นักธรรม
ห้องสมุด "นักธรรม" => หนังสือ => ข้อความที่เริ่มโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 11/04/2555, 11:28
-
จิ่วหยังกวน
สถานเคี่ยวกรำผู้บำเพ็ญ
ศุภนิมิต เรียบเรียง
หนังสือเล่มนี้ขออนุโมทนาแด่
ผู้บำเพ็ญที่มุ่งหมายนิพพานอย่างแน่วแน่
ขอได้โปรดรับไว้ด้วยความซาบซึ้ง
ในพระมหากรุณาธิคุณเบื้องบนโดยทั่วกันเทอญ
สาธุ
-
จิ่วหยังกวน
สถานเคี่ยวกรำผู้บำเพ็ญ
สารบัญ
หมายเหตุนำเรื่อง
จุดเริ่มต้นของหนังสือ "บันทึกท่องด่านจิ่วหยัง"
พระองค์เลขาในพระปราสาททอง ประทับฯ ประทานด้วยคำกล่าวอ้างทางโลก
พระอรหันต์ห-ลวี่ต้งปิน ( ห-ลวี่ฉุนหยัง ) ประทับฯ ประทานคำนำ
องค์ประธานสอบสามโลก ประทานคำนำ
พระอริยะมาตามหลีซันเหลาหมู่ ประทานคำนำ
ตอนที่ 1 ลงนรกของยืมดวงแก้ว
ตอนที่ 2 ท่องด่านแรกของจิ่วหยังกวน ( ด่านขัดเกลาธาตุแท้ )
ตอนที่ 3 ท่องด่านขัดเกลาธาตุแท้อีกครั้ง
ตอนที่ 4 ท่องด่านที่สองของจิ่วหยังกวน ( ด่านมลายอารมณ์ )
ตอนที่ 5 ท่องด่านที่สามของจิ่วหยังกวน ( ด่านสระหนาว )
ตอนที่ 6 ท่องด่านที่สี่ของจิ่วหยังกวน ( ด่านสระร้อน )
ตอนที่ 7 ท่องด่านที่ห้าของจิ่วหยังกวน (ด่านมลายโลกีย์ ฯ )
ตอนที่ 8 ดูเหตุการณ์เมื่อชาวโลกทิ้งกายสังขาร
ตอนที่ 9 ท่องด่านที่หกของจิ่วหยังกวน (ด่านแต่งโฉม )
ตอนที่ 10 ท่องด่านที่เจ็ดของจิ่วหยังกวน ( ด่านศรัทธาเคารพ )
ตอนที่ 11 ท่องจิ่วหยังกวน ( ตำหนักเพิ่มบำเพ็ญ )
ตอนที่ 12 ท่องด่านที่แปดของจิ่วหยังกวน ( ด่านฝึกจิต )
ตอนที่ 13 ท่องด่านที่เก้าของจิ่วหยังกวน ( ด่านบรรลุอริยะ )
ตอนที่ 14 ท่องจิ่วหยังกวน ตำหนักอนุโมทนาบุญ
พระพุทธจี้กงประทับทรง ประทานสรุปท้ายเรื่อง
-
จิ่วหยังกวน
สถานเคี่ยวกรำผู้บำเพ็ญ
หมายเหตุนำเรื่อง
จิ่วหยังกวน หรือ ด่านจิ่วหยัง คือ "เก้าเก้าด่าน" หรือเก้าเก้าแปดสิบเอ็ดด่าน อันเป็นทัณฑสถานบนชั้นสวรรค์ของผู้บำเพ็ญ
หลวนถัง คือ เทวสถานตำหนักทรง เป็นตำหนักพระที่สิ้งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายใช้้ประทับทรงเพื่อเสริมสร้างคุณธรรมแด่สาธุชน หรือเรียกว่า เทวสถานคุณธรรม ก็ได้
ฉงเซิง คือ ชื่อเทวสถานแห่งหนึ่ง สิ่งศักดิ์สิทธิ์โปรดใช้ประทับทรงตักเตือนสาธุชน อยู่ที่เมืองไถจง ไต้หวัน
ทักษิณาลัย คือ มหาพฤฒาลัยแห่งทิศทักษิณ ที่ประทับของพระมหาพฤฒาชันษาเจ้าเหล่าเซียน-อง ผู้ปกครองเซียนทั้งหลาย
คนเดิม อนุตตรญาณจากนิพพานที่เบื้องบนจัดส่งให้เกิดกายมาพัฒนาโลกในครั้งกระโน้น แล้วหลงเวียนว่ายไม่อาจกลับคืนภาวะเดิม ซึ่งบัดนี้ได้รับการฉุดช่วยให้ได้รู้อนุตตรญาณเดิมที่สถิตอยู่ในกายตน ที่เรียกว่า ได้ขอรับวิถีธรรม แล้วนั่นเอง
-
จิ่วหยังกวน
สถานเคี่ยวกรำผู้บำเพ็ญ
จุดเริ่มต้นของหนังสือ
"บันทึกท่องด่านจิ่วหยัง"
มหาราชอุ๋นเหิง องค์พระประธานในเทวตำหนักฉงเซิงประทับทรง มีพระบัญชาว่า "ให้เทพเจ้าประจำพระตำหนักนี้และศาลหลักเมืองออกไปเฝ้ารับพระราชโองการแห่งพระองค์เง็กเซียนฮ่องเต้ ณ สิบลี้เบื้องหน้า ขอเชิญพระกุมารแห่งปราสาทสระมรกต (เอี๋ยวฉือจินถง) ออกไปเฝ้ารับเทวโองการ ณ ห้าลี้เบื้องหน้า ส่วนสานุศิษย์ในพระตำหนักนี้ให้อยู่ในความสงบ เทพฯ คน เรียงรายรอเฝ้ารับพระบาท" จากนั้น องค์พระมหามนตรีเทพแห่งปราสาททอง ไท้ไป๋เซียน-อง รับพระบัญชาแทนพระองค์เสด็จมาถึง ประทับนำด้วยโศลกดังนี้
พระแม่เมตตา ห่วงหาบุตร ญาณเดิมมเจ้า
เทศกาลเก้าเก้า วัน "ฉงหยัง" สั่งบัญชา
โปรดเปิดเผย ด่านจิ่วหยัง ความลับฟ้า
เพื่อนำพา ลูกกลับขึ้น คืนนิพพาน
แล้วแสดงความว่า คืนนี้เราได้อันเชิญพระโองการฯ มาประกาศ ณ เทวตำหนักนี้ เทพฯ คน จงหมอบกราบสดับความ
ทูลเกล้าฯ พระโองการจากเง็กเซียนฮ่องเต้ มีความดังนี้
เรา แม้ทรงศักดิ์แต่มิพักจะสอดส่อง คำนึงถึงเวไนยสัตว์ทั้งผองทุกขณะ เมื่อเห็นบรรยายกาศดำมืดปกคลุมโลกหล้า จิตใจมนุษย์เปลี่ยนไปมาก คำเตือนของพระ - เจ้า กลับเห็นเป็นเรื่องงมงาย ไม่เกรงกลัวกฏแห่งกรรม คุณธรรมเสื่อมลงทุกวัน เราเวทนาสงสารยิ่งนัก แม้ในเขตคามไต้หวันจะมีตำหนักฯ คุณธรรมอยู่ทั่วไป สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายพากันประทับทรงแพร่คำสอน
ผู้ศึกษาธรรมแม้จะมีมากและศรัทธา แต่ความเคยชินอันต่ำทรามแก้ได้ยาก แม้ตัวจะอยู่ในประตูพระอริยะ แต่เมื่อพ้นกายสังขารไปกลับไม่อาจบรรลุ น่าเสียดายนัก
พระศาสดาทั้งห้าได้ปรึกษากันมีความเห็นว่า จะต้องสร้างหนังสืออบรมผู้บำเพ็ญเล่มหนึ่งให้จงได้ เพื่อเตือนใจผู้คนให้รีบเข้าหาจิตเดิมแท้แห่งตน แต่การนี้หากไม่เปิดเผยความลับของด่านจิ่วหยังกวนก็คงไม่ได้ผล เมื่อพระศาสดาทั้งห้าเห็นชอบพ้องกันแล้ว จึงได้รายงานแก่เรา เมื่อได้รับทราบ จึงบัญชาพระศาสดาทั้งห้าให้เสนอผู้ที่สามารถจะรับภาระใหญ่นี้ขึ้นมา พระศาสดาทั้งห้าปรึกษากันแล้วก็ได้รายงานแก่เราว่า บัดนี้ตำหนักฯ คุณธรรมภายใต้การปกครองโดยตรงของเบื้องบนทักษิณาลัย คือ ตำหนักฯ ฉงเซิง แห่งไถจง ศิษย์หลิวฉงซิว เหมาะแก่ภาระยิ่งใหญ่นี้ เรายินดีเมื่อสดับความ จึงโปรดบัญชาการให้ตำหนักฯฉงเซิงแห่งเมืองไถจง ซึ่งอยู่ในความปกครองของเบื้องบนทักษิณาลัยโดยตรง สร้างหนังสือวิเศษซึ่งไม่เคยมีมาก่อนเล่มนี้ โดยให้ชื่อว่า "บันทึกท่องด่านจิ่วหยัง" บัญชาให้พระพุทธจี้กงนำญาณของศิษย์หลิวฉงซิว ไปท่องดูเหตุการณ์ เพื่อให้ผู้บำเพ็ญได้รู้เห็นการขัดเกลาต่าง ๆ ในด่านจิ่วหยัง และเพื่อเพิ่มเติมความไม่สมบูรณ์ในหนังสือท่องนรก - สวรรค์
อีกทั้งบัญชาให้พระกุมารแห่งสระมรกตถือพู่กันทรงถ่ายทอดเหตุการณ์ความเป็นจริง
หวังว่าศานุศิษย์ของตำหนักฯ ฉงเซิงจะร่วมช่วยงานนี้โดยศรัทธา
หนังสือเล่มนี้มิใช่ธรรมดา จะต้องสนองพระบัญชาด้วยความจริงใจ
ได้สั่งการให้แต่ละด่านของจิ่วหยังเปิดประตูต้อนรับ เมื่อญาณของศิษย์แห่งตำหนักฯ ฉงเซิงมาเที่ยวชม
ให้ร่วมช่วยงานสร้างหนังสือศักดิ์สิทธิ์นี้มิให้บิดพลิ้ว
ให้เริ่มเขียนทุกคืนตั้งแต่พระโองการนี้มาถึง
ให้เสร็จสิ้นมอบถวายได้ภายในสามสิบวัน จะประทานกุศลบุญคุณงามเมื่อหนังสือสำเร็จเป็นเล่ม ทั้งนี้ให้เป็นไปตามบัญชาแห่งเราอย่าได้ผิดพลาด
คารวะขอบคุณ
หมินกั๋ว 71 ปีจอ เก้าค่ำ เดือนเก้า
-
จิ่วหยังกวน
สถานเคี่ยวกรำผู้บำเพ็ญ
พระองค์เลขาในพระปราสาททอง
ประทับฯ ประทานด้วย
คำกล่าวอ้างทางโลก
1. หนังสือเล่มนี้บันทึกตามพระบัญชาของท้าวสักกะเทวราชองค์เง็กเซียนฯ แม้จะเป็นสำนวนง่าย ๆ แต่แฝงความหมายสัจธรรม เป็นแบบฉบับอันวิเศษสำหรับกล่อมเกลาผู้บำเพ็ญจริงโดยแท้
2. หากมีคำผิดในหนังสือนี้ นั่นคือความผิดพลาดของผู้รับถ่ายทอดข้อความ ผู้อ่านอย่าได้ดูเบา
3. หนังสือเล่มนี้สำเร็จได้ด้วยความวิริยะของสิ่งศักดิ์สิทธิ์และคนร่วมกัน ในเล่มได้เปิดเผยความลับของด่านจิ่วหยังโดยหมดสิ้น แสดงให้เห็นข้อบาดคาดโทษชัดเจน เป็นระฆังเตือนใจช่วยชาวโลกได้เป็นอย่างดี ซึ่งหมื่นปีก็ยากนักที่จะได้พบ หวังว่าชาวโลกจะได้อ่านกัน เห็นคุณค่า สำนึกและบำเพ็ญกัน
4. หนังสือเล่มนี้สำเร็จได้จากความร่วมมือของผู้รับผิดชอบทั้งด่านจิ่วหยัง เทวโลก ยมโลก และโลกมนุษย์ทั้งหมด จะได้กุศลร่วมกัน ฉะนั้นหากพิมพ์แจกจ่ายแม้เพียงหนึ่งเล่มก็จะส่งผลให้รับรู้ทั้งสามโลก
5. พระปกาศิตแห่งพระแม่องค์ธรรม ความว่า
"ผู้ใดพิมพ์หนังสือนี้เพื่อแจกจ่าย เพื่อฉุดช่วยคน ไม่ว่าพิมพ์เอง ช่วยพิมพ์ ร่วมพิมพ์ บอกเล่า เผยแผ่ออกไป ฯลฯ จะได้รับการลดหย่อนบาปเวรในอดีตชาติ หากบุญกุศลถึงพร้อมจะได้ยกระดับขึ้นสู่แดนพระอริยะ อันวิมุติตามผลบุญที่ได้สร้างไว้"
6. สำหรับผู้ที่ต่ออายุขัย ขอลาภยศ ขอขจัดโรคภัย ขอลบล้างหนี้เวรกรรม ขอเสริมสร้างบารมี ขอลบล้างโทษผิด ฉุดช่วยวิญญาณบรรพบุรุษขอบุญวาสนา ฯลฯ เมื่อตั้งใจพิมพ์หนังสือนี้ จะสมความปรารถนา ผู้วอนขอจะต้องจุดธูปบอกกล่าวกลางแจ้ง หรือเบื้องหน้าที่บูชาในวัด ในศาลเจ้า หรือต่อเทพเจ้าเตาครัว สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายจะนำความขึ้นกราบทูล ความปรารถนาก็จะสัมฤทธิ์
7. หนังสือเล่มนี้เมื่อวางอยู่ที่ใด สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งสิบทิศจะพิทักษ์รักษา อ่านแล้วจึงต้องเก็บรักษาไว้ในที่สะอาดมิให้เปรอะเปื้อน
ผู้ใดดูแคลนใส่ร้ายทำลายหนังสือเล่มนี้ หรือขัดขวางมิให้แพร่หลายจะตกนรกยาวนานโดยไม่นิรโทษกรรม หวังว่าสาธุชนทั้งหลาย จะได้เดินสู่ทางบุญ ขอจงพิจารณาให้ดี
-
จิ่วหยังกวน
สถานเคี่ยวกรำผู้บำเพ็ญ
พระอรหันต์ห-ลวี่ต้งปิน
(ห-ลวี่ฉุนหยัง)
ประทับฯ ประทานคำนำ
นับแต่มนุษยธรรมได้กำหนด อนุตตรธรรมได้ปรากฏ กัลยาณชนที่เข้าใจไม่มีที่จะไม่บำเพ็ญตนสร้างคุณธรรมเพื่อพ้นเวียนว่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บัดนี้วิถีอนุตตรธรรมได้โปรดทั่วไป เป็นหัวเลี้ยวหัวต่อระหว่างทางโลกกับอริยะ เพตุเพราะจิตญาณเดิมถูกบดบังเสียนานจนสว่างได้ยาก เบื้องบนจึงโปรดบัญชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย หาทางช่วยเหลืออบรมชี้ชัดถึงหนทางคืนกลับนิพพานบ้านเดิม ผู้บำเพ็ญในยุคนี้แม้จะมีมาก แต่เนื่องด้วยนิสัยความเคยชินไม่อาจแก้ได้หมด จึงไม่อาจบรรลุฯ
เหตุนี้ จึงได้สร้างด่านจิ่วหยัง เพื่อนำเอาบาปบุญในชีวิตของผู้บำเพ็ญเข้าสอบในแต่ละด่าน แปดสิบเอ็ดด่าน ขัดเกลาให้เปลี่ยนแปลงโดยสิ้นเชิง ในหนังสือนี้ ผู้บำเพ็ญจะได้เห็นตัวอย่างเป็นอุทาหรณ์ แต่ก่อนแม้เราจะเคยเปิดเผยเหตุการณ์ด่านจิ่วหยังไว้บ้าง แต่ยังไม่ถึงกาลอันควร จึงไม่อาจแพร่หลาย บัดนี้ ตำหนัก ฯ ฉงเซิงแห่งนี้ได้สนองบุญวาระ สร้างหนังสือวิเศษที่ยังไม่เคยมีมาก่อนเล่มนี้ คืนนี้เราจะประทับทรงให้คำนำเป็นการเฉพาะ
หวังว่า ผู้บำเพ็ญทั้งหลายจะได้เข้าใจว่า แม้ด่านจิ่วหยังจะเข้มงวด การสอบทั้งแปดสิบเอ็ดด่านจะกว้าง แต่หากใจราบเรียบก็จะขึ้นอาสน์บัวบรรลุได้ในพริบตา
คำนำจากเรา หล-วี่ต้งปิน ปราสาททักษิณ
ให้ไว้ ณ ตำหนักฯ ฉงเซิง
สังกัดเบื้องบนทักษิณาลัย
-
จิ่วหยังกวน
สถานเคี่ยวกรำผู้บำเพ็ญ
องค์ประธานสอบสามโลก
ประทานคำนำ
การสร้างด่านจิ่วหยังก็เพื่อเป็นสถานตัดสินคุณโทษของผู้บำเพ็ญ เมื่อก่อนแม้จะเคยถ่ายทอดบอกเล่า แต่ด้วยเหตุที่ยังไม่ถึงกาลอันควร จึงมิได้เผยแพร่ไป บัดนี้ วิถีธรรมได้ปรกโปรดกว้างขวาง กาลเวลาคับขัน แม้จะเผยแพร่เรื่องราวของนรกสวรรค์ แต่นรกก็เป็นสถานที่ลงโทษ สวรรค์ก็คือแดนสุขาวดี ส่วนผู้บำเพ็ญเป็นคนบุญ
การลงโทษในนรกใช้เฉพาะกับคนทั่วไป สวรรค์แม้จะเป็นเป้าหมายของผู้บำเพ็ญ แต่นิสัยที่ได้รับความเคยชินจากโลกยังไม่หมดไป จึงทำให้ไม่อาจบรรลุธาตุแท้แห่งอริยะ หวังให้ญาณเดิมผู้บำเพ็ญได้บรรลุอุบลอาสน์โดยไว เบื้องบนจึงโปรดประทานพระโองการให้พระตำหนักฉงเซิง เมืองไถจง เปิดเผยความลับของด่านจิ่วหยังบนกระบะทรายอย่างถ้วนถี่
ด่านจิ่วหยังไม่ต่างอะไรกับนรกของผู้บำเพ็ญ ทั้งนี้มิใช่เบื้องบนไม่โปรดเมตตา แต่เป็นเพราะหวังให้ญาณเดิมผู้บำเพ็ญเร่งบรรลุมรรคผล ขอภาวนาให้ผู้บำเพ็ญทั้งหลายในโลกจงตื่นใจ เมื่อได้อ่านหนังสือนี้ รีบแก้ไขนิสัยต่ำทรามโดยเร็ว ถ้าเป็นได้อุบลอาสน์ก็อยู่ไม่ไกล ไม่เสียหลายที่ได้เหนื่อยยากบำเพ็ญกันในชาตินี้
คำนำจากเรา เม่าเถียน องค์ประธานสอบสามโลก
ให้ไว้ ณ พระตำหนักฉงเซิง เมืองไถจง
สังกกัดเบื้องบนทักษิณาลัย
หมินกั๋ว 71 ปีจอ วันที่สิบ เดือนเก้า
-
จิ่วหยังกวน
สถานเคี่ยวกรำผู้บำเพ็ญ
พระอริยะมาตาหลีซันเหลาหมู่
ประทานคำนำ
บันทึกท่องด่านจิ่วหยังกวน "เกิดจากเบื้องบนได้โปรดเมตตา คำนึงถึงผู้บำเพ็ญเมื่อหลังจากทิ้งกายสังขาร แม้วิญญาณจะล่วงพ้นจากนรกก้าวขึ้นสะพานทองของสวรรค์ได้ แต่อุปนิสัยที่ได้จากโลกยังไม่หมดสิ้นไป ทำให้ไม่อาจบรรลุ จึงได้เจาะจงสร้างด่านนี้
วันนี้ได้อาศัยพู่กันทอง เผยความจริงบรรยายเหตุการณ์การเคี่ยวกรำในแต่ละด่านจิ่วหยัง เพื่อให้ผู้อ่านรู้เห็นความเป็นจริง พึงรู้ไว้ว่าในด่านจิ่วหยังไม่
ปราณี ต้องขัดเกลากิเลสให้หมดไปจึงจะบรรลุจริง แม้ไม่เชื่อก็ป่วยการจะบำเพ็ญ ไปถึงด่านจิ่วหยังแล้วค่อยเสียใจก็สายเกินไป
เมื่อเห็นหนังสือศักดิ์สิทธิ์นี้ให้รีบแก้ไขตนเอง จะได้ไม่ต้องทุกข์กังวลกับวันข้างหน้า ความชั่วร้ายทั้งหลายทั้งปวง ล้วนมลายไปกับคำว่า "สำนึก" หวังว่าผู้บำเพ็ญจะได้สร้างบุญชดเชยความผิดบรรลุจริงได้ โอวาทของเรามิใช่ความเท็จ ขอจงรอบคอบระวัง
คำนำจากเรา พระอริยะมาตาหลีซันเหลาหมู่
ให้ไว้ ณ พระตำหนักฉงเซิง เมืองไถจง
สังกัดเบื้องบนทักษิณาลัย
-
จิ่วหยังกวน
สถานเคี่ยวกรำผู้บำเพ็ญ
ตอนที่ 1
ลงนรกขอยืมดวงแก้ว
วันที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2525
พระพุทธะจี้กงประทับทรง โปรดนำด้วยโศลกความว่า :
เพื่อฉุดช่วย เวไนยสัตว์ กลับสรวงสวรรค์
ไม่ย่อยั่น ดั้นด้นไป ในสามโลก
อรรถาธรรม ความลับฟ้า เที่ยวปรกโปรด
เป็นโฆษก ท่องทั่วยัง จิ่วหยังกวน
พระฯ จี้กง : เป็นครั้งแรกที่อาตมาลงมาสร้างหนังสือบุญ ที่พระตำหนักไถจงฉงเซิงจองเจ้า ชั่วขณะนี้ทำให้อาตมาเหนื่อยแทบแย่ เมื่อก่อนไม่ค่อยได้มาหวังว่าศิษย์ทั้งหลายอย่าได้เห็นเป็นอื่นไกล
ฉงซิว : พระอาจารย์โปรดยกย่องเกินไป ศิษย์ทั้งหลายทราบดีว่า พระอาจารย์วิ่งเต้นตรากตรำเพื่อฉุดช่วยเวไนยสัตว์ในบุญวาระสุดท้ายอยู่ และเป็นเพราะพระตำหนักของเราบุญน้อย พระอาจารย์จึงไม่อาจมาโปรดบ่อยนัก
พระฯ จี้กง : ฉงซิวอย่าพูดน้อยใจไปเลย บัดนี้วาระสำคัญของตำหนักฉงเซิงมาถึงแล้ว จะได้สร้างหนังสือคุณวิเศษที่ไม่เคยมีมาก่อน ได้อรรถาเหตุการณ์ของจิ่วหยังกวน เพื่อชดเชยความบกพร่องของหนังสือท่องนรก - สวรรค์ ในครั้งก่อน แท้จริงคือค่าตอบแทนเหนื่อยยากของเจ้าในหลายปีที่ผ่านมา ภาระสำคัญนี้มิใช่เบา หวังว่าเจ้าจะอุทิศกายใจเต็มที่ เราจะได้สร้างหนังสือให้เสร็จและถวายผลงานได้ในเร็ววัน
ฉงซิว : ศิษย์จะตั้งใจเต็มที่มิกล้าเฉื่อยชา จะมุ่งงานธรรมะจริงจัง เพื่อมิให้ผิดต่อพระมหากรุณา ฯ ของเบื้องบนที่ได้โปรดมอบหมายงานใหญ่นี้แก่ศิษย์
พระฯ จี้กง : "บันทึกท่องจิ่วหยังกวน" เล่มนี้ เมื่อพิมพ์ออกเผยแพร่ ฉงซิวเจ้าจะได้รับการกล่าวขานและจารึกชื่อไว้ชั่วนิรันดร์ในประวัติศาสตร์พระตำหนักทรงทีเดียว
ฉงซิว : ศิษย์ขอเพียงได้สร้างบุญกุศลเมื่ออยู่ในโลกอีกสักหน่อย ได้พ้นจากเวียนว่ายในเร็ววันเท่านี้ก็เพียงพอแล้ว
พระฯ จี้กง : เฮย์ ดู ๆ แล้วคงเป็นเพราะเจ้าอยู่โลกนี้มานานจนขยาดโลกเสียแล้วซิ
ฉงซิว : ขอรับ รู้สึกหน่ายแล้ว แต่ศิษย์ตระหนักดีว่าภารกิจยังไม่หมดสิ้น จึงยังมิกล้ารามือ
พระฯ จี้กง : อย่าได้ถอนใจระบายคัมภีร์ทุกข์ (บ่น) เลย การสร้างหนังสือคุณวิเศษเป็นโอกาสยากยิ่ง ร้อยปีพันปีจะมีสักครั้ง และก็ใช่จะมีโอกาสทำได้กันทุกคน
ฉงซิว : ขอรับ พระอาจารย์ได้โปรด จิ่วหยังกวนอยู่ที่ไหน และมีผลอย่างไรขอรับ
พระ ฯ จี้กง : สวรรค์เป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ มีไว้ส่งเสริมคนเดิมให้มุ่งมั่นบำเพ็ญบรรลุจริงในภายหน้า ส่วนนรกมีไว้กำราบชาวโลก อย่าได้ทำบาปหยาบช้าสามานย์ แต่สำหรับผู้บำเพ็ญที่มีบุญมากบาปน้อย วิธีการลงโทษในนรกนั้นใช้กับเขาไม่ได้
ฉงซิว : โอ ทำไมหรือขอรับ บุญมากบาปน้อยก็น่าจะขึ้นสวรรค์แดนศักดิ์สิทธิ์ได้แล้วนี่ขอรับ
พระ ฯ จี้กง : ไม่ได้ โทษทัณฑ์ในนรกมีไว้ลงโทษคนชั่ว แต่ผู้บำเพ็ญมีบาปไม่ถึงกำหนดโทษของนรก แม้จะมีบุญมากบาปน้อย แต่เบื้องบนต้องการผู้บำเพ็ญที่เป็นอริยะสมบูรณ์แบบ หากยังมีนิสัยอารมณ์เสียของชาวโลกติดอยู่จะก้าวขึ้นสวรรค์แดนศักดิ์สิทธิ์ได้ยาก เช่นนี้เบื้องบนจึงได้จัดตั้ง "จิ่วหยังกวน" เพื่อขัดเกลาผู้บำเพ็ญโดยเฉพาะ เพื่อให้นิสัยชาวโลกหมดไป ให้บรรลุอริยมรรคได้จริง
ฉงซิว : เป็นเช่นนี้นั่นเอง
-
จิ่วหยังกวน
สถานเคี่ยวกรำผู้บำเพ็ญ
ตอนที่ 1
ลงนรกขอยืมดวงแก้ว
วันที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2525
พระพุทธะจี้กงประทับทรง โปรดนำด้วยโศลกความว่า :
เพื่อฉุดช่วย เวไนยสัตว์ กลับสรวงสวรรค์
ไม่ย่อยั่น ดั้นด้นไป ในสามโลก
อรรถาธรรม ความลับฟ้า เที่ยวปรกโปรด
เป็นโฆษก ท่องทั่วยัง จิ่วหยังกวน
พระ ฯ จี้กง : ฉะนั้นจึงกล่าวว่า "บันทึกท่องจิ่วหยังกวน" เป็นหนังสือสาธกเหตุการณ์การขัดเกลาผู้บำเพ็ญที่อยู่ในด่านเพื่อเตือนใจผู้บำเพ็ญชาวโลกและเพิ่มเติมส่วนที่ยังไม่สมบูรณ์ในหนังสือท่องนรก - สวรรค์ ด้วย
ฉงซิว : ถ้าเช่นนั้นหนังสือเล่มนี้ก็วิเศษจรองจริงซิขอรับ
พระ ฯ จี้กง : เจ้ามีฐานบุญลึกซึ้งจึงมีโอกาสได้สร้างหนังสือวิเศษ ที่ไม่เคยมีมาแต่กาลก่อนเล่มนี้ เอาละเวลามีไม่มาก เราไปกันเถอะ
ฉงซิว : ขอรับ แต่ไม่ทราบว่าศิษย์จะใช้ยานพาหนะอย่างไรไป
พระ ฯ จี้กง : พระบรรจารย์หงจินเตรียมไว้ให้เราตั้งนานแล้ว นั่นไง
ฉงซิว : เอ ! นั่นนกอะไรขอรับ ดูคุ้น ๆ
พระ ฯ จี้กง : นั่นคือนกเผิง (คล้ายนกอินทรี) รีบขึ้นหลังนกเตรียมออกเดินทางได้แล้ว
ฉงซิว : ไม่มีเข็มขัดนิรภัยอย่างนี้ไม่เป็นไรหรือขอรับ
พระ ฯ จี้กง : อย่ากลัวตายนักเลย อาจารย์อยู่ใกล้ ๆ เจ้า ยิ่งกว่านั้นเราสนองพระบัญชาสร้างหนังสือ หากมีอะไรผิดพลาด อาจารย์เองนะแหละที่จะรับไม่ไหว
ฉงซิว : ขอรับ ศิษย์นั่งได้เหมาะแล้ว แต่จริง ๆ ก็ยังหวาดอยู่ คุณนกเผิงใหญ่ขอความกรุณาหน่อยนะคร้าบ
พระ ฯ จี้กง : "หลับตาซะ" บินขึ้นได้ ... เอาละ ... ถึงแล้ว ฉงซิวลงมาได้
ฉงซิว : เอ นี่ที่ไหน ถึงจิ่วหยังกวนแล้วหรือขอรับ พระปราสาทนี้ใหญ่จริง
พระ ฯ จี้กง : ที่นี่ไม่ใช่จิ่วหยังกวน แต่เป็น กษิติปราสาท (ตี้จั้งกง) เป็นที่ประทับของ พระกษิติครรภ์ตี้จั้งอ๋วง "พระศาสดาแห่งเมืองนรก"
ฉงซิว : เอ เราไม่ใช่จะไปท่องจิ่วหยังกวนกันหรือขอรับ ทำไมมาที่กษิติปราสาท
พระ ฯ จี้กง : เพราะว่าจะท่องจิ่วหยังกวน จึงจำเป็นต้องขอยืมดวงแก้วของพระโพธิสัตว์กษิติครรภ์ตี้จั้งอ๋วง เราจึงต้องมาที่นี่ เร็ว เข้าไปกันเถอะ
ฉงซิว : อ้อ อย่างนี้นั่นเอง
พระ ฯ จี้กง : เบื้องหน้ามีท่านผู้หนึ่งเดินตรงมา ท่าทีงามสง่าผึ่งผาย พระองค์คือพระกษิติครรภ์ ฉงซิวรีบเข้าไปกราบพระบาทเสีย
ฉงซิว : ขอรับ ศิษย์ฉงซิวกราบเฝ้าพระบาทพระโพธิสัตว์กษิติครรภ์ วันนี้ศิษย์ได้ติดตามพระอาจารย์จี้กงลงมายังยมโลก เพื่อขอยืมดวงแก้วจากพระองค์พระโพธิสัตว์หนึ่งดวง หวังว่าพระองค์จะประทานอนุญาต
พระ ฯ กษิติฯ : ยินดีต้อนรับพระฯ จี้กงกับฉงซิว มาสู่นรกานต์ เรารู้ว่าขณะนี้ฉงซิวเจ้ารับสนองพระบัญชาสร้างหนังสือ "บันทึกท่องจิ่วหยังกวน" หนังสือนี้มิใช่ธรรมดา เทพ ฯ คน จะร่วมช่วยกันจนสำเร็จ เรื่องขอยืมดวงแก้วเรายินดี
พระ ฯ จี้กง : ขออภัยอย่างยิ่ง ที่มารบกวนพระองค์บ่อย ๆ
-
จิ่วหยังกวน
สถานเคี่ยวกรำผู้บำเพ็ญ
ตอนที่ 1
ลงนรกขอยืมดวงแก้ว
วันที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2525
พระพุทธะจี้กงประทับทรง โปรดนำด้วยโศลกความว่า :
เพื่อฉุดช่วย เวไนยสัตว์ กลับสรวงสวรรค์
ไม่ย่อยั่น ดั้นด้นไป ในสามโลก
อรรถาธรรม ความลับฟ้า เที่ยวปรกโปรด
เป็นโฆษก ท่องทั่วยัง จิ่วหยังกวน
พระ ฯ กษิติฯ : พระฯ จี้กง เกรงใจมากไป ในขณะที่วิถีธรรมกับมหันตภัยเกิดขึ้นพร้อมกันในโลก พระองค์ต้องแบกรับหน้าที่ที่เป็นพระอาจารย์หลักเวไนยสัตว์ในโลก เป็นหนี้พระคุณพระองค์มากเหลือเกินจริง ๆ
พระฯ จี้กง : ที่ไหนได้ ปณิธานใหญ่ของพระองค์ต่างหากที่น่าเคารพยกย่อง แต่น่าเสียดายที่เวไนยสัตว์ล้วนลุ่มหลงอยู่ใน "โลกมายา" ผู้บำเพ็ญแม้จะอุทิศตนอยู่ในประตูอริยะ แต่นิสัยอารมณ์ของปุถุชนกลับแก้ไม่หมด ดังนั้นเบื้องบนจึงได้สร้างจิ่วหยังกวนขึ้นทดสอบพวกเขา ขณะนี้กาลเวลาของโลกคับขันเบื้องบนจึงได้นำเอาสถานที่แห่งนี้มาเปิดเผย วันนี้เราจึงได้ท่องจิ่วหยังกวน
พระ ฯ กษิติฯ : ถูกต้อง แต่ ... หวังว่าชาวโลกจะเข้าใจในพระเมตตาของเบื้องบน นี่พระฯ จี้กงก็จะต้องวิ่งวุ่นกลับสามโลกอีกแล้ว ฉงซิวเจ้าต้องทุ่มเทเต็มกำลัง ทำหน้าที่เป็นปากเสียงแทนเบื้องบน ซึ่งไม่ใช่คนทั่วไปจะทำได้
ฉงซิว : ศิษย์เข้าใจขอรับ
พระฯ กษิติฯ : ดวงแก้วหนึ่งดวงอยู่ในกล่องนี้ ฉงซิวเจ้าจงรับเอาไป
พระฯ จี้กง : ขอขอบพระคุณในความเมตตาของพระพุทธบรรพจารย์กษิติครรภ์ อาตมาขอขอบพระคุณพระองค์แทนเวไนยสัตว์ทั้งหลายล่วงหน้าด้วย เมื่อใช้เสร็จแล้วจะนำมาถวายคืน
พระ ฯ กษิติฯ : มิกล้ารับคำยกย่อง
พระฯ จี้กง : ฉงซิวรับกราบลาพระโพธิสัตว์กษิติครรภ์เถิด เรากลับพระตำหนักได้แล้ว
ฉงซิว : ขอรับ ศิษย์ขอกราบลา
พระฯ กษิติฯ : ขอน้อมส่งพระฯ จี้กงกับฉงซิวกลับพระตำหนัก
พระฯ จี้กง : มิบังอาจรับได้ ฉงซิว ขึ้นหลังนกเผิงใหญ่ เตรียมกลับพระตำหนัก
ฉงซิว : ขอรับ ศิษย์นั่งเรียบร้อยแล้ว
พระฯ จี้กง : เอาละ หลับตา บินได้ ..... มาถึงฉงเซิงถังแล้ว ฉงซิวลงจากหลังนก วิญญาณกลับเข้าร่างดังเดิม
-
จิ่วหยังกวน
สถานเคี่ยวกรำผู้บำเพ็ญ
ตอนที่ 2
ท่องด่านแรกของจิ่วหยังกวน
ด่านขัดเกลาธาตุแท้
(หมอเจินกวน)
วันที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2525
พระพุทธะจี้กงประทับทรง โปรดนำด้วยโศลกความว่า :
พลีชีพสังขาร ทำงานช่วยโลก ใสสดสว่าง
ท่องด่านจิ่วหยัง แต่ละชั้นไป ได้ด้วยจิตญาณ
วาระวิเศษ แต่ก่อนแต่ไร ไม่เคยเล่าขาน
ตั้งแต่โบราณ "ฉงซิว" นับว่า มาเป็นหนึ่งนำ
พระ ฯ จี้กง : ในยุคที่ "ธรรมคู่กับภัย" ในครั้งนี้ โลกมนุษย์กับเทวโลก ต้องตกทุกข์ได้ยากจริง ๆ ศาสนานับหมื่นในโลกล้วนรับเคราะห์สอบหนัก การจะบรรลุมรรคผลแท้จริงไม่ยาก แต่น่าเสียดายที่ผู้บำเพ็ญมักจะละเลย ต่อการบำเพ็ญมนุษยธรรม คิดว่าตนบำเพ็ญถึงจุดสุดยอดแล้ว จิตอหังการ์ก็แสดงออกชัดเจน บางคนใหญ่คับฟ้าไม่เห็นใครอยู่ในสายตา พึงรู้ไว้ว่า "ตัวกูอยู่เหนือกว่าใคร" เป็นความคิดพิฆาตผู้บำเพ็ญเอง
ฉงซิว วันนี้เราจะท่องจิ่วหยังกวนกันจริง ๆ จะได้พบเห็นเหตุการณ์จริง หวังว่าเจ้าจะเป็นสะพานระหว่างสิ่งศักดิ์สิทธิ์กับคนให้ดี นกเผิงใหญ่รออยู่ที่นั่นแล้ว รีบขึ้นนั่งแล้วออกเดินทางกันเถิด
ฉงซิว : ขอรับ ศิษย์นั่งเรียบร้อยแล้ว รู้สึกตื่นเต้นหน่อย ๆ
พระฯ จี้กง : อีกสักครู่จะต้องระวังเรื่องจริยะระเบียบหละหลวมมไม่ได้ เอาละ หลับตา ไปได้ ... ถึงแล้ว ลงมา
ฉงซิว : มีประตูเมืองอยู่เบื้องหน้า มีทหารกองหนึ่งอยู่ที่นั่น เหมือนกำลังคอยเราอยู่
พระฯ จี้กง : ใช่ นั่คือพระองค์นายด่าน ด่านแรก นำผู้คุมด่านใต้การปกครองมาต้อนรับเรา ฉงซิวรีบเข้าไปกราบคารวะเสีย
ฉงซิว : คารวะพระองค์นายด่านจิ่วหยังและพระผู้คุมทุกพระองค์ ศิษย์ฉงซิวเป็นมือทรงเอกของพระตำหนักฯ ไถจงฉงเซิง โชคดีได้สนองพระบัญชาติดตามพระอาจารย์จี้กงมาหาข้อมูลในด่าน เพื่อสร้างหนังสือเตือนใจคนเดิมผู้บำเพ็ญ ขอความกรุณาจากทุกพระองค์ได้โปรดชีแนะศิษย์ผู้น้อยด้วย
พระฯ นายด่าน : ยินดีต้อนรับพระฯ จี้กงกับฉงซิวที่มาเยือนจิ่วหยังกวน ลุกขึ้นเถิดมิต้องคารวะ เราได้รับหมายพระโองการฯ ก่อนหน้านี้แล้ว รู้ว่าพระฯ จีกงจะนำฉงซิวมาหาข้อมูล การขัดเกลาผู้บำเพ็ญในด่านนี้ เราได้เตรียมการไว้แล้ว เชิญเข้าสู่พระตำหนักใน นั่งพักสักครู่เถิด
-
จิ่วหยังกวน
สถานเคี่ยวกรำผู้บำเพ็ญ
ตอนที่ 2
ท่องด่านแรกของจิ่วหยังกวน
ด่านขัดเกลาธาตุแท้
(หมอเจินกวน)
วันที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2525
พระพุทธะจี้กงประทับทรง โปรดนำด้วยโศลกความว่า :
พลีชีพสังขาร ทำงานช่วยโลก ใสสดสว่าง
ท่องด่านจิ่วหยัง แต่ละชั้นไป ได้ด้วยจิตญาณ
วาระวิเศษ แต่ก่อนแต่ไร ไม่เคยเล่าขาน
ตั้งแต่โบราณ "ฉงซิว" นับว่า มาเป็นหนึ่งนำ
พระฯ จี้กง : ลำบากแก่ท่านนายด่าน ฉงซิว วันนี้เจ้าจะได้เข้าด่านไปกราบเรียนถามสถานการณ์ของด่านก่อนใคร ๆ
ฉงซิว : ศิษย์น้อมรับพระบัญชา สองข้างประตูพระตำหนักในมีกลอนคู่อยู่สองบทว่า
หากย่างก้าวเข้าถิ่นเราไม่กลัว บรรลุแท้
ผ่านด่านปราศจากอุปสรรคแล้ กัลยาณชน
พระฯ นายด่าน : เชิญพระฯ จี้กงกับฉงซิวโปรดนั่ง พนักงานข้างในยกน้ำชามาถวาย
ฉงซิว : ศิษย์มิกล้าบังอาจ ขอยืนอยู่ข้าง ๆ เช่นนี้ดีกว่า
พระฯ จี้กง : ฉงซิว ไม่ต้องเกรงใจ เจ้าสนองพระบัญชามาที่นี่ นั่งเถิด จะได้เรียนถามเรื่องราวบางอย่างในจิ่วหยังกวนด้วย
ฉงซิว : ขอรับ ถ้าเช่นนั้นศิษย์ขอย่ามใจนั่งลง กราบทูลถามว่า ด่านแรกภายใต้การควบคุมของพระองค์ เหตุใดจึงได้ชื่อว่า ด่านขัดเกลาธาตุแท้ และมีสภาพเป็นอย่างไร ?.
พระฯ นายด่าน : "ขัดเกลาธาตุแท้" ก็คือขัดเกลาให้เป็นผู้บรรลุจริง ด่านนี้นับเป็นด่านใหญ่ด่านหนึ่ง ทำหน้าที่สอบถามผู้บำเพ็ญที่มาถึง แต่ไม่ทำหน้าที่ขัดเกลา ส่วนด่านย่อยอีกเก้าด่านทำหน้าที่ขัดเกลา แต่ไม่สอบถาม ฉะนั้น แต่ละด่านของจิ่วหยังกวนแม้จะมีสิบแดนแต่มีเก้าด่านเท่านั้นที่เคี่ยวกรำคำโบราณจึงกล่าวไว้ว่า "สิบด่านขัดเกลา เก้าแดนลำบาก พ้นผ่านไป ได้บรรลุ" ก็หมายถึงอย่างนี้
ฉงซิว : ทูลถามพระองค์ฯ ว่า ภายในด่านแต่ละด่านจะตัดสินอย่างไรว่าผู้บำเพ็ญผู้ใดจะต้องรับการขัดเกลาจากด่านใดและถึงขั้นผ่านด่านไปได้
พระฯ นายด่าน : ผู้บำเพ็ญที่ถูกส่งมาที่นี่ เราจะตรวจสอบซักถามให้รู้ชัดว่าวิสัยปุถุชนหลงเหลือหรือไม่ ควรส่งเข้าขัดเกลาที่ด่านใด จะเข้าสู่แดนอริยะบรรลุจริง จะต้องขัดเกลาจนนิสัยอารมณ์ทางโลกหมดสิ้นเสียก่อน จึงจะให้ผ่านด่านนี้ออกไป
ฉงซิว : จะรู้ได้อย่างไรว่าผู้ได้รับการขัดเกลาได้สำนึก แก้ไขหรือไม่
-
จิ่วหยังกวน
สถานเคี่ยวกรำผู้บำเพ็ญ
ตอนที่ 2
ท่องด่านแรกของจิ่วหยังกวน
ด่านขัดเกลาธาตุแท้
(หมอเจินกวน)
วันที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2525
พระพุทธะจี้กงประทับทรง โปรดนำด้วยโศลกความว่า :
พลีชีพสังขาร ทำงานช่วยโลก ใสสดสว่าง
ท่องด่านจิ่วหยัง แต่ละชั้นไป ได้ด้วยจิตญาณ
วาระวิเศษ แต่ก่อนแต่ไร ไม่เคยเล่าขาน
ตั้งแต่โบราณ "ฉงซิว" นับว่า มาเป็นหนึ่งนำ
พระฯ นายด่าน : จะเห็นได้จากรัศมีญาณเหนือศรีษะของผู้นั้นว่าเปลี่ยนไปหรือไม่ ผู้ที่ถูกส่งมาขัดเกลามักจะบอกว่า เมื่อตนมีชีวิตอยู่ได้สร้างบุญกุศลอย่างนั้นอย่างนี้ แต่นิสัยทางโลกไม่ได้แก้ไข เหตุนี้ เบื้องบนจึงได้โปรดจัดตั้งด่านจิ่วหยังนี้เพื่อช่วยให้ผู้บำเพ็ญบรรลุจริง ผู้บำเพ็ญที่ถูกขัดเกลาอยู่ในด่านย่อยต่าง ๆ หากรัศมีญาณเหนือศรีษะเปลี่ยนแปลงดีขึ้น พระผู้คุมด่านย่อยจะรายงานให้เราทราบ เมื่อสอบสวนเป็นจริงแล้วก็จะส่งต่อไปยังด่านที่สองของจิ่วหยังกวน
ฉงซิว : หากผู้บำเพ็ญที่ถูกขัดเกลาไม่สำนึกตนจะเป็นเช่นไรขอรับ
พระฯ นายด่าน : หากถูกขัดเกลาในด่านย่อยจนครบกำหนดแล้วยังไม่มีจิตสำนึกแก้ไข ก็จะเพิ่มเวลาและโทษหนักยิ่งขึ้น หากครบกำหนดสามครั้งแล้วยังไม่เปลี่ยนแปลงดีขึ้น เราก็จะมอบให้ทางนรกส่งไปให้เกิดเป็นคนต่อไป
ฉงซิว : เป็นเช่นนี้เอง ขอบพระคุณที่พระองค์ได้โปรดชี้แจงให้ทราบอย่างละเอียด
พระฯ จี้กง : ค่ำมากแล้ว เราควรกลับกันเสียที พรุ่งนี้เราจะไปเยี่ยมสถานที่จริงกัน ฉงซิว กราบลาพระองค์นายด่านฯ แล้วกลับตำหนักกันเถอะ
ฉงซิว : ขอรับ ศิษย์ขอกราบลาพระองค์นายด่านและเซียนผู้อาวุโสทุกพระองค์ พรุ่งนี้จะมาขอรบกวนใหม่
พระฯ นายด่าน : " พนักงานออกมาเรียงรายกราบส่งพระบาทฯ " "ขอน้อมส่งพระฯ จี้กงและฉงซิวกลับคืนตำหนักพระ"
พระฯ จี้กง : ฉงซิว รีบขึ้นนกเผิงใหญ่ หลับตา ไปได้ ... ถึงตำหนักฉงเซิงแล้ว ญาณของฉงซิวกลับเข้าร่างดังเดิม
-
จิ่วหยังกวน
สถานเคี่ยวกรำผู้บำเพ็ญ
ตอนที่ 3
ท่องด่านแรกของจิ่วหยังกวน
ท่องด่านขัดเกลาธาตุแท้อีกครั้ง
พร้อมทั้งเยือนด่านย่อย "ด่านลมมืด"
(เฮยเฟิงต้ง)
วันที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2525
พระพุทธะจี้กงประทับทรง โปรดนำด้วยโศลกความว่า :
แต่โบราณ เพิ่งเผยสาส์น อันวิเศษ
พระฯ ปรกเกศ อนุตตรฯ พาให้เห็น
เตือนญาณแท้ แก้ความเลว ที่เคยเป็น
พ้นทุกข์เข็ญ ไม่ต้องผ่าน จิ่วหยังกวน
พระฯ จี้กง : เวลาท่องด่านจิ่วหยังวันนี้มาถึงแล้ว ฉงซิวรีบขึ้นหลังนกเผิงใหญ่เราจะได้ออกเดินทางกัน
ฉงซิว : รับพระบัญชาขอรับ พระอาจารย์ขอรับ นกตัวนี้มาคอยที่นี่ตรงเวลาทุกครั้ง เขาทราบได้อย่างไรว่าเราจะไปท่องจิ่วหยังกวน
พระฯ จี้กง : นกเผิงใหญ่ตัวนี้มิใช่นกธรรมดา แต่เป็นนกที่พระบรรพจารย์หงจินโปรดปราณ เขาเองก็มีญาณวิเศษ โดยเฉพาะเขาได้รับพระบัญชาจากพระฯ หงจินให้ทำหน้าที่นี้ แน่นอน เขาเคยมีความเป็นมากับฉงซิวเจ้ามาก่อน คิดว่าเจ้าคงเข้าใจ
ฉงซิว : เข้าใจขอรับ ศิษย์นั่งเรียบร้อยแล้ว พระอาจารย์โปรดออกเดินทางได้
พระฯ จี้กง : ดีละ หลับตา บินได้ ... ถึงแล้ว ฉงซิวรีบลงมา พระองค์นายด่านรออยู่ที่นั่นแล้ว รีบเข้าไปกราบเสีย
ฉงซิว : ศิษย์ฉงซิวกราบคารวะพระองค์นายด่านอีกครั้ง วันนี้มารบกวนพระองค์อีกแล้ว
พระฯ นายด่าน : ยินดีต้อนรับ อย่าได้เกรงใจ เชิญข้างใน
พระฯ จี้กง : วันนี้ไม่ต้องนั่งแล้ว ให้ฉงซิวไปดูเหตุการณ์จริง ถามไถ่รายละเอียดจะได้เขียนหนังสือไว้เตือนใจผู้บำเพ็ญได้
พระฯ นายด่าน : ถ้าเช่นนั้น บัญชาให้ทหารนำพระฯ จี้กงกับฉงซิวไปยัง "ด่านลมมืด ในด่านขัดเกลาธาตุแท้" ได้
นายทหาร : รับพระบัญชา ทูลเชิญพระฯ จี้กง ขอเชิญฉงซิวตามข้าพเจ้ามา ... ถึงแล้ว ผู้อยู่เบื้องหน้าคือพระผู้คุมด่านย่อย
พระฯ ผู้คุม : กราบคารวะพระพุทธะจี้กง และคารวะนักบุญฉงซิว ยินดีต้อนรับชมด่าน
พระฯ จี้กง : ฉงซิวเจ้าเรียนถามท่านผู้ควบคุมได้ตามใจ เพื่อรวบรวมข้อมูล
ฉงซิว : ขอบพระคุณท่านผู้ควบคุม กราบเรียนถามว่าเหตุใดจึงเรียกด่านนี้ว่า "ลมมืด"
-
จิ่วหยังกวน
สถานเคี่ยวกรำผู้บำเพ็ญ
ตอนที่ 3
ท่องด่านแรกของจิ่วหยังกวน
ท่องด่านขัดเกลาธาตุแท้อีกครั้ง
พร้อมทั้งเยือนด่านย่อย "ด่านลมมืด"
(เฮยเฟิงต้ง)
วันที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2525
พระพุทธะจี้กงประทับทรง โปรดนำด้วยโศลกความว่า :
แต่โบราณ เพิ่งเผยสาส์น อันวิเศษ
พระฯ ปรกเกศ อนุตตรฯ พาให้เห็น
เตือนญาณแท้ แก้ความเลว ที่เคยเป็น
พ้นทุกข์เข็ญ ไม่ต้องผ่าน จิ่วหยังกวน
พระฯ ผู้คุม : ด่านนี้อยู่ในสังกัดควบคุมของด่านขัดเกลาธาตุแท้อีกขั้นหนึ่ง มีหน้าที่ขัดเกลาแต่ไม่สอบสวน ผู้บำเพ็ญที่ถูกนำมาที่นี่ จะถูกคุมขังทั้งหมด ภายในที่คุมขังลมหนาวจัดจนเจาะกระดูก มืดมิดไม่มีจุดสว่างแม้แต่น้อย จึงเรียกว่า "ด่านลมมืด"
ฉงซิว : อ้อ เป็นเช่นนี้เอง ผู้ต้องขังในนี้ทำผิดอะไรหรือขอรับ จะขอเข้าไปดูได้หรือไม่
พระฯ ผู้คุม : ฉงซิว ท่านสนองรับพระโองการจากเบื้องบนมา จิ่วหยังกวนด่านรวมใหญ่ ได้รับพระบัญชาจากพระองค์เง็กเซียนฮ่องเต้ก่อนหน้านี้แล้วเป็นหน้าที่ ที่จะต้องให้ความร่วมมือสร้างหนังสือเล่มนี้อย่างเต็มที่ จึงอนุญาตให้เข้าชมได้อย่างแน่นอน ข้าพเจ้าจะเปิดประตูให้
ฉงซิว : โอย เย็นเฉียบเลย มืดไปหมดไม่เห็นอะไรเลย
พระฯ จี้กง : ฉงซิว ใช้ดวงแก้งที่พระกษิติฯ ให้ยืมมาได้แล้ว เปิดกล่องซิ
ฉงซิว : ขอรับ เปิดแล้ว โอ้โฮ รัศมีพวงพุ่งสว่างจ้าขึ้นมาทันที โอ ผู้บำเพ็ญมากมายนั่งขดตัวกันอยู่บนพื้น พอแสงสว่างของเราส่องไปถึงเขาพากันตื่นใจ มองดูเราด้วยสายตาฉงนสงสัย
พระฯ ผู้คุม : ข้าพเจ้าได้เรียกผู้บำเพ็ญที่ถูกขัดเกลาอยู่ออกมาสามคนแล้ว ฉงซิวท่านสัมภาษณ์ได้เลย
ฉงซิว : ขอบพระคุณท่านผู้ควบคุม เรียนถามท่านผู้อาวุโส ดูท่านบำเพ็ญได้ไม่เลวเลย เหตุใดจึงยังต้องถูกคุมขังอยู่ที่นี่
ผู้บำเพ็ญ ก. : พูดแล้วน่าละอาย เมื่อมีชีวิตอยู่ฉันศรัทธาต่อธรรมะมาก แต่เป็นเพราะ เข้าใจว่าตนเองบำเพ็ญได้ดี ไม่รับฟังความคิดเห็นของใคร ไม่ยอมรับในคำสอนของศาสนาอื่น เพราะถือดีในแนวทางบำเพ็ญของตน เคราะห์ดีที่ฉันไม่เคยให้ร้ายศาสนาอื่น เมื่อมีชีวิตอยู่ฉันปฏิบัติบำเพ็ญมีบุญกุศล กระจกส่องกรรมในนรกจึงส่องไม่เห็นความผิดของฉัน พญายมจึงบัญชาให้ส่งฉันขึ้นสะพานทอง ฉันสำคัญว่าจะได้ก้าวขึ้นดินแดนพระอริยะโดยตรงได้ คิดไม่ถึงว่าเบื้องบนต้องการพระอริยะที่สมบูรณ์พร้อมจริง ๆ และได้ก่อตั้งจิ่วหยังกวนขึ้นเพื่อขัดเกลาผู้บำเพ็ญโดยเฉพาะเช่นนี้
เมื่อมาถึงจิ่วหยังกวน พระองค์นายด่านบอกว่า ฉันปฏิบัติบำเพ็ญในโลกได้กุศลผลบุญจริง แต่ถือทิฏฐิ ไม่สำนึกว่าศาสนาใหญ่ทั้งห้าล้วนเป็นหลักเดียวกัน จะต้องลงโทษให้สำนึกในด่านลมมืดสามสิบวัน ฉันต้องถูกขังอยู่ในด่าน กรำลมหนาวเจาะหัวใจอยู่ทุกวันเพื่อพิจารณาความผิดของตัวเอง
หวังว่าเพื่อนผู้บำเพ็ญทั้งหลายอย่าได้ถือดีมีทิฏฐิอย่างฉัน แม้โทษทัณฑ์ในนรกจะทำอะไรเราไม่ได้ แต่ด่านจิ่วหยังกวนนี้หนีไม่พ้นแน่ ๆ
ฉงซิว : ขอบพระคุณท่านอาจารย์ ตำหนักพระของกระผมได้รับพระบัญชาให้สร้างหนังสือ "บันทึกท่องจิ่วหยังกวน" ก็คือให้มาบันทึกเหตุการณ์จริงเพื่อเป็นอุทาหรณ์แก่ผู้บำเพ็ญ ความในใจของท่านคงเป็นที่น่าสนใจของผู้บำเพ็ญทั้งหลาย เรียนถามอาจารย์อีกท่านหนึ่ง ชุดที่ท่านสวมใส่อยู่ เหตุใดจึงไม่เหมือนพระสงฆ์
ผู้บำเพ็ญ ข. : ถูกต้อง เมื่อครั้งมีชีวิตอยู่ฉันเป็นเจ้าตำหนักเทวสถาน (หลวนถัง)
ฉงซิว : โอ ถ้าเช่นนั้นเราก็สายเดียวกันน่ะซิ เหตุใดท่านจึงถูกขังอยู่ในนี้ล่ะ
ผู้บำเพ็ญ ข. : เฮ้อ ! เรื่องมันยาว พูดถึงการปฏิบัติบำเพ็ญเมื่ออยู่ในโลกฉันจริงจังมาก ไม่ว่างานน้อยใหญ่ในเทวสถานฉันทุ่มเททำจริงทุกอย่าง แต่เดิมตำหนักพระเป็นห้องแถวเล็ก ๆ ต่อมาเมื่อฉุดช่วยนำพาสาธุชนมาก ๆ เข้าก็ขยายเป็นเทวสถานใหญ่ ยิ่งเจริญรุ่งเรืองเท่าไหร่ ฉันก็ถือดีขึ้นเท่านั้น สำคัญว่างานที่ฉันสร้างคุณไว้มากกว่าใคร ภาระหน้าที่เป็นปากเสียงแทนเบื้องบนฉันทำอย่างจริงจังและทำได้ครบถ้วน โทสะของฉันจึงนับวันจะรุนแรงขึ้น แม้จะทำงานธรรมะอย่างจริงจัง แต่ไม่เห็นใครอยู่ในสายตา ทำให้เกิดช่องว่างระหว่างกัน ตายแล้วพญายมบอกว่าฉันมีบุญมากบาปน้อย อีกทั้งเป็นผู้ปฏิบัติธรรม โทษทัณฑ์ในนรกมีไว้กำราบคนชั่วช้าทั่วไป จึงส่งฉันให้ข้ามสะพานทอง
ฉันคิดว่าคงผ่านพ้นมาได้แล้ว ไม่คิดว่าจะถูกส่งมาที่จิ่วหยังกวน พระองค์นายด่านบอกว่า ฉันทำหน้าที่เป็นปากเป็นเสียงแทนเบื้องบน แต่กลับยกตนไม่ทำตัวเป็นแบบอย่างที่ดี จะบรรลุได้อย่างไร จึงตัดสินความให้ฉันเข้าไปสำนึกผิดในด่านลมดำสามเดือน กว่าจะได้คิดมันก็สายเสียแล้วอย่างนี้
หวังว่า ผู้ปฏิบัติงานในเทวสถานวัดวาอารามทุกคนอย่างได้เอาเยี่ยงอย่างฉัน แม้ฉันจะปฏิบัติธรรมได้ผลบุญ แต่จิตใจที่ถือดีเพียงจุดเล็ก ๆ เท่านั้นก็ทำให้ฉันต้องมารับการเคี่ยวกรำที่นี่อย่างนี้
ฉงซิว : ขอบพระคุณท่านอาจารย์ เชื่อว่าเรื่องจากใจของท่านจะต้องมีผู้สนองตอบในเร็ววัน ขอเรียนถามอาจารย์อีกท่านหนึ่ง ท่านก็มีรัศมีกายสีทองเหตุใดจึงถูกขังในนี้ด้วย ทำไมไม่อาจขึ้นสู่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์
ผู้บำเพ็ญ ค. : เมื่อมีชีวิตอยู่ ฉันมีฐานะเป็นเตี่ยนฉวนซือ (อาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรมในวิถีอนุตตรธรรม) ฉันได้ฉุดช่วยผู้คนมากมายให้มุ่งบำเพ็ญ ได้สร้างบุญใหญ่เอาไว้มาก อีกทั้งไปอรรถาแพร่ธรรมในที่ต่าง ๆ เสมอ ฉันสำคัญว่าตัวเป็นผู้ได้รับวิถีธรรม จึงดูแคลนผู้บำเพ็ญที่ไม่ได้รับ อีกทั้งลบหลู่เขาว่าไม่ได้หนทางรอด จิตใจที่ยึดมั่นอย่างนี้มีเป็นประจำ เพราะผลบุญที่ฉุดช่วยคนเอาไว้มาก เมื่อตายไปทางยมโลกจึงตรวจสอบความผิดของฉันไม่พบ จึงส่งฉันขึ้นสะพานทอง คิดไม่ถึงว่าเมื่อถูกรับตัวไปด่านที่หนึ่งของจิ่วหยังกวน พระองค์นายด่านบอกว่า ฉันเป็นคนมีมิจฉาทิฏฐิ ไม่รู้ว่าการ "เตี่ยนเต้า" (ถ่ายทอดจุดญาณทวาร) เป็นเพียงพิธีการ ความสำคัญอยู่ที่การบำเพ็ญ
เพราะมีบุญกุศลจากการฉุดช่วยคน พระองค์จึงตัดสินให้ฉันเข้าไปสำนึกผิดในด่านลมมืดยี่สิบวัน ถึงตรงนี้ ฉันจึงได้เข้าใจว่าไม่ว่าศาสนาลัทธิกายใด ๆ พิธีถวายตัวล้วนเป็นเพียงรูปแบบ การบวชในศาสนาพุทธ การเข้าเป็นเทวบุตรในเทวตำหนหัก การรับศีลจุ่มในศาสนาคริสต์ฯ ล้วนเป็นรูปแบบทั้งนั้น
ที่สำคัญที่สุดคือ จะต้องชี้นำคนรุ่นหลังให้บำเพ็ญจริงโดยศรัทธาเป็นสำคัญ ขอให้ญาติธรรมจงเข้าใจ อย่าได้เดินตามรอยฉัน เร่งเปลี่ยนแปลงจิตใจตน จะได้ไม่ต้องมารับโทษที่นี่ มิฉะนั้นจะสายไป
ฉงซิว : ขอบพระคุณท่านผู้อาวุโสที่ได้โปรดชี้แนะ เมื่อหนังสือเล่มนี้เผยแพร่ออกไปคงทำให้ญาติธรรมทั้งหลายตื่นใจกันได้
พระฯ ผู้คุม : เล่าจบแล้วทั้งสามให้กราบลาพระฯ จี้กง ลาฉงซิวกลับคืนที่สำนึกผิดดังเดิม เมื่อใดที่แสงญาณของท่านดีขึ้นก็จะส่งไปยังด่านที่สองของจิ่วหยังกวนต่อไป
พระฯ จี้กง : ค่ำมากแล้ว ฉงซิวรีบกลับพระตำหนักกันเถิด ท่านผู้คุมได้โปรดขอบพระคุณพระองค์นายด่านแทนอาตมาด้วย นกเผิงใหญ่มาถึงแล้ว ฉงซิวรีบขึ้นไปเถอะ
ฉงซิว : ขอบพระคุณ พระฯ ผู้คุม ศิษย์ขอกราบลาพระตำหนัก
พระฯ ผู้คุม : น้อมส่งพระฯ จี้กงกับฉงซิวกลับพระตำหนัก
พระฯ จี้กง : รีบหลับตา บินได้ ... มาถึงพระตำหนัก วิญญาณฉงซิวกลับเข้าร่างดังเดิม
-
จิ่วหยังกวน
สถานเคี่ยวกรำผู้บำเพ็ญ
ตอนที่ 4
ท่องด่านที่สองของจิ่วหยังกวน
ด่านมลายอารมณ์
(ฮว่าชี่กวน)
วันที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2525
พระพุทธะจี้กงประทับทรง โปรดนำด้วยโศลกความว่า :
เบื้องบนโปรด เปิดอีกครั้ง ด่านจิ่วหยัง
เพื่อเป็นทาง สัมมาสติ มิโง่หลง
พระแม่ฯ เมตตา ให้ตื่นจาก ฝันพะวง
รู้จักปลง ตื่นจากฝัน ผ่านจิ่วกวน
พระฯ จี้กง : เนื่องจากผู้บำเพ็ญแม้จะได้สร้างบุญ แต่อารมณ์ปุถุชนยังแก้ไม่หมด ทำให้ไม่อาจบรรลุจริง การบำเพ็ญธรรมในโลก หากหวังแต่ชื่อและติดรูปแบบ ไม่วิริยะศึกษาจริง กุศลจาการเอาชนะตนเองไม่มีเลย แต่กลับทำตามความพอใจของตัวต่อไป อารมณ์ปุุถุชนไม่อาจถอนรากถอนโคนเช่นนี้ หรือหากว่าเบื้องบนได้โปรดประทานอริยะฐานะให้ตำแหน่งหนึ่ง ก็ไม่มีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะรับไว้ได้ ด้วยพระมหาเมตตาของเบื้องบนหวังให้ชำระอารมณ์ปุถุชนให้หมดสิ้น จึงได้โปรดสร้างด่าน "มลายอารมณ์" หนึ่งในจำนวนด่านจิ่วหยัง เพื่อแก้ไขอารมณ์กระด้างทางโลกของผู้บำเพ็ญ
วันนี้ เลาที่จะไปเยือนด่านจิ่วหยังมาถึงแล้ว ฉงซิวขึ้นหลังนกเผิงใหญ่ เราไปกันเถอะ
ฉงซิว : ขอรับ ศิษย์พร้อมแล้ว เชิญพระอาจารย์ออกเดินทางได้
พระฯ จี้กง : ดีแล้ว หลับตานะ บินได้ ... ถึงแล้ว ประตูเมืองที่เห็นอยู่ข้างหน้า เป็นประตูด่านที่ 2 ของจิ่วหยังกวน คือด่าน "มลายอารมณ์" พระองค์นายด่านได้นำผู้คุมในสังกัดของพระองค์มาคอยต้อนรับเราอยู่แล้ว ฉงซิวรีบเข้าไปกราบคารวะเสีย
ฉงซิว : ขอรับ ศิษย์ฉงซิวขอกราบคารวะพระองค์นายด่าน "มลายอารมณ์" วันนี้ได้ติดตามพระอาจารย์จี้กงมาถึงด่านของพระองค์ เพื่อศึกษาข้อเท็จจริงภายในด่านโดยตรง หวังว่าพระองค์จะได้โปรดชี้แนะ
พระฯ นายด่าน : ยินดีต้อนรับพระพุทธะจี้กงและฉงซิว มาเยือนด่านของเรา เชิญลุกขี้นเถิด มิต้องเคร่งจริยะ เชิบเข้าไปนั่งพักภายในกันสักครู่
ฉงซิง : ขอรับ ขอบพระคุณพระองค์ ตำหนักนี้กว้างใหญ่โอ่โถงเหลือเกิน สองข้างมีกลอนคู่เขียนไว้ว่า
"ดูเราปกครองสองด่าน
บุญผ่านบาปขังไม่เคยปล่อยใคร
แม้เจ้ากินเจชั่วชีวืตวัย
ปากซื่อคดใจยากผ่านด่านนี้"
พระฯ นายด่าน : เชิญพระฯ จี้กงกับฉงซิวโปรดนั่ง พนักงานข้างใน นำน้ำชาออกมาถวาย
พระฯ จี้กง : ฉงซิว เจ้ามีปัญหาอะไรกราบเรียนถามพระองค์นายด่านได้
ฉงซิว : ขอรับ ทูลถามว่า เหตุใดด่านนี้จึงได้ชื่อว่า "ด่านมลายอารมณ์"
พระฯ นายด่าน : ด้วยเหตุนี้ แม้ผู้บำเพ็ญจะมีกุศลผลบุญ แต่อารมณ์โทสะทางโลกยังไม่หมดไป บางคนอาจจะมีเหตุผล แต่ลุแก่อำนาจมากเกินไปไม่อะลุ้มอล่วย ไม่เปลี่ยนแปลงอารมณ์ในระหว่างบำเพ็ญ จิตใจแข็งกร้าว ไม่ลดละ แต่ได้สร้างกุศลปฏิบัติบำเพ็ญมา โทษทัณฑ์ในยมโลกไม่อาจลดลงได้เพื่อจะแก้ไขอารมณ์เหล่านั้น เบื้องบนจึงได้จัดตั้งด่านมลายอารมณ์เพื่อกวาดล้างความแข็งกร้าว ให้เขาได้บรรลุจริงกัน
-
จิ่วหยังกวน
สถานเคี่ยวกรำผู้บำเพ็ญ
ตอนที่ 4
ท่องด่านที่สองของจิ่วหยังกวน
ด่านมลายอารมณ์
(ฮว่าชี่กวน)
วันที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2525
พระพุทธะจี้กงประทับทรง โปรดนำด้วยโศลกความว่า :
เบื้องบนโปรด เปิดอีกครั้ง ด่านจิ่วหยัง
เพื่อเป็นทาง สัมมาสติ มิโง่หลง
พระแม่ฯ เมตตา ให้ตื่นจาก ฝันพะวง
รู้จักปลง ตื่นจากฝัน ผ่านจิ่วกวน
ฉงซิว : จะทราบได้อย่างไรขอรับ ว่าความแข็งกร้าวของผู้นั้นได้กวาดล้างไปหมดแล้ว สภาพในด่านไม่ทราบว่าเป็นเช่นไร
พระฯ นายด่าน : ภายในด่านแบ่งเป็นด่านย่อยอีกเก้าด่าน แต่ละด่านมีผู้ควบคุมดูแลรับผิดชอบ ผู้ถูกเคี่ยวกรำหากแข็งกร้าวมาก เหนือศรีษะจะมีพลังโทสะพลุงพล่านขึ้น จะต้องขัดเกลาจนพลังนั้นหมดสิ้นไป ก็จะรู้ได้ว่า ก็จะรู้ได้ว่าอกุศลจิตได้ละลายไปหมดสิ้นแล้ว ก็จะส่งต่อไปตรวจสอบนิสัยทรามในด่านที่สามต่อไป
ฉงซิว : เหตุใดจึงต้องสร้างด่านย่อยอีกเก้าด่าน การลงโทษต่างกันอย่างนั้นหรือขอรับ
พระฯ นายด่าน : ใช่ การขัดเกลาของผู้บำเพ็ญในแต่ละด่าน ให้เป็นไปตามขนาดของความกร้าว กำหนดเวลาลงโทษก็ต่างกัน การขัดเกลาต้องการให้ผู้นั้นสำนึกผิด เปลี่ยนแปลงความกร้าว ฉะนั้นเมื่อเจ้าไปเยือนด่านย่อยด่านหนึ่งก็เท่ากับได้รู้เห็นความเป็นไปทุกด่านแล้ว
ฉงซิว : ขอรับ
พระฯ จี้กง : เนื่องจากเวลามีจำกัด ถ้าจะกรุณาให้นำฉงซิวไปดูเหตุการณ์จริงยิ่งจะชัดเจนขึ้น
พระฯ นายด่าน : ขอน้อมรับ ให้นายทะเบียนนำฉงซิวกับพระฯ จี้กงไปด่านมลายอารมณ์ ข้าพเจ้ามีคดีที่จะต้องพิจารณาอีกไม่อาจร่วมทาง หวังว่าพระฯ จี้กงได้โปรดให้อภัย
พระฯ จี้กง : พระองค์นายด่านช่างเกรงใจ เรามิกล้าอยู่ช้าให้ท่านเสียเวลา จะเดินทางไปหาข้อมูลบัดนี้
นายทะเบียน : ทูลเชิญพระฯ จี้กง กับเชิญฉงซิว โปรดตามข้าพเจ้าผู้น้อยไป เบื้องหน้า ที่เห็นคือ "ด่านมลายอารมณ์" เป็นด่านย่อย ผู้ควบคุมด่านคอยอยู่ที่นั่นแล้ว
พระฯ ผู้คุม : กราบคารวะพระพุทธะจี้กง และคารวะคุณฉงซิว ที่ได้โปรดมาเยื่อมเยือนด่านนี้ ข้าพเจ้าผู้น้อยคอยน้อมรับอยู่นานแล้ว
ฉงซิว : กราบคารวะพระฯ ผู้คุม ศิษย์ได้ติดตามพระอาจารย์จี้กงมารบกวน หวังว่าท่านได้โปรดให้ความกระจ่างเกี่ยวกับด่านของท่านบ้าง
พระฯ ผู้คุม : ผู้ที่ถูกขัดเกลาในด่านนี้ ล้วนเป็นผู้บำเพ็ญฯ ข้าพเจ้าเพียงแต่จัดการขัดเกลา แต่ไม่สอบสวนคุณธรรของผู้บำเพ็ญ เมื่อเห็นเงาดื้อเหนือศรีษะผู้นั้นมลายไปสิ้นแล้ว ก็นำความกราบทูลพระองค์นายด่านปล่อยให้นักโทษผ่านด่านไปได้
ฉงซิว : การบรรลุจริงดูยากเหลือเกิน ชักทำให้กลัวเสียแล้ว
-
จิ่วหยังกวน
สถานเคี่ยวกรำผู้บำเพ็ญ
ตอนที่ 4
ท่องด่านที่สองของจิ่วหยังกวน
ด่านมลายอารมณ์
(ฮว่าชี่กวน)
วันที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2525
พระพุทธะจี้กงประทับทรง โปรดนำด้วยโศลกความว่า :
เบื้องบนโปรด เปิดอีกครั้ง ด่านจิ่วหยัง
เพื่อเป็นทาง สัมมาสติ มิโง่หลง
พระแม่ฯ เมตตา ให้ตื่นจาก ฝันพะวง
รู้จักปลง ตื่นจากฝัน ผ่านจิ่วกวน
พระฯ ผู้คุม : แท้จริงไม่ยาก อยู่ที่ว่าผู้บำเพ็ญจะรู้จักดำเนินตามหลักธรรมหรือไม่ เอาชนะจิตใจตัวเองได้หรือไม่ ไม่มีอะไรน่ากลัวเลย หรือจะพูดอีกนัยหนึ่งว่า เป็นเพราะเบื้องบนไม่อนุญาตให้คนที่ยังมีอารมณ์ปุถุชนบรรลุเป็นพระอริยะได้ จึงได้จัดตั้งจิ่วหยังกวนขึ้น
พระฯ จี้กง : ขอรบกวนท่านผู้คุม ให้เราเข้าไปดูสภาพความเป็นจริงในนั้นสักหน่อยเพื่อให้ฉงซิวได้เก็บข้อมูล
พระฯ ผู้คุม : ผู้น้อยน้อมรับพระบัญชา เชิญเข้าชมได้
ฉงซิว : เอ๊ะ ทำไมเหนือศรีษะผู้บำเพ็ญดูมีอะไรสวมอยู่หนักอึ้งกันทุกคน
พระฯ ผู้คุม : ผู้ถูกเคี่ยวกำเหล่านนี้มีความกร้าวมาก เบื้องบนจึงได้สร้างหมวกเหล็กขึ้นเฉพาะให้สวมใส่เพื่อลดโทสะและระงับยับยั้งอารมณ์
ฉงซิว : ในกรณีที่ถูกลงโทษตัดสิน 20 วันหากเขาเปลี่ยนแปลงอารมณ์ได้ในวันที่ 17 - 18 จะเป็นอย่างไรขอรับ
พระฯ ผู้คุม : คำถามนี้ดีมาก ฉงซิว มีคำกล่าวว่า "ผลกรรมเกิดจากใจ" สนามแม่เหล็กของฟ้าดินวิเศษแยบยลยิ่งนัก
"กระจกส่องกรรม" ในนรกก็เช่นกัน ความผิดบาปของวิญญาณทุกคนจะปรากฏชัดออกมาทันที เมื่อไปยืนส่องอยู่ตรงหน้า เป็นกระจกบานใหญ่ของฟ้าดินที่เก็บเหตุการณ์ชั่วชีวิตของทุกคนไว้หมด ทันทีที่วิญญาณขึ้นไปยืนอยู่ต่อหน้ากระจกส่องกรรม กระแสชีวิตของตนก็สื่อตรงกับจนาดคลื่นของกระจก ภาพก็ปรากฏขึ้น แต่คนดีจะไม่มีภาพ เพราะปราศจากความชั่วร้าย นี่เป็นความวิเศษแยบยลของสนามแม่เหล็กของฟ้าดิน
หมวกเหล็กที่ทางด่านได้สร้างขึ้นเฉพาะ ก็ทำจากแม่เหล็ก เจาะจงใช้กำราบอารมณ์ที่กร้าวแข็ง เมื่อใดอารมณ์นี้ของผู้บำเพ็ญหมดไป หมายถึง จิตของผู้นั้นได้สำนึกแล้ว หมวกเหล็กกล้าก็จะพ้นไปจากศรีษะได้เอง
ฉงซิว : เป็นเช่นนี้นั่นเอง เมื่อก่อนศิษย์ได้แต่คิดว่าโลกออกกว้างใหญ่ไพศาลอย่างนี้ งานของสวรรค์นรกอาจผิดตกบกพร่องหรือตัดสินคุมขังผิดคนไปก็เป็นได้ เมื่อดูตามนี้แล้วคงจะไม่ผิดพลาด
พระฯ ผู้คุม : ใช่แล้ว ความวิเศษแยบยลก็อยู่ตรงนี้เอง หากผู้นั้นไม่มีเหตุแห่งกรรมนั้น ไม่ว่าสวรรค์หรือนรกส่งเข้ารับโทษอย่างไรก็ไร้ผล เช่นนี้จึงไม่เกิดการตัดสินผิดพลาดขึ้นได้ ฉะนั้น คนดีจึงไม่มีภาพปรากฏบนกระจกส่องกรรม เพราะผู้นั้นไม่มีผลแห่งกรรมที่จะตอบสนองนั่นเอง
ฉงซิว : ศิษย์เข้าใจแล้ว
-
จิ่วหยังกวน
สถานเคี่ยวกรำผู้บำเพ็ญ
ตอนที่ 4
ท่องด่านที่สองของจิ่วหยังกวน
ด่านมลายอารมณ์
(ฮว่าชี่กวน)
วันที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2525
พระพุทธะจี้กงประทับทรง โปรดนำด้วยโศลกความว่า :
เบื้องบนโปรด เปิดอีกครั้ง ด่านจิ่วหยัง
เพื่อเป็นทาง สัมมาสติ มิโง่หลง
พระแม่ฯ เมตตา ให้ตื่นจาก ฝันพะวง
รู้จักปลง ตื่นจากฝัน ผ่านจิ่วกวน
พระฯ ผู้คุม : ขัาพเจ้าจะเรียกผู้บำเพ็ญที่ถูกขัดเกลาอยู่ออกมาสามคน ให้ฉงซิวถามรายละเอียดได้ ทั้งสามฟังนะ, สองท่านนี้คือ พระพุทธะจี้กง กับนักบุญฉงซิวมือทรงเอกของเทวสถานไถจงฉงเซิงแห่งโลกมนุษย์ รับพระโองการให้มาสร้างหนังสือ "บันทึกเหตุการณ์ของจิ่วหยังกวน" รีบเข้าไปคารวะเสียพร้อมทั้งเล่าเรื่องการบำเพ็ญของตัวเองขณะเมื่ออยู่ในโลกมนุษย์ว่าเหตุใดจึงต้องมารับการขัดเกลาอย่างนี้
ผู้บำเพ็ญ ก. ข. ค. : กราบคารวะพระพุทธะจี้กง และคารวะท่านนักบุญฉงซิว
ฉงซิว : ศิษย์เคยพบท่านนักธรรมอาวุโสมาก่อนแล้ว เรียนถามท่านแรกว่า ดูท่านอิ่มเอิบ ราศีเฉิดฉายเฉกเช่นผู้นำอันน่าเกรงขาม แต่เหตุใดจึงต้องถูกนำมาควบคุมในด่านมลายอารมณ์เช่นนี้
ผู้บำเพ็ญ ก. : เฮ้อ , ชั่วชีวิตฉันสำรวมตนเคร่งครัดเสมอมา ปฏิบัติงานธรรม เป็นปากเสียงแทนเบื้องบน ฉุดช่วยคนหลงทั่วไปอย่างอาจหาญ แต่เป็นเพราะฉันมีนิสัยมุทะลุ ไม่ยอมรับฟังความคิดเห็นของใครแม้แต่น้อย ถือทิฏฐิในความคิดของตัวเองทุกเรื่องไป ใครขัดใจก็จะเป็นฟืนเป็นไฟ ในตำหนักพระ หากจับผิดใครได้ก็ยิ่งพลุ่งพล่านโกรธจัดบริภาษให้ เมื่อตายไป ด้วยบุญกุศลที่สร้างไว้ พญายมยกย่องให้ฉันได้ก้าวขึ้นสะพานทอง ฉันสำคัญว่าได้บรรลุแล้ว ไม่คิดว่ากลับถูกรับตัวมาที่จิ่วหยังกวน พูดถึงจิ่วหยังกวนนี้ เมื่อครั้งมีชีวิตอยู่ ฉันไม่เคยได้ยินแม้แต่ชื่อ
พระองค์นายด่านบอกว่าจิตใจของฉันแข็งกระด้างเกินไป ความอ่อนโยนมีไม่พอ ยากที่จะบรรลุได้ ตัดสินให้ฉันสำนึกผิดที่นี่หกสิบวัน หมวกเหล็กกล้าใบนี้ไม่หนักนัก แต่อึดอัดมาก ทุกครั้งเมื่อนึกถึงตัวเองได้สร้างบุญไว้มากมายในโลกแต่กลับต้องถูกคุมขังอย่างนี้ เจ้าหมวกเหล็กนี้ก็จะบีบกดให้ฉันเจ็บปวด
ทุกทีเหมือนรับรู้ความคิดของฉัน แต่เมื่อใดที่ได้สำนึกผิดว่าไม่ควรพลุ่งพล่านเอาแต่ใจ หมวกเหล็กใบนี้ก็เบาลงมากทันที แต่พอคิดผิดก็หนักขึ้นอีก น่ากลัวจริง ๆ จึงขอเตือนผู้บำเพ็ญในโลก จะต้องบำเพ็ญตนจริงจัง ขจัดไฟอารมณ์ออกไป ขัดเกลานิสัยกร้าวแข็งออกไป จะได้ไม่ต้องมารับทุกข์ในด่านมลายอารมณ์เช่นนี้
ฉงซิว : ขอบพระคุณท่านนักธรมอาวุโส หวังว่าท่านจะมลายไฟอารมณ์ พ้นจากด่านนี้ได้ภายในเร็ววัน ขอเรียนถามพี่หญิงนักธรรมท่านต่อไป
ผู้บำเพ็ญ ข. : ละอายใจเหลือเกินที่ถูกจับส่งมาที่นี่ ไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน ฉันเกิดในครอบครัวยากจน พ่อแม่รักดังดวงแก้ว เพื่อไม่ให้ใครดูถูกฉันในภายหน้าว่ามีฐานะยากจน พ่อแม่จึงทำงานอย่างไม่คิดชีวิต หาเงินให้ฉันได้อยู่ดีกินดี ได้เข้าเรียนมหาลัยจนจบ เพราะเหตุท่านรักและทนุถนอมเกินไป ฉันจึงหยาบคายไม่มีเหตุผลต่อท่านเลย ต่อมาฉันมีโอกาสได้เข้าศึกษาธรรมะที่สถานศักดิ์สิทธิ์แห่งหนึ่ง
เนื่องด้วยเรียนมาสูง สิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้โปรดบัญชาให้ฉันเป็นอรรถาจารย์ ตอนนั้นฉันยุ่งอยู่กับงานธรรมขยันวิ่งเต้นอยู่บนหนทางแพร่ธรรมคำสอน แต่กลับดูถูกพ่อแม่ของตัวเองเห็นว่าท่านไม่รู้หนังสือ เป็นตาสีตาสาเต็มขั้น ทั้งยังขอร้องท่านอย่าได้มาปรากฏตัวที่ตำหนักพระเพื่อไม่ทำให้ฉันเสียหน้า ท่านทั้งสองก็เชื่อฟังด้วยความรักลูก
ต่อมา ฉันได้ตั้งตำหนักพระเป็นสาธารณกุศล มีสาธุชนร่วมบุญประจำถึงหลายร้อยคน ฉันทำหน้าที่อรรถาธรรมอยู่นานถึงสี่สิบปี สร้างบุญไว้ไม่น้อยพอตายก็ลงนรกไปถอนทะเบียนชื่อ พญายมส่งฉันขึ้นสะพานทอง ตอนนั้นฉันสำคัญว่าตัวเองได้บรรลุอรหัตผลแล้ว ไม่คิดว่าจะถูกส่งมายังด่านมลายอารมณ์นี่ พระองค์นายด่านว่าแม้ฉันจะมีบุญมากจากการฉุดช่วยผู้คนให้ขึ้นฝั่งธรรม แต่จิตใจหยิ่งผยองยังไม่ได้แก้ไข ยิ่งกว่านั้นยังดูถูกพ่อแม่ที่เลี้ยงดูมา แม้จะไม่ถึงขั้นอกตัญญูทีเดียว แต่เรื่องเอาหน้าเป็นข้อห้ามของผู้บำเพ็ญ พระองค์จึงตัดสินให้ฉันเข้าด่านมาสำนึกผิดห้าสิบวัน ตอนนี้ฉันเสียใจที่ไม่ควรเลย
ฉงซิว : ขอบคุณท่านนักธรรมหญิงผู้พี่ หวังว่าท่านจะได้พ้นจากด่านและบรรลุในเร็ววัน เรียนถามท่านอาวุโสท่านสุดท้าย ดูเครื่องแต่งกายของท่านเหมือนชุดศาสนาพิธีของเทวสถาน ท่านคงจะเป็นศิษย์ในเทวสถาน เหตุใดจึงถูกนำมากักกันในด่านมลายอารมณ์นี้ด้วย
ผู้บำเพ็ญ ค. : น่าอับอายเหลือเกิน สำหรับฉัน เมื่อครั้งมีชีวิตอยู่มีฐานะเป็นรองเจ้าตำหนักพระหลวนถัง ฉันไม่เพียงตั้งใจศึกษาหลักธรรม ยังสร้างตำหนักพระเป็นบุญอีก ฉันกินเจตลอดชีวิต งานทุกอย่างในเทวสถานฉันทุ่มเททำจริง แต่เป็นเพราะไฟโทสะแรง มีเรื่องเป็นปากเสียงกับใคร ๆ เสมอ อีกทั้้งยังติดนิสัยปุถุชน วันนี้จึงต้องถูกขังอยู่ที่นี่
ฉงซิว : ท่านนักธรรมอาวุโส มีนิสัยปุถุชนอย่างไรหรือ ได้โปรดขยายให้เป็นอุทาหรณ์สำหรับคนทั่วไปด้วย
ผู้บำเพ็ญ ค. : น่าละอายจริง ๆ ที่อุตส่าห์ได้เป็นศิษย์ของตำหนักพระ ด้วยความเคยชิน ทุกครั้งที่มีเรื่องถกเถียง ฉันจะต้องกล่าวคำหยาบใส่ฝ่ายตรงข้ามทุกครั้ง พอตายไปบุญกุศลที่ได้สร้างตำหนักฯ และปฏิบัติงานธรรม ทำให้พญายมส่งฉันขึ้นสะพานทองไป ฉันคิดว่าจะได้เป็นอิสระในดินแดนพระอริยะ ไม่คิดว่ากลับถูกนำมาเข้าด่านมลายอารมณ์ พระองค์นายด่านบอกว่า การบำเพ็ญคือบำเพ็ญจิต กินเจแต่ใจไม่เจ แม้จะได้บุญกุศล แต่พระคัมภีร์หมิงเซิ่งจิง (คัมภีร์วิสุทธิอริยะ) อ่านน้อยไป คัมภีร์สามคำ (คำหยาบ) พ่นออกมามากไป เท่ากับลบหลู่บรรพจารย์ ควรจะบำเพ็ญจิตอยู่ที่นี่ให้มากเพื่อลดอารมณ์เสียสามเดือน ถึงตอนนี้ได้สำนึกก็สายเสียแล้ว ฉะนั้นจึงขอเตือนผู้บำเพ็ญทั้งหลายจะต้องปฏิบัติจริง อย่าเพียงแต่กายอยู่ในพุทธะสถาน กินเจแต่ใจไม่เจ ถ้าเป็นอย่างนี้วันข้างหน้าก็หนีด่านมลายอารมณ์ไปไม่พ้น
พระฯ ผู้คุม : ผู้บำเพ็ญทั้งสามได้เล่าความเป็นมาจบแล้ว กราบลาพระพุทธะจี้กง และลาฉงซิวกลับคืนไปได้
พระฯ จี้กง : วันนี้ใช้เวลานานเกินไปมาก อาตมาจะไม่เข้าไปบอกลาพระองค์นายด่าน แต่ขอให้ท่านผู้คุมเรียนขอบพระคุณด้วย
พระ ฯ ผู้คุม : ข้าพเจ้าผู้น้อยน้อมรับ พร้อมทั้งคารวะส่งพระพุทธะจี้กงกับนักบุญฉงซิว
พระฯ จี้กง : ฉงซิว รีบกราบลาท่านผู้ควบคุมกลับตำหนักฯ กัน นกเผิงใหญ่มาถึงแล้วไปเถอะ
ฉงซิว : ขอรับ, ขอบพระคุณพระฯ ผู้คุม ศิษย์ขออำลาพระอาจารย์ ศิษย์นั่งดีแล้ว
พระฯ จี้กง : เอาละ หลับตา บินได้ ฉงซิวกลับถึงตำหนักฯ วิญญาณคืนสู่ร่างดังเดิม
-
จิ่วหยังกวน
สถานเคี่ยวกรำผู้บำเพ็ญ
ตอนที่ 5
ท่องด่านที่สาม ของจิ่วหยังกวน
ด่านสระหนาว
(หันฉือกวน)
วันที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2525
พระพุทธะจี้กงประทับทรง โปรดนำด้วยโศลกความว่า :
ด้วยรักชีวิตเขา จึงเฝ้าพร่ำ คำเมตตา
สู่สัมมา สัมพุทธัง อันสูงส่ง
จะกล่อมเกลา ทุกโอกาส คาดจำนง
ด้วยประสงค์ ถ่ายทอดให้ ได้บรรลุจริง
พระฯ จี้กง : บารมีธรรมระดับพระพุทธะอริยะเสมอด้วยฟ้าดิน ผู้บำเพ็ญจะยังไม่สมบูรณ์และบรรลุจริง หากไม่ผ่านจิ่วหยังกวน ฉะนั้น การที่เบื้องบนจัดตั้งจิ่วหยังกวนจึงมิใช่โหดร้าย แต่เพื่อส่งเสริมผู้บำเพ็ญ ให้ขัดเกลารัศมีญาณจนบรรลุจริงโดยสมบูรณ์ หากไม่ทำการทดสอบอย่างนี้ จะรู้ความเป็นจริงของการบำเพ็ญได้อย่างไร ถึงเวลาท่องจิ่วหยังกวนสำหรับวันนี้แล้ว ฉงซิวรีบขึ้นหลังนกเผิงใหญ่ เราเตรียมออกเดินทางกันเถอะ
ฉงซิว : ศิษย์น้อมรับพระบัญชา ขอทูลถามพระอาจารย์ว่าเราได้ไปมาจิ่วหยังกวนหลายครั้งแล้ว แต่จิ่วหยังกวนตั้งอยู่ที่ไหน และผู้บำเพ็ญจะไปถึงที่นั่นได้อย่างไร ขอรับ
พระฯ จี้กง : เมื่อผู้บำเพ็ญดับขันธ์ลง สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ผู้นั้นได้ถวายตัวเป็นศิษย์ก็จะมานำไปถอนบัญชีชื่อผู้ตายในยมโลก ตรวจสอบบาปบุญ หากบุญมากบาปน้อยก็จะถูกส่งขึ้นไปข้ามสะพานทองไม่ต้องรับโทษในนรก ที่สะพานทองจะมีเทวทูตที่ส่งไปประจำ คอยรับตัวแล้วนำส่งไปขัดเกลาที่จิ่วหยังกวน จิ่วหยังกวนตั้งอยู่ในดินแดนตะวันตก ตรงทางแพร่งระหว่างสวรรค์กับนรกนั่นเอง
ฉงซิว : เทวทูตที่ประจำอยู่ที่สะพานทอง เบื้องบนได้จัดส่งลงมาอย่างนั้นหรือขอรับ
พระฯ จี้กง : ไม่ใช่ จัดส่งมาจากตำหนักอนุโมทนาบุญ (เล่อซั่นถัง)
ฉงซิว : ตำหนักอนุโมทนาบุญ ศิษย์คิดว่ามีแต่จิ่วหยังกวนเท่านั้น ไม่มีส่วนอื่น ๆ อีก
พระฯ จี้กง : ไม่เฉพาะเล่อซั่นถังเท่านั้น ยังมีตำหนัก "เพิ่มบำเพ็ญ" (เจียซิวถัง) อีกรวมสองตำหนัก
ฉงซิว : ทั้งสองตำหนักนี้รับผิดชอบภาระอะไรในจิ่วหยังกวนหรือขอรับ วันหน้าเราจะไปเยี่ยมเยือนด้วยไหม
พระฯ จี้กง : ตำหนักอนุโมทนาบุญ ทำหน้าที่รายงานและนำส่งผู้บำเพ็ญที่ "ประจักษ์ธรรม" แล้ว และรอรับพุทธบุตรเดิมผู้บำเพ็ญไปรายงานตัว ณ ด่านจิ่วหยัง ส่วนตำหนัก "เพิ่มบำเพ็ญ" เห็นชื่อก็รู้ความหมายว่า เป็นสถานที่ให้ผู้บำเพ็ญได้รับการอบรมอีก ต่อไปอาจารย์ก็จะต้องพาเจ้าไปที่นั่น รายละเอียดเจ้าจะรู้ได้เมื่อถึงเวลานั้น เวลาล่วงเลยไปมากแล้ว เราไปกันเถอะ
ฉงซิว : ขอรับ ศิษย์นั่งเรียบร้อยแล้ว
พระฯ จี้กง : หลับตา ... บินได้ ... ถึงแล้ว ฉงซิวรีบลงมา ข้างหน้าคือด่านที่สามของจิ่วหยังกวน มีชื่อว่า "ด่านสระหนาว" พระองค์นายด่านกับบริวารคอยต้อนรับเราอยู่แล้วรีบเข้าไปคารวะเสีย
ฉงซิว : ขอรับ ศิษย์ฉงซิวคารวะพระองค์นายด่านและท่านผู้คุมด่านสระหนาวทุกพระองค์ คืนนี้ ศิษย์ได้รับสนองพระโองการฯ ติดตามพระอาจารย์จี้กง
มาหาขัอมูลที่ด่านของพระองค์เพื่อสร้างหนังสือเตือนใจผู้บำเพ็ญ หวังว่าพระองค์ผู้อาวุโสได้โปรดแนะนำ
หมายเหตุ : ประจักษ์ธรรม คือ ผู้บำเพ็ญวิถีอนุตตรธรรม เมื่อทิ้งกายสังขารไปได้ประจักษ์ในหนทางแห่งการบรรลุฯ
-
จิ่วหยังกวน
สถานเคี่ยวกรำผู้บำเพ็ญ
ตอนที่ 5
ท่องด่านที่สาม ของจิ่วหยังกวน
ด่านสระหนาว
(หันฉือกวน)
วันที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2525
พระพุทธะจี้กงประทับทรง โปรดนำด้วยโศลกความว่า :
ด้วยรักชีวิตเขา จึงเฝ้าพร่ำ คำเมตตา
สู่สัมมา สัมพุทธัง อันสูงส่ง
จะกล่อมเกลา ทุกโอกาส คาดจำนง
ด้วยประสงค์ ถ่ายทอดให้ ได้บรรลุจริง
พระฯ นายด่าน : ฉงซิวลุกขึ้นเถิด ด่านของเราได้รับพระโองการจากพระองค์เง็กเซียนฮ่องเต้ก่อนหน้านี้แล้ว รู้ว่าตำหนักฉงเซิงถังจะต้องรับสนองพระโองการมาหาข้อมูลที่จิ่วหยังกวน เพื่อสร้างหนังสือ ทางด่านของเราเฝ้ารอรับอยู่นานแล้ว พระพุทธะจี้กงและฉงซิว โปรดเข้านั่งพักในตำหนักสักครู่เถิด
พระฯ จี้กง : รบกวนแท้ ๆ อาตมาท่องเกือบทั่วแล้วทั้งสามโลก (เทวโลก โลกมนุษย์ และยมโลก) แต่ด่านจิ่วหยังนี้เพิ่งมาเป็นครั้งแรก ฉงซิวเรารีบเข้าไปเถิด
ฉงซิว : ขอรับ สองข้างประตูพระตำหนักมีกลอนคู่อยู่บทหนึ่งว่า
"เมื่อชีพยัง ไม่ชั่งใจ ในอัตตา
ชีพอำลา ไม่อาจผ่าน ด่านสระหนาว"
พระฯ นายด่าน : เชิญพระพุทธะจี้กงและฉงซิวได้โปรดนั่ง เมื่อกี้ พระฯจี้กงบอกว่าเป็นครั้งแรกที่ได้มาด่านนี้ฟังดูขัด ๆ ครั้งที่พระองค์ประจักษ์ธรรมก็ได้ผ่านการขัดเกลาจากจิ่วหยังกวนมาแล้วมิใช่หรือ จึงได้บรรลุมรรคผล
พระฯ จี้กง : ฮะ ฮะ ฮะ จะว่าไปก็ใช่ แต่ที่อาตมาว่าเป็นครั้งแรกนั้นหมายถึงครั้งแรกที่มาเก็บข้อมูล เกือบจะทุกแห่งในสามโลกนี้ อาตมาเคยพามือทรงเอกของพระตำหนักต่าง ๆ ในโลกมาท่องจนเกือบทั่วแล้ว มีแต่จิ่วหยังกวนเท่านั้นที่ไม่เคยมา
พระฯ นายด่าน : พระองค์พูดถูก หากมิใช่วาระที่โลกเป็นไปเช่นนี้ มีหรือที่เบื้องบนจะโปรดเปิดเผยให้รู้เห็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้โดยสิ้นเชิง
พระฯ จี้กง : สมควรแก่เวลาแล้ว ขอรบกวนท่านนายด่านได้โปรดบัญชาให้นำฉงซิวไแหาข้อมูลในสถานที่จริง เพื่อเป็นข้อเตือนใจแก่ผู้บำเพ็ญเถิด
พระฯ นายด่าน : ขอน้อมรับ บัญชาให้นายทะเบียนรีบนำพระฯ จี้กง พร้อมด้วยฉงซิวไปเยือนด่านย่อยของด่านสระหนาวทันที
นายทะเบียน : ผู้น้อยขอน้อมรับ ทูลเชิญพระพุทธะจี้กง เชิญนักบุญฉงซิวตามผู้น้อยไป ... ถึงแล้ว ที่นี่คือด่านย่อยของด่านสระหนาว ผู้คุมด่านรอรับอยู่ที่นั่นแล้ว
พระฯ ผู้คุม : ยินดีต้อนรับพระพุทธะจี้กงกับนักบุญฉงซิว มาเยือนสระของเรา
ฉงซิว : ที่นี่ไอเย็นแรงมาก มิน่าเล่าจึงได้ชื่อว่า "ด่านสระหนาว" โอ้โฮ ในสระมีผู้คนมากมายถูกแช่แข็งอยู่ บางคนหนาวสั่นสะท้านน่าสงสาร บางคนหนาวจนหน้าเขียวแล้ว เรียนถามพระฯ ผู้คุม ที่นี่มิใช่นรก ในสระล้วนแต่ผู้บำเพ็ญวิถีธรรมจริงทั้งนั้นมิใช่หรือ แต่เหตุใดจึงได้รับโทษหนักอย่างนี้
พระฯ ผู้คุม : ข้าพเจ้าจะเรียกให้มาสอบถามเองสักสองสามรายก็จะเข้าใจ สามคนนั่นมานี่ รีบกราบรับพระบาทพระพุทธะจี้กง และคารวะต่อนักบุญฉงซิวมือทรงเอกจากพระตำหนักไถจงฉงเซิงแห่งโลกมนุษย์เสีย เสร็จแล้วให้เล่าความผิดของตนในระหว่างบำเพ็ญเพื่อประโยชน์ในการสร้างหนังสือบุญ เป็นข้อเตือนใจผู้บำเพ็ญทั้งหลาย ว่าอย่าได้ทำผิดซ้ำรอยเช่นนี้ด้วย
ผู้บำเพ็ญ ก. ข. ค. : รับบัญชา น้อมกราบพระบาทพระพุทธะจี้กงและคารวะท่านนักบุญฉงซิว
ฉงซิว : มิกล้ารับคารวะ ข้าพเจ้าผู้น้อยเป็นมือทรงเอกแห่งพระตำหนักไถจงฉงเซิงในโลกมนุษย์ รับพระบัญชาให้มาหาข้อมูลที่นี่ ดูท่านทั้งหลายล้วนเป็นผู้บำเพ็ญดี เหตุใดจึงถูกกักขังให้รับทุกข์อยู่ในด่านสระหนาวนี้เล่า
-
จิ่วหยังกวน
สถานเคี่ยวกรำผู้บำเพ็ญ
ตอนที่ 5
ท่องด่านที่สาม ของจิ่วหยังกวน
ด่านสระหนาว
(หันฉือกวน)
วันที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2525
พระพุทธะจี้กงประทับทรง โปรดนำด้วยโศลกความว่า :
ด้วยรักชีวิตเขา จึงเฝ้าพร่ำ คำเมตตา
สู่สัมมา สัมพุทธัง อันสูงส่ง
จะกล่อมเกลา ทุกโอกาส คาดจำนง
ด้วยประสงค์ ถ่ายทอดให้ ได้บรรลุจริง
ผู้บำเพ็ญ ก. : น่าละอายใจจริง ๆ ฉันเป็นถึงเจ้าตำหนักพระหลวนถัง ก่อนหน้านั้นได้สร้างตำหนักภายในบ้านไว้ให้ผู้คนมากราบไหว้บูชา ต่อมาผู้มีศรัทธามากขึ้นทุกวัน สถานที่ในบ้านเล็กเกินไป จึงเสนอให้ซื้อที่สร้างตำหนักใหม่ ด้วยเหตุที่ฉันมีความจริงใจ ไม่นานต่อมาเทวสถานใหญ่ก็ก่อตั้งได้สำเร็จ จากนั้น เหลาเทวทายาทหญิง ชาย (หลวนเซิง) ก็เห็นว่าควรจะอารธนาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประทับทรง ทุกคนจึงพร้อมใจกันกราบทูลความประสงค์ต่อเบื้องบนทักษิณาลัย ขอให้มีการประทับทรงเพื่อฉุดจูงเวไนยสัตว์ ไม่นานต่อมา เบื้องบนทักษิณาลัยก็ประทานอนุญาต การประทับทรงก็ได้เริ่มขึ้นอย่างราบรื่นและเฟื่องฟูยิ่งขึ้นทุกวัน เหตุนี้ทำให้ฉันเกิดความรู้สึกทะนงตน ฉันปั้นสีหน้าเคร่งขรึมต่อเทวทายาททุกคนที่เข้ามาในตำหนักฯ ทำให้ผู้คนเกรงขามไม่กล้าเข้าใกล้ แต่หากเทวทายาทคนใดฐานะดี ฉันก็สนิทชิดชอบด้วย จิตใจที่แบ่งแยกระหว่างคนร่ำรวยสูงศักดิ์กับคนจนต่ำต้อย ก็เริ่มขึ้นนับแต่นั้น ฉันได้สร้างบุญไว้มาก เมื่อตายไปกระจกส่องกรรมจึงส่องไม่เห็น พญายมส่งให้ฉันขึ้นสะพานทอง ฉันเข้าใจว่าจากนี้ไปหมดทุกข์แล้ว ไม่คิดว่าจะถูกนำมาที่สระหนาวของจิ่วหยังกวนนี่ พระองค์นายด่านบอกว่า ฉันรังเกียจคนจน รักคนรวย ผู้บำเพ็ญที่มีจิตใจอย่างนี้จะต้องนำมาสำนึกผิดด้วยการแช่น้ำแข็ง
ฉันจึงถูกตัดสินให้ลงสระหนึ่งปี มันทุกข์ทรมานจนบอกไม่ถูก ฉันพยายามเรียกร้องต่อพระองค์นายด่านว่า ฉันมีบุญมาก น่าจะหักลบกับความผิดได้ พระองค์ว่าจิตใจของฉันไม่เรียบเสมอกัน จิตปุถุชนยังไม่หมดไป ยากที่จะให้เข้าสู่ดินแดนพระอริยะได้ พระองค์สอบสวนแต่ความผิดแต่ไม่พิจารณาความชอบ เพียงแต่ให้ปรับใจกลับตัวใหม่ ก็จะบรรลุดินแดนสุขาวดีได้ตามบุญกุศลที่ได้สร้างมา ถึงตอนนี้สำนึกเสียใจก็สายเสียแล้ว
ฉงซิว : ขอบพระคุณท่านอาวุโสที่ให้ความกระจ่าง เชื่อว่าประสบการณ์ของท่านจะเป็นอุทาหรณ์อย่างดีสำหรับผู้บำเพ็ญรุ่นหลังต่อไป เรียนถามอาจารย์อีกท่านหนึ่ง ดูท่าทางของท่านเหมือนพระเณรผู้ใหญ่ เหตุใดจึงได้รับโทษทนทุกข์ในด่านสระหนวนี้ด้วย
ผู้บำเพ็ญ ข. : อาตมาเป็นเจ้าอาวาสวัดแห่งหนึ่ง เป็นเพราะมีทิฏฐิมากไม่สำนึกรู้ในความเป็นจริงว่า ศาสนาใหญ่ทั้งสามล้วนกำเนิดเดียวกัน ทุกครั้งที่มีใครพูดถึงศาสนาอื่น อาตมาก็จะดูแคลนว่าเป็นมิจฉาศาสตร์ หากใครเล่าว่าตำหนักพระที่ไหนมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประทับทรงประทานพระโอวาทได้ลึกซึ้งก็จะปรามาสว่าเป็นพวกติดรูปลักษณ์เข้าพวกมาร โดยที่ตนเองก็ไม่เคยศึกษาพระโอวาทในหนังสือบุญเหล่านั้น ตั้งหน้าแต่จะกีดกันศิษยานุศิษย์ไม่ให้เลื่อมใส เมื่อมีชีวิตอยู่อาตมาเป็นพระผู้ใหญ่ ด้วยเหตุที่ยึดมั่นในตัวอักษรของคัมภีร์วัชรญาณฯ (จินกังจิง) ตีความผิดว่ารูปธรรมทั้งหลายล้วนเป็นสิ่งสมมุติ โดยไม่รู้ว่าที่ว่าสมมุตินั้นหมายถึงสรรพรูปนามทั้งหลายที่มีอยู่ในสากล แต่มิใช่หมายถึงสัจธรรมคำสอนของศาสนา
เมื่อทิ้งกายสังขาร ก็ได้ท่องเที่ยวไปทั่วแดนนรก พอพญายมส่งข้ามสะพานทอง อาตมาก็กระหยิ่มใจคิดว่า ได้บรรลุสู่พุทธเกษตรแน่แล้ว ไม่คิดว่าจะถูกรับตัวมาด่านสระหนาวเช่นนี้ พระองค์นายด่านบอกว่า อาตมาได้รับการอุปถัมภ์จากสาธุชนมาชั่วชีวิต แต่มิได้สำนึกรู้อย่างแท้จริงว่า ศาสนาก็คือสิ่งที่เบื้องบนได้อาศัยรูปนามต่าง ๆ เป็นสมมุติฐานเพื่อกล่อมเกลาฉุดช่วยชาวโลก อาตมามีทิฏฐิเป็นอารมณ์สิ่งศักดิ์สิทธิ์หวังให้ผู้บำเพ็ญอาศัยรูปนามสมมุติบำเพ็ญวิถีธรรมจริงแต่มิใช่ให้ยึดถือเป็นอารมณ์
ทุกศาสนาล้วนแต่ได้รับสนองพระโองการฯ ลงมาฉุดช่วยชาวโลกตามกาลกำหนดทั้งนั้น อาตมาเองแม้จะมีกุศลผลบุญอยู่ แต่กรรมปากไม่เคยลดน้อยเลย อารมณ์อย่างนี้ก็ยากจะบรรลุได้ จึงต้องมาสำนึกผิดอยู่ที่นี่ บัดนี้ได้รู้แล้วว่า ที่เคยคิดนั้นผิด แต่ก็สายเสียแล้ว พระองค์นายด่านตัดสินให้อาตมาสำนึกผิดอยู่ที่นี่หนึ่งปี ให้หนาวจนเข้ากระดูกอยู่ในสระนี้ทุกวัน มันทรมานจนบอกไม่ถูก ถ้าพะวงอยู่กับความหนาวจนลืมสำนึกผิดก็จะยิ่งหนาวจัด แต่ถ้าหากสำนึกได้แม้แต่น้อยความหนาวก็ลดลง แปลกแท้ ๆ จึงขอเตือนสงฆ์สาวกทั้งหลาย ขอให้ร่วมมือร่วมใจกับศาสนาอื่นกล่อมเกลาชาวโลก อย่ามีทิฏฐิแบ่งเขาแบ่งเรา วันข้างหน้าจะได้ไม่ซ้ำรอยอาตมา
ฉงซิว : ขอบพระคุณท่านอาจารย์ที่ให้ความกระจ่าง สำหรับสาวกของศาสนาพุทธที่รังเกียจเดียดฉันท์ศาสนาอื่น ๆ ศิษย์ก็เคยประสบมาทำให้ไม่ใคร่อยากไปวัด หวังว่าเสียงจากใจของท่านจะเตือนใจสงฆ์สาวกได้บ้าง เรียนถามท่านอาวุโสท่านที่สาม ท่านห่มผ้าอย่างนี้เห็นทีจะเป็นแม่ภิกษุณี
ผู้บำเพ็ญ ค. : ท่านคิดไม่ผิด โอ้ย หนาวเหลือเกิน ขอบคุณท่านและพระพุทธะจี้กงได้โปรดมาเยือน ทำให้ฉันพ้นออกมาจากสระน้ำแข็งได้ชั่วขณะ
ฉงซิว : ขอได้โปรดเล่าการบำเพ็ญเมื่อครั้งมีชีวิต เพื่อประโยชน์ในการสร้างหนังสือเตือนใจชาวโลกและผู้ที่กำลังบำเพ็ญอยู่ในขณะนี้
ผู้บำเพ็ญ ค. : ฉันปฏิบัติบำเพ็ญในเพศฆราวาส ได้ถวายตัวเป็นศิษย์ของอาจารย์ที่วัด ๆ หนึ่งด้วยความศรัทธายิ่ง อาจารย์บอกว่าพระพุทธองค์ของเราใหญ่ยิ่งที่สุดแล้ว ไม่ควรไปไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์อื่น ๆ อีก มิฉะนั้นจะถูกคนหัวเราะเยาะ ฉันจึงเข้าใจว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์อื่นอยู่ในระดับต่ำ เห็นว่าพระองค์เหล่านั้นไม่ได้บรรลุจริง มีแต่พระพุทธองค์เท่านั้น ที่เป็นพระศาสดาสูงสุดพระองค์เดียว เคราะห์ดีที่จิตใจของฉันมีเพียงจุดนี้เท่านั้นที่ยังยึดมั่นอยู่ ด้วยความศรัทธาในการบำเพ็ญ เมื่อตายลงจึงได้ไปลบชื่อออกจากบัญชียมโลก พญายมส่งฉันข้ามสะพานทอง ฉันสำคัญญว่าตนเองได้บรรลุแล้ว ไม่คิดว่ากลับถูกส่งมาที่ด่านสระหนาวของจิ่วหยังกวน พระองค์นายด่านบอกว่า จิตของฉันไม่สำนึกจริง ชาวโลกชอบก่อเหตุแห่งกรรม พระพุทธเจ้าและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งนั้นล้วนเมตตาไม่แบ่งชั้น แต่คนในโลกกลับจัดการแบ่งให้สูงต่ำเช่นนี้ ฉันจึงถูกตัดสินให้เข้าสำนึกผิดในด่านสระหนาวสามเดือน บัดนี้เสียใจก็สายเสียแล้ว หวังว่าผู้บำเพ็ญทั้งหลายจะได้เปิดใจ อย่ามีทิฏฐิยึดมั่น วันข้างหน้าจะได้ไม่ต้องรับทุกข์อย่างนี้
ฉงซิว : ขอบพระคุณที่ท่านได้โปรดให้ความกระจ่าง หวังว่าเสียงจากใจของท่านจะได้รับการสะท้อนตอบในเร็ววัน
พระฯ ผู้คุม : ผู้บำเพ็ญทั้งสามจบคำให้การแล้ว กราบลาพระพุทธะจี้กง อำลาท่านนักบุญฉงซิว แล้วกลับเข้าสำนึกผิดในสระต่อไป
พระฯ จี้กง : ขอบพระคุณท่านผู้คุม ที่เหนื่อยเพื่อเราในวันนี้ หมดเวลาแล้วเราขออำลา ช่วยขอบพระคุณพระองค์นายด่านแทนเราด้วย ฉงซิวรีบออกจากด่านขึ้นหลังนกเผิงใหญ่
พระฯ ผู้คุม : กราบส่งพระฯ จี้กง น้อมส่งนักบุญฉงซิวกลับพระตำหนัก
ฉงซิว : ศิษย์นั่งดีแล้ว พระอาจารย์โปรดนำกลับ
พระฯ จี้กง : หลับตา ... บินได้ ... ถึงตำหนักฉงเซิง วิญญาณของฉงซิวกลับเข้าร่างดังเดิม
-
จิ่วหยังกวน
สถานเคี่ยวกรำผู้บำเพ็ญ
ตอนที่ 6
ท่องด่านที่สี่ ของจิ่วหยังกวน
ด่านสระร้อน
(สู่ฉือกวน)
วันที่ 1 พศจิกายน พ.ศ. 2525
พระพุทธะจี้กงประทับทรง โปรดนำด้วยโศลกความว่า :
ปลุกให้ตื่นด้วยเมตตา พาพ้นความฝันหนันกัว (หนันกัว เป็นชื่อเมืองโบราณ ความฝันหนันกัว เป็นคำอุปมาว่าชีวิตคนเราแสนสั้น)
ตื่นจากหนันกัว พาตัวพ้นผ่านด่านจิ่วหยัง
ท่องด่านสร้างหนังสือ ใหญ่ยิ่งดังสิงขรตระหง่าน
เช่นนี้จะแผ่วพานอารมณ์อยู่ใย ให้ป่วยการ
ฉงซิว : พระอาจารย์ขอรับ ศิษย์เห็นพระองค์ต้องไปอรรถาธรรมทุกหนแห่ง เหนื่อยยากนักหนา ล้วนทำเพื่อเวไนยสัตว์ พวกเราเป็นหนี้พระองค์มากมายเหลือเกิน
พระ ฯ จี้กง : เฮ้ย ฉงซิวพูดเรื่องนี้ทำไม ก็ใครใช้ให้คนหลงงมงายกันอย่างนี้ล่ะ อาจารย์ทนดูเหล่าพุทธะ ทนทุกข์ตกต่ำ เวียนว่ายอยู่ในโลกีย์วิสัยไม่ได้จึงต้องมาเคี่ยวกันหน่อย
ฉงซิว : กำหนดกาลนี้พระอาจารย์รับสนองพระโองการ ศิษย์ทั้งหลายจึงโชคดีได้รับการฉุดช่วยจากพระอาจารย์ ในขณะที่พระองค์กำลังอรรถาธรรมอยู่ที่นี่ พร้อมกันนั้น พระองค์จะโปรดสัตว์ในที่อีกแห่งหนึ่งก็ได้ใช่ไหมขอรับ
พระฯ จี้กง : ใช่แล้ว "ในแม่น้ำพันสายมีจันทณ์ฉายอยู่พร้อมกัน" ขณะนี้แม้อาจารย์จะกำลังนำเจ้าไปหาข้อมูลในจิ่วหยังกวน แต่ก็สามารถประทับทรงให้โอวาทในที่ต่าง ๆ ได้พร้อมกัน
ฉงซิว : พระอาจารย์สูงด้วยพระบุญญาธิการจริง ๆ มิน่าเล่าชาวโลกจึงยกย่องพระองค์ว่า "พระพุทธะเดินดิน"
พระฯ จี้กง : ชาวโลกยัดเยียดสมญานี้ให้ จนอาจารย์อยู่นิ่งไม่ได้ต้องออกวิ่งเต้นโปรดสัตว์ไปทั่ว
ฉงซิว : พระอาจารย์มีบุญญาธิการและอิทธิปาฏิหาริย์ยิ่งนัก จนชาวโลกต้องถวายสมญาแด่พระองค์อย่างนี้ต่างหาก
พระฯ จี้กง : ค่ำแล้วเราไปกันเถอะ รีบขึ้นหลังนกเผิงใหญ่
ฉงซิว : ขอรับ ศิษย์พร้อมแล้ว เชิญพระอาจารย์
พระฯ จี้กง : หลับตา ... บินได้ ... ถึงแล้ว ฉงซิวรีบลงมา ข้างหน้าคือด่านสระร้อน ด่านที่สี่ของจิ่วหยังกวน พระองค์นายด่านคอยเราอยู่ที่นั้นแล้ว เข้าไปกราบคารวะเสีย
ฉงซิว : ขอรับ ศิษย์ฉงซิวกราบเฝ้าพระองค์นายด่านสระร้อน และเซียนผู้อาวุโสทุกพระองค์ คืนนี้ได้ติดตามพระอาจารย์จี้กงมารบกวนที่ด่านของพระองค์ขอได้โปรดอภัย
พระฯ นายด่าน : ฉงซิวไม่ต้องคารวะ ลุกขึ้นเถิด พูดว่ารบกวนไปใย เจ้ารับสนองพระโองการสร้างหนังสือบุญ เราทั้งหลายจะต้องร่วมมือจึงจะถูก นิมนต์พระฯ จี้กง กับฉงซิวเข้าไปพักผ่อนในตำหนักสักครู่ก่อน
พระฯ จี้กง : ดี เข้าไปนั่งข้างใน ฉงซิวรีบเข้าไปด้วยกัน
ฉงซิว : ขอรับ สองข้างประตูตำหนัก มีกลอนคู่เขียนไว้ว่า
บรรลุเซียนพุทธะใครจะไม่ผ่านทางนี้
พระวิสุทธีอริยปราชญ์ไม่คลาดผ่านทวารนี้
พระฯ นายด่าน : นิมนต์พระพุทธะจี้กง กับฉงซิวโปรดนั่ง พนักงานข้างในยกน้ำชามาถวาย
-
จิ่วหยังกวน
สถานเคี่ยวกรำผู้บำเพ็ญ
ตอนที่ 6
ท่องด่านที่สี่ ของจิ่วหยังกวน
ด่านสระร้อน
(สู่ฉือกวน)
วันที่ 1 พศจิกายน พ.ศ. 2525
พระพุทธะจี้กงประทับทรง โปรดนำด้วยโศลกความว่า :
ปลุกให้ตื่นด้วยเมตตา พาพ้นความฝันหนันกัว (หนันกัว เป็นชื่อเมืองโบราณ ความฝันหนันกัว เป็นคำอุปมาว่าชีวิตคนเราแสนสั้น)
ตื่นจากหนันกัว พาตัวพ้นผ่านด่านจิ่วหยัง
ท่องด่านสร้างหนังสือ ใหญ่ยิ่งดังสิงขรตระหง่าน
เช่นนี้จะแผ่วพานอารมณ์อยู่ใย ให้ป่วยการ
พระ ฯ จี้กง : พระฯ นายด่านเกรงใจไปแล้ว คืนนี้อาตมาพาฉงซิวมาที่ด่านของท่าน ขอท่านได้โปรดแนนะนำ
พระฯ นายด่าน : พระฯ จี้กงช่างถ่อมพระองค์ ทางด่านของข้าพเจ้าจะเรียนให้ทราบทุกอย่างเพื่อประโยชน์ในการสร้างหนังสือ ฉงซิว มีปัญหาอะไรจะถามไหม
ฉงซิว : ทูลถามพระองค์นายด่าน เหตุใดด่านนี้จึงได้ชื่อว่า "ด่านสระร้อน"
พระฯ ผู้คุม : ในสังกัดด่านนี้ยังมีด่านย่อยอีกเก้าด่าน แต่ละด่านมีพระผู้คุมหนึ่งท่าน ภายในด่านร้อนระอุ โดยเฉพาะด่านย่อยที่เก้าจะร้อนเท่ากับไอร้อนในหม้อหุงข้าว เพื่อเคี่ยวกรำผู้บำเพ็ญ เมื่อมีชีวิต แม้เขาจะเดินอยู่บนเส้นทางอริยะ แต่มักไม่พ้นผิด ผิดแล้วรู้ตัวรีบเปลี่ยนแปลง ชื่อที่จารึกอยู่กับด่านสระร้อนก็จะถูกลบออกไปได้เอง
ฉงซิว : เป็นเช่นนี้เอง ขอบพระคุณพระองค์นายด่านที่โปรดประทานความกระจ่าง
พระ ฯ จี้กง : ขอรบกวนท่านนายด่านได้โปรดบัญชาให้นำฉงซิวไปเก็บข้อมูลในสถานที่จริงด้วย
พระฯ นายด่าน : น้อมรับ ให้นายทะเบียนนำพระพุทธะจี้กงและฉงซิวไปหาข้อมูลที่ด่านสระร้อน เพื่อประโยชน์ในการสร้างหนังสือทันที ...
นายทะเบียน : ผู้น้อยน้อมรับพระบัญชา เชิญพระพุทธะจี้กง กับนักบุญฉงซิวตามผู้น้อยไป ... ถึงแล้ว
พระฯ ผู้คุม : ขอต้อนรับพระพุทธะจี้กงกับนักบุญฉงซิวมาเยือนด่านของเรา
พระฯ จี้กง : มิต้องคารวะ รีบพาเขาเข้าไปเถิด
พระฯ ผู้คุม : ขอน้อมรับ เชิญตามข้าพเจ้ามาได้
ฉงซิว : เอ ทำไมไม่เห็นมีอะไร แต่ผู้บำเพ็ญเหงื่อท่วมกันทุกคน บางคนอย่างกับร้อนจนหน้าแดงก่ำแต่ไม่เห็นเครื่องทำความร้อนอะไรที่ไหนเลย
พระฯ ผู้คุม : นักบุญฉงซิว ขณะนี้ท่านไม่มีกรรมนี้ จึงไม่อาจรับรู้ได้ว่า เขาเหล่านั้นกำลังถูกเผาผลาญด้วย เพลิงไฟของฟ้าดินที่เกิดขึ้นในกายตนตาม "บาปเวรที่เกิดแก่จิต"
ฉงซิว : "เพลิงไฟของฟ้าดิน" แต่ศิษย์ไม่เห็นเพลิงไฟมาจากไหนเลย
พระฯ ผู้คุม : เพลิงไฟของฟ้าดินก็คือ เพลิงบาปที่เกิดขึ้นในแต่ละตน เป็นอากาศธาตุที่มองไม่เห็นรูปลักษณ์
ฉงซิว : ถ้าเช่นนั้น เพลิงบาปนั้นเมื่อไรจะมอดดับเล่าขอรับ เมื่อมองไม่เห็นแล้วจะดับได้อย่างไร ศิษย์ว่าอย่างนี้หน่วยดับเพลิงโลกก็ทำอะไรไม่ได้
พระฯ ผู้คุม : นักบุญฉงซิวพูดให้ขบขัน เพลิงไฟนี้เกิดจากบาปเวรก็ดับได้เมื่อบาปเวรได้ลบล้างไปน่ะซิ
ฉงซิว : แล้วจะดับได้เมื่อไรเล่าขอรับ
พระ ฯ ผู้คุม : ผู้บำเพ็ญทุกคน หากสำนึกผิดได้อย่างจริงใจ แสงญาณก็จะปรากฏขึ้นใหม่อีก เพลิงบาปก็จะดับไป ทำให้รู้ได้ว่าเขาได้สำนึกผิดแล้ว ผู้คุมก็จะรายงานต่อพระองค์นายด่านให้พ้นด่านนี้ไปได้
ฉงซิว : ขอกราบเรียนถามอีกว่า ผู้ที่ถูกเคี่ยวกรำในด่านนี้ มีที่ทนไม่ไหวบ้างไหม ศิษย์หมายถึงว่าถ้าเขาทนไม่ไหวจะรู้ได้อย่างไรและจัดการอย่างไร
พระ ฯ ผู้คุม : นักบุญฉงซิวถามได้เหมาะ ไม่ใช่ผู้บำเพ็ญที่ถูกเคี่ยวกรำในด่านนี้จะผ่านพ้นไปได้ทุกคน บางคนก็ทนร้อนไม่ไหวจน "แสงแตก" คือแสงญาณแตกกระจายดับไปหมด อย่างนี้เราก็จะส่งเขาลงไปในนรกให้เข้าวงเวียนกรรมเกิดเป็นคนบำเพ็ญใหม่
ฉงซิว : อย่างนี้นั่นเอง ศิษย์เข้าใจแล้ว
พระฯ ผู้คุม : ข้าพเจ้าจะเรียกผู้บำเพ็ญบางคนมาให้ท่านซักถามจะได้เข้าใจดียิ่งขึ้น เจ้าทั้งสามมากราบคารวะพระพุทธะจี้กงและคารวะนักบุญฉงซิว มือทรงเอกแห่งตำหนักพระไถจงฉงเซิง พร้อมทั้งเล่าเรื่องการบำเพ็ญและเหตุที่ถูกตัดสินให้เข้ามารับการเคี่ยวกรำในด่านสระร้อนนี้โดยละเอียดด้วย
-
จิ่วหยังกวน
สถานเคี่ยวกรำผู้บำเพ็ญ
ตอนที่ 6
ท่องด่านที่สี่ ของจิ่วหยังกวน
ด่านสระร้อน
(สู่ฉือกวน)
วันที่ 1 พศจิกายน พ.ศ. 2525
พระพุทธะจี้กงประทับทรง โปรดนำด้วยโศลกความว่า :
ปลุกให้ตื่นด้วยเมตตา พาพ้นความฝันหนันกัว (หนันกัว เป็นชื่อเมืองโบราณ ความฝันหนันกัว เป็นคำอุปมาว่าชีวิตคนเราแสนสั้น)
ตื่นจากหนันกัว พาตัวพ้นผ่านด่านจิ่วหยัง
ท่องด่านสร้างหนังสือ ใหญ่ยิ่งดังสิงขรตระหง่าน
เช่นนี้จะแผ่วพานอารมณ์อยู่ใย ให้ป่วยการ
ผู้บำเพ็ญ ก. ข. ค. : กราบคารวะพระพุทธะจี้กง คารวะนักบุญฉงซิว เอ๊ะ คนในโลกมนุษย์มาถึงที่นี่ได้อย่างไร
ฉงซิง : ท่านอาวุโสทั้งสามอย่าได้แปลกใจไปเลย ผู้น้อยกับพระอาจารย์จี้กงได้รับสนองพระโองการให้มาบันทึกเรื่องราวในด่านจิ่วหยัง เพื่อสร้างหนังสือบุญเอาไว้เตือนใจชาวโลก เรียนถามอาจารย์ท่านนี้ ดูท่านร้อนมากเหลือเกิน
ผู้บำเพ็ญ ก. : ใช่ ร้อนมาก จนเกือบทนไม่ได้อยู่แล้ว
ฉงซิว : เรียนท่านผู้คุม จะให้ท่านทั้งสามนี้พักโทษจากไฟร้อนชั่วคราวได้ไหมขอรับ เพื่อจะได้เล่าเรื่องราวได้สบายหน่อย
ผู้ควบคุม : ข้าพเจ้าไม่มีอำนาจผ่อนผันให้ได้ ด่านนี้สร้างขึ้นจากธรรมชาติของฟ้าดิน ผู้มีบาปเวรกรณีย์นี้ติดตัวเมื่อมาถึงที่นี่ก็จะร้อนขึ้นมาเอง คนที่ไม่มีบาปเวรนี้จะไม่รู้สึก ข้าพเจ้าได้แต่รับสนองพระบัญชาควบคุมดูแลผู้บำเพ็ญที่ถูกเคี่ยวกรำ แต่ไม่สามารถจะทำให้เขาพักการเคี่ยวกรำจากเพลิงบาปของเขาเองได้
พระฯ จี้กง : ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร ดูฤทธิ์ของอาตมาซิ โอมมานิปามิ ฮง เพี้ยง
ผู้บำเพ็ญ ก. : ขอขอบพระคุณพระพุทธะจี้กง เราคนเขลาทั้งสามรู้สึกเย็นสบายขึ้นมาฉับพลันทีเดียว
พระฯ ผู้คุม : อิทธิฤทธิ์ของพระพุทธะจี้กงสูงส่งเสมอ แค่ขยับพัดนิดเดียวเท่านั้นก็ยิ้มระรื่นกันได้แล้ว
ฉงซิว : อาจารย์ท่านนี้ได้โปรดเล่าความเป็นมาเถิด
ผู้บำเพ็ญ ก. : ได้ เมื่อมีชีวิตอยู่ฉันเป็นเจ้าตำหนักพระแห่งหนึ่ง ได้สร้างบุญฉุดช่วยคนและบำเพ็ญดีมาก่อน พอตายไปกลับถูกพามารับโทษที่นี่ไม่น่าเลย โอย (เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดจากความร้อนที่กลับเผาไหม้ผู้บำเพ็ญรายนี้อีก)
พระฯ ผู้คุม : จนบัดนี้แล้วเจ้าก็ยังไม่สำนึก มิน่าเล่าเพลิงบาปจึงมาถึงตัวอีก หากไม่สำนึกผิดที่แล้วมาถึงขั้นแสงญาณแตกกระจายเจ้าจะต้องถูกส่งลงนรกไปเข้าวงเวียนเกิดตายอีก ถึงเมื่อนั้นสำนึกก็สายเสียแล้ว
ผู้บำเพ็ญ ก. : โอย ร้อน ร้อน ร้อน พระพุทธะจี้กงได้โปรดช่วยด้วย
พระฯ จี้กง : สร้างกรรมเองโทษใครไม่ได้ เพื่อเห็นแก่การสร้างหนังสือจะช่วยเจ้าอีกครั้งหนึ่ง
ผู้บำเพ็ญ ก. : เฮ้อ เย็นสบายแล้ว ๆ ขอบพระคุณพระพุทธะจี้กง
พระฯ ผู้คุม : ยังไม่รีบเล่าอีก
-
จิ่วหยังกวน
สถานเคี่ยวกรำผู้บำเพ็ญ
ตอนที่ 6
ท่องด่านที่สี่ ของจิ่วหยังกวน
ด่านสระร้อน
(สู่ฉือกวน)
วันที่ 1 พศจิกายน พ.ศ. 2525
พระพุทธะจี้กงประทับทรง โปรดนำด้วยโศลกความว่า :
ปลุกให้ตื่นด้วยเมตตา พาพ้นความฝันหนันกัว (หนันกัว เป็นชื่อเมืองโบราณ ความฝันหนันกัว เป็นคำอุปมาว่าชีวิตคนเราแสนสั้น)
ตื่นจากหนันกัว พาตัวพ้นผ่านด่านจิ่วหยัง
ท่องด่านสร้างหนังสือ ใหญ่ยิ่งดังสิงขรตระหง่าน
เช่นนี้จะแผ่วพานอารมณ์อยู่ใย ให้ป่วยการ
ผู้บำเพ็ญ ก. : จะเล่าแล้วขอรับ
ฉันเป็นเจ้าตำหนักพระ (ถังจู่) ตำหนักหนึ่ง เดิมทีทำการค้า ต่อมาได้รับพระโองการจากพระองค์เสวียนเทียนซั่งตี้ (ตี้เอี่ยกงหรือตั่วเหล่าเอี้ย) อยากให้ลูกศิษย์สร้างตำหนักพระเพื่อพระองค์จะแสดงบุญญาภินิหาริย์กล่อมเกลาชาวโลก ดังนั้น ด้วยพระประสงค์ของพระองค์ ฉันจึงได้เปลี่ยนแปลงร้านค้าของตนให้เป็นตำหนักพระฯ พระองค์เสวียนเทียนซั่งตี้ก็ได้ปรากฏบุญญาธิการช่วยผู้คนได้มากมาย ฉันจึงสนองพระบัญชาทำหน้าที่เจ้าตำหนักพระ อีกทั้งเป็นมือทรงด้วย ฉันใฝ่ธรรมและฉุดช่วยผู้คนไว้ไม่น้อย เทวบุตร (สาธุชนที่ขึ้นต่อตำหนักพระเทวสถาน) มีมากขึ้นทุก ๆ วัน แต่ด้วยนิสัยมุทะลุชอบใช้อารมณ์รุนแรงบ่อย ๆ ทำให้เทวบุตรของตำหนักพระค่อย ๆ หายหน้าไป แต่เนื่องด้วยมีผู้เข้าออกกันมาก ฉันจึงไม่ได้ใส่ใจ
ฉันทำหน้าที่มือทรงของพระองค์ตี้เอี่ยกงอยู่ถึงยี่สิบปี ในระหว่างนั้นฉันมีความเที่ยงธรรม ตรงไปตรงมา ไม่โลภในเงินทองแต่โทสะแรงมากและไม่ยอมให้ใครติติง พอตายไป พญายมยกย่องว่าฉันเคยฉุดช่วยคนให้บำเพ็ญถือเป็นบุญใหญ่ จึงส่งฉันข้ามสะพานทอง ฉันดีใจว่าจะได้ท่องสวรรค์ให้หรรษากันคราวนี้ ไม่คิดว่าจะถูกส่งมาที่สระร้อนนี่ จึงขัดใจมาก คิดว่าตนเองอนุเคราะห์ชาวโลกมายี่สิบปีเพื่อสัมปทานธรรม อีกทั้งไม่เคยโลภเงินทองของตำหนักพระ ฉันทำเพื่อเป็นปากเสียงแทนฟ้าเบื้องบนโดยแท้ ไม่เคยคิดว่าจะต้องตกทุกข์ทรมานอย่างนี้
พระฯ จี้กง : เอาละ อย่าคับอกคับใจไปเลย การจะบรรลุจริงนั้นจะต้องกำจัดนิสัยปุถุชนให้หมดไป ไม่เช่นนั้นจะเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้เช่นไร ถ้าไม่เปลี่ยนแปลงจะต้องถูกส่งไปเวียนว่ายต่อในนรก ส่วนบุญก็จะเป็นเพียงวาสนาได้เชยชม แล้วไปเกิดใหม่ในชีววิถีหกด้วยชีวประเภทไหนก้ไม่รู้ อาตมาขอเตือนให้ท่านละอารมณ์เสีย จะได้เสวยสุขบนวิมานนับหมื่นปี ไม่ต้องทุกข์ยากกับการเวียนว่ายต่อไป ไม่วิเศษกว่าหรือ
ผู้บำเพ็ญ ก. : ขอบพระคุณพระพุทธจี้กงได้โปรดชี้นำ ศิษย์จะจดจำไว้
ฉงซิว : ผู้น้อยก็ขอภาวนาให้ท่านพ้นจากด่านได้ในเร็ววัน ขอเรียนถามอาจารย์ที่สวมชุดพิธีกรรมท่านนี้ ท่านคงเป็นผู้อาวุโสในตำหนักพระกระมัง เหตุใดจึงถูกขังอยู่ที่นี่
-
จิ่วหยังกวน
สถานเคี่ยวกรำผู้บำเพ็ญ
ตอนที่ 6
ท่องด่านที่สี่ ของจิ่วหยังกวน
ด่านสระร้อน
(สู่ฉือกวน)
วันที่ 1 พศจิกายน พ.ศ. 2525
พระพุทธะจี้กงประทับทรง โปรดนำด้วยโศลกความว่า :
ปลุกให้ตื่นด้วยเมตตา พาพ้นความฝันหนันกัว (หนันกัว เป็นชื่อเมืองโบราณ ความฝันหนันกัว เป็นคำอุปมาว่าชีวิตคนเราแสนสั้น)
ตื่นจากหนันกัว พาตัวพ้นผ่านด่านจิ่วหยัง
ท่องด่านสร้างหนังสือ ใหญ่ยิ่งดังสิงขรตระหง่าน
เช่นนี้จะแผ่วพานอารมณ์อยู่ใย ให้ป่วยการ
ผู้บำเพ็ญ ข. : ใช่แล้ว ... พูดแล้วมันน่าอับอาย ครั้งมีชีวิจฉันเป็นเจ้าตำหนักพระแห่งหนึ่ง อีกทั้งเป็นผู้ริเริ่มก่อตั้ง ได้สนองพระโองการจัดบัลลังก์ทรงเพื่อสิ่งศักด์สิทธิ์ได้ประทับประทานพระโองวาทกล่อมเกลาสาธุชน ฉันทำหน้าที่เป็นมือทรง มีสาธุชนศรัทธากันมาก จากนั้นฉันก้เริ่มลำพองตน สำคัญว่าเบื้องบนได้อาศัยความสามารถของฉันจึงเกิดคุณประโยชน์เช่นนี้ได้ ฉันไม่รู้ตัวว่าโอหังอย่างนี้ แม้มีใครตักเตือนด้วยอาการเกรงใจฉันก็ไม่ยอมรับ ทั้งยังเชิดหน้าบอกว่า "ฉันกล่อมเกลาชาวโลกแทนเบื้องบน"
พอตาย ฉันก็ถูกรับตัวไปถอนชื่อจากบัญชียมโลก พญายมส่งฉันขึ้นสะพานทอง ตอนนั้นฉันยิ่งคึกคักมาก ขึ้น ไม่คิดว่าจะถูกรับตัวมาที่ด่านจิ่วหยัง พระองค์นายด่านบอกว่า "ผู้บำเพ็ญมีจิตใจลำพอง ไม่รู้จักอ่อนน้อมถ่อมตน เสียแรงที่พระอริยปราชญ์ได้โปรดอบรมสั่งสอน" จึงตัดสินให้ฉันเข้าสำนึกผิดในด่านสระร้อนหนึ่งปี ไม่คิดว่าพอเข้ามาถึง ก็เหมือนตกอยู่ในหม้อไฟใหญ่ร้อนจนตาย
ขณะที่เหงื่อตกพลั่ก ๆ นั้น หากเกิดจิตลำพองเหมือนเมื่อมีชีวิตอยู่ ตรงหน้าก็จะเกิดภาพชั่วร้าย ที่ไม่กล้าคิดว่านั่นคือตัวเอง ละอายต่อพระพุทธะอริยเจ้าที่พระองค์อุตส่าห์กล่อมเกลาเหลือเกิน เคราะห์ดีที่เคยสร้างตำหนักพระ และอรรถาธรรมเป็นผลบุญไว้บ้าง จึงได้พ้นจากการถูกทรมานในนรก แต่ถ้าจะก้าวสู่แดนวิมุติ ยังจะต้องฝึกฝนอยู่ที่นี่ไปก่อน จึงหวังว่าเพื่อนผู้บำเพ็ญในโลก จงอย่าเอาเยื่องอย่างฉัน พึงรู้ว่าเบื้องบนอาศัยคนช่วยแพร่ธรรม และยิ่งจะต้องรู้ว่า "สิ่งศักดิ์สิทธิ์กับคนร่วมกันทำจึงเป็นงานธรรม ลำพังคนอย่างเดียว ไม่มีน้ำหนักเท่าใดเลย"
ฉงซิว : ขอบคุณท่าน หวังว่าเสียงจากใจของท่านจะเป็นอุทาหรณ์ให้แก่ผู้บำเพ็ญในโลกได้ และขอให้ท่านพ้นจากด่านในเร็ววัน ขอเรียนถามผู้อาวุโสอีกท่านหนึ่ง ท่านก็คงเป็นผู้รับผิดชอบตำหนักพระแห่งใดคนหนึ่งกระมัง
ผู้บำเพ็ญ ค. : ใช่ ฉันเป็นศิษย์ของพระอริยมาตานภาลัย (เจ้าแม่เทียนซั่งเซิ่งหมู่ เป็นพระองค์หนึ่งที่รักษาการแทนเจ้าแม่ทับทิม) ด้วยบุญบันดาล ฉันได้สร้างศาลเจ้าแม่ทับทิมไว้ให้สาธุชนกราบไหว้ ตัวเองก็ทำหน้าที่เป็นมือทรงของพระองค์ด้วย จิตใจของฉันมุ่งแต่จะฉุดช่วยชาวโลกโดยไม่มีอคติแม้แต่น้อย ฉะนั้นเมื่อสร้างศาลจึงมีสาธุชนมาร่วมบุญมากมาย งานบุญก็กว้างขวางยิ่งขึ้นทุกวัน ฉันไม่โลภ และมีจิตใจที่เที่ยงตรง มุ่งช่วยคนทั้งหลาย แต่อารมณ์ร้อนแรง สานุศิษย์ที่ขึ้นอยู่กับศาลนี้จึงต้องพากันหลีกหนี ไปตั้งศาลใหม่ให้สาธุชนกราบไหว้กัน ฉันโกรธมาก ถือว่าพวกเขาทรยศต่อฉัน จึงเกิดริษยาหาทางโจมตีทุกวิถีทาง กล่าวหาว่าพวกเขาสร้างศาลเพื่อหวังเอาเงินเข้าพกของตัวเอง
ฉันหาโอกาสกล่าวร้ายพวกเขาเสมอ จนกระทั่งเมื่ออายุได้ 50 ปี ฉันก็ตายด้วยเส้นโลหิตในสมองแตก วิญญาณได้ลงไปลบชื่อจากบัญชียมโลก พญายมให้ส่งฉันข้ามสะพานทอง ฉันมั่นใจว่าจะได้กราบเฝ้าเง๊กเซียนฮ่องเต้แล้ว ไม่คิดว่าจะถูกส่งมาเคี่ยวกรำที่ด่านจิ่วหยัง ฉันไม่เคยได้ยินชื่อด่านนี้มาก่อนเลยขณะมีชีวิต เมื่อมาถึง พระองค์นายด่านจึงได้บอกว่า ที่นี่เป็นสถานที่ฝึกฝนสำหรับผู้บำเพ็ญโดยเฉพาะ พระองค์ว่า ฉันมีจิตริษยามาก ไม่เข้าใจว่าทุกคนทำหน้าที่ประกาศวิถีธรรมได้ ต่างฉุดช่วยผู้ที่มีบุญสัมพันธ์กับตนมา เป็นงานของชาวโลกที่ทุกคนทำได้ ไม่ควรคิดริษยา จึงตัดสินใจให้ฉันเข้าสำนึกผิดในด่านสระร้อนหนึ่งปี บัดนี้ได้สำนึกก็สายเสียแล้ว หวังว่าผู้บำเพ็ญในโลกจงอย่าเอาเยี่ยงอย่างฉัน จะได้ไม่ต้องมาร้องโอดโอยในด่านจิ่วหยัง เพราะเมื่อนั้นจะไม่ทันการ
พระฯ ผู้คุม : ทั้งสามเล่าจบแล้ว กราบลาพระอาจารย์จี้กงกับนักบุญฉงซิวได้
ผู้บำเพ็ญ ก. : กุศลที่เราได้เล่าเรื่องของตัวเองเพื่อพิมพ์หนังสือจะมีผลลดหย่อนกำหนดโทษได้ไหม
พระ ฯ ผู้คุม : ในขณะที่เล่า เจ้าได้เย็นสบายไปพักใหญ่ ถือเป็นความกรุณาแล้ว อย่าได้ร้องขอวุ่นวาย แม้ได้ลดหย่อนแต่เมื่อนั้นจิตของเจ้ายังไม่เปลี่ยนแปลงก็จะถูกเคี่ยวกรำต่อไป จงสงบใจกลับเข้าไปสำนึกจะเหมาะกว่า
พระ ฯ จี้กง : ถูกต้อง ต่างคนต่างบำเพ็ญ ต่างคนต่างบรรลุ การสำนึกผิดก็เหมือนกัน ใครแก้ไขได้ก่อน ก็ผ่านด่านไป ขอจากใครไม่สู้ขอกับตนเอง
ฉงซิว : หวังว่าท่านจะได้พ้นด่านในเร็ววัน ผู้น้อยขอภาวนา
พระ ฯ จี้กง : วันนี้ดึกมากแล้ว เรารีบกลับตำหหนัก ฯ กันเถิด ขอท่านผู้คุมได้ขอบพระคุณนายด่านแทนเราด้วย เราขอลากลับ
พระ ฯ ผู้คุม : กราบส่งพระ ฯจี้กง ส่งนักบุญฉงซิวคืนตำหนัก ฯ
พระ ฯ จี้กง : นกเผิงใหญ่มาถึงแล้ว ฉงซิวรีบขึ้นไป เราไปกันได้แล้ว
ฉงซิว : ขอรับ ศิษย์นั่งดีแล้ว พระอาจารย์โปรดออกเดินทาง
พระ ฯ จี้กง : หลับตา ... ไปได้ ... ฉงซิวได้กลับถึงตำหนัก ฯ วิญญาณกลับคืนเข้าร่างดังเดิม
-
จิ่วหยังกวน
สถานเคี่ยวกรำผู้บำเพ็ญ
ตอนที่ 7
ท่องด่านที่ห้า ของจิ่วหยังกวน
ด่านมลายโลกีย์
(เหลี่ยวฝันกวน)
วันที่ 2 พศจิกายน พ.ศ. 2525
พระพุทธะจี้กงประทับทรง โปรดนำด้วยโศลกความว่า :
หฤทัย ฯ คัมภีร์ ที่ทูลอ่าน สะท้านหนาว
อ่านคร่าวคร่าว เป็นเรื่องง่าย ตื่นใจยาก
แ้ม้มีใคร รู้แจ้งตาม คัมภีร์ฝาก
จะซึ้งหลัก สามศาสนา ว่านัยเดียว
พระ ฯ จี้กง : ทุกคนรู้ว่าศึกษาธรรมเป็นเรื่องดี แต่ก็พาตัวให้พ้นจากวิสัยโลกีย์กันได้ยาก ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าเป็นเซียนได้แหละดี แต่จะให้ปลงใจไม่ให้มีอารมณ์รักใคร่ผูกพันก็ทำไม่ได้ แม้แต่ผู้บำเพ็ญเองก็เถอะ บางคนยังตัดเรื่อง สุรา นารี ภาชี กีฬาบัตร ลาภสักการะไม่ได้เลย ยิ่งความผูกพันกับคนรักสนิทลูกเต้าแล้ว ยิ่งตัดไม่ขาด เหล่านี้ล้วนเป็นอุปสรรคใหญ่ของผู้บำเพ็ญ
ฉงซิว : พระอาจารย์ขอรับ ฟังพระองค์พูดแล้วขัด ๆ พิกล
พระฯ จี้กง : ขัดตรงไหน
ฉงซิว : พระองค์บอกว่าพ้นจากโลกีย์วิสัยได้ยากเช่นเหล้า ... พระอาจารย์บางีก็ดื่มเหล้าไม่ใช่หรือขอรับ แม้แต่เทวสถานสงเคราะห์บางแห่ง เมื่อพระอาจารย์ประัทับทรงลงก็ยังมีการดื่มด้วยมิใช่หรือขอรับ
พระฯ จี้กง : เห็นทีสัญญลักษณ์นี้จะติดตรึงอยู่ในใจของผู้คนเสียแล้ว จะกลับตัวก็คงยาก อาจารย์เพียงแต่จะแสดงบุญญาภินิหาริย์ในบางโอกาสเท่านั้น ไม่ใช่ติดในน้ำจัณฑ์ หวังว่าุกคนคงเข้าใจ แล้วยังไงอีก
ฉงซิว : พระอาจารย์ว่าความผูกพันเป็นอุปสรรคใหญ่ของการบำเพ็ญ บัดนี้วิถีธรรมถ่ายทอดสู่ครัวเรือน ให้เอาความสัมพันธ์ของคนในครอบครัวเป็นบรรทัดฐานของการบำเพ็ญิใช่หรือ ถ้าตัดขาดควาสัมพันธ์กับคนในครอบครัวแล้วจะบรรลุได้อย่างไร
พระ ฯ จี้กง : ฉงซิวเอ๊ย อย่าชอนเข้าปลายเขาควายซิ ที่อาจารย์พูดหายถึงควาผูกพันของผู้บำเพ็ญที่อาลัยอาวรณ์ต่อลูกหลานากเกินไป ลูกหลานคนรักสนิท เป็นผลกรรมที่เกี่ยวเนื่องกันาแต่ชาติก่อน เื่อไรผลกรรนั้นจบสิ้นลง ทุกอย่างก็ควรให้เป็นไปตามนั้น เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นเรื่องธรรดาที่สุด ขณะบำเพ็ญหรือตายจาก หากผูกใจอาวรณ์ก็ยากจะบรรลุ ิใช่ให้ตัดขาดควาผูกพันในภาวะปกติ แต่ให้เป็นไปตามธรรมชาติ
ฉงซิว : ฮิ ที่จริงศิษย์ก็เข้าใจ แต่จงใจถามสักหน่อย
พระฯ จี้กง : อาจารย์ก็รู้เจตนาของเจ้า เอาละได้เวลาแล้วเราไปกันเถอะ
ฉงซิว : ไ่ม่ทราบว่าวันนี้จะท่องด่านไหนขอรับ
พระฯ จี้กง : คืนนี้เราจะไปด่านที่ห้า ของจิ่วหยังกวนคือ ด่านลายโลกีย์ ฯ
ฉงซิว : ขอรับ ศิษย์นั่งดีแล้ว เชิญพระอาจารย์ได้
พระฯ จี้กง : หลับตา ... บินได้ ... ถึงแล้ว เบื้องหน้าคือด่านมลายโลกีย์ ฯ ด่านที่ห้าของจิ่วหยังกวน นายด่านรออยู่ที่นั้นแล้ว ฉงซิวรีบเข้าไปกราบคารวะเสีย
ฉงซิว : ขอรับ ศิษย์ฉงซิวกราบคารวะพระองค์นายด่านมลายอารมณ์ คืนนี้ติดตามพระอาจารย์จี้กงมารบกวนที่นี่ ขอพระองค์ได้โปรดอภัย
พระฯ นายด่าน : คารวะเฝ้าพระพุทธะจี้กง ฉงซิวยืนขึ้นเถิดมิต้องมากจริยา เชิญเข้าไปพักข้างในสักครู่
-
จิ่วหยังกวน
สถานเคี่ยวกรำผู้บำเพ็ญ
ตอนที่ 7
ท่องด่านที่ห้า ของจิ่วหยังกวน
ด่านมลายโลกีย์
(เหลี่ยวฝันกวน)
วันที่ 2 พศจิกายน พ.ศ. 2525
พระพุทธะจี้กงประทับทรง โปรดนำด้วยโศลกความว่า :
หฤทัย ฯ คัมภีร์ ที่ทูลอ่าน สะท้านหนาว
อ่านคร่าวคร่าว เป็นเรื่องง่าย ตื่นใจยาก
แ้ม้มีใคร รู้แจ้งตาม คัมภีร์ฝาก
จะซึ้งหลัก สามศาสนา ว่านัยเดียว
ฉงซิว : สองข้างประตูห้องพระโรงมีกลอนคู่เขียนไว้ว่า
"หญิงชายปล่อยกายใจ ไ่ม่รอดด่าน ผ่านสอบจริง
ฟ้าดินยิ่งปัญญา จะปล่อยผ่านสายตา ให้เจ้าผิดไ่ได้"
พระฯ นายด่าน : เมื่อกี้ ฉงซิวพูดเกรงใจนัก เจ้ากับพระพุทธะจี้กงสนองพระโองการฯ มา หนังสือที่สร้างก็เพื่อกล่อมเกลาเหล่าคนเดิมบำเพ็ญ ความตั้งใจดีเช่นนี้ข้าพเจ้าขอคารวะด้วยความชื่นชมจริง
ด่านจิ่วหยังเดิมทีมิได้เปิดเผยโดยง่าย หากมิใช่กลียุคขณะนี้ มีหรือจะแพร่งพราย เป็นบารมีเก่าและผลบุญในชาตินี้ที่ฉงซิวเจ้าเฝ้าบำเพ็ญมานานปี ถ้าเป็นคนอื่นคงไม่เกิดบุญวาระนี้
เมื่อชีพจรของธรรมะเวียนมาถึง ตำหนักพระของเจ้าก็ต้องรับหน้าี่ที่ใหญ่กล่อมเกลาชาวโลก เบื่องบนจึงได้มอบภาระสำคัญแก่เจ้า หวังว่าเจ้าจะสำนึกในพระเจตนาของเบื้องบน กล่อมเกลาชาวโลกให้ไพศาล ซึ่งถือเป็นบลุญวาสนาของเวไนย์สัตว์ทั้งหลาย
ฉงซิว : ขอบพระคุณพระองค์นายด่านได้โปรดเอ็นดูอบรมศิษย์ ศิษย์ละอายยิ่งนัก จากนี้ไปจะยิ่งทำเต็มสติกำลัง เพื่อมิให้ผิดต่อเบื้องบนที่โปรดมอบหมาย
พระฯ จี้กง : ที่ท่านนายด่านพูดมาถูกหมด หวังว่าฉงซิวเจ้าจะจำไว้ให้ดี ดูซิว่ามีปัญหาอะไรจะทูลถามพระองค์ท่านบ้าง
ฉงซิว : ขอรับ ทูลถามว่าเหตุใดด่านนี้จึงได้ชื่อว่า "มลายโลกีย์"
พระฯ นายด่าน : ชื่อนี้หมายถึงให้หมดสิ้นความเป็นปุถุชน ผู้บำเพ็ญถึงขั้นนี้แล้ว หากยังติดนิสัยความเคยชินไม่ดี หรือผูกใจกับอะไรในทางโลก จะต้องมารับชการชำระที่ด่านนี้
ฉงซิว : เอ๊ะ ชำระยังไงจะสิ้น "โลกีย์" ขอรับ
พระฯ นายด่าน : ให้นายทะเบียนนำเจ้าไปดูเหตุการณ์จริงก็จะเข้าใจได้ดีกว่านี้
นายทะเบียน : ทูลเชิญพระพุทธะจี้กง เรียนเชิญนักบุญฉงซิวโปรดตามผู้น้อยมา
พระฯ ผู้คุม : ยินดีต้อนรับพระพุทธะจี้กงกับฉงซิวมาเยือน
พระฯ จี้กง : มิต้องคารวะ มิต้องคารวะ รีบนำเราเข้าไปข้างในเถิด
พระฯ ผู้คุม : ทูลเชิญ
ฉงซิว : อุ๊ย ทำไมในด่านมีแต่เสียงร้อง โอย โอย ดังขรม โอ้โฮ แมลงตัวใหญ่จัง มันพากันกัดต่อยผู้บำเพ็ญกันใหญ่ บนใบหน้าของบางคนเกาะอยู่ตั้งหลายตัว โอ๊ย น่ากลัวจัง ดูพวกเขากัดฟันทน ปล่อยให้มันกัดต่อย ทำไมไม่มีใครไล่เลย
-
จิ่วหยังกวน
สถานเคี่ยวกรำผู้บำเพ็ญ
ตอนที่ 7
ท่องด่านที่ห้า ของจิ่วหยังกวน
ด่านมลายโลกีย์
(เหลี่ยวฝันกวน)
วันที่ 2 พศจิกายน พ.ศ. 2525
พระพุทธะจี้กงประทับทรง โปรดนำด้วยโศลกความว่า :
หฤทัย ฯ คัมภีร์ ที่ทูลอ่าน สะท้านหนาว
อ่านคร่าวคร่าว เป็นเรื่องง่าย ตื่นใจยาก
แ้ม้มีใคร รู้แจ้งตาม คัมภีร์ฝาก
จะซึ้งหลัก สามศาสนา ว่านัยเดียว
พระฯ ผู้คุม : ในด่านมลายโลกีย์มีด่านย่อยอีกเก้าด่าน แต่ละด่านขนาดของตัวแมลงไ่ม่เท่ากัน บางตัวเหมือนยุง บางตัวใหญ่เท่านกกระจอก บางตัวใหญ่เท่านกอินทรีทีเดียว ด่านนี้เป็นด่านเล็กที่สุด แมลงตัวเล็กหน่อย ผู้มีอารมณ์ทางโลกเบาหน่อยก็จะถูกส่งมาให้แมลงที่นี่ชำระโลกีย์วิสัย ตามกฏเกณฑ์ผู้บำเพ็ญที่ถูกขัดเกลาจะตบตีหรือไล่แมลงไม่ได้ จึงเห็นว่าเขาต้องปล่อยให้กัดต่อยอย่างนั้น
ฉงซิว : ผู้บำเพ็ญเหล่านี้ มีโลกีย์วิสัยอย่างไรหรือขอรับ จึงต้องถูกขังที่นี่
พระ ฯ ผู้คุม : ข้าพเจ้าจะเรียกมาให้ถามสักสองสามคน ท่านก็จะเข้าใจ สามคนนั่น รีบมากราบพระพุทธะจี้กงและคารวะต่อนักบุญฉงซิวแห่งเทวสถานไถจงฉงเซิงของโลกมนุษย์ ให้เล่ารายละเอียดในการบำเพ็ญ และเหตุใดจึงถูกนำมาขังในด่านนี้ นักบุญฉงซิวสนองพระบัญชาพระเบื้องบนมาเก็บข้อมูลสร้างหนังสือบุญกล่อมเกลาชาวโลก
ผู้บำเพญ ก. ข. ค. : กราบคารวะพระพุทธะจี้กง คารวะนักบุญฉงซิว พระอาจารย์จี้กงช่วยด้วย ผู้น้อยล้วนเป็นศิษย์ของพระอาจารย์ทั้งนั้น
พระ ฯ จี้กง : เวรกรรมของใครต่างรับกันเอง โดยเฉพาะการจะบรรลุธรรมยิ่งจะต้องอาศัยภาวะพุทธจิตอันกลมกลืนของตนพาให้พ้นด่านต่อไป อาจารย์จะช่วยพวกเจ้าได้อย่างไร
พระ ฯ ผู้คุม : รีบเล่าความเป็นจริงได้แล้ว
ผู้บำเพ็ญ ก. : ครั้งมีชีวิตสร้างสถานบูชาพระพุทธะจี้กงไว้ให้ผู้คนกราบไหว้ เข้าใจว่าพระอาจารย์ดื่มเหล้า จึงคิดว่าศิษย์เอาบ้างคงไม่เป็นไร จึงดื่มทุกวันแต่ส่วนงานธรรมะ ศิษย์ก็ทำจริง ฉุดช่วยคนไว้ไม่น้อย ไม่คิดว่าพอตายแล้วไม่ได้เป็นเซียนทันที กลับถูกรับมาที่นี่ ถูกยุงดูดเลือดตามหน้าตามตัวทุกวัน เจ็บปวดเหลือเกิน พระอาจารย์จี้กงได้โปรดฯ ศิษย์ผิดเพราะเลียนแบบพระอาจารย์นะ
พระ ฯ จี้กง : โธ่ ที่ดีไ่ม่เลียนกลับเลียนที่ไม่ดี อาจารย์ฉุดช่วยผู้คนตามจริตและบุญกรรมของเขา ไ่ม่ใช่ดื่มเพราะอยาก ในครั้งนั้นอาจารย์แสดงบุญญาภินิหาร์ย์ เพื่อเตือนชาวโลกให้รู้ว่า "ใจเจสำคัญกว่าปากเจ" อย่าได้เข้าใจเจตนาของอาจารย์ผิดไป ถ้าเจ้าเผลอดื่มไปเล็กน้อยยังไม่น่าเกลียด ถ้าดื่มทุกวันจะไม่เป็นศิษย์ของผีเหล้าไปหรือ เป็นศิษย์ของพระอาจารย์จี้กงได้ยังไง
ฉงซิว : นอกจากดื่มเหล้าแล้ว ยังมีอะไรอีกบ้างที่ต้องมาสำนึกผิดให้กายบริสุทธิ์ ในด่านมลายโลกีย์นี้
พระฯ ผู้คุม : ไม่เพียงดื่มเหล้าเท่านั้น บุหรี่ หมากพลู ฯลฯ ล้วนเป็นข้อห้ามของผู้บำเพ็ญ ผู้บรรลุจริงอย่างสมบูรณ์ จะต้องตัดสิ่งเสพติดทั้งนั้นให้หมดไปจึงจะเพียบพร้อม
ฉงซิว : โชคดีที่ศิษย์ไม่แตะต้อง ทั้งเหล้า หมากพลู บุหรี่ ม่ายงั้นก็เสร็จละซิ
-
จิ่วหยังกวน
สถานเคี่ยวกรำผู้บำเพ็ญ
ตอนที่ 7
ท่องด่านที่ห้า ของจิ่วหยังกวน
ด่านมลายโลกีย์
(เหลี่ยวฝันกวน)
วันที่ 2 พศจิกายน พ.ศ. 2525
พระพุทธะจี้กงประทับทรง โปรดนำด้วยโศลกความว่า :
หฤทัย ฯ คัมภีร์ ที่ทูลอ่าน สะท้านหนาว
อ่านคร่าวคร่าว เป็นเรื่องง่าย ตื่นใจยาก
แ้ม้มีใคร รู้แจ้งตาม คัมภีร์ฝาก
จะซึ้งหลัก สามศาสนา ว่านัยเดียว
เรียนอาวุโสท่านนี้ ดูท่านหน้าตาใจดี เหตุใดจึงถูกขังอยู่ที่นี่ด้วย
ผู็บำเพ็ญ ข. : ฉันเป็นพุทธมามกะที่ศรัทธามากคนหนึ่ง ได้ศึกษาหลักธรรมอย่างลึกซึ้ง และได้ไปอรรถาธรรมตามที่ต่าง ๆ เสมอ ฉันบำเพ็ญมาสามสิบกว่าปี แต่พะวงลูกหลานมาก ห่วงคนโน้น ทุกข์คนนี้ คิดถึงคนนั้นอยู่ตลอดเวลา แม้ใกล้ตายก็ยังวางใจไม่ลง เขาว่ากันไว้ไม่ผิดว่า "วางอะไรก็วางได้ แต่ลูกหลานเท่านั้นที่วางไม่ลง" พอตายไปพญายมตรวจสอบเห็นว่าฉันมีผลบุญจากการบรรยายธรรม จึงส่งฉันข้ามสะพานทอง คิดว่าจะได้ขึ้นสู่สุขาวดีแล้ว ไม่คิดว่าจะถูกส่งมาที่นี่ ครั้งมีชีวิต ฉันพลิกคัมภีร์เท่าไร ก็ไม่เคยเห็นคำว่า "จิ่วหยังกวน" เพิ่งจะมาพบที่นี่ บัดนี้ฉันได้สำนึกแล้วว่า ลูกหลานคือผู้เกี่ยวกรรมกันมา ฉันกำลังทรมานอยู่ที่นี่ ลูกหลานก็แทนตัวไ่ม่ได้ ขัดเคืองใจจริง ๆ พระองค์นายด่านบอกฉันว่าฉันมีอุปสรรค เพราะอารมณ์ผูกพันจึงตัดสินให้เข้าสำนึกในด่านสามเดือน บัดนี้ ฉันเข้าใจแล้ว แมลงวันใหญ่เหล่านั้นก็ได้เลิกกัดต่อยฉันแล้วก่อนหน้านี้
ฉงซิว : โอ ยินดีด้วย แต่กำหนดโทษยังไม่หมดไม่ใช่หรือ ทำไมแมลงใหญ่จึงไม่กัดต่อยอีก
พระฯ ผู้คุม : แแมลงใหญ่เหล่านั้น เป็นนิมิตที่เกิดจากควันธูปของพระุพุทธเจ้า เขามีญาณรู้ทุกอย่าง เื่มื่อผู้บำเพ็ญปลงตกในโลกีย์วิสัย หนี้เวรหมดไป แมลงก็รู้ได้ จะไม่รังควานอีก ข้าพเจ้าก็รู้ได้เช่นกัน ก็จะถวายรายงานแก่พระองค์นายด่านให้ส่งตัวผ่านด่านไป
ฉงซิว : เป็นเช่นนี้เอง เรียนถามท่านอาจารย์ต่อไป ดูท่านก็เป็นผู้ได้รับวิถีธรรม เหตุใดจึงถูกขังอยู่ที่นี่
ผู้บำเพ็ญ ค. : อมิตาพุทธ พูดแล้วน่าละอาย เมื่อมีชีวิตอาตมาเป็นเจ้าอาวาสวัดหนึ่ง ปกครองวัดอย่างเป็นธรรม พุทธานุภาพได้บันดาลให้อุบาสก อุบาสิกา ศรัทธาขึ้นกับวัดคับคั่ง ตั้งแต่อาตมาได้ฌาน สาธุชนพากันมารับศีลมากมาย ลาภสักการะจากสานุศิษย์ก็มากขึ้นทุกวัน วันนี้นิมนต์ไปฉันที่โน้น วันนี้ที่นั่น ฯ เป็นบุญปากเหลือเกิน สานุศิษย์ก็ถือเป็นเกียรติที่นิมนต์อาตมาไปเป็นแขกพิเศษได้ จึงมีผู้นิมนต์กันไม่ขาดสาย จนกระทั่งมรณภาพ อาตมาลงนรกไปลบชื่อบัญชีผู้ตาย พญายมส่งอาตมาขึ้นสะพานทอง คิดว่าจะได้อยู่ร่วมกับพระพุทธะแล้ว ไม่คิดว่าจะถูกส่งมาที่จิ่วหยังกวน พระองค์นายด่านมลายโลกีย์บอกว่า อาตมาโลภเรื่องปากท้อง ยินดีในลาภสักการะ ความคิดนี้จะต้องกำจัดเสีย จึงตัดสินให้รับโทษอยู่สามเดือน เมื่อนึกถึงความเลวต่าง ๆ ครั้งมีชีวิต ซึ่งชอบที่จะรับการต้อนรับขับสู้จากผู้อื่น ทำให้ละอายใจนัก หวังว่าผู้บำเพ็ญทั้งหลาย จะไม่เอาเยี่ยงอย่างอาตมา เพื่อจะได้ไม่ต้องยังไม่ทันถึงเบื้องพระพุทธบาท แต่กลับมาถึงด่านมลายโลกีย์เสียก่อน
พระฯ ผู้คุม : ทั้งสามก็ได้เล่าเรื่องของตนจบลงแล้ว กราบลาพระพุทธะจี้กงและลานักบุญฉงซิวเสีย
พระฯ จี้กง : ค่ำแล้ว เรากลับพระตำหนักกกันเถิด รบกวนท่านผู้คุมช่วยขอบพระคุณพระองค์นายด่านแทนอาตมาด้วย ฉงซิวรีบขึ้นนกเผิงใหญ่ เรากลับกันเถอะ
ฉงซิว : ขอบพระคุณผู้อาวุโสทุกท่าน ศิษย์กับพระอาจารย์จี้กงขอลากลับตำหนัก
พระฯ ผู้คุม : กราบส่งพระพุทธะจี้กง และน้อมส่งนักบุญฉงซิว
ฉงซิว : ศิษย์นั่งได้ที่แล้วขอรับ
พระ ฯ จี้กง : ดี หลับตา ... บินได้ มาถึงตำหนักพระฉงเซิง วิญญาณฉงซิวกลับเข้าร่างดังเดิม
-
จิ่วหยังกวน
สถานเคี่ยวกรำผู้บำเพ็ญ
ตอนที่ 8
ดูเหตุการณ์เมื่อชาวโลก
ทิ้งกายสังขาร
วันที่ 3 พศจิกายน พ.ศ. 2525
พระพุทธะจี้กงประทับทรง โปรดนำด้วยโศลกความว่า :
ชาวโลกอย่าพูดว่า ฟ้าไม่มีนัยน์ตา
ครบถ้วนบุญญา พาขึ้นอาสน์บัว
เตือนเจ้าเฝ้าบำเพ็ญ ละเว้นความชั่ว
จะได้บัวเสียบัว อย่ามัวเสียโอกาสบุญ
พระฯ จี้กง : ฉงซิว เตรียมตัวไปกันเถอะ
ฉงซิว : พระอาจารย์ขอรับ ศิษย์เพิ่งจะบึ่งมาจากเมืองใต้ไถหนัน ขับรถเองอีกด้วย ยังเมื่อยล้าอยู่เลย
พระฯ จี้กง : อืม์ เหนื่อยนะ อาจารย์ก็บอกได้เหมือนกันว่า "ฉงซิวเอ๊ย เพื่อที่จะมาสร้างหนังสือ เมื่อกี้อาจารย์ก็เพิ่งบึ่งมาจากประเทศทางเอเซียอาคเนย์" ถ้าอย่างนี้เราจะเลิกสร้างหนังสือได้ไหม ?.
ฉงซิว : ใช่ พระอาจารย์เป็นวัชรสังขารที่ไม่มีบุบสลาย แล้วศิษย์จะเปรียบกับพระอาจารย์ได้ยังไง อย่าว่าแต่กายเนื้อเลย แม้ทิพย์ญาณก็จะสู้ไม่ไหวแล้ว
พระฯ จี้กง : เอาละ เอาละ อย่าร้องทุกข์กันเลย อาจารย์เอาพัดโบก ๆ ให้หน่อยก็ไปไหวแล้ว หนึ่ง สอง สาม เป็นไง
ฉงซิว : โฮ้ย สบายจังเลย พระอาจารย์โบกอีกหน่อยได้ไหมขอรับ
พระฯ จี้กง : ฮึ อย่าโลภไม่รู้จักพอซิ โบกอีกจะเกินแรงอัด ค่ำแล้ว ไปกันเถอะ
ฉงซิว : ขอรับ ศิษย์นั่งเหมาะแล้ว คืนนี้เราจะไปท่องด่านไหนหรือขอรับพระอาจารย์
พระฯ จี้กง : คืนนี้เราจะไปท่องจิ่วหยังกวน อาจารย์จะนำเจ้าไปดูเหตุการณ์ของคนที่กำลังจะทิ้งกายสังขาร หลับตา เตรียมตัว บินได้ ... ถึงแล้ว
ฉงซิว : เอ๊ะ นี่มันโรงพยาบาลไม่ใช่หรือขอรับ ทำไมเราจึงมาที่นี่กัน
พระฯ จี้กง : ไม่ต้องพูดมาก เข้าไปข้างในก็รู้เอง
ฉงซิว : พระอาจารย์ขอรับ เราล่วงล้ำเข้าไปในห้องคนไข้อย่างนี้จะถูกเขาไล่ออกมาหรือเปล่า
พระฯ จี้กง : เจ้าลืมไปแล้วละซิ ขณะนี้เรากำลังท่องไปด้วยวิญญาณทิพย์ ชาวโลกไม่เห็นเราหรอก
ฉงซิว : อ๋อ ใช่แล้ว เอ๊ะ แปลก องค์เจ้าที่ใหญ่ แป๊ะกง และนายทหารเอกทั้งสองของยมบาลประจำเมืองมาที่นี่ทำไม
พระฯ จี้กง : เดี๋ยวเจ้าก็รู้ เราเข้าไปดูกัน
เจ้าที่ใหญ่ : กราบคารวะพระพุทธะจี้กง เอ้อ ... คนนี้เป็นใคร
พระฯ จี้กง : เขาคือ มือทรงเอกของเทวสถานไถจงฉงเซิง สังกัดเบื้องบนทักษิณาลัย ฉงซิวคารวะท่านเจ้าที่ใหญ่เสีย
ฉงซิว : ศิษย์ฉงซิวคารวะท่านผู้เฒ่าเจ้าที่ใหญ่
เจ้าที่ใหญ่ : อย่าได้เกรงใจ ว่าแต่ว่า คืนนี้นพระพุทธะจี้กงนำฉงซิวมาที่นี่ด้วยเรื่องอันใด
พระฯ จี้กง : ขณะเทวสถานไถจงฉงเซิง กำลังรับสนองพระบัญชาสร้างนักสือบุญ อาตมาพาฉงซิวมาคืนนี้เพื่อดูเหตุการณ์ที่ท่านนำวิญญาณคนไปสู่ยมโลก จะได้เรียบเรียงไว้ในบทสำคัญ
เจ้าที่ใหญ่ : อ้อ เช่นนี้นั่นเอง
ฉงซิว : เรียนถามท่านผู้เฒ่า ฯ สมุดที่ท่านถืออยู่มีประโยชน์อย่างไรหรือ
เจ้าที่ใหญ่ : เป็นสมุดบันทึก วัน เดือน ปีตายของชาวโลก เราผู้เฒ่าจะต้องมาตรวจสอบความถูกต้อง อีกทั้งนำวิญญาณของเขาไปรายงานตัวยังศาลยมบาลประจำเมือง
ฉงซิว : ถ้าเช่นนั้น บันทึกวัน เดือน ปีตายของทุกคนก็อยู่ในมือท่านผู้เฒ่าน่ะซิ จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลยหรือ
เจ้าที่ใหญ่ : เวลาตายที่เราผู้เฒ่าควบคุมอยู่ ล้วนบันทึกอยู่ในสมุดนี้ น้อยนักที่จะเปลี่ยนแปลง แต่ก็ไม่ใช่ไม่เปลี่ยนแปลงตลอดไป
ฉงซิว : เอ๊ะ คนเช่นไรจึงจะเปลี่ยนแปลงเวลาตายได้ขอรับ
-
จิ่วหยังกวน
สถานเคี่ยวกรำผู้บำเพ็ญ
ตอนที่ 8
ดูเหตุการณ์เมื่อชาวโลก
ทิ้งกายสังขาร
วันที่ 3 พศจิกายน พ.ศ. 2525
พระพุทธะจี้กงประทับทรง โปรดนำด้วยโศลกความว่า :
ชาวโลกอย่าพูดว่า ฟ้าไม่มีนัยน์ตา
ครบถ้วนบุญญา พาขึ้นอาสน์บัว
เตือนเจ้าเฝ้าบำเพ็ญ ละเว้นความชั่ว
จะได้บัวเสียบัว อย่ามัวเสียโอกาสบุญ
เจ้าที่ใหญ่ : 1. คนบำเพ็ญที่สร้างบุญกุศลจนเกินกว่าหนี้เวรกรรมของตนในชาติก่อน กำหนดวันตายของคนเช่นนี้จะไม่มีอยู่ในมือของเรา
2. คนที่สร้างบุญด้วยเหตุบังเอิญ ซึ่งมิได้จงใจมาก่อน กำหนดวันตายของผู้นั้นก็ได้รับการเปลี่ยนแปลง ซึ่งเป็นรางวัลส่งเสริมความดีงามจากเบื้องบน
3. คนที่ชั่วชีวิตประกอบแต่กรรมดี เช่นปล่อยชีวิตสัตว์ ช่วยเหลือคนยากจน ร่วมพิมพ์หนังสือธรรมะ ช่วยคนที่ประสบเคราะห์กรรม บริจาคโลงศพ ฯลฯ เมื่อบุญกุศลบริบูรณ์ ก็จะยืดอายุได้
4. ขณะเจ็บป่วย คนในครอบครัว หรือตนเองยอมขอขมากรรม สำนึกในความผิดที่แล้วมาอีกทั้งตั้งปณิธานใหญ่ต่อไป หากอธิษฐาน ภาวนาโดยศรัทธา ส่วนมากจะได้รับความเมตตาประทานอนุญาตจากเบื้องบน ได้เปลี่ยนกำหนดวันตาย เพิ่มอายุต่อไป
ฉงซิว : เป็นอย่างนี้เอง ขอบพระคุณท่านผู้เฒ่าเจ้าที่ใหญ่ ได้โปรดอธิบายรายละเอียด
เจ้าที่ใหญ่ : โอ มีคนต้องการให้เราผู้เฒ่านำทางแล้ว ลาก่อนละ
พระฯ จี้กง : ฉงซิว เรารีบตามเข้าไปดูกัน
ฉงซิว : ใช่แล้ว ในห้องผู้ป่วยมีคนใกล้จะตายคนหนึ่ง ท่านเจ้าที่ใหญ่ยืนรออยู่ข้างตัวเขา ในห้องมีคนสี่คน คงจะเป็นลูกสาวของผู้ป่วย ทุกคนในบ้านหม่นหมอง หมอคนหนึ่งสวมเสื้อผ้าชุดสีขาว กำลังกดฝ่ามือลงบนอกของเขา คงจะช่วยกระตุ้นหัวใจ แปลกแท้ ท่านเจ้าที่ใหญ่เพียงแต่ตบไหล่ผู้ป่วยคนนั้นเบา ๆ วิญญาณของเขาก็ลุกขึ้นจากร่างเดินตามออกไป หมอส่ายหน้าเหมือนบอกว่า "ช่วยไม่ได้"
เจ้าที่ใหญ่ : กราบลาพระพุทธะจี้กง ผู้น้อยจะต้องรีบนำวิญญาณของคนนี้ไปรายงานตัวที่ศาลยมบาลประจำเมือง
พระฯ จี้กง : ไปเถอะ เชิญท่านทำงานของท่านไป ฉงซิวเราขึ้นไปดูชั้นบนอีกชั้น
ฉงซิว : เบื้องหน้ามีขุนพลฟั่นกับขุนพลเซี่ย ท่านมาทำอะไรที่นี่
ขุนพลฟั่น : คารวะพระพุทธะจี้กง
ขุนพลเซี่ย : นักบุญฉงซิว ท่านก็มาด้วยหรือ คืนนี้มากับพระฯ จี้กง คงจะมาทำงานสร้างหนังสือบุญกระมัง
ฉงซิว : แปลก ท่านขุนพลทั้งสองรู้จักศิษย์ได้ยังไง ดูเหมือนยังไม่เคยพบหน้ากันมาก่อน
ขุนพลฟั่น : นักบุญฉงซิว ช่างลืมง่ายจริง เจ้ามาที่ศาลเดือนละครั้งไม่ใช่หรือ ทำไมว่าไม่เคยพบหน้ากัน
ฉงซิว : อ้อ ท่านหมายถึงอย่างนั้น แต่ทิพย์ญาณพบทิพย์ญาณอย่างนี้เพิ่งจะเป็นครั้งแรก
ขุนพลเซี่ย : ทูลถามพระฯ จี้กง คืนนี้มาที่นี่เพื่อการใดหรือ มาเพื่อสร้างหนังสือหรืออย่างไร
พระฯ จี้กง : เป็นเพราะทางเทวสถานไถจงฉงเซิงรับสนองพระโองการให้สร้างหนังสือบันทึกท่องด่านจิ่วหยัง คืนนี้อาตมาจึงตั้งใจนำฉงซิวมาดูเหตุการณ์ที่ท่านมาคร่าวิญญาณคนที่นี่ เพื่อเรียบเรียงไว้เป็นบทสำคัญ
ขุนพลเซี่ย : ถ้าเช่นนั้นก็ทูลเชิญพระฯ จี้กง ขอเชิญนักบุญฉงซิว ตามข้าพเจ้าทั้งสองมา ผู้ป่วยในห้องนี้ใกล้จะถึงเวลาตายแล้ว
ฉงซิว : ผู้ป่วยบนเตียงเป็นหญิง ข้าง ๆ ก็มีคนสามคน คงจะเป็นลูกหลาน โอ ขุนพลฟั่นเอาโซ่เหล็กคล้องลงไปบนคอของผู้หญิงคนนั้น วิญญาณของนางถูกคล้องออกจากร่างตามขุนพลทั้งสองไปทันที ร่างบนเตียงขาดใจตายในเวลาเดียวกัน ลูกหลานที่เฝ้าอยู่ร้องไห้เหมือนใจจะขาด ทำให้สงสารจับใจ
ขุนพลทั้งสอง : กราบลาพระพุทธะจี้กง ลานักบุญฉงซิว ผู้น้อยมีภาระ ไม่อาจอยู่นาน จะนำวิญญาณของหญิงผู้นี้กลับไปรายงานตัว ณ ศาลยมบาลประจำเมือง
พระฯ จี้กง : ไปเถอะ ฉงซิว เราก็รีบไปกันเถอะ
ฉงซิว : ทำไมพระอาจารย์ต้องรีบร้อนอย่างนี้
พระฯ จี้กง : คืนนี้เราจะต้องทำเวลาท่องถึงสามด่านเชียว นกเผิงใหญ่มาถึงแล้วขึ้นไปนั่งเร็ว
ฉงซิว : ขอรับ ศิษย์นั่งเรียบร้อยแล้ว
พระฯ จี้กง : หลับตา ... บินได้ ... ถึงแล้ว ... ลงมา
ฉงซิว : อืม์ บ้านนี้คงเป็นบ้านเศรษฐี แอ๊ะ แปลกทำไมมีเกี้ยว (เสลี่ยง) สีแดงหลังใหญ่อยู่ที่นี่ ยังมีวงมโหรีดีดสีตีเป่าอย่างคนโบราณ มีเทพธิดา เทพบุตรองค์น้อยถือธง (แถบตรง) นำขบวนอีกด้วย
พระฯ จี้กง : เขาเตรียมมารับวิญญาณ คนบุญมีคุณธรรมคนหนึ่ง
ยมทูต : กราบเฝ้าพระพุทธะจี้กง และท่านผู้นี้ ...
-
จิ่วหยังกวน
สถานเคี่ยวกรำผู้บำเพ็ญ
ตอนที่ 8
ดูเหตุการณ์เมื่อชาวโลก
ทิ้งกายสังขาร
วันที่ 3 พศจิกายน พ.ศ. 2525
พระพุทธะจี้กงประทับทรง โปรดนำด้วยโศลกความว่า :
ชาวโลกอย่าพูดว่า ฟ้าไม่มีนัยน์ตา
ครบถ้วนบุญญา พาขึ้นอาสน์บัว
เตือนเจ้าเฝ้าบำเพ็ญ ละเว้นความชั่ว
จะได้บัวเสียบัว อย่ามัวเสียโอกาสบุญ
พระฯ จี้กง : เขาคือ มือทรงเอกเทวสถานไถจงฉงเซิง ได้รับสนองพระโองการสร้างหนังสือบันทึกท่องจิ่วหยังกวน คืนนี้อาตมาตั้งใจนำเขามาชมการนำวิญญาณคนไปของพวกท่าน
ยมทูต : อย่างนี้นั่นเอง คารวะท่านนักบุญฉงซิว
ฉงซิว : มิกล้า เรียนถามท่านยมทูตทำไมจึงมีวงปี่โบราณอยู่ที่นี่ด้วย
ยมทูต : คนบุญของบ้านนี้ใกล้จะตาย ข้าพเจ้าจึงเตรียมการมาต้อนรับเขาไปรายงานตัวที่ศาลยมบาลประจำเมือง ได้เวลาแล้ว ทูลเชิญพระฯ จี้กงเชิญนักบุญฉงซิวตามข้าพเจ้ามา
ฉงซิว : ในห้องนี้มีคนอยู่เต็ม ดูเหมือนกำลังสวดมนต์กันอยู่ บรรยายกาศน่ายำเกรง คนที่นอนอยู่บนเตียงมีสีหน้าสงบ พวกที่ยืนอยู่ข้างเตียงคงจะเป็นลูกหลาน แม้จะโศกเศร้าอาลัย แต่ก็ฝืนใจช่วยสวดมนต์ เห็นยมทูตและตัวคนบนเตียงเบา ๆ วิญญาณเขาผู้นั้นก็ออกจากร่างยืนขึ้นทักทายกับยมทูตแล้วเดินตามไป ยมทูตเตรียมเชิญให้เขานั่งเกี้ยว (เสลี่ยง) ร่างที่นอนบนเตียงมีอาการขาดใจไปในเวลาเดียวกัน ไปมือเปล่าไม่ได้เอาอะไรติดมือไปเลย เสียงสวดมนต์ในห้องดังยิ่งขึ้น น่าประทับใจมาก เสียงปี่นำขบวนข้างนอกดังขึ้นแล้ว พระอาจารย์ขอรับ ทำนองเพลงที่ปี่บรรเลงนั้น (ปี่นั้นมีเสียงแปดระดับ) ในโลกไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย
พระฯ จี้กง : ชาวโลกไม่มีภาวะจิตเป็นทิพย์ จึงไม่ได้ยิน แต่สำหรับคนที่ได้อภิญญาหูทิพย์บางครั้ง เช่นกับเมื่อกี้เขาก็ได้ยินได้เห็นเหมือนกัน ฉงซิว คืนนี้เห็นเหตุการณ์คนตายแล้วคิดยังไงบ้าง
ฉงซิว : ศิษย์ก้กำลังสงสัย อยากจะขอให้พระอาจารย์โปรดอธิบายอยู่พอดีว่า คนที่หนึ่งตาย ทำไมท่านผู้เฒ่าเจ้าที่ใหญ่มานำวิญญาณ คนที่สองทำไมจึงเป็นท่านขุนพลทั้งสองใช้โซ่เหล็กมาคล้องคอฉุดไป และเมื่อกี้ กลับมีพระกุมาร กุมารี อีกทั้งวงมโหรีมารับตัวไป
พระฯ จี้กง : นี่คือ จุดประสงค์ที่อาจารย์พาเจ้ามาดูในคืนนี้
คนแรกที่ เจ้าที่ใหญ่มานำพาเป็นคนสำรวมตนดี ไม่มีบาป แต่ก็ไม่มีบุญ ท่านเจ้าที่ผู้ปกครองโดยตรงของเขาจึงมารับตัวไป
คนที่สองผู้หญิง เมื่อมีชีวิตไม่เชื่อเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ใจบาปหยาบช้าเสมอ ทั้งยังจงใจล้มแชร์เขาหลายคน เงินทองที่เขาสะสมมาด้วยหยาดเหงื่อถูกหลอกลวงหมด สุดท้ายตัวเองก็ไม่พ้นความตาย และต้องถูกลากคอไปด้วยโซ่เหล็ก และยังต้องรับทุกข์หนักอีก
คนที่สาม เป็นนักบุญคนดี ชอบทำบุญให้ทาน ทั้งแรงงานแรงเงิน ไม่ว่าสาธารณประโยชน์อะไร อีกทั้งรับภาระเป็นกรรมการของศาลเจ้าแห่งหนึ่งเงินที่ทำบุญไปล้วนเกิดจากความศรัทธาจริงใจ ไม่เคยแก่งแย่งชิงดีกับใคร เดินตามทางพระอริยอย่างมั่นคง เมื่อตายจึงได้รับการต้อนรับเป็นพิเศษอย่างนั้น
ฉงซิว : เป็นอย่างนี้นั่นเอง เฮ้อ สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็นจริง ๆ อ้อ พระอาจารย์ขอรับ คนเหล่านี้ทำไมจึงถูกพาไปศาลยมบาลประจำเมือง
พระฯ จี้กง : ที่ศาลมีทะเบียนบ้านของคนทั้งหลายอยู่ พอตายลงจึงต้องนำไปที่นั่น เพื่อขอถอนชื่อในบัญชีคนเป็นในโลก เมื่อตรวจสอบถูกต้องแ้ล้ว จึงนำไปถออนชื่อคนตายในยมโลก สุดท้ายก็จะส่งไปรับตัดสินความจากพญายมตามบุญกรรมของตน
ฉงซิว : แปลกแท้ ๆ ดูแล้วการกระทำทุกสิ่งทุกอย่างของคนในโลกไม่พ้นสายตาของฟ้าเบื้องบนได้เลยใช่ไหมขอรับ
พระฯ จี้กง : ใช่ จึงขอเตือนชาวโลกอย่าคิดว่าอาจจะโชคดีไม่มีอะไร ใครบำเพ็ญ ใครก็ได้ หวังว่าผู้บำเพ็ญยิ่งจะต้องฉวยโอกาสดีนี้ให้มั่น จิ่วหยังกวนไม่น่ากลัว เพียงแต่พยายามเดินตามพระโอวาทสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ดีก็จะบรรลุได้ คืนนี้ค่ำมากแล้ว ฉงซิวเรากลับตำหนักพระกันเถอะ
ฉงซิว : ขอรับ ศิษย์นั่งดีแล้ว พระอาจารย์ได้โปรดออกเดินทางได้
พระฯ จี้กง : เอาละ หลับตา ... นกเผิงใหญ่ ... บินได้ ... ถึงฉงเซิงถังแล้ว วิญญาณของฉงซิวกลับเข้าร่างดังเดิม
-
จิ่วหยังกวน
สถานเคี่ยวกรำผู้บำเพ็ญ
ตอนที่ 9
ท่องด่านที่หก ของจิ่วหยังกวน
ด่านแต่งโฉม
(กู้หยงกวน)
วันที่ 4 พศจิกายน พ.ศ. 2525
พระพุทธะจี้กงประทับทรง โปรดนำด้วยโศลกความว่า :
ปลงให้เห็น เป็นชั่วร้าย ให้อายตนะหก
จิตหมดจด ปลดอบาย ไปวิมุติ
ติดรูปลักษณ์ ชักนำไว้ ไปไมไ่หลุด
ทุกคำพูด ฉุดช่วยพร่ำ ย้ำบำเพ็ญ
พระฯ จี้กง : เวลาท่องด่านจิ่วหยังสำหรับคืนนี้มาถึงแล้ว ฉงซิวเตรียมตัวไปกันเถอะ
ฉงซิว : ขอรับ คืนนี้เราจะไปท่องที่ไหนกันหรือขอรับพระอาจารย์
พระฯ จี้กง : คืนนี้เราจะไป "ด่านแต่งโฉม" ด่านที่หกของจิ่วหยังกวน
ฉงซิว : "ด่านแต่งโฉม" ชื่อแปลกไม่รู้หมายความว่าอะไร
พระฯ จี้กง : อีกประเดี๋ยวก็รู้ รีบนั่งให้ดีเถอะ
ฉงซิว : ขอรับ ศิษย์นั่งดีแล้ว เชิญพระอาจารย์ได้
พระฯ จี้กง : หลับตา ... บินได้ ... ถึงแล้ว เบื้องหน้าเป็นด่านที่หกของจิ่วหยังกวน นายด่านกับผู้ติดตามยืนรอเราอยู่ที่นั่นแล้ว
พระฯ ยายด่าน : กราบคารวะพระฯ จี้กง ขอต้อนรับนักบุญฉงซิวมาเยือน
ฉงซิว : ศิษย์ฉงซิวกราบคารวะพระองค์นายด่าน พร้อมทั้งเซียนผู้อาวุโสทุกพระองค์ เพื่อหาข้อมูลสร้างหนังสือ ขอได้โปรดชี้แนะ
พระฯ นายด่าน : ฉงซิวเกรงใจเกินไป เจ้ากับพระพุทธจี้กงมาตามพระโองการฯ เราจะต้องช่วยเหลือเต็มที่ ทูลเชิญพระอาจารย์ เชิญฉงซิวเข้าพักผ่อนข้างในสักครู่
ฉงซิว : ขอรับ ขอบพระทัยพระองค์นายด่าน สองข้างประตูพระตำหนักมีกลอนคู่ ความว่า
"เตือนเจ้าเหล่าชายหญิง เร็วไว แก้ไขผิดพลาด
อย่าได้ประมาท เราคาดโทษ หรือโปรดชม"
พระฯ นายด่าน : ทูลเชิญพระพุทธะจี้กงและเชิญฉงซิวโปรดนั่ง พนักงานข้างใน ถวายถ้วยน้ำชา
พระฯ จี้กง : ฉงซิว เจ้ามีปัญหาอะไร ฉวยโอกาสทูลถามพระองค์นายด่านเสีย
-
จิ่วหยังกวน
สถานเคี่ยวกรำผู้บำเพ็ญ
ตอนที่ 9
ท่องด่านที่หก ของจิ่วหยังกวน
ด่านแต่งโฉม
(กู้หยงกวน)
วันที่ 4 พศจิกายน พ.ศ. 2525
พระพุทธะจี้กงประทับทรง โปรดนำด้วยโศลกความว่า :
ปลงให้เห็น เป็นชั่วร้าย ให้อายตนะหก
จิตหมดจด ปลดอบาย ไปวิมุติ
ติดรูปลักษณ์ ชักนำไว้ ไปไมไ่หลุด
ทุกคำพูด ฉุดช่วยพร่ำ ย้ำบำเพ็ญ
ฉงซิว : ขอรับ ทูลถามพระองค์ว่า เหตุใดด่านนี้จึงได้ชื่อว่า "แต่งโฉม"
พระฯ นายด่าน : ผู้บำเพ็ญเมื่อมีชีวิตอยู่ หากปฏิบัติธรรมชอบเอาหน้า หรือไม่สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเบื้องบน ไม่เห็นค่าพืชพันธ์ธัญญาหาร หรือชอบแต่งตัวเฉิดฉาย ยิ่งกว่านั้นคือ ไม่เคารพปราชญ์เมธี ทิ้งขว้างเหยียบย่ำข้อเขียนของท่าน ด่านนี้ก็จะจัดการแต่งโฉมให้โดยไม่คิดค่าป่วยการ
ฉงซิว : "ด่านแต่งโฉม" จะทำให้ผู้บำเพ็ญสำนึกแก้ไขได้อย่างไรขอรับ
พระฯ นายด่าน : ภายในด่านของเรา ยังมีอีกเก้าด่านย่อย แต่ละด่านีวิธีการต่างระดับกัน
ด่านที่ 1 -2 - 3 ให้ฝนพรำลงร่างผู้บำเพ็ญ
ด่านที่ 4 - 5 -6 ให้ฝนกระหน่ำใหญ่
ด่านที่ 7 - 8 - 9 ให้น้ำโคลนรดราด
นี่เป็นระดับการแต่งโฉมของด่านจิ่วหยัง ตัวอย่าง เช่น ผู้บำเพ็ญที่ชอบสุรุ่ยสุร่าย ชอบแต่งหน้าฉูดฉาด เลือกกินอาหารชั้นสูง รังเกียจอาหารไม่มีระดับ หรือก่อนไหว้พระไม่ล้างหน้า หวีผม จะต้องเอามาแต่งโฉมใหม่ที่ด่านนี้ทั้งนั้น
ฉงซิว : โอ้โฮ ผู้บำเพ็ญจะต้องรอบคอบ ระมัดระวังทุกเรื่องเชียว ม่ายงั้นพลาดนิดเดียวมีหวังได้ชิมลางทุกด่านเลย
พระฯ จี้กง : ขอรบกวนท่านนายด่านได้โปรดบัญชาให้นำไปหาข้อมูลในสถานที่จริงด้วย
พระฯ นายด่าน : น้อมรับ ให้นายทหารนำพระพุทธะจี้กงกับฉงซิวไปยังด่านย่อยด่านแรกของด่านนี้
นายทะเบียน : ผู้น้อยน้อมรับ ทูลเชิญพระฯ จี้กง และขอเชิญนักบุญฉงซิวตามผู้น้อยมา
ฉงซิว : พระอาจารย์ขอรับ เรามาหาข้อมูล ทำไมไม่ไปดูทุกด่านย่อยล่ะ ดูแต่ด่านย่อยด่านเดียวของด่านใหญ่ไม่น้อยไปหรือขอรับ
พระฯ จี้กง : อันที่จริง จิ่วหยังกวน ก็ิมิให้เปิดเผยแก่ชาวโลกง่าย ๆ อยู่แล้ว หากมิใช่เบื้องบนเมตตา แม้แต่ด่านย่อยด่านเดียวก็ไม่มีทางได้เห็น การสร้างหนังสือเล่มนี้ก็มิใช่จะนำเอาเรื่องราวของผู้บำเพ็ญที่ถูกลงโทษอยู่ในแต่ละด่านมาเปิดเผยแก่ชาวโลก หลักใหญ่เพียงต้องการให้ผู้บำเพ็ญรู้ว่ามีจิ่วหยังกวนอยู่ ณ ที่นี้ และเพื่อให้ผู้บำเพ็ญเข้าใจว่า การจะบรรลุจริงจะต้องลบล้างอุปนิสัยความเคยชิน ไม่ดี ของปุถุชนให้หมด ผู้บำเพ็ญทั้งนั้นล้วนมีรากฐานบุญมาก่อน ท่องด่านย่อยเพียงด่านเดียวก็จะรู้ระดับธรรมแล้ว ถ้าท่องทุกด่านย่อย หลายปีก็ท่องไม่ทั่ว ที่เราท่องกันอยู่นี้ เลือกเฉพาะที่เป็นตัวอย่างของทุกด่านเท่านั้น
ฉงซิว : อย่างนี้นั่นเอง ศิษย์เข้าใจแล้ว
นายทะเบียน : ถึงแล้ว เบื้องหน้าก็คือ ด่านย่อยของด่านแต่งโฉม
พระฯ ผู้คุม : ยินดีต้อนรับพระพุทธะจี้กงกับนักบุญฉงซิว ผู้น้อยเฝ้ารับอยู่ที่นี่นานแล้ว
พระฯ จี้กง : ไม่ต้องคารวะหรอก รีบพาเราเข้าไปชมเถิด
พระฯ ผู้คุม : น้อมรับพระบัญชา ได้โปรดตามข้าพเจ้ามา
ฉงซิว : โอ้โฮ ผู้บำเพ็ญเยอะแยะ นั่งอยู่กับพื้น เหนือศรีษะพวกเขาไม่รู้ฝนพรำลงมาจากไหนไม่ขาดสาย ตากฝนนาน ๆ กันอย่างนี้ ไม่เป็นหวัดแย่หรือขอรับ
พระฯ ผู้คุม : ข้าพเจ้าจะเรียกมาให้คำตอบสักสองสามคน สามคนนั่นรีบมากราบพระพุทธะจี้กง และคารวะท่านนักบุญฉงซิว มือทรงเอกของเทวสถานไถจงฉงเซิงเสีย ทั้งสองท่านรับสนองพระโองการให้มาหาข้อมูลสร้างหนังือบุญ รีบเล่าเรื่องราวเมื่อครั้งบำเพ็ญอยู่ในโลกว่าเหตุใด จึงต้องถูกขังอยู่ที่นี่โดยละเอียดด้วย
-
จิ่วหยังกวน
สถานเคี่ยวกรำผู้บำเพ็ญ
ตอนที่ 9
ท่องด่านที่หก ของจิ่วหยังกวน
ด่านแต่งโฉม
(กู้หยงกวน)
วันที่ 4 พศจิกายน พ.ศ. 2525
พระพุทธะจี้กงประทับทรง โปรดนำด้วยโศลกความว่า :
ปลงให้เห็น เป็นชั่วร้าย ให้อายตนะหก
จิตหมดจด ปลดอบาย ไปวิมุติ
ติดรูปลักษณ์ ชักนำไว้ ไปไมไ่หลุด
ทุกคำพูด ฉุดช่วยพร่ำ ย้ำบำเพ็ญ
ผู้บำเพ็ญ ก. ข. ค. : กราบคารวะพระพุทธะจี้กงและนักบุญฉงซิว
ฉงซิว : เชิญอาวุโสทุกท่านตามสบายเถิด พระอาจารย์ขอรับ ทั้งสามคนนี้ตากฝนจนเปียกโชกหนาวสั่น พระอาจารย์จะโปรดเมตตา ให้พวกเขาได้อบอุ่นสักครู่ได้ไหมขอรับ
พระฯ จี้กง : ได้ เพื่อเห็นแก่การสร้างหนังสือ เอ้า, ดูบุญญฤทธิ์ของอาจารย์ โอม ... เสร็จแล้ว
ผู้บำเพ็ญ ก. ข. ค. : ขอบพระคุณพระพุทธะจี้กง ได้โปรดเมตตา เราทั้งสามรู้สึกอบอุ่นขึ้นทันที ไม่หนาวอีกแล้ว
ฉงซิว : พระอาจารย์ขอรับ พัดในมือของพระองค์ ช่างวิเศษแท้ ถ้าต้องการเย็นก็เย็นทันที จะให้ร้อนก็อุ่นทันที พระบุญญาภินิหาริย์กว้างไกลแท้
พระฯ จี้กง : อย่ามัวแต่ชื่นชม สัมภาษณ์ได้แล้ว
ฉงซิว : ขอรับ เรียนถามอาจารย์ท่านนี้ เหตุใดจึงถูกขังอยู่ที่นี่
ผู้บำเพ็ญ ก. : ครั้งมีชีวิต ฉันบำเพ็ญทางหนทางตรง บำเพ็ญตนฉุดช่วยผู้คนไม่ย่อท้อ รวมความแล้วไม่มีอะไรบกพร่อง ฉันเป็นคนตรง งานบุญ งานเพื่อสาธารณชนไม่เคยรองจากใคร ด้านการบำเพ็ญยิ่งปฏิบัติจริงจัง แต่ด้วยจุดด่างเพียงนิดเดียว จึงถูกคุมขังอยู่ที่นี่
ฉงซิว : ท่านผู้อาวุโส มีข้อบกพร่องจุดเล็ก ๆ อย่างไรหรือ
ผู้บำเพ็ญ ก. : เมื่อครั้งมีชีวิต ไม่เห็นค่าของหนังสือที่ผู้ทรงคุณวุฒิได้เขียนไว้ เวลาจะเช็ดโต๊ะก็เอามาใช้เช็ดแทนผ้าขี้ริ้ว ใช้รองหนุนสิ่งต่าง ๆ เหยียบย่ำทำลายกระดาษที่จารึกอักษร พอตายฉันก็ถูกพระกุมาร กุมารี รับลงไปถอนทะเบียนชื่อคนตายในนรก เดิมทีคิดว่าตนเองจะได้บรรลุแดนวิมุติ ไม่คิดว่าจะถูกรับตัวมาที่ด่านแต่งโฉม พระองค์นายด่านบอกว่า ฉันไม่เคารพหยาดเลือดจากแรงใจ (มันสมอง) ของอริยเมธี ใช้กระดาษที่จารึกอักษรอย่างต่ำช้า จึงถูกตัดสินให้สำนึกผิดอยู่ที่นี่ สี่สิบเก้าวัน ต้องนั่งตากฝนอยู่ในด่านทุกวันตลอดเวลา
บัดนี้ คิดได้แล้วว่า เมื่อก่อนเหลวไหล ไม่ควรเลย หวังว่าผู้บำเพ็ญในโลกจะได้เคารพรักในคุณค่าของกระดาษและอักษร และยิ่งจะต้องตักเตือนคนทั่าไปให้รู้สึกเสียดาย มิฉะนั้นวันข้างหน้า ก็จะต้องมารับโทษในด่านนี้เหมือนกัน ถึงเวลานั้นก็จะสายเสียแล้ว
ฉงซิว : ขอบพระคุณผู้อาวุโสที่ให้ความกระจ่าง เชื่อว่าเสียงจากใจของท่านจะทำให้ผู้บำเพ็ญรีบแก้ไขตัวเอง เรียนถามอาวุโสหญิงท่านนี้ เหตุใดขึงถูกขังอยู่ที่นี่
ผู้บำเพ็ญ ข. : เล่าไม่ถูก เมื่อครั้งมีชีวิต ฉันได้ถวายตัวเป็นพระบุตรีของพระแม่สระมรกต เอี่ยวตี๊กิมบ้อ หรือ เอี๋ยวฉือจินหมู่บื้องบน ฉันกราบไหว้ด้วยความศรัทธายิ่ง กล่อมเกลาผู้คนให้กลับคืนสู่พระแม่ ฯ อยู่ชั่วชีวิต ปฏิบัติธรรมตามสัมมาวิถีและตั้งใจศึกษาธรรมะ แต่ด้วยจิตใจฟุ้งเฟ้ออยู่นิดเดียว วันนี้จึงต้องตกลงมาอยู่ในด่านแต่งโฉมนี้ ไม่คุ้มกันเลย
ฉงซิว : ผู้อาวุโสหญิงผิดข้อไหนล่ะ
ผู้บำเพ็ญ ข. : จะว่าไป ฉันบำเพ็ญจริงจัง เพียงแต่ชอบแต่งตัวหรูหราสักหน่อย ทุกครั้งที่เห็นเสื้อผ้าสวยทัยสมัยจะพอใจจ่ายซื้อ เพื่อให้ผู้บำเพ็ญด้วยกันชมว่า ฉันแต่งตัวสวย ตอนที่ตาย ฉันคิดว่าพระแม่สระมรกตจะส่งใครมารับฉันไป ไม่คิดว่าจะถูกนำตัวมาที่นี่ พระองค์นายด่านบอกว่า "ผู้บำเพ็ญพึงดำเนินชีวิตอย่างสมถะ เสื้อผ้าหรูหราล้วนเป็นของฟุ่มเฟือยฉาบฉวย คนที่รักความฉาบฉวยอย่างนี้ จะกลับไปเฝ้าพระแม่องค์ธรรมได้อย่างไร จึงได้ตัดสินให้ฉันสำนึกผิดอยู่ที่นี่สี่สิบเก้าวัน" บัดนี้กว่าจะสำนึกถึงความฟุ้งเฟ้อ ชอบหรูหรา ที่ผ่านมาก็สายเสียแล้ว หวังว่า พี่น้องผู้บำเพ็ญในโลกอย่าเอาอย่างฉันเป็นอันขาด เราแต่งกายให้สุภาพเรียบร้อยกันเท่านั้นก้พอแล้ว
ฉงซิว : ขอบพระคุณ เชื่อว่าคำเชิญชวนของท่านคงได้รับการตอบสนองอย่างแน่นอน เรียนถามอาวุโสท่านต่อไป เหตุใดจึงถูกขังอยู่ที่นี่
ผู้บำเพ็ญ ค. : ฉันเป็นนักบวชในนิกายไตรวิสุทธิ์ (ซันชิง) เมื่อมีอายุอยู่ได้บำเพ็ญโดยศรัทธา มีลูกศิษย์ลูกหามากมาย ทุกวันอาทิตย์สานุศิษย์จะพากันมาฟังการบรรยายธรรมจากฉัน เมื่อมีศิษย์มาก สักการะลาภก็ยิ่งมาก มีทั้งข้าวสาร ของกิน ของใช้นำมาให้อุดมสมบูรณ์ ทำให้ฉันไม่เห็นคุณค่าของสิ่งเหล่านั้น บัดนี้ถูกขังอยู่ที่นี่กว่าจะสำนึกก็สายเสียแล้ว
ฉงซิว : ผู้อาวุโสทำผิดอย่างไรหรือ
ผู้บำเพ็ญ ค. : ด้วยเหตุที่ศิษย์สานุชนมากมายพากันนำข้าวสารมาถวาย เมื่อมาได้ง่ายก็กินทิ้งกินขว้างอย่างไม่รู้ตัว กินไ่ม่หมดก็เททิ้ง ค้างคืนก็เททิ้ง เมื่อมีศิษย์มาเชิญให้ไปฉันที่บ้านด้วยความศรัทธายิ่ง ฉันก็ไม่ได้พิจารณาถึงจิตใจเขา ถ้าถวายอาหารไม่ถูกปากก็จะไม่พอใจ ทำให้สานุศิษย์ที่อยากเชิญฉันไปที่บ้านต้องหาอาหารตระเตรียมกันวุ่นวาย ด้วยเกรงว่าจะไม่ถูกปากถูกใจฉัน ชั่วชีวิตก็ผ่านไปอย่างนี้ เนื่องจากได้ฉุดช่วยผู้คนให้ได้ปฏิบัติธรรมเป็นบุญ เมื่อตายพญายมจึงไม่อาจตัดสินความผิดของฉันได้จึงส่งให้ข้ามสะพานทองไป
ขณะนั้น ฉันกระหยิ่มใจว่าจะได้เสวยสุขแล้ว ไม่คิดว่่าจะถูกส่งมาที่นี่ พระองค์นายด่านว่า ฉันเป็นครูบาอาจารย์ไม่พิจารณาศรัทธาจิตของสานุศิษย์เอาแต่โลภลิ้นกินอร่อย ไม่รู้สัจธรรมที่ว่า "จิตสงบแท้แม้รากผักก็หอมหวาน" พระองค์จึงตักเตือนผู้บำเพ็ญให้กินอาหารอย่างไม่รู้รส ฉันถูกตัดสินให้เข้าสำนึกใน "ด่านแต่งโฉม" ครึ่งปี เพราะไม่เห็นค่าของอาหาร เสียใจจริง ๆ หวังว่า ผู้บำเพ็ญทั้งหลายจะได้เห็นคุณค่าของธัญญาหาร ต้องสำนึกว่าข้าวแต่
ละเม็ดกว่าจะได้มาไม่ใช่ง่าย อย่าเห็นแก่กิน จะได้ไม่ต้องถูกส่งมาสำนึกผิดที่นี่ มิฉะนั้นจะเสียใจภายหลัง
ฉงซิว : ขอบพระคุณอาวุโสที่ได้อธิบายอย่างชัดเจน เสียงจากใจของท่านจะกระจายออกไปในหนังสือ ทำให้ผู้คนรู้สำนึกกัน
พระฯ ผู้คุม : ท่านทั้งสาม เล่าจบแล้วกราบลาพระพุทธะจี้กงและนักบุญฉงซิวได้
พระฯ จี้กง : คืนนี้ค่ำมากแล้ว ฉงซิว เรารีบกลับตำหนักกันเถอะ
พระฯ ผู้คุม : กราบส่งพระ ฯ จี้กง น้อมส่งนักบุญฉงซิว
พระฯ จี้กง : รบกวนท่านช่วยขอบพระคุณพระองค์นายด่านแทนอาตมาด้วย นกเผิงใหญ่มาถึงแล้ว ฉงซิวรีบขึ้นไป
ฉงซิว : ขอรับ ศิษย์นั่งดีแล้ว พระอาจารย์โปรดเดินทางได้
พระฯ จี้กง : เอ้า หลับตา บินได้ ... ถึงฉงเซิงถัง วิญญาณฉงซิวกลับเข้าร่างดังเดิม
-
จิ่วหยังกวน
สถานเคี่ยวกรำผู้บำเพ็ญ
ตอนที่ 10
ท่องด่านที่เจ็ด ของจิ่วหยังกวน
ด่านศรัทธาเคารพ
(เฉิงจิ้งกวน)
วันที่ 5 พศจิกายน พ.ศ. 2525
พระพุทธะจี้กงประทับทรง โปรดนำด้วยโศลกความว่า :
จงพิจารณา ในกระถางธูป รูปโป๊ยก้วย
จะเห็นด้วย อนุตตร ภาวะสงบ
ปารมิตา แก้วเจ็ดสี มีอยู่ครบ
สามเล่มเกวียน ขนไม่หมด เจนจบโสดา ฯ
พระฯ จี้กง : ผู้ศึกษาธรรม พึงคำนึงถึงพระมหาเมตตาของพระเบื้องบน เจ้าอาวาสผู้นำของวัดวาอาราม ยิ่งจะต้องทำตนเป็นแบบอย่าง จะต้องตักเตือนผู้น้อยด้วยหลักธรรมให้พ้นความชั่วสู่ความดี ส่งเสริมเขา อย่าได้ทำบาปใด ๆ ให้สร้างบุญในทุกสถาน อุตสาหะปฏิบัติอย่างนี้จะบรรลุได้ไม่ยาก ฉงซิว ถึงเวลาท่องจิ่วหยังกวนสำหรับคืนนี้แล้ว รีบขึ้นนกเผิงใหญ่ออกเดินทางกันเถอะ
ฉงซิว : ขอรับ ศิษย์พร้อมแล้ว พระอาจารย์โปรดเดินทางได้
พระฯ จี้กง : หลับตา ... บินได้ ... ถึงแล้ว เบื้องหน้าคือด่านที่เจ็ดของจิ่วหยังกวน พระองค์นายด่านพร้อมพระบริวารอยู่ที่นั้นนานแล้ว ฉงซิวเรารีบเข้าไปเถอะ
พระฯ นายด่าน : กราบเฝ้าพระ ฯ จี้กง ยินดีต้อนรับนักบุญฉงซิวจากเทวสถายฉงเซิงถังมาเยือน
ฉงซิว : ศิษย์กราบคารวะพระองค์นายด่านและเซียนผู้อาวุโสทุกพระองค์ คืนนี้ได้ติดตามพระอาจารย์จี้กงมารบกวนที่ด่านนี้ ขอได้โปรดชี้แนะ
พระฯ นายด่าน : ฉงซิว อย่าได้นอบน้อมไปเลย ทางด่านของเราได้รับพระโองการก่อนหน้านี้แล้ว รู้ว่าทางตำหนักฯ ของท่านได้รับสนองภาระใหญ่จากเบื้องบนท่องจิ่วหยัง เพื่อหาข้อมูลตักเตือนผู้บำเพ็ญ เราจะช่วยเต็มที่ พระพุทธะจี้กงและฉงซิวได้โปรดเข้านั่งพักข้างในสักครู่
พระฯ จี้กง : ฉงซิวเข้าไป เร็ว
ฉงซิว : กลอนคู่ที่เขียนไว้สองข้างประตูพระตำหนัก มีความว่า
ละเมิดบัญญัติ ขัดระเบียบ
อย่ากล่าวอ้าง แต่อย่างใด
มรรคผลอาศัย กุศลผลบุญ คุณธรรมกตัญญู
พระฯ นายด่าน : พระพุทธะจี้กงและฉงซิวได้โปรดนั่ง พนักงานข้างในถวายน้ำชา
พระฯ จี้กง : เรื่องสร้างหนังสือสำคัญกว่า ท่านนายด่าน ฯ อย่าได้เกรงใจไปเลย ฉงซิวมีปัญหาอะไรทูลถามเถอะ
ฉงซิว : ทูลถามพระองค์นายด่านว่า ด่านนี้เหตุใดจึงได้ชื่อว่า "ศรัทธาเคารพ (เฉิงจิ้งกวน) คงหมายถึงให้ผู้บำเพ็ญรู้จักเคารพผู้มีคุณธรรมบารมี และผู้อาวุโส ใช่ไหมขอรับ
พระฯ นายด่าน : ถูกต้อง ผู้บำเพ็ญทุกคนหากไม่บำเพ็ญตามทางตรง ชอบพูดถึงสิ่งลี้ลับโคมลอย ทำให้น่าพิศวงให้ผู้คนหลงใหล ไม่ศรัทธาจริง ยกตนสูงส่ง ขัดเคืองกล่าวโทษเบื้องบนและผู้อื่น ด่าลมตวาดฝน ฯ นิสัยเหล่านี้ล้วนอยู่ในความควบคุมของด่านนี้ เนื่องด้วยเวลาไม่อำนวย จึงไม่อาจให้ท่องดูทุกด่าน ได้แต่ให้สอบถามความผิดที่ผู้บำเพ็ญเคยผิดกันมากที่สุดในขณะนี้เป็นข้อมูล เพื่อเป็นข้อเตือนใจผู้บำเพ็ญทั้งหลาย
พระฯ จี้กง : ค่ำแล้ว ขอรบกวนนายด่านท่านโปรดบัญชา ให้ใครนำทางท่องด่านด้วย
พระฯ นายด่าน : น้อมรับ ให้นายทะเบียนนำพระพุทธะจี้กงกับฉงซิวไปชมด่านย่อยที่หนึ่งของด่าน "ศรัทธาเคารพ"
นายทะเบียน : ผู้น้อยน้อมรับพระบัญชา ทูลเชิญพระ ฯ จี้กง และเชิญนักบุญฉงซิว โปรดตามข้าพเจ้ามา ...ถึงแล้ว ... เบื้องหน้าคือด่านย่อย "เคารพศรัทธา"
พระฯ ผู้คุม : กราบรับพระบาทพระฯ จี้กง ยินดีต้อนรับนักบุญฉงซิว ผู้น้อยน้อมรับอยู่ที่นี่นานแล้ว
พระฯ จี้กง : อย่าต้องมากจรรยาเลย รีบพาเราไปเถิด
พระฯ ผู้คุม : น้อมรับ โปรดตามข้าพเจ้ามา
ฉงซิว : โอ คนมากมายคุกเข่าอยู่บนพื้น มีอาการเจ็บปวด อ้อ ที่หัวเข่าของเขามีของแข็งติดอยู่ น่าสงสารจัง
พระฯ ผู้คุม : ของแข็งนั้น จะเกิดขึ้นเองเมื่อคุกเข่าลงไปและแกะไม่ออก
ฉงซิว : อ้าว แล้วจะเอาออกได้ยังไงขอรับ
พระฯ ผู้คุม : จะหลุดออกได้เมื่อครบกำหนดโทษ หรือเขาผู้นั้นเกิดสำนึกแล้วอย่างแท้จริง
ฉงซิว : มีอะไรแปลก ๆ อย่างนี้ด้วย มันคืออะไรขอรับ
-
จิ่วหยังกวน
สถานเคี่ยวกรำผู้บำเพ็ญ
ตอนที่ 10
ท่องด่านที่เจ็ด ของจิ่วหยังกวน
ด่านศรัทธาเคารพ
(เฉิงจิ้งกวน)
วันที่ 5 พศจิกายน พ.ศ. 2525
พระพุทธะจี้กงประทับทรง โปรดนำด้วยโศลกความว่า :
จงพิจารณา ในกระถางธูป รูปโป๊ยก้วย
จะเห็นด้วย อนุตตร ภาวะสงบ
ปารมิตา แก้วเจ็ดสี มีอยู่ครบ
สามเล่มเกวียน ขนไม่หมด เจนจบโสดา ฯ
พระฯ ผู้คุม : มันเป็นเหล็กเหนียวธรรมชาติ จะเกิดขึ้นตามแรงกรรมของผู้นั้น เมื่อไม่หมดกรรมจะถอนออกไม่ได้
ฉงซิว : แปลกจริง ๆ เขามีโทษผิดอะไรหรือ จึงต้องมารับทุกข์อย่างนี้
พระฯ ผู้คุม : จะเรียกมาให้สอบถามให้เข้าใจสักสามคน สามคนนั่นรีบมากราบพระฯ จี้กง และนักบุญฉงซิว มือทรงเอกแห่งตำหนักพระฯ ไถจงฉงเซิง ทั้งสองท่านรับสนองพระโองการฯ มาเก็บข้อมูลตามด่านจิ่วหยัง เพื่อสร้างหนังสือบุญเตือนใจชาวโลก เจ้าทั้งสามจงเล่าเรื่องราวการบำเพ็ญ และเหตุที่ต้องถูกขังให้ละเอียดเพื่อรวบรวมไว้ในบทสำคัญ เพื่อมิให้ชาวโลกผิดซ้ำตามอย่าง
ผู้บำเพ็ญ ก. ข. ค. : กราบพระบาทพระพุทธะจี้กง สวัสดีนักบุญฉงซิว พบกันในสภาพนี้น่าอายเหลือเกิน
ฉงซิว : สวัสดีผู้อาวุโสทุกท่าน พระอาจารย์ขอรับ หัวเข่าของพวกเขามีของแข็ง ติดอยู่ยืนไม่ขึ้น พระอาจารย์ได้โปรดช่วยเขาสักครู่เถิด
พระฯ จี้กง : ได้ซิ ดูอาจารย์ให้ดี นโม ... เพี้ยง ... เสร็จแล้ว
ฉงซิว : พัดของพระอาจารย์นี่ทำได้ทุกอย่าง วับเดียวของแข็งบนหัวเข่าก็หายไป เรียนถามอาวุโสท่านนี้ว่า เหตุใดจึงถูกขังอยู่ที่นี่ ดูหน้าตาท่านก็เป็นผู้บำเพ็ญดี
ผู้บำเพ็ญ ก. : เมื่อครั้งมีชีวิตอยู่ ฉันเป็นผู้บำเพ็ญในครัวเรือน แต่ไม่ได้ตั้งตำหนักพระอย่างแท้จริง ฉันตั้งใจบำเพ็ญจึงได้อภิญญาบางอย่าง เดิมทีฉันบำเพ็ญเงียบ ๆ ไม่มีใครรู้ พอมีเวลาก็ไปช่วยงานตามตำหนักพระ หรือศาลเจ้าบ้าง วันหนึ่งหญิงสาวเสียสติคนหนึ่ง ถูกพ่อแม่นำตัวมาที่ศาลเจ้าพ่อกวนอู ขอให้พระองค์ได้โปรดรักษา คงเป็นคราวที่ฉันจะเลื่องชื่อ เพราะเป็นเวลาเดียวกับที่ฉันไปถวายธูป เมื่อเห็นสภาพนั้น ฉันก็อดสงสารไม่ได้ ขณะที่จิดตกำลังรำพึง ถึงความรู้สึกของคนที่เป็นพ่อแม่อยู่นั้น ทันใดกระแสญาณของพระองค์กวนอูก็ผ่านเข้ามากระทบจิตของฉันทันทีว่า ให้จัดการเรื่องนี้ ฉันจึงส่งแสงญาณช่วยจิตของหญิงสาวคนนั้น ทำให้เธอหายเป็นปกติโดยฉับพลัน พ่อแม่ของเธอดีใจเป็นที่สุด กราบขอบคุณฉันครั้งแล้วครั้งเล่า
เรื่องนี้ถูกเล่าลือต่อไป จากหนึ่งถึงสิบถึงร้อย ทำให้ฉันมีชื่อเสียงขึ้นมาทันที ภายในเวลาวันเดียว ทุกคนพากันเรียกฉันว่าอาจารย์ ทุกวันจะมีคนมาพบฉันเต็มบ้าน บางคนให้ดูโรคภัย บางคนให้ดูโชคลาภ อนาคต ฯลฯ จากนั้น ชีวิตสงบสุขของฉันก็เปลี่ยนเป็นวุ่นวายไป เจตนาของเบื้องบนต้องการให้ฉันใช้โอกาสนี้ ประกาศสัจธรรมสืบทอดหลักพงศาธรรมกล่อมเกลาชาวโลก แต่ทุกวันจะมีแต่ผู้ชื่นชมในอภินิหาริย์ของฉัน หากไม่ใช้อภินิหาริย์บ้างก็ไม่อาจทำให้เขาพอใจได้ ฉันจึงต้องแสดงทุกวันเพื่อให้เกิดความเชื่อถือ ยิ่งกว่านั้นเรื่องที่พูดก็ล้วนเป็นเรื่องของโลกวิญญาณที่มองไม่เห็นกัน ไม่ได้พูดถึงสัจธรรมทางหลุดพ้น เพื่อเตือนใจให้เขาสำรวมบำเพ็ญแม้แต่น้อย
วันหนึ่ง อยู่ ๆ อภิญญาที่ฉันได้ก็หายไป สาธุชนที่เคยศรัทธาเข้าออกที่บ้านก็หายไป ฉันจึงได้สำนึกเสียใจที่ไม่ได้ใช้โอกาส สร้างอาณาจักรธรรมกล่อมเกลาผู้คนให้สำรวมบำเพ็ญธรรม เบื้องบนเรียกอภิญญาของฉันคืนไป ฉันจึงได้เข้าใจว่า "เบื้องบนจะอาศัยกายสังขารของคนดำเนินงานธรรมะ" มิใช่คนจะสำแดงเดชได้ตามใจ จากนั้นฉันก็ยิ่งบำเพ็ญเพียร แต่วาระสุดท้ายก็มาถึง ฉันถูกนำตัวไปลบชื่อออกจากบัญชีคนตายในยมโลกแล้วถูกนำมาที่ด่านจิ่วหยังกวนนี้ พระองค์นายด่านว่าฉันบำเพ็ญเสียเปล่า ไม่รู้จักฉุดช่วยจิตใจชาวโลกชอบแสดงอภินิหาริย์ ไม่สอนให้คนรู้จักใช้หลักสัจธรรมในการบำเพ็ญ เอาอภินิหาริย์มาทำให้คนหลงผิด เบื้องบนโปรดประทานอภิญญาให้ ก็เพื่อได้อาศัยเป็นสือในบางโอกาสไม่ใช่ให้มาแสดง จึงตัดสินใก้สำนึกอยู่ในด่านนี้สี่สิบเก้าวัน ครบกำหนดแล้วจึงให้พ้นไป
ฉงซิว : ขอบพระคุณผู้อาวุโส ที่โปรดให้รายละเอียด เชื่อว่าผู้บำเพ็ญที่ติดอภิญญาปาฏิหาริย์ในโลก เมื่อได้ยินเสียงจากใจของท่านแล้วคงสำนึกได้ จะต้องเข้าใจว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์แพร่ธรรมคำสอน มิใช่ให้มุ่งเห็นสิ่งลี้ลับ
แต่สอนคนด้วยหลักธรรม นำด้วยหลักของชีวิต
ขอบพระคุณท่าน ขอเรียนถามอาวุโสหญิงท่านนี้ เหตุใดจึงถูกนำมาขังไว้
-
จิ่วหยังกวน
สถานเคี่ยวกรำผู้บำเพ็ญ
ตอนที่ 10
ท่องด่านที่เจ็ด ของจิ่วหยังกวน
ด่านศรัทธาเคารพ
(เฉิงจิ้งกวน)
วันที่ 5 พศจิกายน พ.ศ. 2525
พระพุทธะจี้กงประทับทรง โปรดนำด้วยโศลกความว่า :
จงพิจารณา ในกระถางธูป รูปโป๊ยก้วย
จะเห็นด้วย อนุตตร ภาวะสงบ
ปารมิตา แก้วเจ็ดสี มีอยู่ครบ
สามเล่มเกวียน ขนไม่หมด เจนจบโสดา ฯ
ผู้บำเพ็ญ ข. : ฉันเป็นเจ้าตำหนักพระแห่งหนึ่ง สิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้ใช้ร่างของฉันแสดงบุญญาภินิหาริย์มากมาย ทำให้ผู้คนเลื่อมใสขึ้นกับตำหนักของฉันล้นหลาม ระยะนั้นเองพระองค์ได้โปรดชี้ทางว่า ให้ถือโอกาสตักเตือนให้ผู้คนสำรวมตน บำเเพ็ญจิต แต่เขาเหล่านั้นล้วนแต่ชอบสิ่งวิเศษมหัศจรรย์ ผู้ฟังก็ยิ่งคลั่งไคล้ ไม่มีใครสนใจจะนำจิตให้สู่ทางตรงเลย อีกทั้งต่างอวดอ้างกันแปลก ๆ อวดอุตริมนุษย์ธรรมกันใหญ่ พอฉันตายก็ถูกนำลงไปถอนชื่อผู้ตายในนรกเดิมทีคิดว่าตนช่วยให้คนศรัทธาไหว้พระจะได้ผลบุญ ไม่คิดว่าจะถูกส่งมาสำนึกที่นี่ พระองค์นายด่าน ฯ บอกว่า ฉันฉุดช่วยคนโดยไม่ใช้สัมมาธรรมะ กล่อมเกลา ผู้คนไม่พูดเรื่องบำเพ็ญจิต ชอบพูดแต่เรื่องวิเศษเลื่อยลอย จะต้องสำนึกผิดอยู่ที่นี่ครึ้งปี ฉันเสียใจเหลือเกิน หวังว่าผู้บำเพ็ญในโลกจะได้เดินหนทางสัมมาธรรมะกัน กล่อมเกลาผู้คน อยาได้พูดแต่เรื่องมหัศจรรย์ มิฉะนั้นจะไม่รอดจากจิ่วหยังกวนไปได้
ฉงซิว : ขอบพระคุณผู้อาวุโส เชื่อว่าเสียงกู่ร้องของท่านจะเรียกผู้บำเพ็ญที่ติดนิมิตอภิญญาให้ตื่นตัวได้ เรียนถามอาวุโสท่านนี้ เหตุใดจึงถูกขังอยู่ที่นี่ด้วย
ผู้บำเพ็ญ ข. : ฉันเป็นเจ้าตำหนักพระแห่งหนึ่ง สิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้โปรดเมตตาใช้ร่างของฉันประทับทรง สร้างความมหัศจรรย์ไว้มาก ทำให้ผู้คนมากราบไหว้คับคั่ง สิ่งศํกดิ์สิทธิ์ได้โปรดชี้แนะให้ฉันถือโอกาสตักเตือนพวกเขาให้บำเพ็ญกายใจ แต่คนที่มากราบไหว้ล้วนยินดีในทางไสยศาสตร์ ฉันจึงต้องพูดแต่เรื่องนิมิตเลื่อยลอยให้ฟัง และพูดให้มหัศจรรย์ที่สุด ทำให้พวกเขาคลั้งไคล้หนักเข้า พวกเขาไม่สนในหนทางสัจธรรมเลย เอาแต่เทพนิยายลี้ลับมาเล่าขานกันและคิดว่าตนเองเป็นผู้วิเศษ เมื่อฉันตายจึงถูกนำไปถอนชื่อในบัญชีนรก คิดว่าจะได้บุญจากกันชักนำผู้คนมากราบไหว้พระมากมาย ไม่นึกว่าจะต้องมาสำนึกผิดอยู่ที่นี่ พระองค์นายด่าน ฯ บอกว่า ฉันนำพาผู้คนไม่อบรมสัจธรรมบำเพ็ญจิต ชอบพูดแต่สิ่งลี้ลับ จะต้องสำนึกผิดอยู่ที่นี่ครึ่งปี ฉันเสียใจจริง ๆ หวังว่าผู้บำเพ็ญชาวโลกจะเดินทางตรง อรรถาแต่สัจธรรม อย่าเอาแต่เรื่องลี้ลับมาพูด มิฉะนั้นจะไม่รอดจากจิ่วหยังกวน
ฉงซิว : ขอบพระคุณท่าน เชื่อว่าเสียงกู่ร้องของท่านคงจะเรียกให้ผู้บำเพ็ญที่หลงโลกลี้ลับได้ตื่นกัน เรียนถามอาจารย์ท่านนี้ ดูการแต่งตัวของท่านเหมือนผู้บำเพ็ญธรรม เหตุใดจึงถูกขังในที่นี้
ผู้บำเพ็ญ ค. : เฮ้อ พูดแล้วน่าละอาย ฉันก็เป็นผู้รับผิดชอบศาลเจ้าพร้อมกับเป็นร่างทรงด้วย ฉันปฏิบัติบำเพ็ญได้ไม่เลวนัก พระเจ้าได้ดลบันดาล สาธุชนจึงหลั่งไหลมา ฉันถูกสาธุชนรุมล้อมยกย่อง ทำให้ลำพองใจสำคัญตนว่าไม่ใช่คนธรรมดา เวลาถ่ายทอดธรรมก็จะบอกสาธุชนว่า ฉันได้รับพระโองการจากเบื้องบน ใครติดตามฉันจะมีทางรอด อีกทั้งบอกว่าพระเจ้าของเราสูงส่งกว่าที่อื่น และยังเป็นศาลเหนือเทวโลก ศาลอื่น ๆ เป็นเพียงระดับเทวโลก
ผู้คนที่ชอบดูปาฏิหาริย์การทรงเจ้ารู้เข้าก็พากันมา สานุศิษย์ของฉันก็ยิ่งผยองสำคัญว่าพระ - เจ้าที่ตนบูชาอยู่สูงส่งกว่าที่ศาลใด ๆ จริง ๆ จึงต่างลำพองตนกันชัดเจน ตัวฉันเองก็อ้างพระนามสิ่งศักดิ์สิทธิ์บ่อย ๆ ว่า ที่ศาลนี้ขึ้นตรงต่อเบื้องบน สานุศิษย์ของที่นี่ก็จะสูงส่งกว่าที่อื่น เหตุการณ์เป็นอย่างนี้อยู่สองปี วันหนึ่งฉันขี่รถพลาดตกลงไปในสระแล้วจมน้ำตาย เพราะว่ายน้ำไม่เป็น เมื่อวิญญาณไปถึงยมโลก พญายมบอกฉันไม่ใช่คนร้าย และมีบุญที่ได้ช่วยคน จึงส่งฉันข้ามสะพานทอง ฉันดีใจมากคิดว่าได้ไปนิพพานแล้ว ไม่คิดว่าจะถูกนำมาที่นี่
เมื่อพระองค์นายด่าน ฯ ตรวจสอบแล้วบอกว่า การฉุดคนให้ขค้นฝั่งธรรม หมายถึง เป็นปากเสียงแทนเบื้องบน ต้องเอาธรรมะเป็นหลัก ไม่ควรเรียกความศรัทธาด้วยการอวดความวิเศษ ตำหนักพุทธะ เทวสถาน ต่างสนองพระโองการช้วยสานุชนตามแต่พระบัญชาหน้าที่ ใครจะบอกได้ว่าพระ - เจ้าที่ไหนใหญ่กว่ากัน ตัวเองยังไม่บรรลุ แต่แบ่งแยกให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นชั้นนิพพาน ชั้นเทวโลก ชั้นเล็ก ชั้นใหญ่ ทำให้สาธุชนหลงผิดไม่มีจุดหมายแม้จะได้บุญจากการช่วยคน แต่นิสัยอวดดียังมีอยู่จะบรรลุอริยะฐานะได้หรือ ฉันจึงถูกตัดสินให้สำนึกอยู่ในด่านนี้สามปี ตอนนี้เสียใจก็สายเสียแล้ว
ทุกวันนี้ ฉันต้องคุกเข่าอยู่บนก้อนเหล็ก เจ็บปวดเหลือเกิน ท่าทีผยองของฉันเมื่อมีชีวิตอยู่ปรากฏเป็นภาพให้เห็นตลอดเวลา ไม่น่าเชื่อเลยว่านั่นคือตัวฉัน เสียใจจริง ๆ
พระฯ จี้กง : ไม่เดินสายกลางทางตรง ชอบเลาะไปข้าง ๆ จะบรรลุได้อย่างไร หวังว่าเจ้าจะใช้เวลาสามปีนี้สำนึกตนให้ดี โดยเฉพาะขณะนี้ "ธรรมะกับมาร" มาพร้อมกัน ผู้บำเพ็ญในโลกพึงระวังไว้ การบำเพ็ญจะต้องยึดสัจธรรมเป็นหลัก ไม่ใช่ดูที่บุญฤทธิ์ของใครเหนือกว่า พระโองการที่เบื้องบนได้โปรดมอบหมายให้สูงกว่า มิฉะนั้นจะเข้าบ่วงมาร
ฉงซิว : ศิษย์ก็หวังว่าร่างทรงทั้งหลายจะไม่ใช้จิตใจ อารมณ์ของตัวเองร่วมกับการทรง พระ - เจ้าทุกพระองค์ล้วนมีเมตตา พระองค์ไม่แก่งแย่งว่าพระองค์ใดใหญ่เล็กกว่ากัน เมธีอริยเจ้าก็กล่าวไว้ว่า "ยิ่งเรียนรู้มาก หัวก็ยิ่งอ่อนมาก" เช่นนี้จึงจะปรากฏผลของการเป็นปากเสียงแทนเบื้องบนได้อย่างแท้จริง และทำให้โลกเกิดเอกภาพได้ในเร็ววัน
พระฯ ผู้คุม : ทั้งสามเล่าจบแล้วกราบลาพระฯ จี้กงและลานักบุญฉงซิวเสีย
พระฯ จี้กง : คืนนี้ค่ำแล้ว จะลากลับตำหนักฯ ด้วยเวลาเพียงเท่านี้ ช่วยขอบคุณท่านนายด่านแทนอาตมาด้วย
พระฯ ผู้คุม : กราบส่งพระพทุธะจี้กง น้อมส่งท่านนักบุญฉงซิว
พระฯ จี้กง : ฉงซิว เร่งออกจากด่านขึ้นนกเผิงใหญ่กลับตำหนักกัน
ฉงซิว : ขอรับ ศิษย์พร้อมแล้ว พระอาจารย์โปรดเดินทางได้
พระฯ จี้กง : เอาละ หลับตา... บินได้ ถึงตำหนักพระฉงเซิง วิญญาณฉงซิวกลับเข้าร่างดังเดิม
-
จิ่วหยังกวน
สถานเคี่ยวกรำผู้บำเพ็ญ
ตอนที่ 11
ท่องจิ่วหยังกวน
ตำหนักเพิ่มบำเพ็ญ
(เจียซิวถัง)
วันที่ 6 พศจิกายน พ.ศ. 2525
พระพุทธะจี้กงประทับทรง โปรดนำด้วยโศลกความว่า :
ธรรมะยิ่งใหญ่ ไกลกว้างรับ สรรพโลก
ธรรมะปรก โปรดทุกผู้ อุบลฉาย
สามศาสนา มาจากหนึ่ง ซึ่งหลักชัย
กล่อมเกลาให้ ได้นิพพาน ผ่านโลกีย์
พระฯ จี้กง : ถีงเวลาท่องจิ่วหยังกวนสำหรับคืนนี้แล้ว ฉงซิวเตรียมตัว
ฉงซิว : คืนนี้พระอาจารย์จะพาศิษย์ไปท่องด่านที่แปดของจิ่วหยังกวนหรือขอรับ
พระฯ จี้กง : มิได้ คืนนี้เราจะไปทัศนาตำหนัก "เพิ่มบำเพ็ญ" ของจิ่วหยังกวน
ฉงซิว : ตำหนัก "เพิ่มบำเพ็ญ" อยู่ที่ไหนหรือขอรับ
พระฯ จี้กง : ไปแล้วก็รู้เอง นกเผิงใหญ่กางปีกอยู่แล้ว
ฉงซิว : พระอาจารย์ขอรับ คืนนี้ดูนกเผิงใหญ่ผิดไป
พระฯ จี้กง : หือ ผิดอย่างไร
ฉงซิว : ศิษย์ก็บอกไม่ถูก เอ้อ ... ดูสมบูาณ์ขึ้น น่าดูขึ้น
พระ ฯ จี้กง : ฮะ ฮะ ไม่ผิด นกเผิงใหญ่ได้รับพระบัญชาจากพระบรรพจารย์หงจินให้มาสร้างบุญ นำส่งเจ้าไปหาระหว่างฟ้าดิน การท่องด่านครั้งนี้ก็อาศัยเขาทั้งนั้น เขาก็ได้เพิ่มผลบุญขึ้นอีกไม่น้อย แน่นอน นี่ก็เป็นบุญวิเศษของเจ้าด้วย ไม่เช่นนั้นใครจะมีบุญได้ขี่เขา
ฉงซิว : เดือนนี้ทำให้เขาลำบากมากจริง ๆ ต่อไปหากตำหนักพระของศิษย์มีที่กว้างพอ ศิษย์จะสร้างรูปนกเผิงใหญ่เอาไว้เป็นที่ระลึกให้คนชื่นชม
พระ ฯ จี้กง : อือม์ เจตนานี้ไม่เลว
ฉงซิว : พระอาจารย์ดูซิขอรับ เขากางปีกใหญ่แล้วเหมือนจะฟังเรารู้เรื่อง
พระ ฯ จี้กง : แน่นอน เขาก็มีจิตญาณเหมือนกันนี่ เรารีบไปกันเถอะ
ฉงซิว : ขอรับ ศิษย์นั่งดีแล้ว พระอาจารย์ได้โปรดเดินทางได้
พระฯ จี้กง : เอาละหลับตา ... บินได้ ... ถึงแล้ว เบื้องหน้าคือตำหนัก "เพิ่มบำเพ็ญ" พระอริยเซียนจวินรอรับอยู่ที่นั่นแล้ว ฉงซิวเรารีบตรงไปเถอะ
ฉงซิว : ขอรับ ศิษย์ฉงซิวกราบคารวะพระองค์เซียนจวินและเซียนผู้อาวุโสทุกพระองค์ คืนนี้พร้อมด้วยพระอาจารย์จี้กงสนองพระโองการสร้างหนังสืือ ได้มาชมตำหนักเพิ่มบำเพ็ญ หวังว่าทุกพระองค์ได้โปรดชี้แนะ
-
จิ่วหยังกวน
สถานเคี่ยวกรำผู้บำเพ็ญ
ตอนที่ 11
ท่องจิ่วหยังกวน
ตำหนักเพิ่มบำเพ็ญ
(เจียซิวถัง)
วันที่ 6 พศจิกายน พ.ศ. 2525
พระพุทธะจี้กงประทับทรง โปรดนำด้วยโศลกความว่า :
ธรรมะยิ่งใหญ่ ไกลกว้างรับ สรรพโลก
ธรรมะปรก โปรดทุกผู้ อุบลฉาย
สามศาสนา มาจากหนึ่ง ซึ่งหลักชัย
กล่อมเกลาให้ ได้นิพพาน ผ่านโลกีย์
เซียนจวิน : ฉงซิว ลุกขึ้นเถิด ขอต้อนรับพระอาจารย์จี้กง พระผู้โปรดสัตว์ในยุคสามที่ได้โปรดาเยือน
พระฯ จี้กง : อย่าเป็นพิธีการเลย อาตมาไม่ยินดีกับสิ่งนี้ ทุกท่านมิต้องคารวะ
เซียนจวิน : พระอาจารย์จี้กงท่องไปในโลกมนุษย์ฉุดช่วยผู้คน เหนื่อยยากหนักหนา บุญบารมีสูงส่ง ครั้งนี้ต้องสนองรับพระโองการนำฉงซิวแห่งเทวสถานไถจงฉงเซิงฯ มาหาข้อมูลที่จิ่วหยังกวน ตำหนักของข้าพเจ้าได้รับพระโองการได้บอกกล่าวก่อนหน้านี้แล้ว เมื่อสักครู่ก็ได้รับพระอักษรจากพระอาจารย์จี้กงว่าคืนนี้จะมาชมพระตำหนัก เซียนทั้งหลายที่นี่จึงยินดีนัก
พระฯ จี้กง : อาตมาพาฉงซิวท่องจิ่วหยังกวนเกือบสิ้นสุดแล้ว โล่งใจไปมากทีเดียว
เซียนจวิน : ทูลเชิญพระอาจารย์ ฯ ขอเชิญนักบุญฉงซิวเข้าตำหนักเพื่อจะได้ถวายน้ำชา
พระฯ จี้กง : ดีเหมือนกัน คืนนี้มีเวลามากหน่อย ฉงซิวมีปัญหาอะไรก้ถือโอกาสกราบทูลถามเสียด้วย
เซียนจวิน : พระอาจารย์และฉงซิวได้โปรดนั่ง พนักงานถวายน้ำชา
ฉงซิว : ทูลถามพระองค์เซียนจวิน เหตุใดที่นี่จึงได้ชื่อว่าตำหนักเพิ่มบำเพ็ญ (เจียซิวถัง)
เซียนจวิน : เห็นชื่อก็รู้ความหมาย นั่นคือให้เพิ่มการบำเพ็ญ ผู้บำเพ็ญทุกคนที่ได้ผ่านการเคี่ยวกรำจากด่านต่าง ๆ ของจิ่วหยังกวนมาแล้ว จะต้องมาที่ตำหนักนี้ ที่นี่มีสามสิบหกตำหนักใหญ่ ทุกตำหนักใหญ่แบ่งออกเป็นสามสิบตำหนักเล็ก จึงเป็นตำหนักเพิ่มบำเพ็ญ สี่ร้อยหกสิบแปดบัลลังก์ แต่ละตำหนักจะมีพระผู้คุมพระองค์หนึ่ง แต่ละตำหนักเล็กก็จะมีพระผู้คุมน้อยพระองค์หนึ่ง ทำหน้าที่ฝึกฝนจริยะระเบียบต่าง ๆ แก่ผู้บำเพ็ญโดยเฉพาะ
แต่ละตำหนักทำหน้าที่ต่างกัน เช่น บางคนต้องฝึกจริยะระเบียบ บ้างฝึกจิต บ้างต้องเข้าฝึกที่ตำหนักจริยะ (หลี่อี๋ถัง) บ้างฝึกที่ตำหนักอรรถาธรรม (เจี่ยงเต้าถัง) บ้างฝึกที่ตำหนักฝึกจิต (เลี่ยนซิ่งถัง) บ้างฝึกที่ตำหนักนิมิตวิเศษ (เสวียนจีถัง) ฝึกจนกระทั่งสมบูรณ์ทุกอย่าง แล้วพระผู้คุมตำหนักเล็กก็จะรายงานแด่พระผู้คุมตำหนักใหญ่ พระผู้คุมตำหนักใหญ่ก็จะส่งมาที่ข้าพเจ้าเมื่อตรวจสอบว่าสำเร็จจริงแล้วก็จะต่อไปยัง "ตำหนักอนุโมทนาบุญ " (เล่อซั่นถัง)
ฉงซิว : โอ้โฮ ดู ๆ แล้วการบำเพ็ญไม่ใช่ปุปปัปก็บรรลุได้เลย ขั้นตอนยุ่งยากทีเดียว
-
จิ่วหยังกวน
สถานเคี่ยวกรำผู้บำเพ็ญ
ตอนที่ 11
ท่องจิ่วหยังกวน
ตำหนักเพิ่มบำเพ็ญ
(เจียซิวถัง)
วันที่ 6 พศจิกายน พ.ศ. 2525
พระพุทธะจี้กงประทับทรง โปรดนำด้วยโศลกความว่า :
ธรรมะยิ่งใหญ่ ไกลกว้างรับ สรรพโลก
ธรรมะปรก โปรดทุกผู้ อุบลฉาย
สามศาสนา มาจากหนึ่ง ซึ่งหลักชัย
กล่อมเกลาให้ ได้นิพพาน ผ่านโลกีย์
เซียนจวิน : อันที่จริงเพียงแต่ยึดมั่นบำเพ็ญโดยศรัทธาเป็นปากเสียงแทนเบื้องบนท่านั้น ไม่เพียงแต่พญายมจะยกย่อง จิ่วหยังกวนก็ยินดี แต่ก่อนที่จะรู้แจ้งบรรลุจริง ต้องกำจัดนิสัยอารมณ์ทางโลกที่ไม่ดีงามออกไปให้หมดเสียก่อน นี่เป็นพระประสงค์ของโองการของเบื้องบน มิฉะนั้นหากปล่อยให้บำเพ็ญที่ยังมีนิสัยอารมณ์ไม่ดีงามทางโลกไปรับตำแหน่งหน้าที่ศักดิ์สิทธิ์ จะไม่เป็นเรื่องชวนหัวหรือ
ฉงซิว : มีเหตุผลขอรับ แต่มีส่วนทำให้ขยาด ๆ
พระฯ จี้กง : อืม์ พาฉงซิวไปชมตำหนักใดตำหนักหนึ่งของท่านดีกว่า เขาจะได้เข้าใจดียิ่งขึ้น
เซียนจวิน : ถูกต้อง ทูลเชิญพระอาจารย์จี้กง เชิญฉงซิวตามข้าพเจ้ามา
ฉงซิว : พระองค์เซียนจวินต้องโปรดพาไปเอง ผู้น้อยรู้สึกเกรงใจ
เซียนจวิน : ไม่เป็นไร หน้าที่ของเราต่างกัน แต่ละตำหนัก ฯ มีพระผู้คุมรับหน้าที่ชี้แจง เราเปรียบเสมือนผู้บัญชาการ หรือฝ่ายปกครองในกองทัพ ... ถึงแล้ว
ฉงซิว : ที่นี่แบ่งเป็นห้อง ๆ เหมือนห้องเรียน หน้าชั้นมีเซียนอาวุโสพระองค์หนึ่งทำหน้าที่อรรถาธรรมอยู่ เรายืนอยู่ข้างนอก จะรบกวนพระองค์ท่านไหมขอรับ
เซียนจวิน : ไม่เป็นไร เรายืนดูอยู่ตรงนี้ได้
เซียนอาวุโส : บัดนี้พระพุทธจี้กงและนักบุญฉงซิว มือทรงเอกแห่งตำหนักไถจงฉงเซิง ติดตามพระองค์เซียนจวินเสด็จมาชมการเรียนของเราอยู่ข้างนอก ทุกท่านจงยืนขึ้นปรบมือต้อนรับพระองค์และฉงซิว ครั้งนี้พระพุทธะจี้กงได้รับสนองพระโองการจากพระองค์เง็กเซียนฮ่องเต้ (ท้าวสักกะเทวราช) นำวิญญาณของนักบุญฉงซิวมาท่องจิ่วหยังกวน เพื่อเก็บข้อมูลเป็นหลักฐานไว้เตือนใจชาวโลกผู้บำเพ็ญ (ผู้รับการอบรมยืนขึ้น ปรบมือพร้อมกันด้วยความยินดี)
ฉงซิว : ฮิฮิ กระผมวางตัวไม่ถูกเลย
พระฯ จี้กง : ดูซิ เรามารบกวนเวลาเรียนของท่านเสียแล้ว รบกวนท่านเซียนจวินช่วยเรีบกผู้รับการอบรมสักท่านหนึ่งมาให้ฉงซิวสัมภาษณ์สักหน่อย คงจะได้รายละเอียดยิ่งขึ้น
เซียนจวิน : น้อมรับ มานี่ซิ กราบคารวะพระพุทธะจี้กงและรู้จักกับฉงซิวเสีย
ผู้บำเพ็ญ : กราบคารวะพระพุทธะจี้กง ยินดีได้พบนักบุญฉงซิว เมื่อมีชีวิตอยู่ ศิษย์ศรัทธาพระพุทธะจี้กง แต่ยังมิเคยได้ชมบุญอย่างนี้ สันนี้เป็นบุญที่ได้รับกราบพระบาทพระองค์จริง ดีใจเหลือเกิน
พระ ฯ จี้กง : ลุกขึ้นเถิด เจ้าต้องลำบากนัก อันที่จริงไม่น่าจะต้องมาที่นี่ เป็นเพราะความคิดผิดเพียงวูบเดียวเจ้าจึงต้องมาบำเพ็ญต่อที่นี่
ฉงซิว : แปลก ผู้อาวุโสท่านนี้ยังไม่แสดงตัว พระอาจารย์รู้ได้ยังไงขอรับ
เซียนจวิน : ฉงซิวเอ๋ย เจ้าลืมไปแล้วว่า พระฯจี้กงเป็นพระสัพพัญญู รู้ทุกอย่างตั้งแต่ยังมีกายสังขารอยู่เชียวนะ
ฉงซิว : ถูกแล้ว ๆ กราบขอประทานอภัยขอรับ เรียนถามผู้อาวุโสท่านนี้ว่า เหตุใดจึงต้องมารับการอบรมในตำหนักเพิ่มบำเพ็ญที่นี่
-
จิ่วหยังกวน
สถานเคี่ยวกรำผู้บำเพ็ญ
ตอนที่ 11
ท่องจิ่วหยังกวน
ตำหนักเพิ่มบำเพ็ญ
(เจียซิวถัง)
วันที่ 6 พศจิกายน พ.ศ. 2525
พระพุทธะจี้กงประทับทรง โปรดนำด้วยโศลกความว่า :
ธรรมะยิ่งใหญ่ ไกลกว้างรับ สรรพโลก
ธรรมะปรก โปรดทุกผู้ อุบลฉาย
สามศาสนา มาจากหนึ่ง ซึ่งหลักชัย
กล่อมเกลาให้ ได้นิพพาน ผ่านโลกีย์
ผู้บำเพ็ญ : พูดแล้วน่าละอาย เมื่อครั้งมีชีวิตฉันเป็นกรรมการผู้จัดการของตำหนักพระแห่งหนึ่งเป็นศิษย์ของพระอาจารย์จี้กงด้วย บำเพ็ญมาสามสิบกว่าปีไม่เคยว่างเว้น และบำเพ็ญได้ไม่เลว ครั้งนี้เมื่อถูกทดสอบในการบำเพ็ญฉันกลับสอบตกโดยสิ้นเชิง จึงต้องมาบำเพ็ญที่ตำหนักฝึกจิต (เลี่ยนเซิ่งถัง) ต่อไป
ฉงซิว : มีการทดสอบอย่างไรหรือขอรับ
ผู้บำเพ็ญ : ฉันได้อภิญญาอยู่บ้าง ฉะนั้นเมื่อมีเหตุอะไรสิ่งศักดิ์สิทธิ์มักจะชี้แจงเป็นนัย ๆ ครั้งหนึ่งเราไปทัศนาจรแล้วเกิดอุบัติเหตุรถชนกัน ลูกชายคนเดียวของฉันต้องตายอย่างน่าสังเวชในอ้อมอกของฉัน แต่ฉันกลับปลอดภัย ตอนนั้นฉันเสียใจเหลือเกิน คิดอยู่แต่ว่าทำไมสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่บอกกล่าวให้รู้กันก่อนบ้างเลย ความสะเทือนใจในครั้งนั้นหนักหน่วงนัก จากนั้นฉันได้แต่อมทุกข์ เจ็บป่วยนอนซมจนถึงวันตาย พญายมส่งฉันขึ้นสะพานทองแล้วถูกรับตัวไปยังจิ่วหยังกวน ฉันผ่านด่านมาได้อย่างราบรื่น เพียงแต่ยังไม่บรรลุจิตวิสุทธิ์ ไม่รู้แจ้งในวิถีธรรมนี้ จึงถูกกักตัวไว้ฝึกฝนที่ตำหนักกเพิ่มบำเพ็ญต่อไปก่อน
ฉงซิว : เป็นอย่างนี้เอง เหตุการณ์อย่างเดียวกันกับท่านในโลกมนุษย์ ผู้น้อยเคยเห็นอยู่สองสามราย
ผู้บำเพ็ญ : เฮ้อ คิดถึงในครั้งนั้นทำไมปลงไม่ตกก็ไม่รู้ ฉันไม่เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูกว่าเป็นเพราะเกี่ยวกรรมกันมาแต่ชาติก่อน ไม่ควรสูญเสียจิตสำนึกต่อธรรมะด้วยเหตุนี้เลย บัดนี้ฉันเข้าใจทั้งหมดแล้ว เชื่อว่าอีกไม่ช้าก็จะได้ขึ้นไปที่ตำหนักอนุโทนาบุญ (เล่อซั่นถัง)
ฉงซิว : โอ ... ขอแสดงความยินดีต่อท่านอาวุโส หวังว่าคงมีโอกาสได้พบท่านอีก
เซียนจวิน : ผู้บำเพ็ญท่านนี้เล่าจบแล้ว เชื่อว่าชาวโลกคงได้สำนึกกันบ้าง
พระฯ จี้กง : ค่ำแล้ว เราควรกลับตำหนักฯ ได้แล้ว ฉงซิวรีบกราบลาพระองค์เซียนจวินเถิด
ฉงซิว : ขอรับ ศิษย์ขอกราบลาพระองค์เซียนจวิน หวังว่าจะมีบุญได้พบพระองค์อีก
เซียนจวิน : ดีแล้ว พนักงานทั้งหมดจัดแถวกราบส่งพระบาทพระพุทธะจี้กง น้อมส่งนักบุญฉงซิวกลับตำหนัก ฯ
พระฯ จี้กง : ไม่ต้อง ไม่ต้อง ฉงซิวรีบขึ้นหลังนกเผิงใหญ่
ฉงซิว : ขอรับ ศิษย์พร้อมแล้ว พระอาจารย์ได้โปรดเดินทาง
พระฯ จี้กง : ดีแล้ว หลับตา ... บินได้ ถึงตำหนักฉงเซิง วิญญาณฉงซิวกลับเข้าร่างดังเดิม
-
จิ่วหยังกวน
สถานเคี่ยวกรำผู้บำเพ็ญ
ตอนที่ 12
ท่องด่านที่แปดของจิ่วหยังกวน
ด่านฝึกจิต
(เลี่ยนซิ่งกวน)
วันที่ 7 พศจิกายน พ.ศ. 2525
พระพุทธะจี้กงประทับทรง โปรดนำด้วยโศลกความว่า :
บำเพ็ญธรรม คัมภีร์อ่าน พิจารณ์จิต
คุมจริต จริยา พาถ่อมตน
พระ ฯ "เหยา , ซุ่น" มุ่งเป็นได้ ในทุกคน
"ซุ่น" รู้ทน เราก็คน ไม่ทนฤา
พระฯ จี้กง : ถึงเวลาท่องจิ่วหยังกวนสำหรับคืนนี้แล้ว ฉงซิวรีบขึ้นนกเผิงใหญ่ เราไปกัน
ฉงซิว : ขอรับ ศิษย์นั่งดีแล้ว พระอาจารย์ได้โปรดออกเดินทาง
พระฯ จี้กง : เอ้า หลับตา ... ไปได้ ... ถึงแล้ว เบื้องหน้าคือด่านที่แปดของจิ่วหยังกวน ด่านฝึกบำเพ็ญ (เลี่ยนซิ่งถัง) พระองค์นายด่านกับบริวารคอยเราอยู่แล้ว
พระฯ นายด่าน : น้อมต้อนรับพระพุทธะี้กงกับนักบุญฉงซิวที่มาเยือน ข้าพเจ้าเฝ้ารอรับอยู่นานแล้ว
ฉงซิว : ศิษย์กราบคารวะพระองค์นายด่าน ทำให้พระองค์และเซียนอาวุโสทุกพระองค์ต้องลำบาก เกรงใจเหลือเกิน
พระฯ นายด่าน : อย่าได้เกรงใจ ท่านและพระพระพุทธะจี้กงรับสนองพระโองการมา ถือเป็นแขกพิเศษของด่านเรา เชิญพระพุทธะจี้กงและฉงซิวนั่งพักสนทนา ในตำหนักสักครู่
พระฯ จี้กง : ดีทีเดียว ฉงซิวเราเข้าไปพักกันหน่อย
ฉงซิว : ขอรับ อือม์ ที่ประตูสองข้างพระตำหนักมีกลอนคู่ความว่า
จิตเป็นไท ไม่ผวา เมื่อมาที่นี่
หนาวฤดี ที่ย่างกราย เพราะร้ายมา
พระฯ นายด่าน : ทูลเชิญพระฯ จี้กงประทับ เชิฐฉงซิวนั่ง พนักงานข้างในถวายน้ำชา
ฉงซิว : ขอบพระคุณพระองค์นายด่าน ที่โปรดต้อนรับ ไม่ทราบว่าผู้บำเพ็ญที่มารับการเคี่ยวกรำในด่านของพระองค์ทำผิดอะไรมาหรือ และการลงโทษเป็นอย่างไร ขอรับ
พระฯ นายด่าน : ด่านนี้มีด่านย่อย ในปกครองอีกเก้าด่าน ภายในมีบรรยายกาสปกครองต่างกัน ด่านแรกเบาหน่อย บรรยายกาศเป็นเป็นเหมือนหมอกเมฆสีดำ บางด่านมืดมิดจนไม่เห็นนิ้วมือของตัวเองที่ยื่นไปข้างหน้า ผู้บำเพ็ญจะถูกส่งไปสำนึกตามแต่โทษหนักเบา ส่วนเขาทำผิดอะไรมาอีกประเดี๋ยวไปดูก็จะรู้เอง
พระฯ จี้กง : ใช่แล้ว รบกวนนายด่านโปรดบัญชาให้ใครพาไปดูด่านย่อยที่หนึ่งด้วย
พระฯ นายด่าน : น้อมรับ ให้พระนายทะเบียนนำพระพุทธะจี้กงและนักบุญฉงซิวไปชมด่าน
นายทะเบียน : น้อมรับ ทูลเชิญพระพุทธะจี้กง ขอเชิญนักบุญฉงซิวตามผู้น้อยมา ... ถึงแล้ว ... เบื้องหน้าคือด่านย่อยด่านแรก
พระฯ ผู้คุม : กราบคารวะพระพุทธะจี้กง ยินดีต้อนรับนักบุญฉงซิวที่มาเยือน
พระฯ จี้กง : อย่าคารวะมากไปเลย รีบนำเราเข้าไปข้างในเถิด
พระฯ ผู้คุม : รับพระบัญชา ได้โปรดตามผู้น้อยมา
ฉงซิว : โอย มืดอย่างนี้จะเห็นได้อย่างไร
พระฯ จี้กง : รีบเอาดวงแก้วของพระกษิติครรภ์ตี้จั้งอ๋วง ออกมาซิ เปิดกล่องเข้า
ฉงซิว : ขอรับ เปิดแล้ว โอ้โฮ แสงกระจายไปรอบทิศเลย ในห้องสว่างไปหมด เอ ทำไมทุกคนนั่งเงียบหลับตา เหมือนคิดอะไรอยู่ เราคงจะทำเสียงรบกวนเขาเข้าแล้ว
พระฯ ผู้คุม : ไม่หรอก ผู้บำเพ็ญทุกคนกำลังสำรวจความผิดตน ถ้าจิตสำนึกผิดมีพอ เขาก็จะเห็นแสงสว่างเบื้องหน้าได้ เมฆสีดำเหนือศรีษะก็จะหายไปเอง
ฉงซิว : ผู้ที่นั่งสำนึกผิดในความมืดของด่านย่อยด่านแรกนี้ คงจะทำความผิดเล็กน้อยกระมัง
พระฯ ผู้คุม : ข้าพเจ้าจะเรียกผู้บำเพ็ญบางคนออกมาให้ซักถาม สามคนนั่นรีบมากราบพระพุทธะจี้กงและพบกับนักบุญฉงซิวมือทรงเอกของตำหนักไถจงฉงเซิง ในโลกมนุษย์ ซึ่งได้รับสนองพระโองการมาหาข้อมูลที่จิ่วหยังกวน เตรียมสร้างหนังสือบุญ ทั้งสามให้เล่าเรื่องระหว่างบำเพ็ญและความผิดโดยละเอียด จะได้บันทึกไว้ในบทพิเศษสำหรับเตือนใจชาวโลกต่อไป
ผู้บำเพ็ญ ก. ข. ค. : น้อมรับบัญชา กราบคารวะพระพุทธะจี้กง ยินดีได้พบนักบุญฉงซิว
ฉงซิว : ผู้น้อยฉงซิวของคารวะผู้อาวุโสทุกท่าน คืนนี้ได้ติดตามพระอาจารย์จี้กงรับสนองพระโองการให้มาหาข้อมูลของจิ่วหยังกวนที่นี่ เพื่อสร้างหนังสือ ขอท่านได้โปรดแนะนำ
-
จิ่วหยังกวน
สถานเคี่ยวกรำผู้บำเพ็ญ
ตอนที่ 12
ท่องด่านที่แปดของจิ่วหยังกวน
ด่านฝึกจิต
(เลี่ยนซิ่งกวน)
วันที่ 7 พศจิกายน พ.ศ. 2525
พระพุทธะจี้กงประทับทรง โปรดนำด้วยโศลกความว่า :
บำเพ็ญธรรม คัมภีร์อ่าน พิจารณ์จิต
คุมจริต จริยา พาถ่อมตน
พระ ฯ "เหยา , ซุ่น" มุ่งเป็นได้ ในทุกคน
"ซุ่น" รู้ทน เราก็คน ไม่ทนฤา
ผู้บำเพ็ญ ก. ข. ค. : มิบังอาจ ท่านนักบุญฉงซิวเกรงใจมากไป
ฉงซิว : ดูท่านทั้งสามเหมือนฆราวาสผู้บำเพ็ญ บำเพ็ญจนราศีจับใบหน้า เหตุใดจึงถูกขังอยู่ที่นี่
ผู้บำเพ็ญ ก. : เมื่อครั้งบำเพ็ญอยู่ในโลก ฉันทำบุญให้ทานมาก บำเพ็ญ๗ิตด้วยความศรัทธา เวลาว่างจากการอ่านหนังสือธรรมะก็จะนั่งเจริญภาวนา ไม่คิดว่าความผิดเพียงเล็กน้อยจะต้องถูกขังให้สำนึกอยู่ที่นี่
ฉงซิว : โอ้ นั่งเจริญภาวนาก็ผิดด้วยหรือ มันเรื่องอะไรกัน ท่านได้โปรดเล่ารายละเอียดด้วย
ผู้บำเพ็ญ ก. : เหตุเพราะขณะที่นั่งเจริญภาวนา อากาศร้อนอบอ้าวฉันจึงไม่สวมเสื้อ พระองค์นายด่านบอกว่าจิตญาณของฉันไม่สมบูรณ์ หากจิตสงบย่อมเย็นสบาย การกระทำอย่างนี้เป็นการลบหลู่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ จึงตัดสินให้สำนึกผิดอยู่ในด่านฝึกจิตสามสิบวัน
ผู้บำเพ็ญ ข . : สำหรับฉัน นั่งทำสมาธิแล้วไม่ได้ผล แต่ทุกครั้งเมื่อมีคนมาถามว่า รู้สึกอย่างไร ฉันเกรงผู้น้อยกว่าจะดูถูกว่าไม่ศรัทธาจริง เพราะฉันไม่เห็นอะไรเลย ทุกครั้งจึงตอบไปว่าได้นิมิต เคราะห์ดีที่ฉันบำเพ็ญจริง พอตายพญายมตรวจสอบบัญชีแล้วเห็นว่าฉันมีบุญมากกว่าบาป จึงส่งฉันข้ามสะพานทองมา ฉันผ่านด่านจิ่วหยังได้สะดวกทุกด่าน แต่พอมาถึงด่านฝึกจิต พระองค์นายด่านบอกฉันว่า พูดเท็จว่าเห็นนิมิต ไม่ได้ฌานบอกว่าได้ฌาน อวดฉลาด จึงตัดสินให้สำนึกอยู่ที่นี่หกสิบวัน
ผู้บำเพ็ญ ค. : สำหรับฉัน ในระหว่างบำเพ็ญ ไม่เคยได้นิมิตอะไรสักครั้งขณะทำสมาธิ และไม่มีวี่แววว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์จะมาโปรดเลยทุกครั้ง เมื่อได้ยินศิษย์รุ่นหลัง ๆ ปฏิบัติบำเพ็ญแล้วได้นิมิต ได้สัมผัส ฉันก็ว่าพวกเขาได้ไม่จริงเป็นไปไม่ได้ จะต้องปฏิบัติอย่างนั้นอย่างนี้จึงจะถูก พูดจนผู้น้อยทั้งหลายละล้าละลังไปหมด เมื่อมาถึงด่านฝึกจิตของจิ่วหยังกวน พระองค์นายด่านบอกว่า ฉันขัดขวางการบำเพ็ญของผู้อื่น อีกทั้งการบำเพ็ญมิใช่ต้องมุ่งอยู่กับการนั่งทำสมาธิ เมื่อว่างจากการปฏิบัติบำเพ็ญแล้ว มีเวลาว่างนั่งก็ต้องแล้วแต่บุญบารมี จะให้ได้นิมิตได้ฌานเหมือนกันได้อย่างไร การแนะนำให้เขาอย่าได้หลงรูปลักษณ์เป็นเรื่องถูกต้อง แต่เจตนานั้นเกิดขึ้นจากการที่ตนเองไม่ได้ฌานสมาธิ จิตใจอย่างนี้ผิด จึงถูกตัดสินให้อยู่ที่นี่สี่สิบเก้าวัน
ฉงซิว : อย่างนี้นั่นเอง ขอบพระคุณผู้อาวุโสทุกท่านที่ให้รายละเอียด
พระฯ ผู้คุม : ทั้งสามเล่าจบแล้ว กราบลาพระพุทธะจี้กงและนักบุญฉงซิวกลับไปได้
ผู้บำเพ็ญ ก. ข. ค. : กราบลาพระอาจารย์จี้กงและนักบุญฉงซิว
ฉงซิว : ขอบพระคุณผู้อาวุโสทั้งสาม
พระฯ จี้กง : คืนนี้หมดเวลาแล้ว เราเตรียมกลับตำหนักฯ กันเถิด รบกวนท่านผู้คุมช่วยขอบพระคุณนายด่านแทนอาตมาด้วย
-
จิ่วหยังกวน
สถานเคี่ยวกรำผู้บำเพ็ญ
ตอนที่ 13
ท่องด่านที่เก้าของจิ่วหยังกวน
ด่านบรรลุอริยะ
(เฉิงซิ่งกวน)
วันที่ 8 พศจิกายน พ.ศ. 2525
พระพุทธะจี้กงประทับทรง โปรดนำด้วยโศลกความว่า :
ศึกษาธรรม บำเพ็ญกาย ใจบำเพ็ญ
ปรกปลูกเป็น ต้นโพธิ์งาม สัมพันธ์ไว้
บุญหนุนส่ง งาน "หลงฮว๋า" ได้ร่วมไป
มีบุญไม่ ได้แต่หลง คงโลภเลือน
พระฯ จี้กง : ฉงซิว คืนนี้เราจะไปด่านสุดท้ายของจิ่วหยังกวน เตรียมตัวเดินทางเถอะ
ฉงซิว : อะไรกันขอรับ ทำไมหมดเร็วจัง ยังไม่หายอยากเลยจะสิ้นสุดคืนนี้แล้วหรือขอรับ
พระฯ จี้กง : ยังมีตำหนักอนุโมทนา ของจิ่วหยังกวนอีกแห่งหนึ่งที่จะต้องไป พรุ่งนี้เราจะไปกัน
ฉงซิว : ดูเหมือนยิ่งไปถึงด่านท้าย ๆ เรื่องราวก็ยิ่งเล็กน้อย ความผิดนิด ๆ หน่อย ๆ ก็จะต้องเอามาแก้ไขมาสำนึกกัน จะเป็นการทำให้ดีเกินเหตุหรือเปล่าขอรับ
พระฯ จี้กง : แม้จะผิดเพียงเล็กน้อย แต่นานวันเข้าจะติดเป็นนิสัยจนกลายเป็นเลวร้าย เราจะต้องเข้าใจว่า วิธีการของจิ่วหยังกวนไม่ใช่เน้นการทำโทษแต่หนักในทางอบรมกล่อมเกลา ให้ได้รู้ว่าตนทำผิดอะไร อย่างนี้จึงจะบรรลุได้ และเป็นผู้บรรลุจริง เข้าใจไหม
ฉงซิว : เป็นอย่างนี้นี่เอง ศิษย์เข้าใจแล้วขอรับ
พระฯ จี้กง : เราไปกันได้แล้ว
ฉงซิว : ขอรับ ศิษย์พร้อมแล้ว พระอาจารย์โปรดเดินทางได้
พระฯ จี้กง : ดีละ หลับตา ... ถึงแล้ว เบื้องหน้าคือด่าน "บรรลุอริยะ" (เฉิงเซิ่งกวน) รอเราอยู่แล้ว รีบเข้าไปพบเถิด
พระฯ นายด่าน : น้อมต้อนรับพระพุทธะจี้กงและนักบุญฉงซิว ทั้งสองท่านได้รับสนองพระโองการมาหาข้อมูลที่จิ่วหยังกวน เพื่อสร้างหนังสือวิเศษที่ไม่เคยมีมาก่อนแต่โบราณกาล ต้องเดินทางขึ้นล่องด้วยความเหนื่อยยาก ระหว่างฟ้าดินนี้ น่าเคารพยิ่งนัก
พระฯ จี้กง : หนังสือบันทึกท่องจิ่วหยังกวน (สถานเคี่ยวกรำผู้บำเพ็ญ) ใกล้จะสร้างเสร็จแล้ว อาตมาก็จะได้พักผ่อนเสียที คืนนี้มาที่นี่เป็นด่านสุดท้าย ฉงซิวมีข้อสงสัยอะไรก็กราบเรียนถามพระองค์นายด่านเสีย
ฉงซิว : ขอรับ กราบคารวะพระองค์นายด่านและเซียนผู้อาวุโสทุกพระองค์ คืนนี้ได้ติดตามพระอาจารย์มารบกวนขอได้โปรดประทานอภัย
พระฯ นายด่าน : ฉงซิวอย่าได้เกรงใจไปเลย เชิญเข้านั่งพักในตำหนักสักครู่เถิด
พระฯ จี้กง : ดี ฉงซิวเราเข้าไปกัน
ฉงซิว : ขอรับ กลอนคู่ที่ข้างประตูตำหนักแห่งนี้มีความว่า
" ใครผ่านด่าน การเคี่ยวกรำ ซ้ำหลายครั้ง
มาถึงยัง ตำหนักนี้ ไม่เสียทีที่บำเพ็ญ "
พระฯ นายด่าน : ทูลเชิญพระ ฯ จี้กง เชิญฉงซิวนั่ง พนักงานข้างในถวายน้ำชา
ฉงซิว : ทูลถามพระองค์นายด่าน ที่นี่เป็นด่านสุดท้ายของจิ่วหยังกวน ที่ได้ชื่อว่า "ด่านบรรลุอริยะ" คงหมายความว่า เมื่อมาถึงด่านนี้ก็เท่ากับเคี่ยวกรำจบแล้ว
พระฯ นายด่าน : จะว่าอย่างนั้นก็ได้ แม้เศษของความผิด ทางด่านนี้ก็ยังจะต้องแก้ไขให้ แม้การลงโทษของที่นี่ จะค่อนข้างเบา แต่ก็ยังจะต้องรับผิดชอบแก้ไขความผิดเล็ก ๆ น้อย ๆ ของผู้บำเพ็ญที่มักจะละเลยกัน
-
จิ่วหยังกวน
สถานเคี่ยวกรำผู้บำเพ็ญ
ตอนที่ 13
ท่องด่านที่เก้าของจิ่วหยังกวน
ด่านบรรลุอริยะ
(เฉิงซิ่งกวน)
วันที่ 8 พศจิกายน พ.ศ. 2525
พระพุทธะจี้กงประทับทรง โปรดนำด้วยโศลกความว่า :
ศึกษาธรรม บำเพ็ญกาย ใจบำเพ็ญ
ปรกปลูกเป็น ต้นโพธิ์งาม สัมพันธ์ไว้
บุญหนุนส่ง งาน "หลงฮว๋า" ได้ร่วมไป
มีบุญไม่ ได้แต่หลง คงโลภเลือน
ฉงซิว : อ้อ ... ด่านของพระองค์ใช้วิธีลงโทษอย่างไรเพื่อแก้ไขผู้บำเพ็ญและเขาทำผิดในข้อไหนขอรับ
พระฯ นายด่าน : ด่านนี้มีด่านย่อยอีกเก้าด่าน แต่ละด่านมีเครื่องมือส่งเสริมทางธรรมต่างกัน เครื่องมือเหล่านั้นไม่ใช่มีไว้ลงโทษ แต่มีไว้แก้ไขให้พวกเขารีบบรรลุในเร็ววัน ความผิดของผู้บำเพ็ญเมื่อมีชีวิตอยู่ เช่น นั่งไม่เรียบร้อย ผิดลักษณะการนั่ง จริยะบุคลิกไม่น่าเคารพ เวลานอนไม่สวมเสื้อผ้า หรือ ใช้หนังสือธรรมะหนุนแทนหมอน บางคนชี้มือชี้ไม้ขณะพูด เป็นลักษณะไม่สำรวม ฯลฯ ด่านนี้จะตรวจสอบความบกพร่องเหล่านี้แล้วส่งมอบให้ด่านย่อยทำหน้าที่แก้ไข บางคนก็สามวันห้าวัน พอเข้าใจความผิดของตัวแล้ว ก็จะส่งต่อไปที่ตำหนัก "เพิ่มบำเพ็ญ" บำเพ็ญจนบรรลุจริง
ฉงซิว : โอ ตายละ เวลาอากาศร้อน ๆ กระผมก็ถอดเสื้อนอน แย่แน่เลย จะทำยังไงดี
พระฯ นายด่าน : ฉงซิวรับสนองพระโองการสร้างหนังสือท่องจิ่วหยังกวน สาธยายความผิดของผู้บำเพ็ญที่เกิดขึ้นทั่วไป เข้าใจแล้วตัวเองก็ต้องรีบแก้ไขเบื้องบนจะไม่ลงโทษผู้สำนึกผิด ต่อไประวังอย่าผิดอีกก็แล้วกัน
ฉงซิว : ขอรับ ขอบพระคุณพระองค์นายด่านที่ได้โปรดชี้แนะ จากนี้ไปศิษย์จะระวังตัว
พระฯ จี้กง : รบกวนท่านนายด่านโปรดบัญชาให้นำฉงซิวไปดูสถานที่จริง จะได้เข้าใจดีขึ้น
พระฯ นายด่าน : น้อมรับ ให้นายทะเบียนนำพระพุทธะจี้กงและฉงซิวไปชมด่านย่อยที่เหลือ ผู้น้อยน้อมรับ ทูลเชิญพระพุทธะจี้กง เชิญนักบุญฉงซิวตามผู้น้อยมา ... ถึงแล้ว
พระฯ ผู้คุม : กราบรับพระบาทพระฯจี้กง ยินดีต้อนรับฉงซิวที่มาเยือน
พระฯ จี้กง : มิต้องคารวะ นำเราเข้าไปเถิด
พระฯ ผู้คุม : รับพระบัญชา โปรดตามผู้น้อยมา
ฉงซิว : โอ้โฮ โอ่โถงโล่งแจ้งอะไรอย่างนี้ สว่างสดใสไปหมด ไม่เหมือนด่านอื่น ๆ ที่มืดทึบอับเฉา เอ๊ะ ทำไมมีคนนอนดูเพดานอยู่บนเตียง บนเพดานดูเหมือนมีตัวหนังสืออยู่ บางคนนั่งนิ่งเหมือนเข้าฌาน บางคนยืนนิ่งไม่ขยับ อะไรกันขอรับ
พระฯ ผู้คุม : ข้าพเจ้าจะเรียกบางคนให้ซักถามให้เข้าใจ สามคนนั่นมากราบคารวะพระพุทธะจี้กง และรู้จักนักบุญฉงซิวมือทรงเอกแห่งตำหนักพระไถจงฉงเซิงเสีย คืนนี้ท่านทั้งสองจะมาเก็บข้อมูลที่นี่ตามพระโองการของเบื้องบน เพื่อสร้างหนังสือบุญ จงเล่าความผิดของตนให้ละเอียด จะจารึกไว้ในบทสำคัญ เพื่อเตือนใจชาวโลก
ผู้บำเพ็ญ ก. ข. ค. : กราบพระบาทพระพุทธะจี้กง ยินดีได้พบนักบุญฉงซิว
พระฯ จี้กง : อย่าลำบากเลย
ฉงซิว : คารวะผู้อาวุโสทุกท่าน ผู้บำเพ็ญที่อยู่ในด่าน "บรรลุอริยะ" นี้ดูเหมือนไม่ทุกข์เหมือนด่านอื่น
ผู้บำเพ็ญ ก. : ดูเหมือนอย่างนั้น แต่แท้จริงมิใช่
-
จิ่วหยังกวน
สถานเคี่ยวกรำผู้บำเพ็ญ
ตอนที่ 13
ท่องด่านที่เก้าของจิ่วหยังกวน
ด่านบรรลุอริยะ
(เฉิงซิ่งกวน)
วันที่ 8 พศจิกายน พ.ศ. 2525
พระพุทธะจี้กงประทับทรง โปรดนำด้วยโศลกความว่า :
ศึกษาธรรม บำเพ็ญกาย ใจบำเพ็ญ
ปรกปลูกเป็น ต้นโพธิ์งาม สัมพันธ์ไว้
บุญหนุนส่ง งาน "หลงฮว๋า" ได้ร่วมไป
มีบุญไม่ ได้แต่หลง คงโลภเลือน
ฉงซิว : เอ๊ะ ทำไมขอรับ เมื่อกี้ผู้น้อยเห็นท่านนอนอยู่บนเตียงไม่มีเครื่องทรมานอะไรเลย ท่านทำผิดอะไรไว้หรือ
ผู้บำเพ็ญ ก. : นอนน่ะดูดี แต่พื้นเตียงเป็นเหล็กแข็งไม่สบายเลย ขยับก็ไม่ได้ จะต้องนอนตายตัวอย่างนั้นติดต่อกันสามวัน กระดิกตัวไม่ได้เลย บนเพดานก็ยังมีคัมภีร์ธรรมบังคับให้ท่องอ่าน ท่องอ่านให้หมดเร็วก็พ้นจากเตียงเหล็กได้เร็ว ทั้งนี้ต้องโทษตัวฉันเอง เมื่อครั้งมีชีวิตชอบเอาหนังสือบุญหรือพระธรรม
คัมภีร์มาหนุนแทนหมอน พระองค์นายด่านบอกว่า ฉันไม่เคารพปราชญ์อริยะ จะต้องลงโทษให้นอนอยู่อย่างนี้ สามวันพ้นแล้วจึงจะส่งฉันไปที่ตำหนัก "เพิ่มบำเพ็ญ" เพื่อศึกษาจริยะบุคลิกและการปลูกฝังจิต
ฉงซิว : อ้อ อย่างนี้นั่งเอง ดูเหมือนความผิดแม้แต่น้อยก็ไม่ได้ เรียนถามผู้อาวุโสท่านนี้บ้าง เมื่อกี้เห็นท่านยืนนิ่งเหมือนรูปสลักคงไม่เจ็บปวดอะไรกระมัง ท่านผิดด้วยเรื่องอะไรหรือขอรับ
ผู้บำเพ็ญ ข. : ฉันยืนเมื่อยแทบตายอยู่แล้ว ถ้าไม่ขยับเลยทั้งสามวัน พระองค์นายด่านจึงจะส่งฉันไปฝึกจริยะบุคลิกและจิตญาณที่ตำหนัก "เพิ่มบำเพ็ญ" เป็นเพราะเมื่อมีชีวิตอยู่ฉันชอบพิงกำแพง พิงเสา เห็นอะไรพิงได้ก็พิง มีคนเคยเตือนว่า ผู้บำเพ็ญไม่ให้มีลักษณะเหมือน "ไม่มีกระดูก" ชอบพิงโน่นพิงนี่แต่ฉันไม่ฟัง แม้แต่นั่งอ่านเขียนหรือทำสมาธิหรือพูดคุยกับใครก็ต้องหาที่พิง มีคนบอกฉันว่าอย่างนี้ไม่น่าดู แต่เพราะความเคยชิน จึงแก้ไม่หาย พอฉันตายได้มาถึงตำหนัก "บรรลุอริยะ" ของจิ่วหยังกวนนี้ พระองค์นายด่านว่า ฉันไม่มีจริยะบุคลิกที่น่าดู ขาดความสำรวม ตัดสินให้ยืนอยู่นี่สามวัน สามวันนี้ไม่ให้กระดิกตัวแม้แต่น้อย จึงจะส่งฉันไปฝึกต่อที่ตำหนัก "เพิ่มบำเพ็ญ" เฮ้อ ! ขอเตือนผู้บำเพ็ญในโลกว่านั่งให้มีลักษณธการนั่ง ยืนให้มีลักษณะการยืน ใครผิดก็จะได้รับโทษอย่างฉัน
ฉงซิว : แย่แล้ว ! นิสัยอย่างนี้บางทีกระผมก็เป็นเหมือนกัน ขอบพระคุณที่ท่านหวังดีบอกกล่าว เรียนถามอาวุโสท่านนี้ เมื่อกี้ดูเหมือนเห็นท่านคุกเข่าอยู่กับพื้น คงลำบากหน่อย สำหรับกระผมการหมอบกราบรู้สึกลำบากมาก ไม่ทราบว่าท่านทำผิดอะไร
ผู้บำเพ็ญ ค. : โอ คุกเข่าอยู่ลำบากจริง ๆ ต้องคุกเข่าฝึกจริยะเพราะเมื่อมีชีวิตอยู่ทำผิดเช่น
1. เวลานั่งรับประทานอาหารร่วมกับพระอาจารย์หรือผู้อาวุโสท่านยังมิได้เริ่มรับประทาน ศิษย์ผู้น้อยลงมือเสียก่อน เรียกว่า "ไม่ละเอียดรอบครอบในจริยะ"
2. คารวะต่อกัน ไม่คารวะตอบ จะเป็นระหว่างสามีภรรยา พี่น้อง ผู้บำเพ็ญ หรือต่อผู้น้อยก็ตาม ฝ่ายที่ไม่คารวะตอบ จะต้องถูกนำมาคุกเข่าคารวะตอบที่นี่ 3. ศิษย์ที่ร่วมเดินทางกับอาจารย์ สนใจหอบหิ้วแต่สัมภาระของตัวเอง ไม่ช่วยหยิบถือให้อาจารย์ เรียกว่า "ไม่เคารพยกย่อง" ก็จะต้องมารับโทษคุกเข่าอยู่ที่นี่
ฉงซิว : อย่างนี้เอง แต่ไม่ทราบว่าท่านทำผผิดข้อไหน และจะต้องคุกเข่าอยู่นานเท่าไหร่
ผู้บำเพ็ญ ค. : แย่จังเลย ที่กล่าวมาทุกข้อดูเหมือนฉันจะมีส่วนทั้งนั้น พระองค์นายด่านจึงตัดสินให้ฉันคุกเข่าอยู่สามวัน หลังจากนั้นจึงจะส่งฉันไปฝึกจิตศึกษาธรรมที่ตำหนัก "เพิ่มบำเพ็ญ"
ฉงซิว : อย่างนี้นั่นเอง ขอบพระคุณท่าน
พระฯ ผู้คุม : ทั้งสามเล่าจบแล้ว รีบกลับเข้าที่สำนึกได้
พระฯ จี้กง : ค่ำแล้วเราก็ควรกลับตำหนักกันได้แล้ว รบกวนท่านผู้คุม ขอบพระคุณท่านนายด่านแทนอาตมาด้วย
พระฯ ผู้คุม : กราบส่งพระพุทธะจี้กง และส่งนักบุญฉงซิวกลับตำหนัก ฯ
พระฯ จี้กง : รบกวนท่าน ฉงซิวรีบออกจากด่านกลับตำหนักฯ นกเผิงใหญ่รอเราอยู่ที่นั่นแล้ว
ฉงซิว : ขอบพระคุณพระผู้คุมและเซียนอาวุโสทุกพระองค์ที่ให้การต้อนรับเป็นอย่างดี ศิษย์กราบลา พระอาจารย์ได้โปรด ศิษย์นั่งพร้อมแล้วโปรดเดินทางได้
พระฯ จี้กง : ดีละ หลับตา บินได้ ถึงตำหนักฉงเซิง วิญญาณฉงซิวกลับเข้าร่างดังเดิม
-
จิ่วหยังกวน
สถานเคี่ยวกรำผู้บำเพ็ญ
ตอนที่ 14
ท่องจิ่วหยังกวน
ตำหนักอนุโมทนาบุญ
(เล่อซั่นถัง)
วันที่ 9 พศจิกายน พ.ศ. 2525
พระพุทธะจี้กงประทับทรง โปรดนำด้วยโศลกความว่า :
ผ่านครบถ้วน ล้วนสว่าง ด่านเก้าเก้า
ทุกวันเฝ้า ประคองนิ่ง ญาณจริงตน
พึงรู้วาร ธรรมกาล ผันเปลี่ยนพ้น
จะไม่วน หลงเกิดกาย ไปหรือมา
พระฯ จี้กง : "บันทึกท่องจิ่วหยัง" ใกล้จะปิดเล่มแล้ว อาตมาเบาใจมาก ตำหนักฯ ฉงเซิงถังรับสนองพระโองการตามบุญกำหนด รับภาระใหญ่กล่อมเกลาผู้คนในยุคที่วิถีอนุตตรธรรมมาพร้อมกับภัยพิบัติ หวังว่าฉงซิวจะต้องยืนหยัดให้มั่นคง สำรวจตน เตือนตน วันข้างหน้าเมื่อบุญกุศลถึงพร้อมแล้ว จะสามารถผ่านด่านต่าง ๆ ของจิ่วหยังกวนไปได้อย่างราบรื่น ได้บรรลุอริยะจริง
ฉงซิว : ขอบพระคุณพระอาจารย์ได้โปรดสั่งสอน จิ่วหยังกวนเก้าเก้าแปดสิบเอ็ดด่าน แม้ไม่อาจไปหาข้อมูลได้ทั่ว แต่ก็ได้เลือกด่านที่เป็นแบบอย่างมาเล่าโดยละเอียด เพื่อโน้มน้าวให้ชาวโลกได้รู้ว่ามีสถานที่นี้ ผู้บำเพ็ญยิ่งจะต้องตั้งหน้ามุ่งสู่หนทางธรรมะ อย่าปล่อยให้นิสัยอารมณ์ทางโลกบดบัง ทำให้ตกต่ำ
พระฯ จี้กง : งานธรรมะของตำหนักฉงเซิง ก็มีผลต่อชาวเมืองไต้หวันมาก หวังว่าศิษย์ทุกคนที่ตำหนักจะได้บำเพ็ญให้ดี มิฉะนั้นจะเหมือนเข้าถ้ำอัญมณีแต่ไม่ได้อะไรมา น่าเสียดายไหม อุตส่าห์บำเพ็ญมาก็เหนื่อยเปล่า
ฉงซิว : ขอบพระคุณพระอาจารย์ได้โปรดอบรม พี่น้องญาติธรรมในตำหนัก ฯ ของเราทุกคนจะทำตามคำสอนของพระองค์ จะไม่ให้พระองค์ต้องผิดหวัง
พระฯ จี้กง : เอาละ ถึงเวลาแล้ว คืนนี้ที่เราจะไปกันคือ เหนือดินแดนตะวันตกหรือตำหนัก "อนุโมทนาบุญ" ของด่านจิ่วหยัง เป็นการบันทึกท่องด่านจิ่วหยังเที่ยวสุดท้ายแล้ว ฉงซิวรีบขึ้นนกเผิงใหญ่เราไปกันเถอะ
ฉงซิว : ขอรับ ศิษย์พร้อมแล้ว ทูลเชิญพระอาจารย์
พระฯ จี้กง : เอาละหลับตา บินได้ ... ถึงแล้ว เบื้องหน้าคือตำหนัก "อนุโมทนาบุญ" ของด่านจิ่วหยัง ประมุขเซียน (เซียนจวิน) ที่ตำหนักนี้พร้อมทั้งเหล่าเซียนกำลังรอเราอยู่แล้ว ฉงซิวรีบเข้าไปคารวะเสีย
ฉงซิว : ขอรับ กราบพระบาทพระองค์เซียนจวิน และเซียนผู้อาวุโสทุกพระองค์ ศิษย์ฉงซิวคือมือทรงเอกแห่งพระตำหนักไถจงฉงเซิง สังกัดเบื้องบนทักษิณาลัย คืนนี้ได้รับสนองพระโองการตือตามพระอาจารย์มากราบเยี่ยมตำหนักของพระองค์ จะเป็นเหตุรบกวนอันใด หวังว่าพระองค์ได้โปรดประทานอภัย
เซียนจวิน : ลุกขึ้นเถิดฉงซิว มิต้องคารวะ ยินดีต้อนรับพระพุทธะจี้กงและเจ้ามาที่นี่ พระพุทธะจี้กงรับสนองพระโองการจากพระแม่องค์ธรรมย่ำไปในสามโลก น่าเคารพยิ่งนัก
พระฯ จี้กง : เฮ้อ จนหนทางกับชาวโลกจริง ไม่ดื่มเหล้าก็เมาหนัก อาตมาดื่มบ่อยกลับมีสติ ที่จริงก็ไม่ใช่อาตมาเท่านั้นหรอกที่ยุ่งกับงานนี้ พระอริยะทุกพระองค์มีพระองค์ไหนบ้างที่ไม่ต้องยุ่งกับงานฉุดช่วยชาวโลก
เซียนจวิน : พระอาจารย์จี้กงช่างเกรงใจ คำพูดของพระองค์มีปริศนาธรรมแฝงอยู่ ซึ่งหวังว่าชาวโลกจะได้ตื่นกันจริง ๆ เสียที เชิญทั้งสองท่านพักผ่อนข้างในสักครู่
พระฯ จี้กง : ดีทีเดียว ฉงซิวรีบเข้าไปเถอะ
ฉงซิว : ขอรับ ที่สองข้างประตูมีกลอนคู่ความว่า
ตรวจสอบชั่วชีวิต ไม่ผิดตกบกพร่อง
ให้ท่องชมสวรรค์
บุญกุศลครบครัน บัญชีเราถวาย
เจ้าเป็นไทสุขเสรี
เซียนจวิน : ฉงซิว ตะลึงอะไรอยู่
ฉงซิว : โอ ท้องพระโรงของพระองค์ใหญ่โตมโหฬารเหลือเกิน เหมือนกับอาคารใหญ่ที่ระลึกอดีตประธานาธิบดีเจียงไคเช็คที่ไทเปยังงั้น เซียนอาวุโสมากมาย ผ่านเข้าออกกันขวักไขว่ อย่างกับเร่งทำงานกัน
พระฯ จี้กง : เข้าไปข้างใน แล้วขอให้พระองค์เซียนจวินเล่าความเป็นไปของ ตำหนักอนุโมทนาบุญ ให้ฟังเถอะ
เซียนจวิน : น้อมรับ เชิญพระพุทธะจี้กง และฉงซิวนั่งเสียก่อน ฉงซิวมีข้อสงสัยอันใดเชิญถามได้
ฉงซิว : ไม่ทราบว่า ต"ำหนักอนุโมทนาบุญ " ทำหน้าที่อะไรในจิ่วหยังกวน พระองค์ได้โปรดบอกกล่าว
-
จิ่วหยังกวน
สถานเคี่ยวกรำผู้บำเพ็ญ
ตอนที่ 14
ท่องจิ่วหยังกวน
ตำหนักอนุโมทนาบุญ
(เล่อซั่นถัง)
วันที่ 9 พศจิกายน พ.ศ. 2525
พระพุทธะจี้กงประทับทรง โปรดนำด้วยโศลกความว่า :
ผ่านครบถ้วน ล้วนสว่าง ด่านเก้าเก้า
ทุกวันเฝ้า ประคองนิ่ง ญาณจริงตน
พึงรู้วาร ธรรมกาล ผันเปลี่ยนพ้น
จะไม่วน หลงเกิดกาย ไปหรือมา
เซียนจวิน : ตำหนัก "อนุโมทนาบุญ" นี้ ทุกวันจะมีผู้บรรลุธรรมนับพันนับหมื่นผ่านไปมา มีเซียนพระประมุข (เซียนจวิน) สิบสองพระองค์จัดการดูแล แต่ละพระองค์เซียนจวินจะต้องดูแลสิบสองพระตำหนัก
ในตำหนัก "อนุโมทนาบุญ" นี้จึงมีพระตำหนักย่อยรวมหนึ่งร้อยสี่สิบสี่ตำหนัก เราทำหน้าที่ดูแลทั้งหมด
ในแต่ละตำหนักก็จะมีเซียนพระผู้คุมหนึ่งพระองค์ ภายใต้พระบัญชาของพระผู้คุมแต่ละพระองค์ก็ยังมีหัวหน้าเวรอีกสิบหกพระองค์
ภายใต้พระบัญชาของหัวหน้าเวร ก็ยังมีเจ้าหน้าที่ยี่สิบแปดพระองค์
ภายใต้พระบัญชาของเจ้าหน้าที่ ก็ยังมีพนักงานดูแลอีกยี่สิบสี่พระองค์
ภายใต้พระบัญชาของพนักงานดูแล ก็ยังมีผู้ติดตามอีกยี่สิบสี่พระองค์
ภายใต้พระบัญชาของผู้ติดตาม ก็ยังมีผู้รับใช้อีกสามสิบหกพระองค์
ผู้ที่เพิ่งมาถึงตำหนักอนุโมทนาบุญ เราจะต้องตรวจสอบสมุดบาปบุญแต่ละข้อของเขาแล้วกำหนดมรรคผลตามบุญกุศลของเขาว่าอยู่ขั้นไหน จากนั้นเซียนจวินสิบสองพระองค์จึงค่อยรายงานมายังเรา เราก็จะถวายรายงานนำผู้นั้นขึ้นสู่สุทธาวาสแดนสุขาวดีอันสงบ อิสระ และวิเศษจนไม่อาจบรรยาย
ผู้ไม่มีหน้าที่รับผิดชอบอันใด ก็จะท่องเที่ยวไปด้วยความสุขในดินแดนวิเศษของเซียนทั้งหลายนั้น
ฉงซิว : ฟังแล้วชื่นชมเหลือเกิน
เซียนจวิน : ไม่เพียงเท่านั้น บางพระองค์แม้จะบรรลุอริยะฐานะแล้ว แต่ตั้งใจจะสร้างบุญฉุดช่วยผู้คนอีกแล้วกลับลงไปเกิดใหม่ เมื่อกลับขึ้นมาครั้งนี้เราก็จะต้องตรวจสอบรากฐานเดิมของท่านว่าไปจากอริยะฐานะระดับใด การลงไปสร้างบุญครั้งนี้ หากกุศลผลบุญไม่เพียงพอแก่ระดับเดิม เมื่อกลับขึ้นมาก็จะอนุโลมให้ขึ้นไปอยู่ในระดับเดิมก่อน บุญกุศลที่ไม่ครบถ้วนอนุญาตให้เพิ่มเติมได้ภายหลัง แต่หากเมื่อลงไปเกิดใหม่แล้วได้สร้างบุญกุศลใหญ่ เมื่อบรรลุขึ้นมาใหม่จะได้เลื่อนพระอริยะฐานะอีกสามระดับ หญิงชายจะได้เช่นเดียวกัน บัลลังก์บัวของแต่ละคน ต่างกำหนดขึ้นได้จากการบำเพ็ญในโลก รวมความว่าจะกำหนดมรรคผลตามบุญกุศลที่สร้างมา และกำหนดฐานบัลลังก์ตามมรรคผลนั้น
ฉงซิว : ไม่ทราบว่าจนถึงวันนี้ศิษย์มีกุศลผลบุญแล้วเท่าไร พระองค์เซียนจวินจะโปรดให้ดูสักหน่อยได้ไหมขอรับ
เซียนจวิน : ความลับของเบื้องบนไม่อาจเปิดเผยได้ แต่เจ้าได้รับสนองพระโองการมา เราจะอนุญาตให้เจ้าดูเป็นพิเศษ แต่ห้ามอ่านออกเสียง สมุดเล่มนี้คือสมุดบาปบุญของสานุศิษย์ที่พระตำหนักของเจ้า อย่าได้ท่องรายชื่อออกมาเป็นอันขาดเชียว
ฉงซิว : ขอรับ ศิษย์ขอรับพระบัญชา ฮิ ดูของตัวเองก่อน ว้า ... มีแค่นี้เอง แย่แล้ว แย่แล้ว นี่ของศิษย์ผู้พี่ (ชาย) ก็ไม่เลว ... นี่ของพี่หญิงไม่ค่อยดีเท่าไหร่ นี่ของศิษย์ผู้พี่ นาย ข. อือม์ ก็ไม่เลว ... ดูขบแล้ว ขอรับ ขอบพระคุณพระองค์เซียนจวินที่โปรดเมตตา
เซียนจวิน : หวังว่าชาวโลกจะได้รู้ว่าการศึกษาธรรมะก็คือ บำเพ็ญจิต จะต้องเอามนุษย์ธรรมไปเชื่อมกับอนุตตรธรรม เช่นนี้จึงจะเป็นสัมมาธรรมะ หากปรารถนาการบรรลุ จะต้องกวาดล้างนิสัยอารมณ์ ความเคยชินทางโลกีย์วิสัยออกไปให้หมด เช่นนี้จึงจะบรรลุจริง ซึ่งมิเสียแรงที่เจ้าได้ทุ่มเทการบำเพ็ญมาชั่วชีวิต
พระฯ จี้กง : ค่ำแล้ว ต้องลากลับตำหนักด้วยเวลาเพียงเท่านี้ ขอบพระคุณเซียนจวินที่เอื้อเฟื้อ ฉงซิวกราบลาพระองค์กลับตำหนักกันเถิด
ฉงซิว : ขอบพระคุณพระองค์เซียนจวินกับเซียนผู้อาวุโสทุกพระองค์ ศิษย์กราบลา
เซียนจวิน : ประโคมกลองระฆัง เรียงรายสองฟากส่งเสด็จพระพุทธะจี้กง และยินดีส่งฉงซิวกลับตำหนัก
พระฯ จี้กง : ขอบพระคุณ ขอลากลับตำหนัก ฉงซิวรีบขึ้นนกเผิงใหญ เรากลับกันเถิด
ฉงซิว : ขอรับ ศิษย์นั่งดีแล้ว พระอาจารย์ได้โปรดเดินทางได้
พระฯ จี้กง : ดีแล้ว หลับตา บินได้ ... ถึงพระตำหนักฉงเซิง ฉงซิวรีบลงมา วิญญาณกลับเข้าร่างดังเดิม อาตมากับนกเผิงใหญ่กลับเบื้องบนเพื่อถวายรายงาน ณ บัดนี้
~~~ จบบริบูรณ์ ~~~
-
จิ่วหยังกวน
สถานเคี่ยวกรำผู้บำเพ็ญ
พระพุทธะจี้กงโปรดประทับทรง
ประทานสรุปท้ายเรื่อง
เรื่องของโลกทิพย์เป็นนามธรรมที่ไม่อาจจับต้องได้ เป็นไปตามจิตสัมผัสของแต่ละคน โดยเฉพาะในสมัยที่วิทยาศาสตร์เฟื่องฟูในขณะนี้ ยิ่งเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กัน สวรรค์และนรกแท้จริงอยู่ในใจตนเอง บุญและบาปก็เป็นไปตามที่จิตกระหวัด พระอนุตตรธรรมเจ้าทรงเมตตาสงสาร ประทานวิถีอนุตตรธรรมลงมาฉุดช่วยทั่วดินแดนไต้หวัน พระเทวตำหนัก (หลวนถัง) ได้จัดตั้งขึ้นมากมาย สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายทรงแสดงพระบุญญา ประทับทรงอยู่ทุกแห่ง ประกาศสัจธรรมอันแยบยล ก็เพื่อจะชี้ชัดให้ชาวโลกได้เห็นวิถีธรรมอันกว้างใหญ่
น่าเสียดายที่ผู้ศึกษาธรรมมีมากดังฝูงปลาซิวที่ว่ายน้ำผ่านไป แต่ผู้รู้แจ้งประจักษ์ในมรรคผลกลับหาได้ยากดังขนนกหงส์และเขากิเลน สาเหตุก็คืออนุสัยและนิสัยไม่ดีงามทางโลกแก้ได้ยาก จึงไม่อาจบรรลุจริงได้ น่าเสียดายยิ่งนัก เบื้องบนทรงเล็งเห็นเหตุนี้จึงได้โปรดจัดตั้ง "จิ่วหยังกวน" ขึ้นเป็นการเฉพาะ เพื่อกำหราบพุทธบุตรผู้บำเพ็ญ ให้ได้ขัดฝนนิสัยไม่ดีงามเสียที่จิ่วหยังกวน เพื่อจะได้เพียบพร้อมสมบูรณ์
บัดนี้ วิถีอนุตตรธรรมได้โปรดถ่ายทอดไปทั่ว อาตมาจึงได้นำศิษย์หลินฉงซิวแห่งตำหนักไถจงฉงเวิงถอดจิตไปท่องจิ่วหยังกวนแต่ละด่าน แต่ก็หวังว่าพุทธบุตรผู้บำเพ็ญทั้งหลายจะสำนึกรู้พระเจตนาของพระอนุตตรธรรมเจ้า เมื่อได้อ่านหนังสือศักดิ์สิทธิ์เล่มนี้ จงสำนึกในความผิดที่แล้วมา เพียรสร้างบุญกุศล ก็ยังอาจบรรลุได้
บัดนี้ ในระหว่างที่ "บันทึกท่องจิ่วหยังกวน" พร้อมจะส่งพิมพ์ อาตมาได้ประทับทรงเจาะจงสรุปไว้ด้วยบทสั้น ๆ ดังกล่าว หวังว่าผู้บำเพ็ญทั้งหลายในโลกจะได้สำนึกรู้ว่า แม้ "จิ่วหยังกวน" จะเข้มงวด ถ้าแม้นเพียงแต่ตั้งใจบำเพ็ญด้วยพลานุภาพจิตอันเที่ยงตรงเท่านั้น บัลลังก์บัวก็มิได้ห่างไกลไป
พระเต้าจี้แห่งหนันผิง สรุปมา ณ พระตำหนักไถจงฉงเซิง สังกัดทักษิณาลัย
พฤศจิกายน พ.ศ. 2525