นักธรรม
ห้องสมุด "นักธรรม" => หนังสือ => ข้อความที่เริ่มโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 2/10/2012, 10:33
-
บันทึก
กฏแห่งกรรมยุควิทยาศาสตร์
แปลและเรียบเรียงโดย ศุภนิมิต
คำนำ
ระยะหลังหลายปีมานี้ ข้าพเจ้าไม่ใคร่จะทำหนังสือเกี่ยวกับกฏแห่งกรรม
เหตุผลประการที่หนึ่ง ก็ด้วยเห็นว่า มีหนังสือประเภทนี้มากมายแล้วในตลาดหนังสือทั้งทางโลกและทางธรรม
ประการที่สอง ก็ด้วยจากการประเมินผล พิจารณาเห็นว่าผู้ที่ชอบอ่านหนังสือประเภทนี้ ส่วนใหญ่จะเพลิดเพลินไปกับเรื่องราวบทตอนที่น่าเร้าใจของท้องเรื่อง
แม้ท่านผู้อ่านจะได้ข้อคิดจากกฏแห่งกรรมตามเรื่องราวนั้น ๆ บ้าง ซึ่งมีผลทำให้ได้ระงัยยับยั้งการกระทำผิดบาปของตนได้บ้าง แต่มีข้อเสียคือ อ่านแล้ว "ติด" ติดหนังสือประเภทนี้เหมือนติดนวนิยาย หนังสือธรรมะในเชิงคติพจน์ พระคัมภีร์ ธรรมสาระต่าง ๆ หากกองรวมกันไว้กับหนังสือกฏแห่งกรรม คนส่วนใหญ่ชอบที่จะหยิบอ่านกฏแห่งกรรมก่อนเล่มอื่นใด ทำให้คิดว่า "นี่เรากำลังมอมเมาเขา" ให้หลงอยู่ในกระแสสังสารวัฏฏ์ หรือ "กำลังตรึงเขาไว้" ในภาวะของผู้รู้ตื่นเพียงขีดขั้นของผู้สำนึกรู้ว่า "กฏแห่งกรรมมีจริงเท่านั้น" "องค์สมเด็จพระกตธิการ บรมอริยธรรมราชเจ้า ผู้เฒ่าน้ำใส" (น้ำใสบรมอริยะ) โปรดตักเตือนชาวเราอยู่เสมอว่า
"บำเพ็ญธรรม บำเพ็ญใจ"
"บำเพ็ญใจให้เข้าถึงวิถีอนุตตรธรรม"
"ให้เข้าถึงภาวะจิตใสใจสว่างแห่งตน"
แน่นอน ภาวะนั้นก็มิใช่ "ติด" อยู่แค่เรื่องราวของ "กฏแห่งกรรม" แต่ครั้งนี้ ข้าพเจ้าขัดไม่ได้ที่จะต้องแปลเรียบเรียง "กฏแห่งกรรมในยุควิทยาศาสตร์" เล่มสองตามมา เนื่องจากท่านเจ้าของเค้าโคลงเรื่องคือ อาจารย์โง้วกิมเพียว ซึ่งสนิทรักใคร่ประหนึ่งพี่น้อง ท่านเขียนเรื่องไทย ๆ เป็นจีน ลงหนังสือพิมพ์จีน เป็นที่นิยมชมชอบของชาวจีนเป็นอันมาก ชาวจีนก็ใคร่จะให้ลูกหลานที่อ่านหนังสือจีนไม่ออกได้รู้เรื่องราวบทเรียนเหล่านี้บ้าง เรื่องไทย ๆ จึงต้องแปลจากจีนมาเป็นไทยอีกคำรบหนึ่ง ดังนี้ ข้าพเจ้ายังตั้งความหวังไว้ว่า หนังสือกฏแห่งกรรมจะเป็นเพียงบันไดขั้นแรกที่ช่วยปลุกท่านให้ตื่นขึ้นจากการใช้ชีวิตตามความเคยชินทางโลก แต่เมื่อท่านตื่นขึ้นจากทางโลกแล้ว ขอท่านจงโปรดทอดสายตาให้ลึกซึ้งกว้างไกลไปถึงหลักสัจธรรมวิถีจิตเพื่อการบรรลุธรรม อันเป็นเป้าหมายสูงสุดของชาวเราผู้ยินดีในการปฏิบัติบำเพ็ญจริง ข้าพเจ้าก็จะไม่ต้องผิดต่อความรู้สึกที่ว่า "กำลังมอมเมาหรือตรึงท่านไว้" ขอท่านทั้งหลายจงเจริญธรรม
ด้วยความปรารถนาดีเป็นที่ยิ่ง
ศุภนิมิต
-
สารบัญ
๐๑. ตายหลายครั้ง
๐๒. อัมพาต
๐๓. มีดพันรอย
๐๔. สายสัมพันธ์
๐๕. วิญญาณทวงหนี้
๐๖. คนบุญภาคตะวันออก
๐๗. มาทางไหน - ไปทางนั้น
๐๘. หมู่บ้านโจร
๐๙. ฟ้าไม่เปลี่ยน
๑๐. กลับชาติมาเกิด
๑๑. แรงบุญทาน
๑๒. ขัดข้อง
๑๓. สถานธรรมบนรถยนต์
๑๔. อาศัยใช้ร่าง
๑๕. สามหมอ
๑๖.คนขายปลาจีน
๑๗. กรรมพันธุ์
๑๘. อุดตัน
๑๙. ยาเบื่อ
๒๐.ยาบ้า
๒๑. คนอิสาน
๒๒. ดูหนัง
๒๓. คน - ควาย
๒๔. เฮียซุ้ง
-
ตายหลายครั้ง : บ่ายวันอาทิตย์วันหนึ่ง ซ้อฮุยกับลูกสาวที่ถือม่าย ขับรถมารับข้าพเจ้าให้ไปเป็นเพื่อนที่คลองใหม่ เพื่อขอให้มหาราชเจ้าโปรดชีั้แนะว่า เฮียฮุยที่ป่วยหนักอยู่จะตายเมื่อไร
เหลวไหลแท้ มีแต่จะถามว่าเมื่อไรจะหาย แต่นี่ถามว่า เมื่อไรจะตาย ระหว่างทางบนรถ ซ้อฮุยรู้ว่าข้าพเจ้าค้างใจ จึงอธิบายว่า "เฮียฮุยนอนป่วยมาสิบเอ็ดปีแล้ว เสียค่ารักษาไปหลายล้าน ใกล้จะหมดเนื้อหมดตัวอยู่แล้ว เขาก็ยังไม่ดีขึ้นเลย สามครั้งที่ทำท่าจะไป เช็ดตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ พอข้ามคืนก็กลับฟื้นขึ้นมาอีก ขณะนั้นกำลังแน่นิ่งเหมือนตายเป็นครั้งที่สี่อยู่ ไม่รู้จะเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ไหม" ซ้อฮุ้ยได้ยินมาว่า มหาราชเจ้าองค์นี้ศักดิ์สิทธิ์นัก จึงขอให้ข้าพเจ้านำทางไปกราบเรียนถามกำหนดวันตาย แต่ภถ้ายังไม่ตาย เร็ว ก็ขอให้ท่านช่วยนำวิญญาณไปด้วย จะได้ไม่ต้องทุกข์ทรมานต่อไป ผมเคยไปเยี่ยมเฮียฮุยหลายครั้ง ระหว่างสิบกว่าปีมานี้ ทุกครั้งที่เห็นเขาทุกข์ทรมาน ก็อยากให้เขาตาย ๆ ไปเสียเหมือนกัน อย่างน้อยเนื้อหนังร่างกายจะได้หลุดพ้นจากการเจ็บปวด พอมาถึงศาลเจ้า เป็นเวลาช้ากว่าคนอื่น ๆ ตั้งร้อยกว่าคน ทุกวันอาทิตย์ มหาราชเจ้าฉีเทียนจะประทับทรง โปรดรักษาโรคภัยไข้เจ็บพิศดารพันลึกแก่ผู้มีอันเป็นทั้งหลาย สำหรับเรื่องทรงเจ้า แต่ไหนแต่ไรมา ข้าพเจ้าไม่เคยลบหลู่แต่ก็ไม่ปักใจเชื่อ เคยเขียนอุทาหรณ์จากนักธรรมผู้ใหญ่ไว้เตือนใจตนว่า "เชื่อว่ามีผีสาง เคารพสิ่งศักดิ์สิทธิ์เทพยดา กราบไหว้บูชาพระพุทธะ เจริญรอยอย่างพระอริยะเจ้า" เหล่านี้ ดูอย่างกับใกล้เคียงบกัน แต่แท้จริงแล้วต่างกัน จะต้องใช้ปัญญาไปจำแนก จะต้องอ่านพระโอวาทให้มาก ใกล้ชิดผู้เจริญธรรมให้มาก ความคิดจิตใจตนให้สว่างกว้างใหญ่เที่ยงตรง อยู่ลำพังต้องไม่พลั้งผิด ไม่คิดฟุ้งซ่านโลภมาก ไม่วางแผนชั่วร้าย จึงจะไม่ถูกผีสางอำพรางให้ใจหลง เรามาถึงช้า เลขทะเบียนลำดับร้อยกว่า จะต้องรอคิวอีกนาน ข้าพเจ้าคิดถึงคำพังเพยที่ว่า "กฏหมายไม่ไกลมนุษย์สัมพันธ์" ขึ้นมาได้ จึงแผลงเสียว่า "เซียนพุทธะก็ว่าด้วยมนุษยสัมพันธ์" เช่นกันได้ จึงขอให้ธุรการศาลเจ้าช่วยลัดคิวให้หน่อย ข้าพเจ้าเองนั่งดื่มกาแฟรออยู่ข้างนอก สักครู่เดียว แม่ลูกทั้งสองก็หน้ามุ่ยหน้าหมองออกมา กวักมือเรียกข้าพเจ้าไปขึ้นรถ "ท่านว่าอย่างไร" ข้าพเจ้ารีบถาม ซ้อฮุยอัดอั้นตันใจตอบว่า "เขายังใช้หนี้กรรมไม่หมด ไม่ตา่ยง่าย ๆ ยังจะต้องทรมานอีกต่อไป ให้เงินทองฉิบหายอีกหน่อย เขาจึงจะปล่อยให้ตาย" "เราคงแย่แน่" ลูกสาวที่ขับรถอยู่พูดเสริมแล้วว่า"ทรัพย์สมบัติจะหมดเกลี้ยงแล้ว ยังจะยึดเวลา..." ข้าพเจ้าฟังน้ำเสียงสองแม่ลูกแล้วรู้สึกทะแม่ง ๆ เขาห่วงใยเงินทองมากกว่าผู้ป่วย ชั่วชีวิตของเฮียฮุย ดิ้นรนเหนื่อยยากทำมาหากินตัวเป็นเกลียว เพื่อเลี้ยงดูครอบครัว ทำอาชีพทุกอย่าง แม้แต่สุดท้ายคือฆ่าเป็ดขาย แรกเริ่มฆ่าวันละสิบกว่าตัว ต่อมาก็เป็นวันละหลายสิบตัว ปรุงกลิ่นรสเป็นเป็ดพะโล้ ขี่มอเตอร์ไซค์ไปขายที่ชานเมือง เป็ดพะโล้ของเขากลิ่นรสดีเยี่ยม จึงขายดิบขายดีเป็นเทน้ำเทท่า จากบรรทุกด้วยรถจักรยานยนต์ ก็เปลี่ยนเป็นรถกระบะ จนกระทั่งใช้รถหกล้อบรรทุกไปส่ง ได้ยินมาว่า เป็ดพะโล้ที่ตั้งชื่อของแม่อะไรพ่ออะไร ที่มีร้านมีแผงขายริมถนนชานเมืองเกลื่อนกลาดนั้น แท้จริงเป็นความคิดเริ่มต้นของเฮียฮุย ทำเลที่ชานเมืองรถราผ่านไปมามากมาย แผงขายจะมีม้านั่งหนึ่งตัว ตู้กระจกหนึ่งใบแขวนเป็ดพะโล้สิบกว่าตัว ซึ่งผู้ขายไม่ต้องลงทุนอะไรเลยก็ค้าขายได้ ค่ำแล้วขายไม่หมดก็ยังรับคืน ผู้ค้าสำเร็จรูปที่ไม่ต้องลงทุน วันหนึ่งหากขายได้สิบกว่ายี่สิบตัว ก็จะได้กำไรหลายร้อยบาท นับว่ากำไรงามทีเดียว เมื่อแผงเป็ดพะโล้มมีมากขึ้น ผู้ขายก็หาทางเรียกร้องความสนใจ โดยขึ้นป้ายใส่ชื่อน่านิยมว่า "ก๊วยเจ๋งเป็ดพะโล้" "อั่งซิกกงเป็ดพะโล้" "จั่นเจาเป็ดพะโล้" "เปากงเป็ดพะโล้" และชื่อนิยมอื่น ๆ เพียงเวลาไม่กี่ปี เฮียฮุยร่ำรวยเหลือเฟือ ซื้อที่ซื้อบ้าน ลูก ๆ ก็ได้เรียนสถาบันการศึกษาชั้นดี ภายหลังมีคนเอาอย่างธุรกิจนี้ของเฮียฮุย แย่งชิงพื้นที่ค้าขายส่งเป็ดให้ถีงแผง เก็บเงินทีหลัง ให้กำไรมากกว่า หลายวันแรก ผู้ค้ารับเป็ดจากโรงงานใหม่ แต่พอสามวันห้าวันผ่านไป ก็พากันกลับมารับเป็ดของเฮียฮุยตามเดิม สาเหตุก็คือ เป็ดของคู่แข่งรายใหม่อยู่ได้ไม่ถึงเย็นก็เริ่มมีกลิ่น โดยเฉพาะหน้าร้อน บางครั้งพอตกเย็น เป็ดยังมีกลิ่นเหม็นคลุ้ง มีหนอนชอนไชเสียอีก แต่เป็ดของเฮียฮุยอยู่ได้สามวันสองคืนไม่เปลี่ยนกลิ่น นี่เป็นเคล็ดลับผลิตที่ไม่มีใครรู้ แต่ ไม่มีความลับใดในโลกที่ไม่ถูกเปิดเผย โดยเฉพาะเคล็ดลับเพื่อการผลิตเงิน ในทึี่สุด สูตรของเฮียฮุยก็ถูกเขาเอาไปใช้ อาหารทั่วไปที่เก็บไว้ได้ทนนาน ส่วนใหญ่จะใส่สารกันบูด แต่ก็มีกำหนดเวลา แต่นี่เฮียฮุยเล่นใช้สารฟอร์มาลีนฉีดศพ ! เรือหาปลาสมัยก่อน ทุกครั้งที่ออกทะเล จะต้องบรรทุกน้ำแข็งไปครึ่งลำเรือ เพื่อแช่กุ้งปลาที่จับมาได้ สมัยนี้ ชาวประมงเอาน้ำยาแช่ศพติดเรือไปไม่กี่กิโลกรัม ก็ช่วยรักษาเนื้อกุ้งปลาเต็มลำเรือไว้ได้เป็นอาทิตย์ไม่เน่าเหม็น เนื้อสัตว์ต่าง ๆ ที่วางขายกันในตลาด ก็ใช้วิธีนี้กันแทบทั้งนั้น คนกินเนื้อสัตว์สมัยนี้ จึงมีอันตรายจากการสะสมน้ำยาฉีดศพ อาบศพ ดองศพ เอาไว้ในตัว พอมีคนใช้สูตรรักษาเนื้อเป็ดอย่างเดียวกับเฮียฮุยเท่านั้น รายได้จากการค้าเป็ดของเขาก็ตกฮวบ แต่เขาก็ได้เงินจากการค้านี้มาจำนวนมหาศาลแล้ว อีกทั้งเขาก็ได้สร้างบาปเวรกับชีวิตเป็ดมามากมายนับไม่ถ้วนตัวแล้วด้วย ในระหว่างการค้าเป็ดพะโล้ของเฮียฮุยกำลังรุ่งถึงที่สุดนั้น เขาได้คิดค้นเครื่องฆ่าเป็ด เครื่องถอนขนเป็ด เครื่องผ่าท้องเป็ด เพื่อทุ่นแรงรวมสามอย่าง ในวันหนึ่ง เครื่องเหล่านี้สามารถประหารและจัดการกับเป็ดได้ถึงสามสี่พันชีวิต ซึ่งเท่ากับปีละเป็นล้านชีวิต หนี้ชีวิตนี้จะจ่ายได้โดยง่ายอย่างไรกัน เฮียฮุยจึงต้องแน่นิ่งแล้วฟื้นขึ้นมารับการทรมานต่อไป เท่ากับตายหลายครั้ง แต่ยังตายไม่ได้สักที หากท่านผู้อ่านเคยชมเทปบันทึกภาพการฆ่าสัตว์ ที่ชื่อว่า "ชีวิตร่ำไห้" ท่านจะยิ่งเข้าใจความตายอย่างทุรนทุรายอันสาหัสสากรรจ์ของเฮียฮุยได้อย่างถึงแก่นใจทีเดียว
-
อัมพาต : คุณวิเชียร เกษียณจากธนาคารแล้ว หมู่นี้กำลังตามหาข้าพเจ้า จนกระทั่งเมื่อวันก่อน จึงได้พบกันโดยบังเอิญที่มาเลเซีย
เหตุที่คุณวิเชียรร้อนใจใคร่พบข้าพเจ้าก็คือ เขาได้ยินมาว่าข้าพเจ้าเคยแนะนำให้คนเป็นอัมพาตรับประทานอาหารยาที่เรียกว่า "ไข่น้ำส้มสรรพคุณพิเศษ" ซึ่งทำให้ร่างกายฟื้นฟูได้ดีมาก จึงเร่งร้อนจะเรียนรู้วิธีการทำ และสูตรวิฑธีการใช้รักษาจากข้าพเจ้า คุณวิเชียรบอกว่าเพื่อนรักของเขาซึ่งข้าพเจ้าก็รู้จัก สองสามีภรรยาเป็นอัมพาตมาสองปีกว่าแล้ว อยากให้ข้าพเจ้าไปเยี่ยมเขาด้วยกัน อีกทั้งช่วยแนะนำการรักษาด้วยวิธีดังกล่าว ข้าพเจ้าอธิบายวิธีการทำ "ไข่น้ำส้มสรรพคุณพิเศษ" ให้คุณวิเชียรเข้าใจจนแจ่มแจ้ง บอกให้จัดการตามนี้ ข้าพเจ้ามีธุระรัดตัว ไม่อาจไปเยี่ยมพร้อมกับคุณวิเชียร แต่คุณวิเชียรก็เพียรพยายามขอร้องจะให้ไปด้วยให้ได้ โดยให้เหตุผลว่า "ตำรายาบอกต่อกันสามหน คนกินอาจตาย" หมายความว่าอาจผิดพลาดไปจากเดิม แต่ข้าพเจ้าผู้บอกต่อรู้ว่า ไม่ได้หมายความอย่างที่อ้าง แต่เป็นเพราะคุณวิเชียรทำงานธนาคารมานาน ทำอะไรก็เป็นระเบียบไปหมด โดยเฉพาะที่เขาว่า "แนะนำให้เขากินอาหารได้ แต่ไม่ให้แนะนำยา" เพราะถ้าแนะนำยา เกิดยาไม่ถูกกับโรค เป็นอะไรไปเราต้องรับผิดชอบ สามีภรรยาคู่นี้มีชื่อว่า นายวันกับนางสายหยุด อายุยังไม่ถึงห้าสิบปี ข้าพเจ้ารู้จักเขาจากการแนะนำของคุณวิเชียร เริ่มจากเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน เมื่อครั้งที่คุณวิเชียรยังเป็นผู้จัดการธนาคารพาณิชย์แห่งหนึ่ง ซึ่งทุกวัน จะต้องส่งพนักงานเก็บเงินของธนาคาร ออกไปเก็บบัญชีตาามร้านซีฟู้ดแถวชายทะเลปากน้ำ ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยว ร้านซีฟู้ดที่ขึ้นชื่อและขายดีที่สุดแถบนั้นก็คือ ร้านของนายวันกับนางสายหยุด ชื่อร้านว่า "นายวันทะเลเผา" ลูกค้าแน่นขนัดทุกวัน โดยเฉพาะวันอาทิตย์แทบไม่มีที่ให้นั่ง บ่ายวันหนึ่ง คุณวิเชียรชวนข้าพเจ้าไปเก็บบัญชีธนาคารด้วยกัน พร้อมกับถือโอกาสอิ่มอร่อยกับอาหารทะเลสักมื้อ ข้าพเจ้าพูดกับคุณวิเชียรว่า "นายวันมีเงินเข้าธนาคารมากมายอย่างนี้ทุกวัน ไม่กี่ปีคงรวยน่าดู" คุณวิเชียรตอบว่า "หยี่เฮียอย่ายินดีแทนเขาเลย ลองดูกล้ามเนื้อบนใบหน้าสองสามีภรรยาสิ มันเต้นตุบ ๆ ตลอดเวลา เหมือนกุ้งหอยที่กำลังย่างไฟ มันชักกระตุกอย่างเดียวกันหมดเลย" คุณวิเชียรว่าอย่างนี้ ทำให้ข้าพเจ้าสะท้าน เกิดความรู้สึกไม่อยากกินเนื้อสัตว์อีกเป็นครั้งที่สอง (เป็นอุทาหรณ์บอกเหตุว่าจะไม่กินเนื้อสัตว์ต่อไปเป็นครั้งที่สอง ครั้งที่หนึ่งคือ ครั้งที่ร่วมเก็บศพไม่มีญาติกับมูลนิธิสงเคราะห์แห่งหนึ่ง เมื่อขุดพบศพที่เพิ่งตายไปไม่นานศพหนึ่ง ซึ่งวงการนี้เขาให้ชื่อว่า "สินค้าสด" วิธีเก็บศพสภาพนี้คือ ใช้น้ำมันราดแล้วเผา ซึ่งกลิ่นจากการเผานั้นเหมือนกลิ่มหมูหันย่างสดจากภัตตาคารอย่างไรอย่างนั้นเชียว) เมื่อคุณวิเชียรว่าอย่างนั้น ข้าพเจ้าจึงต้องเข้าไปดูกรรมวิธีเผาทะเลในครัว จึงได้รู้ว่า ความหอมหวา่นของเนื้อจารกทะเลที่ลือกระฉ่อนด้วยฝีมือนายวันกับภรรยานั้น เขากันทำอย่างไร ... กุ้ง หอย ปู ปลาทั้งหมดตื่นตัว เป็นชีวิตที่ยังโลดแล่นทั้งนั้น เมื่อจะย่าง เขาใช้ไม้ย่างหรือเหล็กแหลมแทง ถ้าเป็นปูก็ปักอก วางบนเตาปิ้งทันที อย่างนี้ ก้ามปูขาปูจะอยู่ครบไม่หลุด ส่วนปลาเป็น ๆ นั้น เขาเลี้ยงไว้ในน้ำ คำนวณว่าวันนี้จะขายกี่ตัว จำนวนปลาทุกตัวนั้น เขาสับหางปลาออกส่วนหนึ่งแล้วใส่ไว้ในบ่อรอฆ่าต่างหาก ปลาถูกสับหาง มันเจ็บปวดจึงทุรนทุรายกระโดดดิ้น เหมือนกำลังฟิตกล้ามเนื้อโดยปริยาย เมื่อเอามาย่างจึงเนื้อเหนียวนุ่มกว่า เมื่อได้เห็นแดนประหารกับเมรุเผาศพชีวิตทะเลแล้ว ได้พิจารณาหน้าตานายวันกับภรรยา แน่ชัดมาก กล้ามเนื้อบนใบหน้าของเขาทั้งสองกระตุกไม่หยุด ทำให้ใจสะท้านชอบกล ! หลังจากครั้งนั้นแล้ว ข้าพเจ้าไม่เคยไปร้านนายวันอีกเลย ได้ยินว่าขายดีมากเงินทองไหลมาเทมา ไม่นานได้ยินว่าเขาย้ายร้าน อีกทั้งสร้างคฤหาสน์ มีเงินเก็บในบัญชีธนาคารนับล้าน สองสามีภรรายาอายุสี่สิบยังไม่มีผู้สืบสกุล เป็นเหตุให้หมางใจกันบ่อย ๆ ซึ่งนายวันมักจะอ้างเหตุว่า ไม่มีทายาทสืบสกุล ไม่มีผู้รองรับสมบัติพัสถาน จะหาอนุภรรยาสักคน นี่เป็นวิสัยของปุถุชน อิ่มนักมักเริงกาม เงินทองอิ่มตัว คิดมั่วกาม แต่นางสายหยุดไม่ยอมอยู่ใต้อำนาจนายวัน ประกาศชัดเจนว่า ถ้านายวันมีภรรยาน้อยเมื่อไร จะต้องถูกมีดเสียบอกย่างสดอย่างปูทะเลที่ทำกันอยู่ทุกวันนี้ นางสายหยุดเป็นคนเอาจริง จากนั้นมา เธอหามีดปลายแหลมเล่มใหญ่ไว้ใกล้มือ ให้นายวันรู้ว่า "อย่าให้จับได้เชียว" นายวันได้แต่ถอนใจ เสียดายความร่ำรวยของตนเอง จากนั้นมา เวลาผ่านไปสิบกว่าปี คุณวิเชียรย้่ายที่ทำงาน ส่วนข้าพเจ้าก็มีงานเดินทางไปทั่ว จึงไม่รู้ข่าวคราวสองสามีภรรยาอีก จนกระทั่งเพิ่งพบกับคุณวิเชียรที่ปีนังครั้งนี้โดยบังเอิญ จึงได้รู้ว่า สองสามีภรรยาเป็นอัมพาตครึ่งตัวไปสองสามปีแล้ว คุณวิเชียรเพิ่มเติมให้ฟังว่า แม้นางสายหยุดจะคุมสามีเต็มที่ถึงกับจ้างนักสืบติดตามเมื่อนายวันออกนอกบ้าน แต่ราคะปรารถนาหาได้จนหนทางไม่ นายวันแอบลักลอบกับหญิงเสิร์ฟในร้านมาหลายปี โดยนางสายหยุดยังคงกระหยิ่มใจในความ "แน่" ของนางที่คุมนายวันอยู่ได้ เวลาผ่านไป ทุกอย่างผันไป วันที่นางสายหยุดรู้ความลับของสามี ก็คือขณะที่ต้องนอนเคลื่อนไหวไม่ได้ไปครึ่งตัวแล้ว แรงที่จะยกมีดขึ้นปักอกนายวันก็ไม่มี นายวันเองก็นอนอยู่ข้าง ๆในสภาพเดียวกัน ทั้งสองนอนน้ำตาพราก ยากจะเอ่ยปากบอกกล่าวถึงความทุกข์ระทมขมขื่นที่ต้องยอมรับ ยังดีที่นางน้อยหญิงเสิร์ฟในร้านมีมโนธรรมน้ำใจ พาลูกหญิงชายที่เกิดจากนายวันมาขอขมานางสายหยุด แดละดูแลรับใช้แม่ใหญ่ใกล้ชิด ทุกอย่างถ้าทำใจไม่ได้ ก็ต้องกลืนไม่เข้าคลายไม่ออก เจ็บปวดเหมือนมีดปักอกปูอยู่อย่างนั้น ครั้งนี้ เมื่อเราไปถึงปากน้ำ เห็นร้าน "นายวันทะเลเผา" ซึ่งบัดนี้กลับกลายเป็น "ทะเลเผานายวัน" ไป ทุกอย่างเสื่อมโทรม สองสามีภรรยา นอนรับสภาพอยู่คนละเตียงเคียงกัน เมื่อเห็นข้าพเจ้ากับคุณวิเชียรมาเยี่ยม ทั้งสองได้แต่ยกมือข้างเดียวทักทายสวัสดี พูดไม่ออก ได้แต่น้ำตาไหลพราก เราทั้งสองช่วยกันปลอบใจ ช่วยกันให้กำลังใจว่า มีอาหารยาวิเศษ คือ ไข่น้ำส้มที่รักษาอัมพาตหายกันมาแล้วนักต่อนัก... ออกจากบ้านนายวัน คุณวิเชียรถามข้าพเจ้าว่า ดูสภาพแล้วคิดว่ารักษาได้ไหม ข้าพเจ้าตอบตรง ๆ ว่า "ไม่มีทาง" แม้ไข่น้ำส้มฯ จะสัมฤทธิ์ผลต่อโรคต่าง ๆ เป็นอย่างดีโดยเฉพาะอัมพาต ซึ่งทางต้นตำรับที่มณฑลเฮยหลงเจียงประเทศจีนแนะนำมา แต่นายวันกับภรรยาไม่ใช่เป็นอัมพาตธรรมดา ข้อนิ้วมือนิ้วเท้าเริ่มหลุดหลวมออกจากกันแล้ว แม้จะมีเนื้อหนังหุ้มอยู่ แต่ก็ขยับไม่ได้ ฉะนั้น ไข่น้ำส้มจึงไม่มีผลต่อการรักษา ที่ีให้กันได้ก็เพราะไม่มีผลเสียหรือผลข้างเคียง อีกทั้งเป็นดำลังใจแก่ผู้ป่วย เป็นน้ำใจจากคุณวิเชียร ภายหลังได้ยินมาว่า ก่อนที่สองสามีภรรยาจะตาย กระดูกทุกข้อในร่างกายของเขาหลุดออกจากกันหมด ยกแขนขาไม่ได้เลย อีกทั้งกล้ามเนื้อทั่วตัวยังกระตุกอยู่ทุกเวลา เหมือนกุ้งปลาเนื้อเต้นขณะถูกย่างสดอย่างนั้น ที่แปลกคือ ทั้งสองนอนตายในลักษณะตัวงอโก่งเหมือนกุ้งถูกเผา ชัดจริงมากถ้าหากพิจารณากฏแห่งกรรม
-
มีดพันรอย : คุณลุ้ย เพิ่งอายุได้หกสิบเอ็ดปีก็ตายเสียแล้ว เขาเคยเป็นผู้จัดการชมรม "น้ำชาเที่ยงวัน" ของพวกเรา เราจึงร่วมกันจัดงานศพให้
ข้าพเจ้าเป็นสมาชิกชมรม งานนี้ทำหน้าที่รับ - จ่าย รับเงินช่วยจากไหน ๆ จากใคร ๆ อยู่หลายคืน ผู้ตายมีสมญาว่า "มีดพันรอย" ข้าพเจ้าเพิ่งย้ายมาอยู่ที่อำเภอนี้ไม่นาน ไม่ค่อยรู้ประวัติความเป็นมาของบุคคล ฉะนั้น พอมีเวลาจึงแอบขอรายละเอียดจากเฮียปุ๊ยที่เป็นผู้จัดการทั่วไปของชมรมฯ เฮียปุ๊ยก็ยินดีเล่าให้ฟังถึงสามคืน ขณะที่อยู่ในงานศพ ประวัติคุณลุ้ยผู้ตาย เคยเปิดร้านขายอาหารตามสั่ง ใหญ่ขนาดที่เรียกว่า ภัตตาคารได้ แต่ต่างจังหวัดเขาไม่เรียกว่าภัตตาคาร คนจีนแต้จิ๋วจะเรียกว่า "ร้านอาหารตั่วเจ้ง" "ตั่วเจ้ง"แปลว่า เบอะบะมะเทิ่ง ใหญ่แต่ไม่ทันสมัย อะไรทำนองนั้น ร้านอาหารตั่งเจ้งนี่ ตั้งแต่เชีอดไก่ ถอนขน ตระเตรียมอาหาร ปรุงอาหาร เสิร์ฟอาหาร เถ้าแก่และลูกเมียเหมาทำเองหมด ข้อดีของภัตตาคารหรือร้านอาหารตั่วเจ้งนี้ มีอาหารตารมสั่งเพียบพร้อมทุกเวลา และราคาไม่แพง คืนหนึ่ง ร้านอาหาร แผงลอย รถเข็นขายอาหารอื่น ๆ เก็บกันหมดแล้ว ร้านคุณลุ้ยก็เช่นกัน แต่แขกประจำหลายคนกลับพากันมากินข้าว บอกว่าเพิ่งกลับมาจากต่างจังหวัด ขอให้จัดอาหารมากินกัน โดยเฉพาะอาหารจานเด็ดของร้านคือ "หน่อไม้ผัดเนื้อไก่" แต่เวลานี้เนื้อไก่หมดแล้ว เถ้าแก่เนี้ยซึ่งควบตำแหน่งแม่ครัวด้วย เสนอว่าให้ใช้เนื้อหมูแทน แต่แขกผู้สั่งอาหารยืนยันจะกินเนื้อไก่ แม่ครัวจึงต้องเรียกให้เถ้าแก่คือคุณลุ้ย เข้าไปหลังร้านจัดการฆ่าไก่มาให้ คุณลุ้ยไม่พูดพล่ามทำเพลงตรงไปที่เล้าไก่ จับขาแม่ไก่ที่กำลังหลับสบายขึ้นมาได้ ก็เฉือนออกมาทั้งน่องทันที มิไยว่าแม่ไก่จะร้องเสียงหลงด้วยความเจ็บปวดและตกอกตกใจเพียงไร ได้เนื้อไก่มาแล้ว ทุกคนกินกันเปรมแล้ว โดยไม่รู้ว่าแม่ไก่ตัวนั้น มันทุกข์ทรมานแค่ไหนไปจนถึงรุ่งเช้า รุ่งเช้า ลูกสาวคุณลุ้ย อยากกินน่องไก่ทอด ลูกบังเกิดเกล้าประสงค์อะไรพ่อก็ต้องจัดการให้ คุณลุ้ยเห็นว่า แม่ไก่ขาเดียวยังไม่ตาย มันงุดหัวงอตัวครวญครางอยู่ในเล้า แทนที่เขาจะสงาสารเวทนา กลับคว้าขาอีกข้างหนึ่งของแม่ไก่ขึ้นมา เฉือนสด ๆ อย่างเมื่อคืน ลูกสาวกินน่องไก่ทอดแล้วก็ไปโรงเรียน ทุกอย่างดูเป็นปกติธรรมดา บ้านเมืองเจริญขึ้นตามกาลเวลา ผู้คนแน่นหนาไปมาขวักไขว่ "ร้านอาหารตั่วเจ้ง" ของคุณลุ้ยยิ่งเลื่ีองชื่อลือชา คนระดับสูง ระดับธรรมดา ต่างพากันมาอิ่มเอม ความสามารถที่ไม่ต้องฆ่าไก่ให้ตาย แต่ก็ได้นจ่องไก่มาทอด เป็นวิฑธีการเหี้ยมโหดมากของคุณลุ้ย ยิ่งกว่านั้น ยังมีวิธีการแล่เนื้อปลาดิบสด ๆ เป็น ๆ อีก ที่คิดไม่ถึงว่าจะทำกันได้ลงคอ และจะกินกันได้ลงคอ ปลาเป็น ๆ สด ๆ คุณลุ้ยใช้ฝีมือแล่เนื้อให้เป็นแผ่นบาง ๆ ทั้งตัวทั้งด้านบนด้านล่าง หัวปลาอ้าปากพะงาบ ๆ คนกินก็คีบกินไป สนใจแต่ว่ามันสด มันหวาน อาหารจานนี้ที่ทำให้คุณลุ้ยได้ชื่อว่า "มีดพันรอย" ชั่วชีวิตของคุณลุ้ย ไม่เคยเข้าวัดเข้าศาลเจ้า เขาไม่เชื่อกฏแห่งกรรม ไม่เชื่ออำนาจลี้ลับ คิดว่าสัตว์ทุกชนิดเกิดมาเพื่อเป็นอาหารของคน เขาจึงคุยโวว่า "ฆ่าวันละร้อยตัว มือยังไม่อ่อน" คุณลุ้ยได้เงินมาจากอาหารพิสดาร มาไม่น้อย ได้สังคมกับลูกค้ามีระดับมากมาย ถึงกับได้รับเลือกให้เป็นผู้นำสมาคมและชมรมต่าง ๆ จึงยิ่งทำให้มั่นใจต่อความเชื่อของตัวเอง เมื่อคุณลุ้ยอายุได้สี่สิบห้าปี อยู่ดี ๆ เส้นเลือดหัวใจอุดตันส่งเข้าโรงพยาบาลผ่าตัดหัวใจ นี่เป็นครั้งแรกที่ "มีดนั้นคืนสนอง" แพทย์บอกว่า ถ้ามาช้าอีกนิดก็จะช่วยไม่ได้ ครั้งนี้ ใช้เวลาผ่าตัดไปถึงเจ็ดแปดชั่วโมง ซึ่งยังจะต้องตัดเอ็นที่ต้นขาซ้ายส่วนหนึ่งไปใช้ในการนี้ คุณลุ้ยต้องผ่าตัดหัวใจอีกครั้งหลังจากนั้นเพียงสองปี แพทย์บอกว่าน่าเป็นห่วง หลังจากนั้น การผ่าตัดหัวใจของคุณลุ้ยดูจะกลายเป็นงานประจำไป เว้นปีสองปีผ่า หรือผ่าปีละสองครั้ง ทั้งหมดผ่าไปสิบครั้ง ครั้งที่สิบเอ็ด แพทย์บอกว่าผ่าตัดไม่ได้อีกแล้ว เพราะมะเร็งลุกลามไปทั่วทรวงอกและช่องท้อง ไม่มีเนื้อที่ให้ผ่าอีกแล้ว อีกทั้งจะผ่าไม่ผ่า ผลเท่ากัน เมื่อแพทย์เจ้าของไข้ไม่ทำให้ จึงจำใจส่งไปโรงพยาบาลตำบลที่ลูกเป็นรองผู้อำนวยการอยู่ จัดการผ่าตัดเป็นครั้งสุดท้าย เพื่อบรรเทาความเจ็บปวดรวดร้าวอันแสนสาหัสนั้น ลูกชายตั้งใจผ่าตัดให้พ่อจนสุดฝีมือ อยู่ที่โรงพยาบาลเดือนกว่า กลับมาบ้านได้ครึ่งวัน ขณะกินข้าวต้มปลา ก้างปลาเกิดติดคอคุณลุ้ย คุณลุ้ยตาเหลือก สองมือไขว่คว้า สิ้นใจด้วยอาการน่ากลัว นี่คือเรื่องราวที่มาของสมญา "มีดพันรอย" ที่เฮียปุ๊ยเล่าให้ฟัง
-
สายสัมพันธ์ : ค่ำวันหนึ่ง ขณะที่ข้าพเจ้ากำลังชงชาอย่างปราณีตด้วยใบชาอย่างดี ดื่มกินกับเพื่อนที่มาเยี่ยมเยือนอยู่ พลันหัวหน้าคนงานก่อสร้าง ก็วิ่งมาบอกว่า
"เถ้าแก่ ๆ ผมทนดูเมียไอ้นิกรมันทำเกินไปไม่ได้แล้ว มันตีหัวไอ้นิกรแตกเย็บเจ็ดเข็มเพิ่งกลับมา ยังโกหกว่ามันโหม่งหัวใส่เหล็กอีก" "แล้วเราจะจัดการอย่างไรดีล่ะ" ข้าพเจ้าถาม "พวกผมคิดว่า จะรวบรวมเงินให้ไอ้นิกรเป็นค่ารถไปจากเมียมัน กลับไปอยู่อิสาน ไม่อย่างนั้น วันหนึ่งมันคงถูกเมียตีตาย" "ก็ได้ ฉันช่วยด้วยห้าร้อย ฉันก็ทนดูไม่ได้เหมือนกัน มันเกินไป" ข้าพเจ้าพูดพร้อมกับยื่นห้าร้อยบาทให้มัน "ตอนนี้ เมียมันไปเล่นไพ่ยังไม่กลับมา เงินทั้งหมดรวมกันห้าพันบาท ให้ไอ้นิกรรีบไป" หัวหน้าคนงานจริงจังมาก ข้าพเจ้าจึงคุยเรื่องสายสัมพันธ์หรือบุพเพสันนิวาสของสามีภรรยาคู่นี้ให้เพื่อนฟัง นิกรเป็นคนอิสาน หนีความแห้งแล้งมาหางานทำ เขาติดตามเพื่อนมาทำงานก่อสร้างถึงภาคใต้ ด้วยความที่ซื่อสัตย์ ขยัน ชอบเรียนรู้ จึงยกระดับจากจับกังเป็นช่างปูนในไม่ช้า เก็บออมเงินไว้ได้ก้อนหนึ่ง จึงเป็นที่พอใจของอีนางจับกังหญิง ทั้งสองอยู่กินกันจนได้ลูกสาว ซึ่งบัดนี้อายุได้ 6 - 7 ปีแล้ว อันที่จริงทั้งสองช่วยกันทำกิน ชีวิตก็ไปได้ดีอยู่ แต่ระยะหลังอีนางไปคบเพื่อนพนัน ทีแรกกลางวันทำงาน กลางคืนเล่นไพ่ ต่อมาเล่นมันทั้งกลางวันกลางคืน เล่นได้ก็ซื้อเหล้ายาปลาปิ้งมากินเล่นเสียก็ระบายใส่ไอ้นิกร สุดท้าย ไม่ว่าเล่นได้เล่นเสียก็ไม่กลับมา ถ้ากลับก็คือมาเค้นเอาเงิน ให้แล้วไม่พอก็ลงเหล็กลงไม้ นิกรตัวใหญ่แต่ใจไม่สู้ คืนวันหนึ่ง มีเสียงตบตีกันในบ้านพักคนงานดังมาจากห้องของนิกรอย่างเคย แต่ครั้งนี้ อย่างกับนิกรคงอดรนทนไม่ไหวแล้วเพราะเสียงถ้วยชามแตกกระจาย เสียงนิกรอัดว่า "ให้มันตายกันไปวันนี้เลย" เพื่อน ๆ คนงานแอบเชียร์กันใหญ่ บอกว่า "นี่สิจึงจะสมศักดิ์ศรี" วันรุ่งขึ้น นิกรกับอีนางออกจากห้องพัก เพื่อน ๆ เห็นนิกรบอบช้ำเขียวปูดไปทั้งตัว แต่อีนางทาแป้งแต่งหน้าเลิศ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเมื่อคืน ทุกคนเดาเหตุการณ์ได้ ต่างเดือดดาลนิกรนัก เมื่อคืนนิกรโดนหนักเพราะไม่มีเงินให้ จะเบิกล่วงหน้าไม่ได้อีกแล้ว จึงร้องบอดตนเองว่า "ให้มันตาย ๆ ไปเสียเลย" ครั้งสุดท้าย นิกรหัวแตกต้องเย็บเจ็ดเข็ม เพื่อนคนงานทนไม่ได้รวมเงินส่งนิกรลี้ภัยไปอิสาน ก่อนขึ้นรถ พอดีเฮียเหลียงช่างไม้ซึ่งทายทักได้แม่นยำเดินมาพอดี ทุกคนกำลังส่งนิกรและให้พรว่า "พ้นทุกข์พ้นภัยแล้ว" แต่เฮียเหลียงกลับโพล่งออกมาว่า "ยังไม่พ้น เพราะยังไม่สิ้นสายสัมพันธ์ มึงยังไปไม่รอดหรอก" ทุกคนคิดว่าเฮียเหลียงสัพยอก แต่... หนึ่งเดือนให้หลัง นิกรพาลูกสาวกลับมาหาทุกข์ภัยอีกจริง ๆ หน้าตานิกรเศร้าหมอง "สายสัมพันธ์ยังไม่สิ้น ใจถวิลพร่ำเพรียกเรียกหาเวร" กลับมาครั้งนี้ แม้จะถูกตบตีไม่รุนแรงนัก แต่ก็สามวันหนึ่งยกเล็ก ห้าวันหนึ่งยกใหญ่เป็นประจำ วันหนึ่ง เฮียเหลียงมาแสดงความยินดีต่อนิกรว่า "เอาละ คราวนี้จะหมดทุกข์หมดภัยแล้ว สายสัมพันธ์กับเมียแกจบสิ้นแล้ว" เป็นจริงดังว่า เมียนิกรหอบผ้าหอบผ่อนไปอยู่กับชายในบ่อนด้วยกัน ไม่ได้สนใจใยดีลูกผัวอีกเลย คนเราที่ได้อยู่ร่วมกัน ก็ด้วยสายสัมพันธ์ ไม่ว่าสัมพันธ์ดี สัมพันธ์ร้าย สัมพันธ์บุญ สัมพันธ์บาป คำโบราณว่า
เธอฉันรู้จักกันด้วยมีสายสัมพันธ์
สื่อส่งยิ้มแก่กันคือมนุษยสัมพันธ์
ให้ทานยินดีแก่กัน คือปลูกบุญสัมพันธ์
เธอผิดต่อฉัน เป็นสัมพันธ์ที่น่าเสียดาย
เธอฝืนขัดทำลาย ฉันได้สลายเวรสัมพันธ์
เกิดแก่เจ็บตาย สิ้นสายสัมพันธ์กันทางโลก
ตอบสนองดีร้าย เป็นสายสัมพันธ์เหตุผล
คนแม้หากเข้าใจสายสัมพันธ์ ก็จะรู้จักแปรร้ายให้กลายดี ก็จะไม่โทษโพยขัดเคืองใคร ไม่หาบาปเวรใส่ตัว หากรู้จักหลบเลี่ยงการถูกผูกมัดจากสายสัมพันธ์ ก็จะเป็นอิสระตลอดกาล
-
วิญญาณทวงหนี้ : ประมาณปีพุทธศักราช 2534 ฤดูร้อน ข้าพเจ้ารับเชิญให้เป็นอาจารย์บรรยายธรรม ในนามยุวพุทธิกะสมาคม สถานธรรมที่ได้ไปบรรยายมากที่สุดคือภาคอิสาน
ครั้งหนึ่ง ในงานประชุมอบรมธรรมที่สถานธรรมเทียนเหยิน จังหวัดเลย เป็นชั่วโมงสุดท้าย ซึ่งข้าพเจ้าเป็นผู้บรรยายในหัวข้อ "จะคลี่คลายหนี้เวรกรรมได้อย่างไร" ข้าพเจ้าพูดถึงว่า ทุกคนล้วนมีเจ้าหนีนายเวร หากไม่ใช่เกี่ยวกรรมต่อกันในชาตินี้ ก็คือชาติก่อน ร่างกายแม้จะตายไปแต่วิญญาณยังอยู่ เพียงแต่เปลี่ยนไปอยู่ในกายร่างใหม่ เวียยเกิดเวียนตายเรื่อยไปในร่างต่าง ๆ กัน ฉะนั้น เซียนพุทธะจึงโปรดสอนชาวโลกว่า "อย่าได้ยึดหมายในกายร่าง อย่าได้ยึดหมายในอารมณ์" จะเล่าถึงเรื่องของพี่น้องคู่หนึ่งที่เขานับถือกัน ทั้งสองข้ามจากฝั่งลาวเข้ามาลักลอบค้าทองคำในไทย ครั้งหนึ่ง ถูกตำรวจตามจับ ทั้งสองรีบหนีข้ามฝั่งลาวไป ขณะอยู่ในเรือยนต์ข้ามแม่น้ำโขง ตำรวจตามมา ยิงขู่ไปที่เรือยนต์หลายนัด นัดหนึ่งยิงถูกคนที่นับกันกันเป็นพี่น้อง พอดีเรือแล่นมาถึงกลางแม่น้ำ คนที่เป็นพี่แทนที่จะรีบพาน้องหนีไปด้วยกัน กลับผลักน้องตกลงไปในแม่น้ำที่น้ำลึกเชี่ยวกราก แล้วฮุบเอาทองของน้องไป เขาหนีรอดไปได้พร้อมกับทองที่ฮุบเขามา จากนั้น เขาเปลี่ยนชื่อเปลี่ยนนามสกุลเสียใหม่ แต่ยังคงทำอาชีพนี้ต่อไปจนร่ำรวย วันหนึ่งยี่สิบปีให้หลัง เขาโดยสารเรือจะข้ามมาฝั่งไทย พอมาถึงกลางแม่น้ำ อยู่ดี ๆ เกิดเขม่นกันกับทหารหนุ่มสองคนในเรือจนเกิดเป็นปากเสียงกัน ชายหนุ่มทหารควักปืนออกมา ยิงเข้าที่หน้าแกคนพี่หนึ่งนัด ทหารอีกคนหนึ่งยกเท้าถีบเขาให้ตกลงไปในแม่น้ำ กลางแม่น้ำตรง นั้นเป็นจุดเดียวกันกับที่เขาถีบน้องชายลงไปเมื่อยี่สิบปีก่อน อะไรจะตอบสนองกันได้ชัดเจนถึงเพียงนี้ เมื่อข้าพเจ้าเล่ามาถึงตรงนี้ ชายอายุประมาณหกสิบกว่าปี คนหนึ่ง ซึ่งนั่งฟังอยู่แถวหลังสุดเกิดอาการประหลาด แสยะปาก นัยน์ตาถมึงทึง จากนั้นก็ก้มลงกัดพนักขอบเก้าอี้เหล็กตัวข้างหน้าอย่างรุนแรงจนเลือดไหลท่วมปาก ฟันบนฟันล่างร่วงกราว เสื้อขาวที่สวมใส่อยู่ชุ่มไปด้วยเลือดสด ๆ อีกทั้งนองอยู่บนพื้น ทุกคนตกตลึกขนลุกเกรียว พอได้สติ มีคนดึงเก้าอี้ตัวหน้าที่แกกัดออกไปให้พ้น เพื่อหยุดยั้งไม่ให้แกกัดต่อไป แต่พอไม่ได้กัดเก้าอี้ แกก็เปลี่ยนเป็นประสานมือบีบคอตัวเอง ยังมีเสียงลอดจากลำคอซึ่งฟังไม่ชัดคล้ายกับจะบอกว่า"เค้นให้มันตาย ๆ " คนใจกล้าในที่นั้น ช่วยกันดึงมือแกออกไม่ให้บีบคอตัวเอง แต่พอปล่อยมือ แกก็คว้าหมับเข้าที่คอตัวเองอีก บรรยายกาศในห้องประชุมธรรมขณะนั้น น่าสะพรึงกลัวมาก สุดท้าย เราช่วยกันเอาแถบผ้าผูกมือแกไพล่หลังไว้ หามแกไปไว้ในห้องพัก พร้อมกับไปตามลูกสาวของแกมาลูกสาวบอกว่า พ่อเป็นคนแข็งแรง ไม่เคยเจ็บป่วย ไม่เคยมีอาการทางประสาท หรือคลุ้มคลั่งมาก่อน ไม่มีเรื่องอบายมุข แต่ชอบเรื่องผู้หญิง ลูกสาวเล่าว่าพ่อมีเมียหลายคน แต่ไม่เคยรับผิดชอบให้ถูกต้องสักราย พอลูกสาวเล่าถึงตรงนี้ พ่อของเธอผลุดลุกขึ้น ก้มด่าตัวเองว่า "ไอ้บ้ากามตัวนี้ มันหลอกกู ทำลายกู พอรู้ว่ากูตั้งท้องแล้วมันก็ทิ้ง กูช้ำใจ จึงแขวนคอตายพร้อมกับลูกในท้อง กูตามหามันมาสี่สิบปีแล้ว ให้มันใช้หนี้ชีวิตกู ใช้หนี้ชีวิตกู" จากนั้น วิญญาณที่ถูกทำลาย ซึ่งบัดนี้สิงสู่อยู่ในร่างของผู้ที่ทำลายเธอ ก็ร้องไห้โศกเศร้าน่าสงสารนัก ทุกคนในที่นั้นเงียบกริบ ปัญหานี้ บางคนแนะว่า ให้นิมนต์พระมาขับไล่วิญญาณ บางคนว่าให้ส่งโรงพยาบาล ซึ่งข้าพเจ้าไม่เห็นด้วย เพราะเวรย่อมระงับได้ด้วยการไม่จองเวร ข้าพเจ้าจึงบอกให้ลูกสาวของร่างที่วิญญาณสิงสู่อยู่ คุกเข่าลงไปร้องขอต่อวิญญาณนั้นว่า ขอให้ปล่อยพ่อแล้วจะสร้างบุญไปให้ ทีแรกวิญญาณไม่ยอมตกลงด้วย สุดท้ายทุกคนช่วยกันอ้อนวอน ขอให้ร่างที่เป็นตัวการนี้ ถือศีลกินเจสามเดือน สร้างบุญอุทิศส่วนกุศลให้ ให้ลูกสาวของร่างสร้างหนังสือธรรมะแจกจ่ายเป็นวิทยาทานหนึ่งพันเล่ม ทำบุญใส่บาตรอุทิศส่วนกุศลให้ทุกวันพระ เป็นเวลาสามปี จนกว่าเธอจะรับโทษจากการฆ่าตัวตายหมดสิ้นได้ไปเกิดใหม่ ลูกสาวของร่างตัวการรับปากจะปฏิบัติตามทุกอย่าง เรื่องของการทวงหนี้รายนี้จึงได้ยุติลง
-
คนบุญภาคตะวันออก : หลายปีไม่ได้มาคลองใหญ่ จันทบุรี ครั้งนี้มาร่วมงานบุญ จึงถือโอกาสมาพบเฮียโต๋วเพือนเก่า ข้าพเจ้ารู้จักครอบครัวเฮียโต๋วมาสี่ชั่วคนแล้ว ตระกูล
นี้มีอาชีพทำเครื่องปั้นดินเผามาสีชั่วคน เฮียโต๋วมีโรงงานใหญ่ในการผลิตที่ตั้งบนเนื้อที่ยี่สิบแปดไร่ เครื่องมือเคื่องจักรที่ผลิตล้วนทันสมัย อีกทั้งมีลานกว้างใหญ่มากไว้กองวัตถุดิบ และผลิตภัณฑ์ส่งออกนอก ไม่ใช่แค่ภาคตะวันออก แต่คิดว่าน่าจะใหญ่ที่สุดในเมืองไทยทีเดียว เราไม่ได้พบกันมาหลายปี จึงนั่งคุยกันตั้งแต่อาหารเย็น โดยชงชาปราณีตค่อย ๆ ดื่มกันไปด้วย เฮียเตียที่ร่วมเดินทางมาด้วย เป็นนักหนังสือพิมพ์ฝ่ายภาษาไทย เขาสนใจและชื่นชมตระกูลนี้มาก ขอให้เฮียโต๋วเจ้าของกิจการเล่าความเป็นมาให้ฟัง เฮียโต๋วเปิดเผยว่า เตี่ยของเขามาจากเมืองจีน สะพายตะกร้าไม้ใผ่มาหนึ่งใบ หอบหมอนมาหนึ่งใบ พร้อมกับภรรยาและลูกอีกหนึ่งคน ตั้งใจว่าอยู่แค่สองสามปีก็จะกลับบ้านเมืองจีน ไม่คิดว่าในเรือโดยสาร จะได้พบเพื่อนร่วมตำบลสองคน คนหนึ่งแซ่หยาง ชาวบ้านให้สมญาว่า "ผีปลา" อีกคนหนึ่งแซ่ก๊วย มีสมญาว่า "ภูตปลา" ทั้งสองเป็นคนหาปลามือฉมังในตำบล เนื่องด้วยร่วมเรือมาขึ้นฝั่งเมืองไทยที่ขึ้นชื่อว่าอู่ข้าวอู่น้ำ ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว จึงชักชวนร่วมงานกัน และทำมาหากินกับสัตว์น้ำเรื่อยมา จนไม่ได้กลับบ้านเมืองจีนเสียที สามปีให้หลัง ตระกูลหยาง ตระกูลก๊วย และตระกูลโต๋ว ต่างก็เป็นเจ้าของแพปลาขนาดใหญ่ มีเรือหาปลาทันสมัย ออกหาปลาทะเลลึก โดยเฉพาะเตี่ยของเฮียโต๋ว ยิ่งเป็นปึกแผ่นอันดับหนึ่งกว่าเพื่อน แต่แล้ว ในขณะที่กิจการรุ่งเรืองเฟื่องฟูถึงที่สุดนั้น อยู่ ๆ เตี่ยของเฮียโต๋วก็ประกาศเลิกกิจการ ขายเรือ ขายแพปลา และทุกอย่างที่เกี่ยวกับอาชีพหาปลาทั้งหมด ความพลิกผันอย่างปัจจุบันทันด่วนอย่งนี้ ไม่เพียงแต่คนในวงการจะประหลาดใจ แม้แต่ลูกและภรรยาผู้ใกล้ชิดก็ประหลาดใจ ทั้ง ๆ ที่ระยะนั้น การประมงเป็นอาชีพที่ทำเงินได้มาก หรือว่าเตี่ยของเฮียโต๋วจะอพยพกลับเมืองจีน แต่ช่วงนั้นเมืองจีนกำลังเผชิญสงคราม กลับไม่ได้ เตี่ยของเฮียโต๋วเลิกกิจการแพปลาเพื่อเริ่มกิจการใหม่ นั้นคือทำเครื่องปั้นดินเผา สำหรับงานเครื่องปั้นดินเผา เป็นอาชีพที่ห่างไกล ไม่เคยเรียนรู้มาก่อน แต่โชคดีที่มีเงินลงทุน เครื่องไม้เครื่องมือทันสมัย นายช่างผู้เชี่ยวชาญจากประเทศจีนถูกจ้างมาด้วยราคาแพง เครื่องปั้น เครื่องเคลือบ กระเบื้องมุงหลังคา ลูกกรงระเบียง เครื่องประดับโบสถวิหาร ที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน แม้จะไม่อาจบอกได้ว่าไม่มีใครเสมอเหมือน แต่ก็ดูโดดเด่นเป็นพิเศษ กิจการใหม่ขรุกขลักอยู่ไม่กี่ปี ก็เข้ารูปเข้ารอย ทำเงินได้อีกไม่น้อย อาชีพใหม่นี้ แม้จะต้องลงทุนมาก กำไรน้อยกว่า แต่ไม่ต้องสดุ้งผวาเหมือนอาชีพหาปลา เตี่ยของเฮียโต๋วจึงเชิญชวนเฮียหยาง เฮียก๊วย มากินข้าวที่บ้านด้วยกันหลายครั้ง เพื่อพูดคุยของให้เปลี่ยนอาชีพเสียใหม่ จะเป็นอาชีพสุจริตอะไรก็ได้ที่ไม่ใช่การคร่าชีวิตเขา แต่เพื่อนเก่าทั้งสองไม่มีใครฟัง ไม่เพียงเตือนเพื่อน เตี่ยของเฮียโต๋วยังสั่งสอนลูกหลานว่า เมื่อยังมีอาชีพอื่นไม่ได้ และยังคิดไม่ได้ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่บัดนี้เราตั้งตัวได้แล้ว คิดได้แล้ว ก็ไม่ควรเบียดเบียนเอาประโยชน์จากชีวิตของเขาต่อไป อีกทั้งเมื่อทำไปแล้ว ยังจะต้องทำบุญให้ทานไปมาก ช่วยเหลือสงเคราะห์สังคมและคนยากจน เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรที่เราได้เบียดเบียนชีวิตเขามา อีกทั้งยังกำชับลูกหลานว่า อย่าทอดทิ้งคนสองครอบครัวนี้ อีกทั้งต้องพยายามให้เขาเปลี่ยนอาชีพเสีย มิฉะนั้น ลูกหลานจะไม่ยั่งยืน เฮียโต๋วเพื่อนของข้าพเจ้า เข้าใจว่าเตี่ยคงจะมีส่วนเพี้ยนไปเพราะตั้งแต่แก่ตัวมานี้ เตี่ยสวดมนต์ไหว้พระ ทำบุญให้ทานอย่างจริงจัง และพร่ำสอนแต่บาปบุญคุณโทษเสมอ ซึ่งลูกหลานต่างรู้ดีว่าสองครอบครัวนั้น เขากำลังร่ำรวยล้นฟ้า เขาคงไม่ยอมลดเพดานลงมาเป็นแน่เรื่องราวในโลกผกผันไปตามกาลเวลา ต้นตระกูลทั้งสามสิ้นสุดบทบาทของชีวิต ทยอยตายจากตามกันไป ตระกูลแซ่โต๋ว รุ่นที่สองของตระกูลมีเฮียโต๋วเหลืออยู่เพียงคนเดียว นอกนั้นอายุสั้น อีกสองตระกูลก็เช่นกัน ต้องให้รุ่นที่สามดำเนินกิจการ รุ่นที่สามเกิดมาในกองเงินกองทอง ไม่เคยเห็นควาลำบากของปู่ผู้สร้างฐานะ จึงทำงานไม่เป็น แต่ฟุ่มเฟือฟุ้งเฟ้อถลุงเงินเก่ง มีคำกล่าวว่า "การงานรุ่งตามพลังจิต" โดยเฉพาะธุรกิจเกี่ยวกับทะเล "กำลังคนสามส่วน กำลังดวงเจ็ดส่วน" ดวงกำลังรุ่ง กุ้งปลาจะกระโดดเข้าหาเรือเอง ถึงคราวดวงอับ ลูกเรือจะฉ้อฉล ขโมยขายกุ้งปลาเสียเอง หรือไม่ก็เกิดเหตุอาเพทจับปลาไม่ได้ เรื่องอื่น ๆ เช่น คลื่นลมแรง เกิดอุบัติเหตุแก่ลูกเรือและจนถึงแก่ความตาย โจรสลัดปล้นเรือ เหล่านี้เป็นต้น ล้วนเป็นความเสียหายที่ประมาณค่ามิได้ ไม่กี่ปีเท่านั้น ตระกูลหยางล้มไม่เป็นท่า บ้านแตกสาแหรกขาด เรื่องมีอยู่ว่า ตระกูลหยางรุ่นที่สาม มีลูกชายสี่ครอบครัว ลูกชายคนโตกับคนที่สามทานแรงปะทะรอบด้านไม่ไหว เห็นฐานะมั่งคั่งใกล้จะล่มสลาย จิตใจว้าวุ่นจนควบคุมไม่ได้ คนหนึ่งกระโดดลงทะเลฆ่าตัวตาย ลูกชายคนที่สี่ใจกล้า ค้ายาบ้าจำนวนมหาศาล ถูกจับขังคุกตลอดชีวิต เหลือแต่ลูกชายคนที่สาม ที่พยายามจะกอบกู้ครอบครัวทั้งสี่ที่ย่ำแย่ สุดท้าย เฮียโต๋วได้ทำตามที่เตี่ยสั่งเสียไว้ ดูแลช่วยเหลือสะใภ้หม้ายและหลานกำพร้าของสามครอบครัว อีกทั้งให้ที่ดินผืนหนึ่งแก่พี่น้องคนที่สองของชั่วคนนี้ เป็นที่ปฏิบัติบำเพ็ญ ส่วนตระกูลแซ่ก๊วยนั้น แม้จะไม่ย่ำแย่เท่าตระกูลหยาง แต่ฐานะก็ตกต่ำลงทุกวัน ขายทรัพย์สินกินจนหมด ลูกหลานพลัดพรากกระจัดกระจาย มีคนเคยเห็นลูกหลานของตระกูลนี้ ตั้งแผงขายของกินอยู่ริมถนนในภาคอิสาน เฮียโต๋วพยายามสืบเสาะแต่ก็ไม่พบ เฮียโต๋วสรุปว่า เตี่ยมักจะพูดว่า "เห็นมามากแล้ว คนที่มีอาชีพกับชีวิตเลือดเนื้อเขา โดยเฉพาะจับกุ้งปลา ถ้าไม่เปลี่ยนอาชีพ จะรุ่งได้ไม่เกินสามชั่วคน ยังจะต้องสร้างบุญแผ่ส่วนกุศลแก่เขาให้มากอีกด้วย" จนบัดนี้ เฮียโต๋วยังไม่ลืมคำสอนของเตี่ย ยกหนี้ให้ บริจาคให้การกุศล อีกทั้งอบรมลูกหลานต่อ ๆ ไป ฉะนั้น เมื่อเอ่ยถึงคนบุญภาคตะวันออก ทุกคนเป็นต้องยกนิ้วให้เฮียโต๋ว !
-
มาทางไหน - ไปทางนั้น : คนเคยเข้าวัดฟังธรรม อาจจะเคยได้ยินพระท่านเทศน์อุทาหรณ์เรื่องนี้มา จึงขอเล่าพอเป็นสังเขปเพื่อย้ำความจำว่า หญิงนางหนึ่ง คิดขึ้นมาได้ว่า ตนเองอายุมากขึ้นทุกที ไม่มี
ทายาท ไม่มีทรัพย์สมบัติอะไร ตายไปใครจะทำศพให้จึงไปขอเช่าแม่วัวตัวหนึ่งมา รีดนมวัวไปขายทุกวัน และค่อย ๆ สะสมเงินไว้เพื่อใช้ซื้อโลงศพให้แก่ตนเอง หลายวันต่อมา นางรู้สึกว่ากว่าจะเก็บเงินได้ มันช่างช้านักหนา เพราระนมวัวที่รีดได้ในแต่ละวัน มันมีเพียงสองขวด จึงแอบเติมน้ำลงไปเพิ่มปริมาณสักหน่อย หลายวันผ่านไปไม่มีใครจับได้ นางจึงเติมน้ำเพิ่มขึ้นอีกหน่อย จากปริมาณวันละสองขวดเป็นสี่ขวด ความรักสวยรักงามเป็นสัญชาติญาณของผู้หญิงเมื่อเห็นหญิงที่มีฐานะสวมใส่เครื่องประดับ ทำให้หญิงนางนี้ลืมโลงศพเพื่อตนเองเสียสิ้น เงินที่สะสมไว้กลับกลายไปซื้อต่างหูตุ้งติ้งประดับอัญมณีมาสวมใส ตั้งแต่ใส่ต่างหูตุ้งติ้งแล้ว นางรู้สึกอย่างกับตนเองสวยหยดย้อยนัก อีกทั้งประหลาดแท้ ที่หูมักจะเกิดอาการคันต่อหน้าธารกำนัลจะต้องเกาเสียหน่อยทุกที จนกว่าจะมีใครชมว่าต่างหูสวย จึงจะหายคัน ภายหลังนาน ๆ เข้า อาการคันจะเป็นอยู่เสมอไม่ว่าจะต่อหน้าใครหรือตามลำพัง นางจึงติดอาการเกาหูอยู่เกือบทุกเวลา วันหนึ่งขณะทีึ่ข้ามลำธาร นางก้มลงมองดูโฉมหน้าตนเองในน้ำ ชื่นชมโสมนัสยิ่งต่อต่างหูคู่นี้ และแล้วทันที หูก็เกิดคันขึ้นมาอีก นางจึงต้องเกาไปตามความเคยชิน ปรากฏว่าเกาแรงไป ต่างหูตกลงไปในน้ำ นางรีบคว้ารีบตะกุยจนน้ำขุ่น ยิ่งขุ้ยก้นลำธารก็ยิ่งควานหาไม่พบ นางเกรงว่าต่างหูข้างขวาจะหลวมหลุดตามไป จึงยกมือขึ้นประกบไว้ แต่ไม่รู้พลาดทำอย่างไร กลับไปทำให้มันหลุดร่วงลงไปในลำธารเสียนี่ นางแทบจะคลุ้มคลั่ง ร้องไห้โฮ คุ้ยหาใต้ท้องลำธารอย่างไม่มีจุดหมาย ขณะนั้นเอง พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จมาถึงตรงนั้น ทรงทราบความเป็นจริงแล้ว จึงโปรดแก่นางว่า "มาทางไหน - ไปทางนั้น... ต่างหูคู่นี้มิใช่มาจากน้ำนมโคดอกหรือ น้ำนมโคมิใช่เจือน้ำลำธารลงไปดอกหรือ เท่ากับต่างหูคู่นี้ได้มาจากน้ำในลำธาร มาทางไหนจึงต้องไปทางนั้น" หญิงนางนั้นจึงรู้แจ้งพลัน ว่าสรรพสิ่งในฟ้าดินนี้ ล้วนมีเหตุต้นผลตาม ชีวิตมาแต่ใด กลับคืนไปสู่ที่ใด เป็นเรื่องใหญ่ที่น่าคิดพิจารณายิ่งกว่าต่างหูนัก ข้าพเจ้าเล่าเรื่องนี้ให้เพื่อนที่กำลังป่วยหนักฟัง ให้เขายอมรับว่า ท่ามกลางฟ้าดินนี้มีกฏเกณฑ์ของเหตุและผลอยู่ รับผลให้สำนึกขอขมาต่อเหตุที่ทำมา ก่อนที่จะสายเกินการ หากยังขัดเคือง ด่าฟ้าดิน ด่าชะตากรรม ไม่รู้ความาผิดตน ก็ไม่พ้นหนี้เวรกรรมตามสนอง เพื่อนอัมพาตผู้นี้ มีร้านขายเครื่องไฟฟ้าที่ใหญ่มากในต่างจังหวัด เงินทองสะพัดเกือบล้านในแต่ละวัน แต่สุดท้าย ที่สร้างสมมาหลายปีก็มีอันหมดสิ้นไปในเวลาปีเดียว ด้วยเหตุที่พนักงานเก็บบัญชีหอบเงินก้อนใหญ่หนีไป เงินฝากนทรัสต์เป็นโฒฆะ แชร์ที่เล่นไว้หลายวงล้มหมด เสียหายติด ๆ กันหลายเรื่องหลายราย จนในที่สุดจนหนี้ล้นท้นตัว เพื่อนคนนี้มีความดันโลหิตสูงอยู่แล้ว ประสาทสมองไม่อาจรับสภาพ กดดันในภาวะวิกฤตขนาดนี้ได้หลายครั้งหลายหนติดต่อกัน จึงเส้นโลหิตในสมองแตก ต้องนอนตัวแข็งทื่ออยู่บนเตียง ที่ข้าพเจ้าเล่าเรื่อง "มาทางไหน - ไปทางนั้น" ให้เพื่อนฟังเพราะข้าพเจ้ารู้ดีว่า เขาโกงเงินจากน้าสาว หรืออักนัยหนึ่งคือแม่ยายมาตั้งตัว เพื่อนของข้าพเจ้าคนนี้แซ่ฮ้อ เขาจบเภสัชฯ แล้วไปช่วยคุมร้ายขายยาของน้าสาวที่อิสาน ไม่นานเกิดรักใคร่กับลูกสาวของน้าสาวจึงแต่งงานกัน นายฮ้อจึงได้เป็นลูกเขยผู้ดูแลกิจการร้านขายยาสามห้องใหญ่อย่างเต็มตัว น้าสาวน้าเขยหรืออีกนัยหนึ่งคือพ่อตาแม่ยาย เป็นคนซื่อตรง สร้างกิจการร้านขายยา พร้อมกับเป็นตัวแทนยาบางอย่างมาด้วยความขยันอดออม พ่อแม่ลูกช่วยกัน ไม่จ้างคนนอก เมื่อเขยศรีมาช่วย จึงได้ให้ลูกชายสองคนไปเรียนต่อ สองตายายไว้วางใจลูกเขยมาก ไม่ว่าบัญชีหรือเงินสด เงินทุกบาททุกสตางค์อยู่ในมือของลูกเขย แรกทีเดียว นายฮ้อยักยอกแต่ดอกเบี้ย ต่อมาไม่จุใจ ยักย้ายถ่ายเทบัญชีเงินฝาก จากนั้นก็แอบไปซื้อที่ ซื้อตึกแถวหลายห้องที่จังหวัดภาคใต้ภูมิลำเนาของตน ส่วนกิจการขายยาของน้าสาวกลับกลายเป็นเงินหมุนเวียนติดขัด เพราะทางธนาคารไม่ให้เครดิตอีก จากที่เคยมีเงินฝาก กลับกลายเป็นต้องกู้เงิน ยาที่มาส่งต่างเรียกร้องเงินสด ไม่ให้เครดิตค้่างชำระอีก เรื่องจึงถูกเปิดเผยว่าลูกเขยเล่นไม่ซื่อ นายฮ้อทิ้งผลงานคดโกงไว้ที่อิสาน กลับมาเป็นเถ้าแก่ร้านขายเครื่องไฟฟ้าที่บ้านทางใต้ เวลาผ่านไปสามปี กรรมที่ทำไว้ตกผลแล้ว วันนี้นายฮ้อต้องนอนเป็นท่อนไม้อยู่คนเดียว ไม่มีใครใยดี หนึ่งชีวิต กับเงินทองที่คดโกงมา ยังจะเหลือค่าอเะไรให้ภาคภูมิใจได้อีก
-
หมู่บ้านโจร : วันเสาร์ ได้รับเชิญจากมูลนิธิฯ ให้ไปร่วมสงเคราะห์ผู้ประสบภัยน้ำท่วมที่นครศรีธรรมราช จำได้ว่าเคยมาแล้วสองครั้งที่นี่ครั้งที่ร้ายแรงที่สุดคือพายุ
เมื่อหลายปีก่อน ความเร็วของพายุหนึ่งร้อยแปดสิบไมล์ต่อชั่วโมง หลายจังหวัดถูกพายุถล่มไป บ้านเรือนไร่นา สวนผลไม้ ถูกน้ำพัดพาเสียหายไปมากมีหมู่บ้านหนึ่งถูกหินทรายฝังกลบจนหายไปเกือบทั้งหมด ทางการกับเอกชน มูลนิธิกุศลสงเคราะห์ต่าง ๆ ต้องรีบระดมกำลังกู้ภัยด่วน ครั้งนั้น มีผู้เสียชีวิตหลายสิบคน ครั้งนี้ ภายใต้การนำของคุณเลี่ยว เราไปกันหก - เจ็ดคนเป็นคณะ จากการร่วมมือช่วยเหลือกันของทางการกับมูลนิธิในท้องที่ เราจึงใช้เวลาไม่ถึงครึ่งวันในการแจกจ่ายสิ่งของเครื่องยังชีพ หลังจากนั้น มูลนิธิท้องที่เป็นเจ้าภาพตามธรรมเนียม เชิญข้าราชการในท้องที่ร่วมขอบคุณ นายขอำเภอที่ร่วมงานเลี้ยงในวันนั้นแซ่ตั้ง พูดภาษาจีนแต้จิ๋วได้นิดหน่อย ท่านเล่าว่า หลังจากเกิดพายุเกย์ ที่มีผลเสียหายหนักหนาที่สุดครั้งนั้นแล้ว แทบทุกปียังจะต้องสงเคราะห์ตาม ๆ กันต่อไปอีก หมู่บ้านตำบลนี้ ทุกคนรู้จักกันดีว่า แต่ก่อนเป็นรังของผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ ภายหลังสลายตัวไป แต่กลับกลายเป็นหมู่บ้านโจร พ่อค้าหรือผู้เดินทางไม่กล้าผ่านไปมายามค่ำคืนแต่จะย้อนอ้อมทางหลายสิบกิโลเมตรเลี่ยงไป ถนนช่วงนี้จึงไม่มีรถราสัญจรไปมาเลยในเวลากลางคืน นายอำเภอว่า ปัจจุบันการรักษาความปลอดภัยถือว่าดีขึ้นแล้ว ไม่เหมือนแต่ก่อนที่โจษขานน่ากลัว เมื่อก่อน นอกจากจะจี้ปล้นรถที่ผ่านไปมาแล้วยังมีพวกจี้ปล้นบ้านเรือน เคยมีรถบรรทุกรับซื้อผลไม้จากทางใต้ไปกรุงเทพฯ บรรทุกส้ม มังคุด เต็มคันรถผ่านมา จะหลบรถจักรยานยนต์ที่ขับสวนมา อาจเป็นเพราะรถบรรทุกหนักมาก จึงเสียหลักรถเทลงไปข้างทาง รถเสียหาย คนขับบาดเจ็บ เจ้าของรถรีบส่งคนขับไปโรงพยาบาล พร้อมกับจ้างรถจากในเมืองกลับมาขนผลไม้เข้ากรุงเทพฯ ชั่วเวลาหลังจากเกิดอุบัติเหตุเพียงไม่นาน ปรากฏว่าผลไม้ที่เทลงข้างทางถูกชาวบ้านแถบนั้นขนกันจนเกลี้ยง ไม่น่าเชื่อว่าจะรวดเร็วว่องไวได้ถึงเพียงนี้ อีกไม่กี่วัน รถกระบะบรรทุกปลาสดมาถึงจุดนี้ ก็เกิดอุบัติเหตุอีก เจ้าของรถคล้อยหลังไปหารถใหม่จะมาขนถ่า่ยปลาสด ปรากฏว่าหมดเรียบร้อยอีกเหมือนกัน ภายหลัง เจ้าของรถบรรทุกปลาสดจุดธูปกำใหญ่สาปแช่งที่กลางแจ้งว่า ขอให้ลูกหลานหมู่บ้านนี้ จงเป็นโจรขโมย เป็นผู้หญิงหากินทุกชาติไป อีกครั้งหนึ่ง เป็นรถเก๋งคันใหม่เอี่ยมแล่นมาถึงจุดนี้ เกิดยางแตก รถตกลงไปคูน้ำข้างทาง ชายหญิงคู่หนึ่งในรถบาดเจ็บสลบไป ชาวบ้านแถบนั้นกรูกันเข้ามาปล้นทรัพย์สินหมดไป ทุกชิ้นที่มีอยู่ในรถ ทั้งแกะ ทั้งดึง ทั้งกระชาก ทุกทางทุกอย่างที่จะเอาได้ ชายร่างใหญ่คนหนึ่ง พยายามถอดแหวนจากนิ้วของชายผู้ขับรถ แต่แหวนคับมาก ใช้เวลาบิดหมุนอยู่นานจนชายเจ้าของแหวนรู้สึกตัวฟื้นขึ้น เขาตกใจร้องว่า "ผมยังไม่ตาย" ชายร่างใหญ่ที่พยายามจะถอดแหวนให้ได้ ก็ตะคอกใส่หน้าเจ้าของแหวนว่า "ยังไม่ตายกูก็จะเอา" นายอำเภอเล่ามาถึงตรงนี้ ทุกคนที่ร่วมวงอยู่พากันสะท้อนใจ เฮียคุงถึงกับเผลออุทานออกมาว่า "หมู่บ้านโจร" หมู่บ้านโจรแห่งนี้ ทุกปีจะต้องประสบภัยใหญ่หนึ่งครั้งเป็นอย่างน้อย นี่คือความยุติธรรมของฟ้าที่ตอบสนองมา อุบัติเหตุบนถนนตรงจุดนั้น แท้จริงเกิดจากตะปูรูปสามเหลี่ยมที่เรียกว่า ดาว หรือ เรือใบ ที่ถูกโปรยไว้กลางถนนเป็นกับดักอีกทั้งกับดักอื่น ๆ ที่ทำให้คนขับต้องเบรครถกระชั้นชิดอย่างกระทันหันนั่นเอง จอมอริยเจ้าเหลาจื่อโปรดไว้ใน "บทบันดาลใจกั่นอิ้งเพียน ตอนหนึ่งว่า
"...ดึงดันเอาให้ได้ ไม่เกรงใจฉกฉวย
รุกล้ำกร่ำกรายอยากได้ช่วงชิง
หาทางรวยด้วยการค้าคน ปล้นเรียกค่าไถ่
โทษบาปมากหลายดังว่า
ฟ้าตุลาการพิจารณาโทษตามความหนักเบา
หักทอนวาสนา หักอายุขัย ร้อยวันหรือสิบสองปี
หักหมดก็ตาย
ยังเหลือไว้คือหนี้กรรม
บ่ำยีถึงลูกหลาน
อีกเหล่ามักง่า่ย หยิบฉวยเงินทองขอเงเขา
ลูกเมียต้องรับบาปเวร
จนกระทั่งค่อย ๆ ตายจาก
หากไม่จากตาย ก็หายนะ
จะถูกน้ำท่วม ไฟไหม้ ผู้ร้ายจี้ปล้น คนลักขโมย
ข้าวของสูญหาย
ป่วยไข้ปากเสียง เรียงกันเข้ามา
ชดใช้จนกว่า ตีค่าเท่ากัน
ส่วนพวกที่ฆ่าคนผิด
ตนต้องรับกรรม สงครามอาวุธ
ผู้เอาเงินทองที่มิชอบมิควร
หิวโหยใกล้ตายจะได้ประทัง เปรียบได้ดั่งหยดน้ำรูรั่ว
คอแห้งได้เหล้า เข้าปากเป็นยาพิษ
มิเพียงไม่อิ่มได้ในชั่วขณะ
ทูตมรณะยังถึงตัว..."
-
ฟ้าไม่ปล่อย : ระยะนี้มีโอกาสเข้าร่วมงานเผยแพร่วิชาการกับสมาคมสมุนไพรบ่อย ๆ ได้เดินทางล่องใต้หลายครั้ง รู้จักบุคคลระดับผู้นำหลายท่าน โดยเฉพาะคนหนึ่งซึ่งทึี่จริงเป็นเพื่อนกัน แต่ไม่ได้
พบกันมานานถึงสี่สิบปี บีดนี้เขาสูงส่งเป็นถึง "โต๊ะอิหม่าม" ผู้นำทางศาสนาอิสลามภาคใต้ โต๊ะอิหม่ามทวัชเล่าเรื่องน่าคิดเรื่องหนึ่งให้ฟังว่า เพื่อนสนิทของเขาคนหนึ่งคือ โต๊ะอิหม่ามชัย เป็นผู้นำทางศาสนาศรัทธามาก จะมีเหตุขัดข้องอะไรเพียงไร ที่ทำให้ไม่อาจปลีกตัวอย่างไร ก็ไม่เคยเว้นจากการทำละหมาดขอขมา ขอพระพรต่อพระอัลเลาะห์ ... แม้ขณะเดินทางไกลอยู่ก็เช่นกัน ความศรัทธาเชื่อมั่น เป็นอาจารย์ผู้ชี้นำบนหนทางพากเพียรพยายาม ความศรัทธาเชื่อมั่น เป็นต้นกำเนิดของความหาญกล้า ความศรทธาเชื่อมั่น เป็นพลังของความสำเร็จ ความศรัทธาเชื่อมั่นต่อพระผู้เป็นเจ้า จึงเป็นอนาคต เป็นแสงสว่าง เป็นความหวัง ประมาณสี่ห้าสิบปีก่อน ชานเมืองกรุงเทพฯยังมีที่ดินว่างเปล่ามากมาย คุณทวัชในสมัยนั้น ได้รับความเห็นชอบจากผู้นำศาสนา ให้ซื้อที่ดินผืนหนึ่งยี่สิบไร่ เพื่อจะสร้างเป็นสุสานชาวมุสลิม สมัยนั้น พวกเขาส่วนใหญ่ยังมิได้โอนสัญชาติ ไม่อาจถือกรรมสิทธิ์ที่ดินได้ จึงให้ลูกชายของคุณชัยในครั้งนั้น เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์แทน นายมีชัย ลูกชายของคุณชัย รับภาระสำคัญยิ่งใหญ่ได้ เพราะคุณชัยซึ่งเป็นพ่อ เป็นคนน่าเคารพมาก เป็นที่ชื่นชมและไว้วางใจได้แน่นอน สี่สิบปีต่อมา ผู้ใหญ่ในวงการรุ่นคุณชัยทยอยตายจากไป นายมีชียซึ่งเป็นลูกชายก็อายุมากแล้ว แต่เขาไม่มีจิตใจเหมือนพ่อ ไม่เพียงไม่ศรัทธาต่อศานนา ยังทำผิดต่อศาสนา เช่น บทบัญญัติที่ไม่ให้กินดอกเบี้ย เขาก็เป็นนายทุนใหญ่ปล่อยเงินกู้ เอาดอกเบี้ยสูง อีกทั้งเป็นคนมักมากฝักใฝ่ในกามารมณ์ หลายสิบปีผ่านไป ความเจริญของบ้านเมืองผ่านเข้ามา ที่ดินผืนนั้นที่ซื้อได้ไร่ละสามพัน กลายเป็นไร่ละล้านกว่าขึ้นไป แม้จะเป็นที่ตั้งสุสานบรรพชนนับร้อย แต่ความศิวิไลซ์รอบข้าง ทำให้ผู้กว้านซื้อที่ดินหากำไร อยากได้กันนักหนา ชาวมุสลิมฝังศพ มักไม่ทำเป็นรูปสุสานแน่นหนาถาวรใหญ่โตเหมือนชาวจีน คนที่อยากได้ที่ดินผืนนี้ จึงเห็นเป็นเรื่องง่ายที่จะโยกย้าย เงินนับร้อยล้านล่อใจนายมีชัยอยู่ทุกเวลา สุดท้าย นายมีชัยให้ลูกเขยที่เป็นทนาย ยื่นหนังสือให้จัดการโยกย้ายศพบรรพชนออกจากที่ผืนนี้ต่อผู้นำทางศาสนา ซึ่งทำหน้าที่รับผิดชอบอยู่ ท่านผู้นำได้รับหนังสือจากสำนักทนายความ เริ่มแรกก็พยายามพูดจากัน แต่คนที่อยากได้ก็ยังคงยืนยันที่จะให้ย้าย คุณทวัชแม้จะเป็นพยานบุคคลในการซื้อที่ครั้งนั้น แต่รู้อยู่ว่า สู้ความไปก็เสียเปรียบ เพราะไม่มีหลักฐานลายลักษณ์อักษร อื่นใดหมายเหตุไว้เลย มีแต่ชื่อเจ้าของโฉนดชัด ๆ ว่าคือ"นายมีชัย" คุณธวัชกับคณะผู้นำทางศาสนา ขอเข้าพบนายมีชัยหลายครั้ง แต่ถูกปฏิเสธ ครั้งสุดท้ายพอได้พบ นายมีชัยก็ยืนกรานต่อท่านผู้ใหญ่ทั้งหลายด้วยท่าทางและคำพูดแข็งกร้าวว่า "ทนายจะจัดการไปตามกฏหมาย" อีกซ้ำยังขู่ผู้ใหญ่ทั้งหลายว่าอย่ายุ่ง โต๊ะอิหม่ามธวัช อายุเกือบแปดสิบปีแล้ว ไม่เคยพบเห็นคนอะไรจะชั่วร้ายได้ถึงเพียงนี้ โกรธจนความดันโลหิตพุ่ง ซวนเซจะล้มลง เคราะห์ดีที่คณะช่วยพยุงไว้ทัน ทุกคนใจสั่นระริก โต๊ะอิหม่ามธวัชตัวสั่นเทาเดินออกจากบ้านนายมีชัย ฟ้าถูกปกคลุมด้วยเมฆดำหนาทึบ คุณธวัชแหงนหน้าขึ้นมองดูท้องฟ้า พลันประกาศก้องด้วยเสียงสั่นสะท้าน ชี้ฟ้าให้รับรู้ว่า "ฟ้าจะไม่ปล่อยไป ไอ้สานุศิษย์เนรคุณ" ฉับพลัน ยังไม่ทันสิ้นเสียงประกาศ อสนีบาตฟาดเปรี้ยงดังสนั่น นายมีชัยรีบหลบเข้าบ้านไปทันที เรื่องนี้เป็นข่าวใหญ่สะเทือนขวัญไปทั่ว ฟ้าดิน ผู้คน สรรพสิ่ง ล้วนต้องเปลี่ยนแปลงไป เพื่อสู่ครรลองของสัจธรรม เรื่องนี้ก็เช่นกัน เช้าวันหนึ่ง ขณะลมฝนละคนกัน นายมีชัยนั่งเรือยนต์ข้ามฟากออกไปตามเก็บดอกเบี้ยรายวันเหมือนอย่างเคย วันนั้น เรือยนต์บรรทุกคนเกินอัตรา บวกกับลมฝนแปรปรวนหรืออย่างไร ซึ่งอันที่จริงแม่น้ำสายนี้ ไม่เคยมีเหตุเภทภัย แต่วันนั้นเรือล่ม ผ่านความชุลมุนกู้คนกู้เรือพักใหญ่ ผู้โดยสารรอดตายครบจำนวนสามสิบกว่าคน ทุกคนปลอดภัย มีแต่นายมีชัยเท่านั้นที่เสียชีวิต ประเพณีของชาวมุสลิม คนตายเขาไม่ให้เก็บไว้ค้างคืนที่บ้าน แต่จะต้องฝังก่อนพระอาทิตย์ตกดิน วันนั้น ฝนตกหนักมาก เมฆดำเป็นผืนใหญ่ ฟ้าร้อง ฟ้าผ่าไม่ขาดสาย ตอนบ่าย ท้องฟ้าค่อยปลอดโปร่งขึ้นบ้าง ญาติพี่น้องช่วยกันนำศพนายมีชัยใส่โลงหยาบ ๆ บาง ๆ บรรทุกใส่รถขนของ ตามด้วยรถญาติสี่ห้าคัน จะนำศพไปฝังยังที่ดินที่กำลังเป็นความกันอยู่นั้น รถแล่นมาได้ไม่นาน ผ่านทางแยก รถสิบล้อที่คนขับคงจะเมายาบ้า ผ่าไฟแดงพุ่งเข้ามาชนรถ บรรทุกศพเหมือนเฉพาะเจาะจง ศพของนายมีชัยกระเด็นหลุดออกจากโลงกองอยู่กลางถนน รถที่ตามหลังมาตกใจหาทางเลี่ยงกันโกลาหล หลังจากเปลี่ยนโลงเปลี่ยนรถกันทุลักทุเล ขับต่อไป ฝนก็เทลงมาอีก บริเวณที่ดินที่จะฝังศพเป็นแอ่งน้ำท่วมขัง รถอีกสามคันที่ตามมาส่งศพเข้ามาไม่ถึง รถศพก็ต้องขึ้นหน้าถอยหลังอยู่หลายตลบ สุดท้ายตกหล่ม ติดแน่นขยับรถไม่ได้เลย ฝนก็เจาะจงตกหนักอีก ฟ้าแลบฟ้าร้องแปลบปลาบกึกก้องอยู่ตลอดเวลาเหมือนจะประกาศก้องว่า "ฟ้าจะไม่ปล่อย" ทุกคนในที่นั้่น เนื้อตัวเปียกปอนเปื้อนโคลนมอมแมม ทุกคนคิดว่า จะพยายามกู้รถขึ้นจากหล่มให้ได้ เพราะยังห่างจากบริเวณที่จะฝังอีกพอสมควร แต่ทันใดนั้น ความไม่น่าจะเป็นไปได้ก็เกิดขึ้นเป็นไปสายฟ้าสว่างจ้า พร้อมกับเสียงดังคลืนใหญ่ โลงศพนายมีชัยถูกฟ้าผ่า ! โลงแตก ศพของนายมีชัยกระเด็นออกจากโลง เปิดตัวศพอีกครั้งท่ามกลางฟ้าดิน คนส่งศพซึ่งเป็นใครไม่รู้สบถออกมาดัง ๆ ว่า "แม่งเอ้ย" แม้แต่ลูกชายสองคนของนายมีชัยก็รับไม่ได้ วิ่งเตลิดออกนอกถนนใหญ่ ทิ้งรถยนต์ไว้เบื้องหลังบนที่ดินหลุมฝังศพนั้น
-
กลับชาติมาเกิด : เจ้าจิ๋ว เป็นลูกชายคนเล็กของเจ๊ลั้ง ในจำนวนลูกหญิงสอง ลูกชายสี่ รวมหกคน สามปีก่อน เจ้าจิ๋วจมน้ำตาย ขณะนั้นอายุได้สิบห้าปี
แม้จะอายุเพียงสิบห้าปี แต่ดูท่าทางเป็นผู้ใหญ่ พูดจามีหลักการ เจ้าจิ๋วกำพร้าพ่อเมื่ออายุหกปี เอาใจใส่ดูแลแม่เป็นอย่างดี ทุกวันเมื่อกลับจากโรงเรียนก็จะขลุกอยู่กับแม่ ช่วยแม่หุงข้าว ทำกับข้าว ทำงานบ้าน การเรียนอยู่ในเกณฑ์ดี เป็นที่รักใคร่ของแม่และพี่ ๆ เป็นอันมาก วันนั้นโรงเรียนหยุด ครูพาเด็ก ๆ ไปเล่นน้ำที่ฝายทางเหนือ เจ้าจิ๋วจมน้ำตาย ! เมื่อนำศพกลับมาที่บ้าน แม่ร้องไห้แทบขาดใจ พี่สาวคนรองเปลี่ยนเสื้อผ้าให้น้อง หวีผมทาแป้ง ก่อนบรรจุศพ พี่ใช้ปากกาเขียนคำว่า "น้องจิ๋ว" ไว้ที่แขนของน้อง และวาดวงกลมสีน้ำเงินไว้ งานศพผ่านไปภายใต้บรรยากาศโศกเศร้า ตอนประชุมเพลิง แม่กอดรูปหน้าศพ ฟูมฟายรำพันว่า "ลูกจิ๋ว ถ้ารักแม่ กลับมาเกิดในครอบครัวของเราใหม่นะ" พูดจบแม่ก็เป็นลมล้มพับไป ครึ่งปีให้หลัง ลูกสะใภ้เจ๊ลั้งคลอดลูกคนที่สอง พอเกิดมาที่แขนก็มีเครื่องหมายรูปวงกลมสีน้ำเงินติดมาด้วย ในวงนั้นยังมีรอยลาง ๆ คล้ายอักษรคำว่า "น้องจิ๋ว" อยู่ด้วย บัดนี้ หลานของเจ๊ลั้งอายุได้สามขวบแล้ว เป็นเด็กน่ารักมาก ฉลาดมาก สนิทกับเจ๊ลั้งเป็นพิเศษ ทุกคนต่างเชื่อมั่นว่า หลานชายคนนี้ต้องเป็นน้องจิ๋วมาเกิดใหม่เป็นแน่ กลับชาติมาเกิดอีกรายหนึ่งคือ ควายอายุสี่ปี ถูกส่งเข้าโรงฆ่าสัตว์ถึงหกครั้ง พอจะถูกฆ่า มันก็จะคุกเข่าขอชีวิต น้ำตาไหลพราก คนฆ่ามืออ่อนทำไม่ลง สุดท้าย ก่อนครั้งที่เจ็ด ฝรั่งคนหนึ่งมาขอไถ่ชีวิตไป พระอาจารย์ท่านหนึ่งนั่งทางในได้รู้ว่า อดีตชาติของควายตัวนี้เป็นนายอำเภอที่จังหวัดและอำเภอนั้น ๆ (ลูกหลานยังอยู่ จึงไม่เปิดเผย) การเกิดเป็นควายของนายอำเภอครั้งนี้เป็นครั้งที่เก้าแล้วและเป็นครั้งสุดท้าย คำโบราณจึงเตือนสติไว้ว่า "หนึ่งชาติเป็นเจ้านาย ต้องเกิดเป็นควายเก้าชาติ" จึงพึงสังวร นายอำเภอที่ต้องเกิดเป็นควายนี้ เมื่ออยู่ในตำแหน่งหน้าที่ แม้จะไม่ได้ทำผิดคิดร้ายหนักหนา แต่ก็ต้องเกี่ยวกรรมทำเวรไว้ไม่น้อย ชาวบ้านฆ่าวัวควายจัดงานเลี้ยงให้ ความเข้าใจผิด ตัดสินความไม่ยุติธรรม ล้วนเกี่ยวกรรมให้เป็นได้ ที่รอดพ้นความตายมาได้ถึงหกครั้ง ก็คือผลบุญที่ยังส่งผลมาให้ กฏแห่งกรรมจึงน่ากลัวนัก !
-
สถานธรรมบนรถยนต์ : ครั้งหนึ่ง เหมารถตู้จากเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ ขึ้นดอยไปสงเคราะห์ชาวเขา เคยใช้บริการรถตู้อย่างนี้มากแล้วไม่เคยเห็นอย่างนี้เลยสักคัน
กล่าวคือ บนหน้ารถเหนือพวงมาลัยมีรูปบูชาของพระพุทธะ พระโพธิสัตว์มากมาย ทั้งองค์เล็กองค์ใหญ่ ทั้งเครื่องเคลือบ ทั้งทองสัมฤทธิ์ ทั้งทองคำ รวมหมดหนึ่งร้อยแปดองค์ เจ้าของรถก็จาระไนไม่ถูกแล้วว่า แต่ละองค์ได้มาอย่างไร เมื่อไร มีพระนามว่าอะไร รู้แต่ว่าตนเองรักมาก เคารพมาก และหวงมาก นอกจากองค์พระรูปบูชาร้อยแปดองค์แล้ว ยังมีตำหนักพระ "ธรรมกาลยุคขาว" จำลองขนาดหกถึงแปดนิ้วอีกหนึ่งหลังประดิษฐ์ได้ปราณีตสวยงามมาก บนหลังคาตำหนักพระขนาดเล็ก สลักรูปหงส์มังกรมีสีสรร ในตำหนักพระที่เปิดกว้างตรงกลาง ประดิษฐานพระศรีอารยเมตไตรย สองข้างคืออมตะพุทธะจี้กงกับพระโพธิสัตว์กวนอิม มีพุทธประทีปสามองค์สว่างด้วยไฟฟ้าแรงต่ำ ตรงกลางข้างหน้ายังมีกระถางธูปเล็ก ๆ มีธูปไฟฟ้าจุดธูปไว้ตลอดเวลาไม่มีวันมอดหมด กลางคืนจะเด่นชัดน่าคร้ามเกรง และทำให้อุ่นใจมาก คนขับเจ้าของรถเล่าว่า ตั้งแต่ประดิษฐานตำหนักพระ "ธรรมกาลยุคขาว" นี้แล้วโชคดีมาก มีเงินเกือบทุกวัน รายได้ไม่เคยขาด การเดินทางราบรื่นปลอดภัยโดยตลอด คนขับเล่าว่า ครั้งหนึ่งทีึ่อันตรายสุดขีด คือ ครั้งที่เขา ภรรยา ลูก และแม่ยาย รวมหกชีวิตจากเชียงใหม่จะกลับแม่สาย เชียงรายระยะทางสองร้อยกว่ากิโลเมตร เส้นทางคดเคี้ยว อ้อมภูเขาลูกแล้วลูกอีก ทางหักโค้ง หักศอก น่าหวาดเสียว แต่วันนั้นไม่ค่อยมีรถเป็นวันแดดจัด อากาศร้อนมาก มองไปข้างหน้า ถนนทั้งสายยาวเหยียด พยับแดดจนนัยน์ตาพร่ามัว คนขับตั้งใจขับ เพราะต้องรับผิดชอบชีวิตทั้งครอบครัว แม้จะง่วงและร้อนระอุ แต่ก็กัดฟันทน เพ่งนัยน์ตา แต่แท้จริง เขากำลังหลับในแล้ว ! เขามาได้สติอีกที เมื่อได้ยินเสียงลูกเมียร้องลั่น แต่ช้าไปเสียแล้ว เขาเหยียบคันเร่งหนึ่งร้อยสี่สิบกิโลเมตรต่อชั่วโมงขณะหลับในโดยไม่รู้ตัว และขณะนี้ รถของเขากำลังข้ามมาวิ่งอยู่ฝั่งขวารถตู้อีกคันหนึ่งที่วิ่งสวนมาข้างหน้ากระชั้นชิด ดูท่าจะต้องปะทะกันอย่างจัง ระยะเผาขนนั้นเอง รถที่สวนมาหักออกเฉียดหวือ รถซ้ายอยู่ทางขวา รถขวาอยู่ทางซ้าย ต่างคนต่างปลอดภัย มันเป็นไปได้อย่างไรกัน ! รถทั้งสองคัน ชะลอจอดแล้วต่างถอยหลังกลับมาหากันเพื่อจะปลอบขวัญหรือขอโทษขอโพยกันอย่างไร รถคันที่สวนมานับรวมทั้งคนขับสี่คน ในรถสองคันจึงรวมเป็นสิบชีวิต คนในรถทั้งสองคันต่างลงมาหากัน เล่าความตื่นเต้นของวินาทีขวัญกระเจิงสู่กันฟัง และต่างยิ่งประหลาดใจหนักขึ้นเมื่อได้พบว่ารถทั้งสองคันต่างมีตำหนักพระ "ธรรมกาลยุคขาว" จำลองขนาดเล็กรูปแบบเดียวกัน ตั้งอยู่ที่หน้ารถซ้ายมือคนขับเหมือนกันอย่างกับฝาแฝด ความตื่นตระหนกครั้งนี้ ไม่มีความเสียหาย ไม่มีใครโทษโพยใคร คนขับทั้งสองต่างยอมรับว่า นาทีสยองขวัญนั้น เขาต่างหลับในด้วยกันทั้งคู่ คิดไม่ตกว่า อะไรหรือที่บันดาลให้รถทั้งสองคันสับหลีกกันได้ในเสี้ยวของเสี้ยววินาทีโดยไม่ระคายแก่กันเลยแม้เพียงน้อยนิดเช่นนี้
-
แรงบุญทาน : ผู้จัดการของบริษัทขนส่งแซ่โค้ว อายุยังไม่ถึงห้าสิบปี ปกติชอบกินอาหารเนื้อสัตว์มัน ๆ โดยเฉพาะขาหมูตุ๋น เคยกินคนเดียวหนึ่งขาอยู่บ่อย ๆ
หลายปีก่อน ข้าพเจ้าเคยเตือนเขาว่า ถ้ากินอย่างนี้ต่อไป วันหนึ่งเส้นเลือดจะตีบตัน หรือคอเลสเตอรอลสูง ทำให้เส้นเลือดในสมองแตก แย่มากที่ข้าพเจ้าเตือนเขาแล้ว มันเกิดเป็นจริงตามนั้น เขาเป็นอัมพาตเสียแล้ว ! ผู้จัดการโค้วเป็นคนใจคอกว้างขวาง รักเพื่อนฝูง ผู้ไปเยี่ยมเยียนนอกจากพวกเราเพื่อนเกลอกอดคอกันมากลุ่มใหญ่แล้ว คนในวงการอื่น ๆ ก็มีมาก เดินเข้าออกบ้านเฮียโค้วกันขวักไขว่ เฮียโค้วผู้ป่วยจึงไม่เหงาเลย อีกทั้งยังมีกำลังใจที่จะต่อสู้กับชีวิตซึ่งกำลังใจจะเป็นยาวิเศษยิ่งสำหรับผู้ป่วยที่หมดทางรักษา คุณอวี๋ผู้สูงวัยเคยรับราชการและเป็นครู บุคลิกหน้าตาความรู้ดี พูดจาน่าเคารพ ท่านบอกว่า ผู้ป่วยสมัยนี้ แปดถึงเก้าในสิบคน ล้วนป่วยด้วยอาหารการกิน เช่น ผงชูรส เครื่องปรุงรสต่าง ๆ สารเคมีถนอมอาหาร วัคซีนในเนื้อสัตว์ อีกทั้งบางคนชอบอาหารเปิบพิศดาร สิงสาราสัตว์ งูเงี้ยวเขี้ยวขอ กินพิษภัยของมันเข้าไปในตัวเรา โรคธรรมดาบางอย่างยังพอรักษาได้ แต่โรคกรรมตามสนองแทบไม่ต้องรักษากันเชียว มันจะยืดเยื้อเรื้อรัง ทุกข์ทรมานนานเนื่องแล้วก็ตาย อมตะพุทธะจี้กงโปรดว่า กรรมตามสนองมีทั้ง "แฝงเร้น" มีทั้ง "ชัดแจ้ง" ที่แฝงเร้นจะไม่ค่อยรู้ชัด นอกจากผู้มีปัญญาระดับสูง เช่น บำเพ็ญใจ กล่อมเกลาจิตญาณปลูกฝังกุศลผลบุญ ให้กรรมสนองนั้นค่อย ๆ คลี่คลายไป อีกทั้งยังจะก่อเกิดชีวิตใหม่ กำหนดชะตาชีวิตได้ใหม่ เหมือนปลูกอะไรก็ย่อมได้ผลสิ่งนั้น สำหรับกรรมสนองที่ชัดแจ้ง เราจะรู้สึกได้ในชีวิตประจำวัน ในทางดี เช่น เราสงเคราะห์ช่วยเหลือใคร ๆ ก็จะได้รับความรักเคารพจากผู้คน นี่คือวาสนาจากคุณธรรมบารมี ในทางเลว เช่น ประทุษร้าย ทำลายชีวิตเขา วันหนึ่งวันใด เราก็จะต้องได้รับผลตอบสนองเช่นกัน หากเกเรเสเพลทำชั่วร้าย ไม่รักษากฏหมายบ้านเมือง ผลก็คือเข้าคุก ใช้อารมณ์บันดาลโทสะ ผลคือสุขภาพกายใจเสียหาย เบอร์นาร์ด ชอร์ จึงกล่าวว่า "เมื่อคนประหัตประหารชีวิตสัตว์ เคยชินกับการกินเนื้อเขา ก็จะไม่อาจหลีกเลี่ยงภัยสงคราม" ผู้ที่เจ็บป่วยประสบชะตากรรมเป็นประจำ มักจะเกี่ยวข้องกับเวรกรรมที่เขาเคยทำมา ที่เรียกว่า เขาคือ "เจ้ากรรมนายเวร"นอกจากการรักษาตามหลักการแพทย์แล้ว ยังจะต้องทำบุญ ให้ทาน ลบล้างความผิดบาปที่ผ่านมา ถ้าเจ้ากรรมนายเวรยอมผ่อนผันให้ อภัยให้ ก็จะหายได้ ให้ทานเป็นสุขวาสนา ปล่อยชีวิตสัตว์ บริจาคโลงศพ ร่วมพิมพ์หนังสือธรรมะ ล้วนเกิดบุญกุศล สงฆ์เป็นอัมพาต คุณอวี๋ก็สอนว่า สวดมนต์ไหว้พระอธิษฐานภาวนาอย่างเดียวไม่พอหรอก จะต้องให้ทานด้วย สงฆ์รูปนั้นทำตาม เงินทองที่สะสมไว้ บริจาคสงเคราะห์แก่คนยากจน ไม่นาน อาการก็กลับดีขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ ตั้งแต่ได้ฟังหลักธรรมจากคุณอวี๋แล้ว เฮียโค้วกับลูกเมียออกทำบุญให้ทานอย่างกว้างขวาง ปล่อยโคกระบือ ปล่อยสัตว์น้ำ ครั้งหนึ่ง ภรรยาเฮียโค้วกับลูกสาวไปซื้อโคที่โรงฆ่า พอดีรถบรรทุกโคกระยบือเข้ามา อยู่ ๆ โคตัวหนึ่งพังตาข่ายออกมาคุกเข่าตรงหน้าภรรยาและลูกสาวเฮียโค้ว ดวงตากลมโตมองดูแม่ลูกทั้งสองเหมือนวอนขอชีวิต ตั้งแต่ภรรยาเฮียโค้วไถ่ชีวิตโคตัวนั้นแล้ว อาการป่วยของเฮียโค้วหายวันหายคืน ที่ไม่น่าเชื่อคือ ขากลับจากไถ่ชีวิตโค ระหว่างทาง ภรรยาเฮียโค้วได้พบเพื่อนที่หายหน้าไปนานถึงสามสิบปี เพื่อนแนะนำอาหารยา คือไข่แซ่น้ำส้มให้ เฮียโค้วที่นอนแข็งทื่ออยู่บนเตียง ช่วยเหลืออะไรตัวเองไม่ได้เลยนั้น หลังจากที่ทางบ้านช่วยกันทำบุญให้ทาน อีกทั้งได้กินอาหารยาตำหรับโบราณจากมณฑลเฮยหลงเจียงที่มีสรรพคุณวิเศษยิ่ง ยังไม่ทันถึงสามเดือน ก็ลุกจากเตียงเดินได้ ช่วยเหลือตัวเองได้ เวลาผ่านไปหนึ่งปี บัดนี้ เฮียโค้วสุขภาพแข็งแรงปกติ ทุกคนในครอบครัวถือศีลกินเจ ทำบุญให้ทานสม่ำเสมอ เป็นครอบครัวคนบุญที่สมบูรณ์พูนสุขทุกประการ
ทำบุญให้ทานทำได้อีกหลายประการนอกจากทรัพย์เป็นทาน อาทิ
1. ให้ด้วยจิตปรารถนาดี ไม่เคลือบแฝงเสแสร้ง
2. ให้ด้วยสีหน้าอ่อนโยนมีรอยยิ้ม
3. ให้ด้วยสายตากรุณาปราณี
4. ให้ด้วยแรงกายช่วยเหลือ
5. ให้ด้วยวาจากล่อมเกลาสมานไมตรี
6. ให้ด้วยการสละที่นั่งแก่สตรี คนชรา คนอ่อนแอ
7. ให้ด้วยสถานที่เป็นกุศลประโยชน์ เช่นใช้บรรยายธรรม
-
ขัดข้อง : ข้าพเจ้ามีญา๖ิคนหนึ่งทำอุตสาหกรรมครัวเรือนเกี่ยวกับเครื่องหนัง สถานที่ประกอบการเป็นตึกแถวสี่ชั้นสามห้องอยู่ในซอย ชั้นสามชั้นสี่อขงอาคารใช้เป็นที่ประกอบการ ชั้นสองเป็น
ที่พักคนงาน ซอยนี้ไม่กว้างนัก แต่เป็นอาคารบ้านพักของคนชั้นกลาง ระดับสูงเสียส่วนใหญ่ เพื่อนบ้านด้านข้างของญาติเป็นครอบครัวชาวมุสลิม เพื่อนบ้านรายนี้กับญาติของข้าพเจ้าไม่ค่อยจะกินเส้นกันมาตั้งแต่ต้น โดยเฉพาะกับภรรยาของญาติซึ่งเป็ยนเถ้าแก่เนี๊ย ยิ่งเหมือนน้ำกับไฟที่เข้ากันไม่ได้เลย ถึงขั้นขีดเส้นกั้นพรมแดนกันทีเดียว สาเหตุคือ ญาติคนนี้มีรถหลายคัน หน้าบ้านไม่พอเป็นที่จอดรถได้ มักจะข้ามเขตไปจอดหน้าบ้านเขา จึงเกิดเป็นปากเสียงกัน บางครั้งงานเร่งเครื่องจักรมีเสียงรบกวน ตำรวจก็จะมาจัดการตามคำร้องเรียนที่เพื่อนบ้านโทรแจ้งไป ทำให้ญาติของข้าพเจ้าขัดเคืองใจ ที่ทำใจได้ลำบากที่สุดคือ พ่อแม่สองบ้านกำลังทะเลาะกัน แต่ลูกของทั้งสองบ้านกลับนั่งเล่นเกมส์อยู่ด้วยกันอย่างรักใคร่กลมเกลียว มิไยที่พ่อแม่ทั้งสองฝ่ายจะเรียกให้แยกออกมาจากกันอย่างไร เด็กก็ไม่สนใจ ครั้งหนึ่ง ข้าพเจ้าผ่านไปเยี่ยมเยียน ญาติถามว่า กรณีนี้มีทางแก้ไขอย่างไรได้บ้างไหม เพราะนี่มันเป็น "จำใจอยู่กับสิ่งที่ชิงชัง" ความทุกข์ประการหนึ่งในความทุกข์แปดประการ บางครั้ง ทุกข์จนอยากจะย้ายบ้าน แต่ก็ทำไม่ได้เพราะลงทุนไปมาก ข้าพเจ้าถามญาติที่เป็นเถ้าแก่เนี๊ยว่า "กรณีพิพาททุกอย่างมีทางแก้ไข เธอกล้าเสียสละเงินสักสี่ซ้าห้าหมื่นไหมล่ะ" (ผมรู้ว่าเงินแค่นี้มันเรื่องเล็กสำหรับเธอ) ที่บอกว่าเสียสละเงิน เพราะข้าพเจ้ายังไม่รู้ว่าใช้เงินไปแล้วจะได้ผลหรือไม่ ซึ่งมันขึ้นอยู่กับจิตใจของเธอด้วยเป็นสำคัญ เธอตอบตกลง ข้าพเจ้าจึงสอนให้เธอใช้เงินจำนวนนี้สร้างซื้ออะไรก็ได้ที่จำเป็นแก่ชีวิตของคน ขัดข้อง แต่เงินทุกบาททุกสตางค์ที่ทำบุญไป จะต้องให้ในนามของเพื่อนบ้านคู่อริกันนี้ ญาติของข้าพเจ้าได้ยินประโยคสุดท้าย สีหน้าอนุโมทนาบุญหดหายกลายเป็น ขัดข้อง ทันที เธอโพล่งออกมาว่า "มันเป็นตัวร้ายที่ให้ทุกข์แก่เรา เรายังจะต้องสร้างบุญให้มันอีกหรือ" เมื่อญาติทำใจไม่ได้ แสดงหลักธรรมให้แล้วยัง ขัดข้อง อยู่ ข้าพเจ้าจึงจำใจต้องลากลับ ปล่อยให้เธอเผชิญปัญหา ขัดข้อง ต่อไป ครึ่งปีผ่านไป ข้าพเจ้าได้พบญาติผู้นี้อีก จึงถามทุกข์สุขและถามถึงปัญหาเพื่อนบ้าน ญาติแสดงสีหน้าทุกข์ยิ่งกว่าเก่า เล่าว่า "ไม่รู้ชาติก่อนก่อกรรมทำเข็ญอะไรไว้ จึงต้องจำทนอยู่กับมันอย่างนี้ เมื่อวันก่อนออกรถป้ายแดง คนงานไม่ทันระวัง เข็นเลยเส้นกั้นอาณาเขตไปหน่อยเดียว มันเอาตะปูขีดข้างรถเป็นทางยาวลึก ไปแจ้งความ ตำรวจก็เอาความมันไม่ได้ เพราะอาจจะเป็นเด็กเล่นซนแถวนั้นก็ได้... ที่แย่มากก็คือ ตำรวจมาตรวจบ่อยมาก เดี๋ยวก็มีคนไปแจ้งว่าใช้แรงงานเด็ก เดี๋ยวก็แจ้งว่า เสียงรบกวน กลิ่นหนังรบกวน น้ำสกปรกรบกวน ... อยู่ไม่เป็นสุขเลย ข้าพเจ้าพูดอย่างไม่เกรงใจเหมือนสมน้ำหน้าว่า "ถ้าทำใจได้เสียตั้งแต่วันนั้น สร้างบุญอุทิศส่วนกุศลให้เขาไป ก็อาจจะไม่ต้องทนทุกข์อยู่จนทุกวันนี้ก็ได้" ครั้งนี้ ญาติดูอย่างกับจะต้องยอมรับเงื่อนไขนี้แล้ว เธอถามว่า จะให้ทำอย่างไรต่อไป ข้าพเจ้าบอกให้เธอไปทำตามที่เคยสอนไว้ ย้ำความสำคัญว่าอยู่ที่ใจ ใจเราไม่เคียดแค้น ใจเขาก็จะลดความเคียดแค้นลง ใจเราไม่ชิงชัง ใจเขาก็จะลดแรงชิงชังลง... เรื่องราวและเวลาผ่านไป ซึ่งข้าพเจ้าไม่กล้าคาดหวังว่า อะไรจะดีขึ้นได้ วันหนึ่ง ญาติโทรศัพท์มาหา ฟังเสียงของเธอในโทณศัพท์อย่างกับสะท้านสั่นเครือ เธอถูกทำลายหรือ...หรือ...ผมเดาไม่ถูก จุงถามไปว่า "สร้างบุญทานให้เขาแล้วดีขึ้นไหม" เธอตอบว่า "ทีแรกฉันไม่กล้าคาดหวังว่าอะไรจะดีขึ้นได้ แต่เดี๋ยวนี้เราจอดรถหน้าบ้านของเขาได้แล้ว..." ข้าพเจ้าจึงรู้ได้ว่า เสียงสั่นเครือนั้น เกิดจากความขอบคุณและปิติดีใจเป็นที่สุดนั่นเอง
-
อาศัยใช้ร่าง : ห่างจากกรุงเทพฯไปสี่ร้อยกิโลเมตร คืออำเภอบางสะพาน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ที่นั่นมีวัดธรรมารมณ์ ทั่วไปเรียกว่า "วัดถ้ำม้าร้อง"
เล่ากันว่า ในครั้งรัชกาลที่หนึ่ง สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก เสด็จประพาสภาคใต้ ได้ประทับอยู่ ณ วัดนี้ ตกกลางคืน ม้าทรงของพระองค์ถูกขโมยไปรุ่งขึ้นพอสดับเหตุ พระองค์ทรงพระพิโรธนัก กำหนดให้ภายในสามวัน จะต้องหาม้ากลับคืนมาให้ได้ ดังนั้น ทุกคนจึงออกติดตามหากันจ้าละหวั่น สามวันผ่านไปไม่มีร่องรอยม้าแม้แต่เบาะแส เหลือเวลาเพียงสองชั่วโมงก็จะค่ำ ผู้รับผิดชอบกองพระราชพาหนะร้อนรนมาก รู้ว่าไม่พ้นที่หัวจะหลุดออกจากบ่าเป็นแน่แท้ จึงจุดธูปกำใหญ่วอนขอต่อฟ้าเบื้องบน ธูปยังไม่ทันเผาไหม้หมดไป พลันก็ได้ยินเสียงม้าร้องติด ๆ กันหลายที เงี่ยหูฟังไปตามเสียงก็ได้พบว่า เสียงดังมาจากถ้ำใกล้ ๆ นั้น นายกองม้าดีใจมาก นำทหารออกตามเสียงเข้าถ้ำไป เป็นความจริงคือ โจงขโมยม้าไปแล้วเห็นว่ามีการตรวจสอบค้นหากันหนาแน่น เกรงจะหนีไปไม่รอด จึงนำม้ามาผูกซ่อนไว้ในถ้ำก่อน รอจนกว่าพระองค์เหนือหัวเสด็จกลับไปแล้ว จึงจะกลับมาเอาม้า เขาคิดว่า น่าจะไม่มีใครรู้เห็น แต่หารู้ไม่ พอนายกองม้าถวายธูปวอนขอต่อฟ้าเบื้องบน เรื่องราวก็ต้องโจ่งแจ้งทันที เหตุที่ได้ม้ามาจากถ้ำนี้ ถ้ำนี้จึงได้รับพระราชทานนามว่า "วัดถ้ำม้าร้อง" หลายปีก่อนท่านเจ้าอาวาสวัดถ้ำม้าร้องเคยเชิญให้เราไปจัดประชุมอบรมธรรมแก่ชาวบ้านหลายครั้ง แต่ละครั้งมีสาธุชนามเข้าร่วมรับการอบรมมากมาย ปัจจุบันยังได้จัดการบรรยายพุทธธรรมประจำปี ปีละหนึ่งครั้ง การประชุมอบรมธรรม (ฝ่าฮุ่ย) ของอาณาจักรธรรม ผู้เข้ารับการอบรมจะต้องลงทะเบียน ลงชื่อนามสกุล อายุ เพศ ที่อยู่... ครั้งหนึ่ง หญิงวัยสามสิบกว่า คนหนึ่ง มาลงทะเบียนด้วยแต่เธอเขียนว่า ตนเองคือเด็กชายปรีชา อายุสิบสองปี คุณเฉินซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบงานนี้ ติงว่าเธอเขียนผิด แต่เธอกลับยืนยันว่า เธอคือเด็กชายปรีชา อายุสิบสองปี คุณเฉินพยายามพูดจากับเธอให้ลงทะเบียนตามความเป็นจริง พูดฟังกันไม่รู้เรื่อง จนคุณเฉินชักโมโห เข้าใจว่า เธอตั้งใจกวนโทสะ จึงพูดแรง ๆ กับเธอว่า "ถ้าไม่ลงให้ถูกต้อง ถึงจะเป็นผีก็ไม่ยอมให้เข้ามาฟังธรรม" เมื่อถูกเอ็ดและถูกปฏิเสธ เธอดูเศร้ามาก จำใจลุกจากไป เธอไปแล้ว ชาวบ้านจึงบอกเราว่า "เธอเป็นผี"เราสะดุ้งไม่น่าเชื่อแต่ชาวบ้านต่างยืนยันว่า "เธอเป็นผีจริง ๆ เราเห็นจนชินแล้ว" พระครูเจ้าอาวาสก็ยืนยันตรงกับชาวบ้าน อีกทั้งเล่าเรื่องราวให้เราฟังว่า ... เด็กชายปรีชา เป็นเด็กวัดที่นั่น อายุสิบสองปี ฐานะยากจนมาก ทุกเช้าจะต้องติดตามพระไปบิณฑบาต กลางวันเรียนหนังสือที่โรงเรียนในวัด กลางคืนนอนที่วัด วันอาทิตย์วันหยุดจะไปรับจ้างขนของที่สถานีรถไฟ หาเงินมาเป็นค่าเครื่องเขียนเล็ก ๆ น้อย ๆ ซึ่งบางทียังทำบุญค่าน้ำค่าไฟในวัดอีกด้วย เด็กชายปรีชาเป็นเด็กดี ขยัน ทุกคนเอ็นดูเขา วันหนึ่ง ขณะช่วยแม่ค้าขนของลงจากรถไฟ รถไฟกำลังเคลื่อนออกจากสถานี เด็กชายปรีชาพลาดตกจากบันได ถูกรถไฟทับตาย หลังจากนั้น หลาย ๆ คนมักได้ยินเสียงร้องไห้รำพันอย่างเศร้าโศกเสียใจของเด็กชายในยามค่ำคืน สร้างความหวาดผวาอาดูรแก่ผู้ที่ได้ยินยิ่งนัก สี่เดือนต่อมา นางน้อย อายุสามสิบสามปี แม่ค้าขายไก่ย่างที่สถานีรถไฟ เป็นภรรยานายฉุย ช่างซ่อมทางรถไฟ มีลูกชายเล็ก ๆ สองคน วันนั้น นางบ่นว่าเวียนหัว ไม่ขายไก่ย่าง นอนพักอยู่กับบ้านอยู่ ๆ พลบค่ำก็เรียกไม่ตื่น เพื่อนบ้านช่วยกันนำส่งโรงพยาบาล หมอบอกว่านางหัวใจวายตายเสียแล้ว นายฉุยร้องไห้หัวฟัดหัวเหวี่ยง ไม่คิดว่าปุปปัปจะต้องสูญเสียคู่ชีวิตไปอย่างนี้ คืนนั้น ศพนางน้อยตั้งรอสวดอภิธรรมอยู่ในศาลาวัดท่ามกลางคนที่มาช่วยงาน ยังไม่ทันบรรจุศพ อยู่ ๆ นางน้อยก็ลุกขึ้นยืน ทุกคนวิ่งหนีกันกระเจิง นายฉุยดีใจนึกว่าได้ภรรยาคืนมา แต่นางน้อยเห็นลูกเห็นสามีเหมือนเห็นคนอื่น นางว่าตนเองคือเด็กชายปรีชา อายุสิบสองปี จะกลับไปเป็นเด็กวัดดังเดิม โดยไม่รับรู้คำชี้แจงบอกกล่าวของใครเลย เพื่อไม่ให้เกิดความเสื่อมเสียแก่พระ เณร ทุกคนจึงขอให้เด็กชายปรีชาในร่างของนางน้อยไปอาศัยอยู่บ้านของนายฉุยชั่วคราว ซึ่งคิดว่าจะรื้อฟื้นความทรงจำในความเป็นแม่เป็นภรรยาได้ แต่ก็ไร้ผล นางน้อยยังคงเป็นเด็กชายปรีชา อายุสิบสองปีตลอดเวลา เมื่อกลับไปอยู่วัดแล้ว ถูกหลวงพี่ที่เคยนอนอยู่ด้วยกันไม่ให้ขึ้นกุฏิ เด็กชายปรีชาในร่างของนางน้อยก็ยังไม่ยอมกลับไปบ้้านนายฉุย แต่ยินดีที่จะไปนอนในโรงไม้ที่เก็บโลงเปล่า อาศัยนอนในโลงเปล่า เช้าก็ไปรับจ้างยกของที่สถานีรถไฟเหมือนอย่างเคย ความเป็นเช่นนี้ที่ชาวบ้านรู้เห็นเป็นจริงอยู่ทุกวันจนเคยชิน ทำให้ไม่มีใครกลัวผีของเด็กชายปรีชาในร่างของนางน้อย และเหมือนจะยอมรับโดยเห็นเป็นธรรมดา แต่คุณเฉินผู้รับลงทะเบียน ไม่ทราบเรื่องมาก่อน เด็กชายปรีชาในร่างของนางน้อยจึงถูกเอ็ด ถูกปฏิเสธการเข้ารับการอบรมธรรม ต้องเดินคอตกจากไป
-
สามหมอ : เป็นอีกครั้งหนึ่งที่แปลก ในวันเดียวกันได้ไปเยี่ยมหมอถึงสามคน คนแรกคือหมอญาติกัน อยู่ขอนแก่น เรียกชื่อย่อว่าหมอ
ป. แล้วกัน หมอ ป. เป็นแพทย์แผนปัจจุบัน ทำงานที่โรงพบาบาลจังหวัดมาแล้วสามสิบกว่าปี ปีสุดท้ายก่อนเกษียณ เกิดน้ำตาลในโลหิตพุ่งกระฉูด ยาคุมไม่อยู่ ทั้ง ๆ ที่รักษาเบาหวานแก่ตนเองมานับสิบปี ครั้งนี้บังเอิญได้แผลที่เท้าทั้งสองข้าง นั่งรถเข็นมาแล้วหกปี กลับจากขอนแก่นผ่านปากช่อง ถือโอกาสเยี่ยมหมอ ก. ที่ชอบพอกันมานาน หมอ ก. ทำงานกับโรงพยาบาลประจำอำเภอมานานเกือบยี่สิบปี เมื่อปีที่อายุได้สี่สิบเก้า ความดันโลหิตขึ้นเฉียบพลัน เส้นโลหิตในสมองแตก เป็นอัมพาตมาเกือบยี่สิบปีแล้ว หมอหลิน หมอคนที่สามเป็นหมอจีนแผนโบราณอยู่กรุงเทพฯ เป็นทั้วครูเป็นทั้งเพื่อน อายุแปดสิบสี่ปี ยังสดชื่นแจ่มใสดี คณะของเราตระเวณเยี่ยมเพื่อนมีสามคน ทุกคนเป็นโรคอย่างเดียวกันหมดคือ "เห็นหมอเป็นต้องป่วย" อดไม่ได้ที่จะให้หมอตรวจดูสักหน่อย อะไรทำนองนั้น ก่อนลากลับ หมอให้ของขวัญล้ำค่าติดมือมา มีหนังสือคติธรรม กับแท่นฝนหมึกจีน แต่น่าเสียดายที่ข้าพเจ้าเขียนพู่กันจีนไม่ได้เรื่องเลย หมอหลินผู้ให้คงผิดหวัง ผู้ร่วมทางคนหนึ่งถามข้าพเจ้าว่า "ทำไมสามหมอจึงมีสภาพต่างกันอย่างนี้" ข้าพเจ้าตอบสั้น ๆ ว่า "ตามกรรม" แต่แล้วก็ต้องขยายความจนได้ว่า หมอ ป. เป็นหมอผ่าตัด เป็นหมอนักเรียนนอกผู้เชี่ยวชาญศัลยกรรม ครั้งหนึ่ง ผู้ป่วยอุบัติเหตุศรีษะฟาดพื้นคนหนึ่งถูกส่งมาโรงพยาบาล หมอ ป. เรื่อนเฉื่อย ซึ่งอาจเห็นว่าเป็นชาวบ้านยากจน ชีวิตไร้ค่าหรืออย่างไรไม่ทราบ ผู้ป่วยรายนี้ตายโดยไม่ได้รับการผ่าตัดรักษา เหมือนไม่แยแส ต่อมา ผู้ป่วยอีกรายหลายที่ถึงโรงพยาบาล ถึงหมอผู้เชี่ยวชาญแล้ว ก็ยังไม่ได้รับความใส่ใจช่วยเหลืออย่างรวดเร็วทันการ ทำให้ต้องเสียแขน เสียขา ทุพพลภาพ หรือตายไปอีก จนเคยมีญาติผู้ป่วยร้องไห้ตะโกนลั่นโรงพยาบาลแช่งด่าหมอ ป.ว่า "ให้มันขาด้วน ๆ" ส่วนหมอ ก. นั้น เป็นถึงผู้อำนวยการโรงพยาบาล มนุษย์สัมพันธ์ดี ความรู้ดี ใส่ใจผู้ป่วยดี แต่ชอบมีส่วนกินนอกกินใน จะซื้อยา ซื้ออุปกรณ์การแพทย์ไว้ใช้ในโรงพยาบาล หรืออะไรที่เกี่ยวกับเงิน ๆ ทอง ๆ ผ่านมือหมอ ก.ละก็ เป็นต้องชักเปอร์เซ็นต์หรือเพิ่มราคา กินแม้กระทั่งเงินที่เกี่ยวกับการบริจาคโลหิต จนได้สมญาว่า "หมอโลหิต" ซึ่งเป็นที่รู้กันทั่วไป หมอ ก. เป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลเก้าปี ก็ซื้อที่ดินได้หลายผืน ตั้งโรงงานผลิตยาเอง ปีนั้นอายุสี่สิบแปด กำลังจัดพิธีเปิดป้ายโรงงานผลิตยาโรงที่สอง คงจะเหนื่อยหนักเกินไป เส้นโลหิตในสมองแตก หมดความรู้สึกไปสี่สิบเก้าวัน ฟื้นอีกทีก็ต้องอยู่ในสถาพที่กระดิกกระเดี้ยไม่ได้เสียแล้ว ส่วนหมอหลิน ที่รู้จักกันมายี่สิบกว่าสามสิบปี เป็นหมอที่เรียกได้ว่า "หมอโพธิสัตว์" รักษาไปด้วย สอนกฏแห่งกรรมไปด้วยให้ธรรมะ ให้วิชาความรู้ ให้กำลังใจ ให้กายยภาพบำบัด จนผู้สูงอายุมากมายที่เริ่มเป็นโรคชรา กลับมีชีวิตชีวาขึ้นมาอย่างประหลาด สำหรับตัวหมอหลินเอง ดูแลรักษากายใจด้วยธรรมะ ด้วยอาหารธรรมชาติ และรำมวยไท้เก๊กมาเกือบสี่สิบปีแล้ว บวกกับบุญทานที่สร้างอยู่เป็นประจำ จึงไม่น่าแปลกใจว่า บัดนี้อายุแปดสิบสี่ปีแล้ว ยังกระฉับกระเฉงอยู่
-
คนขายปลาจีน : สิบสองปีมานี้ เจ๊ลั้งเข้าโรงพยาบาลติดต่อกันไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ผ่าตัดใหญ่สามครั้ง ถูกควัก ถูกเจาะ ถูกตัดอวัยวะแล้วยังต้องใส่สายระยางบนตัว ให้เลือด ให้ออซิเจน ท่อ
ระบายปัสสาวะ ท่อดูดเสมหะ... ทุกข์ทรมานจริง ๆ สุดท้าย เจ๊ลั้งตายด้วยโรคพิษงูสวัดเข้าหัวใจ เมื่ออายุหกสิบสองปี เจ๊ลั้งมีหลานสาวบวชเป็นชี แม่ชีบอกว่า ไม่เคยเห็นใครเจ็บป่วยมาราธอนอย่างนี้เลย นี่เป็นเพราะอาชีพขายปลาเป็นบาปเวรแท้ ๆ แม่ชีขอให้เลิดอาชีพนี้ ถือศีลกินเจ ทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ปลาเหล่านั้น แต่เจ๊ลั้งยังเห็นแก่รายได้ และอ้างว่าลูกยังไม่โตพอที่จะวางลงได้่ เจ๊ลั้งมีลูกชายหญิงสองคน สามีถูกรถชนตายเมื่อเธออายุได้ยี่สิบแปดปี เธออดทนเลี้ยงดูลูกด้วยการขายปลาเมืองจีน ปลาเมืองจีนคือ พวกปลากะพงตัวใหญ่ ๆ ที่จีนเรียกว่า หลิ่งฮื้อ ส่งฮื้อ เฉาฮื้อ เหล่านี้ ปลาเหล่านี้เมื่อก่อนมาจากเมืองจีน ยังไม่ได้แพร่พันธุ์ในไทย จึงเรียกว่า ปลาเมืองจีน ปลาเมืองจีนเป็นที่นิยมของผู้บริโภคมาก แต่ราคาแพง ตัวใหญ่ ครอบครัวเล็กกินไม่หมด จึงต้องสับขายครึ่งตัว บางครั้งเจ๊ลั้งเห็นขายไม่ดี ก็จับปลาเป็น ๆ ที่แช่น้ำอยู่ในถังขึ้นมา สับกลางลำตัวเป็นสองท่อน ท่อนหางโยนลงถังไป ท่อนหัวแขวนตะขอเรียกลูกค้า เพราะปลายังไม่ตายจึงอ้าปากพะงาบ ๆ เลือดกับน้ำไหลหยด ลูกค้าก็ช่างใจดำอำมหิต คิดแต่จะกินของสด โดยเฉพาะค่านิยมผิด ๆ อย่างที่คนก่อนเก่าเชื่อกันว่า "คนใหญ่กินหัวปลา คนต่ำกว่ากินหาง" พอเห็นหัวปลาโดด ๆ ก็นึกถึงสถานภาพ นึกถึงฐานะตนขึ้นมาทันที นี่เป็นจิตวิทยาอย่างหนึ่ง จึงต่างยินดีซื้อหัวปลาไปประกอบอาหาร เรียกว่าเอาแต่ได้ ไม่คำนึกถึงชีวิตจิตใจ ความเจ็บปวดรวดร้าวที่ปลาต้องได้รับอยู่ การค้าหัวปลาสด ๆ โดยอาศัยจิตวิทยาสรร้างค่านิยมอย่างนี้มีมานานแล้ว และบัดนี้ยิ่งแพร่หลาย เจ๊ลั้ง ค้าหัวปลาสดอย่างนี้มายี่สิบสามสิบปีแล้ว ฐานะความเป็นอยู่ร่ำรวย มีทรัพย์สมบัติเพิ่มมากขึ้นทุกอย่างที่ต้องการ ลูก ๆ ก็ได้ใช้ชีวิตสมบูรณ์พูนสุขตามความพอใจ แม่ชีหลานสาวเตือนอาอยู่เรื่อยมาว่า ให้เลิกอาชีพนี้ แทนที่จะฟััง เจ๊ลั้งยังกลับจ้างลูกจ้างขยายอาชีพตัดท่อนลำตัวปลาเป็น ๆ ขายอีกด้วย สิบปีระยะใกล้มานี้ เจ๊ลั้งเจ็บป่วยเกือบตลอดเวลา ภายหลังยังได้พบเชื้อมะเร็งในกระเพาะลำไส้ จึงต้องตัดลำไส้ท่อนหนึ่งไป อีกครั้งหนึ่ง ตับอักเสบเฉียบพลัน การรักษาแผลใหม่ในระยะแรกเริ่ม จะใช้วิธีเจาะหน้าท้อง ดูดเลือดหนองที่อักเสบออกมา ซึ้่งมีผลต่อการรักษาดีทีเดียว แต่สำหรับเจ๊ลั่ง วิธีนี้ไม่มีผล จึงต้องทนทรมานรับการผ่าตัดใหญ่ สุดท้ายยังต้องผ่าตัดเปลี่ยนไตอีก เจ๊ลั้งที่เคยว่องไวใจเด็ด เงื้อมีดฟันฉับลงบนปลาเป็น ๆ ตัวใหญ่วันละหลายสิบตัว บัดนี้ เจ๊ลั้งมีแต่ความทุกข์เศร้า และบอกกับลูกว่า อย่าทำอาชีพนี้อีกเลย ต้นปีที่แล้ว เจ๊ลั้งเป็นงูสวัดคาดรอบเอว แรกเริ่มคิดว่าเป็นโรคผิวหนังธรรมดา กิน - ทายาเป็นประจำ แต่แผลกลับลุกลาม ปวดบวม จึงไปหาหมอ แผลดูอย่างกับไม่เลวร้ายลง แต่หารู้ไม่ว่า พิษกระจายเข้าเส้นเลือด เข้าตับ เจ๊ลั้งต้องรับโทษทัณฑ์จากกฏแห่งกรรมอยู่นานถึงสิบปี จึงลืมนัยน์ตาขุ่นมัวนิ่งงันเหมือนนัยน์ตาปลา มองดูหนทางเวิ้งไกลไร้จุดหมายอยู่ จนกระทั่งมีผู้มาพบว่า เจ๊ลั้งสิ้นใจไปแล้วหลายชั่วโมง
-
กรรมพันธุ์ : ในงานเลี้ยงวันนั้น ได้พบกับหลานชายของเพื่อนเก่าโดยบังเอิญ เมื่อถามทุกข์สุขแล้ว ทำให้ต้องสะเทือนใจ ได้รู้ว่าเพื่อนเก่าอายุเจ็ดสิบปีเป็นอัมพาตครึ่งตัวอยู่ห้าปี ได้เสียชีวิตไปแล้ว
ซึ่งลูกชายของเพื่อนเก่า ภายหลังเมื่ออายุได้หกสิบห้าปี ก็ประสบชะตากรรมเช่นเดียวกับพ่อ และบัดนี้ หลานสาวของเพื่อนเก่าอายุห้าสิบปี ก็กำลังเป็นอัมพาตครึ่งตัวนอนแซ่อยู่บนเตียงมาแล้วหนึ่งปี หลานชายคนนี้จึงถามข้าพเจ้าว่า โรคนี้มีกรรมพันธุ์หรือไม่ ถ้าไม่มี ทำไมปู่ พ่อ พี่สาวของเขา จึงเป็นไปตาม ๆ กัน หลานชายเคยได้ยินข่าวที่ข้าพเจ้าเผยแพร่อาหารไข่น้ำส้มยาวิเศษที่ใช้รักษาอาการนี้โดยเฉพาะ อีกทั้งป้องกันโรคต่าง ๆ ได้ถึงห้าสิบโรค หลานชายเกรงว่า ตนเองจะต้องเรียงลำดับเข้าไปอีกคน ข้าพเจ้าตอบว่า "สรรพคุณที่ประกาศนั้นเป็นจริง เพราะขยายหลอดเลือดที่อุดตันได้ชะงัด ส่วนโรคนี้จะเป็นกรรมพันธุ์หรือไม่ ยังไม่ชัดเจน แต่สำหรับนิสัยใจคอเป็นกรรมพันธุ์นั้นเห็นได้ เช่น ปู่ของเธอชอบดื่ม พ่อของเธอก็ชอบดื่ม แต่พี่สาวของเธอชอบดื่มหรือไม่ ข้าพเจ้าไม่ทราบ พฤติกรรมที่ทำตาม ๆ กันมาดังนี้ เรียกได้ว่า กรรมพันธุ์ แต่หลานชายไม่ดื่มเลย ก็คงจะไม่ข้องแวะกับกรรมพันธุ์ หลานชายยิ้มออกมาได้ เมื่อข้าพเจ้ากล่าวเช่นนี้ เฮียหลี่ที่ร่วมโต๊ะ นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ จึงขอเล่าว่า ... เขาเองมีลูกสาวเป็นพยาบาล อยู่แผนกสูตินารีเวชที่โรงพยาบาลประจำจังหวัด ทำงานอยู่หลายปี นับเป็นพยาบาลชำนาญงานทีเดียว วันหนึ่ง เธอรับคลอดเด็กเพศชายแข็งแรงคนหนึ่ง แต่ต้องจับหิ้วขาให้ทารกห้อยหัวลง ตบก้นให้ร้องจ้้่าเสียก่อนแล้วจึงอุ้มไปอาบน้ำชำระคราบไข เพราะทารกออกมาหน้าเขียวไม่ร้อง อาบน้ำเสร็จ สวมเสื้อ ถุงมือ ถุงเท้าห่อผ้าอ้อมผ้าขนหนูเสร็จ ก็ส่งไปให้แม่ที่ลืมความเจ็บปวดแสนสาหัสเมื่อสักครู่เสียสิ้น กำลังทอดสายตาดูที่ประตูห้องว่าเมื่อไหร่พยาบาลจึงจะส่งลูกเข้ามาให้ พอได้กอดลูกไว้ในอ้อมอกเท่านั้น สิ่งใด ๆ ในโลกก็ไม่สำคัญเสียแล้วสำหรับแม่ แต่พยาบาลสิใจหายวาบ เมื่อสังเกตเห็นแหวนเพชรบนนิ้วนางหายไป หายไปได้อย่างไร ตั้งแต่เมื่อไหร่ เธอทบทวนความจำ ก่อนอาบน้ำเด็ก ยังอยู่... หรือร่วงหลุดไปกับความลื่นของสบู่ ถูกน้ำราดลงท่อระบายไปแล้ว... โธ่...มันเป็นแหวนที่เธออยากจะประกาศให้ก้องโลกว่ากว่าจะพิชิตจิตใจหมอคู่หมั้นมาได้ เธอต้องฝ่าฟันอุปสรรคจากผู้หญิงมากมายที่หมายปองหมอสุดหล่อสุดดีคนนี้... แต่ขณะนี้ แหวนหมั้นที่แสดงถึงชัยชนะอันยิ่งใหญ่ หายไปจากนิ้วนางของเธอ เธอจึงสติแตกเหมือนแมลงวันหัวขาด รื้อค้น ชนหัว คุ้ยหาไปทั่ว เธอได้แต่ร้องไห้ เพราะหาอย่างไรก็ไม่พบ สุดท้าย เธอต้องตั้งสติ... จึงได้ความคิดว่า อาจจะหลุดอยู่ในผ้าห่อตัวเด็กก็เป็นได้ จึงถลันตรงไปที่ทารกนั้น รื้อผ้าที่ห่อตัว ดึงถุงมือถุงเท้าเด็กออก แต่ยังคงไม่พบ ขณะที่เธอกำลังสิ้นหวังอยู่ พลันนึกได้ว่า แม้ไม่น่าเป็นไปได้แต่ก็ต้องทำ เธอแกะมือที่กำแน่นของทารกน้อยออกดู แล้วเธอก็ต้องตกตะลึง แหวนเพชรอยู่ในกำมือของเด็กทารกน้อย ด้วยความที่เป็นคนละเอียดรอบรู้ พยาบาลสืบประวัติพ่อแม่ของทารกน้อยจนถึงที่สุด ผลปรากฏว่า พ่อแม่ของทารกเคยถูกจับหลายครั้งด้วยข้อหาล้วงกระเป๋า เฮียหลี่ทิ้งท้ายว่า "นี่แหละกรรมพันธุ์" เล่นเอาพวกเราหัวเราะกันครืน
-
อุดดัน : นายแดง ช่างรับเหมาก่อสร้าง รู้จักกับข้าพเจ้าเป็นอย่างดี ครั้งนี้มารับเหมาสร้างบ้านให้ ฝีมือดี ค่าแรงถูก ประหยัดวัสดุ ไม่บานปลาย ใช้เวลาสั้นกว่าที่กำหนดไว้ นายช่างอย่างนี้จะหาได้
ที่ไหน นายแดง เป็นคนอิสาน ขณะนี้อายุหกสิบปีแล้ว ไม่รับจ้างก่อสร้างที่ไหนอีก มีแต่ปฏิสังขรณ์ซ่อมแซมวัดวาอาราม ได้ค่าแรงพอประทังชีวิตวันละหนึ่งร้อยกว่าบาท บางคราวหลวงพ่อเจ้าอาวาสขาดเงินไม่จ่ายค่าแรง นายแดงก็อยู่ทำต่อไปได้ไม่เรียกร้อง เพราะลูก ๆ ต่างมีงานการทำ ภรรยาอายุเท่ากันก็บวชเป็นชี นายแดงไม่มีภาระรับผิดชอบใครจึงไม่ต้องดิ้นรน นายแดงก่อสร้างมาหลายปี มีชื่อเสียงมากในวงการ ใคร ๆ ก็อยากได้ตัวไปร่วมงาน แต่เขาปฏิเสธหมด ครั้งนี้ ที่ขอให้มาสร้างบ้านได้ เพราะเจ้าอาวาสได้ช่วยคะยั้นคะยอ พอก่อสร้างเสร็จแล้ว ข้าพเจ้าให้ซองแดงเป็นรางวัล และนัดเชิญล่วงหน้าให้มางานฉลองบ้านใหม่ วันทำบุญบ้าน นายแดงไม่ได้มา บ่ายจึงเห็นพี่ขาวผู้ช่วยของนายแดงมางาน พี่ขาวว่านายแดงฝากซองมาร่วมทำบุญ แต่ตัวเองต้องเข้าโรงพยาบาลกระทันหัน คืนนั้น ข้าพเจ้าจับรถขึ้นอิสานพร้อมกับพี่ขาวเพื่อไปเยี่ยมนายแดง ลูกชายนายแดงซึ่งเฝ้าดูแลพ่ออยู่ที่โรงพยาบาลบอกว่า "พ่อปัสสาวะไม่ออก" กำลังอยู่ในห้องผ่าตัด ข้าพเจ้าถามว่าเป็นนิ่วหรืออย่างไร ลูกชายว่าไม่ใช่ แต่อยู่ ๆ ท่อปัสสาวะก็จะอุดตันสักวันสองวัน เจ็บปวดทุกข์ทรมานสาหัสสากรรจ์มาสี่ครั้งแล้ว ขณะที่คุยกันอยู่ ท่านเจ้าอาวาสที่นายแดงอาศัยอยู่ด้วยก็มาเยี่ยม ข้าพเจ้าจึงคุยกับท่าน ได้รับข้อเท็จจริงเบื้องหลังการเจ็บป่วยของนายแดงมาว่า "ประมาณเมื่อสามสิบปีก่อน นายแดงกับภรรยายังอายุน้อยมีอาชีพทำหินขัด ปูกระเบื้อง เหมาช่วงงานจากบริษัทก่อสร้างอีกที ครั้งนั้นรับเหมางานสร้างโรงแรมระดับสามสี่ดาวร้อยกว่าห้อง เนื่องจากรับเหมาแข่งขันกันมาก จึงต่างกดราคาลง แน่นอนราคาต่ำ คุณภาพย่อมต่ำตามไปด้วย พอส่งงาน เจ้าของโครงการตรวจพบว่า งานหยาบเสียหายหลายแห่ง จ้างช่างไม่มีฝีมือ กระเบื้องที่ปู จึงบิดเบี้ยว ส่วนหินขัดก็สูงต่ำตะปุ่มตะป่ำ เจ้าของโครงการจึงไม่ยอมจ่ายค่าก่อสร้้างส่วนที่เหลือให้ นอกจากจะแก้ไขส่วนที่มีปัญหาเสียใหม่ ค่ารับเหมาซึ่งถูกมากอยู่แล้ว และยังจะต้องทุบทิ้งทำใหม่ ทำให้หนุ่มแดงเดือดดาล จึงจัดการแก้แค้นโดยแอบกรอกปูนซีเมนต์ลงไปในท่อระบายน้ำในห้องน้ำ เพื่อให้ท่อตีบเล็กระบายได้น้อย
ตอนที่ส่งมอบงาน แม้จะมีการทดสอบ แต่ไม่พบปัญหาเพราะจำนวนน้ำที่ต้องระบายไม่มาก วันเปิดฉลองโรงแรม เพื่อนฝูงแขกเหรื่อมาอวยพรกันคับคั่ง วิสัยของคนมักเอาเปรียบ ถ้าได้ฟรีจะยิ่งกิน ยิ่งใช้ กอบโกยให้เต็มที่ นอกจากดื่มกินกันจนหัวปักหัวปำแล้วยังหอบหิ้วกันเข้าไปใช้บริการห้องพัก เปิดแอร์เปิดทีวี ใช้โทรศัพท์ อาบน้ำ สระผม... ยังไม่ทันครึ่งคืน น้ำท่วมห้องล้นเข้าไปใต้เตียงนอน... ห้องพักหนึ่งร้อยสิบสองห้อง น้ำท่วมเสียแปดสิบแปดห้องโกลาหลไปทั้งโรงแรม เป็นเรื่องตลกที่เจ้าของโรงแรมเสียหายมากทั้งทรัพย์สินและชื่อเสียงจนต้องร้องไห้ อะไรกัน เพิ่งเปิดฉลองแต่ต้องประกาศปิดซ่อมสองเดือนในวันรุ่งขึ้น หลังจากตรวจสอบโดยละเอียด จึงได้พบว่าเหตุเกิดเพราะมีคนคิดร้ายกลั่นแกล้งดังกล่าว ผู้รับเหมาถูกแจ้งความต้องยอมรับความเสียหาย รื้อห้องน้ำสุขภัณฑ์ ท่อระบายน้ำทั้งแปดสิบแปดห้อง แก้ไขใหม่ทั้งหมด ทางโรงแรมยังเรียกร้องค่าเสียหายที่ต้องเปิดทำการล่าช้าไปสองเดือนอีกด้วย ผู้รับเหมาล้มป่วยตั้งแต่บัดนั้น อย่างกับไม่มีวันฟื้นตัวได้อีกเลย ส่วยนายแดงกับภรรยยา ที่ทำการเสียหายใหญ่หลวงไปด้วยอารมณ์ชั่ววูบ หลบไปทำนาที่บ้านอิสาน ภายหลัง ภรรยานายแดงผ่าตัดให้กำเนิดลูกชาย แต่แปลกแท้ที่ไม่มีรูทวารหนัก ต้องผ่าตัดเจาะรูทวาร ปีถัดไปต้องผ่าตัดให้กำเนิดลูกหญิงก็รูทวารใหญ่อุดตันอีก คราวนี้ สองสามีภรรยาเริ่มรับรู้ถึงกฏแห่งกรรม... ตลอดชีวิตที่ผ่านมา ครอบครัวนี้หาความราบรื่นไม่ได้เลย ไม่ว่าเรื่องอะไร ก็จะมีเหตุให้อุดตันอยู่ร่ำไป สุดท้าย นายแดงไปอยู่วัดช่วยซ่อมแซมวัด ภรรยาไปบวชชี รับใช้เก็บกวาดล้างท่อน้ำทิ้งมิให้อุดตันอยู่จนบัดนี้
-
ยาเบื่อ : หมอรุ่งเพชร มีชื่อเสียงมากทางไสยศาสตร์ หบังจากที่รักษาโรคประหลาดให้ทหารบกคนหนึ่งหาย โดยได้ถอนตะปูออกจากท้องสามตัวต่อหน้าต่อตาใคร ๆ แล้ว โรคที่รักษาไม่หาย
ของนายทหารนั้น ก็หายอย่างกับปลิดทิ้ง จากนั้น เรือนไม้สองชั้น บ้านของหมอรุ่งเพชร ก็หัวบันไดไม่เคยแห้งสักวัน คืนหนึ่ง รถกระบะส่งผู้ป่วยชายคนหนึ่งที่มีสภาพเหมือนตายแล้วมาหาหมอรุ่งเพชร ขณะนั้น แม้จะใกล้เที่ยงคืน แต่หมอยังคร่ำเคร่งรักษาคนไข้อยู่ ญาติที่พาผู้ป่วยชายมาส่ง ต่างคุกเข่าเล่าอาการให้หมอฟังว่า ผู้ป่วยชื่อนายทองใบ ป่วยมาเกือบสิบปี เข้าออกโรงพยาบาลหลายครั้ง ใช้จ่ายค่ารักษาไปจนเกือบหมดตัวแล้ว ผู้ป่วยได้แต่ผอมเอา ๆ แน่นหน้าอกเหมือนมีอะไรหนัก ๆ มาทับไว้ หายใจติดขัด ต้องอ้าปากหายใจ บางครั้งถึงกับใช้ออกซิเจนช่วย ฉีดยากินยาได้แต่บรรเทา สักพักเดียวก็กลับเป็นอีก บางครั้งเป็นวันละหลายครั้ง จะมีเว้นบ้างสองสามวัน ช่วงหลังกลายเป็นสะอึกไม่หยุด สะอึกครั้งละเกือบสองชั่วโมง ตัวสั่น น้ำมูกน้ำตาไหลพราก หายใจอึดอัดมาก ก่อนจะส่งมาที่นี่ สะอึกไปแล้วเกือบทั้งวัน ตอนบ่ายหยุดไปสามชั่วโมง พอตกเย็นก็เริ่มสะอึกอีก ญาติส่งไปฉีดยาระงับประสาทกล้ามเนื้อหนึ่งเข็ม ตกค่ำอาการรุนแรงยิ่งขึ้นจนหมอที่โรงพยาบาลบอกให้กลับบ้าน เพราะไม่อาจเยียวยา ญาติที่ไปส่งเห็นว่า ในเมื่อโรงพยบาบาลไม่อาจรักษาได้ ก็พามาหาหมอรุ่งเพชรดู ขณะนี้ ผู้ป่วยหยุดอาการรุนแรง มีแต่ลมหายใจขึ้นลงที่พอเห็นได้บนร่างของหนังหุ้มกระดูกเท่านั้น หมอกดท้อง กดหน้าอก จับชีพจรแล้วบอกให้ญาติหาที่นอนกันเองบนเรือนหมอ รอพรุ่งนี้เช้าจึงจะรักษาให้ ญาติเหนื่อยกันมาก วันรุ่งขึ้นจึงตื่นเอาใกล้เที่ยง หมอลงมือจัดการกับผู้ป่วยที่เริ่มสะอึกอีกแล้ว หมอให้ญาติไปหอบฟางฟ่อนใหญ่หน้าลานบ้านมา จุดไฟให้เกิดควัน จากนั้นให้ญาติเอาถุงพลาสติกใบใหญ่เก็บควันขาว ๆ นั้นเข้าไป แล้วเอาถุงพลาสติกอีกใบหนึ่งคลุมตัวผู้ป่วยไว้ ผู้ป่วยซึ่งหายใจขัดมากอยู่แล้ว ยิ่งไอหนักจนดูอย่างกับจะขาดใจตาย ญาติมองหน้ากันเหมือนจะบอกว่า มารักษาให้หายหรือพามาให้เขาฆ่ากันแน่ แต่แปลก พอสูดควันถุงที่สามหมด ผู้ป่วยที่หมดแรงแล้ว กลับมีแรงไอต่อไป หมอบอกว่า ดีแล้ว ให้เขานอนหลับสักพัก หมอบอกแก่ทุกคนว่า เมื่อคืนตอนที่ผู้ป่วยมาถึง หมอเห็นวิญญาณปลาน้ำจืดฝูงใหญ่ตามมาล้อมบ้านหมอไว้ แต่เข้ามาบนบ้านไม่ได้ หมอนั่งทางในขอคุยกับหัวหน้าวิญญาณปลา ปลาดุกใหญ่มากตัวหนึ่งออกมาบอกว่า นายทองใบฆ่าล้างโคตรพวกเขา จะทรมานนายทองใบอย่างนี้หนึ่งปีแปดเดือนจึงจะทำให้ตาย ให้ได้รู้ว่า ที่ใช้ยาเบื่อจนพวกปลาไส้ขาดนั้น มันเจ็บปวดเพียงไร ปลาน้อยใหญ่ต้องอ้าปากพะงาบ ๆ หายใจดีดตัวดิ้นพรวด ๆ จนตาย ญาติรับว่าเป็นความจริง นายทองใบชอบใช้ยาเบื่อปลาเพราะทุ่นแรงทุ่นเวลา และนายทองใบก็เคยเพ้อว่า "ปลาฝูงใหญ่มาแล้ว น่ากลัว...ช่วยด้วย" หลังจากเพ้อ นายทองใบก็จะเนื้อตัวเป็นจ้ำ ๆ ห้อเลือดบวมแดง เหมือนอะไรตอดกัด ได้ยินว่า นอกจากปลาแล้ว ยังมีกุ้ง ตะพาบน้ำ งูในน้ำก็มาช่วยกันแก้แค้น ผู้ป่วยสูดขวัญหญ้าฟางไปแล้ว หลับได้ทั้งวัน คืนนั้น หมอรุ่งเพชรทำพิธี จุดเทียนขาว 9 เล่ม เชิญวิญญาณหัวหน้าปลาดุกใหญ่มารอมชอมกันว่า เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร แต่วิญญาณพวกปลาไม่ยอม เพราะนายทองใบทำกับพวกเขาไว้มาก อำมหิตเหลือเกิน ทำพิธีรอมชอมหลายครั้ง แต่พวกปลาก็ยังไม่ยอมรับเงื่อนไขข้อเสนอ แสดงว่าการใช้ยาเบื่อคงทำให้พวกเขาเจ็บปวดสาหัสสากรรจ์ทีเดียวเป็นแน่ นอกจากจัดการกับนายทองใบแล้ว หมอรุ่งเพชรยังได้รับรู้ว่าลูกสาวนายทองใบอายุสิบเจ็ดปีถูกล่อลวงข่มขืน อับอายจนกินยาเบื่อตายไปเมื่อปีที่แล้ว นี่ก็เป็นผลจากแรงอาฆาตของพวกปลาด้วย หมอรุ่งเพชรพยายามรักษาอยู่หลายวันจนนายทองใบทุเลาป่วย ไปทำบุญให้ทานเป็นการใหญ่ หวังจะได้ลบล้างบาปเวรบ้าง นายทองใบอยู่มาได้อีกหนึ่งปี วันหนึ่ง เขาเมาสุรา เดินตกลงไปในบ่อปลาที่น้ำตื้นไม่ถึงเข่า เขาจมน้ำตายอยู่ในบ่อปลา พระองค์กวนอริยมหาราชเจ้าโปรดว่า "๒แม้เราจะยิ่งด้วยบุญญฤทธิ์ อาจพิชิตมาร แต่มิอาจพิชิตเจ้ากรรมนายเวร"
-
ยาบ้า : สิงคโปร์ มาเลเซีย เป็นประเทศสีขาว ปลอดยาเสพติด มึนเมา เพราะกฏหมายลงโทษหนัก วินัยเคร่งครัดไม่เห็นแก่หน้าใคร ทั้งผู้ซื้อ ผู้ขาย ผู้เสพ ผู้มีไว้ในครอบครอง ผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง
หากตรวจพบไม่ว่าจะเป็นใคร ชาติใด ไม่ยกเว้นทั้งสิ้น โทษสูงสุดคือประหารชีวิต...แขวนคอ ส่วนประเทสอื่น ๆ ดูอย่างกะหละหลวมไม่เอาจริง ยาเสพติดจึงระบาดเกลื่อนเมือง วัยรุ่น เยาวชน คนทุกเพศวัยติดยา ค้ายา...ในสายตาของผู้ปกครองที่มองการณ์ไกล เห็นว่าลูกหลานที่ศึกษาอยู่ในเมืองไทย มีโอกาสเสี่ยงมาก จึงมักจะส่งลูกหลานไปเรียนที่สิงคโปร์ มาเลเซีย แม้เพียงแค่ช่วงปิดเทอมก็ยังดี ซึ่งผลก็ปรากฏว่า ลูกหลานได้ทั้งภาษา สุขอนามัย และความประพฤติดี แต่ที่จะเล่าให้ฟังนี้ เป็นรายหนึ่งในร้อยที่ผิดแผกไปเรื่องมีอยู่ว่า คุณกังห่งกี พ่อค้าคหบดีใหญ่ทางภาคใต้ ส่งลูกชายโทนคนเดียวไปเรียนที่สิงคโปร์ ความยิ่งใหญ่ของตระกูลนี้เริ่มมาจากก๋ง คือ คุณกังกุ้ยซิม ผู้มีเครือข่ายการค้าข้ามประเทศ มีรถตู้แช่ขนาดใหญ่หลายสิบคันส่งอาหารทะเลสด ๆ ไปยังสิงคโปร์ มาเลเซีย ความร่ำรวยมหาศาล มีความสำคัญต่อการได้รับสิทธิพิเศษ รถตู้แช่ทุกคันผ่านด่านประเทศได้ไม่ต้องตรวจตรา พอมาถึงรุ่นลูกคือคุณกังห่งกี ได้ขยายธุรกิจออกเป็นคเ้าน้ำมันปาล์มกับยางพารา กิจการรุ่งเรือง ก๋งจึงค่อย ๆ ยุบกิจการทางทะเลลง จึงมีเวลาว่างเข้าร่วมงานกุศลสงเคราะห์ในท้องถิ่น ได้รับการยกย่องอย่างเต็มภาคภูมิว่า "คนบุญ" ขณะที่กำลังเป็นคนบุญที่โด่งดัง คุณกังห่งกีลูกชายก็เป็นพ่อค้าคหบดีใหญ่อยู่นั้น วันหนึ่ง ได้รับโทรศัพท์ข้ามประเทศจากโรงเรียนที่ลูกชายกังห่งกีเรียนอยู่ที่สิงคโปร์แจ้งมาว่า ทายาทคนที่สามคนเดียวของตระกูล ถูกตำรวจจับขังขณะเสพยาบ้าอยู่ในหอพัก กำลังรอศาลพิพากษาตัดสิน ดังฟ้าผ่ากลางวันแสก ๆ นี่มันเป็นเรื่องใหญ่มหันต์ เพราะมันคือกฏหมายสิงคโปร์ ไม่ใช่ในเมืองไทยเรื่องนี้จะบอกให้ก๋งหรือใครอื่นรู้ไม่ได้ แม่ของลูกชายเป็นลมล้มพับไปหลายครั้ง แต่ก็พยายามแข็งใจ นำเงินติดตัวไปห้าล้านเหรียญสิงคโปร์ (ประมาณหนึ่งร้อยยี่สิบห้าล้านบาท) คุณกังห่งกี มีเพื่อนอิทธิพลในสิงคโปร์อยู่ไม่น้อย จึงขอให้ช่วยวิ่งเต้นเรื่องนี้ พร้อมกับมอบเงินห้าล้านเหรียญแก่ผู้วิ่งเต้นที่เป็นเพื่อนสนิท ที่ต้องทุ่มเงินทันทีมากมายอย่างนี้ เพราะรู้ดีว่า แม้จะมีอิทธิพลเพียงไร เงินกองใหญ่เท่าใดก็ยากที่จะเปลี่ยนรูปคดีได้ จึงขอให้เพื่อนวิ่งเต้นให้สำเร็จก่อนขึ้นศาล แม้จะต้องหมดเนื้อหมดตัวก็ยอม กังมั่งกวง ผู้ต้องหาอายุสิบแปดปี เรียนอยู่สิงคโปร์มาแล้วสามปี มารยาทไม่งดงามนัก แต่ความประพฤติพอใช้ ปีสุดท้ายของมัธยมปลาย เพื่อนนักเรียนชาวต่างชาติชักชวนให้สูบบุรี่ชนิดพิเศษมวนหนึ่ง เป็นของแปลกใหม่ที่น่าพอใจ ต่อมาเพื่อนชาวต่างชาติก็ส่งบุหรี่พิเศษนี้มาให้เสมอ กังมั่งกวงจึงติดยาบ้าไปโดยไม่รู้ตัว ครึ่งปีระยะหลังนี้ คุณกังห่งกีเห็นว่า ลูกใช้เงินมากผิดปกติเป็นเท่าตัว แต่ก็คิดว่าลูกอาจมีแฟน จึงต้องมีค่าใช้จ่ายมากขึ้น ไม่คิดว่าลูกจะใช้ซื้อบุหรี่ยาบ้ามาสูบ กังมั่งกวงให้การว่า ยาบ้าจำนวนที่จับได้ในครอบครองเป็นของเพื่อนชาวต่างชาติมาฝากไว้ เจ้าหน้าที่ไม่รับฟัง เพราะหลักฐานมัดตัว เพื่อนสนิทชาวสิงคโปร์ช่วยวิ่งเต้นหาทางทั้งกลางวันกลางคืน แต่เจ้าหน้าที่ชาวสิงคโปร์ต่างรักษาหน้าที่ รักษากฏหมายเคร่งครัด ไม่ยอมแปดเปื้อน ฝากขังสามวันเท่านั้น ผู้ต้องหาก็ถูกนำขึ้นศาล ศาลชั้นต้นตัดสินว่า หลักฐานเพียงพอให้ตัดสินแขวนคอภายในสามสิบวัน กังห่งกีวิ่งเต้นหาทางสุดชีวิต ตั้งรางวัลให้ทนายคนละหนึ่งล้านเหรียญอเมริกัน (ประมาณสี่สิบล้านบาท) ถ้าช่วยให้ลูกพ้นโทษประหารได้ แต่ใครก็ช่วยไม่ได้ ศาลชั้นต้น สอง สาม ต่างลงความเห็นเป็นอย่างเดียวกัน เรื่องใหญ่นี้ ไม่มีใครกล้าบอกก๋ง แต่เมื่อก๋งกลับจากท่องเที่ยวเมืองจีน ได้ยินเสียงเขาเล่าลือกัน ก๋งต้องถูกส่งตัวเข้าโรงพยาบาลปั้มหัวใจฉุกเฉินทันที ส่วนคุณกังห่งกีผู้เป็นพ่อ ผมขาวโพลนทั้งศรีษะภายในเวลาไม่กี่วัน สำหรับแม่นั้น อยู่ในสภาพที่ไม่ต้องพูดถึงเลย วันประหารชีวิต พระสงฆ์ไทยจูงสายสิญจน์ รถศพบรรทุกโลงสีดำค่อย ๆ เคลื่อนออกมาจากประตูแดนประหาร ทุกคนที่ไปรอรับศพร้องไห้กันสุดเสียง จนฟ้าดินขณะนั้นพลันต้องโศกสลดไปด้วย ก๋งพาสังขารอันทรุดโทรมมารอรับหลาน นันย์ตาที่มองดูโลงศพบรรจุหลาน เหมือนมองดูสิ่งเลือนลาง ๆ ... แต่ทันใดนั้น ก๋งก็ถลาเข้าไป โหม่งศรีษะเข้ากับโลงศพ ร้องเสียงหลงว่า "มั่งกวงหลานรักของก๋ง ก๋งทำร้ายเจ้า ก๋งจะตายไปกับเจ้า..." ก๋งสลบลงตรงนั้น เสียงร้องไห้โฮดังยิ่งขึ้นกว่าเก่า ความโกลาหลเกิดขึ้น กังห่งกีไม่มีสติ เหมือนสมองหยุดสั่งงาน จนน้องสาวเข้ามาประคอง จึงเกิดความคิดวูบแรกว่า เตี่ยของฉัน (ก๋ง) แก่มากแล้วจะเป็นอันตราย จึงช่วยกันส่งก๋งเข้าโรงพยาบาล ก๋งค่อยฟื้นขึ้น เมื่อลืมตาเห็นกังห่งกีลูกชาย ก๋งน้ำตาไหลพราก บีบมือลูกชายไว้แน่น พูดพลางสะอื้นว่า "เตี่ยขอโทษลูก" แล้วหมดสติไปอีก ก๋งฟื้นขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง ครั้งนี้ เฝ้าแต่เรียกชื่อหลาน จะตามหลานไป ก๋งเพ้อเหมือนคนเสียสติ จัดงานศพของลูกเสร็จแล้ว กังห่งกีจึงกลับไปรับเตี่ยออกจากโรงพยาบาลสิงคโปร์มาไทย กลับบ้านปลอบขวัญแม่ของลูกที่ได้แต่เหม่อมองท้องฟ้า ไม่มีน้ำตาที่จะไหลได้อีก เก้าเดือนให้หลัง ก่อนที่ก๋งจะตาย ก๋งเพ้อว่า"ซ่อนยาบ้าไว้ในท้องปลา ซ่อนยาบ้าไว้ในท้องปลา ส่งต่างประเทศ... มั่งกวงหลานรักของก๋ง ก๋งทำร้ายเจ้า ก๋งจะตายไปกับเจ้า... ห่งกี ห่งกี เตี่ยขอโทษ เตี่ยขอโทษ"
-
คนอิสาน : เมื่อสี่สิบปีก่อน บ้านผู้จัดการเจี่ยอยู่ในกรุงเทพฯใกล้สถานีรถไฟหัวลำโพง เคยถูกสามีภรรยาชาวอิสานที่มารับจ้างทำงานอยู่ในบ้าน หลอกลวงลักขโมย ยกเค้าเอาข้าวของเงินทองไปพะเรอ
เกวียน ทำให้ผู้จัดการเจี่ยเจ็บใจและเสียใจมาก เพราะไว้วางใจว่าเป็นคนดี คนซื่อ ให้ความอุปถัมภ์ค้ำชูเป็นอย่างดี แต่กลับเนรคุณเสียได้ จากนั้นเป็นต้นมา คุณเจี่ยจึงรังเกียจคนอิสานจับใจ ต่อให้การงานล้นมือเพียงไร ถ้าจ้างคนภาคอื่นไม่ได้ ก็ยินดีจะเหนื่อยเอง จะไม่จ้างคนอิสานไว้ให้สะดุ้งผวาอีก ต่อมาภายหลัง คุณเจี่ยย้ายไปค้าขายอยู่ทางภาคใต้ ลูกชายคนโตของคุณเจี่ย อายุสามสิบเจ็ดปี เป็นอาจารย์สอนอยู่ในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ มีคนรักที่เป็นเพื่อนนักเรียนเก่า และปัจจุบันเป็นอาจารย์สอนอยู่ในมหาวิทยาลัยเดียวกัน ทั้งสองรักชอบกันมาสิบห้าปี แต่ยังแต่งงานกันไม่ได้เพราะฝ่ายหญิงเป็นคนอิสานที่พ่อรังเกียจ แม้พ่อลูกจะไม่ได้พิพาทกันซึ่ง ๆ หน้า แต่เมื่อลูกเคารพรักพ่อจึงไม่อยากตอกย้ำความรังเกียจนั้น ครอบครัวคุณเจี่ยเป็นคนจีนที่รักษาขนบธรรมเนียมประเพณีดั้งเดิมไว้เคร่งครัด มีเรื่องหนึ่งคือ ถ้าหากลูกชายคนโตยังไม่มีครอบครัว น้องชายที่อายุสามสิบสี่ และน้องสาวที่อายุสามสิบเอ็ดปี ก็จะชิงแต่งงานก่อนไม่ได้ แม้ลึก ๆ คุณเจี่ยกับภรรยาจะห่วงใยที่ลูก ๆ ยังไม่เป็นฝั่งเป็นฝาก็ตาม แต่ถ้าลูกชายคนโตยืนยันว่าจะแต่งกับสาวอิสานคนนี้ก็ไม่ต้องคุยกัน ระยะหลัง คุณเจี่ยดูจะเครียดกับเรื่องนี้อยู่ไม่น้อย สังเกตจากที่เคยดื่มบรั่นดีขวดละเจ็ดวัน เดี๋ยวนี้เพิ่มเป็นขวดละสามวัน รุ่งเช้าวันจันทร์ คุณเจี่ยบ่นกับภรรยาว่า แน่นหน้าอก ภรรยาต้มซุปรังนกมาให้ แต่พอยกช้อนจะตักซุป มือสั่นจนช้อนตก ทรงตัวไม่อยู่ ภรรยารีบนำส่งโรงพยาบาล หมอบอกว่าเส้นเลือดตีบ ดีที่ยังไม่ขาด ให้พักที่โรงพยาบาลสักสามวันห้าวันรอดูอาการ หมอสั่งห้ามไม่ให้ดื่มเหล้าอีกเลย และให้ปล่อยว่างวางใจลง เพราะครั้งหน้าเส้นเลือดอาจจะขาดก็ได้ หมอเฉพาะทางผู้สูงอายุและคุ้นเคยกับท่านนี้ เป็นหมอปฏิบัติธรรม จึงแนะนำให้คุณเจี่ยอ่านข้อความพุทธวจนะของพระโพธิสัตว์กวนอิม (ข้อความเดิมยาวมาก ขอตัดตอนเฉพาะบางส่วน) ดังนี้ "จงปล่อยวางใจตน ปล่อยวางอคติตนลงเสีย ก็จะพบว่า ตนเองได้พลาดจากเหตุปัจจัยแห่งบุญไปไม่น้อย ความรู้เห็นในตัวเขา - เรา ไม่อาจวางลงได้อย่างแท้จริง คนที่ดีกว่านี้ สิ่งที่ดีกว่านี้ก็จะถูกขวางกั้นด้วยทัศนทิฐิของเจ้าเอง ตนเองเห็นแก่ตัว จึงเห็นว่าผู้อื่นเห็นแก่ตัว ตนเองระแวงแคลงใจ จึงสงสัยว่าผู้อื่นทำผิดต่อเรา นี่คือวิสัยที่ได้ปลูกฝังมาจากความยโส บำเพ็ญแต่หากยังละวางไม่ได้ ก็จะมีอัตตาตนเอง มีอัตตาก็จะมีถูก - ผิด มีเกิด - ดับ มีการเวียนว่าย สามีภรรยาไม่อาจละวางซึ่งกัน ก็จะหมางใจกัน ก็จะคุมแค้นคัดเคืองกัน เพื่อนพ้องไม่อาจละวางซึ่งกัน ก็จะกระทบกระทั่งกัน เสียดสีกัน ทำการใดไม่อาจละวาง ก็จะค้างใจไม่ยินดี ไม่อาจละวางความทระนง ดึงดันความคิดเห็นของตนว่าถูกต้อง ก็จะไม่อาจปรับแปรเหตุปัจจัยแห่งบาปบุญทุกประการดังนี้ ผู้อื่นที่ไม่เหมาะกับเงื่อนไข ความเคยชิน มาตรฐานของเจ้าก็จะโลดแล่นอยู่ในห้วงเหววัฏจักรของเจ้าเสมอ ละวางลง ยกก้อนหินในใจลง จะชดเชยความพร่องที่ค้างใจ แปรสลายแรงขัดเคืองที่จับตัวแข็งเป็นดานได้ วางลงเถิด วางห่อสัมภาระกับอนุสัยเก่าลงเสีย ทุกแห่งในโลกล้วนเป็นวิสุทธิแดนดิน เช่นนี้แล้ว เวลาใดหรือที่เราไม่อาจเป็นตัวของตัวเอง..."คุณเจี่ยอ่านพระโอวาทวจนะซ้ำหลายสิบเที่ยว รุ่งขึ้นเพิ่งจะฟ้าสาง เขาสั่งภรรยาให้โทรศัพท์ทางไกลไปหาลูกชายคนโตที่กรุงเทพฯ บอกให้แต่งงานกับสาวอิสานคนนั้นได้เลย วันรุ่งขึ้น ลูกชายคนโตพาคนรักมากราบพ่อแม่ ขออนุญาตแต่งงานวันอาทิตย์หน้า ไม่กี่วันต่อมา ลูกชายคนรองพาเด็กอายุเจ็ดปีเด็กหญิงอายุห้าปีกับแม่ของเด็กมากราบพ่อแม่ สามแม่ลูกพร้อมกันเรียก "อากง อาม่า" ลูกชายคนรองบอกพ่อแม่ว่านี่คือครอบครัวของลูก คุณเจี่ยถามลูกสะใภ้คนรองว่า เป็นคนภาคไหน เธอก้มหน้าตอบว่า "อิสานค่ะ" คุณเจี่ยชะงัก พูดอะไรไม่ออก ขณะที่งงงันอยู่นั้น ลูกสาวคนเดียวของคุณเจี่ยกับหนุ่มใหญ่บุคลิกดีคนหนึ่งก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า ลูก ๆ อย่างกับนัดกันมา (ให้มันรู้แล้วรู้รอดไป) อย่างนั้น หนุ่มใหญ่คือนายร้อยตำรวจคนรักของลูกสาว คุณเจี่ยโพล่งถามออกไปเหมือนคุมใจหวาดผวาไว้ไม่อยู่ว่า "คนภาคไหน" หนุ่มใหญ่ว่าที่ลูกเขยตอบนอบน้อมว่า "อิสานขอรับ" มีคำกล่าวว่า"เกลียดอะไรได้อย่างนั้น" คุณเจี่ยส่ายหน้าถอนใจกับชะตากรรม ทรัพย์สินเงินทองมากมายพะเรอเกวียน ถูกคนอิสานขโมยไปจนเกือบหมดเมื่อเริ่มตั้งตัวสร้างฐานะ บัดนี้สร้างฐานะเป็นปึกแผ่น สร้างลูก ๆ ให้สูงส่งถึงเพียงนี้ นับเป็นธนสารสมบัติมหาศาลในชีวิต แต่สุดท้าย ก็ยังหนีไม่พ้นเงื้อมมือคนอิสานไปได้
-
ดูหนัง : บ่ายวันหนึ่ง เจ้าของบริษัทจวงจันทร์ภาพยนต์ในจังหวัดอุดรธานี ได้ต้อนรับลูกค้าชายวัยกลางคน สวมเสื้อกางเกงสีขาวทั้งชุด ซึ่งมีท่าทีสุภาพมากคนหนึ่ง มาติดต่อให้ไปฉายหนังกลางแปลงที่
หมู่บ้านวังทอง หมู่แปด ใกล้กับวัดขามชำนุ ตกลงราคา วันเวลา สถานที่กันเรียบร้อยแล้ว ชายในชุดขาวก็วางมัดจำให้หนึ่งพันบาทก่อนจากไป นี่เป็นเรื่องปกติประจำวันที่มีคนมาขอเช่าหนังกลางแปลงอย่างนี้ แต่ที่แปลกก็คือบนกระดานดำที่ลงรายการจะต้องไปฉายหนังยังที่ต่าง ๆ เต็มไปหมด ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์จนถึงสิ้นเดือนพฤษภาคม เหลือว่างเฉพาะวันที่สามมีนาคมวันเดียว ที่เป็นวันจองของวัด ๆ หนึ่งซึ่งเพิ่งโทรศัพท์มาบอกยกเลิกเมื่อวานนี้ ชายในชุดขาวอย่างกับจะรู้หรืออย่างไร จึงเลือกเอาวันนี้พอดี บริษัทจวงจันทร์ภาพยนตร์ไม่ใช่บริษัทใหญ่โตอะไร เป็นบริษัทพ่อแม่ลูกช่วยกันทำ มีเครื่องฉายหนึ่งเครื่อง จอผ้าขาวหนึ่งจอ รถหกล้อเก่า ๆ หนึ่งคัน แค่นี้ก็เป็นโรงภาพยนตร์เคลื่อนที่ได้ ภาพยนตร์ที่ฉายส่วนใหญ่ไม่มีเสียงในฟิลม์ นายจวงจันทร์จะเป็นคนพากษ์เอง เขาเป็นนักพากษ์ชั้นเยี่ยม พากษ์ได้ทั้งบทรักบทร้าย ทั้งเสียงผู้ชายผู้หญิง คนแก่ทารก และแม้เสียงหมูหมากาไก่ ให้ความบันเทิงใจแก่ชาวบ้านชาวเมืองไว้มาก วันที่สามมีนาคม บริษัทจวงจันทร์มีพ่อแม่ลูกรวมสี่คนเตรียมทุกอย่างพร้อม ออกเดินทางจากอุดร แปดสิบกิโลเมตรจะไปถึงหมู่แปด หมู่บ้านวังทองที่นัดหมายกัน ตามที่นายปาชายในชุดขาวเขียนบอกไว้ ซึ่งน่าจะหาได้ไม่ยาก ที่ยากก็คือ กำหนดเวลาที่เข้าไปถึงบริเวณตั้งจอ ซึ่งดูนายปาจะย้ำนักหนาว่า จะต้องเข้าไปหลังบ่ายสี่โมงหรือสี่โมงเย็น และจะต้องกลับออกมาจากที่นั่นวันรุ่งขึ้นก่อนเวลาตีสี่ เหตุผลก็คือ บริเวณนั้นจะมีพิธีซ้อนกัน ปกติการฉายหนังกลางแปลงตามวัด เขาจะขึงจอกันแต่วัน ตอนบ่ายจะกระจายเสียงเปิดเพลงเรียกร้องความสนใจ เป็นการโฆษณาประกาศให้ประชาชนรับรู้ว่า จะมีการฉายหนังกันตรงนี้ อีกทั้งตั้งจอแต่วันจะได้ไม่ต้องฉุกละหุก นายจวงจันทร์กินข้าวเที่ยงแล้ว บ่ายจึงออกรถ แต่มาถึงหมู่บ้านวังทองก็เพิ่งจะบ่ายสองโมงครึ่ง แม้จะไม่เคยมาที่หมู่บ้านนี้แต่ก็หาได้ไม่ยาก พอเลยหมู่ที่เจ็ดก็จะต้องเข้าหมู่ที่แปดตามที่นายปาชุดขาวเขียนบอกไว้ แต่เลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวา หาเท่าไรก็ไม่พบหมู่ที่แปด ถามชาวบ้านแถบนั้นดู ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ที่นี่ไม่มีหมู่ที่แปดและไม่มีคนชื่อนายปา ไม่มีใครรู้จัก เอาละสิ คงจะเกิดความผิดพลาดอะไรสักอย่าง แต่... ไปหาอะไรกินหน้าอำเภอเสียก่อน ถึงเวลาจึงค่อยกลับมาใหม่ ในใจก็คั่งค้างอยู่แต่ว่า "น่าจะถูกหลอก ไม่ได้ค่าฉายหนังครั้งนี้แน่นอน หรือเราอาจจะเคยหลอกเขาไว้ หรือเราอาจจะสัญญาจะให้อะไรแก่ใครแล้วไม่ได้ให้จึงต้องมีเหตุให้ต้องมาชดใช้..." นายจวงจันทร์โอ้เอ้เตร่อยู่ที่ตลาดหน้าอำเภอจนถึงห้าโมงกว่า ค่อยกลับเข้าหมู่บ้านมาใหม่ ครั้งนี้ที่แปลกก็คือ ป้ายหมู่ที่แปดแผ่นใหญ่ปักอยู่ริมทางเห็นชัดเจนแต่ไกล ถนนเข้าหมู่บ้านก็ออกจะกว้างใหญ่ มาครั้งแรกทำไมไม่เห็น นายปายืนคอยอยู่ที่ปากทาง ถามเหมือนตำหนิว่า ทำไมเพิ่งมาถึง นายจวงจันทร์ไม่ตอบว่ากระไร รีบตอกหลักขึงจอตรงจุดที่นายปาชี้ให้ แล้วรีบจัดการฉายหนังทันทีเพราะค่ำแล้ว พ่อแม่ลูกทั้งสี่ ไม่มีเวลาชื่นชมกับทัศนียภาพหรือสัมผัสลมเย็น ไม่ทันสังเกตเสียด้วยซ้ำว่า บริเวณเงียบเชียบที่มีเพียงนายปาคนเดียว ชั่วพริบตา คนมาจากไหนแน่นขนัด มีทั้งผู้ชมภาพยนตร์นั่งกันเต็มพื้นบริเวณ มีทั้งพ่อค้าแม่ขายเหมือนงานวัดนัดสำคัญอย่างนั้น แต่แปลกที่ทุกคนนั่งดูกันอย่างสงบเงียบ หนังเรื่องนี้สนุกมาก คุณจวงจันทร์ตั้งใจพากษ์อย่างเต็มที่ พอถึงตอนที่ผู้ร้ายพ่ายแพ้ ผู้ชมที่เงียบกริบก็พากันปรบมือเกรียวกราวทำให้ผู้พากษ์คึกคักไปด้วย เดิมทีตกลงจะฉายให้ถึงตีสาม แต่เห็นผู้ชมหัวดำ ๆ ยังนั่งกันเต็มบริเวณไม่ลุกไปไหน จึงฉายแถมตำรวจจับผู้ร้ายให้อีกเรื่องหนึ่ง ลูกเมียทั้งสามของนายจวงจันทร์หาที่หลับนอนไป หลังเที่ยงคืน จึงเหลือแต่นายจวงจันทร์ฉายด้วย พากษ์ไปด้วย ใจจดใจจ่ออยู่คนเดียว เวลาผ่านไป ผ่านไป... เสียงปรบมือเบาบางลงหัวดำ ๆ ตะคุ่ม ๆ บางตาลง เงยหน้ามองขอบฟ้า จึงรู้ว่าใกล้ฟ้าสางแล้ว หันกลับมาดูผู้ชม นายจวงจันทร์แทบจะหัวใจวาย หัวดำ ๆ ตะคุ่ม ๆ ที่เห็นก่อนหน้านี้ มันเป็นตอไม้กับหลุมฝังศพ บริเวณฉายหนังที่กว้างใหญ่ไม่มีร่องรอยของผู้คนเลย มันเป็นบริเวณสุสานทั้งหมด ที่แท้เมื่อคืนนี้ ผีมาดูหนัง !
-
คน - ควาย : พทธศักราช 2538 ปลายปี มีงานฝังลูกนิมิตที่วัดพระบาทฯ วันสุดท้ายของงาน เกิดเหตุไม่นึกไม่ฝันขึ้น งานฝังลูกนิมิตเป็นงานบุญสำคัญทางศาสนาพุทธ
สาธุชาชาวพุทธแทนที่จะตั้งใจมาอนุโมทนาสาธุการ ร่วมช่วยกันจรรโลงพุทธศาสนาให้ถาวรสืบไป สิ่งแรกคิดได้กลับกลายเป็นว่า "จะหาทางได้เงินทองจากงานนี้ด้วยวิธีไหน?" จึงมีคนหากินจากงานวัดมากมายเรื่อยมา บ้างเข้าหาผู้หลักผู้ใหญ่ที่สั่งการได้ แต่ไม่ว่าจะเข้าหาใคร สิ่งที่ขาดไม่ได้ก็คือ ผลประโยชน์ใต้โต๊ะ แต่หลวงตาที่วัดพระบาทแห่งนี้ ไม่ยอมให้มีการ "รวบยอด" หาประโยชน์ ไม่ว่าจะขายบัตรผ่านประตู เก็บค่าเช่าแผง จัดการละเล่นหรือการพาณิชย์ทุกอย่าง หลวงตาจะเก็บแต่เงินบุญที่สานุชนตั้งใจบริจาคอย่างบริสุทธิ์ใจเท่านั้น เท่าไรก็เท่านั้น ซึ่งสุดท้าย พอเสร็จงาน เงินที่บริจาคก็เพียงพอสำหรับการเสริมสร้างหรือปฏิสังขรณ์วัดได้พอดีเท่าที่ขาดแคลน พวกเราคณะกรรมการจากมูลนิธิกุศลสงเคราะห์ ได้รับการขอร้องจากหลวงตาให้มาช่วยทำบัญชี เสร็จภาระหน้าที่แล้ว ขณะที่คณะเรานั่งสนทนาธรรมกันอยู่ ก็ได้ยินเสียงครึกโครมใกล้เข้ามา... ควายตัวใหญ่วิ่งถลันเข้ามาในกุฏิของหลวงตาที่เรานั่งอยู่ด้วย มันหายใจฟืดฟาดหยุดยืนอยู่เบื้องหน้าหลวงตา ข้างหลัง ชาวบ้านชายฉกรรจ์สิบกว่าคน ต่งถือไม้พลองกระเหี้ยนกระหือวิ่งตามมาจะทำร้ายควาย หลวงตารีบออกไปกั้นกลาง ถามว่า "มันเรื่องอะไรกัน" "มันขวิดคนตายครับ" ชายฉกรรจ์ชิงกันตอบ "ขวิดใครตายที่ไหน?." "ขวิดไอ้ปัญญา เจ้าของมันเอง ที่กลางทุ่งนานางทอง" "ปัญญามันลูกของนางทองไม่ใช่หรือ มันติดยาบ้าไม่กลับมาบ้านนานแล้วไม่ใช่หรือ?" หลวงตาถามต่อไปว่า "มันตายหรือเปล่า?" "ยังไม่ตายครับ แต่ไส้ไหลออกมากองกับพื้น หน้าอกก็ถูกขวิดเป็นรูใหญ่สองรู จะรอดได้อย่างไร?" "ทำไมพวกเจ้าไม่คิดจะช่วยส่งคนเจ็บไปโรงพยาบาลเสียก่อนเล่า คิดแต่จะฆ่าควาย มันจะเิกิดประโยชน์อะไร?" "ใช่สิ ใช่สิ" เสียงรับคำหลวงตาดังขรม แล้วคนกลุ่มใหญ่ก็รีบวิ่งไปยังที่เกิดเหตุ หลวงตาส่ายหน้าแล้วบอกกับคณะเราว่า "จะต้องไปดูสักหน่อย แต่ทุกคนไม่ต้องไปลำบากด้วยมันไกลจากที่นี่หลายกิโล"คณะเรา คนที่สูงอายุเห็นด้วยที่จะไม่ไป แต่คนที่ยังไหวต่างลุกขึ้นยืนจะไปด้วยกับหลวงตา ยังไม่ทันออกจากกูฏิ พวกที่ไล่ควายมาสามสี่คนวิ่งย้อนกลับมาใหม่ ตะโกนมาแต่ไกลว่า "หลวงตา ๆ ไอ้ปัญญาตายแล้ว ๆ " เรื่องนี้ หลวงตาเป็นที่ปรึกษา ชาวบ้านให้ความเห็นว่า "ขวิดคนตาย เลี้ยงไม่ได้ ต้องฆ่า" หลวงตาย้อนถามว่า "จะเอาอย่างนั้นหรือ" ๙ายฉกรรจ์คนหนึ่งพยักหน้าขึ้งเครียด พูดอย่างจริงจังว่า "มันต้องชดใช้ด้วยชีวิต มันขวิดเจ้าของตายใครจะรับรองได้ว่า มันจะไม่ขวิดคนอื่นอีก" หลวงตาให้ทุกคนตั้งสติ ดื่มน้ำเย็น ๆ แล้วจึงค่อย ๆ พูดต่อไปว่า "ควายมีสัญชาติญาณอ่อนโยน เป็นเพื่อนที่ซื่อสัตย์ของคน มันจะต้องมีเหตุแห่งกรรมนี้..." ในครั้งพุทธกาล พ่อค้าคนหนึ่งเข้าเมืองมาถูกควายขวิดตาย เจ้าของควายตกใจ รีบขายควายตัวนั้นไปในราคาต่ำ ผู้ซื้อดีใจที่ได้ควายมาในราคาถูกมาก จึงจูงควายกลับบ้าน แต่พอกลับถึงบ้าน ควายตัวนั้นก็ขวิดเจ้าของคนใหม่ตายอีก คนบ้านนั้นโกรธแค้นมาก ฆ่าควายตัวนั้นแยกชิ้นส่วน เอาไปเร่ขายที่ตลาดทันที ชาวนาคนหนึ่งซื้อหัวควายที่มีเขาทั้งสองข้างกลับไปด้วยความดีใจ แดดร้อนจัดมาก จึงหยุดพักร้อนใต้ร่มไม้ระหว่างทาง เขาแขวนหัวควายไว้บนต้นไม้แล้วหลับไป เกินกว่าจะคาดเดา เชือกที่ใช้แขวนเกิดขาด หัวควายตกจากต้นไม้ เขาข้างหนึ่งแทงลงบนทรวงอกชาวนาผู้ซื้อ เขาตายทันที เป็นรายที่สามในวันเดียวกัน เรื่องเล่าลือไปถึงพระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์ตรัสเฉลยข้อข้องใจในที่ชุมนุมว่า "กาลครั้งหนึ่ง มีพ่อค้าสามคนเดินทางไปค้าขายต่งเมือง คืนหนึ่งได้พักแรมที่บ้านหญิงชรานางหนึ่ง และรับปากว่าจะจ่ายค่าที่พักให้ แต่พอวันรุ่งขึ้นก็แอบหลบไป หญิงนางนั้นไล่ตามมา พ่อค้าเห็นเป็นหญิงชรา หามีพิษสงให้ต้องเกรงกลัวไม่ จึงกลับด่าทอให้หญิงชราเจ็บซ้ำ คร่ำครวญ มองดูพ่อค้าทั้งสามด้วยสายตาอาฆาตมาดร้าย สบถสาบานว่า " ข่มเหงเราแก่เฒ่า ชาตินี้ตอบโต้ไม่ได้ ไม่ว่าชาติไหน ๆ จะเกิดเป็นคน เกิดเป็นอะไร ก็จะล้างแค้น จะฆ่าพวกเจ้าให้ได้..." ตถาคตเจ้าโปรดต่อไปว่า "ควายที่ฆ่าคนตายถึงสามคนในวันเดียวกันก็คือหญิงชรา ผู้ถูกฆ่าคือพ่อค้าทั้งสามที่ข่งเหงคตโกงหญิงชรานั้น...." เมื่อหลวงตาเล่าจบ ไม่เพียงคนฟังจะสะเทือนใจ ควายที่ขวิดนายปัญญาตาย ก็ยืนนิ่งน้ำตาคลอ ขณะนั้นเอง กำนันพานางทองแม่ของผู้ตาย นั่งเกวียนมาถึง นางทองอายุยังไม่ถึงห้าสิบ สามีตายไปสิบกว่าปี เหนื่อยยากเลียงนายปัญญากับน้องสาวมา ปัญญาคบเพื่อนเสียหายมาตั้งแต่อายุสิบกว่าปี ปีนี้แม้จะอายุยี่สิบกว่า แต่เกียจคร้านไม่ยอมทำงานอะไรเลย แม้แต่ช่วยแม่ทำนา เอาแต่เที่ยวเล่นไป พอกลับมาบ้านก็จะเอาเงิน ปัญญาเลวถึงขนาดขายน้องสาว ให้เพื่อนสารเลวขึ้นเรือนมาข่มขืนกัน ดีที่น้องสาวหนีรอดไปบ้านน้าชาย น้าชายใช้ปืนดาวกระจายยิงกราด พวกสารเลวจึงถอยไป วันเกิดเหตุ ปัญญากลับมารีดเงินอีก แม่กำลังจูงควายจะไปทำนา ไม่มีเงินติดตัว ปัญญาไม่เชื่อค้นตัวแม่ ฉุดกระชากลากถูจนแม่เสื้อขาด ปัญญาเป็นสัตว์ไปเสียแล้ว จะข่มขืนแม่ของตัวเอง... แต่ในที่นั้น ไอ้ทุยยืนดูอยู่ เขาจึงหันกลับมาถีบไล่ไอ้ทุยไปให้พ้น... หารู้ไม่ว่า สัญชาตญาณของควายก็มิอาจทนดูความชั่วช้าของลูกอกตัญญูเยี่ยงนี้ได้ มันจึงพุ่งเข้าขวิด ชาวบ้านรู้เห็นแต่ที่ควายขวิด แต่ไม่รู้ความเป็นจริงก่อนหน้านั้น กำนันที่พานางทองมานำควายกลับไป ทิ้งท้ายว่า "ถ้าไอ้ปัญญามันไม่ตายด้วยควายขวิด มันก็จะต้องถูกฟ้าผ่าตายในไม่ช้า" ชายฉกรรจ์ที่กระเหี้ยนหระหือจะฆ่าควายในตอนต้น ต่างสำนึกขอบคุณควาย บ้างยังคุกเข่ากราบขอขมาลาโทษควายเสียด้วย ทำให้ทุกคนน้ำตาซึมไปตาม ๆ กัน
-
เฮียซุ้ง : ข้าพเจ้า กับ เฮียเฮ้งจงซุ้ง นั่งคุยกันตั้งแต่ตะวันตกดินจนตะวันส่องฟ้ากลับมาใหม่ในวันรุ่งขึ้น จึงได้รู้สึกตัวว่า เราคุยกันมาทั้งคืนโดยไม่ได้หลับนอน ไม่รู้มีเรื่องอะไรให้คุยกันได้นักเชียว
อันที่จริง ข้าพเจ้ากับเฮียซุ้ง ไม่ได้เป็นเพื่อนรักต่างวัย ไม่ได้เป็นเพื่อนร่วมเรียนก่อนเก่าที่จากกันไปนาน เราเป็นเพียงคนที่เพิ่งรู้จักกัน เมื่อสัปดาห์ที่แล้วบนเที่ยวบินกรุงเทพฯ - ภูเก็ต เมื่อแลกเปลี่ยนนามบัตรกันแล้ว กล่าวคำว่า "มีเวลาเชิญมาเที่ยวที่บ้าน" เท่านั้น ไม่คิดว่าเฮียซุ่งจะเป็นคนว่องไวเพียงนี้มาเยี่ยมข้าพเจ้าก่อนหลังจากอำลากันไม่นาน ทำให้นึกถึงคำโบราณที่ว่า "ตั้งใจเล่าเรียนได้ทุกที่ คบเพื่อนดีได้ทุกเวลา" เฮียซุ้งกำพร้าพ่อตั้งแต่เล็ก กตัญญูต่อแม่มาก เขาเป็นคนตำบลนอกเมืองนครศรีธรรมราช อาชีพเข็นรถขายของใช้ประจำบ้าน เลี้ยงปากท้องหกชีวิตของครอบครัว ออกจากบ้านตั้งแต่เช้ามืด มื้อเที่ยงมักจะอดข้าว ตอนค่ำจะซื้ออาหาร กลับไปฝากแม่ เฮียซุ้งเป็นคนอารีอารอบ ชอบช่วยเหลือคน ใครลำบากยากแค้น แม้ตนเองจะข้าวหมดหม้อ ก็ขอให้คนอื่นได้อิ่มไว้ก่อน ค่ำวันหนึ่ง ไปซื้อข้าวสารมากรอกหม้อ ระหว่างทางได้พบแม่เฒ่าขอทาน บอกว่าไม่ได้กินข้าวมาสองวันแล้ว เฮียซุ้งยกข้าวถุงนั้นให้ไป ซื้อก๊วยเตี๋ยวหนึ่งห่อกลับมาให้แม่ ตนเองกับลูกเมียอดไปก่อนหนึ่งคืน ค่ำมืดดึกดื่นใครเจ็บป่วยให้ช่วยส่งโรงพยาบาล แม้วันตรุษจีนเป็นวันถือ จะให้เขาช่วยหามโลงศพ เขาก็ยินดี ทุกคนในตำบลชื่นชมเขา ชาวไร่มีผัก มีฟักแฟง ก็มักจะเอามาฝาก เพราะรู้ว่าเขารายได้น้อย ลูกมากยากจน แม่ของเฮียซุ่งเจ็บออด ๆ แอด ๆ สงสารลูกชาย จึงไปอยู่กับลูกสาวที่ลูกเขยฐานะดีกว่า วันหนึ่ง น้องสาวโทรศัพท์มาบอกว่า แม่ป่วยหนัก เขารีบถอดแหวนวงน้อยไปขาย เป็นค่ารถพาลูกเมียไปเยี่ยมแม่ที่บ้านของน้องสาวทันทีที่หาดใหญ่ ชะรอยเป็นแรงกตัญญู ถ้าแม่เป็นอะไรไปในช่วงชีวิตนั้น ลูกกตัญญูยากจนยังทำอะไรไม่ได้ คงต้องเสียใจไปตลอดชีวิต เดชะบุญแม่หายป่วย เฮียซุ้งส่งลูกเมียกลับบ้านไปก่อน ส่วนตนเองเดินทางต่อไปที่สุไหงโกลก เพื่อจะไปขอให้ "เจ้าผู้ศักดิ์สิทธิ์ทรงฤทธิ์" ช่วยดูชะตาแม่ และช่วยต่ออายุให้แม่ด้วย เสร็จธุระจากสุไหงโกลกย้อนกลับมาไหว้ "เจ้าปู่ใหญ่" ศักดิ์สิทธิ์ที่หาดใหญ่ ขอให้ช่วยต่ออายุให้แม่ จากนั้นจึงขึ้นรถไฟชั้นสามกลับนครศรีธรรมราช เก้าอี้ชั้นสามนั่งตัวละสองคน พอเดินมาถึงที่นั่ง ผู้เฒ่าคนหนึ่งซึ่งนั่งอยู่ริมหน้าตางรีบลุกขึ้นให้ทีนั่งแก่เขา ผู้เฒ่าเองเลื่อนมานั่งใกล้ทางเดิน เฮียซุ้ง ดูเลขที่นั่งแล้วรู้สึกแปลกใจ ถามผู้เฒ่าผมขาวสีเงินระยับว่า "ทำไมทราบว่าที่นั่งของผมอยู่ริมหน้าต่าง" ผู้เฒ่าเคราสีเงินยาวประทรวงอกยิ้มแล้วว่า "ก็เลขที่นั่งของฉันอยู่ใกล้ทางเดิน ของเธอก็ต้องอยู่ริมหน้าต่างน่ะซิ" จากนั้นเฮียซุ้งกับผู้เฒ่าลักษณะพิเศษท่านนั้นก็เริ่มสนทนากัน ผู้เฒ่าว่า "อายัขัยสั้นยาว ขึ้นอยู่กับบุญทานบารมีที่บำเพ็ญมาแต่ชาติปางก่อน ไม่ใช่จะอธิษฐานภาวนาขอมาได้..." เฮียซุ้งสะดุ้งในใจ ท่านรู้เรื่องของเราได้อย่างไร "...ผีสางเทวดาก็เป็นหนึ่งในหกชีววิถีที่ต้องเวียนว่าย ท่านเองก็ต้องสิ้นสุดเวลาอายุขัย แล้วจะช่วยเราได้อย่างไร อย่าหลงเชื่อง่าย ๆ เราไม่ดูแคลน แต่ก็ไม่ต้องไประจบสอพลอ ทางที่ดีเคารพแต่ต้องถอยห่างไว้..." "...เชื่อในผีสาง วอนขอแต่เทพยดา เคารพเซียนผู้บรลุธรรม เอาอย่างพุทธะอริยะ แสวงทางรู้แจ้ง คล้ายกันแต่ต่งกัน จะต้องใช้ปัญญาแยกแยะ อ่นคัมภีร์สัจธรรมให้มาก ความคิดจิตใจให้เทียงตรงสว่างกว้างใหญ่ ไม่โลภ ไม่ฉ้อฉล จึงจะไม่ถูกผีสิงใจ...ให้ทานทรัพย์สิ่งของ ประคองสงเคราะห์คนทุกข์ยาก เรียกว่าสร้างบุญกุศล วันข้างหน้าวาสนาจะปรากฏ ให้ทานไปเห็น ๆ แต่เบื้องบนจะตอบสนองกลับมาเงียบ ๆ ทุ่มเทอดทนทำไป เรียกว่าคุณความดี สร้างคุณความดีให้ชาวโลก วันข้างหน้าจะสูงส่ง บุญกับคุณความดี จะหล่อหลอมจิตใจให้เบิกบานแจ่มใส ยินดีที่จะเป็นผู้สงเคราะห์ช่วยเหลือ จิตใจนั้นเป็นคุณธรรม บุญกุศล คุณความดี กับคุณธรรม จะตอบสนองด้วยร่ำรวยสูงส่ง อายุยืน... ...หากยังไม่เกิดผลตามนี้ แสดงว่ายังมีวิบากกรรม มีมารทดสอบ เช่นพ่อหนุ่ม เธอทำความดีมามาก แต่ยังขัดสนอยู่ เปรียบเหมือนว่า กว่าจะได้ข้าวมาสักชาม ก็ถูกหมาตัวใหญ่ชิงเอาไปกิน ถ้าเป็นอย่างนี้ พ่อหนุ่มจะคิดย่างไร"
-
เฮียซุ้ง ๒. : "แล้วแต่ฟ้าลิขิต" เฮียซุ้งตอบ "...ดีมาก ไม่ขัดเคือง ดีมาก..."ผู้เฒ่าชื่นชม สนทนามาถึงตรงนี้ พอดีรถจอดสถานีใหญ่ เสียงร้องขายของกันเซ็งแซ่ ผู้คนบนชานชาลาจอแจ เฮียซุ้งนึกขึ้นได้ว่าบ่ายแล้ว จึงไปซื้อข้าวมาสองห่อ ให้ผู้เฒ่าหนึ่งห่อ ผู้เฒ่าปฏิเสธบอกว่า
"เวลาขาลถึงมะโรง (เช้า) เทพยดาเสวย
ก่อนเที่ยงถึงบ่ายสาม เวาลามะเส็งถึงมะแม คนกิน
เวลาวอกถึงจอ หลังบ่ายสามถึงสามทุ่ม ผีสางกิน
เวลากุนถึงเวลาฉลูรอบใหม่ สามทุ่มถึงตีสาม สัตว์กิน เรียกว่ากินให้เหมาะกับเวลาของตน"
ผู้เฒ่าบอกว่าจะลงรถสถานีหน้า จะให้ข้อคิดอีกหน่อย ...พระอาจารย์ท่านหนึ่งเคยสอนไว้ว่า อย่าโกรธแค้นคู่อริ เขามีคุณช่วยให้เราได้อดทนอดกลั้น ทั้งต่อเภทภัย ต่อความทุกข์ยาก อย่าโทษคน หรือฟ้าดิน...
...ลบนิสัยเคยชินไปได้ส่วนหนึ่ง จิตก็จะสว่างได้ส่วนหนึ่ง...
...ละกิเลสไปสิบส่วน ก็จะเจริญโพธิได้ส่วนหนึ่ง... "
...พ่อหนุ่มจะต้องไปอีกสี่ห้าสถานี กว่าจะถึงบ้านจะดึกมาก..." เฮียซุ้งสะดุ้งในใจอีกครั้งหนึ่ง ท่านรู้ได้อย่างไร เราไม่ทันได้บอกว่าจะลงที่ไหน ท่านผู้เฒ่าลงจากรถลับตาไปแล้ว แต่ก่อนรถจะเคลื่อนขบวนออกจากสถานี ท่านวกกลับมาปรากฏตัวที่หน้าต่างรถบอกเฮียซุ้งอย่างจริงจังว่า "หลังตรุษจีน (วันไหว้) หนึ่งวัน ใส่ใจเลขทะเบียนรถเข็น" สั่งเสร็จท่านก็เดินจากไปอย่างรวดเร็ว เฮียซุ้งสับสนเคว้งคว้างอย่างบอกไม่ถูก เหมือนเพิ่งได้อะไรมาและเพิ่งเสียอะไรไปอย่างนั้น ...เพิ่งจะสังเกตเห็นหญิงสองคนที่นั่งเก้าอี้ตรงข้ามสายตาของเธอฉงนชอบกล คนหนึ่งอดไม่ได้เมื่อเฮียซุ้งสบตา เธอถามว่า "ตะกร้าดอกไม้ใบสวยที่ตั้งอยู่ข้าง ๆ ตัว หายไปไหนแล้วล่ะ" เฮียซุ้งสะดุ้งอีก ตะกร้าอะไรที่ติดตัวมา มีกระเป๋าเก่า ๆ ใบเดียว วางอยู่บนชั้นวางของเหนือศรีษะ ผู้หญิงคนนั้นพูดอีกว่า "ตลอดทางเห็นคุณคุยกับตะกร้าดอกไม้ไม่หยุด เราอึดอัดใจ ไม่รู้ว่าคุณมีปัญหา (ประสาท อะไรหรือเปล่า" คราวนี้ เฮียซุ้งตัวเย็นวาบ ผลุดลุกขึ้นจะลงรถไปตามหาผู้เฒ่าท่านนั้นให้รู้ชัดว่า เป็นคนเป็นผีหรือเป็นเซียน ถ้าเป็นเซียนจะถวายตัวเป็นศิษย์ แต่ ...รถแล่นเร็วเกินกว่าจะกระโดดลงไปได้แล้ว เฮียซุ้งพะว้าพะวังครุ่นคิดอยู่หลายวัน ไม่อาจลืมเหตุการณ์ที่ผ่านมาได้ ภาระรับผิดชอบครอบคัว ทำให้เฮียซุ้งเหนื่อยสายตัวแทบขาด ต่อมา พอจะหายใจได้ทั่วท้อง ก่อนตรุษจีนหนึ่งเดือนก็เกิดไฟไหม้ ชุมชนห้องแถวไม้ไหม้หมดทั้งแถบ เฮียซุ้งหมดตัว นึกถึงคำว่า "หมาตัวใหญ่แย่งไปกิน" จึงได้แต่ร้องว่า "ฟ้าลิขิต ฟ้าลิขิต" บ้านเหลือแต่กองขี้เถ้า เฮียซุ้งจึงหอบหิ้วครอบครัวไปอาศัยพี่ชาย ซึ่งอยู่อีกย่านชุมชนหนึ่ง พี่ชายขายสินค้าประเภทเดียวกัน อีกทั้งมีรถเข็นเก่าที่ไม่ได้ใช้แล้วหนึ่งคัน เฮียซุ้งจึงขอใช้รถ ขอแบ่งสินค้ามาขายก่อน ตรุษจีน ร้านรวงการค้าขายหยุดหมด แต่เฮียซุ้งไม่ยอมเสียโอกาส เขายังคงเข็นรถคันเก่าตระเวนขายของจนค่ำ ท่ามกลางแสงสลัวช่วงหนึ่งบนถนน เขาเห็นรถขายน้ำเต้าหู้จอดอยู่ข้างทาง สภาพของรถเก่ามาก ไม่รู้อะไรทำให้เขาสนใจเหลือบดูป้ายทะเบียนรถสามตัว แล้วพลันก็นึกถึงคำของผู้เฒ่าขึ้นมาได้ เขากลับไปบ้าน รวบรวมเงินที่มีเพียงน้อยนิด ภรรยาของเฮียซุ้งเข้าใจเรื่องราว จึงไปขอยืมเงินจากลูกพี่ลูกน้องมาห้าร้อยบาท รวมเป็นสองพัน แทงหวยใต้ดินสามตัว นี่เป็นครั้งแรกและครั้งเดียวในชีวิต เขาถูกหวยสามตัวหลายแสนบาท เฮียซุ้งจัดสรรเงินซื้อหุ้นเหมืองแร่ครึ่งหุ้นซึ่งปันผลกันทุกวัน ครึ่งหุ้นก็ได้วันละหลายหมื่นบาทแล้ว กุศลผลบุญ คุณความดี และคุณธรรม สัมฤทธิ์ผลแก่เฮียซุ้งแล้ว ฐานะของเขาดีขึ้นทุกวันอย่างรวดเร็ว ลูกชายคนโตสอบเข้าโรงเรียนนายร้อยตำรวจ ความเจริญก้าวหน้าดีมาก ลูกชายหญิงอีกสองคนจบการศึกษาขั้นสูง ได้งานทำดี แม่ของเฮียซุ้งหมดอายุขัย เมื่อเฮียซุ้งรวยแล้วสองปีสมกับที่เขาตั้งใจจะทำให้แม่ภาคภูมิเป็นครั้งสุดท้าย ถึงขั้นนี้ ทุกอย่างสมความปรารถนา ค้างใจอยู่เพียงเรื่องเดียว คือ ผู้เฒ่าราศีสว่างท่านนั้นคือใคร อยู่ที่ไหน เฮียซุ้งเคยไปยืนรอตรงจุดที่ผู้เฒ่าเดินลงรถไปหลายครั้ง หวังว่าจะเกิดสิ่งมหัศจรรย์...! เรื่องค้วงใจนี้เป็นความทุกข์อยู่ลึก ๆ เป็นความทุกข์ยิ่งที่ยังมิได้ตอบแทนพระคุณ ได้ยินมาว่าที่นราธิวาส มีนักพรตเหมาซันศาสตร์ลี้ลับที่ล่วงรู้ทุกอย่าง เฮียซุ้งดั้นด้นไปหา พอไปถึง แต่เข้าไม่ถึง เพราะคนมีปัญหาคุกเข่ากันล้นหลาม ออกมาถึงนอกประตู เฮียซุ้งจึงได้แต่ยืนชะเง้ออยู่ข้างนอก แต่นักพรตมองเห็นกวักมือเรียก เฮียซุ้งจะคุกเข่าลงเหมือนคนอื่น ๆ ท่านบอกไม่ต้องอีกทั้งยื่นแก้วเหล้า "โง้วเกียพ้วย" ที่ท่านดื่มไปแล้วครึ่งหนึ่งให้ พร้อมกับพูดว่า "ในโลกนี้ มีเรื่องมากมายที่ไม่รู้เสียดีกว่ารู้ ปัญหาที่ตั้งใจจะมาถามไม่ต้องถามแล้ว ต่อไปก็ไม่ต้องไปถามที่อื่นด้วย ทำเป็นว่ามันไม่เคยเกิดขึ้นก็แล้วกัน" ว่าแล้ว ท่านก็เรียกสาวกให้ส่งแขก เฮียซุ้งไม่หาคำตอบจากที่ใดต่อไป แต่จะให้ลืมผู้มีพระคุณนั้น คงลืมไม่ได้
ท้ายเล่ม :
ทุกคนต่างรู้ดีว่า
ชีวิตเป็นสิ่งล้ำค่ากว่าอื่นใดในโลก
ความล้ำค่าของชีวิตสัมพันธ์กับกาลเวลา
หากเมื่อกาลเวลาของชีวิตหมดไป
ยังจะเหลืออะไรให้ก่อเกิดคุณค่าได้
ทุกคนต่างรู้ดีว่า
ความล้ำค่าของชีวิตถูกปลิดขั้วโดยกฏแห่งกรรม
หากเมื่อเวรกรรมที่ทำมาถึงคราตกผล
ยังจะเหลืออะไรให้ได้แก้ตัว
:) ~~~~~ จบเล่ม ~~~~~ :)