใจสุดๆ ไม่ว่าผมจะกลับกี่ทุ่มกี่ยาม บิลลี่จะนอนคอยผมที่ประตู จะไม่ยอมนอนก่อน พอเข้าบ้านบิลลี่จะดีใจจนตัวสั่น และจะเข้ามาคลอเคลียจนพอใจ ถ้าผมต้องไปต่างประเทศหรือต่างจังหวัดแล้วไม่ได้กลับบ้าน บิลลี่จะซึม ถ้าเกิน3วัน บิลลี่จะไม่กินข้าว

มีอยู่ครั้งหนึ่ง ผมไปเหยียบถูกขาบิลลี่เข้าโดยไม่ได้ตั้งใจ บิลลี่ร้องจนสุดเสียง แต่ขาก็ไม่หัก แต่คงเจ็บ บิลลี่งอนผมสามวันสามคืน ไม่ยอมทัก ไม่ยอมมองผม จะทำอะไรบิลลี่ก็ไม่สนใจ จะป้อนข้าวให้ เอาอาหารยัดเข้าปาก ก็ไม่ยอมเคี้ยว จับไปนอน ปล่อยลงท่าไหน บิลลี่ก็อยู่ท่านั้น ผ่านไปสามวันสามคืน บิลลี่ลืมจึงกลับมามีชีวิตชีวาเหมือนเดิม แกคงเสียใจมากๆ

ความผูกพันธ์ที่ผมมีกับบิลลี่มีมากมาย บิลลี่น่ารักตรงที่ไม่มีการปรุงแต่งอารมย์ ไม่มีการแสแสร้ง สิ่งที่แสดงออกเป็นของบิลลี่เป็นไปตามอารมย์ที่แท้จริงของมัน คนเราถ้าไม่ต้องปรุงแต่งอารมย์กันก็คงดีนะ

ความผูกพันธ์ระหว่างคนและน้องหมา มีเรื่องดีๆเยอะแยะ เล่ากันไม่หมด บางคนพอน้องหมาเสียชีวิตขึ้นมา ร้องไห้กันสามวันสามคืนไม่ยอมหยุด มีใครเคยเป็นแบบนี้บ้างครับ

ขอบคุณครับ
นพ.ไมตรี พิชญังกูร
081 40314849(dtac)
083 8949921(true)          ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: ความรักคืออะไร ตอนที่ 3
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 30/06/2013, 10:50
ความรักคืออะไร (ตอนที่3:ศึกศักดิ์ศรี)
ศักดิ์ศรีคืออะไร ยากที่จะอธิบาย เป็นนามธรรม จัดอยู่ในตัณหา3 ประเภพภวตัณหา คือเป็นการดิ้นรนปราถนาในภพจิต (ตัณหา3 มี1,กามตัณหา 2,ภวตัณหา 3,วิภวตัณหา) และมนุษย์เราไปยึดติดและอุปทานกับมัน(อวิชชา)

ศักดิ์ศรี:เป็นเรื่องที่มนุษย์ไปให้คุณค่าและราคาแก่มันในเรื่องหรือเหตุนั้นๆว่า มันมีค่าหรือมีความสำคัญกับเราตามที่เราไปยึดติดหรืออุปทาน ตามกรอบความคิดของคนคนนั้น ถ้าใครมากระทำที่ทำให้เรารู้สึกว่า เขามาดูถูกหรือมาเหยียดหยามเราในเรื่องนั้นๆแล้วไซร้ ก็จะมีความรู้สึกว่า เขามาหมิ่น หรือมาเหยียดหยามศักดิ์ศรีเรา ยอมไม่ได้ บางคนถึงขั้นว่า ยอมตายดีกว่าที่จะให้ใครมาหมิ่นหรือหยามศักดิ์ศรีเรา ตามกรอบความคิดที่เขาไปยึดติดหรืออุปทานไว้ของคนคนนั้น (แล้วบางคนก็ได้ตายจริงๆ)

เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2556 ผมต้องไปเป็นพยานศาลในฐานะแพทย์ ที่ศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง(สาขามีนบุรี) ในคดีความอาญา ข้อหาพยายามฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาและไตร่ตรองไว้ก่อน ซึ่งข้อหานี้มีโทษถึงขั้นประหารชีวิตกันเลยทีเดียว

เรื่องมีอยู่ว่า:เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2552 ในขณะที่ผมทำงานตรวจคนไข้ที่คลินิค ขณะที่ผมได้ลุกจากห้องตรวจคนไข้เพื่อที่จะไปห้องน้ำหลังบ้าน ทันใดนั้น ได้ยินเสียงปืนดังมากๆ 2นัด และได้ยินเสียงกระจกที่หน้าคลินิคแตกดังมาก

ทันใดนั้น ผมรู้สึกว่ามีวัตถุมากระทบเฉียดพุงผมไป (ซึ่งทราบทีหลังว่าเป็นกระสุนปืน) ผมก้มลงดูที่พุงผม มีรอยถลอกและเลือดออกไม่มาก(ในขณะนั้น ผมบังเอิญยืนหันด้านข้างให้กับวิถีกระสุน เมื่อปี 2552 ผมอ้วนนะครับ อ้วนมากกว่านี้ 8กิโลกรัม ซึ่งช่วงหลังนี้ ผมได้ทานอาหารเสริมเพื่อลดน้ำหนัก จึงผอมลง หุ่นจึงดี และหล่อด้วย อิอิ ซึ่งถ้าวันนั้นพุงไม่ยื่น ก็คงไม่โดนกระสุน

เมื่อหายตกตะลึงแล้ว ผมรีบวิ่งไปที่หน้าคลินิค พบว่ามีเด็กนักศึกษา 2คนถูกยิง จึงปฐมพยาบาลและรีบนำส่งโรงพยาบาล

คนที่1 ถูกยิงที่ขา เลือดทะลัก
คนที่2 ถูกยิงที่ท้อง กระสุนไปถูกประสาทสันหลัง ขาพิการทั้งสองข้างตลอดชีวิต
แต่ก็รอดตายทั้งสองคน

เนื่องจากครอบครัวของจำเลยและคนที่ถูกยิง เป็นคนไข้ผมมาสิบกว่าปี ทั้งจำเลยและคนที่ถูกยิงเป็นคนไข้ที่ผมดูแลมาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก ทั้งสองเป็นเด็กรุ่นๆเดียวกัน รู้จักกันมานาน ไม่มีเรื่องบาดหมางกันมาก่อนถึงขั้นจะต้องฆ่ากัน แต่บังเอิญว่าเด็กทั้งสองคนไปเรียนโรงเรียนเทคนิคคนละโรงที่เป็นคู่อริกันมานาน เคยยกพวกตีกัน ยิงกันมานาน เป็นเรื่องของความขัดแย้งในนามของศักดิ์ศรีของสถาบันที่พวกเขาไปยึดติด ไปอุปทานในกรอบความคิดของพวกเขา เป็นความรักสถาบันในแบบภวตัณหา ซึ่งเป็นเรื่องที่เข้าใจในความหมายของความรักผิดไปอย่างสิ้นเชิง จะว่าไปในกรณีนี้ก็เป็นผลแทรกซ้อนของความรักที่คนไปเข้าใจความหมายของความรักผิดไป ทำใ้ห้เด็กสองคนที่ควรจะมีอนาคตที่ดี กลับต้องมาพิการไปตลอดชีวิตคนหนึ่ง และติดคุกอีกคนหนึ่ง

ผมเป็นคนที่ดูแลสุขภาพตัวเองดีมากๆ เนื่องจากถือสัจธรรมที่ว่า "ถ้าเรายังรักตัวเองไม่เป็น แล้วจะไปรักคนอื่นได้อย่างไร" เหล้าไม่กิน บุหรี่ไม่สูบ ออกกำลังกายทุกวัน ทานอาหารเสริมเยอะมาก ถือหลักและปฏิบัติตามหลัก 5อ.แต่ชีวิตผมก็เกือบถูกท่านเอาไป ในนามของความรัก ความรักสถาบัน ตามที่ท่านกล่าวอ้าง เกือบไปจริงๆ

หลังจากที่เฉียดประตู(ไม่รู้ว่าสวรรค์หรือนรก)แล้ว ได้มีการพิจารณาเรื่องความเป็นและความตายอย่างลึกซึ้ง ชีวิตคนเราประมาทไม่ได้จริงๆ "เราไม่มีทางรู้ว่าพรุ่งนี้กับชาติหน้า อะไรจะมาถึงก่อนกัน"ผมเริ่มเข้าใจว่า สาระจริงๆของชีวิต คืออะไร.....

นับจากนี้เป็นต้นไป อะไรที่ผมสามารถช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ได้ อะไรที่ผมสามารถช่วยเหลือสิ่งแวดล้อมและสัตว์โลกได้.....ผมจะทำ
ขอบคุณครับ
นพ.ไมตรี พิชญังกูร
081 4031484(dtac)
083 8949921(true)                   ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: ความรักคืออะไร ตอนที่ 2 - ตอนที่ 1
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 30/06/2013, 10:53
ความรักคืออะไร (ตอนที่2 พลังแห่งรัก)
ทุกสิ่งทุกอย่างหรือไม่ว่าอะไรก็แล้วแต่บนโลกนี้ มี2ด้านเสมอ ความรักก้เหมือนกัน ถ้าเราใช้พลังแห่งความรักไปในด้านลบ มันก็จะเกิดผลข้างเคียงดังตัวอย่างที่แล้ว แต่ถ้าเราใช้พลังแห่งรักไปในด้านบวก ผลลัพธ์ของมันย่อมดีเสมอ ผมขออนุญาตแชร์ประสบการณ์โดยตรงของผม ดังนี้

ช่วงต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา ในขณะที่กระผมกำลังขับรถไปทำงานแต่เช้า โดยขับตามหลังรถเท็กซี่คันหนึ่ง ทันใดนั้น รถเท็กซี่ได้เบรกกะทันหัน เนื่องจากมีเด็กวิ่งตัดหน้ารถเท็กซี่ ทำให้รถผมไปชนท้ายรถเท็กซี่เข้า แต่ก็ไม่แรงมาก บังโคลนท้ายรถเท็กซี่ยุบไปพอสมควรและห้อยลงมา ช่วงนั้นผมก็รู้สึกว่าผมใจลอยในขณะขับขี่ ถ้าได้ใช้ความระมัดระวังมากกว่านี้ ก้คงไม่ชน ทำให้มีความรู้สึกว่าเราผิด

เมื่อจอดรถเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผมเดินเข้าไปหาคนขับรถเท็กซี่ แล้วยกมือไหว้เขา พร้อมกล่าวคำขอโทษอย่างจริงใจ ได้ขอโทษเขาว่าเป็นความผิดของผมเองที่ทำให้เขาเสียเวลาทำมาหากิน เนื่องจากผมใจลอยเองในขณะขับ ไม่ระมัดระวังเท่าที่ควร ทันใดนั้น คนขับรถเท็กซี่ก็ส่งยิ้มให้ผมด้วยสีหน้าที่เห็นได้ชัดว่ามีไมตรีจิตที่ดี พร้อมกับกล่าวว่า ไม่เป็นไร เขาเองก็มีส่วนผิดที่เบรกกะทันหัน ต่างคนต่างก้ยอมรับผิด พร้อมที่จะรับผิดชอบ(น่ารักอ่ะ) ผมได้บอกกับเขาว่า ที่ใกล้ๆตรงนี้ มีอู่รถที่ผมรู้จักอยู่หนึ่ง เป็นช่างประจำของผม เราขับรถไปให้ช่างดู ไม่ต้องเรียกประกัน ไม่ต้องเรียกตำรวจ มันเสียหายไม่มาก ผมขอรับผิดชอบเอง แล้วเราก็ขับรถตามกันไปที่อู่นั้น

ในระหว่างที่รอช่างซ่อมอยู่นั้น เราได้มีโอกาสได้คุยกัน แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันหลายเรื่อง ผ่านไปประมาณหนึ่งชั่วโมง พี่คนขับเท็กซี่ก็เดินไปที่รถเขา และหยิบผ้ามาผืนหนึ่งพร้อมกับชุบน้ำมันที่ผ้านั้น และเดินไปเช็ดและขัดสีตรงกันชนรถผม ตรงบริเวณที่ผมไปชนรถเขา ซึ่งสีที่ติดมาก็เป็นสีของรถเขา เห็นเขาบรรจงขัด และ้ขัดไปที่จุดอื่นๆอีกหลายจุด

ณ.วินาทีนั้น ผมเกิดความรู้สึกที่ประทับใจมากๆๆ จนยากที่จะบรรยายออกมาเป้นตัวหนังสือได้ มันเป้นความรู้สึกที่ลึกล้ำ เรารู้ซึ้งได้ถึงพลังของจิตมนุษย์ที่ใช้ไปในทางบวก เป็นพลังแห่งความรักในมนุษย์ เคารพกัน ให้เกียติกัน ไม่มุ่งทำลายกัน มันคงประทับในใจผมไปตลอดกาล จากการที่เราขับรถไปชนเขา สุดท้ายแทนที่เท่าที่เห็นส่วนมากจะอารมณ์เสีย ทะเลาะกัน ต่อยกันก็เคยเห็นเป็นประจำ หรือแม้กระทั่งยิงกันจนตายก็เคยเห็นในข่าวกันบ่อยๆ แต่วันนี้ ผมได้นำเอาความรู้สึกว่าเรารักเพื่อนมนุษย์ มาใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น สุดท้ายก็ได้มิตรภาพที่ดีและความประทับใจที่ดีกลับมา

ถึงแม้ว่า มันไม่ใช่เหตุการณ์อะไรที่ใหญ่โต แต่ในความรู้สึกของผมแล้ว มันประทับใจและยิ่งใหญ่มากๆ และคงประทับในความทรงจำของผมตลอดไป
"เมื่อมีใครเอาขี้หมามาขว้างใส่เรา เราจงหยิบเอาขี้หมาก้อนนั้นมาปั้นเป้นดอกกุหลาบสีแดงที่สวยงาม แล้วยื่นส่งคืนให้เขา"
ขอบคุณครับ
นพ.ไมตรี พิชญังกูร
http://youtu.be/9qzr6XnjfS4             
หัวข้อ: ความรักคืออะไร ตอนที่ 2 - ตอนที่ 1 ผมกำลังมีความรัก
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 30/06/2013, 10:56
ผมกำลังมีความรัก
“ ผมรักคุณมากๆ รักจนไม่สนใจอะไรอีก นอกจากเธอ รักจนข้าวก็ไม่อยากจะกิน นอนก็ไม่อยากจะนอน งานก็ไม่อยากจะทำ เงินก็ไม่มีความหมายสำหรับผม อนาคตก็ไม่สนใจ แม้แต่ชีวิตก็ไม่สนใจ นอกจากเธอแล้ว ผมไม่สนใจอะไรอีกเลยที่รัก “

ความรักมากมายขนาดนี้ นับว่าเป็นความรักมั้ย?

ตลอดยี่สิบกว่าปีที่ผมมีอาชีพเป็นแพทย์ ได้มีโอกาสตรวจ รักษาพยาบาล และให้คำปรึกษาแก่คนไข้ที่มีอาการป่วยทั้งทางร่างกาย จิตใจ จิตวิญญาณจากผลข้างเคียง(side effects)ของสิ่งที่คนส่วนมากเข้าใจว่าคือความรัก(Love) ซึ่งส่งผลกระทบต่อทั้งร่างกาย จิตใจ จิตวิญญาณ วิถีชีวิตที่เปลี่ยนไป รวมทั้งอนาคตที่จะต้องดับวูบลง หรือบางคนต้องสูญเสียอิสระภาพ ติดคุกติดตะราง บางคนร่างการถึงขั้นพิการไปตลอดชีวิต ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ต้องเป็นภาระแก่คนอื่นไปตลอดชีวิต บางคนกลายเป็นคนบ้าหรือวิกลจริตไป หรือแม้กระทั่งบางคนต้องสังเวยชีวิตไป เป็นเวรเป็นกรรมไปอีกกี่ภพกี่ชาติ คนไข้กลุ่มนี้มีเยอะมากๆ ขอยกตัวอย่างคร่าวๆ....

ผู้ป่วยหญิง อายุ 45ปี สถานะ สมรส อาชีพ รับราชการ
อาการเบื้องต้น:ถูกสามีทำร้ายร่างกายก่อนมาหาหมอ มีเลือดออกจากหู
ประวัติเบื้องต้น:ผู้ป่วยเล่าว่า ก่อนมาหาหมอ มีเรื่องทะเลาะกับสามี มีเรื่องหึงหวงกัน ต่างคนต่างไม่ลดละ สุดท้ายก็ตีกัน โดยฝ่ายภรรยาถูกสามีตบบ้องหูซ้ายอย่างแรง
ตรวจร่างกาย:พบว่าเยื่อแก้วหูข้างซ้ายฉีกขาดกะรุ่งกะริ่ง มีเลือดออก
การรักษา:ผ่าตัด ทำเยื่อแก้วหูเทียม

จากตัวอย่างคร่าวๆ คนไข้ที่ได้รับผลกระทบจากสิ่งที่เราเรียกว่าความรักนั้น ตลอดชีวิตผมเจอมาเป็นร้อยเป็นพันคน มีทุกรูปแบบ
ความรักคืออะไร รักแบบไหนจึงไม่เป็นทุกข์ ทำไมคนจึงตกเป็นเหยื่อมันมากมายขนาดนี้ แท้จริงแล้วความรักมันมีแต่ด้านผลเสียหรือ ด้านดีก็มี มีมากด้วย ต้องทำอย่างไร?

เพื่อนๆผมทุกคนบนแฟคนี้ครับ มาช่วยกันคอมเม้นท์ครับ ผมขอเปิดบ้านผม(Time line)มาช่วยกันให้ความรู้เรื่องความรักกันนะครับ
ขอบคุณครับ
นพ.ไมตรี พิชญังกูร           ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: ความรักคืออะไร : ตอนที่ 10
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 4/07/2013, 09:59
ความรักคืออะไร (ตอนที่ 10:ความรัก10มิติ: มิติที่ 2:พันธุนิยม)

..........ในบทก่อนๆ เราได้นิยามว่า ความรักคืออาการทางจิต หรือสภาวะทางจิตที่มี "อาการชอบใจผสมความยินดี ที่พร้อมกับมีความปรารถนาดีอย่างสัมมาทิฎฐิ" อาการหรือสภาวะทางจิตดังกล่าว มีเหตุปัจจัยมากมาย ไม่ใช่มีเพียง ความรักแบบหนุ่มสาว หรือที่พวกเราเวลาพูดถึงความรัก เราก็จะเหมาเอาว่า เป็นเรื่องของคน 2คน ดังที่ได้บรรยายไว้ใน มิติที่ 1 ในตอนก่อนๆ...

.....ความรักมิติที่2 คือ ความรักระหว่างสายโลหิต หรือ พ่อ-แม่-ลูก ก็ขยายขอบเขตของความรักขึ้นมาอีกนิดหนึ่ง แต่ก็ยังแคบมาก มีขอบเขตอยู่แค่แวดวงสายเลือดชั้นแรกชั้นเดียวเท่านั้น ความรักที่ยังไม่แผ่กว้างออกไปมากกว่านี้ จึงเป็นความรักที่ยังอยู่ในแวดวงที่วนแคบ ไม่เป็นประโยชน์กว้างเกื้อออกไปสักเท่าไหร่...

.....โดยนัยเดียวกัน ที่เหมือนความรักในมิติที่1 ถ้ารักอย่างหลงเฉพาะแวดวงพ่อแม่ลูกนี้ ยิ่งหนักยิ่งมากเท่าใด ก็จะหวงแหนตระหนี่ถี่เหนียวเพื่อแวดวงแคบๆแค่นี้ไปตลอดชีวิต จะเผื่อแผ่ออกไปแก่ผู้อื่นหรือวงนอกได้ยาก อะไๆก็จะลำเอียงแวดวงเท่านี้ก่อนอื่นเสมอ จะสะสมทุกสิ่งทุกอย่าง ไว้ให้แก่คนในวงวนของ "พ่อ-แม่-ลูก"เท่านี้แหละ เป็นอุดมการณ์อันเอก...

....."ความรัก" คือ ความเผื่อแผ่ แต่สำหรับความเผื่อแผ่ของคนที่มีความรักมิติที่2นี้ ไม่ว่าจะเผื่อแผ่แก่ผู้อื่นแก่ใครๆ แม้แต่ญาติที่นอกไปจากวงวนของ "พ่อ-แม่-ลูก"แล้ว จะยังฝืนใจอยู่ ไม่มากก็น้อย จิตใจจะยังไม่ว่างสะอาดปราศจากธุลีแห่งความตระหนี่ไปได้ง่ายๆ...
.....ถ้าจะให้สละแก่ผู้นอกวงวนของ "พ่อ-แม่-ลูก"ก็เพราะจำนน ไม่เช่นนั้น ก็เพื่อที่จะได้ผลข้างเคียงตอบแทนอยู่ไม่มากก็น้อยเสมอ ถึงแม้จะมีบางครั้งบางเรื่องที่ได้เผื่อแผ่หรือเสียสละอย่างสะอาดปราศจากธุลีแห่งความตระหนี่แก่ผู้เป็นคนนอกวงวนของ "พ่อ-แม่-ลูก"อยู่บ้างก็อาจจะมีได้บ้างเป็นแน่ แต่ก็จะสะอาดหมดจดยาก หรือทำได้น้อยครั้งน้อยเรื่องเต็มที ฉะนี้แลคือ คนที่มี "ความรัก" อยู่ใน มิติที่ 2...

.....ดังนั้น "ความจริง" ในคนที่มีความรัก มิติที่2 นี้ จะพึง "ไม่เห็นแก่ตัว" ซึ่งเป็น "ความรัก" ที่แท้ ก็จะไม่เห็นแก่ตัวหรือเป็นการเสียสละ ให้ได้อย่างไร้ธุลีแห่งความตระหนี่ก็เฉพาะในวงวนระหว่าง "พ่อ-แม่-ลูก" กันอยู่แคบๆเท่านี้ ไม่ว่าจะเสียสละวัตถุธรรมหรือนามธรรม ก็จะมีความเผื่อแผ่หรือเสียสละแก่กันและกันได้สะอาดหมดจดจริงเฉพาะในวงวนระหว่าง "พ่อ-แม่-ลูก" กันอยู่แคบๆเท่านี้ เท่านั้น กระนั้นก็ดี แม้ระหว่าง "พ่อ-แม่-ลูก"นี้ก็เถอะ ก็ยังมีความตระหนี่ มีความหวงแหนแทรกปนอยู่บ้างในบางอารมณ์บางเรื่องบางราวบางครั้งบางคราว...

.....แต่ถึงอย่างไร การเผื่อแผ่ การเสียสละของคนก็ย่อมมีแก่ผู้อื่นอันนอกเหนือจากวงวนของ "พ่อ-แม่-ลูก"นี้อยู่บ้าง ทว่า "การให้หรือการเสียสละ" ส่วนมากของคนที่อยู่ในฐานะผู้ที่ชื่อว่ามี "ความรัก มิติที่ 2" นี้ ก็ยังไม่บริสุทธิ์สะอาดเหมือนการเสียสละแก่กันและกันของ "พ่อ-แม่-ลูก"ได้ง่ายนักหรอก หรือจะบริสุทธิ์บางครั้งบางคราวก็ในกรณีที่พิเศษจริงๆน้อยครั้งน้อยราย ซึ่งไม่มากพอที่จะทำให้ผู้อยู่ในฐานะที่มีคุณค่าสูงขึ้นอีกขั้น...

.....คงจะไม่สับสนนะว่า "การเห็นแก่ตัว"นั้นไม่ใช่ "ความรัก" "การเผื่อแผ่-การเสียสละ-การมีคุณค่าเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น" ต่างหาก คือ "ความรัก"เพราะฉะนั้น "การเผื่อแผ่ -การเสียสละ-การมีคุณค่าเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น" ที่มีลักษณะแคบๆวนอยู่แค่ "พ่อ-แม่-ลูก" เท่านี้ จึงเป็น "ความรัก" มิติที่ 2 ซึ่งมีลักษณะกว้างเกื้อขึ้นมาจาก "ความรัก"วงวนของ" คนคู่" หรือ "คน 2 คน " เพิ่มมามีแก่ลูก ก็เกื้อกว้างขึ้นอีกนิด สูงกว่า "ความรัก มิติที่ 1"...

.....ถึงอย่างนั้น ความรักมิติที่ 2 นี้ ก็ยังเป็นความรักขั้นที่ยังไม่สูงเลย เพราะเป็นความรักที่ยื่นยาวออกไปแค่ "พ่อ-แม่-ลูก" ซึ่งมีประโยชน์น้อยนิดต่อผู้อื่นอยู่นั่นเอง เป็นความรักที่จำกัดวงรักแคบอยู่แค่สายเลือดชั้นเดียว หรือเห็นแก่ผู้อื่นอยู่ในวงแคบแค่ "พ่อ-แม่-ลูก" เพียงเท่านี้ ความรัก มิติที่2 นี้ แม้จะเริ่มดีขึ้น แต่จัดเป็นความรักที่แผ่ออกไปเห็นแก่ผู้อื่นยังไม่ถึงไหนเลย...

.....แม้จะเผื่อแผ่แก่กันและกันในวงวนแห่งความเห็นแก่คนนั้นคนนี้ระหว่าง "พ่อ-แม่-ลูก" นี้ก็เถอะ ก็ยังมีความซับซ้อนของความลำเอียงกันไปมาอีกนักกว่านัก เพราะว่ากิเลสในคนแต่ละคนนั่นเอง...

.....ความรัก มิติที่ 2 นี้ จึงได้ชื่อว่า "พันธุนิยม"หรือ "ปิตุปุตตานิยม"

ขอบคุณครับ

นพ.ไมตรี พิชญังกูร           ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: ความรักคืออะไร : ตอนที่ 11
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 11/07/2013, 14:29
ความรักคืออะไร: (ตอนที่ 11 ประสบการณ์แห่งรัก)

.....หญิงโสดคนหนึ่ง ย้ายบ้านใหม่ พบว่า ข้างบ้านเป็นครอบครัวยากจน ประกอบด้วยแม่หม้ายและลูกอีกสองคน...

.....อยู่มาคืนหนึ่ง ไฟฟ้าเกิดดับ หญิงคนนั้นจึงจุดเทียนไขนั่งเหม่อลอยอยู่คนเดียว สักพัก มีคนมาเคาะประตู...

.....เป็นเด็กข้างบ้านนั่นเอง เด็กถามอย่างตื่นเต้นว่า "คุณน้า ในบ้านมีเทียนไขไหม?"...

.....หญิงคิดในใจ "บ้านเขาจนถึงขนาดไม่มีเทียนไขรึ ช่างหัวมันเถิด เดี๋ยวได้คืบจะเอาศอก...

.....หญิงจึงตอบเด็กแบบมะนาวไม่มีน้ำว่า "ไม่มี"...

.....ขณะที่หญิงเตรียมจะปิดประตูส่งแขก เห็นเด็กหน้าตายิ้ม "นึกแล้วว่าไม่มี" พอพูดจบ เด็กควักเทียนไข2เล่มออกจากอกเสื้อ "แม่ฉันห่วงว่าคุณน้าอยู่คนเดียว คงไม่มีเทียนไข จึงเอามาให้คุณน้า2เล่ม"...

.....ทันใดนั้นเอง: หญิงรู้สึกสะเทือนใจจนน้ำตาคลอ กอดเด็กไว้แน่น...

ขอบคุณครับ
นพ.ไมตรี พิชญังกูร                  ขอบคุณค่ะพี่หมอ
หัวข้อ: ความรักคืออะไร : ตอนที่ 12
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 16/07/2013, 21:47
ความรักคืออะไร:(ตอนที่ 12: รักแบบว่า งงง้งงง แล้วรักป่ะ รัก ไม่รัก รัก ไม่รัก???....เครป่ะ...)

.....เมื่อเอ่ยถึง มิสเตอร์จอห์น รณภีย์ นักธุรกิจหนุ่มแห่งประเทศสารขันธุ์ ไม่มีใครไม่รู้จักท่าน เนื่องจาก ท่านเป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จอย่างมากในด้านธุรกิจ นอกจากความร่ำรวยติดระดับต้นๆของประเทศ ความมีบุคลิกภาพที่ดี ความมีน้ำใจเอื้ออารีย์ และความมีเสน่ห์ของท่านแล้ว ยังเป็นที่กล่าวขวัญกันว่า จอห์นเป็นผู้ที่รักภรรยาอย่างมาก...

.....ร่ำลือกันว่า จอห์นจะพกพารูปถ่ายของภรรยาติดตัวไว้เสมอ บรรดาคนใกล้ชิดและลูกน้องของจอห์นต่างก็รู้กันว่า จอห์นมักจะหยิบเอาภาพของภรรยาออกจากกระเป๋าเสื้อมาดูอยู่บ่อยๆ ซึ่งทำให้ ผู้หญิงในประเทศนี้ ต่างอิจฉาคุณนายจอห์น ที่มีสามีที่เพรียบพร้อมและรักเธอมากมายขนาดนี้...

.....ในงานเลี้ยงของสโมสรนักธุรกิจ Million Club ของประเทศสารขันธุ์ จอห์นได้รับเชิญให้เป็นผู้กล่าวปาฐกถา ถึงความสำเร็จในชีวิตของท่าน ซึ่งถือได้ว่า จอห์นได้รับเกียรตินี้อย่างสูงสุด เพราะนักธุรกิจส่วนมาก ต่างก็หวังที่จะเป็นผู้กล่าวปาฐกถาในงานนี้ ซึ่งจัดขึ้นปีละครั้ง...

.....ไฮไลท์ของปาฐกถาครั้งนี้อยู่ที่ตอนสุดท้าย จอห์น ได้กล่าวถึงเคล็ดลับที่ทำให้เขาประสบความสำเร็จในธุรกิจและในชีวิตครอบครัว...

.....ก่อนที่จะพูดต่อไป จอห์นได้บรรจงหยิบภาพถ่ายของภรรยาจากกระเป๋าเสื้อ และชูภาพภรรยาขึ้นสูง พร้อมกับกล่าวว่า...

....."ทุกครั้ง ที่ข้าพเจ้ารู้สึกเหนื่อย ก็จะหยิบภาพภรรยาของข้าพเจ้าขึ้นมาดู สุดท้าย ทุกครั้ง ความรู้สึกเหนื่อยล้า ก็จะหายไป ทำให้มีแรงที่จะลุกขึ้นมาสู้ต่อ"...

...............ที่ประชุม ปรบมือกันสนั่น และ นาน..............

....."ทุกครั้ง ที่ข้าพเจ้ารู้สึกท้อ ก็จะหยิบภาพภรรยาของข้าพเจ้าขึ้นมาดู สุดท้าย ทุกครั้ง ความรู้สึกท้อ ก็จะหายไป ทำให้มีแรงที่จะลุกขึ้นมาสู้ต่อ"...

...............ที่ประชุม ปรบมือกันสนั่น และ นาน..................

......"ทุกครั้ง ที่ข้าพเจ้าไม่มีกำลังใจที่จะทำอะไร ก็จะหยิบภาพภรรยาของข้าพเจ้าขึ้นมาดู สุดท้าย ทุกครั้ง จะมีพลังใจขึ้นมามากมายอย่างเหลือเชื่อ ทำให้มีแรงที่จะลุกขึ้นมาสู้ต่อไป"...

...............ที่ประชุม ปรบมือกันสนั่น และ นาน.................

....."ทุกครั้ง ที่ข้าพเจ้า ไม่ว่าจะเจอปัญหาอะไร ก็จะหยิบภาพภรรยาของข้าพเจ้าขึ้นมาดู สุดท้าย ทุกครั้ง ไม่ว่ามีปัญหาอะไร ข้าพเจ้าก็สามารถแก้ไขได้ ทุกๆครั้งไป และมีกำลังใจและพลังใจที่จะเดินหน้าสู้ต่อไป ภรรยา คือ สุดที่รักของผม เธอคือแรงบรรดาลใจที่ดีที่สุดของผม เบื้องหลังความสำเร็จของผมก็คือ เธอ นั่นเอง"...

.....ที่ประชุมทุกคนต่างก็ลุกขึ้นยืน พร้อมกับตบมือกันสนั่น และนาน ซึ่งเป็นการให้เกียรติจอห์น อย่างสูงสุด พร้อมกับการแสดงความยินดี และอิจฉาคุณนายจอห์นกันไปต่างๆนาๆ แต่ก็เป็นบรรยากาศที่สุดจะชื่นมื่นกันเลยทีเดียว...

...................ไม่มีงานเลี้ยงใดไม่เลิกรา.....................

.....ณ.ห้องรับแขกที่บ้านจอห์น จอห์นนั่งอยู่ที่โซฟาคนเดียว ใบหน้าอิดโรย และรู้สึกเหนื่อย อ่อนล้า แววตาบ่งบอกถึงความเศร้า...

.....จอห์น บรรจงหยิบภาพภรรยาขึ้นมาดูอีกครั้งหนึ่ง พร้อมกับพูดเบาๆกับตัวเองว่า...

....."ถ้ากูทนอีนี่ได้ ไม่มีอะไรที่กูจะทนไม่ได้อีก"

.....ไปอาบน้ำดีกว่า.....

.....นอนเร๊ะ.....

................รวย รวย รวย...........

............................เครป่ะ.........................

ขอบคุณครับ
นพ.ไมตรี พิชญังกูร       ขอบคุณค่ะพี่หมอ
หัวข้อ: Re: ความรักคืออะไร : ตอนที่ 13
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 16/07/2013, 21:50
ความรักคืออะไร:(ตอนที่ 13:ความรักในยุค 3G,4G)

.....สรรพสิ่งบนโลกนี้ล้วน เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ทุกสิ่งทุกอย่างมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ไม่มีอะไรที่หยุดนิ่งอยู่กับที่ ยิ่งสมัยนี้ การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นรวดเร็วมากๆ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างมันมากับออนไลน์...

.....ในแง่ของธุรกิจ การค้า การขายแล้ว ก็มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เราพบว่า การซื้อของของชาวอเมริกาในขณะนี้ ตั้งแต่ การค้นหาสินค้า การเลือกสินค้า การตัดสินใจซื้อสินค้า การจ่ายเงิน ระบบขนส่ง ระบบภาษี และศุลกากร ใบเสร็จรับเงิน 90% จบบนมือถือ บนออนไลน์...

.....ผมมาทำเครือข่าย ผมก็เลือกบริษัทที่มีระบบออนไลน์ 100% ไม่ต้องไปประชุมตามโรงแรมต่างๆ ทุกอย่างผ่านระบบออนไลน์หมด ผมนั่งทำงานประจำตรวจคนไข้ที่คลินิคผม เวลามีคนไข้มา ผมก็ตรวจ เวลาไม่มีคนไข้ ผมก็นั่งทำงานผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์ ประมาณว่า ที่ไหนบนโลกนี้มีคลื่นโทรศัพท์ ผมก็ทำธุรกิจกับเขาได้ ผมจึงมีเครือข่ายจากทุกมุมโลก จากทั่วโลก...

.....ไม่เว้น แม้แต่เรื่องของความรัก.....

..... ความรักของหนุ่มสาวในสมัยก่อน กว่าจะได้เห็นหน้ากัน หรือได้พูดคุยกัน มันช่างยากเย็นเหลือเกิน บางทีต้องใช้เวลาหลายๆปี ถึงจะได้พูดคุยหรือเห็นหน้ากัน...

.....ในยุคต่อๆมา ก็มีการสื่อสารผ่านทางจดหมาย โทรเลข แฟ็กซ์ และโทรศัพท์...

.....แล้วความรักหนุ่มสาวในยุคออนไลน์ 3G,4G นั้นเป็นไฉน?...

.....นี่เป็นบทสนทนาระหว่างคุณพ่อและลูกสาว...

ลูกสาว: คุณพ่อค่ะ หนูกำลังมีความรักกับหนุ่มแดนไกล เขาอยู่ที่ประเทศอังกฤษค่ะ...

คุณพ่อ: มันไกลกันเหลือเกิน อย่าลืมว่า เราอยู่ที่ประเทศกาน่า นะ มันคนละทวีปเลยล่ะ แล้วหนูไปเจอเค้าได้อย่างไรล่ะ?

ลูกสาว: ตอนแรก หนูก็ไม่รู้เรื่องอะไรหรอก เพื่อนมันบอกว่า มันเจอแฟนในเวป เพื่อนก็เลยแนะนำให้หนูไปเล่นดู...

คุณพ่อ: แล้วมันเป็นอย่างไงล่ะ ลูก?

ลูกสาว: หนูก็แค่พิมพ์คำว่า "เวปหาคู่" "dating "ลงไปใน google google มันก็บอกเราหมดเลยว่ามีที่ไหนบ้าง ส่วนเรื่องบทบาทคนรัก หรือวิธีการต่างๆ ไม่ว่าหนูอยากจะรู้เรื่องอะไร ก็พิมพ์เรื่องที่หนูสงสัยลงไป google มันจะบอกเราหมดเลย...

คุณพ่อ: น่าตื่นเต้น ลูก...

ลูกสาว: ถ้าหนูสงสัยในเรื่องใดๆ แล้วหนูอยากเห็นภาพจริงๆ หนูก็แ่่ค่พิมพ์ชื่อเรื่องที่หนูสงสัยลงใน youtube youtube ก็จะมีภาพทุกอย่างให้หนูดู อย่างเรื่องการปฎิบัติต่อแฟนหนู แต่ก่อนหนูไม่ประสีประสาอะไรหรอก แต่เดี๋ยวนี้ หนูจัดเป็นผู้เชี่ยวชาญเลยค่ะ...

ลูกสาว: ในที่สุด หนูกับแฟนก็เจอกันในเวปหาคู่ค่ะ dating website...

........: แล้วเราก็เริ่มเป็นเพื่อนกันบน Facebook ทุกๆเช้า เราจะทานกาแฟด้วยกันผ่านทาง Inbox ขณะทำงาน เราก็แอบส่งความคิดถึงกันบ่อยๆ ก่อนจะกินข้าวเที่ยง เมื่อสั่งอาหารเสร็จ ก่อนที่หนูจะกิน หนูต้องถ่ายภาพ แล้วส่งไปให้เขาก่อนเสมอ พอตกบ่ายๆ เราก็จะทานน้ำปั่นด้วยกันอีกครั้ง เมื่อไหร่ที่หนูรู้สึกง่วง แฟนหนูก็จะส่งกาแฟที่น่าทานมากๆ ผ่านมาทาง Inbox หนูรู้สึกดีมากๆค่ะ...

........: ตลอดเวลาที่ผ่านมาเราได้คุยกันมานานบน Whatsapp และ Line...แม้แต่เวลา เราออกไปที่ไหน ถ้ามีโอกาส เราก็ไลน์หากันตลอด ไม่ว่าจะขณะนั่งรถ ขณะประชุม หรือแม้แต่เวลาคุยกับคนอื่น เวลาทานข้าว หรือแม้แต่เวลาอุจจาระ เราก็จะไลน์หากันเสมอ...

.........: เมื่อเลิกงาน ตอนเย็นกลับถึงบ้าน เราจะรีบวิ่งไปเฝ้าอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ เราจะเริ่มบอกรักกัน มันสุดแสนจะโรแมนติคมากๆ เราสามรถคุยกันได้ทุกเรื่องผ่านทาง Inbox พอดึกเข้า เราต่างก็มีอารมณ์โหยหา ซึ่งกันและกัน เราจึงเปิดกล้อง Notabook สุดท้าย เราจึงได้เสียกัน ผ่านทางกล้องบน Notebook แต่หนูก็ไม่ได้คุมกำเนิดนะ ไม่ทราบว่า หนูจะตั้งครรภ์มั้ย นี่ประจำเดือน ก็ขาดไปสองเดือนแล้ว...

........: แต่ว่า คุณพ่อค่ะ เมื่อคืน หนูอารมณ์เสียมากเลยค่ะ ในขณะที่หนูกำลังมีอะไรกับแฟนหนู เน็ตมันช้ามากค่ะ ในจังหวะที่หนูต้องการให้เน็ตมันแรงและเร็ว มันก็เอาแต่หมุน หมุน หมุน เลยได้แต่ในเวอร์ชั่น slow motion ค่ะ...

........: คุณพ่อค่ะ คุณพ่อช่วยเปลี่ยนโปรโมชั่นเน็ตเป็นแบบ Unlimited Ultra High Speed Internet ค่ะ หนูต้องการความแรงและความเร็วของเน็ตค่ะ...

........: เรารักกันมากค่ะ เลยขอแต่งงานกันผ่าน Skypeค่ะ...

........:คุณพ่อค่ะ หนูอยากให้พระเจ้าประทานพรให้หนูค่ะ...

คุณพ่อ: wow really!! ว้าวววว จริงๆเหรอลูก...

.........: ถ้าอย่างนั้น ลูกก็จัดงานแต่งงาน และงานฉลองสมรสผ่านทาง Twitter ไปเลยดีมั้ย...

.........:แต่ว่า ก่อนอื่น ลูกต้องเชิญแขกที่จะมาในงานผ่านทาง google drive และเชิญผ่านทางกิจกรรมกลุ่มบน Facebook...

.........: สำหรับแขกที่จะช่วยงาน ก็ให้เขาโอนเงินเข้าที่ e-wallet ของหนูก็ได้

.........: พ่อว่าหนูและแฟนควรจะไปฮันนี่มูนกันบน Tango ให้มันสนุกสุดเหวี่ยงไปเลย...

.........: หลังจากแต่งงานผ่านไปสักระยะหนึ่ง พ่อก็อยากจะเลี้ยงหลานแล้ว ก็ซื้อลูกน้อยๆผ่าน E-bay โดยให้ส่งผ่านมาทาง gmail...
.
.........: และถ้าหากลูกเกลียดสามีหนูเมื่อไหร่ ก็ขายมันผ่านทาง Amazon แต่อย่าลืมให้จ่ายเงินผ่าน pay pal นะลูก...

ขอบคุณครับ
นพ.ไมตรี พิชญังกูร        ขอบคุณค่ะพี่หมอ
หัวข้อ: ความรักคืออะไร ตอนที่ 2 - ตอนที่ 14
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 19/07/2013, 12:54
ความรักคืออะไร (ตอนที่ 14: น้ำตา1)

.....น้ำตาที่ไหลออกมานั้น "ที่รักครับ" มันหลั่งออกมาจากทุกอณูของหัวใจผม มันไม่ใช่ความเศร้าหรือความเสียใจ แต่เป็นน้ำตาแห่งความปิติและความสุข...

.....ตั้งแต่วันที่เราได้รู้จักกันมา จนมาถึงวันนี้ แต่ละวันที่เราได้คุยกัน ได้ทำความรู้จักกัน ทำให้ผมได้รู้จักตัวตนของคุณ แต่ในขณะเดียวกัน คุณก็คงรู้จักตัวตนของผมมากขึ้นว่า ผมเป็นคนแบบไหน...

.....ทุกๆวัน เราทั้งสองได้คุยกัน ตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้ ไม่มีวันไหนที่เราไม่ได้คุยกันเลย บางวันเราก็ได้เจอกัน ได้ไปทานข้าวด้วยกัน...

.....ทุกครั้งที่เราคุยโทรศัพท์ ถ้าอยู่ใกล้เตียงนอนหรือโซฟา ผมจะเอนนอนลง แล้วก็เอาโทรศัพท์แนบติดหู มันทำให้เสียงใสๆ ที่คุณพูดผ่านมา ไม่ต่างอะไรจากคุณได้นอนพูดกระซิบข้างหูผม ที่รักจ๋า มันทำให้ผมรู้สึกว่า เราไม่ห่างกันเลยแม้แต่วินาทีเดียว ทุกๆวัน ทุกๆเวลาเหมือนเราอยู่ใกล้กัน ทั้งๆที่เราอยู่กันคนละจังหวัด ห่างกันตั้งหลายร้อยกิโลเมตร...

.....ทุกๆวัน ผมจะคิดถึงคุณตลอดเวลา ไม่มีเวลาไหนที่ผมไม่คิดถึงคุณเลย ทุกอิริยาบทของคุณ มันโลดเล่นอยู่ในทุกๆส่วนทุกๆอณูในร่างกายผมเลยทีเดียว...

.....แต่ละคืนที่ผมเอนตัวลงนอน ทันทีที่หลับตา ภาพทุกภาพของคุณจะปรากฎขึ้นมาในมโนผมทันที ไม่ว่าจะเป็นรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ กิริยาท่าทางการนั่งการยืน ท่าเดิน ที่รักจ๋า คุณรู้มั้ย เวลาที่คุณงอน คุณมีเสน่ห์มากที่สุด น่ารักที่สุดเลย แต่ตอนนี้ภาพทุกภาพ มันวิ่งเต้นในมโนผมตลอดเวลา...

.....ณ.วินาทีนี้ น้ำตาผมกำลังไหล มันไหลออกมาแบบไม่รู้ตัว ไหลออกมาไม่หยุด มันเป็นน้ำตาแห่งความปลาบปลื้มปิติที่สุดในหัวใจผมเลยทีเดียว แต่ก็ปนไว้ด้วยความกลัว ทำไมมันทะลักออกมาจากหัวใจได้มากมายขนาดนี้ น้ำตาเจ้าเอ๋ย...

.....ทำไมผมถึงเห็นภาพที่เป็นคุณ มันเหมือนมีร่างของคุณหนึ่งร่างวิ่งอยู่ในหัวใจผม มันเป็นภาพที่มีชีวิต เป็นชีวิตคุณที่ซ้อนอยู่ในหัวใจผม ในหัวใจผมทำไมอัดแน่นไปด้วยคุณขนาดนี้ นี่เป็นเหตุกระมังที่เวลาคุณเข้าไปอยู่ในหัวใจผม น้ำตาคงไม่มีที่อยู่ ที่อยู่ปกติของน้ำตาถูกแทนที่โดยคุณ น้ำตาจึงทะลักล้นออกมาทางเบ้าตาได้มากมายขนาดนี้...

..... ที่รักจ๋า ผมกลัวเหลือเิกิน ผมกลัวมาก กลัวว่า สักวันหนึ่งคุณจะจากผมไป เพราะว่าในเวลานี้ ที่หัวใจผมเต้นได้ ก็เพราะว่ามีคุณอยู่ข้างใน ถ้าเมื่อไหร่ ที่คุณไม่อยู่ในนี้ หัวใจผมก็คงหยุดเต้นเหมือนกัน ที่รักจ๋า ผมกลัวเหลือเกิน...

.....ที่รักจ๋า ผมรักคุณมากเหลือเกิน ทุกขณะจิตของผมมีแต่เธอ จนผมไม่มีแรงที่จะลุกไปทำอะไร ข้าวก็ไม่อยากจะกิน งานก็ไม่อยากจะทำ เงินก็ไม่ต้องการ ทรัพย์สินต่างๆก็ไม่สน เกียรติยศก็ไม่เอา ทุกๆขณะจิตมีเพียงเธอ จนบางที รักคุณจนลืมหายใจ นี่คือภาพที่ผมเคยบอกคุณว่า มีคุณอยู่ในใจผมตลอดเวลา...

.....ที่รักจ๋า มาถึงวินาทีนี้ น้ำตาก็ไหลออกมาอีกแล้ว ทำไมขณะนี้ ในหัวสมองผมมันเหมือนกลวงว่างเปล่า ไม่มีอะไรอย่างอื่นเลย นอกจากเธอ ทั้งสมอง หัวใจ และจิตวิญญาณมีแต่เธอเท่านั้น...

.....ที่รักจ๋า ที่รักคงเข้าใจความรักของผมแล้วใช่ไหม มาถึงขณะนี้ คุณไม่ต้องบอกผมหรอกว่า คุณมีอดีตเป็นมาอย่างไร อดีตก็ปล่อยให้มันผ่านไปเถอะ คุณจะเรียนจบอะไรก็ไม่เป็นไร คุณจะรวยหรือจนก็ไม่ใช่ประเด็น จะขาวหรือดำก็แล้วแต่ จะสูงจะเตี้ยก็ไม่ว่ากัน รอบเอวคุณจะเล็กหรือใหญ่ขนาดไหนก็ไม่เป็นไร ในเมื่อในหัวใจผมมีแต่คุณเท่านั้น มันจะเป็นอื่นไม่ได้อีกแล้ว ต้องเป็นคุณเท่านั้น...

.....น้ำตาเจ้าเอ๋ย เจ้าเป็นน้ำตาที่น่ารักที่สุด เป็นน้ำตาที่น่าปลาบปลื้มที่สุดในชีวิตผม พอเจ้าหลั่งออกมา มันช่วยชะโลมพิษที่ค้างคาอยู่ในหัวใจผมจนหมดสิ้น เป็นหัวใจที่สดใส ที่พร้อมจะเป็นอิสระ อีกครั้งหนึ่ง...

.....น้ำตาเจ้าเอ๋ย เจ้าหยุดหลั่งได้มั้ย ผมต้องการพลังอย่างมากในการสร้างสรรค์ความรักของผมกับที่รัก ถ้าขืนเป็นแบบนี้ต่อไปไม่นาน ผมคงต้องตายจริงๆ ที่รักจ๋า กอดผมสิครับ กอดผมให้แน่นๆ กอดนานๆ ผมต้องการความช่วยเหลือจากคุณ...

.....ที่รักจ๋า คุณคงรู้แล้วสินะ ว่าน้ำตาที่หลั่ง มันมีที่มาที่ไปอย่างไร คุณได้รับรู้มันหมดแล้ว จากนี้ไป เราจะไม่พรากจากกันนะ กอดผมแน่นๆสิครับ กอดผมแน่นๆสิครับ ที่รักจ๋า ผมรักคุณมากมายเหลือเกิน ผมรักคุณมากมายเหลือเกินนนนนนนนน...

ขอบคุณครับ
นพ.ไมตรี พิชญังกูร                ขอบคุณค่ะพี่หมอ
หัวข้อ: ความรักคืออะไร ตอนที่ 15
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 24/07/2013, 09:42
24 กรกฏาคม 2556

ความรักคืออะไร: (ตอนที่ 15:ความรัก10มิติ: มิติที่ 4:ชุมชนนิยม)

.....ในบทก่อนๆ เราได้นิยามว่า ความรักคืออาการทางจิต หรือสภาวะทางจิตที่มี "อาการชอบใจผสมความยินดี ที่พร้อมกับมีความปรารถนาดีอย่างสัมมาทิฎฐิ" เราได้เรียนรู้ผ่านไป 3มิติแล้ว...

.....ความรักมิติที่ 4 คือ ความรักที่เริ่มขยายออกสู่ผู้อื่นที่นอกจากญาติ เป็นการขยายความรักที่อยู่แค่วงศาคณาญาติออกไปสู่หมู่มิตรสหาย อันเป็นสังคมใกล้ชิดมิตรสหายที่กว้างขึ้นกว่าเพียงวงศ์ญาติเท่านั้นออกไปได้อีก อาจจะแผ่ความรักความเกื้อกูลออกไปแค่เพื่อนฝูงหมู่คณะยังไม่กว้างมากมายถึงระดับมีใจมุ่งหมายเพื่อประชาชนทั้งชาติทั้งประเทศทีเดียว...

.....แต่คนที่มีความรักในระดับมิตินี้ ก็เป็นความเห็นแก่ผู้อื่นเผื่อแผ่กว้างเกื้อกระจายออกจากขอบแคบแค่วงศ์ญาติพี่น้องสายโลหิตมากขึ้น แผ่ความรักสู่มวลชนเพื่อนพ้องกว้างขึ้น เป็นกลุ่มชุมชน เป็นตำบล อำเภอ จังหวัด เป็นความรักที่มีภาระมากขึ้น...

.....แต่เราก็ยังถือว่า ความรักในมิตินี้ เป็นความรักที่มีคุณค่าสูงขึ้น เพราะความรักเช่นนี้ คือการลดความเห็นแก่ "ตัวเรา-ของเรา" ที่เป็นแค่วงศาคณาญาติ ซึ่งยังคับแคบมาก ก็ขยายกว้างขึ้นไปสู่มวลมนุษยชาติเพิ่มขึ้นแล้ว จึงนับว่า มีคุณค่าเพิ่มขึ้นกว่า "ความรัก" มิติที่ 3...

.....ใครก็ตาม ที่เห็นแก่ความสุขของผู้อื่นที่กว้างขึ้น สามารถเสียสละ เผื่อแผ่ หรือช่วยเหลือเกื้อกูลผู้อื่นได้มากไปกว่าวงศาคณาญาติ แม้จะเป็นเพียงมิตรสหายแวดล้อมก็ดี หรือผู้คนอื่นๆในแวดวงใกล้ๆก็ตาม ก็นับว่า มีความรักที่เจริญขึ้น...

.....ความรักที่เจริญขึ้นในระดับที่มากขึ้นๆ จึงเป็นความรักที่ดีงาม เป็นประโยชน์ใหญ่กว้างขึ้น มีค่าสูงขึ้นตามความเอื้อเฟื้อเกื้อกว้างที่กว้างขึ้นๆนั้นๆจะแผ่ขยายออกไปจริง ยิ่งเผื่อแผ่กว้างเกื้อออกไปได้มากขึ้นเท่าไหร่ ก็ยิ่งเป็น "ความรัก"ที่มีคุณประโยชน์สูงค่ามากขึ้นเท่านั้น...

.....ความรักมิติที่ 4 นี้ เรียกว่า "ชุมชนนิยม" หรือ "สังคมนิยม"

ขอบคุณครับ
นพ.ไมตรี พิชญังกูร
หัวข้อ: ความรักคืออะไร ตอนที่ 16
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 26/07/2013, 13:08
26 กรกฏาคม 2556

ความรักคืออะไร (ตอนที่ 16: นอนไม่หลับ: อีกด้านหนึ่งของความรัก)

.....นอนไม่หลับ: ใครๆก็เคยนอนไม่หลับ แต่คนนอนไม่หลับส่วนใหญ่จะไม่ทราบเลยว่า สาเหตุที่ทำให้ตัวเองนอนไม่หลับนั้นคืออะไร แต่ละคน แต่ละครั้งที่นอนไม่หลับก็มีสาเหตุที่แตกต่างกันไป...

.....แต่ถ้าหากว่าท่านคิดถึงปัญหาๆหนึ่ง แล้วทำให้ท่านนอนไม่หลับ หรือหลับๆตื่นๆทั้งคืน มีแต่ท่านต้องประสบเอง จึงจะรับรู้รสชาติมันว่า ทรมานขนาดไหน การที่จะต้องพลิกซ้ายพลิกขวา ทั้งๆที่ไม่รู้ว่าหลับหรือตื่นตลอดทั้งคืน ดิ้นรนทรมานอยู่บนเตียง มองไปทางไหนก็ยังมืด ไม่สว่างเสียที เป็นอย่างนี้ตลอดทั้งคืน มันเป็นเรื่องที่ยากที่จะบรรยายออกมาเป็นตัวหนังสือ รสชาติความรู้สึกแบบนี้ ไม่อยากจะขอเจอมันอีกตลอดไป...

.....แต่ที่แย่ที่สุดคือ หลังจากที่นอนไม่หลับเพราะปัญหาๆหนึ่งจนนับคืนไม่ถ้วน ปัญหานั้น ก็ยังไม่ได้ถูกแก้ไขให้มันลุล่วง...

.....เราจะทำอย่างไรดี ร้อยทั้งร้อยก็คือ มีแต่ยอมแพ้ต่อชะตากรรม คือจะไม่คิดถึงมันอีก สาบานเลยว่า จะลืมมันเสีย กดข่มมันไว้ จะไม่คิดถึงมันอีก ชาตินี้จะต้องลืมมันให้ได้...

.....แต่ทุกวัน ก็ยังคงต้องไปทำงานตามปกติ จนผ่านไปสักระยะหนึ่ง ดูเหมือนว่าเราได้ลืมปัญหาที่เคยทำให้เรานอนไม่หลับไปจนหมดสิ้น ก็เพราะว่า เราได้สาบานกับตนเองไว้ว่า เราจะต้องลืมมันให้ได้ แล้วจะไปคิดถึงมันทำไมอีก เราจะไปคิดถึงมันอยู่ไย...

.....ถามว่า ท่านลืมปัญหานั้นเสียแล้วจริงๆหรือ?...

.....ท่านไม่ได้ลืมมันเลย...

.....ที่ท่านไม่ไปคิดถึงปัญหานั้นอีก ก็เพราะว่าท่านรู้คำตอบของปัญหานั้นมานานแล้ว เพียงแต่ว่าท่่านปฎิเสธที่จะยอมรับมันเท่านั้น...

.....เพราะว่าคำตอบนั้น ได้กระทบเข้ากับส่วนที่เปราะบางที่สุดและเจ็บปวดที่สุดในใจของท่านนั่นเอง...

.....มนุษย์นั้นมากด้วยอารมณ์ความรู้สึก ไม่มีระเบียบกฎเกณฑ์หรือหลักการอะไรที่แน่นอนตายตัว และไม่มีใครสามารถควบคุมได้ โดยเฉพาะตัวเองแล้ว ยิ่งเกินความสามารถที่จะควบคุมได้...

.....ท่านพยายามให้ตนเองไ่ม่คิดเช่นนี้ แต่มันกลับมักจะคิดอย่างนั้น ท่านต้องการให้ตนเองไม่ไปคิดถึงคนๆนั้น แต่ในสมองของท่านก็มักปรากฎเงาของคนเช่นนั้นอยู่ทุกเวลานาที...

.....ความรู้สึกเช่นนี้ มันมีอาการคล้ายๆ ใครเอามีดคมๆมาเฉือนใจเรา...

.....ถ้าท่านกระทำความผิดมาเรื่องหนึ่ง ในใจของท่านคิดที่จะไม่ไปคิดถึงมัน ท่านเคยรักใครคนหนึ่ง แล้วคนๆนั้นทิ้งจากท่านไป ท่านสาบานว่า จะไม่ไปคิดถึงคนผู้นี้และเรื่องๆนี้...

.....แต่ทุกครั้งที่ท่านอยู่เดี่ยว เดียวดาย หรือบรรยากาศชวนให้เดียวดาย วังเวง ท่านจะนอนพลิกซ้ายพลิกขวา ก้มิอาจหลับได้ เรื่องที่ท่านไม่ต้องการคิดถึง พลันก็เอ่อท้นเข้ามาในใจในชั่วพริบตา...

.....มีแต่ "ความคิด" เท่านั้นจึงเป็นสิ่งที่ไม่เป็นอิสระที่สุด...

.....มนุษย์ใยจึงมักจะคิดถึงในสิ่งที่เขาไม่ควรคิดเล่า...

.....หรือว่า นี่คือเรื่องเศร้าอันยิ่งใหญ่ของมนุษย์?...

.....สำหรับผมแล้ว "ความคิด" มันไม่เป็นอิสระจริงๆ...

.....ต่างจาก "จินตนาการ" ที่มีความอิสระที่สุด...

ขอบคุณครับ

นพ.ไมตรี พิชญังกูร        ขอบคุณค่ะพี่หมอ
หัวข้อ: ความรักคืออะไร ตอนที่ 17 : ความรัก กับ ความโกรธ
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 29/07/2013, 10:30
5 สิงหาคม 2556

ความรักคืออะไร (ตอนที่ 17:ความรัก กับ ความโกรธ)

.....มิติหนึ่ง ที่ผมยึดถือในวิชาชีพแพทย์มาตลอดชีวิต คือ ประโยชน์สูงสุดของคนไข้ บางที เรายึดถือแนวแบบนี้ แต่คนไข้กลับไม่เข้าใจ มนุษย์หนอมนุษย์...

.....มีงานวิจัยที่เป็นวิทยาศาสตร์ และเป็นที่ยอมรับกันทั่วโลก มีการสอนกันในโรงเรียนแพทย์ว่า ในจำนวนคนป่วย 100คนที่มาหาหมอ 60% ไม่จำเป็นต้องต้องถึงมือหมอ เพียงแต่ว่า ถ้าเขาดูแลสุขภาพให้ดี เขาจะไม่เป็นอะไรเลย อีก 30% แพทย์เวชปฎิบัติทั่วไป สามารถรักษาและให้ยากลับไปทานที่บ้าน และก็หายได้ มีเพียง 10%เท่านั้น ที่จะต้องนอนโรงพยาบาล และให้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญรักษา...

.....แต่คนกลุ่มนี้ ก็มาหาหมอ เกิดความสูญเสียทางเศรฐกิจมากกว่าครึ่งหนึ่งของความจำเป็นเลยทีเดียว...

.....เวลา มีคนไข้ที่อยู่ในกลุ่มนี้ ผมก็จะปฎิบัติต่อเขา เหมือนเขาเป็นญาติเรา คือ ผมจะสำนึกในใจตลอดเวลาว่า ถ้าคนไข้คนนี้เป็น พ่อ แม่ พี่ น้อง หรือญาติ หรือคนรักเรา เราก็จะรักษาเขาแบบเดียวกัน ใช้ยาตัวเดียวกัน มาตรฐานเดียวกัน...

.....คนไข้ในกลุ่มนี้ เวลามาหาผม ถ้าคนไหน ไม่ต้องใช้ยาเลย ผมก็จะไม่ให้ยา ก็คงมีแต่เพียงคำแนะนำการปฎิบัติตัว ก็ไม่รู้จะจ่ายยาไปทำไม เอาสารเคมีไปใส่ในตัวเพื่อนมนุษย์เพิ่มขึ้นโดยไม่จำเป็นทำไม ถ้าไม่มีการจ่ายยา ผมก็ไม่คิดค่ารักษา ประมาณว่า ปรึกษาฟรี ไม่เสียค่าหมอ...

.....เมื่อเดือนที่แล้ว คนไข้ชายไทย อายุ 42ปี มาหาผมด้วยอาการเป็นหวัด เมื่อซักประวัติ และตรวจร่างกายแล้ว พบว่า คนไข้ไม่ได้เป็นอะไรมากเลย วิธีการรักษาก็คงเพียงแค่พักผ่อนสักวันสองวัน โดยไม่ต้องกินยาเลย ก็เพียงพอแล้ว ผมก็ได้อธิบายและทำความเข้าใจ จนแจ่มแจ้งแล้ว ก็เลยบอกไปว่า ไม่ต้องกินยาอะไร กลับไปพักผ่อนวันสองวันก็หาย ค่ารักษาพยาบาลก็ไม่ได้คิด...

.....ทันใดนั้นเอง คนไข้แสดงท่าทีโมโห เกรี้ยวกราดใส่ผมทันที กล่าวหาผมต่างๆนาๆ แต่ทุกคำพูดที่พูดออกมา ก็เป็นไปตามกรอบความคิดของตัวเอง เช่น ไม่สบาย ไม่กินยา ไม่ฉีดยา จะหายได้ไง, คุณเรียนจบหมอมาได้อย่างไร, มีจรรยาบรรณมั้ยมั้ย? ผมมีเงินนะ คุณหมอหายาที่ดีที่สุด ค่ายาเท่าไหร่ไม่อั้น เอาแบบเข็มเดียวหาย ฯลฯ...อีกสารพัด ที่เป็นคำลบๆ...

.....ท่านผู้ชมครับ ถ้าเป็นท่าน ท่านจะทำอย่างไรต่อครับ?...

.....ร้อยทั้งร้อย ก็คงตอบเหมือนกัน โกรธสิครับ.....

.....ความโกรธเป็นโทสะมูลที่มีความชั่วร้าย เป็นพลังฝ่ายอกุศลที่เปี่ยมพลังยิ่ง เมื่อมีพิษร้ายความโกรธอยู่ในดวงจิตแล้ว จะก่อให้เกิดกรรมและความทุกข์ ไม่มีที่สิ้นสุด ความโกรธก่อให้เกิดความเคืองแค้น และนำไปสู่ความก้าวร้าว เมื่อคนถูกทำร้าย มนุษย์ส่วนใหญ่จะอยากตอบโต้แบบตาต่อตา ฟันต่อฟัน เช่น...

.....ถ้าใครมาด่าฉัน ฉันจะด่าตอบ...
.....ถ้าใครมาตีฉัน ฉันจะตีตอบเป็นสองเท่า...
.....คนๆนี้เป็นศัตรูของฉัน ฉันจะต้องฆ่ามัน ฉันจึงจะมีความสุข...เป็นต้น

.....อยากให้ตระหนักว่า หากเรามีแนวโน้มที่จะโกรธและก้าวร้าว เราก็จะมีศัตรูทั่วทุกหนทุกแห่ง เราจะชอบคนน้อยลง จะเกลียดคนมากขึ้น คนจะเริ่มหลีกลี้หนีห่างจากเรา เราจะยิ่งโดดเดี่ยวและเหงาเศร้าสร้อย เวลาที่เราโกรธมากๆ เราจะด่าคำหยาบคาย คำผรุสวาทต่างๆก็จะออกมา...

....."แม้ในถ้อยคำไม่มีอาวุธ แต่มันสามารถทำร้ายจิตใจคนได้มากเป็นอย่างยิ่ง" วาจาของมนุษย์จึงเป็นภัยต่อคนอื่น และต่อตนเองอย่างยิ่ง...

.....นิสัยความเคยชินของมนุษย์ มักจะเป็นไปในทางไม่สร้างสรรค์ เช่น ถ้ามีใครมาสบประมาทเรา เราก็จะหมกมุ่นครุ่นคิดอยู่แต่เรื่องนั้น คิดแล้วคิดอีก วนไปวนมาไม่มีที่สิ้นสุด "ทำไมเขาจึงพูดแบบนั้นกับฉัน" คิดฟุ้งซ่านไปไม่มีที่สิ้นสุด มันเปรียบเสมือนการยิงธนูพลาดเป้า การหมกมุ่นกับปัญหา เหมือนกับการเก็บลูกธนูขึ้นมาทิ่มแทงตนเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า แล้วใจก็โทษคนอื่น กล่าวหาคนอื่นว่า "เขาทำให้ฉันเจ็บปวด ไม่คิดว่า เขาจะใจดำขนาดนี้"...

.....คนไข้มีอาการโกรธ และแสดงอัตตาตัวตนที่่ยิ่งใหญ่ออกมา ดูไปแล้วเหมือนคนบ้า...

.....ถ้าเป็นวิธีการจัดการแบบเดิมของผม คุณหมอก็คงโกรธ และเกิดการโต้เถียงกันอย่างหนัก...

.....เป็นการดีกว่าที่จะสลายความโกรธลงก่อนที่มันจะชักนำไปสู่ความขัดแย้งอันรุนแรง โดยอาศัยการอดทนข่มใจ ความรับผิดชอบและความเข้าใจในสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับเรา ย่อมช่วยให้ระงับโทสะได้...

.....การตอบสนองความโกรธด้วยความโกรธจึงเหมือนการกระโดดตามคนบ้าลงจากหน้าผา คุณหมอจำเป็นต้องทำขนาดนั้นมั้ย ถ้าหากการกระทำของเขา เราถือว่าเขาบ้า เราก็ยิ่งบ้ากว่าเขา หากทำเช่นเดียวกัน เปรียบเสมือนการเอายาพิษมารักษาโรค แล้วมันจะหายมั้ย...

.....ลองพิจารณาจากคำพูดเหล่านี้ดูสิ ถ้าหากมีใครมาพูดว่า "เจ้าเป็นคนเลว" คุณลองถามตัวเองดูสิว่า "นั่นทำให้ฉันเป็นคนเลวจริงหรือ แต่ถ้าฉันเป็นคนเลวและมีใครมาบอกว่าฉันเป็นคนดี นั่นจะทำให้ฉันเป็นคนดีขึ้นมาหรือไม่"...

.....ถ้ามีใครมาบอกว่าถ่านก็คือเพชร นั่นมันจะทำให้เป็นเพชรขึ้นมาได้ล่ะหรือ แต่ถ้ามีใครมาบอกว่าเพชรก็คือถ่าน นั่นมันจะทำให้กลายเป็นถ่านจริงล่ะหรือ...

.....สิ่งต่างๆ ย่อมจะไม่แปรเปลี่ยนไป เพียงเพราะมีคนมาพูดอย่างนี้ เหตุใดเราจึงต้องใส่ใจจริงจังกับคำพูดทำนองนี้ด้วยเล่า...

.....วันนี้กลับถึงบ้าน ลองฝึกปฎิบัติแบบนี้ก็ได้ ท่านไปนั่งอยู่หน้ากระจก และดูเงาสะท้อนของตัวเอง ท่านลองสบประมาทตัวเองดู "เจ้าช่างน่าเกลียด เจ้าช่างแสนเลว" ครั้นแล้วก็ลองชมตัวเองดู "เจ้าช่างงดงาม เจ้าช่างแสนดี" ไม่ว่าเราจะพูดอย่างไร ภาพสะท้อนนั้นก็ยังคงอย่างที่มันเป็น คำชมหรือคำตำหนิ หาใช่สิ่งจริงในตัวของมันเองไม่ มันเหมือนเงา เหมือนภาพสะท้อน มันคงไม่มีอำนาจที่จะเกื้อกูลหรือทำร้ายเราได้...

.....เมื่อเราฝึกมาถึงตรงนี้ เราคงจะเริ่มตระหนักได้ว่า สรรพสิ่งบนโลกนี้ ล้วนไร้ซึ่งแก่นสาร มันเป็นเหมือนมายา เหมือนความฝัน เมื่อไหร่ก็แล้วแต่ที่เราโกรธ อย่าเพิ่งตอบสนองอย่างทันทีทันควัน ลองพิจารณาดู และถามขึ้นว่า...

....."อะไรกันนี่ อะไรที่ทำให้ฉันตัวสั่นและหน้าแดงก่ำ มันอยู่ที่ไหนกันเล่า" สิ่งที่เราค้นพบคือ ไม่มีแก่นสารใดๆอยู่ในความโกรธ ไม่มีสิ่งใดให้ค้นพบได้...

.....วันนี้ท่านจะดี ก็คงดีด้วยตัวของท่าน วันนี้ท่านจะไม่ดี ก็คงไม่ดีด้วยตัวของท่าน คำพูดของคนอื่น คงไม่มีผลต่อสาระในชีวิตของผมได้...

.....คุณคนไข้ผู้น่าสงสาร นอกจากคุณจะป่วยทางร่างกายแล้ว ยังจะหายา ซึ่งเป็นสารเคมีมายัดเข้าร่างกายตัวเอง โดยที่ไม่มีความจำเป็นใดๆเลย มิหนำซ้ำ ยังมีโทสะมูลฝังแน่นอยู่ในดวงจิต ซึ่งพร้อมที่จะระเบิดได้ตลอดเวลา มันเป็นการป่วยทางจิตวิญญาณ ที่น่าสงสารจริงๆ ผมต้องการช่วยเหลือคุณเหลือเกิน...

ขอบคุณครับ

นพ.ไมตรี พิชญังกูร                   ขอบคุณค่ะพี่หมอ
หัวข้อ: ความรักคืออะไร ตอนที่ 18 :รักตัวเองก่อน จึงจะรักคนอื่นได้
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 30/07/2013, 16:18

30 กรกฏคม 2556

ความรักคืออะไร (ตอนที่ 18:รักตัวเองก่อน จึงจะรักคนอื่นได้)

.....ขอบคุณมากครับ ที่รัก ขอขอบคุณจากใจจริงๆ...

.....เป็นเวลานานเหลือเกิน สิบกว่าปีแล้ว ที่ผมไม่อีนังขังขอบกับความเป็นความตาย จะเป็นก็เป็น จะตายก็ตาย ชีวิตอยู่ไปวันๆ แต่ว่า ก็ต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป เพราะว่า การมีชีวิตอยู่ ก็เป็นหน้าที่อย่างหนึ่ง...

.....ตั้งแต่วันแรกที่เราเจอกันจนถึงวันนี้ นับว่า วันนี้เป็นวันที่ผมมีความรู้สึกว่า ยอมตกบ่วงรักเธอ ไม่มีอะไรที่จะต้องลังเลอีก จะรักเธอ จะรักเธอ เรื่องใดๆ ก็ไม่หวาดหวั่นอีกต่อไป...

..... .....เราเจอกันวันนี้ หลังเธอเลิกงาน ที่รัก ทำไมเธอเหนื่อยอย่างนี้ โทรมเลยล่ะ หน้าเป็นผื่นเต็มไปหมดเลย ขอบตาดำคล้ำ คงไม่ได้พักหลายวัน ทำไม ทำไม ทำไม...โอ....น่าสงสารจัง ผมรู้สึกเสียใจมากๆเลย มันเป็นความผิดของผมเอง ผมควรจะดูแลเธอได้มากกว่านี้ ผมไม่อยากให้เธอต้องลำบากอีกแล้ว...

.....ที่รัก ผมขอใช้พลังที่เหลือในชีวิตผม ทุ่มเทให้กับความรักที่ผมมีต่อคุณ ผมจะต้องมีชีวิตที่ดี เพื่อที่จะได้ดูแลที่รักไปนานๆ และจะได้ไม่ต้องทำความลำบากกายและใจให้กับที่รักอีก...

....ผมจะต้องมีสุขภาพกายและใจที่ดี ตั้งแต่วินาที่นี้เป็นต้นไป ผมจะรักสุขภาพของผม จะต้องดูแลสุขภาพของผมให้ดีสุดๆ ผมจึงจะมีพลังที่จะดูแลที่รักได้...

.....ถ้าสุขภาพของผมไม่ดี เดี๋ยวป่วยเป็นโน่นเป็นนี่ แล้วผมจะเอาพลังที่ไหนมาดูแลที่รัก จะเอาแรงกายที่ไหนไปทำงานหาเงิน แล้วไหนจะต้องค่ารักษาพยาบาลอีก แล้วจะต้องทำให้ที่รักเสียเวลาเป็นห่วงมาดูแลผมอีก...

.....ทุกๆเช้า ผมจะตื่นตรงต่อเวลา เพื่อมาออกกำลังกายทุกวัน จะกี่วันกี่ปี ก็ขอจะทำ ตลอดไป...

.....ผมจะตั้งสัจจะเรื่องอาหาร:จากนี้ไป อาหารที่ไม่เป็นประโยชน์ ผมจะไม่ยอมให้มันเข้าปากผมอีกเป็นอันขาด ทุกๆคำที่เข้าสู่กระเพาะ จะต้องเป็นไปเพื่อสุขภาพที่ดี จะมีสติในการกินตลอดเวลา...

.....เหล้า เบียร์ แอลกอฮอร์ น้ำอัดลม เครื่องดื่มที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย ผมจะไม่ดื่มมันอีก คงจะดื่มแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายเท่านั้น...

.....วันนี้ได้รู้ซึ้งประจักษ์แกใจตนเองว่า การที่เราจะรักคนอื่นได้นั้น เราจะต้องรักตนเองก่อนนั้นว่ามันเป็นอย่างไร...

.....ที่ผ่านมา มีการเข้าใจผิดๆมากมาย ถามทุกคน ว่ารักตัวเองมั้ย ร้อยทั้งร้อยก็ตอบว่ารัก ยังไม่เคยเจอคนไหนบอกว่าไม่รักตัวเองเลย วันนี้เราเข้าใจอย่างถ่องแท้แล้ว...

.....ระหว่างการรักตัวเองกับความเห็นแก่ตัว มันต่างกันอย่างนี้เอง...

.....คนบางคนบอกว่ารักตัวเองมากๆ แต่กินเหล้าทุกวัน สูบบุหรี่ทั้งวัน กินอาหารตามใจปาก โดยไม่สนใจเรื่องคุณค่าทางโภชนาการ แถมมีการหาเหตุผลเข้าข้างตัวเองว่า ก็เพราะรักตัวเองไง อยากจะทำอะไรก็รีบทำ ไม่นานก็ตายแล้ว เดี๋ยวจะไม่ได้ทำ...

.....คนบางคนบอกว่ารักตัวเอง แต่ไม่เคยออกกำลังกายเลย แล้วร่างกายจะแข็งแรงได้อย่างไร ในวันหนึ่งๆ ทุกคนมีเวลา 1,440นาที เพียงแค่เจียดเวลาวันละ 30-40นาที มาออกกำลังกาย ก็ทำไม่ได้ ข้ออ้างคือ ไม่มีเวลา.....

.....พฤติกรรมแบบนี้มันไม่ใช่การรักตัวเอง แต่เป็นความเห็นแก่ตัว เอาความพอใจของตัวเอง เอาความสะดวกสบายของตัวเองเป็นที่ตั้งโดยไม่ได้คิดเผื่อแผ่ไปถึงคนอื่นเลย คิดถึงแต่ความสะดวกสบายของตัวเอง เห็นแก่ตัวเอง การกระทำดังกล่าว มันส่งผลเสียต่อสุขภาพ ถ้าตัวเองเป็นโรคภัยไข้เจ็บขึ้นมา คนที่อยู่ข้างหลังก็คงลำบาก...คนแบบนี้ เขาไม่เรียกว่า เป็นคนรักตัวเอง แต่ คือ คนเห็นแก่ตัว...

.....นักธุรกิจเครือข่าย หลายๆคน ปากก็พร่ำบ่นว่ารักดาวไลน์ รักอย่างนั้น รักอย่างนี้ อยากจะให้ดาวไลน์ไปประสบความสำเร็จ แต่ตัวเองไม่เคยเรียนรู้วิธีการทำงานเลย ไม่เคยสนใจที่จะหาความรู้มาถ่ายทอดให้ทีมงาน เอาแต่โมติเวทให้ซื้อของอย่างเดียว เดือนไหนยอดมาน้อย ก็จะแสดงอาการที่ไม่ดีออกมา อย่างนี้ คุณไม่ได้มีความรักดาวไลน์เลย เป็นความเห็นแก่ตัว เขาเรียกว่า ห่วงยอด ไม่ห่วงใย...

.....หัวหน้า ผู้จัดการ ในที่ทำงานบางคน ใช้วิธีการต่างๆ เพื่อที่จะทำยอดให้ถึงเป้าหมายอย่างเดียว โดยไม่สนใจถึงปัจจัยอื่นๆเลย ขอเพียงให้ยอดถึงเป้าหมาย แต่ปากก็บอกว่ารักลูกน้องทุกคน...

.....ขอบคุณที่รักมาก วันนี้ เราคุยกัน ที่รัก ก็จะดูแลสุขภาพ เหมือนที่ผมดูแล เราต่างก็จะเป็นกำลังใจให้ซึ่งกันและกัน...

.....ขอบคุณที่รักมาก ที่บอกว่า จะดูแลสุขภาพเหมือนที่ผมดูแล เป็นเพราะพี่ดีแบบนี้ ที่รักก็จะดูแลสุขภาพ เพื่อไม่ไห้ผมต้องห่วง หรือกังวลกันต่อกันอีกต่อไป...

.....รักตัวเองให้เป็นก่อน แล้วจึงจะไปรักคนอื่น แล้วความรักที่ได้รับกลับมา จะเพิ่มเป็นทวีคูณ ถ้าท่านแบ่งปันความรักให้คนอื่น ความรักนั้นก็จะย้อนกลับมาสู่ท่านเป็นทวีคูณ ความรักที่แบ่งปันออกไป ยิ่งแบ่งปันออกไป ยิ่งมีแต่เพิ่มพูน ไม่มีพร่องเลย...

.....คืนนี้ เมื่อถึงเวลาจะนอน ทันทีที่หัวถึงหมอน ผมจะมีคำมั่นสัญญากับตัวเอง ก่อนหลับว่า พรุ่งนี้เช้า ผมจะรีบลุกขึ้นมาออกกำลังกาย เพื่อที่รัก การนอนในคืนนี้ ช่างมีคุณค่า และมีความสุขเสียนี่กระไร เมื่อมีความรักเกิดขึ้นที่ไหน ที่นั่นย่อมสวยงาม การมีชีวิตอยู่เพื่อคนอื่น อยู่เพื่อคนที่เรารัก มันมีความหมายที่ยิ่งใหญ่จริงๆ แม้แต่ยามนอนยังมีความหมาย อยากให้โลกนี้มีแต่ความรัก รักเธอ รักเธอ รักเธอ...

ขอบคุณครับ

นพ.ไมตรี พิชญังกูร                 ขอบคุณค่ะพี่หมอ
หัวข้อ: ความรักคืออะไร ตอนที่ 19 : วาสนา
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 1/08/2013, 10:20
1 สิงหาคม 2556

ความรักคืออะไร: (ตอนที่ 19: วาสนา)

.....คนไทยที่นับถือศาสนาพุทธ ส่วนมากเชื่อกันว่า การที่คนเราได้มาเจอกันในชาติหนึ่งๆนั้น เป็นเพราะเคยทำบุญร่วมกันมา หรือเคยก่อกรรมร่วมกันมา แล้วแต่ว่า เป็นกรรมดี หรือกรรมไม่ดี ถ้าเคยก่อกรรมไม่ดีร่วมกันมากันมาในชาติปางก่อน เมื่อถึงเวลาของมัน อย่างไงก็หนีไม่พ้นที่จะต้องชดใชักรรมเก่าอยู่ดี ถึงเวลา มันจะเดินมาหาเอง ไม่มีใครหนีพ้น...

.....แต่ถ้าเป็นกรรมดี อันนี้ เราเรียกว่าเป็นบุญกุศล เมื่อถึงเวลา เราก็จะได้อานิสงค์จากผลบุญนั้นๆ...

.....แท้จริงแล้ว เรื่องนี้ พระพุทธเจ้าได้ให้ความกระจ่างหมดแล้ว เราสามารถศึกษาได้ ไม่ยาก ซึ่งสรุปได้ว่า ทุกๆสิ่งบนโลก หรือจักรวาลนี้ ไม่มีสิ่งใดๆที่อยู่อย่างโดดเดี่ยว ทุกสิ่งทุกอย่างมันเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กันหมด...

.....เพราะมีสิ่งนี้ สิ่งนั้นจึงเกิด เพราะสิ่งนี้ดับ สิ่งนั้นจึงไม่มี...

.....เวลาที่ท่านปัสสาวะทิ้ง น้ำปัสสาวะสุดท้ายก็ลงสู่ดิน หรือแม่น้ำ เมื่อแดดออก ก็เผาเอาน้ำที่ท่านปัสสาวะทิ้งนั้นกลายเป็นเมฆขึ้นไปอยู่บนฟ้า เมื่อเมฆมีก้อนใหญ่ขึ้น และอยู่ในอุณหภูมิที่เหมาะสม (ภาษาธรรมมะ เรียกว่า เมื่อเหตุปัจจัยพร้อม) เมฆนั้นก็ตกลงมาเป็นฝน น้ำฝนนั้นก็ลงสู่อ่างเก็บน้ำ สุดท้ายก็เป็นน้ำประปาที่ท่านเอามาดื่มอีก...

.....วันนี้ ท่านกินหมู เห็ด เป็ด ไก่ อาหารทุกๆอย่างที่ลงสู่กระเพาะท่าน ไม่กี่วันก็ถ่ายออกมาเป็นมูลอุจจาระ มูลอุจจาระนี้ สุดท้ายก็กลายเป็นปุ๋ย ปุ๋ยนี้ก็ใช้ปลูกพืชปลูกผัก พืชผักนั้นก็กลับมาเป็นอาหารให้กับมนุษย์และสัตว์ต่างๆกินอีก...

.....มนุษย์เมื่อเสียชีวิต ไม่ว่าจะถูกเผาหรือถูกฝัง สุดท้ายก็ย่อยสลายกลับคืนสู่ธรรมชาติ...

.....ส่วนประกอบร่างกายมนุษย์ 60% เป็นน้ำ เวลาที่มนุษย์เสียชีวิต น้ำในร่างกาย 60%นี้ก็กลับเข้าสู่วงจรปกติ สุดท้ายน้ำนี้ก็คืนสู่ธรรมชาติให้คนและสิ่งมีชีวิตดื่มต่อ และเป็นไปตามวงจรเดิม...

.....ส่วนประกอบของร่างกายที่เหลือ 40%ก็จะย่อยสลายคืนสู่ดินเหมือนกัน ซึ่งจะประกอบด้วยแร่ธาตุต่างๆ เช่น โซเดี่ยม โปเตสเซี่ยม แคลเซี่ยม ฟอสฟอรัส ฯลฯ แร่ธาตุต่างๆเหล่านี้ ก็จะกลายเป็นส่วนประกอบของดิน ใช้เป็นอาหารของพืชของสัตว์ต่อไป พืช สัตว์ ก็จะกลับมาเป็นอาหารของคนอีก วนกันไป เป็นวัฐจักร...

.....ร่างกายเราที่อยู่ได้ และเติบโตมาได้ก็เพราะ เราได้รับสารอาหารต่างๆจากธรรมชาติ ซึ่งมีทั้งการบริโภคพืชและสัตว์ และน้ำ แต่เมื่อไหร่ที่ท่านเสียชีวิตลง ส่วนประกอบของร่างกายทั้งหมดของท่านก็จะกลับคืนสู่ธรรมชาติ และจะกลายเป็นส่วนประกอบของพืช และสัตว์ต่อไป ก็วนกันอย่างนี้มากี่ล้านๆปีแล้ว...

......ถึงได้กล่าวว่าทุกๆสิ่งบนโลก หรือจักรวาลนี้ ไม่มีสิ่งใดๆที่อยู่อย่างโดดเดี่ยว ทุกสิ่งทุกอย่างมันเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กันหมด กล่าวในอีกแง่หนึ่งก็คือ สรรพสิ่งบนโลกนี้ล้วนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน...

.....น้ำและแร่ธาตุที่ประกอบเป็นตัวเรา ก็เป็นน้ำและแร่ธาตุที่ผ่านการเป็นส่วนประกอบของคนอื่นๆ สัตว์อื่นๆ หรือพืชอื่นๆ มาแล้วทั้งสิ้น...

.....น้ำและแร่ธาตุที่ประกอบเป็นตัวของ นพ.ไมตรี พิชญังกูร ก็เป็นน้ำและแร่ธาตุที่ผ่านการเป็นส่วนประกอบของคน สัตว์ และพืชอื่นๆมาเป็นล้านๆปีแล้ว...

.....น้ำและแร่ธาตุที่ประกอบเป็นตัวของท่าน ก็เป็นน้ำและแร่ธาตุที่ผ่านการเป็นส่วนประกอบของคน สัตว์ และพืชอื่นๆมาเป็นล้านๆปีแล้วเหมือนกัน หมุนเวียนกันเป็นวัฐจักรอย่างนี้...

.....วันนี้ เราจะมองอะไร ขอให้เรามองให้มันเชื่อมโยงกัน มองไปที่ต้นทานตะวัน ทำไมดอกจึงแบ่งบานออกมาได้ใหญ่ขนาดนี้ ก็เพราะแสงแดดได้ส่องมันเต็มที่ ได้รับน้ำสมบูรณ์ ได้รับสารอาหารที่ดีและครบ อยู่ในที่อุณหภูมิพอดี ดอกมันจึงงาม อาหารคือแร่ธาตุต่างๆและน้ำนั้น ส่วนหนึ่งก็เคยผ่านจากร่างกายเราไป...

.....ไม่ว่าจะมองไปทางไหน สรรพสิ่งบนโลกนี้ ล้วนเป็นญาติเราทั้งนั้น...

.....วันนี้ เราเกิดมาแล้ว การที่เราได้พบใครหรือเจออะไรในแต่ละวัน เราถือว่าเป็นวาสนา ทำไมเราจะไม่ถนอมวาสนานั้นไว้...

......วันนี้ เราได้เจอใครต่อใครมากมาย ไม่ว่าจะเป็นพืช สัตว์ หรือมนุษย์ ถือว่าเรามีวาสนาต่อกัน เราควรถนอมวาสนานี้ไว้...

.....ในโลกนี้ มีสิ่งมากมายที่เราควรจะถนอมรักไว้ เงินทอง ญาติสนิท เพื่อนรัก ล้วนต้องถนอมรักไว้ หมู่คณะ สังคม แม้ประเทศชาติ หรือโลกใบนี้ เราจักต้องช่วยกันถนอมรักไว้...

.....คนเราควรมีการถนอมน้ำใจ ถนอมรัก ถนอมเวลา ถนอมสิ่งของ พืช และสัตว์ หรือสิ่งมีชีวิตต่างๆ...

.....การถนอมรักประเภพต่างๆนี้ การถนอมบุญวาสนาถือเป็นบุญกุศลที่สำคัญยิ่ง...

.....วันนี้ มาถึงสี่แยกไฟแดง ได้พบกับตำรวจ ถ้าไม่มีท่านช่วยอำนวยความสะดวก รถคงติดจนวุ่นวายน่าดู ท่านได้ช่วยให้เราเดินทางสะดวกมากยิ่งขึ้น ถือว่าเรามีวาสนาต่อกัน เราควรต้องถนอมวาสนานี้ไว้...

.....วันนี้ เราได้เจอน้องหมา บิลลี่ ถือว่าเรามีวาสนาต่อกัน เราควรต้องถนอมวาสนานี้ไว้...

.....วันนี้ เราได้เจอคุณพยาบาล ท่านช่วยดูแลเรา ยามเราเจ็บป่วย ถ้าไม่มีพวกท่านช่วยดูแลเรายามเจ็บป่วย คนไข้ทั้งหลายก็คงลำบากมาก ถือว่าเรามีวาสนาต่อกัน เราควรต้องถนอมวาสนานี้ไว้...

.....เจ้าแมวเหมียว เจ้าน้องหมา เรามีบุญวาสนากับมัน จึงถนอมมิตรสัมพันธ์ที่มีต่อกัน...

.....ดอกไม้ในสวนและริมรั้ว เรามีบุญวาสนาได้พบปะมันทุกวัน จึงไม่อยากให้มันถูกทำลาย...

.....คนอื่นๆ ให้บุญวาสนาต่อเรา เราควรถนอมรักคุณค่าที่หาได้ยากยิ่งนี้ และควรจะพัฒนาบุญวาสนานี้ให้งดงามยิ่งๆขึ้น...

.....ครูบาอาจารย์สั่งสอนเรา เราจะไม่ถนอมรักวาสนาที่มีกับครูบาอาจารย์ได้อย่างไร...

.....พ่อแม่ให้ชีวิตเรา บุญวาสนาที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ เราจะไม่ถนอมรักให้สุดกำลังได้อย่างไร...

.....เกษตรกร ชาวนา พ่อค้าวานิช พวกเขาให้อาหารเรากิน ให้เรามีเสื้อผ้าสวยๆสวมใส่ ให้เรามีเครื่องใช้ ที่เรามีชีวิตอยู่ได้ เพราะอาศัยเหตุปัจจัยเหล่านี้ ถ้่าเราไม่ถนอมรักบุญวาสนาเหล่านี้ไว้ แล้วชีวิตเราจะดำรงอยู่ได้อย่างไร?...

.....ในธรรมชาติ...ดอกไม้ดอกเล็กๆ มันยังต้องขอบคุณน้ำค้าง ขอบคุณแสงแดด ขอบคุณสายลมที่อบอุ่น ขอบคุณอากาศ เพราะว่า มีสิ่งเหล่านี้มันจึงผลิดอกมีสีสันสวยสดสะดุดตาได้ ถ้าชีวิตคนเราเหมือนดอกไม้ เราก็ควรจะถนอมรักสายน้ำ แสงแดด อากาศ ที่รายล้อมอยู่ในชีวิตเราด้วย ไม่ใช่หรือ?...

.....เพื่อนๆทุกคนของผม วันนี้ เราได้มาเจอกัน ผมถือว่า เรามีบุญวาสนาต่อกัน ขอขอบคุณบุญวาสนาที่เรามีต่อกัน ขอขอบคุณอย่างลึกซึ้งจากใจจริง ทุกๆคนคือทุกๆบุญวาสนา จะถนอมรักบุญวาสนาอย่างจริงใจ...

.....ทุกๆบุญวาสนาที่มีต่อกันคือความรัก ความเมตตา รักวาสนาทุกๆวาสนา วาสนาจึงเป็นสุดที่รัก ที่จะต้องถนอมรัก เข้าใจกัน ให้อภัยกัน และดูแลกัน อันเป็นปัจจัย4แห่งรักแท้ ตลอดไป...

ขอบคุณครับ

นพ.ไมตรี พิชญังกูร          ขอบคุณค่ะพี่หมอ
หัวข้อ: Re: ความรักคืออะไร ตอนที่ 20 : น้ำตา
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 2/08/2013, 12:55
ความรักคืออะไร:(ตอนที่ 20: น้ำตา 2:สาเหตุที่ผมหลั่งน้ำตา)

.....ที่รัก วันนั้น ที่รักเป็นต้นเหตุให้ผมต้องหลั่งน้ำตา น้ำตาไหลจนเหือดแห้ง ตาบวมจนลืมตาแทบไม่ขึ้น แม้แต่เวลากระพริบตาก็ยังปวดจนทนไม่ไหว...

.....ไปหาหมอตอน2ทุ่ม เราเองก็เป็นหมอ แต่ตาบวมจนแทบมองอะไรไม่เห็น แล้วเราจะไปแหกตาตัวเอง เพื่อที่จะตรวจตาตัวเอง ก็คงไม่ได้ อีกอย่าง เราก็ไม่ใช่ผี ที่จะเที่ยวไปแหกตาคน หลอกคนได้...

.....อ้าว อ้าว อ้าว.....คุณพูดอย่างนี้ได้อย่างไร...

.....คุณบอกว่า ฉันเป็นต้นเหตุที่ทำให้คุณหลั่งน้ำตา ถามจริงๆ ฉันไปทำอะไรให้เธอ ตอนไหน...

.....ก็วันนั้นไง ที่คุณโทรมา แล้วบอกให้ผมช่วยหาเอกสารชิ้นหนึ่งให้คุณ ผมก็เข้าไปหาในห้องเก็บเอกสาร ก็รู้อยู่ ห้องนั้นฝุ่นเยอะมากๆ...

.....ขณะที่กำลังค้นหาเอกสารอยู่นั้น ฝุ่นเล็กๆชิ้นหนึ่งก็ปลิวเข้าที่ตาผม ผมก็เริ่มขยี้ ตามันก็บวม น้ำตาก็หลั่ง อย่างที่บอกนั่นแหละ แล้วอย่างนี้ ต้นเหตุมันก็เริ่มจากคุณนั่นแหละ หรือว่าจะเถียง...

.....โอเค ฉันยอมรับก็ได้ว่า ฉันเป็นต้นเหตุที่ทำให้คุณหลั่งน้ำตา ฉันจะชดใช้คุณก็แล้วกัน...

.....จะชดใช้อะไร ค่ายาค่าหมอ หมดไปพันกว่าบาท...

.....คุณเข้ามาใกล้ๆสิ ...

.....ทำไมต้องใกล้ๆ จะให้อะไรเหรอ?...

.....เอาไปสัก2หมัด พอมั้ย? เฮ้ย...รมณ์เสีย...ฝุดฝุด อุตส่าห์แอบหลงดีใจ คิดว่าจะรักเราซาบซึ้งใจ จนน้ำตาไหล...บ้า บ้า บ้า บ้าที่สุดเลย...

.....อ้าว ไรฟ่ะ เป็นอะไรของมัน ไม่เข้าใจเลยอ่ะ ผู้หญิง งงง้งงง...

ขอบคุณครับ

นพ.ไมตรี พิชญังกูร             ขอบคุณค่ะพี่หมอ
หัวข้อ: Re: ความรักคืออะไร ตอนที่ 20 : น้ำตา ...ใช้ธรรมะ
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 2/08/2013, 13:07
๐ทุกข์เหมือนผงเข้าตาหาทางเขี่ย
ทุกข์จนเปลี้ยเพลียใจไม่สร่างหาย
บ้างถูกทุกข์ทับถมตรมไม่วาย
ทุกข์ทั้งหลายล้วนเกิดจากผลกรรม

๐ใช้ธรรมมะเขี่ยผงตรงดวงจิต
คอยสะกิดเตือนใจไม่ถลำ
บ่งเสี้ยนทุกข์ออกไปไม่เจ็บจำ
ให้ดวงตาเห็นธรรมที่ฉ่ำเย็น

๐แม้ทำใจไม่ได้ในช่วงแรก
เพราะใจแหลกด้วยกรรมนำทุกข์เข็ญ
หาผู้รู้ชี้ชัดขจัดเป็น
ก็จะเห็นหนทางสว่างใจ
 
๐ทุกคนล้วนมีทุกข์ให้ฉุกคิด
แล้วใครจะสะกิดเตือนใครได้
หากมีทุกข์ขึ้นมาอย่าช้าไย
จดจำไว้ใช้หลักธรรมชี้นำทาง
หัวข้อ: ความรักคืออะไร ตอนที่ 22 : มีแต่คิดถึง
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 4/08/2013, 21:20
4 สิงหาคม 2556

...ความรักคืออะไร (ตอนที่ 22: มีแต่คิดถึง)

เธอถามผมว่า "หายคิดถึงมั้ย?"

หลังจากที่เรา เจอกัน(วันนั้น)

เวลาอยู่ใกล้เธอ ก็คิดถึงเธอ

เวลาอยู่ไกลเธอ ก็คิดถึงเธอ

จะอยู่ใกล้ หรืออยู่ไกล ก็คิดถึงเธอ

เมื่อเจอเธอแล้ว ไม่หายคิดถึงเธอ

แต่กลับคิดถึงเธอ มากขึ้น มากขึ้น

พบเธอ หัวใจอยู่ที่เธอ

ไม่พบเธอ หัวใจก็อยู่ที่เธอ

ที่รัก มีแต่คิดถึง มีแต่คิดถึง...

นพ.ไมตรี พิชญังกูร

http://youtu.be/e4eysNo3a2g
หัวข้อ: ความรักคืออะไร ตอนที่ 23 : มิติที่ 5 ชาตินิยม
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 5/08/2013, 09:07
5 สิงหาคม 2556

ความรักคืออะไร: (ตอนที่ 23:ความรัก10มิติ: มิติที่ 5:ชาตินิยม)

.....ในบทก่อนๆ เราได้นิยามว่า ความรักคืออาการทางจิต หรือสภาวะทางจิตที่มี "อาการชอบใจผสมความยินดี ที่พร้อมกับมีความปรารถนาดีอย่างสัมมาทิฎฐิ" เราได้เรียนรู้ผ่านไป 4มิติแล้ว...

.....มิติที่ 5 คือ ชาตินิยม: เป็นความรักที่เป็นอุดมการณ์เพื่อชาติเพื่อประเทศ หากผู้ใดมีความรู้สึกนึกคิดหรือมีอุดมการณ์ต้องการช่วยเหลือเกื้อกูลกว้างออกไปกว่าความรักแค่ "มิติที่4" เป็นความรักความปรารถนาถึงขั้นหมายใจจะก่อให้เกิดประโยชน์แก่ผู้คนทั่วไปในประเทศชาติจริง...

.....ความรักในมิตินี้ ไม่แคบอยู่แค่เพื่อนรัก เผื่อแผ่เพื่อคนใกล้ตัวเราเท่านั้น หรือไม่เล็กอยู่แค่หมู่กลุ่ม ชุมชน อำเภอ จังหวัด ซึ่งเป็นสัดส่วนในประเทศเท่านั้น แต่เป็นความเกื้อกว้างที่มีน้ำใจ คิดเห็นแก่คนทั้งชาติ ทั้งประเทศจริงๆ...

.....สภาวะของจิตของความรักในมิตินี้ ไม่ใช่เพียงแค่รู้ว่า มันเป็นอุดมการณ์ที่ดีอยู่แค่นั้น หรือไม่ใช่เพียงเป็นคารมโก้ๆลีลาเก๋ๆ ของคนหาเสียงให้แก่ตนเท่านั้นด้วย แต่ต้องเป้น "ความจริงของจิตที่เกิดความรู้สึกรัก และปรารถนาตามอุดมการณ์นี้แท้ๆ" ยิ่งมีน้ำหนักเข้มข้นของน้ำใจและความเป็นไปได้จริงมากยิ่งเท่าไหร่ ก็ยิ่งประเสริฐยิ่งๆเท่านั้นๆ...

.....ความรักระดับมิติ 5นี้ เรียกว่า "ชาตินิยม" หรือ "รัฐนิยม"...

.....และจะจริงยิ่ง หากคนผู้นี้มีพฤติกรรมพากเพียรพยายามกระทำ เพื่อให้เกิดผลตามอุดมการณ์ ที่สุดจะจริงสมบูรณ์ทีเดียว ถ้าแม้นผู้มี "ความรัก"นั้นบริสุทธิ์จากความแฝงเพื่อประโยชน์ให้เกิด ลาภ-ยศ-สรรเสริญ-สุข แก่ตน...

.....ซึ่งเป็นความเจริญของความรัก ความปรารถนาดีอย่างเห็นได้ชัดขึ้นไปอีก ว่า เป็นคุณค่าของความเป็นมนุษย์แน่แท้ หากใครสามารถเผื่อแผ่เกื้อกว้่างออกไปได้มากเท่าใดๆ ก็ยิ่งเป็นคุณงามความดีมากเท่านั้นๆ...

.....ด้วยสามัญสำนึก ความเข้าใจแค่นี้ ใครๆก็คงรู้กันได้อยู่แล้ว เพราะไม่ใช่ความลึกล้ำอะไรนักหนา แต่มันก็เป็น "ความจริง" ของคน ที่ "จิตจริง"อันจะพึง "เป็น" จริง...

.....อาจจะกล่าวได้ว่า สมรรถนะของใครจะมี "ประสิทธิภาพแห่งความรัก" กว้างเกื้อได้มากน้อยแค่ไหน ก็ย่อม "เป็น" ได้ตามสมรรถนะของผู้นั้นๆ ถ้าจะเอาแค่ "ความคิดฝัน" ทุกคนที่มีปัญญาเข้าใจได้ ก็คิดได้ พูดได้ แต่ "ความจริงของความเป็นไปได้" ตามที่ตนคิดได้ ตนพูดได้นั้น มันเป็นจริงไปได้ตามความคิดตามคำพูดนั้นไหม?...

....."ความรัก" ในที่นี้ต้องเป็น "ความจริง" โดยเฉพาะเป็น "ความจริง" ที่เกิดในจิตของคนผู้นั้นจริง ที่ต้องเป็น "ความรู้สึกในจิตของตนเองเกิดอารมณ์นั้นๆแท้ๆ" ไม่ใช่แค่ "คิด" หรือแค่ "รู้"...

.....ที่เรากำลังเรียกว่า "ความรัก" นี้ มันต้องมีภาวะเป็น "อารมณ์ความรู้สึกเกิดขึ้นจริงในจิตของผู้นั้น" และมีสมรรถนะถึงขั้น "เป็นไปได้" (possible) หรือ "สามารถทำได้" (practicable) จริง มิใช่แค่ "รู้" แค่ "พูด" แต่ปากอยู่เท่านั้นด้วย...

.....เช่น "ความรัก" ของนาย ก.มี "ความจริงของความเป็นไปได้" แค่ มิติที่ 4 "ชุมชนนิยม" เท่านั้น หรือบางทีอาจจะแย่กว่านั้น คือ มี "ความจริงของความเป็นไปได้" แค่ มิติที่ 3 แค่นั้น ดีไม่ดี อาจจะแค่ มิติที่ 2 ด้วยซ้ำ ก็เป็นได้แต่นาย ก.นึกว่าตนมีสมรรถนะถึงมิติที่ 5 คุยฟุ้ง ตามที่ตนหลงว่า ตนเป็น หาเสียงใ้ห้แก่ตนเองไปทั่ว ว่าตนมีความรักระดับ "ชาตินิยม" หรือ "รัฐนิยม" ซึ่่งเป็นสมรรถนะที่กว้างเผื่อแผ่ออกไปถึงขั้น "ความรักชาติ รักประเทศ" ทีเดียว...

.....แต่ความเป็นจริงนั้น นาย ก. ทำได้หรือเป็นได้แค่ "ความรัก" มิติที่ 4 หรือแค่ 3 แค่ 2 เท่านั้น ถ้าอย่างนี้ "ความรัก" ของนาย ก. ก็ยังไม่ใช่ระดับ มิติที่ 5จริง "ความรัก" ของคนผู้นี้ ยังไม่ถึงขั้นมีความจริงเข้าข่ายที่ชื่อว่า ผู้มีความรักระดับมิติที่ 5 "ชาตินิยม" หรือ "รัฐนิยม" เพราำะ "ความเป็นจริง" หรือ "ภาวะสัจจะ" ยังไม่ถึงขีดถึงขั้น...

.....ใครจะสามารถรู้ความจริง หรือรู้สัจจะของ "ความรัก" ได้ถูกต้องถ่องแท้ ก็ยากอยู่ จะต้องศึกษาฝึกฝนจนรู้แจ้งหยั่งถึงสัจธรรมของความเป็น "คุณค่าประโยชน์" (อัตถะ)...

.....ทั้งในสภาพที่เป็น "ประโยชน์ตน" (อัตตัตถะ) "ประโยชน์ผู้อื่น" (ปรัตถะ) "ประโยชน์สองฝ่าย" (อุภยัตถะ) หรือ "ประโยชน์สามัญที่ต่างก็รู้ๆกันได้ในระดับของโลกียะทั่วไป ที่เรียกว่าโลกนี้" (ทิฎฐธัมมิกัตถะ) และ "ประโยชน์ขั้นสูงขึ้นสู่โลกหน้าหรือโลกอื่น ซึ่งเป็นโลกที่ก้าวหน้าขึ้นไปถึงระดับโลกุตระ" (สัมปรายิกกัตถะ)...

.....ที่สำคัญก็คือ ประโยชน์ที่เป็นความเจริญถึงจิตถึงเจตสิก อันเป็นขั้น "บรมประโยชน์ขั้นสูงถึงความเป็นอริยสัจธรรม" (ปรมัตถะ) โน่นแหละ จึงจะพอรู้ "ความจริงตามความเป็นจริงมีจริง" ดังที่ได้สาธยายมา...

ขอบคุณครับ

นพ.ไมตรี พิชญังกูร               ขอบคุณค่ะพี่หมอ
หัวข้อ: ความรักคืออะไร ตอนที่ 24 มิติที่ 6 : สากลนิยม
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 7/08/2013, 12:17
7 สิงหาคม 2556

ความรักคืออะไร: (ตอนที่ 24:ความรัก10มิติ: มิติที่ 6:สากลนิยม)

.....ในบทก่อนๆ เราได้นิยามว่า ความรักคืออาการทางจิต หรือสภาวะทางจิตที่มี "อาการชอบใจผสมความยินดี ที่พร้อมกับมีความปรารถนาดีอย่างสัมมาทิฎฐิ" เราได้เรียนรู้ผ่านไป 5มิติแล้ว...

.....ความรักมิติที่ 6 คือ ความรักมวลมนุษยชาติทุกภาษา ที่เป็นมนุษย์ในโลก ไม่จำกัดเฉพาะในชาติของตนเท่านั้น ยิ่งเห็นได้ชัดว่า เป็นความรักความปรารถนาที่แผ่กว้างเกื้อกูลออกไป อย่างครบถ้วนสมบูรณ์ในด้านรูปธรรมแห่งมวลมนุษย์...

.....ความรักในมิตินี้ จะเผื่อแผ่ต่อมนุษยชาติไปทั้งโลกไม่จำกัดผิวพรรณ เพศ วัย เชื้อชาติ ชั้นวรรณะกันแล้ว เป็นความรักระดับโลกาภิบาลทีเดียว คือ รักปรารถนาจะให้แก่ทุกคน เป็นอุดมการณ์ที่สูงส่งยิ่งแล้ว สำหรับมนุษย์ที่พึงกระทำพึงแสดงออกทางรูปธรรม...

.....หากผู้ใดมีจิตใจที่มีความรู้สึกนึกคิด และได้พากเพียรประพฤติตามอุดมการณ์ดังกล่าวนี้จริง ทำได้เป็นได้จริง ก็นับเป็นผู้มีความรักที่มีคุณค่าสูงส่งขึ้นไปกว่ามิติที่ 5 แน่นอน...

.....และไม่ใช่เพียงความรู้ว่ามันเป็นอุดมการณ์ที่ดีอยู่แค่นั้น หรือไม่ใช่เพียงเป็นคารมโก้ๆ ลีลาเก๋ๆ ของคนหาเสียงให้ตนเท่านั้นด้วย แต่ต้องเป็น "ความจริงของจิตที่เกิดความรู้สึกรักและปรารถนาตามอุดมการณ์นี้แท้ๆ และต้องมีสมรรถนะสมคล้อยสอดคล้องด้วย" ...

.....และยิ่งมีน้ำหนักหรือความเข้มข้นของน้ำใจและประสิทธิภาพมากยิ่งเท่าใดๆ ก็ยิ่งประเสริฐสูงส่งเลอเลิศยิ่งๆเท่านั้นๆ...

.....และจะจริง หากคนผู้นี้ มีพฤติกรรมพากเพียรพยายามกระทำเพื่อให้เกิดผลตามอุดมการณ์ได้จริง ที่สุดจะจริงสมบูรณ์ทีเดียว ถ้าแม้นผู้มีความรักนั้นบริสุทธิ์จากความแฝง เพื่อผลประโยชน์ให้เกิดลาภ-ยศ-สรรเสริญ-สุข แก่ตน...

.....ซึ่งเป็นความเจริญของความรักความปรารถนาดีอย่างเห็นได้ชัดขึ้นไปอีก ว่าเป็นคุณค่าของความเป็นมนุษย์แน่แท้...

.....ความรัก ระดับมิติที่ 6 นี้ เรียกว่า "สากลนิยม" หรือ "จักรวาลนิยม"...

.....ก็เป็น "ความรักที่มีคุณค่าประเสริฐสูงส่งขึ้นไปยิ่งๆขึ้น ที่ผู้มีปัญญาสามัญก็พอเข้าใจได้ ทว่า "ความจริง" ที่คนจะเป็นได้จริง มีสมรรถนะถึงขั้นจริงนั้น ก็หายากยิ่งขึ้นไปเรื่อยๆ ส่วนมากก็มีแต่ "อุดมการณ์" แต่เป็นจริงก็ยังไม่ได้ และพูดคุยโวโอ้อวดจนกลายเป็นคนหลอกลวงชาวโลกไปก็มีมากมาย...

ขอบคุณครับ

นพ.ไมตรี พิชญังกูร            ขอบคุณค่ะพี่หมอ
หัวข้อ: ความรักคืออะไร ตอนที่ 25 : งงง้งงง!!!
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 9/08/2013, 15:26
9 สิงหาคม 2556

ความรักคืออะไร (ตอนที่ 25: งงง้งงง!!! )

.....ตัวเอง ตัวเอง งงมั้ย? ว่าทำไม...

.....เวลาเราเรียก ตัวเอง ว่า "เค้า"...

.....แต่เวลาเราเรียก เค้า ว่า "ตัวเอง"...

.....เมื่อวาน ตัวเอง ก็เรียกเค้าว่า "ตัวเอง"

.....แต่ ตัวเอง เรียก ตัวเอง ว่า "เค้า"

.....เค้าก็เรียก ตัวเอง ว่า "ตัวเอง"

.....และก็เรียก เค้า เองว่า "เค้า"

.....สรุปแล้ว ตัวเอง เป็นเค้า เค้า เป็นตัวเอง...

.....อ้าว แล้วทำไม ตัวเอง ไม่เป็น ตัวเอง...

.....และทำไม เค้า ไม่เป็น เค้า...

.....ทำไม ตัวเอง เป็นเค้า...

.....และทำไม เค้า เป็นตัวเอง

.....เค้านี้ งงง้งงง...

.....งงเน๊าะ งงอ่ะ งงงงงง...

.....ตัวเอง งงป่ะ!!!...

ขอบคุณครับ

นพ.ไมตรี พิชญังกูร           ขอบคุณค่ะพี่หมอ
หัวข้อ: ความรักคืออะไร ตอนที่ 26 : ไร้ความหมาย
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 21/08/2013, 19:36
21 สิงหาคม 2556

ความรักคืออะไร (ตอนที่ 26: ไร้ความหมาย )

.....ที่รัก...

.....ถ้าเธอรักฉันจริง...

.....สุขอื่นยิ่งสรวงสวรรค์ก็ไร้ความหมาย...

.....ถ้าเธอไม่รักฉันจริง...

.....สุขอื่นยิ่งสรวงสวรรค์ก็ไร้ความหมาย...

ขอบคุณครับ

นพ.ไมตรี พิชญังกูร         ขอบคุณค่ะพี่หมอ
หัวข้อ: ความรักคืออะไร ตอนที่ 27 : มิติที่ 7 เทวนิยม 1
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 22/08/2013, 12:26
22 สิงหาคม 2556

ความรักคืออะไร: (ตอนที่ 27:ความรัก10มิติ: มิติที่ 7เทวนิยม 1)

.....ในบทก่อนๆ เราได้นิยามว่า ความรักคืออาการทางจิต หรือสภาวะทางจิตที่มี "อาการชอบใจผสมความยินดี ที่พร้อมกับมี ความปรารถนาดีอย่างสัมมาทิฎฐิ" เราได้เรียนรู้ผ่านไป 6มิติแล้ว...

.....ความรักในมิติที่ 7 นั้น คือความรักที่แผ่กว้างไปสุดมหาเอกภพทีเดียว ซึ่งหมายถึงนามธรรมอันยิ่งใหญ่ ที่รักทุกสรรพสิ่ง ซึ่งเป็นความรักระดับ "พระเจ้า"...

.....เป็นความรักที่่ไม่มีขีดขั้น รักแม้กระทั่งศัตรู ไม่มีการแบ่งมิตร แยกศัตรูกันอีกแล้ว ถึงขนาดใครจะ "ตบแก้มซ้าย" ก็ยังต้องยื่นแก้มขวาให้เขาตบซ้ำอีกด้วย...

.....เป็นการมุ่งหมายเข้าหาความดีงามทางนามธรรมมากขึ้น โดยนับถือว่า มี "พระเจ้า" เป็นอำนาจหลักแห่งคุณงามความดี และเป็นอำนาจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดกว่าสิ่งใดๆทั้งปวง...

.....ทุกคนมุ่งสร้างแต่ความดีงาม หากใครทำแต่ความดี ไม่ทำความชั่วแล้ว จะได้ไปอยู่กับพระเจ้า ดังนั้น ทุกคนจึงต้องมีความรักในพระเจ้า และทำตนให้มีความรักดุจเดียวกับพระเจ้า ผู้ทรงรักทุกสิ่งทุกอย่าง...

.....เป็นการฝึกตนให้เป็นคนดี ตั้งหน้าตั้งตากระทำแต่ความดีงาม ตนจะต้องทิ้งความไม่ดีทั้งมวล หยุดความไม่ดีทั้งปวงให้หมด พยายามไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่เห็นแก่ตัว ไม่ขี้เกียจ อดทน บุกบั่น มีเมตตามหาศาลแผ่ไปทุกทิศ ต้องเป็นคนเสียสละเพื่อมวลมนุษย์ทั้งโลกให้ถ้วนทั่ว...

.....เป็นการมุ่งฝึกฝนตนให้ดีเป็นที่ตั้ง อะไรไม่ดีไม่ทำ ละทิ้งความไม่ดีแบบไม่ต้องใส่ใจเลย มีแต่มุ่งมั่นเข้าหาความดีเท่าที่จะสามารถ ส่วนเรื่องความชั่ว ก็เพียงละเว้นความชั่วความไม่ดีไม่งามทั้งมวล ให้ได้ด้วยความอดกลั้น ด้วยการทิ้งมันไปดื้อๆ หรือจงละลืมไปให้สนิท ไม่รับรู้เป็นการดี่สุด...

.....ให้เอาจริงเอาจังอยู่กับการอุตสาหะวิริยะ ทำแต่คุณงามความดีอย่างทุ่มโถมทีเดียว ส่วน "ความไม่ดี" นั้น ผู้มีลัทธิ "พระเจ้า" จะไม่ค่อยสนใจ ไม่ใส่ใจเรียนรู้ให้ทะลุปรุโปร่งเหมือนพุทธศาสนา ไม่มีการเจาะลึกเข้าไปหา "หัวใจ" ความไม่ดี นั้นๆให้ดับสูญเด็ดขาด แบบศาสนาพุทธ...

.....จะภาคภูมิดีใจ อิ่มเอมใจที่ได้ทำดี โดยมีคติแน่วแน่ว่า "ทำดีแล้วจะได้ไปอยู่กับพระเจ้าในสรวงสวรรค์นิรันดร...

.....ความเป็น "พระเจ้าก็ดี" ความมี "สรวงสวรรค์นิรันดร" ก็ดี เหล่านี้เป็นสภาพที่ยังเป็นภพเป็นชาติ เป็น "อัตตา" หรือ "อาตมัน" สำหรับ "พระเจ้า" ก็เรียกว่า "ปรมาตมัน" สรวงสวรรค์ ก็คือ "ภพ" คือ "ดินแดนแห่งพระเจ้า"...

.....เป็นความรักที่นับว่ามีคุณค่ามหาศาล เพราะรักมวลชนทุกคน ใครทุกข์พยายามช่วยให้ได้ทั้งหมด แม้ที่สุดตัวเองจะตาย ก็ยอม อย่างเช่น พระศาสดาของศาสนาที่นับถือพระเจ้ามากมาย เช่น พระเยซูแห่งคริสต์ศาสนา พระโซโรเอสเตอร์แห่งสาสนาโซโลเอสเตอร์ พระบาฮาอุลลาห์แห่งศาสนาบาไฮ แม้แต่คุรุนานักแห่งศาสนาซิกส์ ล้วนแต่นักเสียสละชั้นยอด เสียสละกระทั่งชีวิตกันแทบทั้งนั้น...

.....ซึ่งล้วนเป็นศาสนาที่บูชายึดถือ "พระเจ้า" ยึดถือ "God" เป็นความรักที่จัดอยู่ในลักษณะ "เทวนิยม" ซึ่งเป็นลัทธิบูชา "ปรมาตมัน" หรือ "พระวิญญาณยิ่งใหญ่" และไม่ได้ศึกษาเจาะลึกเข้าไปในความเป็น "อัตตา" หรือ "ปรมาตมัน" กันอย่างละเอียด เฉพาะอย่างยิ่ง จะไม่รู้เรื่องของ "อนัตตา"เลย...

.....แต่ก็เป็นศาสนาที่เต็มไปด้วย "พลังสร้างสรรค์" ช่วยมนุษยชาติไว้ได้อย่างมากมาย เพียงแต่ว่า ไม่มีทางสิ้น "อัตตา" เพราะไม่ได้ศึกษาความเป็น "อัตตา" ทั้งของ "กิเลส" และของ "พระเจ้า"...

.....เป็นศาสนาที่ทั้งมุ่งทั้งมั่นไปสู่ "ภพชาติ" แห่งความเป็น "พระเจ้า" ซึ่งเน้นสอนเน้นทำกันแต่ในฝ่าย "คุณงามความดี" เพื่อมวลมนุษยชาติอย่างเอาจริงเอาจัง ทุกพลังแห่งจิตวิญญาณจึงล้วนผนึกแน่นเข้าเป็นหนึ่งเดียวกับ "พระเจ้า" ความเป็น "พระเจ้า" ของศาสนาแบบ "เทวนิยม" จึงเป็น "อัตตา" ที่ใหญ่ยิ่ง ที่เรียกว่า "ปรมาตมัน" ก็ถูกต้องที่สุด "พระเจ้า" คือ "ปรมาตมัน" ที่นิรันตร์อมตะ เป็น "อัตตา" หรือ "อาตมัน" ที่ไม่มีวันสูญสลาย...

.....ซึ่งตรงกันข้ามกับศาสนาพุทธ ที่รู้แจ้งแทงทะลุ "อัตตา" และสามารถปฎิบัติเพื่อสู่ความเป็น "อนัตตา" ได้สำเร็จเป็นที่สุด...

.....( ยังมีต่อ)...

ขอบคุณครับ

นพ.ไมตรี พิชญังกูร           ขอบคุณค่ะพี่หมอ
หัวข้อ: ความรักคืออะไร ตอนที่ 28 : นอนไม่หลับ
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 23/08/2013, 10:19
23 สิงหาคม 2556

ความรักคืออะไร: (ตอนที่ 28: นอนไม่หลับ)

.....นอนกอดเธอทั้งคืน แต่ไม่กล้าหลับ...

.....พรุ่งนี้แล้วนะที่เราจะต้องจากกัน...

.....ขอมองหน้าเธอทั้งคืนให้ตราตรึงไว้ในความทรงจำ...

.....ยามที่เราอยู่ไกลกัน เธอจะได้อยู่ในใจฉันตลอดเวลา...

..................................................................

.....คืนนี้นอนเปล่าเปลี่ยว ไม่มีเธอ...

.....แต่ในสมองและหัวใจฉัน มีแต่เธอ...

.....เธอคงเหนื่อย ที่ต้องเข้ามาวิ่งในใจฉัน ตลอดเวลา...

.....หนึ่งเดือนเต็มๆ ที่ฉันไม่ได้หลับ ไม่ได้นอนเลย...

.....ไม่กินยานอนหลับ กลัวว่าถ้าหลับไป จะไม่ได้คิดถึงเธอ...

.....ที่รัก คิดถึง ห่วงใย และรักที่สุด...

ขอบคุณครับ

นพ.ไมตรี พิชญังกูร                    ขอบคุณค่ะพี่หมอ
หัวข้อ: ความรักคืออะไร ตอนที่ 29 : น้ำตา3
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 24/08/2013, 18:31

24 สิงหาคม 2556

ความรักคืออะไร (ตอนที่ 29: น้ำตา3)

.....ที่รัก...

.....ผมไม่รู้หรอกนะว่า การที่เรา2คน รักกัน บางที บางสิ่งบางอย่าง มันอาจจะถูกใจบ้าง ไม่ถูกใจบ้าง ช้าบ้าง เร็วบ้าง รู้บ้าง ไม่รู้บ้าง...

..... แต่สำหรับผมแล้ว ผมถือว่าดีหมด เพราะว่า ผมรักคุณ ผมไม่ต้องมาหาเหตุผลมากแล้ว ผมรักคุณแล้ว เวลาคุณตัดสินใจกระทำอะไรบางสิ่งบางอย่างไปแล้ว จะช้า จะเร็ว จะถูก จะผิด ผมไม่ถามคุณแล้ว ผมจะถือว่า คุณเจตนาดี หวังดี และผมก็จะเชื่อใจคุณ 100% ผมมีแต่จะปกป้องคุณ จะยืนข้างคุณตลอดไป จะอดทน นำพาความรักเราไปสู่เป้าหมายให้ได้...

..... ต่อให้วันนี้ มีใครเอาปืนมาจ่อที่ขมับผม แล้วบอกให้ผมเลิกรักคุณ ผมยอมตายดีกว่า...

.....บางอย่าง ถ้าผมทำให้คุณผิดหวัง ผมได้แต่เสียใจมากๆ และจะต้องขอความกรุณาให้คุณสงสารและเมตตาผม ในความตั้งใจรักของผม ที่มีเจตนารักจากใจบริสุทธิ์ แต่อาจจะไม่ถูกใจอารมณ์คุณ หรือไม่เป็นไปตามกรอบความคิดของคุณ ได้แต่ขอร้องว่า ผมไม่มีเจตนาที่ไม่ดี เป็นเพียงวิธีคิดของเราต่างกัน เท่านั้นเอง...

..... ผมคงไม่สามารถมีความรู้สึกรักใคร ที่ลึกซึ้งแบบที่รักคุณ ได้อีก ไม่ว่าชาตินี้ หรือชาติไหนๆ...

.....ณ วินาที นี้ ผมก็สงสารคุณมากๆ ที่ทำให้คุณเสียใจ ในขณะนี้ น้ำตาผมก็ไหลไม่หยุดเหมือนกัน...

ขอบคุณครับ

นพ.ไมตรี พิชญังกูร         ขอบคุณค่ะพี่หมอ
หัวข้อ: ความรักคืออะไร ตอนที่ 28 : วาสนา 2 : ปณิธาน
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 5/09/2013, 13:47

5 กันยายน 2556

ความรักคืออะไร: (ตอนที่ 28: วาสนา 2 :ปณิธาน)

.....ขอบคุณทุกๆวาสนา ที่สรรค์สร้างส่วนประกอบในตัวตนผม ทั้งในมิติของร่างกาย ความคิด จิตใจและจิตวิญญาณ จนเป็นผมในทุกวันนี้...

.....ขอกราบขอบพระคุณอย่างสูงสุด คุณพ่อ คุณแม่ ที่ให้กำเนิด เลี้ยงดู และให้ได้รับการศึกษาอย่างดีที่สุด...

.....ขอกราบขอบคุณครูบาอาจารย์ทุกๆท่าน ที่พร่ำสั่งสอนศิษย์ที่่ไม่เอาไหนคนนี้ รวมทั้งครูพักลักจำของผม ทุกๆท่าน...

.....ขอบคุณเพื่อนร่วมงาน เพื่อนฝูง ทุกๆท่าน รวมทั้งเพื่อนที่น่ารักของผมบน Facebook ทุกๆคน ที่รักและเอ็นดูผมมาตลอด...

.....ในมิติของชีวิตและงาน ผมก็เหมือนกับมนุษย์ปุถุชนธรรมดา ซึ่งมีทั้งความสุข ความทุกข์ ความสำเร็จและความล้มเหลว...

.....ปณิธาน จากนี้ไป จนสิ้นลมหายใจผม ไม่ว่าอะไรก็แล้วแต่ ที่ผมสามารถเพิ่มคุณค่าให้เพื่อนมนุษย์และสิ่งแวดล้อมได้ ผมจะทำทันที โดยไม่ลังเลเลย...

.....คุณสมบัติสุดยอด 2 อย่างของมนุษย์ คือ การสร้างและการทำลาย...

.....จากนี้ไป ผมเลือกที่จะทำงานสร้างสรรค์ และถือเป็นภารกิจของชีวิต ที่จะทำงานช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ แบ่งปันพรสวรรค์ที่ผมมี เพื่อเพิ่มคุณค่าให้กับเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน...

.....มีความรู้สึกว่า พรสวรรค์ที่ผมมี เป็นของขวัญจากพระเจ้า จากธรรมชาติ และถูกบ่มเพาะมาจากทุกๆวาสนา จึงอยากแบ่งปันกลับคืน

.....เป้าหมายคือ เพิ่มคุณค่าให้กับเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน โดยมี "ความรัก" เป็นแรงบันดาลใจ โดยความรักในมิติที่ 1 นั้น ขอสงวนสิทธิ์ไว้ แต่จะพัฒนา "ความรัก" ในมิติที่สูงยิ่งๆขึ้นไป (ความรัก 10มิติ)...

.....ขอกราบขอบพระคุณวาสนา และทุกๆวาสนา อีกครั้งหนึ่งครับ...

ขอบคุณครับ

น.พ.ไมตรี พิชญังกูร           ขอบคุณค่ะพี่หมอ
หัวข้อ: ความรักคืออะไร ตอนที่ 29 : ฝันว่าฝัน
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 6/09/2013, 14:14
6 กันยายน 2556

ความรักคืออะไร: (ตอนที่ 29: ฝันว่าฝัน)

.....เมื่อคืนนอนหลับแล้ว ฝันว่า...

.....ฝันถึงเธอ...

.....ในฝัน ของฝัน ฝันว่า ได้กอดเธอ...

.....ได้จุมพิตเธอ...

.....รู้สึกตื่นเต้น...

.....สะดุ้งตื่น...

.....แต่ตื่นขึ้นมา กลับเป็น ฝันที่เป็นจริง...

.....นอนกอดเธอ จริงๆ...

.....ช่างมีความสุขอะไร เช่นนี้...

.....จึงนอนกอดเธอตลอดทั้งคืน...

.....ตื่นเช้าขึ้นมา...

.....อ้าว...เธอหายไปไหนแล้ว...

.....ลุกขึ้นมานั่ง ขยี้ตา แบบว่า งงงง...

.....555...

ขอบคุณครับ

น.พ.ไมตรี พิชญังกูร

081 4031484, 083 8949921         ขอบคุณค่ะพี่หมอ
หัวข้อ: ความรักคืออะไร ตอนที่ 30 : กำลังใจ
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 7/09/2013, 09:38
7 กันยายน 2556

ความรักคืออะไร: (ตอนที่ 30:กำลังใจ)

.....จงให้ "กำลังใจ" กับตนเอง...

.....ในทุกสถานการณ์ ไม่ว่า "ดี หรือ ร้าย"...

....."กำลังใจ" ที่มาจากความศรัทธาในตัวเอง...

.....จะเปลี่ยนแปลง "ชีวิต" ของคุณ ให้ดีขึ้นเรื่อยๆ แน่นอน...

ขอบคุณครับ

นพ.ไมตรี พิชญังกูร

081 4031484
083 8949921              ขอบคุณค่ะพี่หมอ
หัวข้อ: ความรักคืออะไร ตอนที่ 31 : แมวเหมียวที่รัก
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 9/09/2013, 17:04
8 กันยายน 2556

ความรักคืออะไร: (ตอนที่ 31: แมวเหมียวที่รัก)

.....แมวเป็นสัตว์เลี้ยงที่น่ารักมาก...

.....หลายๆคน ชอบเลี้ยงแมวเป็นเพื่อน...

.....บางคนเปรียบเปรยว่า แมวเหมือนสตรี...

.....ทายผิดมากเลย ที่คิดว่า แมวเหมือนสตรี...

.....แท้จริงแล้ว แมวไม่เหมือนสตรีเลย...

.....มีแต่สตรีบางคน หรือหลายๆคน ที่เหมือนแมว...

.....เมื่อดึงหางแมวให้ถอยหลัง เธอมีแต่จะดึงดันไปข้างหน้า...

.....เมื่อดึงหัวแมวให้ไปข้างหน้า เธอมีแต่จะเดินถอยหลัง...

.....บรุษใด ที่คิดว่าตัวเอง รู้จักสตรีดีพอ...

.....คอคุณใกล้จะขาดแล้ว...

ขอบคุณครับ

นพ.ไมตรี พิชญังกูร
081 4031484
083 8949921             ขอบคุณค่ะพี่หมอ
หัวข้อ: ความรักคืออะไร ตอนที่ 32 - รักด้วยหัวใจ ไม่ใช่รักด้วยเหตุผล 1
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 12/09/2013, 13:33
12 กันยายน 2556

ความรัก คือ อะไร (ตอนที่ 32 : รักด้วยหัวใจ ไม่ใช่รักด้วยเหตุผล 1)

.....ในบทความ "ความรักคืออะไร" เราได้นิยามว่า ความรักคืออาการทางจิต หรือสภาวะทางจิตที่มี "อาการชอบใจผสมความยินดี ที่พร้อมกับมี ความปรารถนาดีอย่างสัมมาทิฎฐิ"...

.....เพราะฉะนั้น จุดกำเนิดของความรัก ไม่ว่าจะเป็นมิติไหน จึงก่อเกิดขึ้นที่สภาวะความรู้สึกที่หัวใจเรา ที่มีสภาวะนั้นๆ ดังคำนิยาม...

.....เพราะฉะนั้น ความรัก จึงไม่ใช่ก่อเกิดขึ้นด้วยเหตุผลทางความคิด ที่คิดจากสมอง ขอเน้นย้ำว่า ความรักต้องก่อกำเนิดเกิดขึ้นที่หัวใจ ไม่ใช่ ก่อกำเนิดเกิดขึ้นจากสมอง...

.....เราจึงรักกันด้วยหัวใจ ใช้หัวใจรัก ความรักของเรา ไม่ต้องถามหาเหตุผล...

.....มีเรื่องบางเรื่องที่อารมณ์เราทั้งสองไม่สบายใจกัน แล้วจะเถียงกันไปทำไม ต่างคนต่างก็จะหาเหตุผลมาสนับสนุนเพื่อเอาชนะคะคานกันไปทำไม?...

.....สุดท้าย คนที่หาเหตุผลได้มากกว่า ก็จะเถียงชนะ คนที่หาเหตุผลได้น้อยกว่า ก็จะเถียงแพ้ จนมุม แต่ก็นั่นแหละ เหตุผลของมนุษย์ที่เถียงชนะ อาจจะเป็นสิ่งที่ผิดก็ได้...

.....ถ้าท่านเถียงชนะคนรักของท่าน ถามว่า ท่านจะภูมิใจมากมั้ย?...

.....ถ้าท่านภูมิใจ ก็คงจะดีใจที่สามารถเถียงชนะคนที่ท่านรักได้...

.....ถ้าท่านดีใจ ก็คงจะต้องตะโกนดังๆว่า "โอ้ยยยยยย ดีใจจังเลย สุดยอดเลย วันนี้สามารถชนะแฟนได้แล้ว...

.....เชื่อเถอะครับ เรื่องของหัวใจ ยิ่งใหญ่กว่าเรื่องสมองเยอะมากครับ...

.....เวลาท่านมีปัญหากับคนรัก ท่านอย่าพยายามไปหาเหตุผล ไม่ต้องหาเหตุผลเลยได้ยิ่งดีที่สุดครับ...

.....จงอยู่กันด้วยความรัก ความเอื้ออาทร ความเมตตา รักกัน เข้าใจกัน อภัยกัน และดูแลกัน...

.....ซึ่งทั้งหมดนี้ ใช้หัวใจล้วนๆครับ ไม่ต้องใช้สมองไปหาเหตุผลครับ...

.....จงรักด้วยหัวใจ ไม่ใช่รักด้วยเหตุผล ไม่ว่าความรักในมิติใดๆ...

ขอบคุณครับ

นพ.ไมตรี พิชญังกูร
081 4031484
083 8949921           ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: ความรักคืออะไร ตอนที่ 33 : ปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 18/09/2013, 10:15
18 กันยายน 2556

ความรัก คือ อะไร (ตอนที่ 33:ปัญหา: หลิวเต๋อหัว v.s.dr.mikes)

.....เส้นทางแห่งความสำเร็จของคนคนหนึ่ง ไม่ว่ามิติไหน ชีวิต การงาน หรือแม้แต่ความรัก ฯลฯ ไม่มีอะไรที่ง่ายเลย มันไม่ได้ง่ายเหมือนการเดินเล่นในสวน ล้วนต้องแลกมาด้วยการเสียสละที่ยิ่งใหญ่...

.....เส้นทางแห่งความสำเร็จ มักเต็มไปด้วยขวากหนาม อุปสรรค จุดผกผัน ทางคดเคี้ยว ทางอ้อม หลุมพราง ฯลฯ อีกเยอะเยะ นั่นคือเหตุผลว่า คนส่วนใหญ่ ไม่เลือกเดินเส้นทางนี้ เพราะว่า พวกเขาไม่ต้องการพบกับความวุ่นวาย ปวดหัว และความรับผิดชอบนานับประการ...

.....สรุป ก็คือ คน ไม่อยากเจอปัญหา นั่นเอง...

.....แต่ตราบไรที่เรายังมีลมหายใจ เราก็จะต้องเจอสิ่งที่เรียกว่า ปัญหาและอุปสรรคต่างๆเสมอ กระทั่งหมดลมหายใจนั่นแหละ...

.....ทัศนคติในการมองปัญหา เป็นเคล็ดลับแห่งความสำเร็จข้อหนึ่งที่สำคัญมากเลยทีเดียว...

.....T.Harv Eker ได้สรุปว่า วิธีการมองปัญหาของคนเรา เป็นปัจจัยแห่งความสำเร็จข้อหนึ่ง (จากทั้งหมด 17 ข้อ) ว่า...

....."Rich people are bigger than their problems."...

....."Poor people are smaller than their problems."...

....."คนรวยมองปัญหาเป็นเรื่องเล็ก"...

....."คนจนมองปัญหาเป็นเรื่องใหญ่"...

.....สมมุติให้ระดับของปัญหามีความเข้มตั้งแต่ 1-10 ถ้าท่านเจอปัญหาระดับ 5 แต่ความสามารถในการรับและแก้ปัญหามีแค่ระดับ 2 ท่านคงอกแตกตาย มันจะเป็นปัญหาที่ใหญ่มากสำหรับท่าน...

.....ในปัญหาระดับ 5 เดียวกัน แต่ความสามารถในการรับและแก้ปัญหาของท่านมีถึงระดับ 8 ปัญหาเดียวกันนั้น ก็เป็นปัญหาเล็กสำหรับท่านแล้ว...

.....แต่ถ้าท่านหมั่นฝึกฝน พัฒนาตนเอง จนท่านสามารถมีบุคลิกและทัศนคติที่เข้มแข็งต่อปัญหาถึงระดับ 10แล้ว จากนี้ไป ทุกสิ่งทุกอย่างก็จะไม่เป็นปัญหาสำหรับคุณอีกต่อไป สมองคุณจะไม่รับรู้ด้วยซ้ำว่า นั่นคือปัญหา มันจะไม่มีพลังด้านลบเลย เป็นเพียงเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นประจำ ไม่ต่างอะไรจากเราอาบน้ำ แปรงฟัน...

.....วันเสาร์ที่ 14 กันยายน 2556 ผมต้องเดินทางไปนั่งรถโดยสารที่สถานีขนส่งหมอชิต เนื่องจาก ผมมีนัดกับทีมงานที่ต่างจังหวัด...

.....ผมนั่งแท็กซี่ไป ขณะอยู่บนทางด่วน อีกประมาณกิโลเมตรกว่าๆ ก็จะถึงทางลง เนื่องจากฝนตกหนักมากๆ ทำให้ตรงจัตุจักร รวมทั้งสถานีขนส่งน้ำท่วมอย่างหนัก รถติดไปหมด ไม่ขยับเลย การจราจรเป็นอัมพาตไปหมด...

.....รถไม่ขยับเลย จอดแช่นิ่งอยู่ประมาณครึ่งชั่วโมงกว่าๆ ในขณะเดียวกัน โชว์เฟ่อร์รถก็บ่นตลอด มีแต่เรื่องลบๆ เต็มไปหมด อารมณ์พี่โชว์เฟอร์แกหงุดหงิดมากๆ...

.....หลังจากที่นั่งอยู่บนรถแท็กซี่ประมาณครึ่งชั่วโมงกว่าๆ ในขณะเดียวกัน ฝนก็ยังตกปรอยๆ ผมตัดสินใจจ่ายค่ารถแท็กซี่ แล้วก็หิ้วกระเป๋าเดินทาง เดินลงจากทางด่่วนลงมา ไปที่สถานีขนส่ง ระยะทางประมาณกิโลเมตรกว่าๆ ฝนก็ตกปรอยๆ...

.....เมื่อมองย้อนหลังไป ก็เห็นมีคนอื่นทยอยเดินตามลงมาอีกหลายคน แล้วก็เพิ่มมากขึ้นๆ สุดท้าย ผมก็ไปถึงเป้าหมาย ทันนัดพอดี ไม่มีอะไรเสียหาย...

......โดยส่วนตัว ผมฝึกทัศนคติเกี่ยวกับการมองปัญหามามาก จนแทบจะเรียกได้ว่า ไม่เห็นว่ามีปัญหาอะไรเลย ทุกปัญหา ไม่เป็นปัญหา...

.....อยากจะบรรยายความรู้สึกในขณะที่หิ้วกระเป๋าเดินทาง ลงจากรถแท็กซี่ ท่ามกลางสายฝนปรอยๆ แล้วเดินบนทางด่วนประมาณกิโลเมตรกว่าๆ เพื่อไปขึ้นรถที่สถานีขนส่งหมอชิตว่า...

.....เนื่องจาก ผมมีเป้าหมายชัดเจน อีกทั้งการไปทำงานครั้งนี้ เป็นไปตามปณิธานที่ผมตั้งสัจจะไว้ตามที่ผมโพสต์ไว้ใน (5 กันยายน 2556:ความรักคืออะไร: ตอนที่ 28: วาสนา 2 :ปณิธาน)...

.....ถ้าจะบรรยายความรู้สึกตอนนั้น หัวใจมันพองโต มันเหมือนเราเป็นพระเอก คือการไปให้สิ่งดีๆกับเพื่อนมนุษย์ ซึ่งเป็นกัลยาณมิตรที่ดีของผม...

.....เปรียบความรู้สึกตอนนั้น ผมมีความรู้สึกว่า ผมเป็นพระเอก หลิวเต๋อหัว ในภาพยนตร์เรื่อง "ผู้หญิงข้า ใครอย่าแตะ" ไม่ว่าอะไร ก็ไม่เป็นปัญหา ความรู้สึกเป็นแบบนั้นจริงๆ ...

.....เมื่อคุณสามารถพัฒนาบุคลิกและทัศนคติในการมองปัญหา จนกระทั่งระดับสูงสุด เมื่อเราเจอปัญหาหรืออุปสรรคอะไรก็แล้วแต่ สุดท้ายในสมองเราจะไม่รู้สึกเลยว่า มันเป็นปัญหา...

.....บวกกับการที่เรามีเป้าหมายที่ชัดเจน มีปณิธานที่มีความรักในมิติต่างๆเป็นแรงบันดาลใจในการทำงาน มีแต่พลังบวก เป็นความรู้สึกที่สุดยอดเลยจริงๆ...

.....เป็นความรู้สึกที่จะจดจำไปตลอดชีวิต...

.....หลิวเต๋อหัว "ผู้หญิงข้า ใครอย่าแตะ" dr.mikes...555

ขอบคุณครับ

นพ.ไมตรี พิชญังกูร
081 4031484
083 8949921       ขอบคุณค่ะพี่หมอ
หัวข้อ: ความรักคืออะไร ตอนที่ 34 : คุณค่าแห่งรัก
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 24/09/2013, 15:57
23 กันยายน 2556

ความรัก คือ อะไร (ตอนที่ 34:คุณค่าแห่งรัก)

.....มีภาระกิจและอุปสรรค ที่ทำให้เราติดต่อกันไม่ได้ 2 วัน...

.....ขอบคุณและโชคดี ที่เรารักกันด้วยหัวใจ...

.....คำถามลบๆอีกมากมายว่า ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม และทำไม...และทำไม ทำไม ทำไม...

.....จึงไม่ผุดขึ้นในสมองเราทั้งสอง...

.....ผมได้ส่งพลังแห่งรักถึงคุณ ทุกขณะ...
.....ที่รัก คุณรับรู้มันได้ ใช่มั้ย...

.....แต่ผมรับรู้ได้นะว่า...

.....คุณก็ส่งพลังแห่งรัก มาให้ผมทุกขณะ เหมือนกัน...

.....ขอบคุณที่เรารักกันด้วยหัวใจ...

.....ขอบคุณในคุณค่าแห่งรักเรา...

.....จะจดจำไว้ ไม่มีวันลืม...

ขอบคุณครับ

นพ.ไมตรี พิชญังกูร
081 4031484
083 8949921        ขอบคุณค่ะพี่หมอ
หัวข้อ: ความรักคืออะไร ตอนที่ 35 : ทีนี้ หายงงง้งงงหรือยัง
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 24/09/2013, 16:01
24 กันยายน 2556

ความรัก คือ อะไร (ตอนที่ 35 : ทีนี้ หายงงง้งงงหรือยัง)

.....อ้างถึงโพสต์ วันที่ 9 สิงหาคม 2556 ความรักคืออะไร (ตอนที่ 25: งงง้งงง!!! )...

.....เวอร์ชั่นที่ 1...

.....ระยะเวลาผ่านไป ไม่รู้ว่านานแค่ไหน แต่ละคนไม่เท่ากัน แล้วแต่ว่า กรรมใคร กรรมมัน...

.....ผู้หญิง: ไหนคุณบอกว่ารักหนูไง เห็นพูดมาตลอดเวลาที่เราคบกันมา คุณพูดได้ไงว่า คุณไม่เคยบอกรักหนูเลย มันเป็นยังไง คิดจะเลิกกับหนู ใช่มั้ย...

.....ผู้ชาย: มีตรงไหน ที่ผมบอกว่า ผมรักคุณ...

.....ผู้หญิง: นี่ไง ไปดูใน Inbox ก็ได้ นี่ไง "เค้ารักตัวเองอย่างนั้น เค้ารักตัวเองอย่างนี้" พูดอยู่ทุกวัน หรือจะเถียงว่า คุณไม่ได้ส่งมาให้หนู...

.....ผู้ชาย: ใช่ ผมเป็นคนส่งให้คุณเอง แล้วคุณอ่านภาษาไทย ไม่เข้าใจหรือ...

.....ผู้หญิง: มันหมายความว่าอย่างไร หรือคุณจะหาเรื่องเลิกกับหนู...
.....ผู้ชาย: ผมก็พูดกับคุณตรงๆว่า "เค้ารักตัวเองนะ" ก็แปลตรงๆ ก็แปลว่า ผมอ่ะ "ผมรักตัวผมเองนะ" ทีคุณยังพูดเลยว่า "เค้าก็รักตัวเองนะ" ก็แปลว่า "คุณก็รักตัวคุณเอง" คุณก็ไม่เคยบอกรักผม ผมก็ไม่เคยบอกรักคุณ เราต่างคนต่างก็รักตัวเราเอง แล้วมันผิดตรงไหน แล้วผมก็ไม่ได้รักคุณจริงๆด้วย คุณคิดไปเอง...

.....ผู้หญิง: อ้าว ไหนพูดแบบนั้นล่ะ...

.....ผู้ชาย: ก็แบบนี้แหละ มีไรเหรอ...

.....หลังจากนั้น ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น...

.....กรรมใคร กรรมมัน...

.....ทีนี้ หายงงง้งงงกันหรือยัง 555...


...............เวอร์ชั่นที่ 2...............

24 กันยายน 2556

ความรัก คือ อะไร (ตอนที่ 35:ทีนี้ หายงงง้งงงหรือยัง)

.....อ้างถึงโพสต์ วันที่ 9 สิงหาคม 2556 ความรักคืออะไร (ตอนที่ 25: งงง้งงง!!! )...

.....ระยะเวลาผ่านไป ไม่รู้ว่านานแค่ไหน แต่ละคนไม่เท่ากัน แล้วแต่ว่า กรรมใคร กรรมมัน...

.....ผู้ชาย: ไหนคุณบอกว่าคุณรักผมไง เห็นพูดมาตลอดเวลาที่เราคบกันมา คุณพูดได้ไงว่า คุณไม่เคยบอกรักผมเลย มันเป็นยังไง คิดจะเลิกกับผม ใช่มั้ย...

.....ผู้หญิง: มีตรงไหน ที่หนูบอกว่า หนูรักคุณ...

.....ผู้ชาย: นี่ไง ไปดูใน Inbox ก็ได้ นี่ไง "เค้ารักตัวเองอย่างนั้น เค้ารักตัวเองอย่างนี้" พูดอยู่ทุกวัน หรือจะเถียงว่า คุณไม่ได้ส่งมาให้ผม...

.....ผู้หญิง: ใช่ หนูเป็นคนส่งให้คุณเอง แล้วคุณอ่านภาษาไทย ไม่เข้าใจหรือ...

.....ผู้ชาย: มันหมายความว่าอย่างไร หรือคุณจะหาเรื่องเลิกกับผม...
.....ผู้หญิง: หนูก็พูดกับคุณตรงๆว่า "เค้ารักตัวเองนะ" ก็แปลตรงๆ ก็แปลว่า หนูอ่ะ "หนูรักตัวหนูเองนะ" ทีคุณยังพูดเลยว่า "เค้าก็รักตัวเองนะ" ก็แปลว่า "คุณก็รักตัวคุณเอง" คุณก็ไม่เคยบอกรักหนู หนูก็ไม่เคยบอกรักคุณ เราต่างคนต่างก็รักตัวเราเอง แล้วมันผิดตรงไหน แล้วหนูก็ไม่ได้รักคุณจริงๆด้วย คุณคิดไปเอง...

.....ผู้ชาย: อ้าว ไหนพูดแบบนั้นล่ะ...

.....ผู้หญิง: ก็แบบนี้แหละ มีไรเหรอ...

.....หลังจากนั้น ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น...

.....กรรมใคร กรรมมัน...

.....ทีนี้ หายงงง้งงงกันหรือยัง 555...

.....ยังเป็นไปได้อีกหลายๆเวอร์ชั่น ชายกับชาย หญิงกับหญิง จินตนาการได้ตามสบายครับ...

ขอบคุณครับ

นพ.ไมตรี พิชญังกูร
081 4031484
083 8949921
หัวข้อ: ความรักคืออะไร ตอนที่ 36 วาสนา 3 : บริจาคร่างกาย
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 27/09/2013, 11:37
24 กันยายน
25 กันยายน 2556

ความรักคืออะไร: (ตอนที่ 36: วาสนา 3: บริจาคร่างกาย)

.....อ้างถึงโพสต์ของ วันที่ 5 กันยายน 2556 ความรักคืออะไร: (ตอนที่ 28: วาสนา 2 :ปณิธาน)...

.....ปณิธานผม ถือเป็นภาระกิจ จะทำจนสิ้นลมหายใจ หลังจากหมดลมหายใจ ได้บริจาคร่างกายให้กับ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ไปตั้งแต่ วันที่ 29 สิงหาคม 2539 เพื่อให้นักศึกษาแพทย์ได้ใช้ร่างกายผม ในการศึกษาครับ...

ขอบคุณครับ

นพ.ไมตรี พิชญังกูร
081 4031484
083 8949921

...มีเพื่อนถามมามากมายว่า ถ้าจะบริจาคร่างกายให้นักศึกษาแพทย์ศึกษา หลังจากที่เราเสียชีวิตแล้วจะทำอย่างไร...
...เพียงแค่เราโทรศัพท์ไปที่ภาควิชากายวิภาคศาสตร์ (Anatomy department) ของคณะแพทยศาสตร์ ตามภูมิภาคต่างๆ...
...ทางคณะแพทย์ ก็จะส่งเอกสารมาให้ท่านกรอก แล้วเราก็ส่งกลับไปที่คณะแพทย์นั้น ก็เสร็จครับ ง่ายๆครับ...
...1 ภาควิชากายวิภาคศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล สำหรับผู้ที่อยู่ กรุงเทพ ปริมณฑล ภาคกลาง และใกล้เคียง...
...2 ภาควิชากายวิภาคศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ สำหรับผู้ที่อยู่ภาคใต้...
... 3 ภาควิชากายวิภาคศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ สำหรับผู้ที่อยู่ภาคเหนือ...
...4 ภาควิชากายวิภาคศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น สำหรับผู้ที่อยู่ภาคอิสาน...

...ขออนุโมทนาบุญครับ...
...ขออนุโมทนาบุญด้วยค่ะ...       ขอบคุณค่ะพี่หมอ
หัวข้อ: ความรักคืออะไร ตอนที่ 37 : ผู้ชนะสิบทิศ : บ่วงรัก : โทสะจริต
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 27/09/2013, 11:42
27 กันยายน 2556

ความรักคืออะไร: (ตอนที่ 37: ผู้ชนะสิบทิศ: บ่วงรัก: โทสะจริต)

....."เจ็บใจคนรักโดนรังแก ข้าจะเผาเมืองแปร ให้มันวอดวาย"...

.....ใจโหดร้ายเหลือเกิน จะโกรธอะไรนักหนาขนาดนั้น เพียงแค่ คนรักโดนรังแก ถึงกับจะฆ่าจะเผาเมืองกัน คนที่ไม่รู้อิโหน่อิแหน่ จะต้องมาตายกับสาเหตุของเรื่องแค่นี้ มากมายขนาดไหน...

.....ผู้คนบนโลกนี้ ล้วนมากมายไปด้วยโทสะจริต โดยเฉพาะผู้มีอำนาจ ไปจนถึงคนธรรมดาๆ อย่างเราๆ...

.....คนที่มากไปด้วยโทสะจริต เขาจะไม่ยอมให้ตนเองได้รับความสุขความเบิกบานใจใดๆเลย เขาพร้อมที่จะเสียสละ สุขภาพร่างกาย ความสะดวกสบาย เพื่อที่จะได้ก้าวร้าว ดุดัน ทิ่มแทงแหลมคม และทำลายล้าง ต่อไป...

.....เขาเลือกที่จะอยู่อย่างนั้น ยิ่งกว่าที่จะยอมให้ผู้ใดเข้ามาสัมผัสอย่างอ่อนโยน และเปี่ยมด้วยความรัก ความเมตตา...

.....ถ้าหากคุณเป็นคนมากด้วยโทสะเช่นนี้ และหากเกิดสถานการณ์อันอ่อนโยนขึ้น เช่น อาจมีใครอยากจะมาลูบศีรษะของคุณ คุณกลับถือว่า นั่นเป็นการสบประมาท "อย่ามาแตะต้องฉัน ฉันกำลังครุ่นคิดหาเหตุผล หาทางออกอยู่ อย่ามายุ่งกับฉัน"...

.....นี่เป็นแนวทางสุดโต่ง ไม่มีหนทางประนีประนอมเหลืออยู่เลย ด้วยเหตุที่ตรรกะนั้น จะเป็นผู้ตอบรับหรือปฏิเสธอยู่เสมอ ตลอดเวลา...

.....ข้าจึงจะต้องเผาเมืองแปร ให้มันวอดวาย โดยไม่มีหนทางแก้ปัญหาอื่นใดเลย...

.....ที่รัก...เมื่อไหร่ ที่ผมมีอารมณ์โกรธ...

.....ขอเพียงเธอกอดฉันให้นาน...

.....กระซิบรำพันว่ารักเบาๆ...

.....และนับจากนี้ ขอมีเพียงเรา...

.....จะร้อนจะหนาว ฉันจะไม่จากเธอไปไหน...

ขอบคุณครับ

นพ.ไมตรี พิชญังกูร
081 4031484
083 8949921

http://youtu.be/3B4eSYnzDFg     ขอบคุณค่ะพี่หมอ
หัวข้อ: ความรักคืออะไร ตอนที่ ตอนที่ 38 : งอลลลลล
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 2/10/2013, 17:23
ความรักคืออะไร: (ตอนที่ 38: งอลลลลล)

..... ที่รัก...

..... ผมรู้สึกรักคุณ สงสารคุณ และ เป็นห่วงคุณมากๆ...

..... คุณคงเหนื่อย คงจะท้อ และคงอารมณ์ไม่ดี...

..... ที่คุณงอลลลลล ผมมานาน และบ่อยๆ...

..... ช่วงหลังมานี้ รู้สึกว่าความงอลลลลล จะถี่ขึ้นๆ...

..... ผมรักคุณมาก และเป็นห่วงคุณมากๆ...

..... ผมจะไม่ยอมให้คุณต้องมาเหนื่อย และมาลำบากอีก...

..... จากนี้ไป คุณไม่ต้องมางอลลลลล อะไรผมอีกแล้ว...

..... ผมจะงอลลลลลคุณ แทนคุณก็แล้วกัน...

..... คุณจะได้สบาย ซะที...

..... เป็นห่วงนะ...

..... รักนะ จุ๊ฟๆ...

ขอบคุณครับ

นพ.ไมตรี พิชญังกูร
081 4031484
083 8949921            ขอบคุณค่ะพี่หมอ
หัวข้อ: ความรักคืออะไร ตอนที่ 39: พิษแห่งรัก : Love Intoxication
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 3/10/2013, 19:31
3 ตุลาคม 2556

ความรักคืออะไร: (ตอนที่ 39: พิษแห่งรัก: Love Intoxication)

..... พิษแห่งรัก: (Love Intoxication) เป็นอาการชนิดหนึ่ง ที่เกิดขึ้นกับมนุษย์ เกือบทุกๆคน...

..... เหตุเกิดที่: หัวใจ เป็นผลจากปฏิกิริยาระหว่าง ชายกับหญิง ชายกับชาย และหญิงกับหญิง...

.....สถิติ: ในสมัยก่อน ส่วนมากเกิดจากปฏิกิริยาระหว่าง ชายกับหญิง แต่ในสมัยนี้ครึ่งต่อครึ่งเกิดขึ้นระหว่างชายกับหญิงและกลุ่มเพศเดียวกัน...

.....อาการ: กินไม่ได้ เมื่อกินไม่ได้ ก็ไม่มีอุจจาระ ท้องจะอืด นอนไม่หลับ เมื่อกินไม่ได้นอนไม่หลับ ก็จะปวดหัว เวียนหัว หน้ามืด ตาลาย วิงเวียนศีรษะ คลื่นไส้อาเจียน ท้องอืด เรอเหม็นเปรี้ยว...


..... อารมณ์บูด เห็นอะไรก็ขวางหูขวางตาไปหมด ชอบทำลายข้าวของ อะไรที่อยู่ใกล้มือ ก็จะหยิบมาปาทิ้ง มองโลกนี้ว่าโหดร้าย มองอะไรเป็นลบไปหมด ชอบโทษคนอื่น แต่ไม่ยอมมองดูตัวเอง พร่ำแต่ว่า กูผิดอะไรๆๆๆๆๆๆๆ...

..... อาการจะกำเริบหนักตอนกลางคืน และมักจะแสดงอาการแปลกๆ มักเจออาการบนไทม์ไลน์ในเฟซบุ๊คตัวเอง เช่น ขอให้มันรักมึงเหมือนที่กูรักมึง และขอให้มันทิ้งมึงเหมือนที่มึงทิ้งกู ฯลฯ เป็นต้น อาการแบบนี้ เป็นอาการย่อย ที่เราเรียกว่า Facebooklism (จะเป็นอีกหัวข้อหนึ่ง เร็วๆนี้)...

..... เวลาหลับตาจะนอน มักจะมีอาการประสาทหลอน ภาพในอดีตต่างๆจะลอยมา นึกถึงแต่เรื่องเก่าๆ เหมือนกับจะระลึกชาติได้ ปานนั้น ก็ยิ่งทำให้นอนไม่หลับ อาการ Facebooklism ก็จะยิ่งกำเริบหนักขึ้น และทำให้เกิดผลข้างเคียงมากมาย...

..... ผลข้างเคียง (Side Effects) ขึ้นอยู่กับวิธีการทำใจของแต่ละคน บางคนก็เป็นไม่มาก บางคนก็ทำร้ายตัวเอง ถึงขั้นฆ่าตัวตายกันเลยทีเดียว บางคนก็ถึงขั้นพิการ ติดคุกติดตารางกันเลยทีเดียว บางคนแค้น ถึงขั้นฆ่าชำแหละศพ ก็เคยมี...น่ากัว...

..... ระยะเวลาดำเนินโรค: คนที่มีอาการนี้แล้ว จะไม่หาย จะเป็นตลอดชีวิต คล้ายๆโรคเอดส์ ไม่มียารักษาให้หายขาด มีแต่ยาระงับอาการชั่วคราว ประเภพ ยานอนหลับ ยากล่อมประสาท (ผมเป็นหมอ ผมยัง งง ว่าประสาทคนก็ต้องกล่อมด้วย ประสาทคงเคลิ้ม เวลาถูกยากล่อม)...

..... บางคนปากแข็ง บอกว่า ตัวเองหายแล้ว ไม่เป็นไรแล้ว แต่ถ้าถูกสะกิดเมื่อไหร่ ก็จะมีอาการเจ็บจี้ดๆ หรือเจ็บแปล๊บๆ พวกนี้ เรียกว่า มีอาการหลบใน...

..... ผมเองไม่เคยมีอาการนี้หรอก เนื่องจากมีหน้าตาเป็นอุปสรรค โอ้ยยยยย...อยากขี้เหร่ อยากขี้เหร่ ๆๆๆๆๆ...

..... แต่คนไข้ผมสิ เป็นอาการนี้เยอะมากๆ โดยเฉพาะ เพื่อนๆในเฟซบุ๊คผม บางคนเข้าขั้นโคม่าแล้ว...

..... สืบเนื่องจากเมื่อวาน มีเพื่อนมาแนะนำผมว่า บริษัทที่แกเป็นหุ้นส่วนอยู่ มีอาหารเสริมตัวหนึ่ง (แต่ตอนนี้ อ.ย.ไทยเขาให้เรียกว่า เสริมอาหาร: "งงมั้ย") สามารถที่จะ Detox ตับได้ คือล้างพิษให้กับตับเรา...

..... ผมก็มาคิดว่า ตลอดชีวิตผม ตับผมคงทำงานหนัก เจอพิษมาคงเยอะ กินอะไรต่างๆมากมาย เหล้า ยา ปลา ปิ้ง เนื้อสัตว์ต่างๆ กินกันมาตลอด พิษทั้งนั้น...

..... ยกเว้น สิ่งปลูกสร้าง ถนน สะพาน คอนกรีต ฯลฯ ที่มาจากภาษีประชาชน ผมยังไม่เคยกิน (ทั้งๆที่เคยมีโอกาส) แต่ก็ไม่ต้องห่วง เนื่องจากมีเพื่อนมนุษย์มากินแทนแล้ว ขอบคุณเพื่อน ที่มากินแทน ทำให้พวกนี้ได้โควต้าไปนรก เป็นการได้คิว พวกนี้ไปแทน เราก็ไม่ต้องไปนรก...

..... เพื่อนผมที่มาแนะนำผมเรื่องเสริมอาหาร (เรียกเอาใจ อ.ย.ไทยหน่อย) ทำให้ผมฉุกคิดว่า...

..... ในเมื่อมีเสริมอาหารที่สามารถ Detox ตับได้ มันก็น่าจะมีเสริมอาหารที่สามารถ Detox อาการพิษแห่งรัก: (Love Intoxication) ได้ เป็น Love Detoxication...

..... ใครมีเสริมอาหารตัวนี้ กรุณาติดผมต่อโดยตรง ตามข้างล่างนี้ครับ...

ขอบคุณครับ

นพ.ไมตรี พิชญังกูร
081 4031484
083 8949921        ขอบคุณค่ะพี่หมอ