นักธรรม
ห้องครัว นักธรรม => เคล็ด(ไม่)ลับเพื่อสุขภาพ => ข้อความที่เริ่มโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 10/10/2012, 06:40
-
ตะคริวกับเกลือ
ตะคริวเป็นอาการหดตัวของกร้ามเนื้ออย่างรวดเร็ว มักเกิดที่น่องและต้นขา เมื่อคลำที่กล้ามเนื้อบริเวณที่บวดจะรู้สึกเป็นก้อนแข็งแต่จะบรรเทาปวดลงเมื่อเหยียดขาและนวดเบา ๆ เพื่อให้กล้ามเนื้อคลายตัว หรือทำให้เลือดไปเลี้ยงบริเวณนั้นดีขึ้น
ตะคริวเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น คุณอาจออกกำลังกายมากเกินไป โดยที่กล้ามเนื้อไม่เคยได้รับการฝึกฝนมาก่อนหรือเกิดจากการไหลเวียนของหลอดเลือดไม่สะดวก เนื่องจากท่านั่งหรือยืนที่ทำให้การไหลเวียนของเลือดไม่สะดวก หรือในผู้สูงอายุที่มีภาวะหลอดเลือดแดงแข็งตัว
นอกจากนี้ยามอาการเย็นก็อาจทำให้เป็นตะคริวได้ และในรายที่ขาดแคลเซียมต่ำในเลือดหรือร่างกายที่มีการสูญเสียเกลือแร่ในร่างกายอย่างมากในขณะท้องเสีย อาเจียน หรือเหงื่อออกมาก ๆ
สาเหตุ อาจแบ่งออกได้ ดังนี้
1.ขาดเกลือ
2.ขาดแร่ธาตุอื่น ๆ เช่น โปแตสเซี่ยม หรือ แมกนีเซี่ยม
3.กล้ามเนื้อบาดเจ็บ หรือ ใช้งานมากไป
4.การขาดเลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อ อันเนื่องมาจากการเกร็งอยู่นาน ๆ ทำให้ตัดทางเดินของเลือดในคนที่มีภาวะหลอดเลือดแดงแข็ง (arteriosclerosis) เช่น คนสูงอายุ ก็มีโอกาสเป็นตะคริวได้บ่อยขึ้น และอาจเป็นขณะที่เดินนาน ๆ เนื่องจากการไหลเวียนของเลือดไปที่ขาไม่ดี
5.การหายใจเข้า-ออกมากไป เมื่อไม่มีความจำเป็นจะทำให้ร่างกายไม่สามารถใช้แคลเซี่ยมได้ ผู้ที่มีภาวะแคลเซียมในเลือดต่ำ (119) ก็อาจเป็นตะคริวได้บ่อย เช่น คนที่เป็นโรคจิต โรคประสาท อาจหายใจหอบโดยไม่มีสาเหตุ ทำให้มือหงิกงอ (ซึ่งก็เป็นตะคริวอีกแบบหนึ่ง )
ในนักกีฬา อาจพบว่า บางครั้ง บางคนหายใจมากไปเกินกว่าร่างกายต้องการ เช่น เมื่อวิ่งไปนาน ๆ เกิดอาการเหนื่อย หากตื่นเต้นไปหรือไม่รู้จักหายใจให้ถูก แทนที่จะหายใจ ลึก ๆ ยาว ๆ กลับ ทำตื้น ๆ สั้น ๆ กระชั้นถี่ แบบนี้จะทำให้เกิดภาวะตะคริวได้ง่ายเช่นเดียวกัน ต่อไป เราจะได้พูดกันในประเด็นสำคัญๆ เรื่องของเกลือ
เราท่านมีความเข้าใจผิดๆ กันอยู่มากในเรื่องเกี่ยวกับเกลือ มักเข้าใจว่า ถ้าใครเป็นตะคริว ต้องเป็นจากขาดเกลือ จึงได้เห็น การรักษาตะคริวโดยให้กินเกลือกันอย่างแพร่หลาย
ความจริงที่มีผู้พิสูจน์แล้วคือ คนทั่วไปมักไม่ขาดเกลือ ออกจะมีเหลือเฟือ เสียด้วยซ้ำไปและมีผู้ที่ได้ประสบการณ์ ผ่านมา กับตัวเอง เช่น คุณหมอเก๊ป เมอร์กิ้น เมื่อครั้งที่เขากินเกลือเม็ดและใส่เกลือในอาหารเป็นบ้าเป็นหลัง (เพราะตำราแพทย์ ยุคนั้น บอกให้ทำ ) ปรากฏว่า ตะคริวเกิดประดังมาเป็นว่าเล่น และเมื่อเขางดกินเค็ม (เพราะฉลาดขึ้น ) กลับไม่เห็นที่จะเป็นตะคริวอีกเลย
เหตุผล ท่านเฉลยไว้ว่า การที่เรากินเกลือเสมอมา ทำให้ร่างกายรู้จักแต่ขับถ่ายเกลือ (ที่เหลือเฟือเหลือใช้และให้โทษ) ออกไป เมื่อไรที่ลดการกินเกลือทันทีทันใด (ซึ่งคงเกิดได้ทุกบ่อย ) จะทำให้ระดับเกลือในร่างกาย ลดต่ำลงไปฮวบฮาบ ซึ่งเป็นที่ ทราบกันดีว่า ระดับเกลือต่ำทำให้เป็นตะคริว
เรื่องของแร่ธาตุอื่น ๆ ความที่เกลือเข้ามาเป็นพระเอกเสียจนเราไม่รู้จักกับ ผู้แสดงคนอื่นๆ ทั้งที่ร่างกายเราประกอบด้วยแร่ธาตุสำคัญๆ นับสิบ ประการสิ่งที่เราควรรู้ในเรื่องการทำงานของกล้ามเนื้อคือ โปแตสเซี่ยม และแมกนีเซี่ยม เป็นตัวใหญ่ ยังมีตัวเล็ก ตัวน้อยอีกมากมาย แต่อย่าเพิ่งไปสนใจมันเลยในตอนนี้
- โปแตสเซี่ยม ช่วยให้กล้ามเนื้อผ่อนคลายความร้อนที่เกิดขึ้น ในระหว่างการทำงาน เวลาวิ่งมีความร้อนเกิดขึ้นมากมาย มหาศาล โปแตสเซี่ยม จึงถูกใช้งานหมดไปได้อย่างมาก
- แมกนีเซี่ยม ช่วยในการทำงานของกล้ามเนื้อ โดยประสานงานกับแคลเซี่ยม แม้จะไม่เสียไปมากอย่างโปแตสเซี่ยม แต่ก็ขาดไม่ได้
ดังนั้น แร่ธาตุ ที่เราควรให้ความสนใจ คือ โปแตสเซี่ยม เนื่องจากมีการเสียไปในระหว่างออกกำลัง จึงต้องกินเข้า ไปชดเชยกันอาหารที่อุดมด้วยโปแตสเซี่ยม คือ ผลไม้ ถั่ว และผัก ควรจะกินอาหารทั้ง 3 อย่างให้ได้ปริมาณเพียงพอ เพื่อเป็นหลักประกันว่า ท่านจะไม่ขาดธาตุโปแตสเซี่ยมและจากงานวิจัยก็พบอีกว่ากล้วยหอม เป็นอาหารที่มีทั้ง แมกนีเซียมและโปแตสเซียมอยู่ในปริมาณที่สูง รวมทั้งให้พลังงานด้วย จากที่เราเห็นแต่ก่อน นักกีฬาจักรยานทั้งระดับสมัครเล่นและระดับโปร เค้าจะทานกล้วยหอมตอนที่แข่ง เพราะทั้งได้พลังงานแล้ว ยังช่วยลดการเป็นตะคริวอีกด้วย
ที่มา : thaimtb.com ขอบคุณค่ะ
-
เกลือสารอาหารแห่งชีวิต
ในยุคกลาง อันเป็นยุคที่ผลึกเกลือมีค่าดั่งทอง มีเหมืองเกลือเกิดขึ้นมากมายทั่วภูมิภาคยุโรป ผลึกขาวราคาแพงกลายมามีบทบาทสำคัญหลายประการ ดังจะเห็นได้จากร่องรอยหลงเหลือในภาษา อย่างคำที่เราคุ้นเคยกันไม่ว่าจะเป็น salary-เงินเดือน sauce-น้ำซอส sausage-ไส้กรอก รวมทั้ง salad-สลัด ซึ่งล้วนมีรากศัพท์มาจากคำว่า sal-เกลือ ในภาษาละติน หรือแม้แต่หลายเมืองในยุโรปก็ปรากฏคำว่าเกลือในชื่อ ย้ำเตือนให้เห็นว่าเกลือนั้นสำคัญมากเพียงไรในอดีต
เจ้าผลึกขาวรสเค็มในโลกนี้มีหลายชนิด แต่ที่ใกล้ตัวและมีบทบาทกับเรามากที่สุดเห็นจะไม่พ้นการรวมตัวของโซเดียมและคลอไรด์ (NaCl) ซึ่งกลายมาเป็นเกลือแกงปรุงอาหารสีขาวแสนคุ้นเคย
นอกจากคุณสมบัติในการเติมแต่งรสชาติอาหารแล้ว สารอาหารที่ชื่อว่าโซเดียมนี้ยังมีบทบาทสำคัญในการดูแลรักษาสุขภาพ อันเป็นภูมิปัญญาที่สืบทอดต่อกันมาอย่างยาวนาน ในชื่อเรียกว่า “เกลือบำบัด” (Salt Therapy หรือ Speleotherapy) อีกด้วย
กว่าจะเป็น “เกลือบำบัด”
บทบาทของเกลือกับการแพทย์นั้นมีหลักฐานว่าฮิปโปเครตีส (Hippocrates) ปรัชญาเมธีผู้โด่งดังได้รู้จักการสูดดมไอเกลือเพื่อรักษาโรคทางเดินหายใจมาตั้งแต่สมัยกรีกแล้ว ส่วนในเอเชียมีตำราเภสัชวิทยาโบราณอายุกว่า 4,700 ปีของจีน “เปงเจากันมู” (Peng Tzao Kan Mu) ระบุไว้ว่ายุคนั้นมีการใช้เกลือแพร่หลายมากกว่า 40 ชนิด ทั้งเพื่อประโยชน์ในทางการแพทย์และเป็นเงินตราแลกเปลี่ยน
เกลือบำบัดยุคใหม่
ในปีค.ศ. 1843 เฟลิกซ์ บ็อกซโควสกี้ นายแพทย์ชาวโปแลนด์สังเกตพบว่า อุบัติการณ์โรคระบบทางเดินหายใจ เกิดขึ้นกับคนงานเหมืองเกลือน้อยมาก จึงริเริ่มนำผู้ป่วยทั้งโรคทางเดินหายใจและภูมิแพ้ลงไปสูดดมไอเกลือในเหมืองหรือถ้ำเกลือใต้ดิน จนพบว่าช่วยบำบัดโรคอย่างได้ผล ความสำเร็จนี้จึงถูกบันทึกในตำรา กระตุ้นให้ถ้ำเกลือบำบัดกลับฟื้นคืนชีวิตขึ้นมาอีกครั้ง
และเมื่อช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 นายแพทย์ชาวเยอรมัน คาร์ล เฮอร์มันน์ สแปนนาเกล ได้พบว่าผู้ป่วยทางเดินหายใจซึ่งลี้ภัยอยู่ในถ้ำเกลือมีอาการดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ยิ่งย้ำเตือนประโยชน์ของถ้ำเกลือต่อสุขภาพอย่างชัดเจน
จากพัฒนาการแต่ละช่วงเวลาเหล่านี้ ปัจจุบันเกลือบำบัดจึงกลายมาเป็นบริการมาตรฐานในสปาหลายแห่งทั่วทั้งยุโรปและอเมริกา
เกลือบำบัด ในเมืองไทย
เกลือบำบัดถือเป็นเรื่องค่อนข้างใหม่ในเมืองไทย โดยถ้ำเกลือแห่งแรกเกิดขึ้นเมื่อปี 2009 ในยุคที่ไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่ระบาด หากใครนึกหน้าตาไม่ออกล่ะก็ ลองจินตนาการถึงช่องฟรีซของตู้เย็นที่มีน้ำแข็งเกาะหนาแน่น ภาพที่คุณเห็นนั่นล่ะค่ะ ถ้ำเกลือจำลอง
ถ้ำเกลือจำลองนี้ทำขึ้นจากเกลือสินเธาว์บริสุทธิ์ 100 เปอร์เซ็นต์สำหรับใช้ในทางการแพทย์ หรือเรียกว่าฟาร์มาซอลท์ (Pharma salt) เป็นห้องปลอดเชื้อที่มีประจุลบความเข้มข้นสูง อุณหภูมิอยู่ระหว่าง 20-26 องศาเซลเซียส และมีความชื้นระหว่างร้อยละ 40-50 มีหัวใจสำคัญคือ เครื่องสร้างบรรยากาศระดับอณู อันเป็นเทคโนโลยีขั้นสูงสำหรับสร้างบรรยากาศเสมือนในถ้ำเกลือจริง
โดยเครื่องสร้างบรรยากาศระดับอณูนี้ จะพ่นละอองเกลือขนาดจิ๋วเพียง 1-5 ไมครอนให้เราสูดดม อณูเกลือจะค่อยๆ แทรกซึมเข้าสู่ทุกส่วนในระบบทางเดินหายใจ จากนั้นจะสกัดแยกสิ่งแปลกปลอมขนาดเล็กต่างๆ ให้หลุดออก ก่อนถูกกำจัดทิ้งผ่านการไอ จาม รวมทั้งทางเสมหะ เหมือนเป็นการดีท็อกซ์ระบบทางเดินหายใจ ให้สะอาดและทำงานได้ดีขึ้น ส่งผลให้ระบบอื่นๆ ในร่างกายทำงานได้ตามปกติ รวมทั้งระบบภูมิคุ้มกันด้วย
ที่มา : นิตยสาร HEALTH CUISINE ขอบคุณค่ะ