นักธรรม

ห้องสมุด "นักธรรม" => หนังสือ => ข้อความที่เริ่มโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 18/11/2011, 12:16

หัวข้อ: ท่องนรก
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 18/11/2011, 12:16
::  คำปรารภ


          นับตั้งแต่ฉันแปลหนังสือเที่ยวเมืองนรกเป็นต้นมา เวลาก็ได้ล่วงเลยมากว่า 20 ปีแล้ว  หนังสือเล่มนี้ยังคงมีผู้สนใจต้องการมีไว้ศึกษาก็ดี เตือนสติก็ดีตลอดจนได้ยับยั้งผู้ที่กำลังคิดจะทำชั่ว ก็หยุดคิดทำชั่วเสียได้ หรือผู้ที่ทำไปแล้วมีความสำนึกผิดกลับตัวกลับใจเป็นคนดีก็มีมาก หนังสือเล่มนี้จึงมีประโยชน์มิใช่น้อย จึงได้ทำการพิมพ์ซ้ำแล้วซ้ำอีกจำนวนหลายครั้ง ยอดพิมพ์รวมกันก็เกินแสนเล่ม ทำให้ฉันรู้สึกปลื้อมปิติ ที่ได้แปลหนังสือนี้ เพราะได้ผลมาก แม้จะมีอานิสงค์มากก็จริง แต่ก็ยังมีผู้คนจำนวนมากที่ไม่เชื่อว่านรกมีจริง สวรรค์มีจริง คงเชื่อแต่สิ่งที่มองเห็นได้สัมผัส ได้เท่านั้นที่เป็นจริง (พวกวัตถุนิยม )  เมื่อมีโอกาสได้พบหน้ากัน ก็มักจะตั้งคำถามเอากับฉันอยู่บ่อย ๆ ว่า นรกมีจริงหรือ ?. หากฉันจะอธิบายให้เขาฟังทันทีที่ถามก็เกรงว่า เขาจะเข้าใจไม่แจ่มแจ้งชัดเจน ฉันก็เลยถือโอกาสในการพิมพ์ซ้ำครั้งนี้ มาพูดคัยให้ฟังเสียพร้อม ๆ กัน 

          ขอเริ่มต้นจากคำว่า "ทุกข์" ที่คิดว่าทุก ๆคนคงรู้จักและมีประสบการณ์กันดี เธอคิดว่า "ทุกข์" คือะไร ?. คำสาธยายมีมากมายแต่พอขอให้เธอช่วยหยิบตัวทุกข์ออกมาให้ดูหน่อย ทุกคนก็ไม่สามารถหยิบออกมาได้ใช่ไหม ?. ถูกต้องแล้ว ! "ทุกข์" เป็นนามธรรมไม่ใช่รูปธรรม จึงไม่มีรูปร่างให้เห็น จะเห็นได้ก็เพียงแต่อาการที่อารมณ์แสดงออกเท่านั้น การที่คนมีความสุขมีความทุกข์ได้ก็อยู่ ที่ใจสัมผัสรับรู้ใช่ไหม?.  จึงมีคำกล่าวว่า "สวรรค์ในอกนรกในใจ" นั่นก็หมายความว่า ตัวสุขก็ดีตัวทุกข์ก็ดี มันอยู่ที่ตัวจิตใจใช่ไหม?.  บางคนอาจทักว่า เมื่อจิตใจมองไม่เห็น สวรรค์นรกก็ไม่มีจริงนะซิเพราะเป็นเพียงอารมณ์ของจิต พูดแบบนั้นคงไม่ถูก เพราะตัวจิตหรือวิญญาณนั้นมีอยู่แม้ตาจะมองไม่เห็นแต่มันก็มีอยู่ คนที่ไม่มีจิตวิญญาณก็เป็นคนที่ตายแล้ว เรามองดูก็รู้ว่าเป็นคนตาย แม้เราจะมองไม่เห็นวิญญาณผู้ตายก็ตาม ถ้าร่างกายคนตายถูกปล่อยทิ้งไว้ก็จะแปรสภาพคืนสู่ธรรมชาติ ส่วนจิตวิญญาณก็แปรเปลี่ยนไป ก่อนที่วิญญาณจะดับ ปฏิสนธิจิตก็จะเกิดขึ้นพร้อมกับรหัสกรรม ที่คนสั่งสมไว้ขณะที่ยังมีชีวิต คือ กุศลจิต  อกุศลจิต  อัพยากฤตจิตที่เป็นพีชะให้จิตไปปฏิสนธิในภพภูมิใหม่ต่อไป ถ้าจิตเป็นทุกข์คือ มีอกุศลจิตมาก ภพภูมิที่ไปก็คือขุมนรกนั่นเอง ถ้าจิตเป็นสุข คือ มีกุศลจิตมาก ภพภูมิที่ไปคือสวรรค์ไปเป็นเทพเทวา ส่วนจะไปนิพพาน จิตวิญญาณต้องไม่มีรหัสกรรมคือไม่มีพีชะ ไม่มีทั้งกุศลและอกุศล เป็นอัพยากฤต คือกลาง ๆ หรือเรียกว่าจิตแท้  จิตเดิมจิตบริสุทธิ์  ( ตามนิกายวิญญาณวาทิน ) หรือเรียกว่า ดับจิต ดับวิญญาณ  คือ จิตวิญญาณไม่มี  เป็นจิตที่ว่างอย่างยิ่งยวด หมายความว่า จิตเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับความว่าง ( ความว่างสากล )  ( นิกายศูนยวาทิน ) 

          สำหรับผู้ที่ยึดถือเอาจิตวิญญาณไปนิพพาน ก็จะไปติดอยู่ที่รูปพรหม  อรูปพรหม  ซึ่งเป็นนิพพานที่ยังไม่ถึงที่สุด ผู้ที่ดับจิต ดับวิญญาณ ได้แก่ พระอรหันต์  พระพุทธเจ้า  ก็จะเข้าสู่โลกุตตรนิพพาน  พูดมาถึงตรงนี้  หลายคนคงจะงง ไม่เข้าใจ ขอย้อนพูดถึง ตัวทุกข์อีกที ทุกข์ไม่มีใครอยากได้  สุขเท่านั้นที่คนอยากได้  หารู้ไม่ว่าตัวทุกข์ กับตัวสุข เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เหมือนเหรียญหนึ่งมีสองด้านใจก็เช่นเดียวกัน ใจมีอันเดียว มีทั้งทุกข์ และ สุขอยู่ด้วยกัน  เพราะฉะนั้น ถ้าไม่อยากมีทุกข์ก็จงละสุขเสีย เมื่อสุขไม่มีทุกข์ก็ไม่มี เหมือนเหรียญขาดด้านหนึ่งก็ไม่มีอีกด้านหนึ่ง ผู้ใดอยากพ้นทุกข์ได้สุข ก็ควรทำให้ได้ให้ถึงเสียแต่ในชาตินี้ ถ้าไม่ถือเอาภายหน้าเป็นประมาณแล้ว ได้ชื่อว่าเป็น "คนหลง "  แม้ความสุขอย่างสูงคือ "นิพพาน" พึงขวนขวายให้ได้ให้ถึงเสียเมื่อยังมีชีวิตอยู่ ตอนมีชีวิตอยู่ได้เสวยสุขในนิพพาน ได้ชื่อว่า "นิพพานดิบ"  ( แม้ยังมีทุกข์อยู่ เพราะมีสังขารอยู่ )  เมื่อตายไปแล้วก็ได้เสวยสุขในนิพพาน ได้ชื่อว่า "นิพพานสุก"  เพราะฉะนั้น นรกก็ดีสวรรค์ก็ดี ยังคงมีอยู่เพราะวิญญาณยังมีอยู่  วิญญาณยังมีที่ใด ความเกิดแก่เจ็บตายก็มีอยู่ในที่นั้น  โลกุตตรนิพพานปราศจากวิญญาณ จึงไม่มีเกิดไม่มีแก่ ไม่มีเจ็บไม่มีตาย มีแต่ความสบาย ปราศจากอามิส จะหาความสุขใดมาเปรียบด้วยนิพพานไม่ได้ ดังนี้แล   

          สุดท้าย  ขออนุโมทนาท่านที่บริจาคสร้างหนังสือนี้  จึงให้ได้โลกุตตรนิพพานทุก ๆคนเทอญ


ด้วยความปรารถนาดี

ธรรมบัญชา
15 พฤษภาคม 2546 (วันวิสาขบูชา)
                     
หัวข้อ: คำนำ ฉบับครบรอบ 15 ปี
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 18/11/2011, 12:43
::  คำนำ ฉบับครบรอบ 15 ปี


        มีสิ่งที่น่ายินดีสองประการ สำหรับหนังสือเที่ยวเมืองนรก เล่มนี้  ประการที่หนึ่ง หนังสือเล่มนี้ ได้มีการพิมพ์ต่อเนื่องกันมาสิบกว่าครั้ง ซึ่งนับรวมยอดพิมพ์ทั้งหมดก็มากกว่า หนึ่งแสนเล่ม  ประการที่สอง หนังสือเล่มนี้ ยังอยู่ในความสนใจของประชาชน นานถึง 15 ปี  และคิดว่าทั้งยอดพิมพ์ และระยะเวลาที่มวลชนยังสนใจอ่านอยู่คงจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จึงเป็นการยืนยันว่า หนังสือเล่มนี้มีสาระและคุณค่าดีพอสมควร เพราะว่าเป็นหนังสือธรรมะที่ถูกตีพิมพ์ติดต่อกันมาไม่หยุด แม้ดูเหมือนจะเป็นธรรมะแบบธรรมดาไม่มีความสำคัญ หรือซับซ้อนแต่อย่างไร แต่หนังสือเที่ยวเมืองนรกเล่มนี้ก็เป็นหนังสือที่ช่วยตักเตือน และป้องปรามให้คนกลัวบาป เพราะผลกรรมที่กระทำไว้ จะไม่หายไปไหน มันจะติดอยู่กับจิตวิญญาณรอจนถึงวาระสุกงอมจนได้ที่เสียก่อน แรงกรรมก็จะเกิดผลขึ้นทันที แม้อำนาจ และเงินทองก็ไม่อาจช่วยได้  บางครั้ง กรรมที่ท่านก่อไว้ก็ยังสืบทอดถึงลูกหลาน อีกด้วย ดังน้น ข้าพเจ้าจึงขอวิงวอนท่านผู้อ่าน อย่าได้ดูแคลนว่า นรกไม่มี  พิสูจน์ไม่ได้  จึงเที่ยวก่อกรรมทำเข็ญไม่หยุดหย่อน เพราะคิดว่านรกไม่มี หากสามารถเล็ดลอดกฏหมายไปได้หรือโทษไม่ร้ายแรงพอ ท่านก็เอาเปรียบสังคม ยักยอก ฉ้อโกง จนชาติล่มจม ฯ เป็นต้น  ไม่ต้องรอให้ฏกหมายเล่นงานท่านหรอก กรรมที่ทำไว้จะสนองผลถึงที่สุดไม่ในปัจจุบันชาติก็ในอนาคตชาติ จึงใคร่วิงวอนท่านผู้อ่าน เมื่ออ่านแล้วก็ให้ผู้อื่นได้อ่านบ้าง จะได้ช่วยกันกล่อมเกลาจิตใจ ผู้คนให้กลับคืนสู่สภาพปกติ มีศีลธรรม มีจรรยาบรรณ เพื่อความสงบสุขของส่วนรวม  ขอผลบุญที่ท่านได้กระทำแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการบริจาคทรัพย์ก็ดี แนะนำตักเตือนด้วยปิยะวาจาก็ดี ให้ความสะดวกชี้แนะก็ดี ฯลฯ  จักเป็นกุศลหนุนส่งให้ท่านได้ไปสู่สุคติภูมิในสัมปรายภพเทอญ


ด้วยความนับถือ

ทพ. บัญชา  ศิริไกร 
13 เมษายน พ.ศ.2540
หัวข้อ: สารบาญ
เริ่มหัวข้อโดย: tik ที่ 19/11/2011, 15:15
:: สารบาญ


คำปรารภ
คำนำฉบับครบรอบ 15 ปี
คำนำ (ในการพิมพ์ครั้งที่ 5)
ความเป็นมา

เทวโองการจากท่านเง็กเสียงอ๊วงตี่ (เง็กเซียนฮ่องเต้)
คำอนุโมทนาของพระมหาพรตเหล่าจื๊อ (ไท้เสียงบ้อเก๊ก)
คำอนุโมทนาของพระมหาโพธิสัตว์กษิติครรภ์
คำอนุโมทนาของพระกวงเฮงฮูจื้อ ประธษนสำนักเซี้ยเฮี้ยงตึ้งประทับทรง
คำอนุโมทนาของเซียนกุมาร (เง็กฮือทงจื้อ)
ราชเลขาเซียนประทับทรง

ครั้งที่ 1  เที่ยวภูเขาหัวใจชมถ้ำนรก
ครั้งที่ 2  เที่ยวสระน้ำสบายใจ
ครั้งที่ 3  ท่องแดนต่อแดนระหว่างมนุษยโลกกับยมโลก
ครั้งที่ 4  ผ่านประตูผีรับฟังการบรรยายธรรมเรื่อง "รวมทุกศาสนา"

ครั้งที่ 5  ท่องแดนนรกขุมที่ 1 สนทนากับเจ้ายมบาล "ซิ่งก้วงอ๊วง"
ครั้งที่ 6  ท่องหอกระจกวิเศษ ชมวิญญาณบาปรากฎร่างเดิม
ครั้งที่ 7  ท่องโรงซ่อมพระสูตร
ครั้งที่ 8  ท่องแดนผีตายโหง ครั้งที่ 1
ครั้งที่ 9  ท่องแดนผีตายโหง ครั้งที่ 2

ครั้งที่ 10  ท่องแดนขุมนรกที่ 2 สนทนากับเจ้ายมบาล "ฉอกังอ๊วง"
ครั้งที่ 11  ท่องนรกน้อย ตมอุจจาระ-ปัสสาวะ
ครั้งที่ 12  ท่องนรกน้อยแดนหิวโหย
ครั้งที่ 13  ท่องสะพานมรณะ และชมฟลอร์นรก
ครั้งที่ 14  ท่องสระน้ำแข็งนรกน้อย

ครั้งที่ 15  ท่องแดนนรกขุมที่ 3 พบเจ้ายมบาล "ซ่งตี่อ้วง"
ครั้งที่ 16  ท่องแดนควักตานรกน้อย
ครั้งที่ 17  ท่องแดนเหล็กขูดหน้านรกน้อย
ครั้งที่ 18  ท่องแดนแขวนหัวทิ่มนรกน้อย
ครั้งที่ 19  ท่องตำหนักวิญญาณสัตว์สี่ชนิดคืนชีพ ครั้งที่ 1
ครั้งที่ 20  ท่องตำหนักวิญญาณสัตว์สี่ชนิดคืนชีพ ครั้งที่ 2
ครั้งที่ 21  ท่องตำหนักวิญญาณสัตว์สี่ชนิดคืนชีพ ครั้งที่ 3

ครั้งที่ 22  ท่องแดนนรกขุมที่ 4 พบยมบาล โหงวกัวอ๊วง
ครั้งที่ 23  ท่องแดนกรอกยานรกน้อย
ครั้งที่ 24  ท่องแดนน้ำร้อนลวกมือนรกน้อย
ครั้งที่ 25  ท่องแดนแทงบากนรกน้อย
ครั้งที่ 26  ท่องแดนตัดเอ็น แทะกระดูกนรกน้อย
ครั้งที่ 27  ท่องแดนผึ้งพิษนรกน้อย ครั้งที่ 1
ครั้งที่ 28  ท่องแดนผึ้งพิษนรกน้อย ครั้งที่ 2
ครั้งที่ 29  ท่องแดนผึ้งพิษนรกน้อย ครั้งที่ 3

ครั้งที่ 30  ท่องแดนนรกขุมที่ 5 พบยมบาล เซียมล้ออ๊วง
ครั้งที่ 31  ฟังยมบาลวิจารณ์การพร่า (ฆ่า) หัวใจ
ครั้งที่ 32  ท่องแดนพร่าหัวใจนรกน้อย ครั้งที่ 1
ครั้งที่ 33  ท่องแดนพร่าหัวใจนรกน้อย ครั้งที่ 2
ครั้งที่ 34  ท่องแดนพร่าหัวใจนรกน้อย ครั้งที่ 3
ครั้งที่ 35  ท่องแดนพร่าหัวใจนรกน้อย ครั้งที่ 4

ครั้งที่ 36  ท่องแดนนรกขุมที่ 6 พบยมบาล เปียงเซี้ยอ๊วง
ครั้งที่ 37  ท่องแดนตัดไตหนูนรกน้อย
ครั้งที่ 38  ท่องนรกสอนขับรถ
ครั้งที่ 39  ท่องแดนตะข่ายปากเอาเข็มทิ่มนรกน้อย
ครั้งที่ 40  ท่องแดนตะข่ายหนามตั๊กแตนเจาะนรกน้อย
ครั้งที่ 41  ท่องแดนเจ้าที่เจ้าทางดูเหตุการณ์ผู้ที่ตายไปแล้วผุดไปเกิด

ครั้งที่ 42  ท่องแดนนรกขุมที่ 7 แดนเผาหัวนรกใหญ่
ครั้งที่ 43  ท่องแดนไฟนาบนิ้วมือนรกน้อย
ครั้งที่ 44  ท่องแดนลากไส้นรกน้อย
ครั้งที่ 45  ท่องแดนทูนหัวคู้ตัวนรกน้อย
ครั้งที่ 46  ท่องแดนกะทะทองแดงนรกน้อย
ครั้งที่ 47  ท่องแดนตัดลิ้นร้อยแก้มนรกน้อย

ครั้งที่ 48  ท่องแดนนรกขุมที่ 8สนทนากับยมบาล โตวฉีอ๊วง
ครั้งที่ 49  ท่องแดนรถทับนรกน้อย
ครั้งที่ 50  ท่องแดนตัดแขนขานรกน้อย

ครั้งที่ 51  ท่องแดนนรกขุมที่ 9 พบปะ เผ่งเต้งอ๊วง
ครั้งที่ 52  ท่องแดนน้ำมันลวกกายนรกน้อย
ครั้งที่ 53  ท่องแดนงูแดงเจาะไซร่างกายนรกน้อย
ครั้งที่ 54  ท่องนรกโลกันตร์(นรกใหญ่อาปี้)

ครั้งที่ 55  ท่องแดนนรกขุมที่ 10 พบยมบาล จ้วงหลุ้งอ๊วง
ครั้งที่ 56  ชมสำนักหมุนเวียนฆาตเคราะห์
ครั้งที่ 57  ชมศาลาเม้งผั้วเต้ง
ครั้งที่ 58  ชมการเวียนว่ายตายเกิดใน 6 ช่องทาง
ครั้งที่ 59  ท่องแหล่งสามัญชนในแดนนรก
ครั้งที่ 60  ท่องสำนักรวมกุศล กองให้รางวัลคนดี กองลงโทษคนชั่ว
ครั้งที่ 61  ท่องบ่อน้ำเลือดและขุมนรกตะวันออก

ครั้งที่ 62  เที่ยวงานสมโภชฉลองหนังสือ พบพระโพธิสัตว์กษิติครรภ์
พระราชโองการจากท่านเง็กเสียงอ๊วงตี่
ปัจฉิมลิขิต
หัวข้อ: คำนำ ในการพิมพ์ครั้งที่ 5
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 19/11/2011, 17:39
:: คำนำ ในการพิมพ์ครั้งที่ 5

        หนังสือเที่ยวเมืองนรกเล่มนี้ จัดพิมพ์โดยสำนักเซี้ยเฮี้ยงตึ้ง เมืองไถ่ตง ไต้หวัน  ประเทศจีน ขั้นตอนการทำหนังสือเล่มนี้ก็คือ ลักษณะของสำนักเซี้ยเฮี้ยงตึ้งก็เหมือน ๆ กับโรงเจในเมืองไทย มีการอัญเชิญเทพ เทวดา ให้มาเข้าทรงอยู่เป็นเนืองนิจ ทุกครั้งที่มีการทรง เทพต่าง ๆ ที่มาก็มักจะสอนธรรมะ โดยใช้หลักของเต๋าบ้าง ของพุทธบ้าง แล้วแต่วิสัยของเทพแต่ละองค์  การจัดทำหนังสือเที่ยวเมืองนรกครั้งนี้ ก็ได้รับเทวโองการจากท่านเง็กเสียงอ๊วงตี่ (เง็กเซียนฮ่องเต้) โดยขอให้ท่านอรหันต์จี้กง นำเอาวิญญาณนายหยางเซิงไปเที่ยวเมืองนรก เยี่ยมชมเหตุการณ์ของชาวโลกที่ตายลงแล้ว  และได้ก่อกรรมต่าง ๆ เอาไว้ในโลก จะได้รับโทษอย่างไรบ้างในขุมนรก โดยให้เทพเง็กฮือท่งจื้อ ใช้ตาทิพย์ถ่ายทอดสดเอาภาพเหตุการณ์ ที่เห็นจริงในระหว่างเดินทางในแดนนรก โดยให้นายหยางเซิงซึ่งมือถือพู่กันอยู่ เขียนออกมาทันที และคณะกรรมการของสำนักเซี้ยเฮี้ยงตึ้ง ก็ได้รวบรวมมาเป็นรูปเล่ม การไปเที่ยวเมืองนรกนี้ ได้ไปมาทั้งหมด 62 ครั้ง  โดยเริ่มตั้งแต่วันที่  9  กันยายน  พ.ศ. 2519   ครั้งสุดท้ายวันที่  30  กรกฏาคม  พ.ศ. 2521  ใช้เวลาประมาณ 2 ปี หนังสือเล่มนี้จึงสำเร็จลง  หนังสือเที่ยวเมืองนรกนี้ เป็นหนังสือที่จัดทำขึ้นอย่างเป็นหลักเป็นฐาน  มิใช่หนังสือที่แต่งขึ้นด้วยความสามารถของมนุษย์แน่นอน สำหรับความเชื่อถือเรื่องนรกหรือสวรรค์ ก็สุดแท้แต่ละบุคคล  ศาสนา  นิกาย  และลัทธิต่าง ๆ กัน

        สำหรับพุทธศาสนาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นนิกายเถรวาท หรือ มหายาน ต่างก็ยืนยันกันว่า นรกและสวรรค์มีจริง ซึ่งจะพบได้จากพระสูตรต่าง ๆ กัน หากท่านเชื่อถือพระพุทะเจ้าแล้ว ท่านต้องเชื่อเรื่อง "กฏแห่งกรรม"  ทั้งนรกและสวรรค์ก็เป็นผลจากกรรมอันเป็นเหตุปัจจัยทั้งสิ้น หลาย ๆ ท่านก็เข้าใจว่านรกและสวรรค์ อยู่ที่ใจเท่านั้น อันนี้ก็เป็นอีกเหตุผลอันหนึ่ง อันเนื่องด้วย ทุกข์  ซึ่งไม่เป็นที่พึึงปรารถนาของคน ก็บอกว่ามันเป็นนรก และเมื่อไรมีความสุขก็บอกว่ามันเป็นสวรรค์

        หลาย ๆ ท่านก็พูดว่า  พระพุทธเจ้าตรัสว่าอนัตตา ก็เข้าใจว่าเมื่อคนตายแล้วก็ดับสูญ เมื่อดับสูญแล้วจะเอาวิญญาณอะไรไปตกนรกหรือขึ้นสวรรค์ อันนี้คิดว่า เขาเข้าใจผิดเพี้ยนไป คำว่า อนัตตา แปลว่า ไม่มีอัตตาที่เที่ยงแท้ ทุกสิ่งทุกอย่างไม่สามารถคงทนอยู่ได้

        คำว่าอัตตามีอยู่ แต่ความมีอยู่ของอัตตา ไม่ใช่อัตตาที่แท้จริง คล้าย ๆ ก้อนน้ำแข็ง ก้อนน้ำแข็งมีอยู่ใช่ไหม แต่มีอยู่ไม่นานก็ละลายไป มีอยู่อย่างไม่เที่ยง ดังนั้นจึงใช้คำว่าอนัตตา

        ตอนนี้ย้อนมาถึงวิญญาณ เมื่อคนยังไม่ตายวิญญาณย่อมมีอยู่ เมื่อคนตายลงวิญญาณย่อมดับลง แต่ก่อนที่มันจะดับมันได้ส่งพลังงานออกไป และมี กรรมเป็นเหตุปัจจัย ให้เกิดวิญญาณดวงใหม่ขึ้น ทำนองพ่อส่งให้ลูก ลูกส่งให้หลาน เป็น กรรมพันธ์สืบต่อกัน เพราะฉะนั้น ดวงวิญญาณเก่าก้ดับไป แต่ก่อนจะดับมันจะส่งผลของพลังงานไปไว้ กับวิญญาณดวงใหม่ที่จะเกิดขึ้น  ดังนั้น ดวงใหม่เกิดขึ้น ก็ต้องอาศัยดวงเก่าเป็นสมุฏฐาน  คล้าย ๆ ไฟ  เราจุดเทียนไว้เล่มหนึ่ง แล้วมีคนเอาเทียนอีกเล่มหนึ่งมาต่อ ไฟจากเทียนเล่มหนึ่งกับไฟจากเทียนเล่มที่มาต่อ เป็นไฟคนละเล่ม แต่ไปเล่มใหม่ก็มาจากไฟเล่มเก่าฉันใด

        วิญญาณดวงเก่าที่ดับไปก็เป็นเชื้อให้เกิดวิญญาณดวงใหม่ ในภพใหม่ จะเป็นวิญญาณในนรกภูมิ หรือมนุษยภูมิ  หรือ สวรรคภูมิ  ก็สุดแท้แต่กรรมที่เราได้ทำไว้ในชาติที่แล้ว

        ลักษณะอีกอย่างหนึ่งของหนังสือเล่มนี้ก็คือ  เป็นลักษณะแบบเทวนิยม ซึ่งต่างจากศาสนาพุทธ เพราะศาสนาพุทธขึ้นต้นตั้งปัญหาว่า  ทุกข์นี่มาแต่ไหน  จะดับทุกข์ด้วยประการใด  ซึ่งต่างจากศาสนาอื่น ก็คือว่า เขาถามว่าโลกมาแต่ไหน วิญญาณนี่สืบมาจากใคร  ใครเป็นผู้สร้างวิญญาณ  ปัญหาเพ่งออกไปข้างนอก ไม่ว่าจะเป็นเทวนิยม หรือไม่เป็นเทวนิยม ก็ตาม  หนังสือเล่มนี้ไม่ทำให้โลกยุ่ง ไม่ทำให้ท่านทุกข์ แม้นพระพุทธเจ้าเองเคยตรัสถามแก่พระสาวกว่า ใบไม้ในป่าประดู่ลาย  กับ  ใบไม้ในกำพระหัตถ์นี่  ใครจะมากกว่ากัน  พระสาวกทูลบอกว่า ใบไม้ในป่าประดู่ลายมีมากกว่าพระเจ้าข้า  จะเห็นได้ว่า  สิ่งที่พระพุทธเจ้าไม่ได้นำมาสอนมีมากมายเหลือเกิน และที่สอนให้ก็มีจำนวนน้อย ทำไมจึงไม่สอนเล่า ก็เพราะว่าสิ่งเหล่านั้น ไม่เป็นเบื้องต้นของพรหมจรรย์  ไม่เป็นไปเพื่อคลายกำหนัด ไม่เป็นไปเพื่อละกิเลส  ไม่เป็นไปเพื่อนิพพิทา  เพื่อวิราคะ เพื่อนิโรธะ  เพื่อนิพานะ  เพราะปัญหาเหล่านั้นเป็นอจินไต โลกจินตา ถือเป็นปัญหาที่ไม่ควรจะคิด คิดแล้วมีส่วนแห่งความเป็นคนบ้า หาทางที่จะอินติมะ  (ทางสูงสุด)  ไม่ได้

        ดังนั้น  สิ่งสำคัญที่สุด ถ้าท่านได้พิจารณาคำพูดของพระอรหันต์จี้กง  ที่พูดในตอนต้น ๆ ของทุก ๆ ตอน ท่านจะได้รับความรู้จากธรรมะ อันเป็นแก่นสาร  สำหรับการดำรงชีวิตที่ดี อีกทั้งสอนให้ เลิก  ละ   ลด  และเลิกจากอบายมุข  กิเลส  ทั้งปวงได้ เพื่อให้มนุษย์พ้นจากอบายมุข  ขุมนรก  เป็นอย่างน้อย สำหรับท่านที่มีบารมีสูง  ท่านก็อาจเป็นพระอริยเจ้า บรรลุโสดาบัน สกินาคามี อนาคามี และอรหันต์ เป็นที่สุดไปสู่ พระนิพพาน

        ที่กล่าวเสียยืดยาว  ก็เพื่อประโยชน์ที่ท่านผู้อ่าน จะได้รับเป็นที่ตั้ง ส่วนใครจะปฏิเสธก้ไม่ถือเพราะทุกคนเป็นผู้สร้าง วิถีแห่งตน 

        สุดท้าย  ขออวยพรให้ ท่านทั้งหลายปราศจากทุกข์ ภัยอันตรายทั้งปวง

        ส่วนท่านที่สร้างกุศล ก็ขอให้กุศลผลบุญ จงเป็นพลวปัจจัย ให้ท่านได้บรรลุนิพพานเทอญ

                                                              สวัสดี

                                                        ท.พ. บัญชา  ศิริไกร

                                                   23  พฤศจิกายน  พ.ศ. 2529         
หัวข้อ: ความเป็นมา
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 19/11/2011, 18:05
:: ความเป็นมา

        ผมได้รับหนังสือเที่ยวเมืองนรกฉบับภาษาจีน  เมื่อปี พ.ศ. 2524  จากคุณมนทิรา  ติยะวัชราพงษ์  รู้สึกซาบซึ้งในเนื้อหา สาระ  น่าที่จะได้เผยแพร่แปลเป็นภาษาไทย ก็ได้ปรารภกับคุณมนทิรา อีกครั้ง ทราบว่าได้ให้คนแปลแล้ว และได้ให้เพื่อน ๆ อ่านดู  ปรากฏว่าไม่ค่อยรู้เรื่อง  เพราะสำนวนและศัพท์บางคำหาคำไทยไม่ได้  ข้าพเจ้าจึงขันอาสาว่าจะลองแปลดู และขัดเกลาสำนวนให้เป็นไทย ๆ  อาจจะติดศัพท์ที่เป็นชื่อของเทพเจ้า  ที่ผู้แปลไม่ทราบจริงว่าจะเทียบเคียงกันอย่างไร

        หนังสือเที่ยวเมืองนรกเล่มนี้ ได้พิมพ์เผยแพร่เป็นครั้งแรก เมื่อปี พ.ศ. 2525  ด้วยจำนวนเพียง  1,500  เล่ม  ปรากฏเป็นที่ชื่นชอบของท่านผู้อ่านมากจึงได้ทำการพิมพ์ต่อ ๆ มาอีกหลายครั้ง นี่เป็นการพิมพ์ครั้งที่  7  แล้ว  จำนวนเล่มอาจลดน้อยลงบ้าง เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจในปีนี้ไม่สู้ดี ท่านผู้มีจิตศรัทธาที่บริจาคทุนทรัพย์ก็ลดน้อยลง  แต่เนื่องจากมีผู้ขอมาเป็นจำนวนมากอยู่ ข้าพเจ้าและเพื่อน ๆ จึงพยายามจัดพิมพ์ขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง

        การจัดพิมพ์ใหม่ครั้งนี้  ข้าพเจ้าได้แก้ไขข้อบกพร่องและที่ผิดพลาดจากการพิมพ์ครั้งก่อน ๆ ด้วย  และได้พยายามแต่งเป็นบทกลอน ตามต้นฉบับภาษาจีน ซึ่งครั้งที่ผ่าน ๆ มา ได้ถอดความเป็นร้อยแก้ว  เพื่อที่จะรักษาความหมายให้ได้ครบถ้วนบาทต่อบาท เหมือนความต้นฉบับเดิม  จึงทำให้ความคล้องจอง และสำนวนไม่ดีนัก  อีกสาเหตุนี้  ผู้แปลเป็นผู้ด้อยในภาษาจีนและไทยเป็นอันมาก ที่ทำไปเพราะมีจิตศรัทธาเป็นที่ตั้ง  อีกทั้งอยากให้หนังสือเล่มนี้ เป็นเครื่องปลอบเตือนสติเพื่อนร่วมโลก ให้ประพฤติอยู่ในศีลธรรม อันดีงาม  เพื่อความสงบสุขของสังคมและประเทศชาติ

        อย่างไรก็ตาม แม้จะแก้ไขคำผิด ข้อบกพร่องต่าง ๆ แล้วก็ยังมีที่ผิดอีกแน่นอน เพราะข้าพเจ้าได้พิสูจน์อักษร เพียงครั้งเดียวเท่านั้น  ดังนั้นคำผิดที่ยังหลงเหลืออยู่ ก็ขออภัยท่านผู้อ่านด้วย

        สุดท้าย  ข้าพเจ้าขอเชิญชวนท่านผู้อ่านที่ชอบและซาบซึ้งในหนังสือเล่มนี้ ช่วยเผยแพร่ให้กว้างขวางต่อไป

        จะเป็นทานกุศล และกรรมดีที่ประเมินค่ามิได้

                                                      ด้วยความปรารถนาดี

                                                         บัญชา  ศิริไกร

                                               23  พฤศจิกายน  พ.ศ. 2529
หัวข้อ: เที่ยวเมืองนรก : ประวัติ พระอรหันต์จี้กง
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 22/11/2011, 00:06
                             ประวัติ พระอรหันต์จี้กง

        อรหันต์จี้กง                             ทรงเมตตาช่วยชาวโลก
ให้พ้นเคราะห์คลายโศก                        สุขสันติประเสริฐล้ำ
กิริยาวาจา                                       เป็นปริศนาช่วยชี้นำ
ท่านชอบเสแสร้งทำ                            กระตุ้นจิตบรรลุธรรม

        พระนามเิดมของท่าน คือ  ซิวอ้วง  แซ่ลี้  เป็นชาวเมืองเทียนไถ เกิดในสมัยราชวงศ์ซ้อง ท่านได้บวชอยู่ที่วัดเล่งอุ้ง  ตำบลไซโอ้ว  เมืองหางโจว ประเทศจีน และใช้พระนามทางศาสนาว่า เต้าจี้  ท่านโปรดสัตว์โลกโดยวิธีพิศดาร จนชาวบ้านขนานพระนามว่า "พระสติเฟื่อง " (จี้เตียง)  ท่านเป็นองค์อวตารของพระอรหันต์ ได้บรรลุพระธรรม 3 ประการ  ที่สำคัญได้แก่ "สรรพสิ่งเกิดจากจิต  ท่านยึดมั่นแต่พุทธจิต ไม่คำนึงถึงเครื่องทรงภายนอก ดังคำกล่าวว่า "รักษาศีลทางจิต  ไม่ถือศีลทางปาก  ปฏิบัติตนตามสบาย"   (หมายความว่า  พระภิกษุในประเทศจีนต้องฉันเจ ไม่ฉันเนื้อสัตว์ ท่านไม่เคร่งครัดกับการฉันอาหาร สุดแท้แต่โอกาส)  ที่ท่านประพฤติเช่นนี้  เพราะว่าในสมัยนั้นได้แต่ถือศีลปาก  คือฉันเจ แต่ไม่รักษาศีลทางใจ  เพื่อเป็นการสอนธรรมะโดยใช้วิธีรุนแรง เหมือนเอาไม้กระบองตีให้เจ็บจนรู้สึก ท่านพยายามทำให้ภิกษุสมัยนั้นให้ตื่นจากผู้ติดอยู่ในพิธีกรรม ให้มาพิจารณาทางวิปัสสนาธุระ

         ท่านมีอิทธิฤทธิ์กว้างไกล โปรดช่วยมวลมนุษย์มากมาย โดยอาศัยวิธีการต่าง  เพื่อช่วยให้ชาวบ้านพ้นภัย ช่วยกอบกู้พวกที่ดูภายนอกเหมือนผู้มีบุญ  แต่ใจบาป  กลั่นแกล้งจนเขาเหล่านั้นรู้สึกสำนึกตัว  และกับผู้ที่โหดร้ายทารุณ จะถูกตอบโต้จนไม่สามารถจะอยู่ต่อไปได้ ทำให้ประชาชนอยู่อย่างสงบสุข ดังนั้น ทุกผู้ทุกนามจึงสรรเสริญว่าเป็น "พระศักดิ์สิทธิ์" เหมืิิอนพระพุทธที่ยังมีชีวิต ซึ่งไม่ใช่สิ่งธรรมดาสามัญ  แต่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วจริง ๆ

        พระอรหันต์จี้กงเคยอยู่วัด "เจ็งซื้อ"  ต่อมาวัดนี้ถูกไฟไหม้ จำเป็นต้องได้รับปลูกสร้างขึ้นใหม่ ซึ้งต้องการได้ไม้จากเขา "เงี้ยมเล้ง"  ท่านแสดงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์  โดยใช้จีวรกลางออกไป ฉับพลันนั้น จีวรก็ปกคลุมเขาเงี้ยมเล้งทั้งหมด ไม้จากเขาถูกถอนขึ้นมาหมด  แล้วถูกนำลงแม่น้ำ ล่องมาสู่เมืองหางโจว เสร็จแล้วท่านก็มาบอกชาวบ้านว่า  ไม้ที่จะใช้ก่อสร้างนั้นบัดนี้อยู่ในบ่อธูป (บ่อธูปนี้เป็นบ่อที่ขุดขึ้น ใช้สำหรับเทขี้ธูปและก้านธูป)  ทั้งพระและชาวบ้านต่างไปดูที่บ่อธูป ก็ปรากฏว่าเป็นเช่นนั้นจริง สิ่งที่เล่าต่อ ๆ กันมานี้ ยังมีหลักฐานปรากฏอยู่อีกมากมาย

        พระอรหันต์จี้กงได้นั่งสมาธิ จนเข้าฌานปลงสังขาร ในรัชสมัยพระจักรพรรดิ  "เกียเตีย"  อัฐิของท่านบรรจุไว้ในเจดีย์  "เสือผ่าน"  ก่อนที่ท่านจะปลงสังขาร  ท่านได้ให้ปริศนาธรรมไว้ว่า "หกสิบปีมานีี  กำแพงตะวันออกล้มตีกำแพงตะวันตก รวบรวมจนถึงบัดนี้  ก็ยังคงเหมือนเดิม ท้องน้ำก็ยังคงจรดขอบฟ้าเช่นเดิม"  หลังจากท่านปลงสังขารแล้วไม่นาน ก็มีพระภิกษุรูปหนึ่งได้พบพระอรหันต์จี้กงนั่งอยู่ใต้เจดีย์ ชื่อ  "หลักฮั้ว"  และยังได้ฝากหนังสือไว้บทหนึ่งว่า "หวนรำลึกสมัยก่อน มีศรยิงมาทางด้านหน้า ถึงบัดนี้รู้สึกหนาวเหน็บกระดูกไปทุกขุมขน เนื่องจากไม่มีใครรู้จักหน้าตาแล้วยังขึ้นไปวิ่งเล่นบนดาดฟ้าหนึ่งรอบ"  ที่ท่านลงมาอีกครั้งเป็นเพราะประสงค์ของมหาโพธิสัตว์

        ตลอดพระชนชีพของท่าน ได้ช่วยเหลือและอบรมชาวบ้าน โดยวิธีเสแสร้งต่าง ๆ กันมาตลอดเวลาโดยไม่มีอุปสรรค ตัวท่านเป็นพระภิกษุ และมีจิตเป็นมหาโพธิสัตว์ ท่านมีแต่จีวรขาด ๆ รองเท้าขาด ๆ คู่หนึ่ง  โดยไม่สนใจว่ามันจะเปื้อนโคลนหรือไม่  มือก็ถือพัดเล่มหนึ่ง  ไม่กลัวทั้งที่ต่ำและที่สูง ศรีษะก็โล้น  ลมก็ไม่พัด  ฝนก็ไม่ตก  ไม่ต้องมีย่าม  ไม่ต้องบิณฑบาต  เพราะไม่หิวไม่กระหาย  ไม่ต้องแต่งองค์  เพราะศรีษะไม่มีผม  พบใครก็เอาแต่ยิ้ม  เพื่อจะได้แผ่บุญ  ไม่หลบสังคม  ค้นหาเสียงทุกข์เพื่อจะให้ช่วยเหลือ ชาวบ้านนับถือ ทุกครัวเรือนมีแต่พระอรหันต์  หลักการของท่านพระภิกษุทั่วไปไม่ชอบ เนื่องจากความไม่สำรวมของท่าน ทำให้พระภิกษุที่มีความรู้ รู้สึกเสียหน้า  ไม่สบายใจ  ดังนั้น พระภิกษุผู้ใหญ่จึงไม่กล่าวขานถึง ไม่พูดถึงความศักดิ์สิทธิ์ของท่าน

        สืบเนื่องจากพระอรหันต์จี้กงมีเมตตาจิตไม่ถือสา การปรากฏตนของท่านเอาแน่นอนไม่ได้  กิริยาวาจาล้วนเป็นปริศนาธรรม ซึ่งทำให้ธรรมะของท่านเป็นที่กล่าวขาน จนได้รับการยกย่องว่าเป็นอาจารย์ทางพระกัมมัฏฐาน แม้ว่าท่านจะละสังขารจากโลกนี้ไปแล้วก็ตาม แต่ธรรมะของท่านยังมีประโยชน์ต่อมวลมนุษย์เสมอมา ดังนั้น จึงได้สมัญญาว่า  เป็นพระพุทธที่ยังมีชีวิตอยู่  ก็เนื่องด้วยเหตุฉะนี้ 

        ในสมัยกลียุค มวลชนหลงไหลอยู่ในกิเลส วนเวียนอยู่ในทะเลทุกข์ อรหันต์ใจร้อนรนและเพื่อจะกอบกู้ชาวโลกอีกวาระหนึ่ง ท่านจึงยอมลงมาประทับทรง ที่  "สำนักเซี้ยเฮี้ยงตึ้ง"  นี้  โดยเอาวิญญาณคุณหยางเซิงไปเที่ยวเมืองนรก เปิดเผยความลี้ลับของยมโลก เพื่อปลอบเตือนชาวโลก

        ชาวโลกนับว่าโชคดี ดังอาบน้ำฝนอันศักดิ์สิทธิ์ ออกจากทางมารโดยตลอด  สาธุ !  หนังสือเล่มนี้สำเร็จลง สืบทอดนับหมื่นปี อันนับว่าเป็นผลงานของท่าน

บทสรรเสริญ   :

        เริ่มแรกต้องตีหัว                              เพื่อปลุกตัวตื่นจากหลง
ยิ้มยื่นดอกไม้ดง                                      ยังคงเป็นปริศนาธรรม
ชีวิตคือละคร                                          สะท้อนได้เหมือนจริงจัง
สรรพสิ่งสู่จิตดัง                                       ท่องสวรรค์แลยมบาล   
หัวข้อ: เที่ยวเมืองนรก : เทวโองการจากท่านเง็กเสียงอ๊วงเตี่
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 22/11/2011, 00:50
                              เที่ยวเมืองนรก 

                  เทวโองการจากท่านเง็กเสียงอ๊วงเตี่

        ประธานสำนักเซี้ยเฮี้ยวตึ้ง  เทพกวงเฮงประทับบนอาสนะ ประกาศเทวโอการของท่านเ.้ฏเสียงอ๊วงตี่ ขณะนี้ เทวโองการจะเสด็จลงแล้ว สั่งให้ผู้ว่าการเมืองออกจากตัวเมือง 5 ลี้*  (หน่วยวัดระยะทางของเมืองจีน 1 ลี้ = 555.55 เมตร)  เจ้าโชค เจ้าชัยออกจากสถานที่ 10 ลี้  เพื่อทำการต้อนรับศิษย์ทั้งหลายให้ทุกท่านตั้งอยู่ในความสงบสมาธิ ตั้งแถวคอยรับเสด็จ

        ท่านเสนาบดีฉี แห่งพระราชวังฝ่ายใน ลงประทับทรงกล่าวเป็นความว่า  :

        เง็กเสียงอ๊วงตี่              ทรงห่วง             วิญญาณชน
เสียงสวดมนต์                      สวดพร่ำ              ไม่ขาดสาย
ถึงเดือนแปด                       จันทร์สาดส่อง       งามพร่างพราย
แต่งเครื่องกาย                     น้อมรับ                ราชโองการ

        ความในเทวโองการ   :   ราตรีนี้จะประกาศเทวโองการ  ให้เจ้าและมวลมนุษย์ทั้งหลายกราบลงคอยฟังเทวโองการ  ได้รับเทวโองการด้วยเกล้า เนื่องจากท่านเง็กเสียงอ๊วงตี่เซียนหลิงเกาลั้งตี้ ตรัสมีความว่า   ข้าสถิต  ณ  เบื้องสวรรค์มีความห่วงใยในมวลมนุษย์ เมื่อเห็นฝุ่นละอองเหลืองอร่ามปกคลุมทั่วพิภพ ศีลธรรมจรรยาธรรมเสื่อมทรามสูญสลาย ฝ่ายชายไม่ประพฤติในทางซื่อสัตย์กตัญญู  ฝ่ายหญิงไม่รักนวลสงวนตัว กล่าวหาว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นสิ่งไร้สาระ  ไม่เคารพต่อเทวดาอารักษ์  จึงเป็นเหตุให้สังคมเสื่อมทรามเลอะเทอะ ความสัมพันธ์อันดีงามของมนุษย์ขาดสะบั้นลง  สร้างความสะเทือนอารมณ์แก่ข้าฯ  เป็นที่ยิ่ง  แต่ข้า ฯ  ไม่อาจจะทนดูทอดทิ้งโดยไม่ช่วยกอบกู้ให้พ้นจากขุมนรกได้  ณ  บัดนี้  ได้ทรงตรวจพบว่า สำนักเซี้ยเฮี้ยงตึ้งแห่งเมืองไถ่ตง ซึ่งขึ้นตรงต่อมณฑลไต้หวัน ได้เปิดบรรยายประกาศธรรมะมาจนถึงทุกวันนี้  ได้ทุ่มเทสิ้นเปลืองกำลังคนและกำลังเทพยดาอย่างมากมาย ได้ผลแห่งการกอบกู้ช่วยเหลือชาวโลก  และปัจจุบันได้อาศัยวารสาร  " เซี้ยเฮี้ยงตึ้ง "  ช่วยชักจูงผู้ล่มหลงกิจการในการรับประทับทรงจึงเจริญรุ่งเรืองขึ้นเป็นลำดับ งานกุศลอันศักดิ์สิทธิ์นี้เป็นที่เลื่องลือกระฉ่อนมาก  ดังนั้น  ข้าฯ  จึงมีคำสั่งให้แต่งหนังสือขึ้นเป็นกรณีพิเศษ โดยให้ชื่อว่า  " เที่ยวเมืองนรก "  และได้สั่งให้พระอรหันต์จี้กง นำพาวิญญาณของนักทรงเอกนายหยางเซิง  ไปท่องนรก  10  ขุม  เผยสภาพการณ์ในแดนนรกให้ชาวโลกได้รับทราบไว้ ให้ผู้คนได้รู้เห็นวิญญาณโทษที่ตกอยู่ในแดนนรกที่มีความทุกข์ทรมานอย่างไรบ้าง เพื่อผลแห่งการปลอบเตือนชาวโลก หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือวิเศษสุด  เนื่องจากได้ซึ้งในความกตัญญูอันบริสุทธิ์ของศิษย์ทั้งหลายในสำนักเซี้ยเฮี้ยงตึ้ง  จึงได้สั่งให้รับภาระอันยิ่งใหญ่นี้ หวังว่าท่านจงตั้งจิตให้มั่นคง ประกาศธรรมแทนฟ้าสวรรค์โดยได้สั่งให้ด่านต่าง ๆ ในแดนนรกว่า หากมีศิษย์ท่องเที่ยวจากสำนักเซี้ยเฮี้ยงตึ้งไปเยือนแล้ว ให้เปิดประตูต้อนรับ ช่วยเสริมสร้างตำราทองเล่มนี้  ผู้ใดที่ฝ่าฝืนคำสั่ง จะต้องถูกทำโทษอย่างหนักโดยทั่วถึง เมื่อได้รับทราบเทวโองการนี้แล้ว ในวันเวลาที่ประทับทรงท่องนรกแต่งหนังสือ ให้ทุกท่านเข้าใจความมุ่งหมายแห่งสวรรค์ และปฏิบัติตามคำสั่ง  เมื่อหนังสือได้แต่งเสร็จสรรพเรียบร้อยแล้ว จะมีรางวัลในความดีความชอบ จงอย่าขัดคำสั่งของข้าฯ 
หัวข้อ: เที่ยวเมืองนรก : คำอนุโมทนาของพระบุพวิสุทธิเทพ (ไท้เสียงบ้อเก๊ก)
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 22/11/2011, 02:09
                            เที่ยวเมืองนรก 

                 คำอนุโมทนาของพระบุพวิสุทธิเทพ

                         (ไท้เสียงบ้อเก๊ก)

        พระบุพวิสุทธิเทพ  เสด็จลงตรัสเป็นกลอนว่า  :

        ชีวิตคนผ่านพ้นไปคล้ายความฝัน
สะสมทรัพย์ทุกวันไว้คอยถ่วง
กามคุณเกาะกุมติดตามทวง
ลาภยศลวงให้หลงไปตามกัน
คลื่นตัณหากระหน่ำซ้ำเป็นระลอก
ความกลับกลอกของโลกีย์ชี้อาสัญ
สิ้นชีวิตทุกข์ติดตามทุกวี่วัน
หมดทุกข์พลันหน้าเบิกบานแบบกวนอิม

        ย้อนทวนถึงสมัยบุพกาล ในขณะที่สรรพสิ่งในพิภพยังอยู่ในสภาพปกติ วิญญาณดั้งเดิมยังคงรวมอยู่ในอากาศธาตุ อยู่อย่างสะดวกสบายเป็นตัวของตัวเอง ตกมาถึงตอนเปิดแยกออกเป็นฟ้าดินแล้ว มนุษย์จึงอาศัยอากาศธาตุอันบริสุทธิ์ ลงมาเกิดในพิภพ  นิสัยใจคอของมนุษย์ในสมัยแรกเริ่มนั้น บริสุทธิ์งดงามมาก  ด้วยเหตุนี้เมื่อตายลงแล้ว จึงได้กลับไปยังสถานที่บริสุทธิ์แหล่งเดิม ต่อมาฝุ่นไอดินแห่งมนุษยโลกปกคลุมหนาขึ้น ความประพฤติจึงกลับกลายไปในทางชั่ว ถึงสมัยกลางจิตใจคนเกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวง  ดังนั้น สวรรค์ท่านจึงจัดตั้งนรกขึ้นเป็นกรณีพิเศษ เป็นสถานที่อบรมบ่มนิสัย แต่เนื่องจากมวลมนุษย์ได้ติดนิสัยที่ชั่วช้าเลวทราม ยิ่งจมดิ่งลงทุก ๆ ขณะ ทำให้ในนรกเกิดมีสภาพที่ล้นหลามด้วยพวกวิญญาณโทษ ท่านเง็กเสียงอ๊วงตี่ มิอาจทนดูมวลชนต้องถูกทรมานในนรกอย่างล้นหลาม จึงได้แผ่เมตตาจิตด้วยแสงสว่าง คือ อนุญาตให้มีการเปิดเผยถึงการลงโทษในแดนนรกขึ้น เพื่อเป็นการเตือนสติมวลมนุษย์ หวังว่าให้ชาวโลกได้กลับเนื้อกลับตัว ไม่ให้ไปเดินซ้ำรอยเก่าที่ชนรุ่นก่อนได้ทำเอาไว้ และหวังให้ได้กลับไปในทางดั้งเดิมอันบริสุทธิ์ ไม่ต้องไปทรมานในห่วงแห่งเวียนว่ายตายเกิดอีก

        ขณะนี้ ทราบว่าสำนักเซี้ยเฮี้ยงตึ้ง เมืองไถ่ตง  ได้ตระหนักซึ้งถึงเจตนาของสวรรค์ จึงได้ทำการรับประทับทรงให้ การบรรยายประกาศธรรมขึ้นมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว และมีหลักการถูกต้องอันบริสุทธิ์ เผยแพร่ธรรมะอย่างสุดพลกำลัง จึงได้รับคำสั่งจากท่านเง็กเสียงอ๊วงตี่ ให้มีภาระหน้าที่ ท่องนรก  เพื่อแต่งหนังสืออันใหญ่ยิ่งนี้ และได้สั่งให้พระอรหันต์จี้กง นำพาวิญญาณของหยางเซิง ไปท่องนรก  เก็บหาข้อมูลจากแต่ละขุม โดยได้ให้ อี้ซี่ทงจื่อ เป็นผู้ถือพู่กันวาดเขียน และอาศัยทิพยเนตรถ่ายทอดภาพที่ได้รับมาจากแดนนรก เขียนเป็นตัวอักษรต่อเหตุการณ์ที่ได้เห็นในขณะนั้น ๆ มาแต่งเป็นหนังสือ "เที่ยวเมืองนรก"  เผยถึงความลี้ลับในยมโลก ซึ่งความสามารถนี้แม้ภูตผีเทวดาก็ยังมิอาจจะทราบเท่าใด เป็นสิ่งที่หาดูได้ยากในโลกปัจจุบันกาลนี้

        การนี้ใช้เวลาถึง 2 ปี มาสำเร็จลุล่วงในวันนี้ ชาวโลกผู้ที่ได้อ่านหนังสือนี้แล้ว ได้สำนึกและกลับเนื้อกลับตัว ละความชั่ว ทำความดี ขยันเดินในทางไปสู่สวรรค์ หากทุก ๆ คนได้ทำตามนี้แล้ว นรกนั้นก็จะถูกละทิ้งสิ้นซากไป ทุก ๆ ชีวิตจะได้เข้าสู่แดนสุขาวดีโดยทั่วถึงกัน ข้อมูลคดีที่เขียนลงในหนังสือเล่มนี้ ล้วนถูกต้องเหมาะสมกับกฏหมายของโลกมนุษย์  จึงนับว่าเป็นหนังสือที่ช่วยชาวโลกอันประเสริฐ ประกอบด้วยศักดิ์ศรีอันสูงส่งที่ไม่มีผู้ใดจะลบหลู่ดูหมิ่นได้ ขอให้ท่านผู้อ่านจงช่วยเผยแพร่ ปลอบเตือนผู้อื่นให้มาก ๆ  มีจิตศรัทธาพิมพ์แจกให้ชาวโลกได้อ่านทั่วถึงกันแล้ว หากประสงค์อยากได้สิ่งใด จะได้รับการสนองตอบอย่างศักดิ์สิทธิ์ หวังในความเข้าใจของผู้ที่มีจิตมุ่งหวังในทางดี จงตระหนักให้ซึ้ง จึงกล่าวเป็นอนุโมทนาด้วยประการเช่นนี้

                               บุพวิสุทธิเทพ

         ประทับทรง  ณ  สำนักเซี้ยเฮี้ยงตึ้ง เมืองไถ่ตง ไต้หวัน

                    ลงวันที่  19  พฤษภาคม  พ.ศ. 2521
หัวข้อ: เที่ยวเมืองนรก : คำอนุโมทนาของพระจอมศาสดาจารย์อรหันต์กษิติครรภ์
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 22/11/2011, 02:47
                             เที่ยวเมืองนรก 

                              คำอนุโมทนา

               ของพระจอมศาสดาจารย์อรหันต์กษิติครรภ์

        อันว่าหนทางสู่สวรรค์มีคนเดินโหรงเหรง นรกไม่มีประตู แต่คนมุ่งกันเข้าแออัด ชาวโลกผู้ไม่ยอมอยู่ในสันโดษต่างพากันเกาะขาผู้มีอำนาจศักดิ์ใหญ่ลุ่มหลงอยู่ในห้วงเหวแห่งสุรานารีทะเลแห่งความทุกข์เวิ้งว้างกว้างขวาง ผู้พลัดตกลงไปนั้นมากมาย จึงทำให้ผู้คนในแดนนรกล้นหลาม เสียงร่ำไห้เซ็งแซ่สะท้านสู่สวรรค์ ข้าพเจ้าคุมนรกทั้ง 10  ขุม  เมื่อมองเห็นผู้ตกทุกข์ต้องรับความทรมานมากมายก่ายกองเช่นนี้ ยากที่จะนิ่งดูดาย ทุกชีวิตใน 3 แดน  มิวิญญาณเดิมมาจากแหล่งเดียวกัน  สืบแต่บุพกาลมา เนื่องจากมิสามารถตัดความใคร่ออกเสีย จึงทำให้การเกิดการตายติดต่อสัมพันธ์กันมาตลอด ทางแห่งเวียนว่ายตายเกิดทุรกันการ เปลวไฟแผดเผา แม้มีความปรารถนาจะทำให้แดนนรกว่างเปล่าลง แต่ก็น่าเสียดายที่ไม่สามารถจะกอบกู้ช่วยเหลือมวลชนให้พ้นทุกข์ได้โดยทั่วถึงท่านเง็กเสียงอ๊วงตี่ ได้แผ่พระความกรุณาปราณีอันใหญ่ยิ่ง ทรงห่วงใยชาวโลกทั้งหลาย จึงได้มีเทวโองการโปรดเกล้าให้ สำนักเซี้ยเฮี้ยงตึ้ง แห่งเมืองไถ่ตง แต่งหนังสือ  "เที่ยวเมืองนรก"  ให้ท่านพระอรหันต์จี้กง นำพาวิญญาณของหยางเซิงไปท่องยมโลก ทุกแห่งที่ไปเยี่ยมชมล้วนได้รับการต้อนรับขับสู้จากกรมกองต่าง ๆ ได้พูดคุยสังสรรค์กับท่านยมบาลและพัศดี

        โดยได้ท่องไปตามแดนนรก ซึ่งอันมีสภาพเต็มไปด้วยความทุกข์ทรมาน นำเรื่องราวมาเขียนเป็นหนังสือขึ้น อันเป็นตำนานมีค่าเปรียบเสมือนทองคำสมที่จะเป็นหลักบรรทัดฐานแห่งการสั่งสอนอบรมประดาผู้ที่มีจิตใจคดโกงไร้เหตุผล ผู้ที่ทำชั่วละเมิดกฏหมายบ้านเมือง ได้รับผลตอบสนองตามดังเงาตามตัว ในหนังสือเล่มนี้มีพยานหลักฐานให้ตรวจสอบได้อย่างจะแจ้งแจ่มชัด หวังว่าผู้ที่ได้อ่านมาแล้วคงมีความรู้สึกเหมือนโดนตีศรีษะ ตื่นตาตื่นใจ จนได้ความนึกคิดรู้ผิดรู้ชอบขึ้น สำนึกได้ในราตรีกาลที่สงัดเงียบ ให้กระทำในสิ่งที่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม เพื่อที่จะมิต้องตกลงในแดนนรก หลังจากตายลงแล้วต้องได้รับการลงโทษจากพวกยมทูต  หากว่ายังทำเป็นหูทวนลมต่อคำพูดของอาตมาแล้ว เวลานั้น จะร้องแรกแหกกระเชอก็จะไม่มีทางจะช่วยได้อีก แล้วก็จงอย่าหาว่าพระอรหันต์ เทวดาไม่มีความปราณีเลย

        เนื่องในวาระที่หนังสือ  "เที่ยวเมืองนรก"  จะอนุโมทนาทำการจัดพิมพ์เป็นเล่มอยู่ในขณะนี้ ข้าพเจ้าจึงได้ลงมายังสำนัก กล่าวอนุโมทนาไว้ 2-3  ประโยคดังกล่าวข้างต้นนี้ และหวังว่าหนังสือเล่มนี้เมื่อปรากฏต่อสายตาแล้ว ชาวโลกจะได้รับการช่วยเหลือกอบกู้ให้พ้นทุกข์โดยทั่วถึง ในแดนนรกจะว่างเปล่าไร้ผู้คน ทำให้ทั้งพิภพเป็นแดนสวรรค์ สิ่งนี้แหละคือยอดปรารถนาของอาตมา

        พระอรหันต์กษิคิครรภ์  ลงประทับทรงที่สำนักเซี้ยเฮ้ยงตึ้ง เมืองไถ่ตง

                                  ลงวันที่  19  พฤษภาคม  พ.ศ. 2521 
หัวข้อ: เที่ยวเมืองนรก : คำอนุโมทนาพระกวงเฮงฮูจื้อ ประธานสำนักเซี้ยเฮี้ยงตึ้ง ประทับทรง
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 29/11/2011, 06:07
                                 เที่ยวเมืองนรก 

                                  คำอนุโมทนา

                                พระกวงเฮงฮูจื้อ

                      ประธานสำนักเซี้ยเฮี้ยงตึ้ง   ประทับทรง

        สำนักเราได้เปิดการบรรยายธรรม ด้วยการรับประทับทรง และพิมพ์แจกหนังสือธรรม ตำนานธรรมเป็นจำนวนมาก เพื่อที่จะปิดกั้นกระแสกามราคะอันไหลเชี่ยว ทำการเหนี่ยวรั้งคลื่นลมที่เลวร้ายลงทุก ๆ ขณะจิต ซึ่งก็ได้รับผลแห่งความสำเร็จมาอย่างน่าพอใจ แม้ว่าได้พิมพ์แจกหนังสือธรรมะปลอบเตือนชาวโลกอย่างแพร่หลายกว้างขวางมาโดยตลอดเวลาหลายปีแล้วก็ตาม แต่ว่าสำหรับจิตใจของมนุษย์อันดื้อรั้นนั้น ยังมิอาจมีพลังอันเฉียบขาดที่จะยับยั้งพอ ท่านเง็กเสียงอ๊วงตี่ ทรงตระหนักในพระทัยถึงการนี้ จึงได้ตัดสินพระทัยในขณะที่มีการประชุมในเบื้องบนสวรรค์ ตกลงให้เลือกเฟ้นสำนักรับประทับทรงที่สุจริตบริสุทธิ์ โดยที่ประกอบด้วยสภาพการณ์ที่มีความสัมพันธ์อันดีต่อเทพเจ้า ทั้งผู้คนในสำนักที่มีความสนิทสนมกลมเกลียว สมัครสมานกัน และเป็นสำนักที่ศักดิ์สิทธิ์ เพื่อความสะดวกในการท่องนรกแต่งหนังสือ โดยเผยเอาความจริงของนรกให้ชาวโลกได้รู้ได้เห็น จึงจะสามารถปลอบเตือน และหันเหจิตใจผู้คน ทำการปิดกั้นกระแสคลื่นลมที่เสื่อมทราม ให้สัมฤทธิ์ผลอย่างฉับพลันทันตาเห็น

        หลังจากการเลือกเฟ้นแล้ว สำนักเราซึ่งได้รับเกียรติให้รับภาระนี้  ข้าพเจ้ามีความประหวั่นพรั่นพรึงเป็นอย่างยิ่ง โดยเหตุว่าการท่องนรกแต่งหนังสือไม่เหมือนกับการรับประทับทรงบรรยายธรรมโดยทั่วไป หากว่าได้เกิดความพลาดพลั้งในขณะที่รับประทับทรง หรือนายหยางเซิงเกิดมีความเสียสมาธิขึ้น ก็จะทำให้ภาระใหญ่ยิ่งอันนี้ล่มสลายลงในทันที  ซึ่งเป็นการขัดต่อเทวโองการและโทษฐานนั้นหนักหน่วงมาก อันเป็นที่ยำเกรงของมนุษย์และเทวดาทั้งหลาย หากแต่ว่าเรามิอาจจะขัดขืนต่อคำสั่งจากสวรรค์ได้ จึงน้อมรับพระราชโองการด้วยความระมัดระวังอย่างยิ่งยวด นับแต่วันที่ 15 กันยายน พ.ศ.2519  ที่ได้รับมอบเทวโองการเป็นต้นมา ศิษยานุศิษย์ทั้งหลายตั้งจิตที่มั่นคงแน่วแน่คอยรับเสด็จวันกำหนดรับประทับทรงต่างก็ได้มารวมกันอย่างสงบเงียบในสำนัก นายหยางเซิงต้องถือศีลกินเจคอยต้อนรับอยู่จนกว่าท่านอรหันต์จี้กงเสด็จมา จึงนำเอาวิญญาณที่ออกจากร่างตรงไปยังยมโลก ทำการเก็บข้อมูลต่าง ๆ  เง็กฮื้อทงจื้อจะอยู่ในสำนักเพื่อทำการถ่ายทอดสภาพความเป็นจริงนั้น ๆ เช่น การได้ตอบพระอรหันต์กับมนุษย์ การสนทนาพาทีในขณะที่อยู่ในแดนนรก ได้ทำการเขียนออกเป็นตัวอักษรโดยทันทีทันใด จึงได้จัดแต่งเป็นหนังสือ "เที่ยวเมืองนรก"  ขึ้น

        ตลอดเวลา 2 ปี ที่ผ่านมานี้ได้ท่องไปในแดนนรกอย่างทั่วถึง หนังสือเล่มนี้จึงได้สำเร็จลง ข้าพเจ้ามีความปลาบปลื้มปิติยินดีเป็นอย่างยิ่ง หนังสือเล่มนี้มีค่าเหลือที่จะประมาณได้ ซึ่งนับแต่สำนักเราได้ทำการรับประทับทรงบรรยายธรรมเป็นต้นมา ที่สิ้นเปลืองเวลามากที่สุด เป็นหนังสือที่ได้ผลในการปลอบเตือนจิตใจชาวโลกได้ดีที่สุดเล่มหนึ่ง ควรแก่การจะเทิดทูนถนอมไว้ เมื่อหนังสือเล่มนี้ได้ปรากฏแก่สายตาชาวโลกแล้ว นรกอันมืดทึบจะเปล่งปลั่งด้วยรัศมี จึงอยากให้ผู้คนในภิภพทั้งหลาย ที่มีบุญได้อ่านหนังสือเล่มนี้ ต่างได้หลุดพ้นออกจากห้วงเหวแห่งความทุกข์ ก้าวขึ้นสู่แดนแห่งความศักดิ์สิทธิ์เทอญ

                              ประธานแห่งสำนักเซี้ยเฮี้ยงตึ้ง

                                       พระกวงเฮง

                        ลงวันที่  19  พฤษภาคม   พ.ศ. 2521     
หัวข้อ: เที่ยวเมืองนรก : คำอนุโมทนาของกุมารเทพ เง็กฮือทงจื้อ
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 29/11/2011, 07:00
                               เที่ยวเมืองนรก 

                              คำอนุโมทนาของ

                          กุมารเทพ   เง็กฮือทงจื้อ

               กุมารเทพเง็กฮือทงจื้อ  ลงประทับทรงกล่าวว่า   :

                              ฟ้าประทานพจน์วิเศษดุจเข็มทิศ
                      อำมหิตเป็นนิจใช่อำพลาง
                      หากกลับใจนรกนั้นจะปิดทาง
                      สำนึกตัวกลับใจประเสริฐจริง

        ชาวโลกมักจะเห็นความดีความชอบในด้านเสพสุขทางวัตถุ ดูหมิ่นในด้านอบรมศึกษาทางจิตใจ ศีลธรรมเมื่อถูกทอดทิ้งละเลยแล้ว การก่อการลักขโมย ล้างผลาญฆ่าแกงข่มขืนกระทำชำเราก็จะทวีความรุนแรงขึ้นโดยไม่หยุดยั้ง  เมื่อจะยับยั้งแก้ไขเหตุร้ายอันไม่มีวันจะยุติลงได้ จึงควรเริ่มกระทำการอบรมทางศีลธรรม โดยให้บรรยายถึงความเป็นจริงแห่งการตอบสนองจากเหตุและผล ดวงวิญญาณนั้นไม่ได้สูญสลายและไม่ใช่เรื่องเท็จ โชคลาภวาสนาและภัยพิบัต  มิได้เกิดขึ้นโดยปราศจากเหเตุผล แต่อยู่ที่การกระทำดีหรือความชั่วของมนุษย์เอง ถ้าหากตัวเราก่อกรมทำเข็ญในตอนมีชีวิตอยู่ เมื่อตายลงแล้วดวงวิญญาณ ก็จะต้องรับโทษที่ตนได้ก่อขึ้นไปเอง ต้องตกเข้าไปในทางชั่วร้าย รับการฝึกอบรมจากการเวียนว่ายตายเกิด นี่แหละคือต้นกำเนิดแห่งการเกิดขุมนรกขึ้น

        วิญญาณของข้าพเจ้าบริสุทธิ์ผุดผ่อง จึงสามารถท่องไปในแดนศักดิ์สิทธิ์อย่างสบายอารมณ์ได้ เนื่องจากขณะนี้สำนักเซี้ยเฮี้ยงตึ้ง แห่งเมืองไถ่ตงได้รับเทวโอกางให้แต่งหนังสือ "เที่ยวเมืองนรก" ข้าพเจ้าได้รับเกียรติในหน้าที่ให้ใช้ "ทิพยเนตรถ่ายทอดความจริง" จึงกราบรับโดยดุษฏี ในขณะเงียบสงัดของราตรีกาลแห่งการรับประทับทรง ท่านอรหันต์จี้กงเสด็จลงมานำพาวิญญาณของคุณหยางเซิง ไปท่องชมนรกทุกขุม ในขณะที่ทำการสนทนากับวิญญาณโทษ ข้าพเจ้าจะใช้ทิพยเนตรเก็บเอาเสียงและภาพของเขา ถ่ายทอดออกทันที โดยอาศัยร่างของเขานั่นแหละที่ได้ถือพู่กันไว้ในมือ เขียนออกเป็นตัวอักษรต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันทันด่วน จึงมีข้อความสนทนาโต้ตอบจากแดนนรกแล้วคัดลอกแต่งเป็นหนังสือ เพื่อเป็นการปลอบเตือนกล่อมเกลาชาวโลก

        ความอ่อนไหวพิศดารในการนี้ มีผู้มีจิตศรัทธาเลื่อมใสรุมล้อมสังเกตุการณ์อยู่รอบด้าน ล้วนได้เปล่งคำอุทานว่าหาที่ดูมิได้อีกแล้ว ต่างเชื่อมั่นว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งเทพเจ้านั้นมีจริงพึงเชื่อถือได้ แต่ผู้ที่ยังมิได้ชมด้วยสายตาของท่านเองก็อาจจะเชื่อได้ แต่ไม่สู้จะสนิทนัก เนื่องจากเหตุนี้เอง ข้าพเจ้าจึงหวังเป็นอย่างยิ่งที่จะเห็นชาวโลกทั้งหลายว่า สวรรค์นั้นได้อยู่บน "ดวงจิต"  ของตัวท่านเอง  เมื่อท่านหลอกลวงจิตใจอันดีงามของตัวท่านเองแล้ว ท่านยังมีความ "สุขใจ" ที่จะพักอาศัยในสวรรค์ได้อีกหรือ?.  ผู้ที่ทำความชั่วไว้แล้ว เมื่อตอนสำนึกตัวได้ ทุกครั้งจึงเกิดความตำหนิติเตียนตัวเองอย่างขมขื่นทรมานจิตใจ ขณะนั้นแหละภาพแห่งนรกได้บังเกิดขึ้นในใจท่านแล้ว แต่ว่านรกคือที่คุมขังผู้กระทำความผิด เป็นที่ซึ่งมวลมนุษย์ไม่พึงปรารถนา หรือบางคนจะเห็นเป็นบ้านเดิมของท่านเอง?. มนุษย์เราถือกำเนิดมาจากสวรรค์  บนสวรรค์จึงเป็นแหล่งพำนักพักพิงเดิมของท่าน ดังนั้น จึงหวังเป็นอย่างยิ่ง จงอย่าเร่ร่อนอยู่ในห้วงแห่งการเกิดตาย และต้องตกลงไปในทางเวียนว่ายตายเกิดอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

        อาศัยในโอกาสที่หนังสือ "เที่ยวเมืองนรก" จะคลอดออกสู่ตลาดในขณะนี้ ข้าพเจ้าจึงได้ให้พู่กันอันศักดิ์สิทธิ์นี้ขยายความตามที่ทิพยเนตรได้เห็นมาเป็นเวลาร่วม 2 ปีในแดนนรก ที่มีสภาพเต็มไปด้วยความอเนจอนาถทรมาน หวังว่าผู้อ่าน เมื่ออ่านหนังสือเล่มนี้จบลงแล้ว การกระทำและความประพฤติของท่านทั้งหลายจะขาวสะอาดหมดจดปราศจากด่างพล้อย จะไม่ให้มีเมล็ดพันธุ์แห่งนรกหลงเหลืออยู่อีก จึงจะไม่เป็นการเสียแรงที่ข้าพเจ้าได้อุตสา่ห์ติดตามถ่ายทอดมาตลอด

                             กุมารเทพเง็กฮือทงจื้อ  แห่งพรหมปราสาท

                                  วันที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2521   
หัวข้อ: เที่ยวเมืองนรก : เทพเลขาลงประทัพทรง ประกาศว่า :
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 29/11/2011, 07:38
                             เที่ยวเมืองนรก                   

                  เทพเลขาลงประทัพทรง   ประกาศว่า 

                  เมื่อวันที่ 19  พฤษภาคม  พ.ศ. 2521

                                 คำบรรยาย

        1.  หนังสือเล่มนี้ได้แต่งขึ้น  โดยเทวโองการท่านเง็กเสียงอ๊วงตี่ แม้ว่าสำนวนนั้นจะเป็นคำพูดพื้น ๆ ง่าย ๆ  แต่ทีเนื้อหาที่เปี่ยมท้นด้วยหลักธรรมความจริง ซึ่งเป็นตำนานอันวิเศษล้ำเลิศ ที่จะอบรมบ่มนิสัยบำเพ็ญธรรมอย่างดีเยี่ยม   

        2.  หากปรากฏว่ามีตัวอักษรใดที่ขาดตกหรือผิดเพี้ยนบ้าง ซึ่งเป็นความสับเพร่าในการคัดลอก ผู้อ่านจงอย่าดูหมิ่นสบประมาทเป็นอันขาด

        3.  ตำนานเล่มนี้ได้สูญสิ้นพลกำลังและจิตใจของเทพเจ้าและมนุษย์อย่างใหญ่หลวง จึงได้ประสบความสำเร็จจนจัดพิมพ์เป็นเล่มขึ้น ซึ่งใช้เวลาถึง 2 ปีเต็ม ในตำนานเล่มนี้ได้เปิดเผยความลี้ลับแห่งยมโลก แนวทางการลงโทษแห่งแดนนรกได้ประกาศให้ทราบอย่างแจ่มแจ้ง ชอบที่เป็นเสียงระฆังเพื่อคอยกล่อมโลก และเป็นตำนานที่หาได้ยากยิ่งในระยะเวลานับหมื่น ๆ ปีที่แล้วมา จึงหวังเป็นอย่างยิ่งที่มวลมนุษย์ควรจะอ่าน ควรจะถนอม ควรจะเข้าใจ  และควรที่จะบำเพ็ญด้วย

        4.  ตำนานเล่มนี้ได้รับความร่วมมือจากแดนสวรรค์ ยมโลก  และชาวมนุษย์  จึงสามารถเขียนแต่งให้สำเร็จลงได้ซึ่งมีความดีความชอบร่วมกันด้วย ดังนั้น  เมื่อผู้ใดได้พิมพ์แจกแม้จะเพียงเล่มเดียวจะต้องได้รับความสนองตอบในทางดี  3  แดนด้วย 

        5.  คำประกาศิตจากท่านจินกวาน ประดาที่พิมพ์แจกตำนานเล่มนี้ เพื่อเป็นการช่วยให้ได้กอบกู้ผู้คน ไม่ว่าจะพิมพ์เอง หรือช่วยพิมพ์หรือช่วยเรี่ยไรเงินเป็นค่าพิมพ์  บรรยาย  หรือช่วยเผยแพร่  ล้วนได้รับอนุมัติให้ลดหย่อนผ่อนโทษที่ตัวเองได้ก่อไว้ในปางก่อน หากสะสมความชอบนี้ได้เต็มขั้นแล้ว จะได้ขึ้นสู่สวรรค์รับความสุขสบายกาย โดยถือเอาความดีที่สร้างสมไว้ในการนี้

        6.  บรรดาที่มีความประสงค์อยากได้อายุยืน หรือหวังในการเลื่อนตำแหน่งหน้าที่ หรือขจัดโรคภัยไข้เจ็บ หรือแก้อาถรรพณ์ในการจองเวรจองกรรมหรือบำเพ็ญธรรม หรือลบล้างบาปที่ตัวสร้างไว้ หรือจะช่วยกอบกู้บรรพบุรุษให้พ้นภัยพ้นทุกข์ หรือประสงค์จะมีความสุขเมื่อตัวเองได้ตายลงไป เมื่อได้ตั้งอธิษฐานจะพิมพ์แจกตำนานเล่มนี้แล้วล้วนต้องได้รับตามความประสงค์นั้น ๆ ทั้งนี้ ควรจุดธูปต่อหน้าเทพเจ้า หรือต่อหน้าวัดวาอารามศาลเจ้าศักดิ์สิทธิ์ หรืออยู่ที่กลางแจ้งแล้วให้อธิษฐานตามที่ประสงค์ เทพเจ้าจะได้ไปทูนให้ทันที มีการสนองตอบอย่างทันใจด้วย สิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่มีการหลอกลวงแต่อย่างไร

        7.  ตำนานนี้สถิตอยู่แห่งใดแห่งนั้นย่อมมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์จากสากลโลกให้การคุ้มครอง เมื่ออ่านแล้วต้องเก็บไว้  ณ  ที่ ๆ สะอาดห้ามทำให้เปรอะเปื้อนสกปรก ผู้ที่ดูหมิ่นกล่าวร้ายต่อตำนานเล่มนี้ หรือขัดขวางการเผยแพร่ จะต้องตกเข้าในนรกตลอดกาล ซึ่งนับว่าเป็นโทษที่ให้อภัยไม่ได้ หวังว่าชาวโลกทั้งหลายจงกลับเข้าไปในทางธรรม และจงคิดรอบคอบถ้วนถี่เทอญ.         
หัวข้อ: เที่ยวเมืองนรก : นำเที่ยวเมืองนรก ทั่ว 10 ขุมนรก ครั้งที่ 1 : เที่ยวภูเขาหัวใจชมถ้ำนรก
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 30/11/2011, 08:40
                                       เที่ยวเมืองนรก

                               นำเที่ยวเมืองนรก ทั่ว 10 ขุมนรก

                           ครั้งที่ 1  วันพฤหัสบดีที่ 9 กันยายน  พ.ศ. 2519

                                    เที่ยวภูเขาหัวใจชมถ้ำนรก

ท่านอรหันต์จี้กงเสด็จมาแล้วตรัสในบทกลอนความว่า

        อันสวรรค์        นรกนั้น                อยู่ในใจ
บุญบาปใคร             ล้อมจิตตน            มุ่งใฝ่หา
ค่ำคืนนี้                  พระจี้กง               จะนำพา 
ให้อยางเซิง            เที่ยวลอยไป         บนดอกบัว

อรหันต์จี้กง  :  เจ้าหยางเซิง  คืนนี้เราไปเที่ยวเมืองนรก  เจ้ามีความรู้สึกอย่างไร ?.

หยางเซิง    :  กระผมต้องกราบขอบพระคุณในความมหากรุณาจากสวรรค์ก่อนใด ๆ ทั้งสิ้น ที่ท่านได้กรุณาให้โอกาสกระผม ไปเที่ยวชมเมืองนรก กระผมมีความรู้สึกปรีดาอันหาที่เปรียบมิได้

อรหันต์จี้กง  :  สำนักเซี้ยเฮี้ยงตึ้ง  อันขึ้นตรงต่อสวรรค์ทักษิณ ซึ่งมีศิษย์สาวกทั้งหลายต่างบำเพ็ญตนพากเพียรในการสร้างบุญกุศล ชักจูงผู้ลุ่มหลง จำหน่ายแจกจ่ายตำรับการกุศลอย่างมากมายมหาศาล เพื่อให้มวลมนุษย์ท่องอ่าน กุศลบุญแผ่คลุมทั่วพิภพ  ดังนั้นท่านเง็กเสียงอ๊วงตี่ จึงได้ประทานบัญชาให้แต่หนังสือเรื่อง "เที่ยวเมืองนรก"  เพื่อที่จะเปิดเผยความจริงแห่งขุมนรก อันที่จะไปเที่ยวในครั้งนี้ ศิษย์ผู้ร่วมสำนักคนอื่น ๆ ยังมิได้เคยเที่ยวชมมาก่อน เมื่อเจ้าได้ไปเห็นมาแล้วจงนำไปเผยแพร่อบรมแก่ชาวโลกทั้งหลาย เมื่อก่อนเจ้าก็เคยฝึกฝนในเรื่องการประทับทรง ขณะนั้นอาตมาได้จุติมาสั่งสอน เลยทำให้เราทั้งสองกลายเป็นอาจารย์กับศิษย์จนกระทั่งถึงทุกวันนี้   และวันนี้  สวรรค์ท่านได้โปรดให้เราแต่งหนังสือ "เที่ยวเมืองนรก"  ก็เพราะรู้ว่าท่านมีอุปนิสัยใจคอที่ซื่อสัตย์ เที่ยงตรง  ของอาตมาสามารถชักนำชาวโลกไปในทางที่ถูกที่ชอบยิ่งนัก และกระตุ้นเตือนให้สร้างแต่บุญกุศล  เอาละ..... บัดนี้เราเริ่มออกเดินทางได้แล้ว

หยางเซิง  :  ขอขอบพระคุณ น้อมรับคำสั่งสอนของท่านอาจารย์  กระผมเคยได้ยินมาว่าการท่องเมืองนรกนั้นต่างก็ขี่เทพอาชาหรือโดยสารไปในดอกบัว แล้วไฉนอาจารย์จึงสั่งให้เดินเท้าเปล่าเล่า ?.

อรหันต์จี้กง  :  ช่างไร้เดียงสาเสียจริง ๆ เจ้าหยางเซิงเอ๋ย  อันทางไปนรกนั้นน่ะจะเป็นทางดีได้อย่างไร ๆ แล้วคิดจะเหาะเหินเดินอากาศด้วยฤา ?. ทุกวันนี้วิทยาศาสตร์ก้าวหน้าไปไกลมาก ไปไหนก็ต้องนั่งรถเก๋ง เจ้าคิดจะขับบ้างหรือ ?.  อันที่จริงนั้น นรกไม่มีทางเข้า มนุษย์นั้นต่างหากที่พาตัวเข้าไปเอง อย่าเพ้อฝันไปเลย เมื่อผ่านพ้นทางทุรกันดารแล้วจึงสามารถขึ้นสู่สวรรค์

หยางเซิง  :  กระผมว่าอาจารย์ท่านคล้ายเมาเหล้าในยามนี้

อรหันต์จี้กง  :  ความจริงก็ดื่มมาบ้างแล้ว  ในเมื่อฉันรู้แจ้งเห็นจริงต่อสรรพสิ่งของมวลมนุษย์แล้ว ซึ่งจิตใจของคนน่าสะพรึงกลัวมากนัก ยากที่จะชักจูงให้ตลอดรอดฝั่งได้ ทำให้ฉันเสียใจเป็นอย่างยิ่งก็เลยอาศัยสุรายาเมา เพื่อกลบเกลื่อน ฉันว่าเจ้าก็ควรดื่มเสียบ้างให้รู้แล้วรู้รอดไป ให้มันเมาดับจิตไปเสียเลย

หยางเซิง  :  กระผมดื่มเหล้าไม่เป็น  ท่านอาจารย์ล้อเล่นเก่งจังเลย

อรหันต์จี้กง  :  เอาละ เวลามีจำกัดฉันจะเสกบัวช่อหนึ่ง เพื่อเป็นยานพาหนะเดินทางของเรา

หยางเซิง  :  ท่านอาจารย์มีอิทธิฤทธิ์ล้นฟ้า พอเสกคาถาจบบัวขาวช่อหนึ่งก็โผล่ขึ้น แต่ว่าเท้ากระผมไม่สะอาดพอ ไม่กล้าเหยีบย่ำขึ้นบนดอกบัว

อรหันต์จี้กง  :  หากว่าจิตใจเจ้าสะอาดพอแล้ว ก็ไม่เป็นปัญหาอันใด คำสุภาษิตท่านกล่าวไว้ว่า "ดอกบัวนั้นเติบโตจากตมเลน แต่ก็ไม่มีสิ่งเปรอะเปื้อนติดอยู่เลย"

หยางเซิง  :  ถ้างั้น กระผมก็ลองเสี่ยงดูสักครั้ง กระผมนั่งลงเรียบร้อยร้อย จะไปทางไหนกัน

อรหันต์จี้กง  :  ปิดตาของเจ้าทั้งสองข้างเสีย ฉันจะนำเที่ยวแล้วล่ะ

หยางเซิง  :  ขอรับ กระผม

อรหันต์จี้กง  :  เจ้าลืมตาได้แล้ว

หยางเซิง  :  ที่นี้คือแห่งหนตำบลใด ?. ทำไมตรงหน้ามีภูเขาสูงชันลูกหนึ่ง และบนผนังหินนั้นมีตัวอักษรว่า "ภูเขาขั้วหัวใจ"  ส่องแสงแพรวพราวตระการตา

อรหันต์จี้กง  :  ภูเขานั้นแหละชื่อ  "ภูเขาขั้วหัวใจ"  เดินขึ้นไปบนภูเขาก็จะเป็นประตูสวรรค์ เจ้าเห็นบ้างไหมข้างภูเขานั้นมีถ้ำอยู่ถ้ำหนึ่ง มองดูมืดมิดไม่จรดก้นถ้ำ ถ้ำนี้แหละคือ  "ถ้ำนรก"  ชาวโลกผู้มีจิตใจบริสุทธิ์ซื่อตรง เมื่อสิ้นลมปราณแล้วก็จะได้ขึ้นสู่ภูเขานี้  ถ้าหากเป็นคนจิตใจชั่วร้ายทำเวรสร้างบาป เมื่อตัวตายแล้ววิญญาณล่องลอยมาถึง ณ ที่นี้  เมื่อเห็นตัวหนังสือ "ภูเขาขั้วหัวใจ"  ที่ส่องแสงระยิบระยับ นันย์ตามักจะเบิกออกยาก ในขณะที่ไม่ทันจะตั้งตัว ก็ต้องตกลงไปในถ้ำนรกอันลึกล้ำนั้น ดังนั้น นักปราชญ์โบราณ ท่านจึงกล่าวไว้ว่า "จิตเป็นทั้งสวรรค์และเป็นทั้งนรก"  ล้วนขึ้นอยู่กับความรู้สึกผิดชอบบุญบาปวูปหนึ่งเท่านั้นเอง

หยางเซิง  :  ที่แท้เป็นอย่างนี้เอง คนเราจะเลีอกไปทางสวรรค์หรือทางนรกก็ย่อมได้ คนจะเป็นเทวดาเป็นผีก็ได้

อรหันต์จี้กง  :  คืนนี้ เวลาจำกัดมาก เราเที่ยวชมเท่านี้ก่อน รีบขึ้นนั่งบนดอกบัวเสีย

หยางเซิง  :  ขอรับ  กระผม

อรหันต์จี้กง  :  ปิดตาเร็ว  มิฉะนั้นตาของสามัญปุถุชนจะทนต่อลมเย็นที่เชือดเฉือนโชยมาได้ยาก

หยางเซิง  :  ขอรับ  กระผม  ลมจัดมาก กระผมทนไม่ไหวแล้ว

อรหันต์จี้กง  :  ถึงสำนักเซี้ยเฮี้ยงตึ้งแล้ว  หยางเซิงลงจากดอกบัว  วิญญาณกลับเข้าร่างดังเดิม
หัวข้อ: เที่ยวเมืองนรก : ครั้งที่ 2 ตอนเที่ยวสระน้ำสบายใจ สู่แดนต่อแดน ระหว่างมนุษย์โลกกับยมโลก
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 13/12/2011, 11:32
                             เที่ยวเมืองนรก

          ครั้งที่ 2  วันอาทิตย์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2519

                      ตอนเที่ยวสระน้ำสบายใจ

                            สู่แดนต่อแดน

                   ระหว่างมนุษย์โลกกับยมโลก

ท่านอรหันต์จี้กงเสด็จปรากฏตัว ตรัสเป็นกลอนความว่า

       มณีวาว                  เดิมสถิต                  บนสวรรค์
เกิดพลาดพลั้ง                 สู่ดินดาล                  เคล้าโคลนตม
ครั้งเห็นแจ้ง                   ปลงสังขาร               ละโสมม
ปัญญาข่ม                     จิตเปี่ยมท้น              สัจธรรม     

อรหันต์จี้กง   :  เจ้าหยางเซิง เตรียมตัวท่องเมืองนรกได้

หยางเซิง   :  ท่านอาจารย์ครับ  วันนี้กระผมได้ไปเมืองเจียงฮ่วย และเพิ่งกลับมา รู้สึกอ่อนเพลีย ใคร่จะขอนอนพัก กระผมว่าวันหลังค่อยไปนะครับ !

อรหันต์จี้กง   :  เจ้านะเกียจคร้านมาก ผู้บำเพ็ญธรรมเมื่อตรากตรำลมฟ้าเพียงเล็กน้อยก็เกิดความท้อ แล้วจะหวังบรรลุธรรมได้อย่างไร ?.

หยางเซิง   :  กระผมจะต้องขอกราบประทานอภัยจากท่านอาจารย์ด้วย กระผมจะเร่งปรุงสติตามท่านอาจารย์ไป

อรหันต์จี้กง   :  รีบขึ้นบนดอกบัว อย่าเปิดตา... เอาละ ลืมตาได้ ลงจากดอกบัวได้แล้ว

หยางเซิง   :  ท่านอาจารย์ครับ วันนี้ไฉนจึงพากระผมมาทางนี้ ตรงข้างหน้ามีบ่อน้ำใหญ่บ่อหนึ่ง น้ำในบ่อใสสะอาด ไร้คลื่นลม น้ำเป็นสีฟ้า และมีตัวหนังสือ ปรากฏความว่า "สระน้ำสบายใจ"

อรหันต์จี้กง   :  วันก่อนท่องนรก เนื่องจากเจ้าเป็นปุถุชนธรรมดา นันย์ตาสามัญชนจึงมองเห็นสรรพสิ่งได้น้อยมาก วันนี้อาตมาพาเจ้ามายังที่นี้ ต้องการให้เจ้าลงไปในสระน้ำ เพื่อชะล้างสิ่งราคีทำให้ตาสามัญชนกลายเป็นทิพยเนตร จึงสามารถมองทะลุปรุโปร่งในแดนนรก

หยางเซิง   :  กระผมว่าน้ำในสระใสเย็นจัดมาก และวันนี้ก็เป็นฟดูใบไม้ร่วง กระผมกลัวความเย็นเกรงจะเป็นหวัด ไม่กล้าลงอาบ

อรหันต์จี้กง   :  ท่องนรกแต่กลัวหนาว !  ผลักให้เจ้าลงไปเลย

หยางเซิง   :  ช่วยด้วย !!!! กระผมว่ายน้ำไม่เป็น อาจารย์ท่านทำให้คนตายแล้ว ! โอย.....

อรหันต์จี้กง   :  ให้เจ้าลงไปแซ่สัก 2 - 3 นาที เพื่อกระตุ้นให้ตื่นขึ้น

นายพลคุมสระ   :  นมัสการท่านอาจารย์ กระผมขอต้อนรับพระคุณท่าน เมื่อครู่นี้ท่านอาจารย์ผลักปุถุชนผู้หนึ่งลงไปในสระ มิทราบว่าท่านมีความประสงค์อันใด ?.

อรหันต์จี้กง   :  ท่านนายพลหารู้ไม่ว่า ชาวโลกทุกวันนี้ ล้วนเมามายลุ่มหลง ราคีเต็มกาย สูญสิ้นไปซึ่งวิญญาณอันผ่องใสปราดเปรื่องแห่งนิสัยดั้งเดิม วันนี้อาตมาผลักปุถุชนผู้นี้ลงไปในสระน้ำ ความหมายก็คือ ชำระล้างราคีที่เปรอะเปื้อน "มุณีจินดา" เพื่อให้แสงที่เจิดจ้าจรัสขึ้นอีกครั้งหนึ่ง           
หัวข้อ: เที่ยวเมืองนรก ครั้งที่ 2 ตอนเที่ยวสระน้ำสบายใจ สู่แดนต่อแดนระหว่างมนุษย์โลกกับยมโลก
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 13/12/2011, 13:23
                               เที่ยวเมืองนรก

          ครั้งที่ 2  วันอาทิตย์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2519

                      ตอนเที่ยวสระน้ำสบายใจ

                            สู่แดนต่อแดน

                   ระหว่างมนุษย์โลกกับยมโลก

ท่านอรหันต์จี้กงเสด็จปรากฏตัว ตรัสเป็นกลอนความว่า

       มณีวาว                  เดิมสถิต                  บนสวรรค์
เกิดพลาดพลั้ง                 สู่ดินดาล                  เคล้าโคลนตม
ครั้งเห็นแจ้ง                   ปลงสังขาร               ละโสมม
ปัญญาข่ม                     จิตเปี่ยมท้น              สัจธรรม     

นายพลคุมสระ   :  เช่นนี้แล้ว กระผมจะรีบช่วยกู้เขาขึ้นมาโดยด่วน มิฉะนั้นหากนานเกินควรอาจช่วยไม่ทัน

อรหันต์จี้กง   :  เร็วเข้า ! หากว่าจมลงก้นสระก็จะเกิดความยุ่งยากมาก

นายพลคุมสระ   :  ช่วยขึ้นมาแล้วครับ แต่เขาได้หยุดการหายใจไปแล้ว มิทราบว่าท่านจะช่วยเหลือแก้ไขได้ประการใด ?.

อรหันต์จี้กง   :  เรื่องเล็ก เมื่อชะล้างราคีแล้วก็ย่อมจะฟื้นคืนชีพได้ อาตมาจะใช้พัดโบกเพียงครั้งเดียวก็จะฟื้นคืนชีพมาทันที ดูอาตมาแสดงอภินิหาร.....

นายพลคุมสระ   :  ลืมตาขึ้นทั้งสองข้างแล้ว

หยางเซิง   :  ท่านอาจารย์ไฉนจึงผลักกระผมลงไปในสระ ?.

อรหันต์จี้กง   :  ชาวโลกล้วนแต่ติดนิสัยชอบให้ผลักดัน เออ..... กรุณามากแล้วนะ เหตุผลของเจ้ายังมีอีกมากมายก่ายกอง แต่อาตมาไม่มีอารมณ์ในเรื่องนี้ จึงจำเป็นต้องทำเช่นนั้น

หยางเซิง   :  ขอขอบพระคุณต่อคำสั่งสอนของท่านอาจารย์ เวลานี้กระผมมีความรู้สึกสดชื่นสบายทั่วร่างกาย ผู้ที่แต่งกายแบบนายพลคือผู้ใด ?. 

อรหันต์จี้กง   :  ท่านผู้นี้คือนายพลผู้คุมสระ มีหน้าที่ดูแลรักษาสระน้ำนี้  ผู้ที่มิได้รับคำสั่งจะลงไปอาบไม่ได้ สระน้ำนี้คือ บ่อน้ำทิพย์  นอกจากเทวดาสามแดนลงสรงได้แล้ว บุคคลอื่น ๆ ล้วนห้ามลงอาบ วันนี้เจ้ามีบุญแล้วนะ

นายพลคุมสระ   :  วันนี้ท่านอาจารย์พาปุถุชนผู้นี้มายังที่นี้มิทราบว่ามีธุระปะปังประการใด ?.

อรหันต์จี้กง   :  เพราะเหตุว่าเซี้ยเฮี้ยงตึ้ง ในเมืองไถ่ตง แห่งโลกมนุษย์ได้รับเทวโองการให้แต่งหนังสือเรื่อง "เที่ยวเมืองนรก"  ให้ฉันพาหยางเซิงผู้นี้มาท่องยมโลก เพราะเหตุยังไม่สิ้นกลิ่นไอแห่งปุถุชนยากแก่การมองทะลุปรุโปร่งในเมืองนรก ก็เลยพามาชะล้างในนัยน์ตาในสระน้ำสบายใจ เพื่อที่สะดวกในการท่องชม

นายพลคุมสระ   :  ขอประทานโทษ !  ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง

อรหันต์จี้กง   :  เวลาไม่ค่อยมี เราศิษย์อาจารย์จะรีบไปท่องเมืองนรก ลาก่อนท่านนายพล  เจ้าหยางเซิงรีบขึ้นดอกบัวเสีย

หยางเซิง   :  ขณะนี้เราจะไปทางใดครับ ท่านอาจารย์ ?.

อรหันต์จี้กง   :  ไม่ต้องถาม เมื่อถึงที่แล้วจะรู้เอง รีบปิดตาทั้งสองข้าง.....ลืมได้แล้ว ลงจากดอกบัวได้

หยางเซิง   :  ถนนสายนี้ทำไมไม่ราดยางมะตอย พายุทรายฟุ้งเต็มท้องฟ้า ทำให้เดินกะโผลกกะเผลก

อรหันต์จี้กง   :  นี้แหละคือ แดนต่อแดนระหว่างมนุษย์กับผี

หยางเซิง   :  โอ้โฮ !!  ทางโน้นมีคนมาเยอะแยะ ล้วนแต่ร้องห่มร้องไห้กระจองอแง !

อรหันต์จี้กง   :  นั่นคือวิญญาณของคนที่ตายแล้ว เพิ่งมาถึงเมืองนรก

หยางเซิง   :  ข้างหน้ามีหอสูง มีตัวอักษรว่า "แดนต่อแดนระหว่างมนุษย์โลกกับยมโลก"  ที่นี้เป็นแห่งหนตำบลใด ?.

อรหันต์จี้กง   :  นี่แหละคือ แดนต่อแดนแห่งมนุษย์โลกกับยมโลก

หยางเซิง   :  ข้างหน้ามีตึกแถวสองตึก เราไปเยี่ยมชมกันเถิด

อรหันต์จี้กง  :   ได้ รีบไปกัน

หยางเซิง   :  ตึกเหล่านี้ล้วนเขียนว่า "กรมทะเบียน"  แบ่งเป็นแผนกที่ 1  ที่  2  ประมาณสิบกว่าห้อง

อรหันต์จี้กง   :  เราไปสังสรรค์เยี่ยมชมเถิด

อธิบดีกรมทะเบียน   :  ขอต้อนรับท่านอาจารย์กับคุณหยางเซิง ผู้ทรงเอก แห่งสำนักเซี้ยเฮี้ยงตึ้ง จากเมืองไถ่ตงที่มาเยี่ยมเยือน ในวันที่ 15 เดือน 8 ได้รับพระบรมราชโองการจากท่านเง็กเสียงอ๊วงตี่ ทราบว่าสำนักท่านจะแต่งหนังสือ "เที่ยวเมืองนรก"  และจะมาสำรวจเที่ยวชมให้ละเอียด

อรหันต์จี้กง   :  เพราะเวลาหมดลงแล้ว วันอื่นค่อยมาเยี่ยมชมกันใหม่

อธิบดีกรมทะเบียน   :  ได้ครับ เชิญขอรับ

อรหันต์จี้กง   :  เจ้าหยางเซิง เราเตรียมกลับสำนักเถิด  ออกไปขึ้นดอกบัว  ปิดตาทั้งสองข้าง   

หยางเซิง   :  ขอรับ  กระผม.....

อรหันต์จี้กง   :  ถึงสำนักเซี้ยเฮี้ยงตึ้งแล้ว   หยางเซิงลงจากดอกบัว วิญญาณกลับเข้าสู่ร่างดังเดิม
หัวข้อ: เที่ยวเมืองนรก : ครั้งที่ 3 ตอน ท่องแดนต่อแดนระหว่างมนุษยโลกกับยมโลก เยี่ยมชมหอทะเบียนเมืองนรก
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 14/12/2011, 21:29
                                     เที่ยวเมืองนรก

                 ครั้งที่ 3  วันพฤหัสบดีที่  16  กันยายน  พ.ศ. 2519

                   ตอน ท่องแดนต่อแดนระหว่างมนุษยโลกกับยมโลก

                             เยี่ยมชมหอทะเบียนเมืองนรก 

        ท่านอรหันต์จี้กงเสด็จลงตรัสเป็นกลอน  ความว่า 

        พุทธนที                ไร้คลื่น                  ผงธุลี
ตัดราคี                          ทางสวรรค์             ที่จิตไซร้
วันเวลา                         ดั่งจรวด                เคลื่อนผ่านไป
วุ่นวายใจ                       หกทางเกิด            แสนอนาจหนอ

อรหันต์จี้กง   :  เตรียมตัวไปท่องนกกันเถอะ

หยางเซิง    :  ขอรับบัญชา  กระผมขึ้นนั่งบนดอกบัวและได้ปิดตาแล้ว

อรหันต์จี้กง   :  เริ่มเดินทางได้..... เอาละ ลงจากดอกบัวเถิด

หยางเซิง   :  ไฉนทางนี้จึงมีฝูงชนเดินกันขวักไขว่ ล้วนเป็นชาวโลก พวกเขามาที่นี่เพื่อทำการใด ?.

อรหันต์จี้กง   :  ที่นี้คือ แดนติดต่อระหว่างมนุษยโลกกับยมโลก ชนเหล่านี้ล้วนเป็นวิญญาณหลุดลอยมา กำลังจะไปรายงานตัวต่อยมโลก อย่าถามอะไรให้มากเรื่องเลย อาตมาจะพาเจ้าไปกรมทะเบียน (อธิบดี)  เจ้ามีปัญหาสงสัยอันใดก็ถามได้เลย โดยไม่ต้องเกรงใจ

อธิบดีกรมทะเบียน   :  ขอน้อมต้อนรับท่านอาจารย์กับคุณหยางเซิง เชิญข้างใน วันก่อนนี้บกพร่องในการต้อนรับ ต้องขอประทานอภัยด้วย เชิญนั่งขอรับ เนื่องจากวันก่อนนั้นเวลาจำกัด จึงไม่สามารถแจ้งหน้าที่การงานหอนี้ให้ทราบได้ มิทราบว่าท่านหยางเซิงจะมีปัญหาข้อสงสัยอันใด ?.

หยางเซิง   :  ขอทราบว่า "แดนต่อแดนมนุษย์โลกกับยมโลก" เป็นสถานที่เช่นใด ?.

อธิบดีกรมทะเบียน   :  "แดนต่อแดนมนุษยโลกกับยมโลก" สถานที่ ที่ตั้งอยู่ระหว่างกลางของมนุษยโลกกับยมโลก ค่อนข้างจะใกล้เขตยมโลก  เมื่อผู้คนในมนุษยโลกตายลง จะต้องผ่านเข้ามาทางนี้แจ้งต่อกรมทะเบียน  เพื่อเปลี่ยนแปลงทะเบียนจากมนุษยโลกเข้าไว้ที่นี่ เมื่อลงทะเบียนเรียบร้อยแล้ว ผู้ที่ได้สร้างบุญกุศล ก็จะมีกุศลเทพนำพาเข้าไปเยี่ยมชมเมืองนรก  หากเป็นผู้ไร้บุญกุศลก็มีภูตผี "ขาวดำ"  สองตนคุมตัวส่งเข้าไปในประตูผี มอบให้ขุที่หนึ่งชำระโทษต่อไป

หยางเซิง   :  คนในมนุษย์โลกที่แท้ มีทะเบียนบ้านกี่แห่ง ?.

อธิบดีกรมทะเบียน   :  คน ๆ หนึ่งมีสามทะเบียน
"ทะเบียนเดิม"    อยู่บนสวรรค์ ซึ่งเป็นศูนย์รวมถือปฏิสนธิแห่งวิญญาณเดิม  นับได้ว่าเป็นทะเบียนแท้   
"ทะเบียนฝาก"   ปรากฏอยู่ในมนุษยโลก
"ทะเบียนแยก"   เก็บไว้ในแดนนรก

        ฉะนั้น เมื่อคนตายลงแล้ว  ผู้ที่ตอนมีชีวิตอยู่ไม่ได้บุญกุศลก็ถือว่าสู่นรก จึงไม่ใช่ว่าขึ้นสวรรค์  แดนนรกนั้นก็คือคุกตะรางของมนุษยโลก เป็นสถานที่ลงโทษทัณฑ์ผู้มีความผิด ซึ่งไม่ใช่บ้านเดิมของชาวโลก เมื่อเป็นเช่นนี้ผู้คนต้องประพฤติธรรมบำเพ็ญศีล เพื่อมุ่งที่จะกลับคืนสู่สวรรค์บ้านเมืองเดิมของตน

หยางเซิง   :  คนในเมืองมนุษย์ตายลง มักจะเห็นว่าลูกหลานของผู้ตาย เผากระดาษเงินกระดาษทองที่ปลายเท้าผู้ตาย มีความหมายประการใด ?.

อธิบดีกรมทะเบียน   :  เมื่อวิญญาณของผู้คนหลุดพ้นออกจากร่างกาย ในขณะนั้น คล้ายกับละเมอเพ้อฝัน เวิ้งว้างหวิวหวือ ไม่สามารถประคองตนเอง แม้ว่าจะมียมทูตนำทาง แต่ทายาททางแดนมนุษย์เกรงว่าบรรพบุรุษจะลำบากในการท่องเดินทางที่มืดมนในยมโลก  จึงได้เผากระดาษเงินกระดาษทอง เพื่อเป็นค่าเบิกทาง  จุดตะเกียงส่องแสงเพื่อให้เดินได้สะดวก  นับได้ว่ามีความกตัญญูน่าสรรเสริญมาก และมีความคิดที่รอบคอบ แต่ทางนรกไม่ต้องการค่าผ่านทาง จึงผ่านไปได้เอง หากว่าตอนมีชีวิตอยู่เป็นคนใจดำอำมหิต เพียงจะอาศัยตะเกียงดวงสองดวง ก็ไม่สามารถจะช่วยอะไรได้

หยางเซิง   :  ปัจจุบันวิทยาศาสตร์เจริญมาก ระดับการครองชีพก็สูงขึ้น  บางรายเมื่อบรรพชนตายลง ลูกหลานก็ใช้กระดาษตบแต่งก่อเป็นตึกรามบ้านช่องหรือทำเป็นทีวีสี  พัดลม  รถเก๋ง  โซฟาร์  เตียงสปริงต่าง ๆ ล้วนเป็นอุปกรณ์ชั้นสูง เพื่อมอบให้บรรพบุรุษผู้ล่วงลับนำไปใช้สอย  มิทราบว่าของเหล่านี้นำไปใช้ในแดนนรกได้หรือไม่ ?.           
หัวข้อ: เที่ยวเมืองนรก ครั้งที่ 3 ตอนท่องแดนต่อแดนระหว่างมนุษยโลกกับยมโลก เยี่ยมชมหอทะเบียนเมืองนรก
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 14/12/2011, 22:07
                                      เที่ยวเมืองนรก

                 ครั้งที่ 3  วันพฤหัสบดีที่  16  กันยายน  พ.ศ. 2519

                   ตอน ท่องแดนต่อแดนระหว่างมนุษยโลกกับยมโลก

                             เยี่ยมชมหอทะเบียนเมืองนรก 

        ท่านอรหันต์จี้กงเสด็จลงตรัสเป็นกลอน  ความว่า 

        พุทธนที                ไร้คลื่น                  ผงธุลี
ตัดราคี                          ทางสวรรค์             ที่จิตไซร้
วันเวลา                         ดั่งจรวด                เคลื่อนผ่านไป
วุ่นวายใจ                       หกทางเกิด            แสนอนาจหนอ

อธิบดีกรมทะเบียน   :  ความคิดของมนุษย์โง่เง่าสิ้นดี  ไร้เดียงสาเสียจริง ๆ  ระหว่างที่มีชีวิตอยู่ยังมิได้มีใบอนุญาตขับขี่ เมื่อมาเมืองนรกซึ่งมีถนนหนทางคับแคบ แม้จะใช้เดินก็ยังยาก หากจะขับรถก็คงเกิดอุบัติเหตุเป็นแน่ และเมืองนรกก็ไม่มีปั้มน้ำมัน ดังนั้น รถเก๋งในที่นี้จึงไม่เหมาะที่จะใช้  พูดถึงพัดลม  เตียงสปริง อื่น ๆ  ทางที่ดีที่สุดคือ ใช้ในเมืองมนุษย์  ทางนรกได้เตรียมเตียงไม้ไว้คอยต้อนรับพวกวิญญาณบาปอยู่แล้ว ยังคิดจะเสพสุขด้วยหรือ ?. ผู้ก่อกรรมทำเข็ญลุ่มหลงมัวเมา พอหลุดเข้ามายมโลก ต้องตกเข้าไปในคุกนรก  จะสะดวกสะบายได้อย่างไร ?.  ชาวโลกจะเพ้อฝันเกินไปเสียแล้ว

หยางเซิง   :  ท่านอาจารย์ครับ  ท่านำกระผมท่องนรกในวันก่อน ครั้งแรกได้พบเห็น  "ภูเขาขั้วหัวใจ"  ไฉนวันนี้ ก็เป็นแดนต่อแดนระหว่างมนุษยโลกกับยมโลก  ทำให้กระผมรู้สึกสับสนงงงัน ! 

อรหันต์จี้กง   :  เจ้าตามข้าฯไป  ข้าฯจะอธิบายชี้แจงให้เจ้าเข้าใจ  ท่านอธิบดีฯ  เราศิษย์ - อาจารย์  ขอลาก่อน 

อธิบดีกรมทะเบียน   :  หากมีสิ่งใดขาดตกบกพร่อง ขอได้โปรดประทานอภัยด้วย

อรหันต์จี้กง   :  ไม่ต้องเกรงใจ

หยางเซิง   :  ขอขอบพระคุณท่านอธิบดี ฯ มาก ๆ  ที่ได้ชี้แจงอธิบาย เราสองคนขอลาก่อน  ท่านอาจารย์ครับ  เมื่อกี้ท่านว่าจะเล่าเรื่อง  "ภูเขาขั้วหัวใจ" กับ  "แดนต่อแดนมนุษยโลกกับยมโลก"  ขอได้เร่งเล่าให้ทราบด้วย

อรหันต์จี้กง   :  ที่นี่แหละ คือสถานที่พาเจ้ามาเมื่อวันวาน 

หยางเซิง   :  โอ !! อักษร  "ภูเขาขั้วหัวใจ"  เจิดจ้าอยู่ตรงหน้า  สภาพของแดนต่อมนุษย์ - ยมโลกหายไปในทันใดเสียแล้ว

อรหันต์จี้กง   :  "ภูเขาขั้วหัวใจ"  ก็คือ แดนต่อแดน  ถ้าหากผู้คนก่อกรรมทำเข็ญ เมื่อสิ้นลมถูกทูตผี  "ขาวดำ"  สองตนคุมตัวมายังที่นี้ เพราะวิญญาณเดิมไม่สะอาดหมดจด  เมื่อพบแสงอันเจิดจ้าบนยอดเขานัยน์ตาเบิกยาก ก็จะพลัดร่วงตกลงไปในถ้ำลึกไม่มีที่สิ้นสุด  ที่อยู่ข้าง  "ภูเขาขั้วหัวใจ"  ถ้ำนี้ทะลุไปยัง  "แดนต่อแดนมนุษยโลกกับยมโลก"  หากว่าผู้บำเพ็ญธรรมสร้างบุญกุศลมหาศาล เมื่อสำเร็จในการบำเพ็ญแล้ว ดวงวิญญาณผ่านมาทางนี้  บนภูเขาจะปรากฏหนทางที่จะขึ้นสู่สวรรค์ มีแสงทองแพรวพราวสว่างไสวขึ้นมาทันที  แล้วกุมารทองกับนางฟ้า จะมาต้อนรับนำขึ้นสู่สวรรค์  ถ้าว่าผู้ประกอบบุญ ขนาดรองลงมา  หรือมีบุญกุศลน้อยก็จะพบหนทางกว้างสองวาอยู่ข้างภูเขา  โดยมีกุมารเทพนำรายงานตัวต่อเขตแดนมนุษย์ - ยมโลก แล้วจึงเข้าไปยังเมืองนรก  มอบให้ยมบาลสอบสวนเรื่องบุญบาป  จากนั้นก็พาเข้าไปที่ชุมนุมแดนกุศล  มอบให้เทวดารู้มีส่วนบุญติดต่อกัน รับตัวกลับไปยังแดนสวรรค์ต่าง ๆ เพื่อฝึกฝนบำเพ็ญธรรมดาต่อไป  วันนี้เวลาหมดลงแล้ว เราเตรียมกลับกันเถอะ 

หยางเซิง   :  ขอรับบัญชา  นั่งบนดอกบัวเรียบร้อยแล้ว.....

อรหันต์จี้กง   :  ถึงสำนักเซี้ยเฮี้ยงตึ้งแล้ว   หยางเซิงลงจากดอกบัว วิญญาณกลับเข้าสู่ร่างดังเดิม   
หัวข้อ: เที่ยวเมืองนรก : ครั้งที่ 4 ตอนผ่านประตูผีรับฟังการบรรยายธรรม เรื่อง รวมทุกศาสนา
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 20/12/2011, 16:32
                                     เที่ยวเมืองนรก

                   ครั้งที่ 4  วันอาทิตย์ที่ 19 กันยายน  พ.ศ. 2519

                         ตอน ผ่านประตูผีรับฟังการบรรยายธรรม

                                   เรื่อง รวมทุกศาสนา 

ท่านอรหันต์จี้กงเสด็จปรากฏกายตรัสเป็นกลอนความว่า  : 

        หมู่มวลเทพ                  มีน้ำจิต                  คิดสงสาร
ทิพย์อาสน์                           มิทันนั่ง                 สู่โลกดึก
ใบไม้ร่วง                            ลมหนาวเหน็บ          บ่รู้สึก
ในส่วนลึก                           ร้อนระอุ                  ห่วงประชา   

อรหันต์จี้กง   :  เตรียมท่องนรก  เจ้าหยางเซิงรีบขึ้นดอกบัวเร็ว

หยางเซิง   :  น้อมรับคำบัญชา นั่งเรียบร้อยแล้ว เริ่มเดินทางได้

อรหันต์จี้กง   :  ถึงแล้ว  รีบลงจากดอกบัวเสีย

หยางเซิง   :  ข้างหน้ามีประตูเมือง ๆ หนึ่ง ด้านบนมีตัวอักษรสามตัวเขียนไว้ว่า  "ประตูผี"  ที่แท้ประตูผีอยู่ที่นี่เอง แต่เหตุใดประตูเมืองจึงไม่เปิด แต่ได้ยินเสียงฝูงชนภายในร้องดังกระจองอแงสนั่นดังมาก

อรหันต์จี้กง   :  แต่ไหนแต่ไรมาประตูผีไม่เคยเปิดออก ชาวโลกล้วนบุกรุกเข้ามาเอง ข้า ฯ จะใช้พัดโบกทีเดียวก็จะเปิดออกเอง

หยางเซิง   :  ศักดิ์สิทธิ์จริง ๆ ท่านอาจารย์เพียงโบกเบา ๆ เท่านั้น ประตูผิเปิดอ้าออกทันที แต่คนตายไม่มีพัดศักดิ์สิทธิ์ จะเข้าประตูผีได้อย่างไร ?.

อรหันต์จี้กง   :  คนตายแล้วกลายเป็นผีซึ่งสิ้นสุดในทางของมนุษยโลก ประตูผิีก็เปิดเป็นระบบธรรมชาติของโลกและเมืองนรกแยบยลมาก เดินเร็วเข้า  ข้าฯ จะพาเจ้าไปเยี่ยมชมสถานที่ที่หนึ่ง อย่าได้เอาใจใส่ต่อสิ่งไร้สาระเลย

หยางเซิง   :  ขอน้อมรับคำบัญชา แต่ภายในประตูผีฝูงชนมากมายเช่นนี้  เสมือนหนึ่งในตลาดสด มิทราบว่าพวกนั้นจะมุ่งไปแห่งใด?.

อรหันต์จี้กง   :  วิญญาณผีเหล่านี้มุ่งไปรับการพิจารณาโทษ จากสิบขุมนรก  ยมทูตต่างก็ทำหน้าที่นำทางไป วันนี้เราจะไม่เยี่ยมชมสิ่งเหล่านี้ รีบเดินตามข้า ฯ มาเถิด

หยางเซิง   :  ขอรับ กระผม  หนทางนี่ขรุขระกันดารมาก จะไปทางใดเล่า ?.

อรหันต์จี้กง   :  เดินอีกสองลี้  เจ้าก็จะได้รู้ทุกอย่าง

หยางเซิง   :  ผู้ที่เดินอยู่ข้างหน้าเรานั้น เหตุใดจึงถูกยมทูตนำตัวคืบหน้าไป ?.

อรหันต์จี้กง   :  ชนผู้นั้นคือ ผู้บำเพ็ญธรรมแห่งนิกายทรงเจ้า ตอนอยู่ในแดนมนุษย์ไม่สามารถบรรลุธรรมที่แท้จริง เที่ยวบริภาษศาสนาอื่น ๆ ดังนั้นเมื่อตายลงแล้วต้องได้รับการลงโทษยังเมืองนรก

หยางเซิง   :  ตรงหน้ามีหอสูง มีตัวอักษรเขียนไว้ว่า  "รวมทุกศาสนา"  นั้นเป็นแห่งหนตำบลใด ?.

อรหันต์จี้กง   :  ก็คือที่นี่แหละ  เพราะทุกวันนี้มีศาสนามากมาย และนิกายต่าง ๆ ก็ล้วนแต่เปล่งปลั่งจรัสแสงพวกลูกศิษย์ ไม่บรรลุธรรมที่แท้จริง ต่างโจมตีกันและกัน เลยทำให้สูญเสียซึ่งความหมายของการบำเพ็ญธรรม ประพฤติผิดในเรื่องวจีกรรม เมื่อตายแล้วก็ต้องตกเข้าสำนักธรรม  "รวมทุกศาสนา"  เพื่ออบรมบำเพ็ญธรรมอีกครั้งหนึ่ง  ข้างหน้าท่านอาจารย์มาแล้ว เจ้ารีบเข้าไปกราบนมัสการเร็ว

หยางเซิง   :  กระผม  ขอกราบนมัสการท่านอาจารย์ทั้งหลาย

ศาสนาจารย์   :  ยินต้อนรับท่านจี้กงและหยางเซิงผู้ทรงเอกแห่งสำนักเซี้ยเฮี้ยงตึ้ง  เราได้รับคำบัญชาให้ต้อนรับท่านอยู่แล้ว เชิญลุกขึ้นเถิด อย่าได้มีพิธีมากนักเลย

อรหันต์จี้กง   :  อาตมาพาหยางเซิงมายังที่นี่ในวันนี้ ขอให้ท่านศาสดาจารย์ได้โปรดพาเยี่ยมชมและให้การชี้แจงอธิบายด้วย

ศาสนาจารย์   :  ไม่ต้องเกรงใจ เชิญตามันเข้ามายังห้องประชุม เชิญท่านทั้งสองนั่งตามสบาย

หยางเซิง   :  "รวมทุกศาสนา"  มีความหมายมากมายจริงจัง แต่กระผมไม่ทราบรายละเอียด ขอท่านได้โปรดอธิบายชี้แจงด้วยเถิด
หัวข้อ: เที่ยวเมืองนรก ครั้งที่ 4 ตอนผ่านประตูผีรับฟังการบรรยายธรรม เรื่อง รวมทุกศาสนา
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 20/12/2011, 17:31
                                      เที่ยวเมืองนรก

                   ครั้งที่ 4  วันอาทิตย์ที่ 19 กันยายน  พ.ศ. 2519

                         ตอน ผ่านประตูผีรับฟังการบรรยายธรรม

                                   เรื่อง รวมทุกศาสนา 

ท่านอรหันต์จี้กงเสด็จปรากฏกายตรัสเป็นกลอนความว่า  : 

        หมู่มวลเทพ                  มีน้ำจิต                  คิดสงสาร
ทิพย์อาสน์                           มิทันนั่ง                 สู่โลกดึก
ใบไม้ร่วง                            ลมหนาวเหน็บ          บ่รู้สึก
ในส่วนลึก                           ร้อนระอุ                  ห่วงประชา   

ศาสนาจารย์   :  โลกปัจุจับันนี้มีศานาใหญ่อยู่ห้าศาสนา คือ ศาสนาขงจื้อ  ศาสนาเต๋า  ศาสนาพุทธ  ศาสนาคริสต์  และศานสาอิสลาม  เรียกว่าศาสนาดั้งเดิมถ่องแท้ แต่ทั้งห้าศาสนตร์เดิมเกิดจาก  "เต๋า"  ในบุพกาลนั้นไม่มีคำว่าศาสนา  ต่อเมือ่สวรรค์ได้ดปรดนักปราชญ์เมธีชน ให้ไปสู่มนุษยโลกยังประเทศต่าง ๆ ปรพกาศธรรมแทนสวรรค์ สั่งสอนให้มนุษย์ปฏิบัติกฏแห่งสวรรค์และอยู่ในทางธรรมเพื่อที่มวลมนุษย์จะได้คืนสู่ดั้งเดิม ซึ่งเป็นที่มาของวิญญาณ  หากแต่ละศาสนาจารย์ เมื่อวายปราณหรือนิพพานแล้ว สาวกทั้งหลายมีความคิดเห็นแตกต่างกันแยกออกเป็นคนละทาง กลายเป็นต่อต้านซึ่งกันและกัน ไม่บรรลุถึงคำว่าทะเลเป็นที่รวมของแม่น้ำลำธาร และแต่ละศาสตร์ล้วนเป็นเผ่าเดียวกันแต่เดิม ต่างตั้งนิกายของตนไม่ยอมลงกับใครอวดอ้างตนเองเลิศล้ำสูงส่ง ศาสตร์อื่นต่ำต้อย ดังนั้น เมื่อตายแล้ววิญญาณไม่สามารถหลุดพ้นจากชะตากรรม เลยตกมายังที่นี่  "เง๊กเสียงอ๊วงตี่"  ไม่อาจเห็นมวลชนตกจ่ำลุ่มหลง จึงได้โปรดให้จัดตั้ง  "รวมทุกศาสนา"  คือทุกศาสนาคืนสู่ต้นสังกัดหรือรวมทุกศาสนา เพื่อสั่งสอนอบรมบำเพ็ญธรรมที่หลงใหลให้บรรลุธรรมที่แท้จริง แล้วจึงได้ขึ้นสู่สวรรค์

อรหันต์จี้กง   :  ท่านศาสนาจารย์พูดถูก  แต่เจ้าหยางเซิงยังไม่สามารถเข้าใจถึงความละเอียดอ่อน สู้นำพาไปเยี่ยมชมถึงสถานที่ไม่ได้ ดังที่สุภาษิตกล่าวว่า  "ได้ยินร้อยครั้งก็ไม่เท่ากับตาเห็นครั้งเดียว"

ศาสนาจารย์   :  ก็ได้  ตามฉันมาเถิด

หยางเซิง   :  ห้องโถงนี้มีเนื้อที่หลายร้อยไร่ ข้างในดูคล้ายกับวัดโบสถ์  มีคนหลายหมื่นนั่งเต็มไปหมด มีทุกชาติทุกภาษา ด้วยประหนึ่งว่ากำลังเตรียมตัวเข้าเรียนในโรงเรียน

ศาสนาจารย์   :  ใช่แล้ว  กำลังเตรียมตัวเข้าเรียน ท่านทั้งสองตามข้าฯ ไปข้างหน้า นั่งที่ของแขกผู้มีเกียรติฟังการแสดงธรรม

หยางเซิง   :  ยากที่ในโลกมนุษย์จะพบเห็นสภาพการณือันยิ่งใหญ่มโหฬารแบบนี้ บนกระดานดำข้างหน้ามีตัวอักษรว่า  "รวมทุกศาสนา"  มึครูหัวโล้นผู้หนึ่งแต่งกายคล้ายสงฆ์  ทุกคนลุกขึ้นทำความคารวะ แล้วนั่งลง

ครู   :  วันนี้ หยางเซิงแห่งสำนักเซี่ยเฮี้ยงตึ้งเมืองไถ่ตง เมืองมนุษย์ได้มาร่วมการประชุม  ขอให้ปรบมือแสดงความยินดีต้อนรับ

หยางเซิง   :  ท่านอาจารย์ครับ !  ชนต่างชาติต่างภาษาเหล่านี้ ไฉนจึงสามารถฟังเข้าใจในภาษาจีน ?.

 
หัวข้อ: เที่ยวเมืองนรก ครั้งที่ 4 ตอนผ่านประตูผีรับฟังบรรยายธรรม เรื่อง รวมทุกศาสนา
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 22/12/2011, 11:08
                                      เที่ยวเมืองนรก

                   ครั้งที่ 4  วันอาทิตย์ที่ 19 กันยายน  พ.ศ. 2519

                         ตอน ผ่านประตูผีรับฟังการบรรยายธรรม

                                   เรื่อง รวมทุกศาสนา 

ท่านอรหันต์จี้กงเสด็จปรากฏกายตรัสเป็นกลอนความว่า  : 

        หมู่มวลเทพ                  มีน้ำจิต                  คิดสงสาร
ทิพย์อาสน์                           มิทันนั่ง                 สู่โลกดึก
ใบไม้ร่วง                            ลมหนาวเหน็บ          บ่รู้สึก
ในส่วนลึก                           ร้อนระอุ                  ห่วงประชา   

อรหันต์จี้กง   :  ในโลกใหญ่ไพศาลนี้ แม้ว่าต่างชาติต่างภาษากัน แต่ที่นับถือก็ไม่พ้นจากที่ที่พึ่งทางใจ และก็ทุกคนมีความคิดที่ตรงกันด้วย เมื่อตายลงแล้ววิญญาณเดิมก็ผ่องแผ้วเปล่งปลั่ง จึงไม่แบ่งแยกชาติภาษาในเรื่องของใจ เปรียบเสมือนฟ้าร้องทุกคน ทุกชาติ ทุกภาษาล้วนตระหนักดีว่าฝนจะตก บัดนี้ได้ยินเสียงท่านครูผู้สอนจึงทราบถึงความหมายดังที่พระพุทธท่านตรัสว่า  "พระพุทธเจ้าแสดงธรรมด้วยภาษาเดียว แต่มวลมนุษย์ต่างก็เข้าใจได้"  อย่าถามมากนักเลย ฟังท่านอาจารย์แสดงธรรมเถิด

ครู   :  มนุษย์นั้นแม้ว่าจะอยู่เป็นหมื่นจำพวก แต่ก็มีความนึกคิดเป็นอันเดียวกัน เมื่อมีชีวิตอยู่ต่างอยู่คนละทาง เมื่อตายลงแล้วก็รวมอยู่ที่เดียวกัน มวลมนุษย์ของโลกถึงผิวพรรณจะแตกต่างกัน แต่เมื่อมีความหิวโหยก็รู้จักหากิน กลางคืนรู้จักหลับนอน ปกคลุมด้วยฟ้าและอาศัยอยู่บนดิน ต่างอาบด้วยแสงตะวันและแสงเดือน ชุ่มชะโลมด้วยน้ำทิพย์จากฟากฟ้า นับได้ว่าต่างคนต่างได้รับความเมตตาปราณีจากสวรรค์ด้วยน้ำหนึ่งใจเดียวกัน หากแต่เหตุที่นับถือในศาสนาแตกต่างกัน จึงเกิดการโจมตีกันซึ่งกันและกัน โดยกล่าวว่าพวกตนสามารถขึ้นสู่สวรรค์ ศาสนาอื่นต้องตกนรก  ทำเอาสวรรค์ที่กลมกลืนผ่องแผ้วมาแต่ดั้งเดิมนั้น สร้างเป็นห้องหอบนอากาศ  และจองจำตนเองอยู่ในนั้นเปรียบเสมือนว่าเข้าไปอยู่ในกรงนกที่แขวนไว้กลางเวหาและผยองยิ้มว่าตนเองนั้นสูงส่งยิ่งนัก โดยหาใครเสมอเหมือนได้ไม่ คึกคนองปลื้มใจส่งเสียงหวีดร้อง นี้แหละคือนรกในสวรรค์  นักโทษของสวรรค์ล้วนเป็นแกะ ที่กำลังรอความช่วยเหลือ โดยมิใช่ผู้ที่ได้รับการช่วยเหลือจากพวกเจ้าทั้งหลาย  เมื่ออยู่แดนมนุษย์พร่ำรำพึงว่าจะขึ้นสวรรค์ แต่ว่าบัดนี้กลับตกลงมาอยู่ในนรก พวกท่านตกถึงนรกในวันนี้ เป็นรูปร่างกายหรือรูปร่างนั้นมีผิวดำ  ขาว  เหลือง  นุ่งห่มเสื้อผ้าอาภรณ์ด้วยสีแดงเหลืองเขียวและเสื้อดอก  แต่ว่าใจที่ดั้งเดิมนั้นไม่สามารถจะระบายด้วยสีสัน หากว่าเกิดมีนิสัยกีดกัน ขาดจิตใจที่ร่วมบำเพ็ญธรรม แล้วความโอบอ้อมอารีเมตตาธรรมนั้นจะเกิดขึ้นได้อย่างไร ?. แสงฟ้าแสงจันทร์ฉายส่องผู้คนทั้งบุญทั้งบาป มาแต่โบราณจนถึงปัจจุบัน ก็ไม่เคยที่จะลำเอียงผู้ใด ดังนั้น ท่านจึงฉายแสงเจิดจ้าตลอดกาลหอมฟุ้งไปนับหมื่นนับแสนปี พวกท่านก็ควรสำนึกให้ตนเองอย่าเกิดความรังเกียจ ขณะนี้อยู่ในกาละที่ธรรมปกคลุมแพร่ขยาย ทุกศาสนากลับคืนต้นสังกัดเดิม (หรือเรียกว่ารวมศาสตร์)  คืนสู่สังกัดเดิมก็คือคืนสู่จิตใจ ทุกคนมีใจสมัครสมานเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อกัน เพื่อช่วยเหลือกัน ซึ่งกันและกัน แต่ละศาสตร์ควรเปิดประตูรับผู้ที่มีบุญตามที่ตนสร้างไว้ แม้ว่าตัวศาสนาจารย์จะไม่ใช่คนเดียวกัน แต่จิตใจความมุ่งหมายนั้นตรงกัน  คือหวังให้มวลมนุษย์พร้อมรวมกันไปสู่ทางธรรมะ สร้างโลกมนุษย์ที่วุ่นวายเหลวแหลกให้เป็นอาณาจักรแห่งปทุมโลก ศาสนาจารย์ท่านช่วยจิตใจและวิญญาณของมนุษย์ รูปร่างตัวตนธรรมดาท่านช่วยไม่ได้ ดังนั้น จึงปรากฏความจริงแท้ภายในส่วนลึกของจิตใจ จะช่วยปลดเปลื้องให้สบายใจขึ้นก็ด้วยเหตุนี้เอง จึงสามารถบรรลุถึงขั้นโลกุตรธรรม และทุกผู้ทุกนามสามารถบรรลุอรหันต์หรือเทวดา  สำเร็จเป็นปราชญ์เป็นเทวดา หากตรงกันข้ามกับทางนี้ก็จะต้องตกลงนรกกลับไปสู่ทางเวียนว่ายตายเกิดอีกครั้ง

อรหันต์จี้กง   :  เวลาหมดลงแล้ว ขอลาท่านศาสนาจารย์ โอกาสหน้าจะได้มาเยี่ยมใหม่ เจ้าหยางเซิงรีบคำนับลาท่าน เร็ว

หยางเซิง   :  ท่านศาสนาจารย์ กระผมมีความสงสัยเป็นอย่างยิ่ง เพราะเวลาหมดลง จะต้องรีบกลับคืนไปยังสำนัก ขออภัยในการออกจากที่ประชุมโดยมิทันสิ้นสุด เสียมารยาทมาก

ศาสนาจารย์   :  หาเป็นไรมิได้ เราทั้งหลายพร้อมที่จะส่งท่านกลับ

อรหันต์จี้กง   :  เจ้ารีบขึ้นบนดอกบัวเร็ว ฟังธรรมวันนี้มีความรู้สึกประการใดบ้าง ?.

หยางเซิง   :  ครูผู้นั้นพูดเข้าทีมีเหตุผลมาก ทุกวันนี้แต่ละศาสนาต่างต่อต้านกัน  ตนเป็นผู้ค้าแตง ก็คุยอวดว่าแตงของตนหวาน ถ้าหากว่าคนในโลกมนุษย์จะพูดว่าท่านลองมารับประทานดูเถิด เช่นเดียวกับคนดื่มน้ำร้อน หรือน้ำเย็นย่อมรู้แก่ใจตนเอง ชั่วดีฉันใดให้ผู้ซื้อวิจารณ์เอาเองเห็นจะยุติธรรมมากกว่านั่นคือความรู้สึกที่แท้จริง

อรหันต์จี้กง   :  มนุษย์ล้วนแล้วแต่ดื้อรั้นไม่คมคายนั่นแหละยากที่จะขึ้นสวรรค์ได้ นักปราชญ์อรหันต์เทวดาทั้งหลายล้วนประกาศธรรมแทนสวรรค์ มีความเที่ยงธรรมที่แท้จริง  หากว่าชาติหน้าเจ้าได้ไปเกิดที่ต่างประเทศ เจ้าจะเลื่อมใสนับถือศาสนาของประเทศนั้น ๆ แม้จะเป็นเช่นนี้ อาตมาก็จะต้องช่วยชักนำเจ้าให้พ้นจากทางหลงใหล มิฉะนั้น อาตมาจะสำเร็จเป็นอรหันต์ได้อย่างไรเล่า ?. แม้ทางเดินเป็นทางแคบและลำเอียง อาตมาหวังให้มวลมนุษย์แสดงความมีสาธารณจิต ใจสลัดทิ้งซึ่งความนึกคิดเห็นแก่ตัว  มิฉะนั้นแล้วสวรรค์ของเจ้าก็จะมีเนื้อที่ก้าง 5 ฟุต ไม่สามารถบรรลุรับชนทั่วทั้งโลก เอาละ เซี้ยเฮี้ยงตึ้งถึงแล้ว  หยางเซิงลงจากดอกบัว  วิญญาณกลับเข้าร่างดังเดิม
หัวข้อ: เที่ยวเมืองนรก : ครั้งที่ 5 ตอน ท่องแดนนรกขุมที่ 1 สนทนากับยมบาล"ซิ่งก้วงอ๊วง"
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 23/12/2011, 15:39
                            เที่ยวเมืองนรก

                 ครั้งที่ 5   วันพุธที่ 22 กันยายน  พ.ศ. 2519

                  ตอน ท่องแดนนรกขุมที่ 1 สนทนากับยมบาล

                            "ซิ่งก้วงอ๊วง"

ท่านอรหันต์จี้กงเสด็จลงตรัสเป็นกลอนมีความว่า  :

        อันความรัก                 โลภโกรธหลง                  ชีวิตหมอง
แม้นป้ายทอง                      ยอดบัณทิต                     ก็ไร้ค่า
แดนสงบ                            ดีเยี่ยม                          ผิดธรรมดา
ดั่งเทวา                             เพลิดเพลิน                     ไร้กังวล

อรหันต์จี้กง   :  วันนี้เตรียมท่องเมืองนรก หยางเซิงไฉนเจ้าจึงมีจิตใจไม่อยู่ในสมาธิ

หยางเซิง   :  มีเรื่องวุ่น ๆ อยู่รอบกาย จิตใจถูกแบ่งแยกไปหลายทาง จึงทำให้ความสมาธิถูกทำลายไปสิ้น

อรหันต์จี้กง   :  การท่องเมืองนรกไม่ใช่เรื่องเล็กดังเด็กเล่นขายของ  หากว่าใจไม่สงบวิญญาณของมนุษย์ก็ยากที่จะเข้าสู่แดนนรกได้  แต่ว่าถ้าคืนนี้ไม่สามารถไปท่องชมยมโลก ก็จะทำให้เสียเวลาในการแต่งหนังสือ อาตมาจะให้ยาบังคับจิตใจให้วงบเม็ดหนึ่ง รีบกินเข้า... เตรียมท่องนรกได้แล้ว

หยางเซิง   :  ขอบพระคุณท่านอาจารย์มาก กระผมกลืนยาลงแล้ว  รู้สึกใจคอกระปรี้กระเปร่า ความวุ่น ๆ อันตรธานไปหมดแล้ว

อรหันต์จี้กง   :  รีบขึ้นดอกบัวเร็ว เริ่มเดินทางได้แล้ว... เอ้าถึงแล้วละ

หยางเซิง   :  ที่นี้คือแห่งหนตำบลใด ?. ข้างหน้ามีปราสาทอยู่หลังหนึ่ง เงาผู้คนขวักไขว่สับสน มองดูแล้วไม่สู้จะแจ้งชัดนัก 

อรหันต์จี้กง   :  ข้างหน้านั้นคือ  "แดนนรกขุมที่ 1"   เรารีบเข้าไปคำนับท่านยมบาลกันเถิด

ยมบาล   :  ขอต้อนรับท่านอรหันต์จี้กงกับคุณหยางเซิง ผู้ทรงพู่กันศักดิ์สิทธิ์แห่งสำนักเซี่ยเฮี้ยงตึ้ง  เมืองไถ่ตง

หยางเซิง   :  ขอแแสดงความคารวะท่านยมบาลซิ่งก้วงอ๊วง   คืนนี้กระผมตามท่านอาจารย์มารบกวนถึงที่ปราสาทของท่าน ขอได้โปรดอภัยให้ด้วย

ยมบาล   :  ไม่ต้องเกรงใจ  เชิญตามฉันเข้ามายังในปราสาท เชิญนั่งพักที่ห้องรับแขก สักครู่จะสั่งให้นายพลนำชาทิพย์มาเสริร์ฟ

นายพล   :  ขอรับคำบัญชาจากท่าน 

ยมบาล   :  ท่านอาจารย์  และท่านหยางเซิง เชิญดื่มน้ำชา

อรหันต์จี้กง   :  หยางเซิง  รีบดื่มเร็ว   ไม่เป็นไรหรอกน่า ไม่ต้องลังเลใจ

หยางเซิง   :  กระผมมิกล้าดื่ม  ได้ยินเขาพูดกันว่าหากคนในโลกมนุษย์มายังยมโลก เมื่อรับประทานอาหาร ของกินของยมโลกแล้วก็จะไม่สามารถกลับคืนสู่แดนมนุษย์โลก  ดังนั้น เชิญท่านรับประทานตามอัธยาศัยเถิด

ยมบาล   :  หยางเซิง ท่านสำคัญผิดเสียแล้วละ  ที่ชาวโลกเล่าลือกันว่ามนุษย์ห้ามรับประทานของยมโลกนั้น เพียงแต่พูดในทางที่เกี่ยวกับคนธรรมดาสามัญเท่านั้น ยมโลกกับโลกมนุษย์นั้นนะต่างก็มีเจ้าปกครองกันทั้งนั้น ก็ควรที่จะไม่ปะปนยุ่งเกี่ยวกัน  แต่ว่าท่านรับโองการมายังที่นี่ อยู่ในฐานะแขกผู้มีเกียรติ และยังมีท่านอาจารย์นำมาด้วย ไฉนจึงไม่สามารถกลับคืนสู่แดนมนุษย์ ?.

อรหันต์จี้กง   :  หยางเซิง เจ้าวางใจเถิด มีเทวโองการอยู่ในตัวแล้ว ภูตผีตนใดกล้ามาขวางทางล่วงเกิน ใครมาละเมิดอำนาจของพระบรมราชโองการ ล้วนต้องถูกทำโทษอย่างนัก อย่าหวั่น ดื่มเร็ว ๆ

ยมบาล   :  ชาวโลกล้วนแต่รักชีวิตกลัวความตาย แต่ท่านหยางเซิงกลัวตายโดยไม่กล้าดื่มน้ำชาอย่างนี้ยังพอที่จะให้อภัยได้ ชาวโลกโดยทั่วไปนั้นรู้ก็รู้อยู่ว่า การก่อกรรมทำเข็ญนั้น จะต้องตกอยู่ในทางหายนะ แต่ก็ยังมิยอมหยุดยั้ง กลับมุ่งไปข้างหน้า ก้าวเข้าไปในหลุมฝังศพเป็นสิ่งที่น่าอนาถใจยิ่งนัก

หยางเซิง   :  กระผมดื่มแล้วละ คอกำลังแห้งอยู่ด้วย ขอเรียนถามว่าข้างนอกมีผู้คนมากมาย เรียงแถวกันมานั้น เพื่อการใดมิทราบ ?.

ยมบาล   :  ฉันควบคุมขุมที่ 1  เมื่อชาวโลกตายฃลงแล้วต้องไปรายงานตัวต่อหอทะเบียนก่อน และยมทูตก็จะคุมตัววิญญาณนั้นมายังที่นี้ และเก็บทะเบียนรายงานเข้ามาอยู่ในแฟ้มของยมโลก ฉันก็จะตรวจดูความดีความชั่ว  ผู้ที่กระทำความดีไว้มาก ก็จะพาเข้าไปเยี่ยมชมนรกแต่ละขุม หรือให้อาจารย์ผู้มีพระคุณเคยร่วมสร้างบุญต่อกันพากลับไปอบรมฝึกฝนใหม่  หรือส่งไปยังกรมสมนาคุณผู้ทำความดี หรือที่โรงผู้ทำความดี  ผู้ทำความชั่วมากกว่าผู้ทำความดี ก็จะสังคุมตัวไปยังขุมที่สองรับการพิจารณาโทษ  หรือคุมตัวส่งไปยังกรมลงทัณฑ์ ผู้กระทำชั่ว ถ้าหากมีโทษสถานหนัก ก็ต้องคุมไปหอกระจกวิเศษ (คือกระจกที่สามารถสะท้อนตัวจริงในครั้งที่มีชีวิตอยู่ของวิญญาณ  เพื่อฉายตัวจริงให้เห็นกระจ่างต่อสายตา ทำให้ต้องก้มกราบรับสารภาพโทษทัณฑ์ ครั้นแล้วจึงส่งไปยังขุมที่ สอง

หยางเซิง  :  ข้างนอกพวกวิญญาณของผู้ตายส่งเสียงร้องไห้ไม่ขาดระยะ  ท่าทีน่าอนาถใจมาก มีทั้งผู้เฒ่าผู้เยาว์ทั้งชายหญิง มิทราบร้องไห้เพื่อการใด?.
หัวข้อ: เที่ยวเมืองนรก : ครั้งที่ 5 ตอน ท่องแดนนรกขุมที่ 1 สนทนากับยมบาล "ซิ่งก้วงอ๊วง"
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 23/12/2011, 16:13
                                  เที่ยวเมืองนรก

                 ครั้งที่ 5   วันพุธที่ 22 กันยายน  พ.ศ. 2519

                  ตอน ท่องแดนนรกขุมที่ 1 สนทนากับยมบาล

                            "ซิ่งก้วงอ๊วง"

ท่านอรหันต์จี้กงเสด็จลงตรัสเป็นกลอนมีความว่า  :

        อันความรัก                 โลภโกรธหลง                  ชีวิตหมอง
แม้นป้ายทอง                      ยอดบัณทิต                     ก็ไร้ค่า
แดนสงบ                            ดีเยี่ยม                          ผิดธรรมดา
ดั่งเทวา                             เพลิดเพลิน                     ไร้กังวล

ยมบาล   :  ชาวโลกเมื่อมาสู่ขุมนี้ เข้าใจแล้วว่าตนเองหลุดพ้นจากมนุษยโลก แต่ขณะมีชีวิตอยู่ไม่เชื่อเรื่องผัสางบาปบุญกรรมตามสนอง เมื่อตกลงมาถึงที่นี่ จึงรู้ว่าไม่ใช่ พอคนตายแล้วทุกอย่างก็จะสูญสิ้นไป  ที่สุภาษิตว่า   "เมื่อสิ้นลมปราณทุกสิ่งก็หมดลง มีแต่กรรมติดตามตนในทางนรก"  วิญญาณนั้นตระหนักดีว่า จะต้องถูกพิจารณาโทษจากยมโลก ทุกวิญญาณใจสั่นขวัญแขวนร่ำร้องคร่ำครวญ พรรณาถึงความหลัง ซ้ำยังพลัดพรากจากญาติมิตรแห่งแดนมนุษย์ ลูกแก้วเมียขวัญเงินทองห้องหอ  ความรักอาลัยยากที่จะตัดออกได้ เมื่อนึกถึงเวลานี้ มีแต่ตัวคนเดียวหลุดลอยในแดนนรก จึงนึกอาลัยอาวรณ์ เกิดความรัญจวนร่ำไห้

หยางเซิง   :  เหตุใดพวกยมทูต จึงไม่สู้นับถือต่อพวกวิญญาณนั้น ต้อนด้วยง่ามเหล็ก เฆี่ยนด้วยแส้ ทุกวิญญาณต่างก็เงียบหงอย ไม่ส่งเสียง น่าสมเพชเป็นอย่างยิ่ง

ยมบาล   :  วิญญาณเหล่านี้ เมื่ออยู่ในแดนมนุษย์ไม่มีศีลธรรม ดังนั้น ยมทูตจึงไม่มีการเกรงใจต่อมัน อันเป็นโทษทัณฑ์ที่สมควรสนองรับ ดังคำกล่าวว่า  "หนามยอกต้องใช้หนามบ่ง  มิควรฉวยโอกาสข้ามแม่น้ำ"  หากว่าเมื่อตอนมีชีวิตอยู่มีใจเป็นธรรมกรุณา เมื่อวายปรารแล้ว ยมทูต  เทพทูต  ก็จะต้องให้ความเคารพ  ซึ่งชาวโลกเป็นผู้กระทำเอง จึงได้รับผลตอบแทนแห่งกรรมนั้น ท่านมิควรให้การเห็นใจสงสารด้วย

หยางเซิง   :  มนุษย์เราถ้าหากไม่ประกอบกรรมดี  ตั้งอยู่ในศีลธรรมบำเพ็ญประพฤติแต่ความดีแล้ว  เมื่อตายลงก็จะน่าสมเพชเป็นยิ่งนัก บุตรหลานของผู้ล่วงลับไปแล้วหารู้ไม่ว่า บรรพบุรุษของตนถูกทรมานในยมโลก ถูกพวกยมทูตเฆี่ยนตี ก็คงจะอดสูใจเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้น ชาวโลกที่จะหาวิธีตอบสนองบุญคุณของบรรพบุรุษ ก็เพียงแต่บำเพ็ญธรรมและสร้างความดี เพื่อนำเอาความดีนี้ไปช่วยกอบกู้วิญญาณของผู้ล่วงลับ เพื่อที่จะได้หลุดพ้นจากแดนนรกโดยเร็ว

อรหันต์จี้กง   :  ชาวโลกผู้ที่ไม่ตั้งตนรักษากฏระเบียบทางบ้านเมืองและทำแต่ความชั่ว ไม่อยู่ในขอบข่ายของกฏหมาย จะต้องทำให้บรรพบุรุษผู้ล่วงลับได้รับความกระทบกระเทือนด้วย  ที่เรียกว่า  "เจ็ดชั่วโคตร"  เลือดเนื้อสืบต่อกัน เวียนว่ายสนองรับกันไป จงสำเหนียกให้หนัก คืนนี้เวลาหมดลงแล้ว เตรียมกลับสำนัก 

บมบาล   :  ขอนมัสการส่งท่านอาจารย์ด้วย

อรหันต์จี้กง   :  หยางเซิงรีบขึ้นดอกบัวเร็ว เตรียมกลับได้.....  ถึงสำนักเซี่ยเฮี้ยงตึ้งแล้ว  หยางเซิงลงจากดอกบัว  วิญญาณกลับเข้าสู่ร่างเดิม 
หัวข้อ: เที่ยวเมืองนรก ครั้งที่ 6 ตอน ท่องหอกระจกวิเศษ ชมวิญญาณบาปปรากฏร่างเดิม
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 23/12/2011, 21:16
                            เที่ยวเมืองนรก

              ครั้งที่ 6  วันพุธที่ 29 กัยนายน  พ.ศ. 2519

                      ตอน  ท่องหอกระจกวิเศษ

                   ชมวิญญาณบาปปรากฏร่างเดิม

 ท่านอรหันต์จี้กงเสด็จลงตรัสเป็นกลอนมีความว่า  :

        หอกระจก                  ส่องวิญญาณ                  เห็นร่างเดิม
ลักแก้เติม                          ทอนอักษร                     สวดไม่พัก
ยมกฏ                              เที่ยงธรรม                      ลงทัณฑ์หนัก
โทษมหันต์                        คนในโลก                       ที่ทำบาป

อรหันต์จี้กง   :  วันนี้เตรียมท่องนรก ได้เวลาแล้ว เจ้าจงเตรียมตัวเดินทาง

หยางเซิง   :  กระผมเตรียมการเรียบร้อยแล้ว เชินท่านอาจารย์เริ่มการได้แล้ว

อรหันต์จี้กง   :  ถึงแล้ว  รีบลงจากดอกบัวเสีย

หยางเซิง   :  ที่นี่เป็นแห่งหนตำบลใด ?.  เหตุใดดจึงมีฝูงชนแออัดยัดเยียด ด้านหลังมียมทูตควบคุมไปยังหอข้างหน้า ?.

อรหันต์จี้กง   :  ที่นี้คือ  "หอกระจกวิเศษ"  (หอกระจกสะท้อนบาปกรรม)  ชนเหล่านี้ล้วนก่อกรรมทำเข็ญในขณะอยู่เมืองมนุษย์ หรือไม่มีศีลธรรม วิญญาณของผู้กระทำบาป เมื่อตายลงแล้วไปรายงานตัวที่ขุมที่หนึ่ง  แล้วก็ถูกคุมตัวมาขึ้นหอกระจกนี้ ให้ปรากฏร่างกายเดิมเหมือนตอนมีชีวิตอยู่ว่าได้ทำบาปอย่างไร ?.  ทำให้วิญญาณโทษรู้เห็นการทำบาปในโลกมนุษย์นั้น ไม่สามารถรอดพ้นกฏหมายยมโลก เมื่อวิญญาณโทษเหล่านี้ขึ้นไปยังหอแล้วล้วนใจสั่นขวัญเสีย กลัวเกรงเรื่องไม่ดีที่ตนทำไว้ในเมืองมนุษย์จะปรากฏขึ้น  อับอายชาวบ้าน เราเดินตามหลังขึ้นไปชมดูบนหอกันเถิด

หยางเซิง    :  ยินดีครับ  ดูให้ถึงที่สุด เข้าใจให้ถ่องแท้

นายพลคุมหอ   :  ขอต้อนรับท่านอาจารย์และท่านหยางเซิงแห่งสำนักเซี่ยเฮี้ยงตึ้ง  เมืองไถ้้่ตง

อรหันต์จี้กง   :  โปรดอย่าได้มีการแสดงคารวะ เราศิษย์อาจารย์ได้รับเทวโองการให้แต่งหนังสือเรื่องเที่ยวเมืองนรก วันนี้เลยมาเยี่ยมชม  เชิญท่านนายพลนำพาหยางเซิงขึ้นไปตรวจชมบนหอ 

หยางเซิง   :  ท่านอาจารย์ต้องไปกับกระผมด้วยนะครับ  มิฉะนั้นกระผมคนเดียวอยู่ในถิ่นที่แปกใหม่อย่างนี้ ไม่กล้าเดินเหินด้วยตัวคนเดียว

อรหันต์จี้กง   :  ก็ได้.   เราตามนายพอขึ้นไปบนหอเถิด ... ยืนชมอยู่ข้าง ๆ ก่อนเถอะ     
หัวข้อ: เที่ยวเมืองนรก ครั้งที่ 6 ตอน ท่องหอกระจกวิเศษ ชมวิญญาณบาปปรากฏร่างเดิม
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 27/12/2011, 00:17
                            เที่ยวเมืองนรก

              ครั้งที่ 6  วันพุธที่ 29 กัยนายน  พ.ศ. 2519

                      ตอน  ท่องหอกระจกวิเศษ

                   ชมวิญญาณบาปปรากฏร่างเดิม

 ท่านอรหันต์จี้กงเสด็จลงตรัสเป็นกลอนมีความว่า  :

        หอกระจก                  ส่องวิญญาณ                  เห็นร่างเดิม
ลักแก้เติม                          ทอนอักษร                     สวดไม่พัก
ยมกฏ                              เที่ยงธรรม                      ลงทัณฑ์หนัก
โทษมหันต์                        คนในโลก                       ที่ทำบาป

หยางเซิง   : โอ้ !!!  ผู้เฒ่าคนนั้นถูกยมทูตคุมตัวอยู่หน้ากระจก ไฉนเงาที่ปรากฏกลายเป็นคนหนุ่ม  กำลังปืนข้ามกำแพงบ้านของชาวบ้านแล้วลงไปเปิดหน้าต่าง  โดดเข้าไปในบ้าน ในบ้านมีสามีภรรยากวัยกลางคนกำลังนอนหลับ คนหนุ่มผู้นั้นทำการเปิดตู้เปิดหีบ คล้ายกับว่ากำลังค้นหาสิ่งของอะไร ! ชายวัยกลางคนผู้นอนหลับเกิดตื่นขึ้น ตกใจร้องเสียงดังสนั่น หนุ่มคนนั้นชัดมีดสั้นโดยพลันและจ้วงแทงคนวัยกลางคนผู้ตื่นขึ้น โอย !!! เลือดสด ๆ ไหลทั่วกายกระผมไม่กล้าดู

นายพลคุมหอ   :  ไม่เป็นไร ! ไม่ต้องกลัว นี้แหละเป็นความแยบยลพิศดารของหอกระจกวิเศษ ผู้เฒ่านี้เมื่อสมัยเป็นคนหนุ่มเคยเข้าไปลักทรัพย์ของผู้อื่น เจ้าบ้านรู้สึกตัวก็เลยชัดมีดแทงเจ้าบ้านตาย มาบัดนี้วิญญาณโทษนี้ได้ตายลงแล้ว มายังยมโลกต่อหน้าหอกระจกวิเศษเรื่องบาปที่ก่อไว้ก้ปรากฏออกมาทันที

หยางเซิง   :  หอกระจกวิเศษนี้สร้างขึ้นจากวัสดุอันใด ?. ไฉนจึงวิเศษพิศดารถึงปานนี้

อรหันต์จี้กง   :  กระจกวิเศษนี้ สร้างขึ้นโดยพลังแห่งสวรรค์ และธรณี จากการรวบรวมจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งสากลโลก วิญญาณของปุึถุชนเมื่อลอยมาถึงที่นี่ ก็จะฉายร่างเดิมให้ปรากฏออก ไม่มีการแอบแฝงแต่อย่างใดแม้แต่นิด ที่แท้แล้วนั้นไม่เกี่ยวกับความศักดิ์สิทธิ์ของกระจกวิเศษนี้หรอก เพราะเหตุว่าชาวโลกจากวัยเด็กถึงวัยแก่ ในชีวิตของตนสร้างบากหนักหนา  แต่มนุษย์นั้นเป็นสัตว์ประเสริฐ  การกระทำของตนเองตัวเองย่อมรู้จิตใจของตัวเอง  ก็คือกล้องถ่ายรูปกล้องหนึ่ง  เก็บเอาการกระทำต่าง ๆ ในขณะที่อยู่ในเมืองมนุษย์โลกเอาไว้  นี่แหละคือ  "กระจกใจ"  ถึงแม้ว่าชาวโลกแอบกระทำความผิด โดยผู้อื่นไม่สามารถรู้เห็น  แต่ทุกคนถามใจตัวเอง ตัวเองย่อมรู้ การใช้มือเท้า  การเดินเหิน ก้ไม่อาจพ้นจากการบัญชาของหัวใจ เครื่อง ๆ นี้คือเจ้าแห่งสามแดนสถิตอยู่ในที่ลับ  คอยลอบบันทึกเก็บภาพใหญ่น้อยทุก ๆ เหตุการณ์ เมื่อคนตายลงมาถึงหน้าหอกระจกวิเศษ เนื่องจากหอกระจกนี้ เป็นที่รวมแห่งกระแสบวกและกระแสลบ พอสัมผัสกับกลิ่นไอแห่งวิญญาณ - ร่างกายของมนุษย์กระแสไฟ จะรวมเข้าสู่วงจรทันที  ทำการฉายออกซึ่งภาพของมนุษย์นั้น ๆ ที่ได้กระทำไว้ในปางก่อน ดังนั้นผู้กระทำบาป เมื่อมาถึงหอกระจกวิเศษแล้ว  ความจริงต่าง ๆ ก็จะปรากฏออกมาทันที โดยมิอาจปิดบังอำพรางได้ ดังที่คำพุทธท่านกล่าว  "กฏทุกกฏล้วนเกิดจากใจ"  ก็คือเหตุผลที่แท้จริงของสิ่งนี้

หยางเซิง   :  ที่แท้เป็นดังนี้เอง  แต่ว่าวิญญาณของผู้ทรงธรรมมาถึงทีนี่ หอกระจกวิเศษจะใช้การได้หรือเปล่ามิทราบ

นายพลคุมหอ   :  วิญญาณผู้ทรงธรรมไม่ต้องหลุดมาสู่หอกระจกวิเศษนี้  คุณดูที่หน้าหอเขียนไว้ว่า  หอกระจกวิเศษจะไม่มีคนดีเลย  ผู้ทรงธรรมเมื่อตายลง วิญญาณท่านผ่องแผ้วใสสะอาด  หน้าหอกระจกวิเศษมีแต่ขาวใสว่างเปล่าเสมือนฟีล์มว่างไปแล้ว  เพราะเหตุว่าในจิตใจไม่มีสิ่งชั่วร้ายแออัดอยู่ด้วย จึงมองไม่เห็นร่างเดิมของเขา  หากว่าวิญญาณผู้ทรงธรรมยิ่งสดใสสะอาด  บุญกุศลยิ่งทวีคูณ  ก็มุ่งไปแดนสวรรค์ หรือให้ขุมอื่น ๆ ตรวจสอบ บุญบาปโดยตรง โดยมิต้องมายังที่นี่  ดังนั้นกระจกวิเศษนี้จึงมีอีกชื่อว่า  "กระจกเวรกรรม"  ผู้ใดที่สร้างบาปในแดนมนุษย์เมื่อตกมาถึงที่นี่แล้วก็จะปรากฏร่างเดิมขึ้นทันที  เจ้าจงเยี่ยมชมอีกครั้งเถิด ! 

หยางเซิง   :  หญิงสาวผู้นี้ถูกยมทูตควบคุมตัวไปหน้าหอ เธอไม่กล้าเข้าไป ออดอ้อนร่ำไห้อยู่ไม่หยุดยั้ง ท่าทีน่าสมเพชเวทนามาก ทำให้เกิดความสงสารยิ่งนัก แต่ยมทูตก็ไม่มีการปรานีสงสารเอ็นดู หญิงงามเลยต้องถูกปฏิบัติเช่นเดียวกันกับนักโทษอื่น โดยใช้ง่ามเหล็กคุมให้เข้าไปหน้าหอ  โอย !! สถานที่นี้มีผู้ชายมากหน้าหลายตาเข้า ๆ ออก ๆ ในห้องมีแสงไฟแสงสีต่าง ๆ คล้ายแหล่งโลกีย์ของแดนมนุษย์
หัวข้อ: เที่ยวเมืองนรก ครั้งที่ 6 ตอน ท่องหอกระจกวิเศษ ชมวิญญาณบาปปรากฏร่างเดิม
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 27/12/2011, 00:41
                              เที่ยวเมืองนรก

              ครั้งที่ 6  วันพุธที่ 29 กัยนายน  พ.ศ. 2519

                      ตอน  ท่องหอกระจกวิเศษ

                   ชมวิญญาณบาปปรากฏร่างเดิม

 ท่านอรหันต์จี้กงเสด็จลงตรัสเป็นกลอนมีความว่า  :

        หอกระจก                  ส่องวิญญาณ                  เห็นร่างเดิม
ลักแก้เติม                          ทอนอักษร                     สวดไม่พัก
ยมกฏ                              เที่ยงธรรม                      ลงทัณฑ์หนัก
โทษมหันต์                        คนในโลก                       ที่ทำบาป

นายพลคุมหอ   :  ใช่แล้ว ที่นี้คือ  "แหล่งโลกีย์"  แห่งแดนมนุษย์ เจ้าจงสังเกตุให้รอบคอบและละเอียดถี่ถ้วนเถิด

หยางเซิง   :  แต่ละห้องมีแต่เสียงอ่อนหวานของสตรีเพศ เป็นสถานที่น่าหลงไหลยิ่งนัก กระผมมิกล้าดูชมมากนัก ท่านอาจารย์ครับ ! เรากลับกันเถิด!

อรหันต์จี้กง   :  เจ้ายังมีความรู้สึกว่าไม่สมควรจะเยี่ยมชม ก็ยังนับว่ามีความเหนียมอายมีมารยาท และศีลธรรมอยู่ในใจ  ไม่ขายหน้าศิษย์โปรดของท่านกวงเฮง (เจ้าสำนักแห่งเซี่ยเฮี้ยงตึ้ง) ดังหญิงงามเมืองผู้นี้ขายทั้งร่างกายและวิญญาณ หลอกลวงฉ้อฉล ทรัพย์สินเงินทองของผู้อื่น พูดจาหยาบคายต่ำช้า มารยามคุณสมบัติประจำของสตรีเพศไม่มีเลยไว้ในตัวเลยแม้แต่น้อย โทษทัณฑ์ใหญ่หลวงเป็นยิ่งนัก  ซ้ำยังเป็นกามโรคทำให้คนตายลงก่อนที่ควร เมื่อวิญญาณตกมาถึงยมโลกจึงยากที่จะรอดพ้น จากการลงทัณฑ์ที่ทรมานได้ ขอเตือนเพศหญิงแห่งมนุษยโลก ควรที่จะรักถนอมตัว ไม่สมควรอย่างยิ่งที่จะทำตัวเป็นหญิงงามเมืองขายตัว มืออันอ่อนนุ่มเป็นที่รองหนุนของผู้ชายนับเป็นพัน ๆ คน ให้ผู้คนเหยียบย่ำตามชอบใจ ไม่มีราคาแม้แต่สตางค์แดงเดียว และยังสร้างเวรกรรมอันหนักหนาด้วย ส่วนผู้ชายที่ชอบเที่ยวผู้หญิงก็ผิดในเรื่องลามกด้วย ขอให้กลับตัวโดยเร็ว  เจ้าหยางเซิงเราเตรียมตัวกลับสำนักกันเถิด

นายพลคุมหอ   :  ท่านทั้งสองจะไม่รอสักครู่หรือขอรับ ?.

หยางเซิง   :  ต่อหน้ากระจกวิเศษ ทุกสิ่งทุกอย่างก็รู้เห็นปรุโปร่งตลอดแล้วไม่กล้าจะดูอีกต่อไป  เมื่อวิญญาณบาปมากหลายเหล่านี้  แสดงออกถึงความชั่วร้ายต่าง ๆ  ข้าพเจ้ายังเป็นมนุษย์ปุถุชน  อยู่ต่อหน้ายิ่งทำให้พวกนั้นอับอายมากขึ้น  สู้ขอลากลับไปก่อนดีกว่า

อรหันต์จี้กง   :  ขอบคุณมากท่านนายพลได้กรุณาชี้แจงอธิบาย เราจะเตรียมตัวกลับสำนักแล้ววันอื่นค่อนเยี่ยมชม  "โรงซ่อมพระสูตร"   รีบไปเถิดเจ้าอยางเซิง ขึ้นบนดอกบัวเร็ว เตรียมตัวกลับสำนัก

หยางเซิง   :  กระผมกลัวมาก !

อรหันต์จี้กง   :  เหตุใดจึงต้องกลัว ปฏิบัติตัวเองให้เป็นคนดีก็จะสามารถหลีกเลี่ยงการอับอายขายหน้ามายังที่นี้... สำนักเซี่ยเฮี้ยงตึ้งถึงแล้ว  หยางเซิงลงจากดอกบัว  วิญญาณกลับเข้าสู่ร่างเดิม
หัวข้อ: เที่ยวเมืองนรก ครั้งที่ 6 ตอน ท่องหอกระจกวิเศษ ชมวิญญาณบาปปรากฏร่างเดิม นรกขุมที่หนึ่ง
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 27/12/2011, 00:51
               เที่ยวเมืองนรก

              ครั้งที่ 6  วันพุธที่ 29 กัยนายน  พ.ศ. 2519

                      ตอน  ท่องหอกระจกวิเศษ

                   ชมวิญญาณบาปปรากฏร่างเดิม

 ท่านอรหันต์จี้กงเสด็จลงตรัสเป็นกลอนมีความว่า  :

        หอกระจก                  ส่องวิญญาณ                  เห็นร่างเดิม
ลักแก้เติม                          ทอนอักษร                     สวดไม่พัก
ยมกฏ                              เที่ยงธรรม                      ลงทัณฑ์หนัก
โทษมหันต์                        คนในโลก                       ที่ทำบาป

                                   นรกขุมที่หนึ่ง

        ยมบาล                  ขุมที่หนึ่ง                   รอท่านอยู่
ท่านพระครู                      ที่โอ้อวด                    ศาสน์ข้าฯเด่น
กล่าวดูถูก                       ย่ำศาสน์อื่น                 ขึ้นข่มเข่น
คงต้องเข็น                      เข้าอบรม                    สำนักธรรม
เมื่อตายโหง                    วิญญาณผี                   มีมากมาย
เด็กแท้งตาย                    โดยพ่อแม่                  ไม่อยากได้
วิญญาณแค้น                    ค่อยรังควาน               ให้เสียไป
อีกพวกไซร์                      ไร้สติ                        ฆ่าตัวตาย
แม้กายตาย                      วิญญาณยัง                ถูกจองจำ
จงเชื่อคำ                        ใช้ปัญญา                  รอดบ่วงกรรม
อุบัเหตุ                           แขนขาขาด                หรือฆาตกรรม
ล้วนถูกจำ                       ในนรก                      ผีตายโหง       
หัวข้อ: เที่ยวเมืองนรก ครั้งที่ 6 ตอน ท่องหอกระจกวิเศษ ชมวิญญาณบาปปรากฏร่างเดิม หอกระจกส่องกรรม
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 27/12/2011, 00:59
                               เที่ยวเมืองนรก

              ครั้งที่ 6  วันพุธที่ 29 กัยนายน  พ.ศ. 2519

                      ตอน  ท่องหอกระจกวิเศษ

                   ชมวิญญาณบาปปรากฏร่างเดิม

 ท่านอรหันต์จี้กงเสด็จลงตรัสเป็นกลอนมีความว่า  :

        หอกระจก                  ส่องวิญญาณ                  เห็นร่างเดิม
ลักแก้เติม                          ทอนอักษร                     สวดไม่พัก
ยมกฏ                              เที่ยงธรรม                      ลงทัณฑ์หนัก
โทษมหันต์                        คนในโลก                       ที่ทำบาป

                              หอกระจกส่องกรรม

        เมืองมนุษย์                  ทำผิด                  อาจปิดบัง
ไม่ถูกขัง                              ถูกทำโทษ           รอดชีวัน
แล้วโทษทัณฑ์                     จะลงใคร               โลกไร้ธรรม
เมืองโลกันตร์                        ยุติธรรม                ไม่เอนเอียง
วิญญาณบาป                        เมื่อตายลง             มิรอดเล็ด
หอวิเศษ                              กระจกส่อง            กรรมอดีต
ปรากฏชัด                            การกระทำ             ครั้งมีชีวิต
มิอาจปิด                             ต้องรับทัณฑ์          พึงสังวร       
หัวข้อ: เที่ยวเมืองนรก ครั้งที่ 6 ตอน ท่องหอกระจกวิเศษ ชมวิญญาณบาปปรากฏร่างเดิม
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 27/01/2012, 08:30
                             เที่ยวเมืองนรก

              ครั้งที่ 6  วันพุธที่ 29 กัยนายน  พ.ศ. 2519

                      ตอน  ท่องหอกระจกวิเศษ

                   ชมวิญญาณบาปปรากฏร่างเดิม

 ท่านอรหันต์จี้กงเสด็จลงตรัสเป็นกลอนมีความว่า  :

        หอกระจก                  ส่องวิญญาณ                  เห็นร่างเดิม
ลักแก้เติม                          ทอนอักษร                     สวดไม่พัก
ยมกฏ                              เที่ยงธรรม                      ลงทัณฑ์หนัก
โทษมหันต์                        คนในโลก                       ที่ทำบาป

อรหันต์จี้กง   :  วันนีเตรียมท่องนรก  ได้เวลาแล้ว เจ้าจงเตรียมตัวเดินทาง

หยางเซิง   :  กระผมเตรียมการเรียบร้อยแล้ว  เชิญท่านอาจารย์เริ่มการได้แล้ว

อรหันต์จี้กง   :  ถึงแล้ว รีบลงจากดอกบัว

หยางเซิง   :  ที่นี่เป็นแห่งหนตำบลใด ?. เหตุใดจึงมีฝูงชนแออัดยัดเยียด ด้านหลังมียมทูตควบคุมไปยังหอข้างหน้า ?.

อรหันต์จี้กง   :  ที่นี่คือ  "หอกระจกวิเศษ"  (หอกระจกสะท้อนบาปกรรม) ชนเหล่านี้ล้วนก่อกรรมทำเข็ญในขณะอยู่เมืองมนุษย์หรือไม่มีศีลธรรม วิญญาณของผู้กระทำบาป เมื่อตายลงแล้วไปรายงานตัวที่ขุมที่หนึ่ง แล้วถูกคุมตัวมาขึ้นหอกระจกนี้ ให้ปรากฏร่างกายเดิมตอนมีชีวิตอยู่ว่าได้ทำบาปอย่างไร ?. ทำให้วิญญาณโทษรู้เห็นการทำบาปในมนุษย์โลกนั้น ไม่สามารถรอดพ้นกฏยมโลก เมื่อวิญญาณโทษเหล่านี้ขึ้นไปยังหอแล้ว ล้วนใจสั่นขวัญเสีย กลัวเกรงเรื่องไม่ดีที่ตนทำไว้ในเมืองมนุษย์จะปรากฏขึ้น อับอายชาวบ้าน เราเดินตามหลังขึ้นไปชมดูบนหอกันเถิด

หยางเซิง   :  ยินดีครับ ดูให้ถึงที่สุด เข้าใจให้ถ่องแท้

นายพลคุมหอ   :  ขอต้อนรับท่านอาจารย์และท่านหยางเซิงแห่งสำนักเซี้ยเฮี้ยงตึ้ง เมืองไถ่ตง

อรหันต์จี้กง   :  โปรดอย่าได้มีการแสดงคารวะ เราศิษย์อาจารย์ได้รับเทวโองการให้แต่งหนังสือเรื่องเที่ยวเมืองนรก วันนี้เลยมาเยี่ยมชม เชิญท่านนายพลนำพาหยางเซิงขึ้นไปตรวจชมบนหอ

หยางเซิง   :  ท่านอาจารย์ต้องไปกับกระผมด้วยนะครับ มิฉะนั้นกระผมคนเดียวอยู่ในถิ่นที่แปลกใหม่อย่างนี้ ไม่กล้าเดินเหินด้วยตัวคนเดียว

อรหันต์จี้กง   :  ก็ได้  เราตามนายพลขึ้นไปบนหอเถิด..... ยืนชมอยู่ข้าง ๆ ก่อนเถอะ

หยางเซิง   :  โอ้ !!!  ผู้เฒ่าคนนั้นถูกยมทูตคุมตัวอยู่หน้ากระจก ไฉนเงาที่ปรากฏกลายเป็นคนหนุ่ม กำลังปีนข้ามกำแพงบ้านของชาวบ้านแล้วลงไปเปิดหน้าต่าง โดดเข้าไปในบ้าน ในบ้านมีสามาีภรรยากลางคนกำลังนอนหลับ คนหนุ่มผู้นั้นทำการเปิดตู้เปิดหีบ คล้ายกับว่ากำลังค้นหาสิ่งของอะไร !  ชายวัยกลางคนผู้นอนหลับเกิดตื่นขึ้น ตกใจร้องเสียงดังสนั่น หนุ่มคนนั้นชักมีดสั้นโดยพลันและจ้วงแทงคนวัยกลางคนผู้ตื่นขึ้น  โอย !!! เลือดสด ๆ ไหลทั่วกาย กระผมไม่กล้าดู

นายพลคุมหอ   :  ไม่เป็นไร !  ไม่ต้องกลัว นี้แหละเป็นความแยบยลพิศดารของหอกระจกวิเศษ ผู้เฒ่านี้เมื่อสมัยเป็นหนุ่มเคยเข้าไปลักทรัพย์ของผู้อื่น เจ้าบ้านรู้สึกตัวก้เลยชักมีดแทงเจ้าบ้านตาย มาบัดนี้วิญญาณโทษได้ตายลงแล้ว มายังยมโลกต่อหน้าหอกระจกวิเศษบางเรื่องที่ก่อไว้ก็ปรากฏออกทันที

หยางเซิง   :  หอกระจกวิเศษนี้สร้างขึ้นจากวัสดุอันใด ?. ไฉนจึงวิเศษพิศดารถึงปานนี้ 
หัวข้อ: เที่ยวเมืองนรก ครั้งที่ 6 ตอน ท่องหอกระจกวิเศษ ชมวิญญาณบาปปรากฏร่างเดิม
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 27/01/2012, 14:29
                             เที่ยวเมืองนรก

              ครั้งที่ 6  วันพุธที่ 29 กัยนายน  พ.ศ. 2519

                      ตอน  ท่องหอกระจกวิเศษ

                   ชมวิญญาณบาปปรากฏร่างเดิม

 ท่านอรหันต์จี้กงเสด็จลงตรัสเป็นกลอนมีความว่า  :

        หอกระจก                  ส่องวิญญาณ                  เห็นร่างเดิม
ลักแก้เติม                          ทอนอักษร                     สวดไม่พัก
ยมกฏ                              เที่ยงธรรม                      ลงทัณฑ์หนัก
โทษมหันต์                        คนในโลก                       ที่ทำบาป

อรหันต์จี้กง   :  กระจกวิเศษนี้ สร้างขึ้นโดยพลังแห่งสวรรค์และธรณี จากการรวบรวมของสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งสากลโลก วิญญาณของปุถุชนเมื่อลอยมาถึงที่นี่ก็จะฉายร่างเดิมให้ปรากฏออก ไม่มีการแอบแฝงแต่อย่างใดแม้แต่นิด ที่แท้แล้วนั้นไม่เกี่ยวกับความศักดิ์สิทธิ์ของกระจกวิเศษนี้หรอก เพราะเหตุว่าชาวโลกจากวัยเด็กถึงวัยแก่ ในชีวิตของตนสร้างบาปหนักหนา แต่มนุษย์นั้นเป็นสัตว์ประเสริฐ การกระทำของตนเอง ตัวเองย่อมรู้จิตใจของตัวเอง ก็คือกล้องถ่ายรูปกล้องหนึ่ง เก็บเอาการกระทำต่าง ๆ ในขณะที่อยู่ในมนุษย์โลกเอาไว้ นี่แหละคือ  "กระจกใจ"  ถึงแม้ว่าชาวโลกแอบกระทำความผิด โดยผู้อื่นไม่สามารถรู้เห็น แต่ทุกคนถามใจตัวเอง ตัวเองย่อมรู้ การใช้มือเท้า การเดินเหินก็ไม่อาจพ้นจากการบัญชาของหัวใจ เครื่อง ๆ นี้คือเจ้าแห่งสามแดน สถิตอยู่ในที่ลับ คอยลอบบันทึกเก็บภาพใหญ่น้อยทุก ๆ เหตการณ์ เมื่อคนตายลงมาถึงหน้าหอกระจกวิเศษ เนื่องจากหอกระจกนี้เป็นที่รวมแห่งกระแสบวกและกระแสลบ พอสัมผัสกับกลิ่นไอแห่งวิญญาณ - ร่างกายของมนุษย์กระแสไฟจะรวมเข้าสู่วงจรทันที ทำการฉายออกซึ่งภาพของมนุษย์นั้น ๆ ที่ได้กระทำไว้ในปางก่อน ดังนั้นผู้กระทำบาป เมื่อมาถึงหอกระจกวิเศษแล้ว ความจริงต่าง ๆ ก็จะปรากฏออกทันที โดยมิอาจจะปิดบังอำพรางได้ ดังที่คำพุทธท่านกล่าว  "กฏทุกกฏล้วนเกิดจากใจ"  ก็คือเหตุผลที่แท้จริงของสิ่งเหล่านี้

หยางเซิง   :  ที่แท้เป็นดังนี้เอง แต่ว่าวิญญาณของผู้ทรงธรรมมาถึงที่นี่ หอกระจกวิเศษจะใช้การได้หรือเปล่ามิทราบ

นายพลคุมหอ   :  วิญญาณผู้ทรงธรรมไม่ต้องหลุดมาสู่หอกระจกวิเศษนี้ คุณดูที่หน้าหอเขียนไว้ว่า  หอกระจกวิเศษจะไม่มีคนดีเลย  ผู้ทรงธรรมเมื่อตายลงวิญญษณท่านผ่องแผ้วใสสะอาด หน้าหอกระจกวิเศษมีแต่ขาวใสว่างเปล่า เสมือนฟีล์มว่างไปแล้ว เพราะเหตุว่าในจิตใจไม่มีสิ่งชั่วร้ายแออัดอยู่ด้วย จึงมองไม่เห็นร่างเดิมของเขา หากว่าวิญญาณผู้ทรงธรรมยิ่งสดใสสะอาด บุญกุศลยิ่งทวีคูณ ก็มุ่งไปแดนสวรรค์ หรือให้ขุมอื่น ๆ ตรวจสอบบาปบุญโดยตรงโดยมิต้องมายังที่นี่ ดังนั้นกระจกวิเศษนี้จึงมีอีกชื่อว่า  "กระจกเวรกรรม"  ผู้ใดที่สร้างบาปในแดนมนุษย์เมื่อตกมาถึงที่นี่แล้วก็จะปรากฏร่างเดิมขึ้นทันที เจ้าจงเยี่ยมชมอีกครั้งเถิด ! 

 หยางเซิง   :  หญิงสาวผู้นี้ยมทูตควบคุมตัวไปที่หน้าหอ  เธอไม่กล้าเข้าไป ออดอ้อนร่ำไห้ไม่หยุดยั้ง ท่าทีน่าสมเพชเวทนามาก ทำให้เกิดความสงสารยิ่งนัก แต่ยมทูตก็ไม่มีการปรานีสงสารเอ็นดู หญิงงามเลยต้องถูกปฏิบัติเช่นเดียวกันกับนักโทษอื่น โดยใช้ง่ามเหล็กคุมให้เข้าไปหน้าหอ  โอย !! สถานที่นี้มีผู้ชายมากหน้าหลายตาเข้า ๆ ออก ๆ ในห้องมีแสงไฟแสงสีต่าง ๆ คล้ายแหล่งโลกีย์ของแดนมนุษย์

นายพลคุมหอ   :  ใช่แล้ว ที่นี้คือ  "แหล่งโลกีย์"  แห่งแดนมนุษย์ เจ้าจงสังเกตให้รอบคอบละเอียดถี่ถ้วนเถิด

หยางเซิง   :  แต่ละห้องมีแต่เสียงอ่อนหวานของสตรีเพศ เป็นสถานที่น่าหลงใหลยิ่งนัก กระผมมิกล้าดูชมมากนัก ท่านอาจารย์ครับ ! เรากลับกันเถอะครับ  ! 

อรหันต์จี้กง   :  เจ้ายังมีความรู้สึกว่าไม่สมควรจะเยี่ยมชม ก็ยังนับว่ามีความเหนียมอายมีมารยาทและศีลธรรมอยู่ในใจ ไม่ขายหน้าศิษย์โปรดของท่านกวงเฮง  (เจ้าสำนักแห่งเซี้ยเฮี้ยงตึ้ง)  ดังหญิงงามเมืองผู้นี้ขายทั้งร่างกายและวิญญาณหลอกลวงฉ้อฉลทรัพย์สินเงินทองของผู้อื่น ูดจาหยาบคายต่ำช้า มารยาทคุณสมบัติประจำของสตรีเพศไม่มีเหลือไว้ในตัวเลยแม้แต่น้อย โทษทัณฑ์ใหญ่หลวงเป็นยิ่งนัก ซ้ำยังเป็นกามโรคทำให้คนตายลงก่อนที่ควร เมื่อวิญญาณตกมาถึงยมโลกจึงยากที่จะรอดพ้นจากการลงทัณฑ์ที่ทรมานได้ ขอเตือนเพศหญิงแห่งมนุษยโลกควรที่จะรักถนอมตัว ไม่สมควรอย่างยิ่งที่จะทำตัวเป็นหญิงงามเมืองขายตัว มืออันอ่อนนุ่มเป็นที่รองหนุนของผู้ชายนับเป็นพัน ๆ คน ให้ผู้คนเหยียบย่ำตามชอบใจ ไม่มีราคาแม้แต่สตางค์แดงเดียว และยังสร้างเวรกรรมอันหนักหนาด้วย ส่วนผู้ชายที่ชอบเที่ยวผู้หญิงก็ผิดในเรื่องลามกด้วย ขอให้กลับตัวหลับใจโดยเร็ว เจ้าหยางเซิงเราเตรียมตัวกลับสำนักกันเถิด

นายพลคุมหอ   :  ท่านทั้งสองจะไม่รอสักครู่หรือขอรับ ?.

หยางเซิง   :  ต่อหน้ากระจกวิเศษ ทุกสิ่งทุกอย่างก็รู้เห็นปรุโปร่งตลอดแล้วไม่กล้าจะดูอีกต่อไป มีวิญญาณบากมากมายเหล่านี้ แสดงออกถึงความชั่วร้ายต่าง ๆ ข้าพเจ้ายังเป็นมนุษย์ปุถุชนอยู่ต่อหน้ายิ่งทำให้พวกนั้นอับอายมากขึ้น สู้ขอลากลับไปก่อนดีกว่า

อรหันต์จี้กง   :  ขอบคุณมากท่านนายพลได้กรุณาชี้แจงอธิบาย เราจะเตรียมตัวกลับสำนักแล้ว วันอื่นค่อยเยี่ยมชม  "โรงซ่อมพระสูตร"  รีบไปเถิดเจ้าหยางเซิงขึ้นบนดอกบัวเร็ว เตรียมตัวกลับสำนัก

หยางเซิง   : กระผมกลัวมาก!

อรหันต์จี้กง   :  เหตุใดจึงต้องกลัว ปฏิบัติตัวเองให้เป็นคนดีก็จะสามารถหลีกเลี่ยงการอับอายขายหน้ายังที่นี้...สำนักเซี้ยเฮี้ยงตึ้ง ถึงแล้ว  หยางเซิงลงจากดอกบัว วิญญาณกลับเข้าร่างดังเดิม
หัวข้อ: เที่ยวเมืองนรก ครั้งที่ 7 ตอน ท่องโรงซ่อมพระสูตร
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 29/01/2012, 07:14
                               เที่ยวเมืองนรก

               ครั้งที่ 7 วันเสาร์ที่ 2 ตุลาคม พ.ศ.2519

                       ตอน ท่องโรงซ่อมพระสูตร

             ท่านอรหันต์จี้กงเสด็จตรัสเป็นกลอนว่า  :

        พระชีพรามห์        ลวงผู้คน        หารายได้
ผลสุดท้าย                  ต้องรับกรรม    ที่ทำชั่ว
ถูกลงโทษ                 ให้สวดมนต์     ในห้องมัว
ร้องเสียงขรัว               ทั่วหน้ากัน      ท่านจงฟัง 

อรหันต์จี้กง   :  วันนี้เตรียมเที่ยวเมืองนรก เจ้าหยางเซิงจงนั่งบนดอกบัวให้มั่นคง ใจอย่าหวั่นไหว

หยางเซิง   :  ขอรับ กระผม ท่านอาจารย์ครับ ความทารุณโหดร้ายในแดนนรกสุดที่จะทนดูได้

อรหันต์จี้กง   :  วิญญษณโทษเหล่านั้น สมควรแล้วที่จะได้รับการตอบสนองอย่างนั้น เจ้าอย่าได้เห็นใจสงสารเขาหรอก เราเริ่มเดินทางได้แล้ว..... ถึงแล้วละ ลงจากดอกบัวเร็ว

หยางเซิง   :  ห้องนี้เหตุใดจึงมืดมัว ข้างในดูเหมือนมีเสียงคร่ำครวญรัญจวนจิต ?.

อรหันต์จี้กง   :  ที่นี่คือโรงซ่อมพระสูตร เราจะเข้าไปเยี่ยมชมตรวจดูให้ละเอียด

หยางเซิง   :  ไปกันเถิดครับ... บนประตูห้องมีตัวอักษรว่า "โรงซ่อมพระสูตร"  ทางนั้นมีนายทหาร 2 นายกำลังเดินมา มิทราบว่าเป็นผู้ใด ?.

อรหันต์จี้กง   :  นั่นเป็นนายทหารผู้คุมประตู

นายทหาร   :  ขอน้อมรับท่านอาจารย์และคุณหยางเซิงแห่งสำนักเซี้ยเฮี้ยงตึ้งแห่งเมืองไถ่ตง

อรหันต์จี้กง   :  โปรดอย่าได้มีการคารวะเลย วันนี้อาตมาพาหยางเซิง ผู้มีสมญานามว่า พู่กันศักดิ์สิทธิ์ มาเยี่ยมชมโรงซ่อมตำราธรรม ขอท่านได้โปรดนำพาเข้าไปด้วย

นายทหาร   :  เชิญครับ เชิญตามกระผมมา ท่านทั้งสองเชิญเข้าประตูข้าง เพราะเหตุว่าประตูกลาง (ประตูใหญ่) เปิดออกได้ต้องเป็นวันเริ่มต้นของวันแรกของแต่ละปักษ์แห่งเดือน เพราะว่าวันดังกล่าวจะมีพระอรหันต์ จอมปราชญ์ เทวดา เสด็จมาแสดงธรรมแก่พวกพระชีพรามห์ทั้งหลาย

หยางเซิง   :  สามารถเข้าได้ก็รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งแล้ว จะเข้าทางประตูไหนหาได้เป็นปัญหาไม่ ในโรงซ่อมพระสูตรมัวมืดไร้แสงสว่าง กระผมว่ายืนชมอยู่ที่นี่ก็พอแล้ว ไม่ต้องเข้าไปในห้องนะครับ

นายทหาร   :  หาเป็นไรมิได้ ข้าพเจ้าจะพาท่านไปเอง ไม่ต้องหวั่นเกรง

หยางเซิง   :  ก็ได้ครับ ห้องนี้สร้างด้วยไม้กระดาน รู้สึกว่า เก่าแก่มาก มีร่องรอยว่าผุกร่อนอยู่บ้างและมีรอยแตกเป็นรูอยู่ทั่วไปคล้ายใกล้จะทลาย ภายในมีผู้แต่งกายเป็นพระ ชี พรามห์ เป็นจำนวนหลายพันคน อาศัยตะเกียงน้ำมันดวงเดียวเปิดพระสูตรพร่ำท่องไปเรื่อย ๆ มีลักษณะว่าระทมขมขื่นมาก

อรหันต์จี้กง   :  พวกพระ ชี พรามห์เหล่านี้ เมื่อตอนอยู่ในแดนมนุษย์ล้วนรับอาสาไปสวดมนต์สะเดาะเคราะห์ให้แก่ชาวบ้าน เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวัน ๆ แต่มิได้แสดงความจริงใจเพียงแต่ทำแบบซื้อขาย บ้างก็สวดออกเสียงผิดไปจากตำรา เมื่อตายลงแล้วล้วนต้องมายังโรงซ่อมพระสูตรนี้ เพื่อสวดเพิ่ม ซ่อมให้ดีโดยอาศัยแสงไฟที่ริบหรี่ดังแสงหิ่งห้อยนี้สวดกัน ที่สวดตกไปตัวเดียวต้องสวดชดเชยร้อยครั้ง เมื่อสวดชดเชยเสร็จแล้วจึงจะอาศัยผลงานนั้นเป็นการตัดสิน

หยางเซิง   :  ตามที่ท่านอาจารย์ว่า แล้วที่สำนักเราได้แต่งพระสูตรพระเจ้าเง็กเสียงอ๊วงตี่ ทรงโปรดสัตว์และพระสูตร พระบุพวิสุทธิเทพ ไร้ขอบเขตจะมีใครกล้าอ่านเล่า ?. ผู้มีจิตศรัทธามากหลายนำไปท่องอ่านแต่ออกเสียงผิดเพี้ยน ต่อไปก็ต้องตกเข้าไปอยู่ในโรงซ่อมพระสูตรด้วยหรือ ?.

นายทหาร   :  มิใช่เช่นนั้น ผู้ที่มาซ่อมพระสูตรนี้ เป็นพวกที่อาศัยสวดมนต์ทำพิธีทางศาสนาหากินในเมืองมนุษย์ รับเอาเงินทองจากชาวบ้านสะเดาะเคราะห์ให้ชาวบ้าน แต่ไม่ทำการสวดท่องจากตำราคัมภีร์อันศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาเต๋า ศาสนาพุทธ พวกนี้ จึงต้องตกมายังที่นี้ หากว่าเราสวดมนต์กันเองหรือสวดบริการให้แก่ผู้อื่น จุดมุ่งหมายมันต่างกัน คือไม่มุ่งในทางรับทรัพย์หาเงิน ถึงแม้ว่ามีความผิดพลาดบ้าง กฏสวรรค์ท่านได้กรุณายกให้เป็นพิเศษอยู่แล้ว

หยางเซิง   :  แสงไฟริบหรี่ดังแสงหิ่งห้อยเช่นนี้ และยังมีลมเย็นโบกโชยรำ ๆ จะดับมิดับแหล่ และพวกพระชีพรามห์เหล่านี้ อายุมากเสียด้วย นัยน์ตาฝ้าฟางเพ่งดูตัวหนังสือของตำราธรรมซึ่งตัวเล็กเท่าหัวแมลงวัน รู้สึกน่าสงสารเป็นที่ยิ่ง แต่ละคนล้วนแสดงอาการอ่อนเพลียปวดเมื่อย

นายทหาร   :  ค่าของเงินต้องสมกับค่าของสินค้า เมื่อรับเอาเงินทองของผู้จ้างไปแล้ว และไม่ทำงานให้เรียบร้อย ก็สมควรแล้วต้องรับการสนองแบบนี้
หัวข้อ: เที่ยวเมืองนรก ครั้งที่ 7 ตอน ท่องโรงซ่อมพระสูตร
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 29/01/2012, 08:07
                                เที่ยวเมืองนรก

               ครั้งที่ 7 วันเสาร์ที่ 2 ตุลาคม พ.ศ.2519

                       ตอน ท่องโรงซ่อมพระสูตร

             ท่านอรหันต์จี้กงเสด็จตรัสเป็นกลอนว่า  :

        พระชีพรามห์        ลวงผู้คน        หารายได้
ผลสุดท้าย                  ต้องรับกรรม    ที่ทำชั่ว
ถูกลงโทษ                 ให้สวดมนต์     ในห้องมัว
ร้องเสียงขรัว               ทั่วหน้ากัน      ท่านจงฟัง 

อรหันต์จี้กง   :  ขอเตือนเหล่าพระชีพรามห์ในแดนมนุษย์  การสวดมนต์ท่องพระธรรมสามารถบำเพ็ญธรรมบรรลุธรรม แต่ว่าจะอาศัยสวดมนต์เพื่อยังชีพ ก็ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ หนังสือตัวเดียวหรือประโยคเดียวจะลักตัดบทหรืออ่านผิดไม่ได้  มิเช่นนั้นแล้วไม่เพียงแต่ไม่สามารถสะเดาะเคราะห์กรรมให้ผู้อื่น ตนเองนั่นแหละ กลับจะได้รับเคราะห์กรรม เมื่อตายลงแล้ว ต้องตกเข้ามายังโรงซ่อมพระสูตรท่องเพิ่มเป็นร้อยตลบ

นายทหาร   :  เมื่อเป็นวันต้นของปักษ์ (คือข้างขึ้น 1 ค่ำ) กับ ข้างแรม 1 ค่ำ  พุทธ เต๋า สองจอมศาสดาได้นำลูกศิษย์เสด็จมาตรวจสอบและสั่งสอนให้ท่องอ่านให้ถูกต้องตามพระสูตร ชาวโลกก่อเวร พลอยพาให้เทพอรหันต์ต้องเสด็จลงสู่แดนนรกเพื่อช่วยกอบกู้ชักจูงท่านเทพยดาและอรหันต์มีความกรุณาปราณีเปี่ยมท้น ชาวโลกทั้งหลายควรที่จะรู้สึกตัวบ้าง สิ่งละอันพันละน้อยของเมืองมนุษย์จะไม่สามารถรอดพ้นจากโทษทัณฑ์แห่งยมโลกไปได้

หยางเซิง   :  ข้าพเจ้าเข้าใจดีแล้ว ขอบคุณมากที่ท่านได้ให้การแนะนำชี้แจง

อรหันต์จี้กง   :  เจ้าจะสอบถามจากนักบวชผู้นี้ได้ ว่าไฉนตนเองต้องมายังที่นี้ ?.

หยางเซิง   :  ขอรับ กระผม ขอเรียนถามท่านนักธรรมอาวุโส ไฉนท่านจึงมายังที่นี้ ?.

นักบวช   :  โปรดอย่ากล่าวคำว่านักธรรมอาวุโสเลย ฉันเพียงแต่เป็นนักบวชผู้โพกผ้าแดงในแดนมนุษย์รับทำ  "กงเต็ก"  ซึ่งเป็นอาชีพของฉันทำการนำส่งวิญญาณ หรือ  "ตีเมือง" (รบเร้าให้เปิดประตูเมืองผี)  เช่นเมื่อผู้คนตายลงแล้ว เนื่องจากฉันมีพื้นความรู้ต่ำ ดังนั้น ตำราธรรมบางตอนอ่านไม่เข้าใจเลย เพียงแต่ส่งเสียงตามจังหวะฆ้อง กลอง  ชาวบ้านก็ไม่ทราบว่าฉันสวดอะไรบ้าง บางครั้งก็รีบเร่งเพราะเวลาจำกัด สวดทีเดียวควบสองหน้าไปเลย ให้พ้นจากหน้าที่ไป มีเงินเข้ากระเป๋า แล้วผู้ตายจะได้ขึ้นสวรรค์หรือไม่ ไม่เคยคำนึงถึง เมื่อฉันตายลงแล้วโดนยมทูตคุมเข้าไปขุมที่ 1 ถูกตัดสินให้มาอยู่โรงซ่อมพระสูตร อยู่มาเป็นเวลา 1 ปี กับ 1 เดือนแล้ว ในชีวิตที่ผ่านมา ลักตัดบทคำสวดมากมาย ดังนั้นจึงต้องถูกทรมานจนถึงทุกวันนี้ ยังไม่สามารถซ่อมสำเร็จนัยน์ตาก็ซ้ำเหลือที่จะทน เมื่อซ่อมเพิ่มเติมชดเชยพระสูตรเสร็จแล้ว อาจต้องถูกส่งไปยังขุมที่ 2 พิจารณาโทษก็เพราะว่าการกระทำเมื่อครั้งอยู่เมืองมนุษย์ ให้โทษแก่ผู้อื่น มาบัดนี้รู้สึกตัวก็สายไปเสียแล้ว  ขอให้ท่านได้โปรดไปบอกเล่าต่อพวกอาจารย์เต๋าในเมืองมนุษย์ด้วยว่าควรปฏิบัติในทางที่ดีที่ชอบ มิเช่นนั้นแล้วก็จะเหมือนตัวฉันเองนี้แหละ ที่ต้องอาศัยผู้อื่นกอบกู้ชักจูงให้พ้นทุกข์

หยางเซิง   :  พราหมณ์ผู้นี้น่าสงสารมาก ท่านอาจารย์จะช่วยกอบกู้ให้พ้นทุกข์ได้ไหมครับ ?.

อรหันต์จี้กง   :  ทำเองรับเอง กรรมสนองกรรม ตอนอยู่แดนมนุษย์มันมีความสุขมาก เวลานี้ก็ให้มันได้รับความทุกข์บ้าง อย่าได้ใส่ใจต่อเรื่องไร้สาระเลย เราได้รับโองการมาท่องชมนรก เจ้ามิควรสอบถามเกี่ยวข้อง นี่เป็นกฏแห่งยมโลก เวลาใกล้จะหหมดลงแล้ว เตรียมตัวกลับสำนัก ขอขอบคุณท่านนายทหารมาก

หยางเซิง   :  ขอบคุณท่านนายทหาร ท่านพราหมณ์ทั้งหลาย จงหมั่นอบรมฝึกฝนไว้เถิด !

อรหันต์จี้กง   :  รีบขึ้นดอกบัวเร็ว... ถึงสำนักแล้ว  หยางเซิงลงจากดอกบัว วิญญาณกลับเข้าร่างดังเดิม
หัวข้อ: เที่ยวเมืองนรก ครั้งที่ 8 ตอน ท่องเมืองผีตายโหง
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 29/01/2012, 09:05
                            เที่ยวเมืองนรก

             ครั้งที่ 8  วันเสาร์ที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2519

                       ตอน  ท่องเมืองผีตายโหง

        ท่านอรหันต์จี้กงเสด็จตรัสเป็นกลอน มีความว่า  :

        แปดสองแปด       สิบห้าค่ำ        เดือนทรงกลด
ในนรก                       ใครสงสาร       วิญญาณทุกข์
แม้จะฆ่า                     ตัวตาย           ใช่พ้นทุกข์
กลับถูกรุก                   ให้รับกรรม       ในเมืองผี   

อรหันต์จี้กง   :  ปีนี้มีวันเพ็ญเดือนแปดสองหน ตั้งแต่ได้รับเทวโองการให้แต่งหนังสือ  "เที่ยวเมืองนรก"  มาจนถึงปัจจุบันนี้ก็ครบหนึ่งเดือนเต็มแล้ว วันเวลาไหลผ่านไปอย่างรีบเร่งเหมือนสายน้ำ หวังผู้คนได้ตื่นขึ้นจากความละเมอหลง พระจันทร์เต็มดวงมีไม่บ่อยครั้งนัก ปีไหนเล่าจะเจอสองวันเพ็ญเดือนแปดอีก (คือวันไหว้พระจันทร์ของชาวจีน)  ชาวโลกสามารถสนทนาภายใต้แสงจันทร์มีความสุขสดชื่นอักโข กลับมามองดูในแดนนรกที่มืดมิด ไม่เห็นดาวเห็นเดือน วิญญษณผีร่ำไห้ร้องโหยหวนคร่ำครวญ ทำให้คนมิอาจทนดู เจ้าหยางเซิง เตรียมท่องนรก

หยางเซิง   :  ขอน้อมรับคำบัญชา !  เวลาผ่านพ้นไปเร็วเหลือเกิน ระหว่างเวลาหนึ่งเดือนนี้ หนังสือเรื่องเที่ยวเมืองนรก ยังทำไม่ได้ 10 เปอร์เซ็นต์เลย กระผมเกรงว่างานใหญ่ชิ้นนี้ จะทำการสำเร็จยาก

อรหันต์จี้กง   :  ขอให้มีความจริงใจบริสุทธิ์ ที่เรียกว่า  "จิตใจแน่วแน่  ฟ้าดินทลาย"  เจ้ามีจิตใจที่มั่นคงถาวรอยู่แล้ว ประตูนรกทั้ง 10 ขุม จะเปิดออกเองให้เจ้าได้รู้เห็นตลอด จะไปหวั่นไหวอันใด ?. รีบขึ้นดอกบัวเร็ว... ! 

หยางเซิง    :  ได้นั่งลงเรียบร้อยแล้ว เชิญอาจารย์ท่านเริ่มเดินทางได้ครับกระผม

อรหันต์จี้กง   :  ..... ถึงแล้วละ ลงจากดอกบัวเร็ว

หยางเซิง   :  ที่มาวันนี้น่ะ  คือ  "เมืองผีตายโหง"  หรือครับ ?. ข้างหน้าประตูเมืองปิดอยู่ ด้านบนมีตัวอักษรว่า  "เมืองตายโหง"  จะเข้าไปเยี่ยมชมหรือครับ ?.

อรหันต์จี้กง   :  วันนี้แหละจะเยี่ยมชม  "เมืองผีตายโหง"  ตามข้าฯ เข้าเมืองไปเถิด

หยางเซิง   :  ประตุเมืองทำไมจึงปิด เราจะเข้าไปได้อย่างไร ?.

อรหันต์จี้กง   :  ประตูเมือง ๆ นี้ เป็นประตูอัตโนมัติ เหมือนดังประตูอัตโนมัติตามห้างสรรพสินค้าแห่งเมืองมนุษย์ บรรดาวิญญาณตายโหงถูกยมทูตมายังที่นี่ เพราะเหตุว่าตายโดยไม่ปรกติ กลุ่มควันแห่งความเคียดแค้นไม่สูญสลาย เมื่อกลุ่มควันแคว้นมาปะทะที่หน้าประตู ประกอบด้วยประตูมีการสนองรับ ก็จะเปิดออกโดยปริยาย ทุกสิ่งทุกอย่างในยมโลกสืบเนื่องมาจากการกระทำของแดนมนุษย์แล้วแต่จิตที่จะตอบสนอง ฉันใช้พัดโบกเพียงทีเดียว ประตูก็จะเปิดออกเอง

หยางเซิง   :  ท่านอาจารย์มีฤทธิ์เดชอภินิหารสูงส่งมาก !  พัดเล่มนี้ผมขอเอาไปในแดนมนุษย์ แสดงความศักดิ์สิทธิ์อภินิหารให้ชาวโลกดูเป็นขวัญตา !

อรหันต์จี้กง    :  เจ้าอย่าได้ริอ่านเกิดความคิดวิปริต เมื่อเกิดความคิดวิปริตก็มักจะผจญมาร  (คือมีมารมาผจญ)  ผู้บำเพ็ญธรรมไม่ควรแสวงหาสิ่งปาฏิหาริย์มหัศจรรย์ ถ้าผู้บำเพ็ญธรรมสุขกายสบายใจ วัน ๆ ไม่มีเรื่องจุกจิกรบกวน จิตใจก็ผ่องแผ้วชื่นบาน ก้เท่ากับ  "เทวดาองค์น้อย ๆ " อยู่แล้ว จะเอาพัดเล่มนี้ไปโบกเกิดเพิ่มความยุ่งยากเปล่า !

หยางเซิง    :  ขอรับ กระผม !  ขอขอบคุณท่านอาจารย์ที่สั่งสอน กระผมรู้สึกกระดากใจยิ่ง ข้างหน้ามีคนขบวนหนึ่งกำลังเดินมาเป็นใครกันครับ ?.

อรหันต์จี้กง   :  นั่นคือ ข้าราชบริพารผู้รักษาเมืองผีตายโหง และนายทหาร เตรียมการต้อนรับ

ข้าราชฯ   :  ขอน้อมรับท่านจี้กง และหยางเซิง  ที่มาสู่เมืองนี้ เชิญตามพวกข้าพเจ้าเข้าเมืองและตรวจเยี่ยม

นายทหาร   :  ขอต้อนรับท่านอาจารย์และหยางเซิง พวกข้าพเจ้าได้รับคำสั่ง ทราบว่าท่านมาเยี่ยมชมทุกขุม แต่งเป็นหนังสือเพื่อเตือนสติชาวโลก

หยางเซิง   :  ขอน้อมคารวะทุก ๆ ท่าน กระผมกับท่านอาจารย์มายังที่นี้ ขอได้โปรดให้คำแนะนำด้วย

ข้าราชฯ   :  มิกล้า เชิญลุกขึ้นเถิด ตามข้าพเจ้าเข้าเมืองกันเถิด

หยางเซิง   :  ที่นี่เสมือนคุกที่กว้างใหญ่มาก ในเมือง  "ผีตายโหง"  มีคนมากเช่นนั้นหรือ ?.

ข้าราชฯ   :  ทุกวันมีผู้ตายโหงมายังที่นี้ ข้าพเจ้าจะพาท่านชมดู ตั้งแต่ห้องขังเป็นต้นไป

หยางเซิง   :  ห้องนี้มีเด็กเล็กเป็นกลุ่ม ๆ เลือดสด ๆ เต็มหน้าตา ส่งเสียงร่ำไห้ไม่ขาดระยะ บ้างก็นอนบนพื้นดิน  น่าทุเรศ น่าสงสารมาก ไฉนจึงไม่ปล่อยให้พวกมันออกไป             
หัวข้อ: เที่ยวเมืองนรก ครั้งที่ 8 ตอน ท่องเมืองผีตายโหง
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 30/01/2012, 03:05
                              เที่ยวเมืองนรก

             ครั้งที่ 8  วันเสาร์ที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2519

                       ตอน  ท่องเมืองผีตายโหง

        ท่านอรหันต์จี้กงเสด็จตรัสเป็นกลอน มีความว่า  :

        แปดสองแปด       สิบห้าค่ำ        เดือนทรงกลด
ในนรก                       ใครสงสาร       วิญญาณทุกข์
แม้จะฆ่า                     ตัวตาย           ใช่พ้นทุกข์
กลับถูกรุก                   ให้รับกรรม       ในเมืองผี   

นายทหาร   :   เด็กเหล่านี้ล้วนเป็นเด็กที่ถูกทำแท้งออกของเมืองมนุษย์ เพราะเหตุว่าเป็นตัวเป็นตนแล้ววิญญาณมิได้ดับสูญ เมื่อตายแล้วต่างก็ตกมาถึงที่นี่ เนื่องจากชาวโลกไม่อยากชุบเลี้ยง หรือเกิดขึ้นมาโดยไม่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม ส่วนมากทารกยังไม่ทันได้คลอดออกมาก็โดนรีดออกถึงแก่ความตาย ทารกคน ๆ หนึ่งก็คือชีวิตหนึ่ง เด็กที่ถูกทอดทิ้งเหล่านี้ เพราะเหตุว่าไม่สามารถเกิดออกมา จึงเกิดมีจิตใจที่เคืองแค้น ทำให้พ่อแม่ต้องสูญเสียเงินทองในทางลับแล้ว ยังรอคอยจนพ่อแม่ตายลงแล้วก็จะมีการรังควานอีกระยะหนึ่ง ดังนั้นจึงขอเตือนชาวโลกอย่าได้ทำแท้งตามใจมากนัก การกระทำแบบนี้ไม่เพียงแต่ผิดศีลยังจะทำให้ตัณหาแห่งคาวโลกีย์โหมแรงขึ้นเรื่อย ๆ ...ผู้ที่เคยทำแท้งกลับมาแล้ว จะต้องสร้างบุญสร้างกุศลให้มากขึ้น เพื่อชดเชยความผิด แล้วกฏแห่งยมโลกก็จะลดผ่อนโทษนี้ให้

หยางเซิง   :  ความจริงเป็นอย่างนี้เอง ขอเรียนถามท่านนายทหารว่า ผู้ที่ตายจากอุบัติเหตุล้วนแต่จะต้องมายัง  "เมืองตายโหง"  หรือไฉน ?.

นายทหาร   :  หาเป็นเช่นนั้นไม่ ถ้าทหารสามเหล่าทัพที่ตายลงในสนามรบ เพื่อป้องกันประเทศชาติ พลีกายเพื่อชีพที่เรียกว่า  "พลีตนเอง (ส่วนเล็ก)  เพื่อส่วนรวม (ส่วนใหญ่) แต่ไม่ต้องมายัง  "เมืองผีตายโหง"  เพื่อรับโทษทัณฑ์วิญญาณ ผู้กล้าหาญวีรบุรุษเหล่านี้ ได้รับการต้อนรับขับสู้เป็นพิเศษบ้างก็ขึ้นไปเสพสุขบนสวรรค์ บ้างก็ตามบุญของตนกลับเข้าเป็นเจ้า หรือกลับไปเกิดเป็นมนุษย์ที่มีโชคลาภวาสนา ดังเช่นแดนมนุษย์ตั้ง  "ศาลเจ้าวีรบุรุษผู้ซื่อตรง"  รับการกราบไหว้จากประชาชนนับหมื่นนับแสน นี่แหละคือสนองกรรมดีของผู้มีจิตซื่อตรงอารี ดังนั้นจึงขอเตือนชาวประชาต้องซื่อสัตย์หวงแหนรักประเทศชาติ นับแต่โบราณกาลมา ผู้ที่จงรักภักดีต่อประเทศชาติ ล้วนถูกขนานนามในทางดี หอมหวนนับหมื่นนับแสนปีได้รับการเคารพกราบไหว้ตลอดกาล

หยางเซิง   :  ท่านนายทหารพูดถูกแล้ว ! 

อรหันต์จี้กง   :  ฟ้าดินท่านรักผู้ซื่อสัตย์ นับแต่โบราณกาลมาจนทุกวันนี้ ผู้กล้าหาญซื่อสัตย์ที่มีจิตใจกล้าพลีชีพเพื่อประเทศชาติสามารถทำให้ฟ้าดินสั่นสะเทือน ผีและเจ้าสะอื้นไห้ ฉะนั้นเพียงแต่มีความซื่อตรงเท่านั้น ก็ได้สำเร็จบรรลุธรรมไปมากต่อมากแล้ว !  วันนี้หมดเวลาลงแล้ว เจ้าหยางเซิงเตรียมตัวกลับสำนักเถอะ ขอลาท่านผู้ปกครองเมืองกับนายทหารทั้งหลาย

หยางเซิง   :  ขอขอบคุณท่านผู้ครองเมือง และนายทหารที่ได้ให้การชี้แจง เพราะเหตุเวลาหมดลง ขอลาก่อนละ

ข้าราชฯ   :  มีสิ่งใดขาดตกบกพร่อง ขอท่านอาจารย์ และท่านหยางเซิงได้โปรดอภัยด้วย

อรหันต์จี้กง   :  ไม่ต้องเกรงใจ !  เราศิษย์ - อาจารย์จะกลับสำนัก เจ้าหยางเซิงขึ้นดอกบัวเร็ว

หยางเซิง    :  กระผมนั้งเรียบร้อย ท่านอาจารย์

อรหันต์จี้กง   :  น่าสมเพชชาวโลกที่โง่เง่า เอาแต่เริงโลกีย์  แต่รีดทิ้งเลือดเนื้อเชื้อไขตนเองโดยไม่เหลียวมอง น่าสังเวชใจเป็นหนักหนา แม้พระพุทธเทวดาก็ไม่อาจจะทนดูได้ เตือนชาวโลกจงกลับใจสู่ความเมตตาธรรม การครองสุขในครัวเรือน เรื่องผัวเมียควรเป็นการสืบพันธุ์ต่อตระกูล สร้างความอบอุ่นในครอบครัว มีความสุขทางใจแสนประเสริฐเลิศล้ำกว่าความใคร่ ถนอมรักพลังกายที่มีกำจัดยกให้แก่สังคมและประเทศชาติ จงทำคุณประโยชน์ให้แก่มวลมนุษย์เถิด... !  ถึงสำนักเซี้ยเฮี้ยงตึ้งแล้ว  หยางเซิงลงจากดอกบัว  วิญญาณกลับเข้าสู่ร่างเดิม
หัวข้อ: เที่ยวเมืองนรก ครั้งที่ 9 ตอน เที่ยวเมืองผีตายโหง ครั้งที่ 2
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 30/01/2012, 03:48
                              เที่ยวเมืองนรก

           ครั้งที่ 9  วันอังคารที่  12 ตุลาคม  พ.ศ.  2519

                    ตอน  เที่ยวเมืองผีตายโหง  ครั้งที่ 2

          ท่านอรหันต์จี้กงเสด็จตรัสเป็นกลอนว่า  :

        แพร่สัจธรรม        นำกอบกู้        ปุถุชน
กฏสังคม                    รณรงค์          เปลี่ยนคนเรา
ทุกศาสน์รวม               เป็นหนึ่งเฝ้า    อริยเจ้า
ทุกผู้เข้า                    ฝึกฝนธรรม      ท่องนโม

อรหันต์จี้กง   :  จิตใจคนชาวโลกมุ่งสู่วิทยาศาสตร์  การพิสูจน์สิ่งที่ไม่มีตัวตน เห็นความศรัทธาทางจิตใจเป็นเรื่องเหลวไหล ไม่รู้ถึงวัตถุมีวันเสื่อม แต่วิญญาณนั้นสถิตย์ผุดผ่องอยู่ตลอดกาล จะขึ้นสวรรค์หรือลงนรกล้วนอยู่ในความนึกคิดชั่ววูบเดียวของคนเท่านั้น สวรรค์ก็ไม่ไกลกลับใจก็พบ นรกอยู่ใกล้ ปฏิบัติธรรมจะห่างเหิน ใน  "เมืองผีตายโหง"  น่าอนาถใจยิ่งนัก  หางเซิงวันนี้เราศิษย์ - อาจารย์ เตรียมท่องนรก ทำใจให้มั่นคง รีบขึ้นบนดอกบัวเร็ว

หยางเซิง   :  กระผมเตรียมการเรียบร้อยแล้ว ท่านอาจารย์เริ่มเดินทางได้แล้วครับ

อรหันต์จี้กง   :  ถึงแล้วละ

หยางเซิง   :  ที่นี้วันก่อนดูเหมือนเคยได้มาแล้ว ไฉนจึงไม่ลงที่นอก  "เมืองผีตายโหง"  เลยก้าวเดียวตรงมาถึงที่นี้

อรหันต์จี้กง   :  พระพุทธท่านตรัสว่า  "สี่สิ่งต้องปล่อยวาง"  (สี่สิ่งนั้นคือ  ชาติ (เกิดขึ้น)  สถิติ (ตั้งอยู่)  อนฺยถาตฺว (เปลี่ยนแปลง)  อนิตฺยตา (ตายดับ) เป็น 4 สิ่งที่ว่างเปล่าหรือเรียกว่าจิตว่าง)  เมื่อรูปร่างว่างเปล่าไม่เที่ยงแท้ ไม่เป็นตัวตนจึงเป็นเหตุให้ประตูนรกเปิดออก เข้าออกตามใจชอบ โดยไม่มีอะไรจะกีดขวาง คราวที่แล้วพาเจ้ามาเป็นครั้งแรก ที่ให้เจ้าลงจากดอกบัวที่นอกเมือง พากันเดินทีละก้าว วันนี้เพราะเหตุเวลาจำกัด จึงตรงเข้ามายังแดนนรก หวังชาวโลกจงสำนึกรู้ตัว การบำเพ็ญธรรม ถ้าสามารถละทิ้งรูปนาม จึงเป็นการธรรมดาไม่ถูกกักกันผูกมัดในนรก ดังที่ข้าฯ สามารถเข้า ๆ ออก ๆ สะดวกสบาย

หยางเซิง   :  ท่านอาจารย์สั่งสอน  "พระอภิธรรมขั้นสูง"  กระผมขอน้อมรับคำสั่งสอน ข้างหน้า ผู้รักษาเมืองและนายทหารมากันแล้ว

อรหันต์จี้กง   :  รีบเข้าไปทำความเคารพ.....

หยางเซิง   :  คำนับมายังท่านผู้รักษาเมืองและนายทหาร วันก่อนนั้นได้รับความแนะนำชี้แจงจากท่านรู้สึกขอบคุณเป็นที่ยิ่ง วันนี้มารบกวนอีก ขอได้โปรดให้การชี้แจงโดยละเอียดด้วย

ผู้รักษาเมือง   :  ไม่เป็นไรมิได้ เชิญท่านอาจารย์และหยางเซิงตามข้าพเจ้าเข้าไปข้างในตรวจเยี่ยม  "เมืองผีตายโหง" อีกครั้งเก็บเอาเหตุการลงในหนังสือธรรม เพื่อตักเตือนและชี้แนะอบรมชาวโลก

หยางเซิง   :  ขอบพระคุณมากท่านอาจารย์ครับเราตามพวกเขาไปเถิด

อรหันต์จี้กง   :  เจ้าไปกับผู้รักษาเมืองและนายทหารก็แล้วกัน อาตมายังมีธุระทางอื่นจะจากไปชั่วคราว

หยางเซิง   :  ท่านจะไปแห่งใด ?. แล้วประเดี๋ยวใครจะพากระผมกลับไปเล่า ?.

อรหันต์จี้กง   :  ไม่ต้องตื่นเต้นประสาทเครียด พอได้เวลาข้าฯก็จะกลับมาพาเจ้ากลับไปเอง

นายทหาร   :  หยางเซิง ท่านสบายใจตามข้าพเจ้าไปเถิด

หยางเซิง   :  สองห้องติดกันนี้ล้วนแต่ขังพวกหนุ่ม ๆ สาว ๆ บางคนผมเผ้ารุงรังยุ่งเหยิง ท่าทางอ่อนเปลี้ยเพลียแรง เฝ้ามองมาทางข้าพเจ้า ขอเรียนถามท่านผู้รักษาเมืองว่า  พวกนี้โดนขังเพราะเหตุใด ?.       
หัวข้อ: เที่ยวเมืองนรก ครั้งที่ 9 ตอน เที่ยวเมืองผีตายโหง ครั้งที่ 2
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 8/02/2012, 04:01
                             เที่ยวเมืองนรก

           ครั้งที่ 9  วันอังคารที่  12 ตุลาคม  พ.ศ.  2519

                    ตอน  เที่ยวเมืองผีตายโหง  ครั้งที่ 2

          ท่านอรหันต์จี้กงเสด็จตรัสเป็นกลอนว่า  :

        แพร่สัจธรรม        นำกอบกู้        ปุถุชน
กฏสังคม                    รณรงค์          เปลี่ยนคนเรา
ทุกศาสน์รวม               เป็นหนึ่งเฝ้า    อริยเจ้า
ทุกผู้เข้า                    ฝึกฝนธรรม      ท่องนโม

ผู้รักษาเมือง   :  พวกนี้ล้วนมีความไม่สมหวังในเรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ ตอนที่อยู่ในแดนมนุษย์ เลยฆ่าตัวตายด้วยการกลืนยาพิษ เมื่อตายแล้วล้วนถูกจองจำที่นี่ขอชาวโลกอย่าได้หลงในความรัก จนปิดบังสติปัญญาถึงกับฆ่าตัวตายเลย การกระทำเช่นนี้ไม่สามารถจะช่วยอะไรได้ ไม่เพียงแต่ไม่สามารถเป็นคู่กัน (เป็นสามี - ภรรยากัน)  ยิ่งไม่อาจมีกิ่งเกี่ยวกัน (เป็นสามีภรรยากัน) 

หยางเซิง   :  ในคุกนี้ทำไมจึงมีแต่ผู้มีอาการขาขาด มือขาดหรือหัวสมองแตก มีเลืดเปื้อนไปทั้งตัว ?. ส่งเสียงคร่ำำครวญ โหยหวน ดูแล้วรู้สึกน่าสังเวชยิ่งนัก

ผู้รักษาเมือง   :  เหล่านี้ล้วนเกิดอุบัติเหตุทางรถถึงแก่ความตายในแดนมนุษย์  หากเป็นผู้ที่ยังไม่ครบอายุขัยของตนเอง ก็ตกเป็นประเภทตายโหง วิญญาณตกมายังแดนนรกแล้ว ก็ถูกจำขังไว้ที่นี่รอจนครบอายุขัยของผู้นั้น  แล้วจึงส่งไปให้ท่านยมบาลชำระความดีหรือความชั่ว เพื่อเป็นการแสดงให้รู้กันแจ่มแจ้งว่า ไม่ว่าแดนมนุษย์หรือแดนนรกไม่มีการลำเอียงทั้งสิ้น

หยางเซิง   :  เหตุผลนี้ใช้ไม่ได้ ?. โชคร้ายตายลงด้วยอุบัติเหตุทางรถก็น่าอนาจใจอยู่แล้ว ข้าพเจ้าคิดว่าจะไร้ความเมตตาธรรมไปแล้ว

ผู้รักษาเมือง   :  ท่านทราบเพียงผิวเผิน ไม่ทราบถึงแก่นแท้มิใช่ว่าผู้ตายโดยอุบัติเหตุ ทางรถยนต์จะมาที่นี่กันทั้งหมด บางคนมีอายุขัยครบเต็มแล้ว เพราะเหตุที่มีกรรมชั่วรอบตัว โดยอาศัยการตายจากอุบัติเหตุรถ เพื่อชำระล้างเวร ดังน้นชาวโลกมีอยู่ไม่น้อยที่เที่ยวโทษฟ้าโทษดิน หาว่าทำไมเมื่อตอนที่มีชีวิตอยู่นั้น ได้สร้างบุญกุศลกลับต้องมาตายลงใต้ล้อรถ ?. หาว่าสวรรค์ท่านอยุติธรรม !  ขอถามว่า  "หยวนหุย"  ปราชญ์ผู้ทรงคุณธรรม ไฉนจึงอายุสั้นพระพุทธเจ้าท่านมุ่งแต่บำเพ็ญธรรม ไฉนมารจึงมาผจญไม่หยุดยั้ง ?.  มิใช่สวรรค์ท่านตาบอด แต่เป็นเรื่องของกรรมที่สวรรค์กำหนดไว้ เพื่อที่จะฝึกฝนอบรมจิตใจคน เรื่องอะไรกับเนื้อหนังมังสาธรรมดา แม้ตัวตนรูปร่างสลายไป แต่วิญญาณนั้นไซร์ไม่มีวันดับ

หยางเซิง   :  เมื่อมีเหตุแห่งกรรมของสามชาติกำหนดอยู่แล้ว ไฉนจึงมีการตายโหงอีก จะไม่เป็นการขัดกันเองหรือ?.  ถ้าเช่นนั้นชาวโลกก็ไม่ต้องเชื่อในเรื่องกฏแห่งกรรมแล้วล่ะ  ขอท่านผู้รักษาเมืองช่วยชี้แจงอธิบาย เพื่อคลายความงมงายด้วย
หัวข้อ: เที่ยวเมืองนรก ครั้งที่ 9 ตอน เที่ยวเมืองผีตายโหง ครั้งที่ 2
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 8/02/2012, 15:44
                             เที่ยวเมืองนรก

           ครั้งที่ 9  วันอังคารที่  12 ตุลาคม  พ.ศ.  2519

                    ตอน  เที่ยวเมืองผีตายโหง  ครั้งที่ 2

          ท่านอรหันต์จี้กงเสด็จตรัสเป็นกลอนว่า  :

        แพร่สัจธรรม        นำกอบกู้        ปุถุชน
กฏสังคม                    รณรงค์          เปลี่ยนคนเรา
ทุกศาสน์รวม               เป็นหนึ่งเฝ้า    อริยเจ้า
ทุกผู้เข้า                    ฝึกฝนธรรม      ท่องนโม

ผู้รักษาเมือง   :  เหตุแห่งกรรมของสามชาตินับเป็นระยะอันสั้นเท่านั้นเองของมนุษย์ เนื่องจากดึกดำบรรพกาลมาแล้ว ได้ผจญภัยนานาชนิด ไม่ทราบว่าจะผ่านพ้นมากี่ชาติ เหตุแห่งกรรมที่สะสมไว้ยากที่จะคณานับ ดังนั้นทางพุทธจึงกล่าวไว้ว่า  "ผลกรรมใน  3  ชาติ"  หากจะพูดถึงความสัมพันธ์ของมนุษย์ในปางก่อนหรือปางหลังแล้ว ก็จะเป็นชาติก่อน ชาตินี้และชาติหน้า หากแต่ชาติก่อนนั้นน่ะไม่เพียงแต่หมายถึงการเกิดในชาติก่อน หากแต่เป็นการสะสมกรรมของดวงวิญญาณจากการกระทำตัวตนของชีวิตทั้งหลาย ดังนั้นชาวโลกจึงสำคัญผิดคิดว่าทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตนี้ ล้วนเป็นผลที่มูลเหตุในปางก่อนสร้างไว้อันเป็นคำกล่าวที่ไม่คมคาย กลมกลืนนัก ชาติก่อนนั้นกำหนดได้เพียงเจ็ดส่วนและชาตินี้กำหนดได้สามส่วนที่เรียกว่า  "กรรมลิขิต"  ไม่สามารถเปลี่ยนแปลง แต่ชะตากรรมคลี่คลายได้

หยางเซิง   :  ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง ชาวโลกทั่วไปมีเรื่องอะไรล้วนกล่าวถึงกรรมของชาติก่อน  ผิดถูกแยู่ที่สวรรค์ท่านกำหนดไว้ ความคิดที่บั่นทอนทั้งหลายเหล่านี้ ไม่ถูกต้องเป็นที่ยิ่ง เรือนขังตรงหน้าห้องนี้ ส่งเสียงน่าเวทนาไม่ขาดสาย เป็นที่คุมขังนักโทษอะไรบ้าง ?.

ผู้รักษาเมือง   :  เหล่านี้ล้วนแต่เป็นวิญญาณโทษที่ถูกลอบฆ่าหรือฆ่าซึ่งกันและกันถึงแก่ความตาย

หยางเซิง   :  นี่ก็เป็นสิ่งที่ไม่อาจนึกคิดได้ ฆ่าเขาหรือถูกเขาฆ่า จะเป็นกรรมสนองตอบ หรือสมควรตายที่ชะตาถึงฆาตแล้ว ไฉนเมื่อตายแล้วจึงตกเข้าไปอยู่ใน  "เมืองผีตายโหง"  อีกเล่า ?.

ผู้รักษาเมือง   :  เหตุผลตรงกันแน่นอน !  บ้างก็ฆ่ากันโดยกรรมสนองกรรม แต่ก็มีพวกคนที่ชาตินี้ไม่ทำบุญสร้างกุศล เกิดการพิพาท  กระทำการชั่วร้ายอย่างมหันต์ นั่นแหละคือที่มาปห่งการตายโหง ขอให้ชาวโลกจงเข้าใจเหตุอันนี้ จะอ้างว่าฉันฆ่าเขาเพราะชาติก่อนเขาเป็นหนี้ฆ่าฉันไม่ได้ สุภาษิตกล่าวไว้ว่า  "ควรระงับเวรด้วยการไม่จองเวร"  แม้จะมีการเป็นหนี้สินกัน ถ้าสามารถไม่ทวงคืน ก็จะเป็นบุญกุศลอันมหาศาล หากมนุษย์ไม่มีการเห็นแก่ตัวเอง ต่างอยู่กันโดยสันติต่อกันเปรียบเสมือนฟ้าปกคลุมและธรณีแบกรับ อย่างไม่มีที่รักมักที่ชังฉันนั้น แล้วนรกจะว่างเปล่า  ผมจะไม่เกิด  เหตุก็ไม่มีเลย  เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว มนุษย์ควรที่จะรู้ว่าการเกิดเป็นคนนั้นยากยิ่งนัก ควรรักษาด้วยปลูกนิสัยปฏิบัติตนให้ดี หากผู้ที่มั่วผู้หญิง ก็อ้างว่าชาติก่อนเป็นหนึ้ผู้หญิง มั่วแต่เรื่องโลกีย์นั่นมิใช่เกิดจากเหตุแห่งชาติก่อน ที่เรียกว่าเป็นเหตุแห่งชาติก่อน แต่เป็นการบังเอิญไปตรงกันเข้า ถ้าเป็นผู้ตั้งใจกระทำความไม่ดีงาม ชาตินี้ก่อกรรมใหม่ขึ้นอีก ก็จะสร้างผลร้ายในชาติหน้า

นายทหาร   :  ท่านผู้รักษาเมืองพูดสมเหตุสมผลตรงตามหลักธรรมทุกอย่าง ชาวโลกควรจะเข้าใจรู้สำนึกตัว หากไม่เชื่อในเหตุผลนี้ มนุษย์ก็ไม่ต้องบำเพ็ญธรรม ก็จะบ่ายเบื่องไปว่าผู้ที่มีธาตุพื้นแห่งพุทธเทวดาจึงสามารถบรรลุธรรม หรือพูดในทำนองว่า หากฉันมีเงินสักสิบล้านแล้วก็ไม่ต้องทำงานอีก นับเป็นความคิดที่ผิด

อรหันต์จี้กง   :  ฉันกลับมาแล้ว ที่ท่านผู้รักษาเมืองและนายทหารกล่าวไว้เมื่อกี้นี้ เป็นหลักธรรมที่ถูกต้อง สามารถทำลายความลุ่มหลงของชาวโลกย้อนไปถึงวิญญาณดั้งเดิมบุพกาลที่สถิตอยู่เบื้องสวรรค์ทุก ๆ คน ล้วนเป็นพระพุทธ  เทวดา  เพราะเหตุที่ตกลงปางหลัง (คือเมืองมนุษย์)  ถูกปกคลุมห่อหุ้มด้วยธุลีไอดินทำให้วิญญาณเดิมหลงผิด ด้วยเหตุนี้จึงไม่สามารถกลับคืนถิ่นเดิม  วันนี้สวรรค์ท่านได้ประทานธรรมอันยิ่งใหญ่นี้ สั่งสอนให้ทุกคนบำเพ็ญธรรมซึ่งเป็นการเวลาที่  "สรุปเหตุแห่งกรรม"  เพื่อกลับคืนสู่จิตเดิมที่แท้จริง มวลมนุษย์อย่าได้หลงงมงายอีกเลย ผู้ที่ยอมบำเพ็ญธรรมมีส่วนจะเป็นอรหันต์  เทวดาได้  ผู้ไม่ยอมบำเพ็ญธรรมนั้น จะต้องตกลงไปสู่หนทางเวียนว่ายตายเกิดอีก จะเป็นผีหรือเทวดาก็คนนั่นแหละเป็นผู้ทำเอง มิใช่สวรรค์ท่านกำหนดไว้เมื่อดูสภาพใน  "เมืองผีตายโหง"  แล้วก็พอพิสูจน์ได้ เวลาหมดลงแล้ว เจ้าหยางเซิงเตรียมกลับสำนัก  ขอขอบคุณผู้รักษาเมืองและนายทหารที่ช่วยเหลือในการแต่งหนังสือ และช่วยในการคลี่คลายความหลงงมงายที่ได้ให้ความจริงใน  "เมืองผีตายโหง" 

หยางเซิง   :  หลักธรรมและเหตุผลลึกซึ้งดั่งทะเล ถ้าไม่ผ่านการชี้แจงจากท่านทั้งสอง ชาวโลกล้วนไม่เข้าใจกระจ่างแจ้ง ขอท่านอาจารย์ได้โปรดสั่งสอนในเรื่องกฏแห่งกรรมอันเป็นหลักความจริง เพื่อกล่อมเกลาชาวโลกให้บำเพ็ญธรรมเป็นที่พึ้้่งในการกระทำ จดจำเป็นเข็มทิศ จึงจะแก้ความงมงายจนถึงที่สุด  (คือจนกระทั่งตายยังไม่รู้ความจริงเลย)

อรหันต์จี้กง   :  นั่คือหน้าที่ของข้าฯ เอง วันอื่นจะประกาศหลักธรรมแห่งความจริงให้มากขึ้น สำนักเซี้ยเฮี้ยงตึ้ง รับเอาภาระจากสวรรค์ กอบกู้ชักจูงผู้ล่มหลงทั้งหลาย ทำให้มวลมนุษย์กลับเข้าทางธรรมที่ถูกต้องโดยพร้อมเพียงกัน และถึงขั้นบรรลุด้วย รีบเตรียมกลับสำนักเร็ว

หยางเซิง   :  กระผมนั่งลงเรียบร้อยแล้ว เชิญท่านอาจารย์เริ่มเดินทางได้

อรหันต์จี้กง   :  สำนักเซี้ยเฮี้ยงตึ้ง ถึงแล้ว   หยางเซิงลงจากดอกบัว วิญญาณกลับเข้าร่างดังเดิม
หัวข้อ: เที่ยวเมืองนรก ครั้งที่ 10 ตอน สนทนากับเจ้ายมบาล ขุมที่ 2 "ฉอกังอ๊วง"และเยี่ยมชมโรงแสดงธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 17/02/2012, 04:07
                                     เที่ยวเมืองนรก

                   ครั้งที่ 10 วันอังคารที่ 19 ตุลาคม พ.ศ 2519

                                         ขุมที่ 2

                    ตอน สนทนากับเจ้ายมบาล ขุมที่ 2 "ฉอกังอ๊วง"

                                และเยี่ยมชมโรงแสดงธรรม 

ท่านอรหันต์จี้กงเสด็จและตรัสเป็นกลอน มีความว่า  : 

        ทั้งสามโลก             ช่วยกอบกู้             เทพผีคน
เครื่องกล                        ในนรก                  ทันสมัย
แม้มนุษย์                        คิดสร้างสม            ห้องลับใน
หาพ้นไม่                        ทิพยเนตร              ราตรีกาล

อรหันต์จี้กง   :  ท่องนรกแต่งหนังสือ สูญสิ้นพลังใจทั้งเทพเจ้าและมนุษย์มากมาย เพื่อที่จะชักจูงกอบกู้ชาวโลกผู้หลงใหล ไม่คำนึงราคาค่างวดที่เรียกว่า "สร้างบุญสุดปลื้มจิต"  ศิษย์ทั้งหลายช่วยงานจนดึกดื่นเที่ยงคืน  ข้า ฯ มีความประทับใจเป็นที่ยิ่ง  การกอบกู้ชักจูงทั้วทั้ง 3 แดน  เบื้องบนกอบกู้ดวงวิญญาณ  เทพ   เบื้องล่างชักนำช่วยเหลือมวลมนุษย์ (โปรดสัตว์)   เบื้องล่างนำส่งวิญญาณผีในแดนนรก  สวรรค์และมนุษย์ต่างก็วุ่นวายในกาลนี้พร้อมกันประตูศักดิ์สิทธิ์เปิดกว้างขยายออก ธรรมะที่เที่ยงแท้จุติลงทุกแห่งหน  ผู้มีบุญได้พบธรรมะและบำเพ็ญธรรม ผู้ไม่มีบุญแม้พบพระพุทธยังหลักเลี่ยงหลบตน ทำให้ตนเองถอยห่างจากทางสวรรค์ พิจารณาดูรอบแดนมนุษย์ สำนักธรรมตั้งสอนอยู่ทั่วไป กลิ่นไอแห่งธรรมฟุ้งเต็มทุก ๆ บ้าน ในขณะที่วัฒนธรรมเฟื่องฟู ธรรมะโบราณปรากฏอีกครั้ง  ทัศนียภาพเต็มไปด้วยสิริมงคลยิ่ง วิญญาณผีในแดนนรกกำลังรอคอยความช่วยเหลืออยู่ในเวลานี้ วันนี้จะพาหยางเซิงท่องนรกเยี่ยมชมอีกรอบ เอารายละเอียดมาเปิดเผยในแดนมนุษย์ เจ้าหยางเซิงเตรียมตัวท่องนรกได้แล้ว

หยางเซิง   :  กระผม เตรียมเสร็จแล้วครับ

อรหันต์จี้กง   :  วันนี้เป็นการท่องเที่ยวระยะที่ 2  ต้องตั้งใจให้ดีนะ

หยางเซิง   :  ขอรับคำบัญชา  หากมีมารยาทไม่ดีหรือบกพร่องประการใด เชิญท่านอาจารย์ติเตียนว่ากล่าวเถิด

อรหันต์จี้กง   :  ไม่มีอะไรน่ะ รีบขึ้นนั่งบนดอกบัวเร็ว จะได้เริ่มเดินทางไปแดนนรกแล้ว.......  เอ้า ถึงแล้วละ ลงจากดอกบัวเร็ว

หยางเซิง   :  ข้างหน้านั้นเป็นสถานที่ใด ?. เห็นแต่ฝูงชนแออัดชุลมุน หัวควาย หน้าม้า  (เป็นทูตผีทั้ง 2 ตน)  ต่างทำการควบคุมวิญญาณผีมุ่งไปข้างหน้า

อรหันต์จี้กง   :  นี่แหละ คือ นรกขุมที่ 2  เรารีบเดินกันเถิด เข้าไปคำนับเยี่ยม  "ฉอกังอ๊วง" (เจ้ายมบาลขุมที่ 2)

หยางเซิง   :  ข้างหน้ามีคนหมู่หนึ่่งเดินมา ตรงกลางฝูงนั้นมีบุรุษร่างกายล่ำสันใหญ่แข็งแรง  นุ่งห่มเสื้อคลุมแบบโบราณเหมือนดังเสื้อคลุมในศาลเจ้าของเมืองมนุษย์ และยังส่องแสงแวววาว ท่าทีสง่างามน่าเกรงขาม ข้าง ๆ ล้วนเป็นนายทหารคล้ายให้การอารักขา

อรหันต์จี้กง   :  ท่านนี้แหละคือ  "ฉอกังอ๊วง"  เจ้ายมบาลขุมที่ 2  รีบเข้าไปแสดงคารวะเร็ว

หยางเซิง   :  ขอแสดงความคารวะท่านฉอกังอ๊วงและยมทูตทุกท่าน
หัวข้อ: เที่ยวเมืองนรก ครั้งที่ 10 ตอน สนทนากับเจ้ายมบาล ขุมที่ 2 "ฉอกังอ๊วง"และเยี่ยมชม
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 27/02/2012, 07:50
                                      เที่ยวเมืองนรก

                   ครั้งที่ 10 วันอังคารที่ 19 ตุลาคม พ.ศ 2519

                                         ขุมที่ 2

                    ตอน สนทนากับเจ้ายมบาล ขุมที่ 2 "ฉอกังอ๊วง"

                                และเยี่ยมชมโรงแสดงธรรม 

ท่านอรหันต์จี้กงเสด็จและตรัสเป็นกลอน มีความว่า  : 

        ทั้งสามโลก             ช่วยกอบกู้             เทพผีคน
เครื่องกล                        ในนรก                  ทันสมัย
แม้มนุษย์                        คิดสร้างสม            ห้องลับใน
หาพ้นไม่                        ทิพยเนตร              ราตรีกาล

ฉอกังอ๊วง   :  อย่าต้องมีพิธีรีตองเลย ลุกขึ้นมาเร็ว ขอต้อนรับท่านอาจารย์ และหางเซิงแห่งสำนักเซี้้ยเฮี้ยงตึ้ง ที่ได้มายังสถานที่นี้ ข้าพเจ้าได้รับพระบรมราชโองการ ทราบว่าสำนักของท่านจะแต่งหนังสือ  "เที่ยวเมืองนรก"  จะมาเยี่ยมชมนรก  10  ขุม  เมื่อครู่นี้ก็ได้รับหนังสือจากท่านอาจารย์อีก ทราบว่าจะมาเยี่ยมชมขุมนี้ในราตรีนี้ ฉะนั้นจึงได้มาทำการต้อนรับ เชิญท่านทั้งสองตามข้าพเจ้าไปในปราสาท เพื่อสังสรรค์กันเถิด

อรหันต์จี้กง   :  ขอขอบคุณท่านยมบาลที่ให้เกียรติมาก  หยางเซิงเราตามท่านยมบาลเข้าไปในปราสาทเถิด

ฉอกังอ๊วง   :  ท่านทั้งสองเชิญนั่งพักที่ห้องรับแขกสักครู่  นายพลยกน้ำชามาถวายท่านเร็ว

หยางเซิง   :  ขอบคุณมาก  เราศิษย์ - อาจารย์มารบกวนท่านในคืนนี้ โปรดอภัยให้ด้วย ขอท่านยมบาลโปรดให้การชี้แจง และอธิบายเหตุกรณ์ของขุมที่ 2  ให้ฟังโดยละเอียดด้วย 

ฉอกังอ๊วง   :  ท่านเกรงใจเสียแล้วล่ะ ขุมของข้าพเจ้านี้นับได้ว่า เป็นสถานที่ลงทัณฑ์โดยทางการแห่งนรกสิบขุม บรรดาวิญญาณผีที่ถูกส่งมาจากขุมที่ 1ความชั่วดีนั้นทราบดีแล้วโดยละเอียด แต่ยังมีวิญญาณผีบางส่วนที่มีนิสัยดื้อด้าน เพราะเป็นนิสัยเดิมมาจากแดนมนุษย์ แม้จะเห็นว่า ที่ยมโลกได้เปิดแผลของมันแล้ว แต่ยังไม่สำนึกตัว ดังนั้น เมื่อวิญญาณตกมาถึงขุมนี้ก็จะเปิด  "สมุดตรวจแห่งยมโลก"  หากหลักฐานความชั่วร้ายที่ตนทำไไว้ ประกาศให้รู้ทุก ๆ ข้อ ถ้าอยู่ในอำนาจของขุมนี้ก็จะตัดสินให้เข้าไปยัง 16 นรกน้อย หรือนรกย่อยที่สร้างขึ้นใหม่ แห่งอื่น ๆ เพื่อรับการลงโทษ เพราะเหตุว่าในแดนมนุษย์เกิดมีการวิวัฒนาการใหม่หลายแห่งขึ้นมาบ้าง  ที่เรียกว่า  "กาลเวลาแปรเปลี่ยน กฏเกณฑ์ก็เปลี่ยนด้วย"  กฏแห่งยมโลกก็แก้ไขเพิ่มเติมตามกาลเวลาเพื่อที่จะลงโทษพวกมิจฉาชีพทั้งหลาย

อรหันต์จี้กง   :  การเปลี่ยนแปลงของเหตุการณ์บนโลก ก็ก่อรูปบนฟ้าจะกลายเป็นภาพ เมื่อสรรพสิ่งในโลกมนุษย์เกิดการเปลี่ยนแปลง สวรรค์และนรกจะฉายเงาปรากฏรูปนั้นออกมาทันที ฉะนั้นแล้วทุกอริยบทของชาวโลก ต้นหญ้าต้นไม้ของแดนมนุษย์ทุกต้น ฟ้าเหมือนกระจกแผ่นใหญ่ ฉายออกมาทันที ยมโลกได้รับการฉายสะท้อนจากแผ่นฟ้าอีกชั้นหนึ่ง ก็กระจ่างชัดแจ้งเช่นเดียวกัน  อย่าถือว่าวิทยาศาสตร์เจริญแล้วจะสามารถทำลายลบล้างผีสางเทวดาชาวโลกจะใช้สิ่งที่มีรูปร่างเอาชนะอรูป หารู้ไม่ว่า อรูป (ไม่มีรูปร่าง)  บัญชาครอบคลุมสิ่งที่มีรูปร่าง พระพุทธเทวดาภูติผีเทพเจ้าท่านทรงพลังอันสำคัญอยู่ในทางลับ มนุษย์นั่นแหละเป็นผู้ถูกกระทำ

หยางเซิง   :  ความจริงเป็นเช่นนี้เอง ชาวโลกล้วนพูดว่าไม่มีใครเห็นนรก หารู้ไม่ว่าฉายเป็นภาพอย่างชัดเจนต่อหน้ากระผมอัศจรรย์มาก และก็น่าเกรงขามมาก คล้ายกับว่าตัวเรานี้ ได้มาอยู่โลกอีกโลกหนึ่ง

ฉอกังอ๊วง   :  ข้าพเจ้ามีงานราชการอยู่รอบกาย ไม่สามารภรับรองพูดคุยกับท่านนานนัก จะสั่งให้นายพลพาท่านหยางเซิงตรวจเยี่ยมแต่ละขุมก้แล้วกัน

นายพล   :  น้อมรับบัญชา

หยางเซิง   :  วิญญาณผีที่อยู่หน้าปราสาทพวกนั้น บ้างก็มีคื่อคาติดอยู่บนบ่า บนมือร้อยด้วยโซ่ตรวน เปรียบเทียบแล้วก็ยังน่าทุเรศกว่านักโทษในแดนมนุษย์  ยมบาลท่านกำลังขึ้นนั่งบัลลังก์พิจารณาคดี  ทุบโต๊ะตวาดเหมือนดั่งชาวนาตวาดวัวควายฉันนั้น

นายทหาร   :  เวลาจำกัดเชิญท่านหยางเซิงอย่าได้อยู่นานนักเลย รีบตามข้าพเจ้าออกไปจากปราสาทเถิด

อรหันต์จี้กง   :  ไปเถิดอย่าได้ดูอีกเลย

หยางเซิง   :  ที่นี่ฝูงชนชุมนุมแต่ก็เงียบเชียบปราศจากสุ้มเสียง มันทำอะไรกันนะ ?.
หัวข้อ: เที่ยวเมืองนรก ครั้งที่ 10 ตอน สนทนากับเจ้ายมบาล ขุมที่ 2 "ฉอกังอ๊วง"และเยี่ยมชม
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 14/03/2012, 15:22
                                      เที่ยวเมืองนรก

                   ครั้งที่ 10 วันอังคารที่ 19 ตุลาคม พ.ศ 2519

                                         ขุมที่ 2

                    ตอน สนทนากับเจ้ายมบาล ขุมที่ 2 "ฉอกังอ๊วง"

                                และเยี่ยมชมโรงแสดงธรรม 

ท่านอรหันต์จี้กงเสด็จและตรัสเป็นกลอน มีความว่า  : 

        ทั้งสามโลก             ช่วยกอบกู้             เทพผีคน
เครื่องกล                        ในนรก                  ทันสมัย
แม้มนุษย์                        คิดสร้างสม            ห้องลับใน
หาพ้นไม่                        ทิพยเนตร              ราตรีกาล

นายทหาร   :  ขณะนี้เป็นเวลาเทศกาลช่วยวิญญาณต่าง ๆ (กอบกู้ชัักจูงวิญญาณสามแดน)  พระกษิติครรภโพธิสัตว์  ท่านจัดตั้งโรงบรรยายธรรมตามแต่ละปราสาทบรรดาวิญญาณโทษนั้น หากยังมีพื้นฐานแห่งความดีอยู่บ้าง และเมื่อระหว่างรับการลงโทษได้แสดงความประพฤติดี ล้วนสามารถหมุนเวียนมาโรงบรรยายธรรมรับฟังพระพุทธเทวดาแสดงพระธรรม ดังนั้นจึงย่องเดินเบา ๆ อย่างระมัดระวัง ไม่กล้าส่งเสียง ท่านดูซิพวกเขากำลังเดินเข้าไปอย่างประติดประต่อ

หยางเซิง   :  ที่จริงเมืองนรกก็มีการช่วยวิญญาณผี โดยการจัดให้มีการแสดงธรรมบรรยายศีล ประหนึ่งว่ามีการตั้งสำนักทรงเจ้าบรรยายศาสตร์ในแดนมนุษย์ ผู้บำเพ็ญธรรมอยู่กับบ้านก็มีจำนวนมาก  ท่านพุทธเทวดาเมตตากรุณาเป็นที่ยิ่ง ไม่คำนึงถึงความลำบาก เสด็จลงสู่แดนมนุษย์  แดนนรก  ช่วยเหลือกอบกู้มวลชนและวิญญาณผี

อรหันต์จี้กง   :  เราตามพวกวิญญาณผีเหล่านี้เข้าไปเถิด

หยางเซิง   :  ขอรับ กระผม บนประตูใหญ่มีป้าย ๆ หนึ่่งเขียนว่า  "โรงบรรยายธรรมขุมที่หนึ่ง"  แต่ละวิญญาณผีเมื่อเข้าไปแล้วต้องไปยังห้องเล็กห้องหนึ่งซึ่งอยู่ข้าง ๆ นั้น เหมือนห้องรักษาการของโรงงานอย่างนั้น  เพื่อรายงานตัวก่อนแล้วจึงเข้าไปข้างใน

นายพล   :  นั่นเป็นที่อยู่ของนายทหารผู้คุมประตูผี มีหน้าที่ควบคุมวิญญาณผีที่เข้า ๆ ออก ๆ หากไม่ถือป้ายอนุญาตของนรกย่อยต่าง ๆ ให้มาร่วมประชุมแล้วห้ามเข้าทั้งนั้น ข้าพเจ้าจะเข้าไปแจ้งให้ทราบว่าท่านมาท่องเที่ยวเพื่อแต่งหนังสือ ท่านทั้งสองขอได้รอสักครู่ ... ข้าพเจ้าแจ้งและลงทะเบียนเรียบร้อยแล้ว เชิญตามข้าพเจ้าเข้าไปในห้องเรียน นั่งลงที่โต๊ะหน้า รอคอยท่านเทวดาเสด็จ

อรหันต์จี้กง   :  ขณะนี้พระมหาโพธิสัตว์แห่งทะเลใต้ (เจ้าแม่กวนอิม หรือ อวโลกิเตศวร) ได้เสด็จมาถึงแล้ว เจ้าหยางเซิงลงกราบรับเสด็จ
หัวข้อ: เที่ยวเมืองนรก ครั้งที่ 10 ตอน สนทนากับเจ้ายมบาล ขุมที่ 2 "ฉอกังอ๊วง"และเยี่ยมชม
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 3/04/2012, 10:16
                                     เที่ยวเมืองนรก

                   ครั้งที่ 10 วันอังคารที่ 19 ตุลาคม พ.ศ 2519

                                         ขุมที่ 2

                    ตอน สนทนากับเจ้ายมบาล ขุมที่ 2 "ฉอกังอ๊วง"

                                และเยี่ยมชมโรงแสดงธรรม 

ท่านอรหันต์จี้กงเสด็จและตรัสเป็นกลอน มีความว่า  : 

        ทั้งสามโลก             ช่วยกอบกู้             เทพผีคน
เครื่องกล                        ในนรก                  ทันสมัย
แม้มนุษย์                        คิดสร้างสม            ห้องลับใน
หาพ้นไม่                        ทิพยเนตร              ราตรีกาล

หยางเซิง   :  ขอรับกระผม... ท่านพระมหาโพธิสัตว์เจ้าแม่กวนอิม ได้เสด็จบนแท่น เตรียมบรรยายธรรมแล้ว ม้านั่งในห้องก็เหมือนตั่งม้านั่งของนักเรียนในโรงเรียนเมืองมนุษย์ มีคนประมาณสองพันคน ทุกคนล้วนมีรอยยิ้มปรากฏบนใบหน้า ท่านพระโพธิสัตว์เจ้าแม่กวนอิมทรงกายบนดอกบัวซึ่งลอยเดด่นอยู่ขาวผ่องทั่วทั้งกาย พรมน้ำมนต์จากกิ่งหลิวในแจกันใสสะอาด ขอเรียนถามท่านอาจารย์ การนี้มีความหมายประการใด ?.

อรหันต์จี้กง   :  ฝนธรรมกระจายน้ำทิพย์โปรยทั่ว ผู้มีบุญก็สามารถได้รับการกอบกู้ตลอดรอดฝั่ง แสดงว่าสวรรค์ท่านมีใจเมตตา กรุณา ไม่แบ่งแยกเป็นสัตว์หรือมนุษย์ ผู้ที่ยอมหันหลังกลับ ย่อมละบาปกลับตัวใหม่ ล้วนได้รับความเมตตาพาส่งสู่ที่ชอบทั้งนั้น  นั่นคือเจตนารมณ์อันยิ่งใหญ่ของท่านพระโพธิสัตว์เจ้าแม่กวนอิม อย่าได้ถามนักเลย ฟังท่านพระโพธิสัตว์ผู้ช่วยปลดความทุกข์ยาก แสดงธรรมเถิด

พระโพธิสัตว์   :  หยางเซิงแห่งสำนักเซี้ยเฮี้ยตึ้ง เมืองไถ่ตง กับท่านอาจารย์มาร่วมการสังสรรค์ในการประชุมครั้งนี้ ฉันเบิกบานใจมาก ขอให้หยางเซิงรับฟังธรรมจากฉัน แล้วนำกลับไปแดนมนุษย์ กล่อมชักจูงผู้คนเท่าที่กำลังความสามารถจะกระทำได้ สำนักของท่านเพื่อที่จะกล่อมเกลาชักจูงผู้คน ศิษย์ทั้งหลายทุ่มเทด้วยพลังใจและพลังกายพลีทุกสิ่งทุกอย่างเป็นนาวาธรรม เมตตารับผู้โดยสารสัตว์โลกทุกชนิดอย่างกว้างขวางทั่วพิภพ น้ำใจนั้นน่าสรรเสริญ ต่อไปจะต้องเข้าอยู่ในตำแหน่ง "ปราชญ์เมธี"  ขอให้ดำเนินไปจนสุดความสามารถ

อรหันต์จี้กง   :  หยางเซิงรีบกราบขอบพระคุณท่านพระโพธิสัตว์เจ้าแม่กวนอิมทีได้กรุณาตรัสสั่งสอน

หยางเซิง   :  กระผมขอกราบขอบพระคุณท่านพระโพธิสัตว์เจ้าแม่กวนอิมที่ให้คำสั่งสอนเตือน กระผมจะกลับไปบอกเล่าต่อให้ศิษย์ทั้งหลายที่ร่วมสำนักทราบ จงอย่าได้ทำให้ท่านผิดหวัง
หัวข้อ: เที่ยวเมืองนรก ครั้งที่ 10 ตอน สนทนากับเจ้ายมบาล ขุมที่ 2 "ฉอกังอ๊วง"และเยี่ยมชม
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 3/04/2012, 10:48
                                    เที่ยวเมืองนรก

                   ครั้งที่ 10 วันอังคารที่ 19 ตุลาคม พ.ศ 2519

                                         ขุมที่ 2

                    ตอน สนทนากับเจ้ายมบาล ขุมที่ 2 "ฉอกังอ๊วง"

                                และเยี่ยมชมโรงแสดงธรรม 

ท่านอรหันต์จี้กงเสด็จและตรัสเป็นกลอน มีความว่า  : 

        ทั้งสามโลก             ช่วยกอบกู้             เทพผีคน
เครื่องกล                        ในนรก                  ทันสมัย
แม้มนุษย์                        คิดสร้างสม            ห้องลับใน
หาพ้นไม่                        ทิพยเนตร              ราตรีกาล

พระโพธิสัตว์   :  บัดนี้จะเริ่มบรรยายธรรม  " มนุษย์จากบุพกาลมาจนถึงทุกวันนี้ ตาย ๆ เกิด ๆ แม้ว่ารูปร่างตายไปแต่ดวงวิญญาณนั้นไม่ดับสูญ  วิญญาณของพวกเธอทั้งหลายที่ได้มาที่นี้ ในวันนี้ ยังไม่ปลง ภาพหลอกของตัวตนซึ่งเป็นของปลอม จิตใจที่ปราดเปรื่องนั้นจึงเป็นของจริง ทุกรูปนามยากที่จะสลัดความรัก ความใคร่  ไม่ดับกิเลสโกรธหลง  ควรตระหนักภาพในโลกมนุษย์คือความฝัน เหตุผลก่อให้เกิดเป็นญาติโยมหมุนเวียนตอบสนองกัน หักลบกันไป ไม่ควรลุ่มหลงงมงาย ไม่คิดปลง หากว่ายังไม่เลิกความคิดนั้น จิตใจแห่งปุถุชนก็ไม่ดับสูญ เวียนว่ายตายเกิดไม่มีที่สิ้นสุด ปัจจุบันนี้โลกเจริญขึ้น แต่ในมนุษย์ไม่เจริญเหมือนคนโบราณ ฐานปัญญาแห่งดวงวิญญาณอ่อนตื้น ทารกเกิดมาเฉลียวฉลาด แม้ว่าพรสวรรค์จะประทานให้ตั้งแต่แรกเริ่ม แต่เมื่อเทียนไขต้องลมอยู่นานไม่ได้ ดังนั้น วิญญาณที่เจนจัดมาเกิด วิญญาณเดิมที่ดีนั้นสูญหายไป จึงใช้ความชาญฉลาดของตนทำการตัดสิน ไม่เจริญรอยตามรัศมีธรรม ก่อกรรมทำเข็ญ การกระทำที่ขัดต่อศีลธรรมปรากฏอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน เลยทำให้โลกมนุษย์ยุ่งเหยิง ศักดิ์ศรีแห่งตนก็ทลายลง พวกเธอก็จะตกลงในเหวลึก แม้เนื้อหนังมังสาจะสูญสิ้น กรรมเวรนั้นติดกาย ควรสังวร เงาตามตัวคน จงอย่าคิดว่าเมื่อไม่มีแสงเงาก็ไม่ปรากฏ ความนึกคิดแต่ละครั้งกลไกแห่งจิตใจก็จะเกิดการปฏิบัติก่อเวรกรรม ๆ ติดกายทันที  ขณะที่ตกลงในนรกยังมีความสำนึกในเรื่องผิดชอบหลงเหลืออยู่ รู้ตัวว่าผิดแล้วควรชำระสะสางบาป บัดนี้ ฉันขอให้พวกเธอสำนึกตัวรับการลงโทษให้มาก ๆ หน่อย จะได้หมดเวรหมดกรรม อดทนต่อความทรมาน อดกลั้นใจที่โกรธแค้น แล้วฉันจะมาช่วยเหลือกอบกู้ให้ตลอดรอดฝั่งเอง"  การบรรยายจบลง

พระอรหันต์จี้กง   :  รีบกราบส่งเสด็จเร็ว

หยางเซิง   :  ขอรับกระผม ขอบพระคุณท่านพระโพธิสัตว์เจ้าแม่กวนอิมที่ได้ตรัสวาจาสั่งสอน ... วิญญาณผีทั้งหลายล้วนก้มลงกราบส่งเสด็จ มีจำนวนมากที่ร่ำไห้ด้วยความสะเทือนใจ หลังได้รับคำสั่งสอนแล้ว

อรหันต์จี้กง   :  ท่านพระโพธิสัตว์เจ้าแม่กวนอิมอาวรณ์พวกวิญญาณผี ตรัสวาจาสั่งสอนปรอบเตือน เป็นการแผ่กุศลที่เที่ยงแท้ใหญ่หลวง หวังสัตว์โลกทั้งพิภพจะรู้สำนึก ถ้าผู้ที่ยังอยู่ในร่างมนุษย์ไม่รีบบำเพ็ญธรรม ตายแล้วจะตกนรกรับการทรมานแล้วถึงจะฝึกฝนอบรมใหม่ก็ค่อนข้างจะยากลำบากกว่ากันเวลาจำกัด เจ้าหยางเซิงเตรียมตัวกลับ

นายพล   :  มีสิ่งใดบกพร่อง ขอท่านอาจารย์กับท่านหยางเซิง โปรดให้อภัยด้วย

หยางเซิง   :  ที่ไหนได้ ข้าพเจ้าเป็นชาวปุถุชนไม่กล้าใช้คำให้อภัยนั่นเป็นการลำเลิกมากไปแล้วล่ะ ขอเรียนถามท่านอาจารย์อีกสักนิดหนึ่ง ว่านรกแต่ละขุมล้วนมีโรงแสดงธรรมประกอบอยู่ด้วย ในที่สุดวิญญาณจะหมดโทษ และสำเร็จธรรม

อรหันต์จี้กง   :  โรงแสดงธรรมของทุกขุมล้วนเป็นชั้นประถมทั้งนั้น เมื่อผ่านการทดสอบวิญญาณโทษที่มีความเข้าใจ สำนึกตัวตื้นลึกหนาบางขั้นไหนแล้วจะมีสำนักบำเพ็ญธรรมชั้นสูงอีกต่อหนึ่ง ให้พวกเขาฝึกฝนบำเพ็ญต่อไป ขณะนี้อย่าได้ถามเรื่องเหล่านี้อีกเลย เวลาดึกมากแล้วรีบขึ้นดอกบัวเร็ว เตรียมกลับสำนัก ขอขอบคุณท่านนายพลที่ให้การต้อนรับ  สำนักเซี้ยเฮี้ยตึ้งถึงแล้ว  หยางเซิงลงจากดอกบัว วิญญาณกลับเข้าร่างดังเดิม
หัวข้อ: เที่ยวเมืองนรก ครั้งที่ 11 ตอน ท่องนรกย่อยตมอุจจาระ - ปัสสาวะ
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 4/04/2012, 06:50
                                      เที่ยวเมืองนรก

                     ครั้งที่ 11  วันจันทร์ที่ 25  ตุลาคม พ.ศ. 2519

                         ตอน ท่องนรกย่อยตมอุจจาระ - ปัสสาวะ     

        ท่านอรหันต์จี้กงเสด็จลงตรัสเป็นกลอน มีความว่า

        สันติกร        พลิกหน้า        อ่านพระธรรม
จิตดื่มด่ำ              รสพระธรรม      ไร้ยาพิษ
ฝุ่นโคลนตม           บ่เคล้า           ปทุมทิพย์
พุทธพิชิต              หลุดพ้น          การเกิด - ตาย

อรหันต์จี้กง   :  การเกิดหรือตายเป็นเรื่องใหญ่ของมนุษย์ แต่ว่ามนุษย์นั้นหนีไม่พ้นการเกิด - ตาย  "จังจื้อ" (ปราชญ์จีนโบราณ ผู้ได้สำเร็จเป็นเทวดา) กล่าวไว้ว่า  "ฉันเองไม่อยากเกิด ฉับพลันก็เกิดมา ฉันเองไม่อยากตาย ฉับพลันความตายก็มาถึง"  เห็นได้ว่ามนุษย์ไม่สามารถกำหนดการเกิด - ตายได้ แต่ก็ไม่เชิงนักที่คนไม่สามารถกำเนิดการเกิด - ตาย  ก็เพราะเหตุว่าชาวโลกไม่ทราบซึ้งถึงความเป็นแห่งการเกิด - ตาย  เกิดขึ้นมาจากไหน ?.  ตายแล้วไปทางใด ?.  เมื่อไม่รู้แล้วก็ต้องรับการควบคุมจากยมบาล ที่เรียกว่า  "ยมบาลกำหนดให้ตายในเวลาเที่ยงคืน จึงไม่สามารถมีชีวิตจนถึงอรุณ"  ขณะนี้กำลังอยู่ในเทศกาลช่วยวิญญาณต่าง ๆ ถ้ามนุษย์สามารถจดจำหลักธรรมที่แท้จริงกลับคืนสู่ดั้งเดิม เข้าสู่ทางธรรมโดยทั่วหน้ากัน บำเพ็ญตัวและจิตใจ ดวงวิญญาณก็จะหลีกเลี่ยงความตาย อยู่ยงงคงกระพัน ได้ไม่ต้องตกไปทางเวียนว่ายตายเกิดกันอีก มวลมนุษย์ควรที่จะถนอมรักตนเองที่เกิดมาเป็นมนุษย์และอยู่ในเมืองมนุษย์ในยามนี้ สำนึกตัวรู้จักบำเพ็ญธรรมก็ยังไม่สายเกินไป เจ้าหยางเซิงเตรียมท่องนรกได้

หยางเซิง   :  ครับ ครับ  ท่านอาจารย์ไม่หวั่นต่อความยากลำบาก พร่ำอบรมสั่งสอนมวลชน รู้สึกซาบซึ้งใจเป็นยิ่งนัก

อรหันต์จี้กง   :  การช่วยเหลือกอบกู้คนให้ตลอดรอดฝั่ง เป็นหน้าที่ของข้าฯ โดยตรง พระพุทธ เทวดาแผ่เมตตา ก็คือช่วยแก้ทุกข์กอบกู้ชาวมนุษย์อยู่แล้วรีบขึ้นบนดอกบัวเร็ว

หยางเซิง   :  กระผมนั่งเรียบร้อยแล้ว เริ่มได้แล้วครับ

อรหันต์จี้กง   :  ถึงขุมที่ 2 แล้ว ลงจากดอกบัวเร็ว

หยางเซิง   :  ไฉนวันนี้จึงมาที่นี่อีก ?.

อรหันต์จี้กง   :  ไปทำการคารวะท่านยมบาล  "ฉอกังอ๊วง"  ก่อนเถิด แล้วค่อยตรวจชมแดนต่าง ๆ
หัวข้อ: เที่ยวเมืองนรก ครั้งที่ 11 ตอน ท่องนรกย่อยตมอุจจาระ - ปัสสาวะ
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 4/04/2012, 07:19
                                    เที่ยวเมืองนรก

                     ครั้งที่ 11  วันจันทร์ที่ 25  ตุลาคม พ.ศ. 2519

                         ตอน ท่องนรกย่อยตมอุจจาระ - ปัสสาวะ     

        ท่านอรหันต์จี้กงเสด็จลงตรัสเป็นกลอน มีความว่า

        สันติกร        พลิกหน้า        อ่านพระธรรม
จิตดื่มด่ำ              รสพระธรรม      ไร้ยาพิษ
ฝุ่นโคลนตม           บ่เคล้า           ปทุมทิพย์
พุทธพิชิต              หลุดพ้น          การเกิด - ตาย

หยางเซิง   :  ท่านยมบาลออกมาอยู่ที่หน้าปราสาทแล้ว เราเข้าไปกันเถิด ... คำนับมายังท่านฉอกังอ๊วง และยมทูตทั้งหลาย

ฉอกังอ๊วง   :  มิต้อง ... ลุกขึ้นเร็ว เชิญท่านอาจารย์กับหยางเซิง เข้ามาพักในปราสาทก่อน

อรหันต์จี้กง   :  เนื่องด้วยเวลาจำกัด อาตมาว่าไม่ต้้องพักแล้วละ พาหยางเซิงชมนรกแดนลงทัณฑ์กันก่อนก็แล้วกัน

ฉอกังอ๊วง   :  ก็ดีเหมือนกัน นายพลนำท่านอาจารย์กับหยางเซิงไปชมดูได้

นายพล   :  ขอรับคำบัญชา ท่านทั้งสองเชิญเดินตามข้าพเจ้ามา

หยางเซิง   :  สถานที่นี่ไฉนจึงมีกลิ่นเหม็นมากนัก กลิ่นมันคล้ายกลิ่นของปัสสาวะอุจจาระ

นายพล   :  ข้างหน้าคือ  "แดนนรกตมอุจจาระปัสสาวะ"  ฉะนั้น กลิ่นไอที่นี่จึงไม่สู้ดีนัก ขออภัยด้วย

หยางเซิง   :  กลิ่นนั้นเหม็นยิ่งนัก รู้สึกการหายใจจะลำบากขึ้น ท่านอาจารย์ครับกระผมทนไม่ไหวแล้ว ! 

อรหันต์จี้กง   :  ไม่ต้องกลัว ฉันมีของวิเศษ เจ้ารีบรับไปเร็ว

หยางเซิง   :  สิ่งนี้เป็นวัตถุอะไรนะ ?.

อรหันต์จี้กง   :  ที่กรองอากาศละอองผง เจ้ารีบสวมเข้าไปเร็ว อากาศจะสดชื่นขึ้นเอง ไม่ว่ากลิ่นเหม็นใด ๆ ก็จะอันตรธานหายไปหมด

หยางเซิง   :  ใช้การได้ดีจริง ๆ เป็นความจริงที่กลิ่นเหม็นเหล่านั้นสูญหหายไปแล้ว  อ้อ !  ข้างหน้ามีไม้กระดานแผ่นหนึ่งตั้งไว้ ด้านบนเขียนตัวอักษรว่า "นรกแดนอุจจาระ - ปัสสาวะ"  ภายในนั้นมีเสียงร่ำไห้คร่ำครวญน่าเวทนา หัวคนผลุบโผล่ดูสลอน มือสองข้างก็แหวกว่ายไปมาราวกับว่ากำลังไหว้น้ำ

นายพล   :  อันนี้แหละคือ  "นรกแดนอุจจาระ - ปัสสาวะ"  เราขึ้นหน้าไปดูแล้วกัน

หยางเซิง   :  ครับผม ท่านอาจารย์ครับ ท่านไม่ได้กลิ่นเหม็นบ้างเลยหรือครับ 

อรหันต์จี้กง   :  ไม่มีกลิ่น ข้าฯสำเร็จเป็นอรหันต์แล้วสิ่งสกปรกเช่นนี้ อาตมาเห็นแล้วแต่กลับไม่ได้เห็น ได้กลิ่นแต่มิได้สัมผัสกับจมูก ผิดกับเจ้าซึ่งเป็นปุถุชน เมื่อเห็นรูป รส กลิ่น เสียง ก็ถูกมอมเมาหลงไหลแล้ว

หยางเซิง   :  บ่อน้ำนี้กว้างใหญ่มากเหมือนทะเล  ไม่เห็นฝากเห็นฝั่ง ภายในนั้นมีทั้งหญิงชายแก่หนุ่ม ในบ่อมีอุจจาระเป็นทาง ๆ กับน้ำปัสสาวะทั้งนั้น คนเหล่านั้นผลุบโผล่เรียกร้อง พออ้าปากก็กลืนอุจจาระ - ปัสสาวะเข้าไป รู้สึกขยะแขยงใจยิ่ง ท่านอาจารย์ครับ กระผมจะอาเจียน 
หัวข้อ: เที่ยวเมืองนรก ครั้งที่ 11 ตอน ท่องนรกย่อยตมอุจจาระ - ปัสสาวะ
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 6/04/2012, 07:57
                                      เที่ยวเมืองนรก

                     ครั้งที่ 11  วันจันทร์ที่ 25  ตุลาคม พ.ศ. 2519

                         ตอน ท่องนรกย่อยตมอุจจาระ - ปัสสาวะ     

        ท่านอรหันต์จี้กงเสด็จลงตรัสเป็นกลอน มีความว่า

        สันติกร        พลิกหน้า        อ่านพระธรรม
จิตดื่มด่ำ              รสพระธรรม      ไร้ยาพิษ
ฝุ่นโคลนตม           บ่เคล้า           ปทุมทิพย์
พุทธพิชิต              หลุดพ้น          การเกิด - ตาย

อรหันต์จี้กง   :  ทำใจให้มั่นคง อย่าให้สิ่งสกปรกมารบกวนบั่นทอนจิตใจเลย

หยางเซิง   :  กระผมทนไม่ไหวจริง ๆ ขอถามท่านนายพลว่า พวกนั้นความจริงแล้วได้ทำความผิดประเภทไหน ?. ไฉนจึงตัดสินให้มารับโทษยังที่นี้?.

นายพล   :  บรรดาหญิ.โสเภณีในแดนมนุษย์ เมื่อครั้งมีชีวิตอยู่ ขายตัวหาเงินสกปรก หรือผู้ที่หลอกลวงผู้หญิงคนดี ๆ ไปขายซ่อง  บังคับให้ขายทั้งร่างกายและจิตใจ หรือผู้ที่มีอาชีพทางขนของเถื่อนหนีภาษี หรือผู้ที่ชอบกิน  "รก"  (เยื่อที่หุ้มห่อตัวเด็กเพิ่งเกิดออกใหม่ ๆ ) เพื่อบำรุงตน หรือในขณะมีชีวิตอยู่ตีนยังไม่ยันพื้น ทำการงานโดยวิธีโกหกหลอกลวงเงินทองของชาวบ้าน หรือผู้ที่ชอบเที่ยวหญิงโสเภณี มั่วโลกีย์มักมากในกาม  บ้างก็เป็นมือปืนในแดนมนุษย์ ทำแบบเกลือจิ้มเกลือ (หันหลังกัน)  บ้างก็เรียกหุ้นเล่นแชร์แล้วล้มมันเสีย  และทำการค้าแล้วเจตนาล้มเพื่อฮุบเงิน  บ้างก็เป็นข้าราชการผู้คอรัปชั่น  เรียกร้องเอาเปอร์เซ็นต์   บ้างก็รับเหมาก่อสร้าง แล้วลักทอนวัสดุและแรงงาน  เพราะเหตุว่าเขาเหล่านั้นมีจิตใจร่างกายสกปรกหรือติดยาเสพติด  ปากไม่สะอาดพอในมนุษยโลก  เมื่อตายลงแล้วก็ตกมายังที่นี่ ให้ชิมสัมผัสกลิ่นรสชนิดนี้ วิญญาณผีที่อยู่ในแดนนรกนี้แสนที่จะทรมาน  การหายใจเข้าออกแต่ละที ล้วนเป็นรสของอุจจาะร - ปัสสาวะ  พออ้าปาก ของสกปรกเป็นกองก็หลุดเข้าไปในท้องในใส้  ทั้งหิวทั้งกระหาย  จะกินก็ไม่มีอะไรให้กิน มันอยู่ในแดนมนุษย์ล้วนกินของสกปรกยังชีพดังนั้นต้องตกนรกรับการสนองตอบสาสมแก่โทษแล้ว เพราะเหตุว่าอุจจาระ - ปัสสาวะ เหลวเป็นโคลนตม เมื่อยิ่งดิ้น ก็ยิ่งจมลง

หยางเซิง   :  น่าสงสารมาก โลกมนุษย์ทุกวันนี้กลายเป็นบ่ออุจจาระเสียแล้ว  พอมีกลิ่นเหม็นเพียงเล็กน้อย ก็ใช้กรดเกลือล้างทำลาย ผู้ที่มั่งมีก็ใช้น้ำหอมพ่นใส่ แต่หากว่าเงินทองที่ได้มาโดยไม่สะอาด ร่างกายแม้จะสวยงามน่าชม แต่ในใจเหมือนราวกับอุจจาระ - ปัสสาวะ  ก็ต้องตกลงมายังนรกนี้ พูดไปแล้วมันก็เหมาะสมดีแล้ว

อรหันต์จี้กง   :  หยางเซิงพูดถูก แต่ละครอบคัวในแดนมนุษย์ ตกแต่งอย่างวิจิตรสง่างาม ตัวคนก็นุ่งห่มอาภรณ์ที่งามหรู มองดูภายนอกก็หมดจดเรียบร้อยดีแต่ในใจนั้นมีกลอุบายร้อยแปดพันประการ คิดแต่จะหาช่องฉวยโอกาส โดยไม่ดำเนินไปในทางที่ชอบ นับได้ว่าดังอุจจาระ - ปัสสาวะที่มีกลิ่น - รูปตรงตามกัน แม้ว่าจะได้เสพสุขตอนที่มีชีวิตอยู่ แต่เมื่อตกลงมาถึงนรกก็จะกลายเป็นคนละเรื่อง กินเอาพวกอุจจาระไปวัน ๆ อย่างสม่ำเสมอ

นายพล   :  ไม่ต้องไปเห็นใจพวกนี้  เหล่านี้ล้วนเป็นตัวหนอนที่อนาถ เป็นหนอนอุจจาระ เติบโตในการกินเฉพาะสิ่งสกปรก  ขอเตือนชาวโลกทั้งหลาย ทำการใดต้องมีจิตเปิดเผยบริสุทธิ์ ยุติธรรม อย่าได้เห็นแก่ได้ (เงิน) โดยฉกฉวยไม่เลือกวิธีการลอบหาเรื่องใส่ร้ายคนหรือยึดอาชีพที่ไม่สุจริต หาเงินสกปรก เมื่อตายลงแล้วต้องมารายงานตัวที่นี่อย่างแน่นอน

หยางเซิง   :  มิทราบว่าวิญญาณโทษเหล่านี้ จะพ้นทุกข์เมื่อใด ?.

นายพล   :  ก็ต้องดูที่โทษหนักเบาแค่ไหน แต่อย่างต่ำที่สุดก็ต้องขังจนกระทั่งเนื้อหนังเน่าเปื่อย เมื่อหมดโทษแล้วก็ส่งไปขุมอื่น เพื่อพิจารณากรรมอื่นที่ก่อไว้

หยางเซิง   :  นรกนั้นน่าสะพรึงกลัวเป็นยิ่งนัก

อรหันต์จี้กง   :  เวลาก็ดึกมากแล้ว ฉันว่าเราท่องชมเท่านี้ก่อนเถิด สำหรัววันนี้ เจ้าหยางเซิงเตรียมตัวกลับสำนัก ขอบคุณมากที่ท่านนายพลช่วยอธิบาย และฝากขอบคุณท่านยมบาลที่ได้กรุณาเอื้อเฟื้อ

หยางเซิง   :  ที่กรองอากาศอันนี้เอาออกได้ไหมครับ ?.

อรหันต์จี้กง   :  นั่งเรียบร้อยบนดอกบัวก่อน ค่อยเอาออก มิเช่นนั้นแล้วเจ้าจะทนไม่ไหว

หยางเซิง   :  กระผมนั่งเรียบร้อยแล้ว

อรหันต์จี้กง   :  เอาออกได้แล้ว เริ่มเดินทางกลับสำนักได้  ลมเย็นโบกโชย กลิ่นเหม็นอบอวล ฝุ่นไอแห่งมนุษย์โลกยาวเหยียดหนาแน่น กลบกลืนแล้วซึ่งวีรบุรูษผู้กล้าหาญจำนวนนับไม่ถ้วน ขอเตือนชักชวนชาวโลกควรรีบบำเพ็ญตนแต่เนิ่น ๆ โดดพ้นนรก มิต้องระทมตรอมใจ ... ถึงเซี้ยเฮี้ยงตึ้งแล้ว  หยางเซิงลงจากดอกบัว วิญญาณกลับเข้าสู่ร่างดังเดิม
หัวข้อ: เที่ยวเมืองนรก ครั้งที่ 12 ตอน ท่องนรกย่อยแดนหิวโหย
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 7/04/2012, 04:57
                                          เที่ยวเมืองนรก

                     ครั้งที่ 12  วันอาทิตย์ที่ 31  ตุลาคม พ.ศ. 2519

                         ตอน ท่องนรกย่อยแดนหิวโหย     

        ท่านอรหันต์จี้กงเสด็จลงตรัสเป็นกลอน มีความว่า

        เพลงเสนาะ        กล่อมรับ        ใบไม้ผลิ
อุตริ                        ขยับสะโพก      โยกย้ายส่าย
โลกสมัย                   เต็มไปด้วย      หนทางร้าย   
บ่วงกรรมข่าย             ขึงพืด             ดักวิญญาณ

อรหันต์จี้กง   :  เร่ร่อนตรากตรำเพื่อแต่งหนังสือ ลำบากยากเข็ญเพื่อใคร ?. วุ่นวายเพื่อใครในแดนมนุษย์ แม้จะมีผู้คนรถราแออัดบนถนน แต่ว่าศีลธรรมสูญหายไปเป็นลำดับ เสียงร่ำร้องวิญญาณผีในแดนนรก สั่นสะเทือนภูเขาเลากา สำนักเซี้ยเฮี้ยงตึ้งได้รับเทวโองการให้แต่งหนังสือ "เที่ยวเมืองนรก" ตลอดทั้งเล่มนอกจากบรรยายถึงสภาพที่โหดร้ายทรมานของแดนนรกอย่างละเอียด ยังใช้ภาพพจน์ปัจจุับันขยายความเป็นจริงให้ทราบด้วย เปิดทางให้มนุษย์ข้ามจากธารน้ำที่หลงใหล ด้วยเหตุนี้แหละหนังสือเล่มนี้จึงมิใช่นวนิยายเพื่อการอ่านเล่นหย่อนอารมณ์ หวังชาวโลกคงเข้าใจรู้สึกตัว หยางเซิงเตรียมท่องนรกได้แล้ว

หยางเซิง   :  กระผมเตรียมการเรียบร้อยแล้ว เชิญท่านอาจารย์เริ่มออกเดินทางได้แล้วครับ

อรหันต์จี้กง   :  ปุถุชนที่ได้นั่งบนดอกบัว ซึ่งเป็นการเอาใจเป็นพิเศษ หวังว่าเจ้าหยางเซิงจงรักถนอมไว้ ... ถึงแล้วละ ลงจากดอกบัวเร็ว คืนนี้จะเยี่ยมชม  "นรกแดนหิวโหย" 

หยางเซิง   :  ที่แห่งนี้เสมือนหนึ่งป่าเปลี่ยว ทุกแห่งหนไม่มีร่องรอยของผู้คนเลย เราจะไปทางทิศใดเล่า ?.
หัวข้อ: เที่ยวเมืองนรก ครั้งที่ 12 ตอน ท่องนรกย่อยแดนหิวโหย
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 7/04/2012, 05:24
                                       เที่ยวเมืองนรก

                     ครั้งที่ 12  วันอาทิตย์ที่ 31  ตุลาคม พ.ศ. 2519

                         ตอน ท่องนรกย่อยแดนหิวโหย     

        ท่านอรหันต์จี้กงเสด็จลงตรัสเป็นกลอน มีความว่า

        เพลงเสนาะ        กล่อมรับ        ใบไม้ผลิ
อุตริ                        ขยับสะโพก      โยกย้ายส่าย
โลกสมัย                   เต็มไปด้วย      หนทางร้าย   
บ่วงกรรมข่าย             ขึงพืด             ดักวิญญาณ

อรหันต์จี้กง   :  ห่างจากนี้ไม่ไกลนัก ผ่านภูเขาน้อยลูกหนึ่งก็จะถึง "นรกแดนหิวโหย"

หยางเซิง   :  เมื่อไม่มีแม้แต่วี่แววของคน แล้ววิญญาณผีจะเข้านรกในทางใดเล่า ?.

อรหันต์จี้กง   :  เจ้ามองไปทางด้านซ้ายก็จะรู้ถึงแก่น

หยางเซิง   :  อ้อ !  ด้านซ้ายมีทางเล็ก ๆ อยู่ทางหนึ่งจริง ๆ ด้วย บนทางมียมทูตหัวความยหน้าม้า 2 - 3  ตนคุมวิญญาณโทษเดินอยู่

อรหันต์จี้กง   :  เราเดินไปทางซ้าย เดินตามพวกเขาไป

ผู้คุมหัวควาย   :  ปุถุชนแห่งใด ?. เข้ามานี้โดยพลการได้อย่างไร ?.

อรหันต์จี้กง   :  เจ้าจงเปิดตาดูให้ชัดแจ้งก่อน ค่อยตวาดยังไม่สายเกินการ ! 

หยางเซิง   :  ผู้คุมหัวควายผู้นี้ แลดูน่าเกลียดน่ากลัวซ้ำในมือถือโซ่เหล็กง่ามเหล็กอีกด้วย ท่าทัดุดันเขาจะใช้กำลังกับเราหรือไฉน ?.

อรหันต์จี้กง   :  มิต้องหวั่น อาตมาจะอธิบายให้มันเข้าใจได้

ผู้คุมหัวควาย   :  ท่านทั้งสองคือผู้ใด บอกมาเร็ว มิเช่นนั้นจะจับกุมตัวไปให้เจ้านายชำระโทษ

อรหันต์จี้กง   :  ผู้คุม ท่านเป็นยมทูตมานานเท่าไหร่แล้ว ไฉนจึงไม่รู้จักฉัน ?.

ผู้คุมหัวควาย   :  ข้าพเจ้าทำหน้าที่ยมทูตมาได้ 2 เดือนเศษ ทุกสิ่งทุกอย่างทำตามหน้าที่ บรรดาผู้ที่ไม่มีป้ายอนุญาต ล้วนต้องถูกจับกุม นี้แหล่ะคือหน้าที่ของข้าพเจ้า
หัวข้อ: เที่ยวเมืองนรก ครั้งที่ 12 ตอน ท่องนรกย่อยแดนหิวโหย
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 9/04/2012, 06:35
                                         เที่ยวเมืองนรก

                     ครั้งที่ 12  วันอาทิตย์ที่ 31  ตุลาคม พ.ศ. 2519

                         ตอน ท่องนรกย่อยแดนหิวโหย     

        ท่านอรหันต์จี้กงเสด็จลงตรัสเป็นกลอน มีความว่า

        เพลงเสนาะ        กล่อมรับ        ใบไม้ผลิ
อุตริ                        ขยับสะโพก      โยกย้ายส่าย
โลกสมัย                   เต็มไปด้วย      หนทางร้าย   
บ่วงกรรมข่าย             ขึงพืด             ดักวิญญาณ

อรหันต์ขี้กง   :  อาตมาคือพระอรหันต์จี้กง ผู้นี้คือนักทรงเอกสำนักเซี้ยเฮี้ยงตึ้ง เมืองไถ่ตงแห่งเมืองมนุษย์ เป็นศิษย์ของพระเจ้ากวนอู ได้รับเทวโองการให้มาเที่ยวเมืองนรก แต่งหนังสือเตือนชาวโลก คืนนี้จะไป  "นรกแดนหิวโหย"  ผ่านมาทางนี้ ท่านผู้คุมควรทราบว่าเรามีพระบรมราชโองการติดตัวอยู่ ห้ามการกีดขวาง มิเช่นนั้นท่านจะต้องถูกลงโทษ

ผู้คุมหัวควาย   :  ต่อหน้าพระบรมราชโองการ ขอกราบไหว้คารวะ ที่แท้ท่านก็คือผู้ที่ชาวโลกร่ำลือกันว่าพระสติเฟื่อง "จี้กง"  นั่นเอง เพราะเหตุนี้ข้าพเจ้าจากโลกมนุษย์ไปนาน ไม่เคยเห็นท่านอรหันต์  ขอให้ท่านและท่านหยางเซิงอภัยให้ด้วย ถ้าจะไป  "นรกแดนหิวโหย"  บุกผ่านภูเขาเล็กข้างหน้านี้ก็ถึงแล้ว ข้าพเจ้าจะพาท่านทั้งสองไปเอง

หยางเซิง   :  ก็ดีอยู่ !  ทางเล็กนี้ล้วนปูด้วยเศษหินและเป็นหลุมอยู่ไม่น้อย ทั้งยังมีน้ำขังอยู่ด้วย เวลาเดินผ่านทรมานยิ่งนัก ราวกับถูกแทงด้วยเข็มแหลมอย่างนั้น ข้างหน้ามีนายทหารอีก ๒ ท่าน ช่วยกันคุมผู้หญิงคนหนึ่ง ผู้หญิงคนนี้แต่งกายคล้ายเศรษฐินี แต่ถูกร้อยด้วยโซ่ตรวน หล่อนต้องโทษอันใดมิทราบ ?.

อรหันต์จี้กง   :  เมื่อตอนอยู่แดนมนุษย์เป็นผู้ที่มั่งคั่งมียศศักดิ์ได้เสพสุขมากมาย ไม่รักถนอมข้าวรักพืชธัญญาหาร ทิ้งขว้างอาหารต่าง ๆ นั่นคือ กินอิ่มมากเกินไป ดังนั้นจึงถูกคุมมายัง  "นรกแดนหิวโหย"  ให้มันอดเสียบ้าง

หยางเซิง   :  ภูเขาน้อยลูกนี้ไม่สูงนัก ต้นไม้ต้นไร่เขียวชอุ่มและยังมีต้นอ้อกับพวกเถาวัลย์พืชผลมากมาย เหมือนกับฮุบเขาในแดนมนุษย์ไม่มีผิด ในภูเขามีทางเดินขนาด ๓ คนผ่านได้อยู่ทางหนึ่ง

อรหันต์จี้กง   :  ผ่านภูเขาน้อยลูกนี้แล้ว เจ้าจะมองเห็นข้างหน้านั้น คือ  "นรกแดนหิวโหย"  ตั้งอยู่ที่เซิงเขา

หยางเซืง   :  กระผมเห็นแล้ว ตลอดทั้งผืนล้วนสร้างขึ้นด้วยโครงเหล็กกล้า และมีหลังคาออกสีคล้ำ มาถึงเชิงเขาแล้ว

ผู้คุมหัวควาย   :  พวกท่านรออยู่ที่นี่ก่อน ข้าพเจ้าจะไปรายงานแจ้งให้เจ้านายทราบ

หยางเซิง   :  ตัวอักษร  "นรกน้อยแดนหิวโหย"  ใช้ไม้กระดานแกะเป็นรอยบุ๋ม แต่ไม่สู้ชัดเจนนัก ข้างในมีทหารเฝ้ารักษาการณ์แข็งแรง หญิงผู้ถูกคุมตัวข้างหน้านั้นได้ผ่านเข้าไปด้วยใบเบิกทางแล้ว

ผู้คุมหัวควาย   :  ข้าพเจ้าได้เข้าไปในคุกรายงานต่อท่านพัสดีแล้ว (หัวหน้าผู้คุม)  แล้ว ท่านทั้งสองเชิญตามข้าพเจ้าเข้าไปได้

พัสดี   :  ขอต้อนรับท่านอาจารย์และหยางเซิงแห่งสำนักเซี้ยเฮี้ยงตึ้งที่ให้เกียรติมายังที่นี่ ขออภัยในการต้อนรับล่าช้าเกินควร
หัวข้อ: เที่ยวเมืองนรก ครั้งที่ 12 ตอน ท่องนรกย่อยแดนหิวโหย
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 9/04/2012, 07:22
                                          เที่ยวเมืองนรก

                     ครั้งที่ 12  วันอาทิตย์ที่ 31  ตุลาคม พ.ศ. 2519

                         ตอน ท่องนรกย่อยแดนหิวโหย     

        ท่านอรหันต์จี้กงเสด็จลงตรัสเป็นกลอน มีความว่า

        เพลงเสนาะ        กล่อมรับ        ใบไม้ผลิ
อุตริ                        ขยับสะโพก      โยกย้ายส่าย
โลกสมัย                   เต็มไปด้วย      หนทางร้าย   
บ่วงกรรมข่าย             ขึงพืด             ดักวิญญาณ

อรหันต์จี้กง   :  พูดอะไรอย่างนั้น การที่มารบกวนนี้ เนื่องจากทางสำนักเซี้ยเฮี้ยงตึ้งได้รับเทวโองการให้แต่งหนังสือ  "เที่ยวเมืองนรก"  อาตมาจึงนำพาวิญญาณของหยางเซิงล่องลงสู่ยมโลก ตรวจชมรายละเอียดซึ่งเป็นกรณีพิเศษ เพื่อที่เป็นข้อมูลตักเตือนชาวโลก การมาในวันนี้ขอท่านพัสดีได้โปรดให้คำชี้แจงโดยละเอียดด้วย

พัสดี   :  คุกนี้ขึ้นกับคุมที่ 2 เป็นนรกแดนหิวโหย ข้าพเจ้าพาท่านหยางเซิงตรวจชมเอง ท่านอาจารย์เชิญนั่งพักจิบน้ำชาก่อนครับ

หยางเซิง   :  ตกลง ข้าพเจ้าจะตามพัสดีไป ..... ห้งขังแถวนี้ ห้องพักกว้างประมาณ 3 เมตร ผู้ที่อยู่ภายในนั้น แม้จะแต่งกายสวยงามโสภา แต่ไฉนจึงหน้าตาซีดเหลืองผอมแห้งครวญครางอยู่ร่ำไป ?.

พัสดี   :  พวกนี้ส่วนมากเป็นพ่อค้าวาณิช ในแดนมนุษย์ กินอยู่อย่างสมบูรณ์พูนสุขใช้เงินครั้งละเป็นพันไม่รู้สึกเสียดายเลย แต่ทำกับพวกคนจนหรือพวกขอทานยาจก กลับไม่มีความเมตตาแม้แต่นิดเดียว เมื่อตายแล้ว ล้วนตกลงมาคุกนี้ ข้าพเจ้าจะเรียกวิญญาณโทษตนหนึ่งออกมา  ท่านจะซักถามเขาได้เลย

หยางเซิง   :  ขอถามท่านสุภาพบุรุษท่านนี้ ไฉนท่านจึงต้องมารับโทษที่นี่ ?.

วิญญาณโทษชาย   :  ผมทำกิจการโรงงานในแดนมนุษย์ เพราะเหตุกิจการเจริญตลอดมามีกำไรมหาศาล เนื่องจากการค้าขายต้องคบค้าสมาคมกันทุกวันขึ้นภัตตาคารร้านอาหารต่าง ๆ กินดีสนุกเฮฮา โต๊ะหนึ่ง ๆ แม้จะมีค่าเป็นหมื่น ๆ เหรียญก็ไม่รู้สึกเสียดาย แต่สวัสดิการของพนักงานคนทำงานกลับยิวแสนยิว พวกพนักงานบ่นว่าผูกใจเจ็บอยู่เสมอ หากพวกสมาคมมูลนิธิการกุศลมาเรี่ยไรเพื่อสาธารณกุศล อย่างมากที่สุดก็จะบริจาคเพียงห้าร้อยเหรียญ ไม่มีน้ำใจในเรื่องบุญกุศลเลย หากพวกขอทานหรือญาติมิตรผู้ยากจนมาขอหยิบยืมเงินทองก็สั่งคนใช้ให้บอกว่าไม่ได้อยู่บ้าน ไม่เพียงแต่เท่านั้น ในบ้านมีอาหารการกินชนิดราคาแพง ๆ มากมายก่ายกอง ไม่เคยจะประหยัดเลย และนอกบ้านนั้นยังเลี้ยงเมียเก็บอีกหลายคน สร้างหอรักให้ตัวน้อย ๆ เก็บตัวอยู่อย่างสบาย แต่ละเดือนต้องสิ้นค่าใช้จ่ายหลายหมื่นให้พวกหญิงบำเรอเหล่านี้  เมื่อ 2 ปีก่อนตายลงด้วยโรคความดันโลหิตสูง จึงถูกตัดสินให้มายัง  " นรกแดนหิวโหย"  แม้จะแต่งกายแบบสากล แต่ไม่มีอาหารชั้นสูงเลิศรสกิน ในสัปดาห์หนึ่งได้กินข้าวต้มกับผักเพียงมื้อเดียวประมาณ 3 วันก็หิวจนสลบไสล หัวควายหน้าม้าก็ใช้น้ำคืนวิญญาณสาดให้ฟื้น เป็นที่ทรมานยิ่งนัก หิวโหยเสียจนแสนที่จะทนทานได้  ท่านมีของกินอะไรบ้างไหม ?. ขอให้ทานผมด้วยเพื่อบรรเทาความหิวโหย

พัสดี   :  ไอ้เวร !!! เข้าไปเร็ว ! อย่าละเมิดนะ แกทำเองรับสนองเอง เสพสุขมากไปแล้ว อย่ามาคร่ำครวญสะอื้นไห้  สั่งให้วิญญาณโทษหญิงผู้นั้นออกมาแล้วรีบรายงานตัวต่อหยางเซิงผู้นี้ว่า เมื่ออยู่แดนมนุษย์นั้นทำผิดประการใดบ้าง ?.

วิญญาณนักโทษหญิง   :  ดิฉันเมื่อครั้งมีชีวิตอยู่ เป็นเมียของคนรวยเพราะว่าสามีทำกิจการงานก่อสร้าง  รับก่อสร้างบ้านเรือนต่าง ๆ โดยเฉพาะ ร่ำรวยมหาศาล จากการอยู่บ้านหลังเล็ก ๆ ไปอยู่ในอาคารใหญ่โตมโหฬารเพราะเหตุว่ามีเงินมาก เลยติดนิสัยไม่ดีฝึกการเล่นไพ่นกกระจอก ลุ่มหลงในการเล่นการพนันทั้งวันทั้งคืน ไม่ใส่ใจดูแลบ้านซ่องการงาน และนัดเพื่อนฝูงไปที่ฟลอร์เต้นรำเป็นประจำ หรือกินอาหารโต้รุ่ง ในชีวิตดื่มกินอย่างฟุ่มเฟือยทั้งสิ้น ไม่เคยประหยัดเงินทองเลย แต่กลับการให้ทานผู้ยากจนหรือกิจกรรมการกุศลก็เหนียวจนไม่ยอมบริจาคแม้สตางค์แดงเดียว เสพสุขตลอดชีพ เมื่อตายลงท่านยมบาลไม่มีการปราณี ตัดสินให้ดิฉันมารับโทษที่คุกนี้ ขณะนี้หิวโหยเหลือที่จะทนได้

หยางเซิง   :  วิญญาณโทษหญิงผู้นี้ บนใบหน้าแสดงถึงความทุกข์ทรมาน เอามีดยัดเข้าไปในปากขบกัดราวกับว่าหิวจนไม่สามารถทนอยู่ต่อไปได้

พัสดี   :  กลับเข้าคุกเร็ว !

หยางเซิง   :  ขอให้ท่านพัสดีอธิบาย บรรดาวิญญาณโทษที่ถูกขังไว้แต่ละห้องที่ข้าพเจ้าเห็นไม่ว่าหญิงชาย แม้การแต่งตัวจะไม่เลว แต่ไฉนจึงเหมือนพวกขอทานริมถนนนอนกลิ้งครวญครางอยู่บนพื้น ผมเผ้ายุ่งเหยิงรุงรัง แบมือขอกิน ?.
หัวข้อ: เที่ยวเมืองนรก ครั้งที่ 12 ตอน ท่องนรกย่อยแดนหิวโหย
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 11/04/2012, 08:21
                                        เที่ยวเมืองนรก

                     ครั้งที่ 12  วันอาทิตย์ที่ 31  ตุลาคม พ.ศ. 2519

                         ตอน ท่องนรกย่อยแดนหิวโหย     

        ท่านอรหันต์จี้กงเสด็จลงตรัสเป็นกลอน มีความว่า

        เพลงเสนาะ        กล่อมรับ        ใบไม้ผลิ
อุตริ                        ขยับสะโพก      โยกย้ายส่าย
โลกสมัย                   เต็มไปด้วย      หนทางร้าย   
บ่วงกรรมข่าย             ขึงพืด             ดักวิญญาณ

พัศดี   :  ชาวโลกที่ล้างผลาญข้าวของ ไม่ถนอมรักพืชพันธุ์ธัญญาหาร สุรุ่ยสุร่ายไม่ประหยัด มีเงินใช้ในทางเสพสุขเพื่อตนเอง ไม่ยอมบริจาคแก่คนยากจนหรือทางกิจการสาธารณกุศล หรือผู้ชายที่มีเงินร่ำรวยแล้วก็ทิ้งเมีย แล้วไปสร้างหอรักใหม่ หรือผู้หญิงที่มีชื่อเสียงขึ้นมา เช่น นักร้องในปัจจุบันเมื่อดังแล้วก็เกิดดูหมิ่นสามีตนเอง อยากจะหย่าจากไปรับความมีเกียรติทางลม ๆ แล้ง ๆ ต่าง ๆ นานา บรรดาผู้ที่พอร่ำรวยมียศศักดิ์แล้วก็เกิดแปรเปลี่ยนความนึกคิดความตั้งใจนั้น จึงเป็นการประพฤติที่ต่ำช้าเลวทราม เมื่อตายลงแล้วล้วนต้องตกมาอยู่นรกนี้ รับความทรมาน ใคร่จะหวังว่าผู้ที่ร่ำรวยมีเกียรติสูงส่งในแดนมนุษย์ ควรบริจาคเงินทองส่วนหนึ่งช่วยเหลือผู้อื่น ตัวเองอย่าใช้จ่ายฟุ่มเฟือยเกินควร มิเช่นนั้แล้ว เพียงเอาแต่ดื่มกินเสพสุข โชคลาภจะหมดและเคราะห์กรรมจะถึงตัว ในชีวิตนี้ที่ได้มียศศักดิ์และร่ำรวยให้เสพใช้อยู่นั้น ก็เนื่องจากชาติก่อนได้สร้างบุญกุศลไว้  จึงได้รับตอบแทนด้วยบุญวาสนาในทางดี ถ้าสามารถไม่หลงระเริงกับบุญวาสนาแล้วยังสร้างบุญสร้างกุศลอีก ช่วยเหลือผู้ทุกข์ยาก เหมือนส่งถ่านให้ในเวลาหิมะตก (หมายความว่า ช่วยผู้อยู่ในความหนาวด้วยการให้ฟืนไฟ) หรือพิมพ์หนังสือธรรมเพื่อเตือนใจชาวโลก เมื่อสิ้นลมปราณแล้วไม่เพียงแต่มีชื่อเสียงที่ดีงามติดบนฝีปากชาวโลก ยิ่งกว่านั้น วิญญาณยังได้ขึ้นสู่ที่สูงสุด (คือสวรรค์) รับการเซ่นไหว้จากผู้คนทั่วไป

อรหันต์จี้กง   :  เนื่องจากเวลาจำกัด เราเตรียมตัวกลับสำนักเถิดเจ้าหยางเซิง

พัศดี   :  ก็ดีเหมือนกัน มีการขาดตกบกพร่องประการใดบ้าง ?. ขอได้โปรดอภัยให้ด้วย

หยางเซิง   :  ขอขอบคุณที่ท่านพัศดีให้การชี้แจงแถลงไข เราจะกลับสำนักแล้วละ

อรหันต์จี้กง   :  ขึ้นบนดอกบัวเร็ว ..... ถึงแล้วสำนักเซี้ยเฮี้ยงตึ้ง  หยางเซิงลงจากดอกบัว วิญญาณกลับเข้าสู่ร่างดังเดิม
หัวข้อ: เที่ยวเมืองนรก ครั้งที่ 13 ตอน ท่องสะพานมรณะ (ไน้ฮ้อเกี้ย)และชมฟลอร์นรก
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 11/04/2012, 08:58
                                        เที่ยวเมืองนรก

                     ครั้งที่ 13  วันพุธที่ 10  พฤศจิกายน  พ.ศ. 2519

                         ตอน ท่องสะพานมรณะ (ไน้ฮ้อเกี้ย) และชมฟลอร์นรก   

        ท่านอรหันต์จี้กงเสด็จลงตรัสเป็นกลอน มีความว่า   :
           
        ใต้สะพาน        มรณะ        วิญญาณเกลื่อน
เลือกทางเถื่อน         เลื่อนลงสู่    นรกกล
ทางที่ควร               ต้องบำเพ็ญ สู่มรรคผล
สร้างกุศล               เป็นโล่ป้อง   พ้นพิบัติ

อรหันต์จี้กง   :  ศิษย์ในสำนักเซี้ยเฮี้ยงตึ้งทุกคน ล้วนตั้งใจบำเพ็ญธรรมอย่างจริงจัง ขยันขันแข็งไม่มีการเกียจคร้าน น้ำใจน่าสรรเสริญยิ่งนัก ในวาระนี้ได้รับเทวโองการให้แต่งหนังสือเรื่อง  "เที่ยวเมืองนรก"  ท่าน  "เง็กเสียงอ๊วงตี่"  ตรัสสั่งครั้งแล้วครั้งเล่า การท่องนรกแต่งหนังสือต้องเป็นหนังสืออมตะสืบต่อไปนับหมื่นนับพันปี คุณธรรมทางปลอบเตือนสือต่อ ๆ กัน หลายชั่วชีวิตคนไม่มีวันสิ้นสุด ดังนั้นฉันจึงมีความยินดีที่จะพาหยางเซิงท่องยมโลก

หยางเซิง   :  ขอขอบคุณท่านอาจารย์ที่ได้กรุณาอบรมสั่งสอนผู้บำเพ็ญธรรมของเราทั้งคณะ ได้ทุ่มเทพลังใจและวัตถุทุกอย่างโดยสิ้นเชิง พยายามที่จะฟื้นฟู ปูวัฒนธรรมแจกจ่ายหนังสือกุศลธรรมให้แก่ผู้คนทั่วไป เพื่อเป็นการกอบกู้ปลดเปลื้องให้ชาวโลก ขอวิงวอนสวรรค์ท่านจงปกป้องคุ้มครองได้โปรดบันดาลให้แก่ศิษย์ทุกคนแคล้วคลาดจากมารและอุปสรรคใด ๆ ทั้งสิ้น

อรหันต์จี้กง   :  ตั้งใจบำเพ็ญธรรม ล้วนเป็นเพราะเหตุสภาพสิ่งแวดล้อมความเป็นอยู่ไม่อำนวยให้ ข้าจะแอบหมุนกลไกแห่งสวรรค์กลับคืน เพื่อจะได้ให้ศิษย์ทั้งหลายโดยสารไปอย่างราบรื่น วันนี้เตรียมท่องนรก เจ้าหยางเซิงรีบขึ้นบนดอกบัวเร็ว

หยางเซิง   :  กระผมนั่งเรียบร้อยแล้ว เริ่มเดินทางได้แล้วครับ

อรหันต์จี้กง   :  ถึงแล้วละ ลงจากดอกบัวเร็ว

หยางเซิง   :  ที่นี่คือสถานที่ใด ?.  ไฉนจึงมีเสียงตะเบ็งร่ำไห้ไม่ขาดสาย เบื้องหน้ามีสะพานหลังหนึ่ง ผู้คนบนสะพานร่วงหล่นลงไปส่งเสียงร่ำไห้อย่างทุกขเวทนาล้นสนั่นฟ้า ! 

อรหันต์จี้กง   :  ที่นี่คือสะพานมรณะ (ไน้ฮ้อเกี้ย) สามัญชนเมื่อตายแล้วผู้ที่มีความผิด ส่วนใหญ่จำต้องผ่านทางสะพานนี้ เราเข้าไปถามนายทหาร เชิญให้อธิบายรายละเอียดต่าง ๆ เถิด

หยางเซิง   :  สะพานนี้แกว่งไกวไม่หยุดยั้ง ราวกับสะพานที่ผูกแขวนไว้ บนสะพานมีหัวความย หน้าม้า พวกยมทูตมากหลายต่างก็คุมวิญญาณโทษ เมื่อเดินถึงกลางสะพานแล้วก็ผลักให้ตกลงไปโหดร้ายจังเลย

นายทหารผู้คุมสะพาน   :  เมื่อครู่นี้ได้รับสารจากท่าน  พระกษิติครรภโพธิสัตว์ ( เจ้าพญามัจจุราช )  ทราบมาว่าท่านอาจารย์นำพาท่านหยางเซิงแห่งสำนักเซี้ยเฮี้ยงตึ้ง เมืองไถ่ตงแห่งแดนมนุษย์ ตรวจเยี่ยมสถานที่แห่งนี้ เพื่อลงพิมพ์ในหนังสือ  "เที่ยวเมืองนรก"  ทำการปลดปล่อยชาวโลก ขอแสดงความยินดีด้วยครับผม     

อรหันต์จี้กง   :  พูดอะไรอย่างนั้น !!  รบกวนพวกท่านแล้วละ

นายทหาร   :  ท่านทั้งสองเชิญตามข้าพเจ้ามา ข้าพเจ้าจะนำขึ้นไปยังบนสะพาน

หยางเซิง   :  ข้าพเจ้ามิกล้าขึ้นไป ชมดูอยู่ที่เชิงสะพานนี้ก็แล้วกัน

อรหันต์จี้กง   :  อย่าวิตกไปเลย  ยมทูตหัวควายหน้าม้าสองท่านจะไม่ผลักเจ้าลงไปหรอกน่า

หยางเซิง   :  ก็ได้ครับ  แต่ว่าท่านอาจารย์ต้องดึงมือกระผมไว้ เพราะว่าพื้นสะพานสั่นไหวไม่มั่นคง กลัวจะตกลงไป

อรหันต์จี้กง   :  เมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าจะจูงมือเจ้า รีบขึ้นบนสะพานเร็ว
หัวข้อ: เที่ยวเมืองนรก ครั้งที่ 13 ตอน ท่องสะพานมรณะ (ไน้ฮ้อเกี้ย)และชมฟลอร์นรก
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 12/04/2012, 14:27
                                      เที่ยวเมืองนรก

                     ครั้งที่ 13  วันพุธที่ 10  พฤศจิกายน  พ.ศ. 2519

                         ตอน ท่องสะพานมรณะ (ไน้ฮ้อเกี้ย) และชมฟลอร์นรก   

        ท่านอรหันต์จี้กงเสด็จลงตรัสเป็นกลอน มีความว่า   :
           
        ใต้สะพาน        มรณะ        วิญญาณเกลื่อน
เลือกทางเถื่อน         เลื่อนลงสู่    นรกกล
ทางที่ควร               ต้องบำเพ็ญ สู่มรรคผล
สร้างกุศล               เป็นโล่ป้อง   พ้นพิบัติ

หยางเซิง    :  โอย ! โอย !  ใต้สะพานเต็มไปด้วยงูทั้งนั้น มีจำนวนมากเป็นหมื่น ๆ ตัว น่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก มีงูอยู่ชนิดหนึ่งบางตัวใหญ่เท่ากับต้นเสามังกร อ้าปากแลบลิ้น ผู้ที่ตกอยู่ใต้สะพานนับจำนวนไม่น้อย ส่งเสียงคร่ำครวญร่ำไห้ โดนงูกัดกิน ใจคอมือตีนกระผมอ่อนไปหมดแล้ว มิกล้าชมดู ท่านอาจารย์ครับเรากลับกันเถอะ

นายทหาร   :  ท่านหยางเซิงมิต้องหวาดหวั่น ใต้สะพานมรณะนี้เป็นหนองงูพิษ บรรดาผู้ที่ตายแล้วใจคอชั่วช้า หรือหลอกลวงฉ้อโกงเงินทองของผู้อื่นหรือเรื่องผู้หญิง ยุเหย่หาเรื่อง มุ่งร้ายฆ่าคน เห็นความหายนะของผู้อื่นก็ชอบใจเหล่านี้ นับได้ว่าเป็นคน   "จิตใจอำมหิต"  งูพิษเหล่านี้เกิดมาจากลำใส้อำมหิตของมนุษย์ วิญญาณโทษที่มาถึงที่สะพานนี้ จึงหวั่นกลัวจนมือตีนอ่อน หัวความหน้าม้าก็ผลักให้ตกลงสะพานไป ให้งูพิษกลืนกิน บรรดาคนที่ตกลงสะพานแล้ว ร้องลั่นราวกับพ่อแม่ตายจาก ที่เหยียบอยู่ใต้ตีน ล้วนแต่เป็นงูพิษ พยายามดิ้นรนหนีเอาชีวิตรอด แต่พอตีนขยับเท่านั้นก็ไปเหยัยบเอางูพิษเข้า เลยกลับถูกงูฉกกัดกลืนกิน

หยางเซิง   :  น่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างยิ่ง เพียงแต่เห็นงูตัวเดียว ก็ตกใจกลัวจนเซ่อไปเลย หากว่าผู้ที่ใจเสาะ พวกหัวควายหน้าม้าไม่ต้องผลักลงหรอก พอเดินถึงสะพานมรณะเท่านั้น ต้องตกใจกลัวจนสลบหมดสติสัมปสัญญะ ก็จะตกลงไปเอง

อรหันต์จี้กง   :  เรารีบเดินข้ามสะพานนี้เสีย วันนี้วิญญาณโทษมากเหลือหลาย บนสะพานแออัดเกินไป แต่ละคนร่ำไห้จนเสียงแหบ ใครใช้ให้พวกมันชอบก่อกรรมทำเข็ญในแดนมนุษย์เล่า มาบัดนี้เดินเหินสั่นคลอน เลยตกลงไปใต้สะพานหมดเกลี้ยง ถูกลงโทษด้วยการให้งูพิษกัดกินอย่างทารุณโหดร้าย

หยางเซิง   :  จวนจะถึงทีสุดสะพานแล้ว ในใจกระผมยังหวั่นกลัวมาก สะพานมรณะที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง ข้างสะพานก็ไม่มีราวให้ยึดเหนี่ยว เดินแล้วมืออ่อนตีนอ่อน ยิ่งเห็นฝูงงูเป็นกลุ่ม ๆ ใต้สะพานยิ่งทำให้คนใจสั่นตีนคลอน

อรหันต์จี้กง   :  ใจเสาะเกินไปแล้ว ฉันจะให้ยา  "ยาคุมสติ"  3 เม็ดรีบกินเสีย  ไม่ต้องหน้าเขียวซีดเหงื่อโทรมกายหรอก ..... รีบลานายทหารผู้คุมสะพาน เรายังจะต้องเที่ยวชมแห่งอื่น ๆ อีก 

หยางเซิง   :  ขอบคุณท่านนายทหารที่ให้การแนะนำชี้แจง เนื่องจากเวลาจำกัด ไม่สามารถอยู่ได้นาน

นายทหาร   :  ขอนมัสการส่งท่านอาจารย์

อรหันต์จี้กง   :  เจ้าหยางเซิง รีบขึ้นนั่งบนดอกบัวเร็ว เราจะไปเยี่ยมชมแหล่งอื่น ๆ อีก

หยางเซิง   :  กระผมนั่งเรียบร้อยแล้ว เชิญท่านอาจารย์เริ่มออกเดินทางได้ .....
หัวข้อ: เที่ยวเมืองนรก ครั้งที่ 13 ตอน ท่องสะพานมรณะ (ไน้ฮ้อเกี้ย)และชมฟลอร์นรก
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 12/04/2012, 15:08
                                      เที่ยวเมืองนรก

                     ครั้งที่ 13  วันพุธที่ 10  พฤศจิกายน  พ.ศ. 2519

                         ตอน ท่องสะพานมรณะ (ไน้ฮ้อเกี้ย) และชมฟลอร์นรก   

        ท่านอรหันต์จี้กงเสด็จลงตรัสเป็นกลอน มีความว่า   :
           
        ใต้สะพาน        มรณะ        วิญญาณเกลื่อน
เลือกทางเถื่อน         เลื่อนลงสู่    นรกกล
ทางที่ควร               ต้องบำเพ็ญ สู่มรรคผล
สร้างกุศล               เป็นโล่ป้อง   พ้นพิบัติ

อรหันต์จี้กง   :  ถึงแล้วละ ลงจากดอกบัวเร็ว ตรงหน้าคือ  "นรกฟลอร์เต้นรำ"  อันเป็นแหล่งใหม่ที่ตั้งขึ้นในแดนนรกขึ้นกับขุมที่สองโดยตรง

พัศดี   :  ขอนมัสการต้อนรับท่านอาจารย์กับพู่กันเอกหยางเซิง แห่งสำนักเซี้ยงเฮี้ยงตึ้ง ที่ได้มาเยือนถึงที่นี่ เมื่อครู่นี้ได้รับคำสั่งจากเจ้านายว่าท่านอาจารย์กับหยางเซิงจะมาเยี่ยมชมนรกแห่งนี้ เพื่อแต่งหนังสือเตือนชาวโลก เชิญท่านทั้งสองเข้าไปตรวจชมด้านใน

หยางเซิง   :  ขอขอบคุณท่านพัศดี ขอเรียนถามท่านว่า ไฉนภายในคุกจึงมีแสงสีชมพูเลือนราง และมีเสียงกระโดดโลดเต้นโหยหวนแหวกร้องด้วย

พัศดี   :  ผู้ที่ถูกขังอยู่ในคุกนี้ เป็นพวกพร์ตเน่อร์  นางรำ  ที่ชอบการเต้นรำในแดนมนุษย์  เชิญเข้าไปดูข้างใน ก็จะทราบดีโดยตลอด

หยางเซิง   :  ครับผม ! โอ้ !  ภายในมีหญิงชายแออัดไปหมดมีทั้งแก่หนุ่มชายหญิง แต่งกายภูมิฐานน่าชม ชุดสากลสง่างาม พวกหญิงสวาก็นุ่งผ้าโปร่งฉูดฉาดบาดตาและมีชาวต่างประเทศอยู่ไม่น้อย  แต่ละคนที่ได้เหยียบลงบนพื้นฟลอร์เท่านั้นหวีดร้องขึ้นทันที ทั้งกระโดดโลดเต้นไม่หยุดยั้ง ทั้งหญิงชายออกันเป็นกลุ่ม ขอเรียนถามท่านพัศดีว่า นี่เป็นการลงโทษชนิดใดมิทราบ ?.

พัศดี   :  บรรดาผู้ที่ประกอบอาชีพเป็นนางพาร์ตเนอร์  หรืออาศัยการเต้นรำหาความบันเทิงใจในโลกมนุษย์ เมื่อตายลงแล้วต้องถูกควบคุมตัวอยู่ในคุกนี้ เพื่อให้เขาได้ดื่มรสของฟลอร์เต้นรำอีกครั้งหนึ่ง แต่การมายังที่นี้ ไม่สามารถเสพสุขอย่างเอ้อระเหยลอยไปแบบลืมตัวลืมตน ที่นุ่มนิ่มสุขสวรรค์อีกแล้ว ฟลอร์ในคุกนรกนี้ทำด้วยแผ่นเหล็ก ถูกเผาจนแดงฉาน และเปล่งแสงร้อนแรง หญิงชายเหยียบลงก็จะเกิดความเจ็บปวดขึ้นทันที เลยมีอาการโดดโลดเต้นเป็นการใหญ่ อยู่ในแดนมนุษย์ชอบในทางนี้ เมื่อตายแล้วก็ได้รับการทบทวนอย่างไม่รู้เลือน ไม่สามารถลบเลือนจากหัวใจไป แต่ละคนตีนพองเป็นผื่นบวมเหมือนซาลาเปาไปหมด

หยางเซิง   :  ท่านพัศดีพูดมีเหตุผลมาก ตอนมีชีวิตอยู่ชอบเต้นรำ เมื่อตายแล้วก็ให้มันเต้นให้สบาย  "ตาย"  ไปเลย  หากแต่ว่ากระแสแห่งกาลสมัยมันต่างกันเสียแล้ว การเต้นรำก็มิใช่ว่าเป็นสิ่งเลวร้ายเสียทั้งหมด มันมีคุณค่าส่งเสริมให้จิตใจร่างกายเจริญแข็งแรง  ถ้าผู้เต้นรำแล้วต้องมาถูกทำโทษในแดนนรกอย่างทรมานแล้ว จะถือว่ากฏแห่งยมโลกจะผิดเพี้ยนหรือไม่หนอ ?.
หัวข้อ: เที่ยวเมืองนรก ครั้งที่ 13 ตอน ท่องสะพานมรณะ (ไน้ฮ้อเกี้ย)และชมฟลอร์นรก
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 12/04/2012, 15:33
                                       เที่ยวเมืองนรก

                     ครั้งที่ 13  วันพุธที่ 10  พฤศจิกายน  พ.ศ. 2519

                         ตอน ท่องสะพานมรณะ (ไน้ฮ้อเกี้ย) และชมฟลอร์นรก   

        ท่านอรหันต์จี้กงเสด็จลงตรัสเป็นกลอน มีความว่า   :
           
        ใต้สะพาน        มรณะ        วิญญาณเกลื่อน
เลือกทางเถื่อน         เลื่อนลงสู่    นรกกล
ทางที่ควร               ต้องบำเพ็ญ สู่มรรคผล
สร้างกุศล               เป็นโล่ป้อง   พ้นพิบัติ

พัศดี   :  ข้าพเจ้าจะอธิบายโดยละเอียดให้ทราบ ผู้ที่มารับการลงโทษอยู่ที่นี่ ก็ไม่เชิงในจำนวนทั้งหมดของผู้ที่ชอบเต้นรำหรอก ที่ถูกลงโทษในแดนนรกนั้น เป็นพวกที่อาศัยเสพสุขจากการเต้นรำในแดนมนุษย์โดยไม่ใช่เพื่อการออกกำลังกาย แต่เป็นการลุ่มหลงในกาม ฝ่ายหญิงก็เป็นสาวสังคมให้เขารัดกอดโดยไม่เลือกหน้า เพื่อจะได้มาซึ่งเงินทอง เมื่อเลิกจากเต้นรำแล้ว ก็ถูกหิ้วออกไปดำเนินการทางเพศอีก หรือผู้ที่ไม่เชื่อฟังการสั่งสอนของพ่อแม่เมื่อตอนอยู่ในโลกมนุษย์ ไม่ไปสถานที่ถูกต้องตามทำนองครองธรรมที่ให้คุณประโยชน์แก่จิตใจ ร่างกายแห่งการร่ายรำต่าง ๆ ที่รักชอบการเต้นรำ มักมากในกาม ไม่รักนวลสงวนตัว หากที่เต้นไปนั้นเป็นการทำให้เนื้อเอ็นไขข้อเกิดการเคลื่อนไหว ซึ่งเป็นการเต้นที่ถูกต้องมีประโยชน์ต่อจิตใจ ร่างกาย พวกเหล่านี้แดนนรกนี้จะไม่ลงโทษ ที่ถูกตัดสินให้ตกลงมาแดนนรกนี้ เป็นผู้ที่ทำการซื้อขายในเรื่องกาม  เป็นที่เสื่อมเสียประเพณีเป็นที่ตั้ง จึงขอเตือนชาวโลกให้ใช้พลังทรัพย์ในทางบันเทิงที่ถูกทำนองคลองธรรม มิเช่นนั้นตายลงแล้วต้องมารับความทรมานใน  "ฟลอร์นรก"

หยางเซิง   :  พูดอย่างนี้จึงสมเหตุสมผล มิเช่นนั้นกาลสมัยมันเปลี่ยนแปลง มีทั้งแบบนิยมใหม่จากต่างประเทศ ประเทษเรามีศีลประจำชาติ แห่งการออกกำลังกายดำเเนินการอยู่ ชาวต่างประเทศก็ใช้การเต้นรำเป็นการเสริมสร้างร่างกายให้แข็งแรง โดยถือเป็นการกีฬา แต่ดำเนินการในทางยั่วยวน

อรหันต์จี้กง   :  คืนนี้เวลาหมดลง เราศิษย์ - อาจารย์กลับสำนักเถอะ ขอขอบคุณท่านพัศดีที่ได้ให้ความชี้แจงอธิบาย หยางเซิงขึ้นบนดอกบัวเร็ว

หยางเซิง   :  ขอรับกระผม  ขอบคุณท่านพัศดีมาก กระผมนั่งเรียบร้อยแล้ว

อรหันต์จี้กง   :  เริ่มเดินทางกลับสำนัก ... ถึงแล้วสำนักเซี้ยเฮี้ยงตึ้ง หยางเซิงลงจากดอกบัว วิญญาณกลับเข้าสู่ร่างเดิม
หัวข้อ: เที่ยวเมืองนรก ครั้งที่ 14 ตอน ท่องสระน้ำแข็งนรกน้อย
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 13/04/2012, 01:15
                                        เที่ยวเมืองนรก

                     ครั้งที่ 14  วันเสาร์ที่ 20  พฤศจิกายน  พ.ศ. 2519

                         ตอน ท่องสระน้ำแข็งนรกน้อย   

        ท่านอรหันต์จี้กงเสด็จลงตรัสเป็นกลอน มีความว่า   :

        ลมหนาวโกรก        ซาบซ่าน        เหน็บกระดูก
บาปบุญปลูก                 เปรียบเสมือน   สนหินเกย
ขุนเขาเขียว                   หิมะโปรย       เปลี่ยนขาวเลย
ต้นไผ่ - เหมย                ยืนตระหง่าน    บ่หวั่นไหว

อรหันต์จี้กง   :  ฤดูใบไม้ร่วงค่อย ๆ จากไป ฤดูหนาวก็ต่อเนื่องเข้ามาอากาศเปลียนแปลงมากหลาย ชาวโลกเกิดการเจ็บป่วยขึ้นเป็นเนืองนิตย์ ก็เพราะเหตุว่าไม่สามารถปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของอากาศ วันนี้ฉันจะพาหยางเซิงท่อง  "นรกน้ำแข็ง"  มาเจอกับลมหนาวโกรกโชยหนาวจับกระดูกนี้อีก มิรู้ว่าหยางเซิงจะทนไหวหรือไฉน ?.

หยางเซิง   :   ท่านอาจารย์ครับ !  ผมเพิ่งหายจากเป็นหวัด วันนี้อากาศก็หนาวจัดอย่างนี้ ผมว่าวันอื่นค่อยไป  "นรกน้ำแข็ง"  กันเถิด ไปเที่ยวชมแห่งอื่นก่อนนะครับ  มิทราบว่าท่านอาจารย์มีความเห็นประการใด ?.

อรหันต์จี้กง   :  เป็นไปได้อย่างไร ?. ได้สั่งให้จัดการท่องชม  "นรกน้ำแข็ง"  ไปแล้ว จะเกิดการเปลี่ยนแปลงกลางคันไม่ได้ หากว่ากลัวทนต่อความหนาวไม่ไหว ข้าจะให้  "ยาวิเศษอุ่นกาย  บำรุงใจ"  3 เม็ด กินเข้าไปเร็ว อย่าได้ประวิงเสียเวลา

หยางเซิง   :  ขอขอบคุณท่านอาจารย์ประทานยาทิพย์ ผมกลืนลงแล้ว โอย !  รู้สึกร้อนไปทั่วกาย ความหนาวหายไปโดยสิ้นเชิงไม่เหลือหลอ

อรหันต์จี้กง   :  รีบขึ้นบนดอกบัวเร็ว

หยางเซิง   :  กระผมนั่งเรียบร้อยแล้ว

อรหันต์จี้กง   :  ถึงแล้วละ ลงจากดอกบัวเร็ว

หยางเซิง   :  เบื้องหน้าไฉนจึงไม่มีร่องรอยคนแม้แต่นิดเดียว ?. เพียงเห็นแต่ขาวโพลนไปหมดทั่วภูเขาราวกับว่าหิมะตก ไม่เห็นมีเมฆไม้ที่เขียวชอุ่มเลยมีแต่ซากไม้ ซากกิ่งอยู่โหรงเหรง ที่นี้หรือที่ใดมิทราบ ?.

อรหันต์จี้กง   :  ที่นี้ใกล้ชิดกับ  "นรกน้ำแข็ง"  ภูเขานี้ได้รับความเย็นจากน้ำแข็งที่เย็นจัด มีหิมะตกตลอดปี จึงหนาวจัดผิดปรกติ เรามิได้เดินทางในยมโลก ฉะนั้นจึงไม่เห็นวี่แววของผู้คน เพราะว่านั่งอยู่บนดอกบัว เป็นการเหาะเหินเดินอากาศ เจ้าตามฉันเดินเลียบตามเชิงเขาข้างซ้าย ก็จะบรรจบถึง  "นรกน้ำแข็ง" 

หยางเซิง   :  สถานที่เปล่าเปลี่ยนเช่นนี้ปราศจากถนนหนทาง ต้นไม้ต้นไร่ล้วนถูกความหนาวครอบตายจนหมด ปรากฏเป็นภาพตายซากเดียวดาย ยิ่งใกล้เข้ายิ่งรู้สึกหนาวเย็นจับใจ ชะรอยยาทิพย์ 3 เม็ดนั้นจะค่อยเสื่อมพลังยาลงแล้วกระมัง ?.   
หัวข้อ: เที่ยวเมืองนรก ครั้งที่ 14 ตอน ท่องสระน้ำแข็งนรกน้อย
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 13/04/2012, 01:52
                                         เที่ยวเมืองนรก

                     ครั้งที่ 14  วันเสาร์ที่ 20  พฤศจิกายน  พ.ศ. 2519

                         ตอน ท่องสระน้ำแข็งนรกน้อย   

        ท่านอรหันต์จี้กงเสด็จลงตรัสเป็นกลอน มีความว่า   :

        ลมหนาวโกรก        ซาบซ่าน        เหน็บกระดูก
บาปบุญปลูก                 เปรียบเสมือน   สนหินเกย
ขุนเขาเขียว                   หิมะโปรย       เปลี่ยนขาวเลย
ต้นไผ่ - เหมย                ยืนตระหง่าน    บ่หวั่นไหว

อรหันต์จี้กง   :  พลังยามิได้เสื่อมคลายลง เป็นเพราะยาทิพย์เกิดการหมุนเวียนของกำลังยา สักครู่จะเกิดความอบอุ่นไปทั่วตัว 3 วันเต็ม ๆ ยังไม่เสื่อมคลาย เจ้าจงวางใจได้ ฉันจะไม่ปล่อยให้เจ้าหนาวตายดอก

หยางเซิง   :  ข้างหน้ามีบ้านช่องอยู่แถวหนึ่ง ล้วนสร้างด้วยไม้ทาด้วยสีดำ บนหลังคายังมีหิมะปกคลุม หน้าบ้านมีเสาไม้ 2 อันตั้งโด่งอยู่ มีไม้อันหนึ่งแขวนอยู่ตรงกลาง บนนั้นเขียนว่า  "นรกน้ำแข็ง"  ข้างหน้าคุกนรกมีทางเล็กอยู่ทางหนึ่งตรงเข้าไปในบ้าน ไฉนการตกแต่งจึงซอมซ่อสิ้นดี ?.

อรหันต์จี้กง   :  เพราะเหตุว่าคุกนี้ถูกปกคลุมด้วยน้ำแข็ง วิญญาณโทษล้วนถูกแช่จนแข็งกระด้างไปหมด ไม่สามารถหลบหนีได้ การตกแต่งก็เลยทำอย่างลวก ๆ

หยางเซิง   :  บนถนนมียมทูต 2 - 3 คนคุมตัวหญิงชายสิบกว่าคน มิทราบว่าไปรับการลงโทษที่คุกนั้นหรือไฉน ?.

อรหันต์จี้กง   :  ใช่แล้ว พัศดีกับนายทหารเดินมาอยู่ข้างหน้าแล้ว เจ้าหยางเซิงเตรียมการเข้าพบแสดงความคารวะ

หยางเซิง   :  ขอแสดงความคารวะต่อท่านพัศดีกับนายทหาร  เราทั้งสองได้รับเทวโองการท่องนรก ขอได้โปรดชี้แจงอธิบายด้วยเถิด

พัศดี   :  ท่านอาจารย์และหยางเซิงจงอย่าได้มีพิธีคารวะเลย เมื่อครู่นี้ได้รับคำสั่งจากเจ้าฉอกังอ๊วง ทราบว่าท่านอาจารย์และหยางเซิงแห่งสำนักเซี้ยเฮี้ยงตึ้งเมืองมนุษย์จะมาเยี่ยมชมคุกนรกแห่งนี้ นำเอาความจริงไปตีพิมพ์ใน  "เที่ยวเมืองนรก"  เพื่อกระตุ้นเตือนกอบกู้ช่วยชาวโลก เชิญท่านทั้งสองตามข้าพเจ้าเข้าไปปตรวจชมข้างใน

หยางเซิง   :  ขอบคุณมาก .....

อรหันต์จี้กง   :  เราจะเข้าไปชมดูใน  "นรกน้ำแข็ง"  โดยตรงไม่ต้องเข้าไปในบ้านละ

พัศดี   :  ก็ดีครับ

หยางเซิง   :  "สระน้ำแข็งนรก"  อยู่ในท่ามกลางระหว่างภูเขา  2 ลูก ภายในคล้ายกับสระว่ายน้ำของแดนมนุษย์ แบ่งออกเป็นหลายพันบ่อ มองจากทางไกลไม่สู้แจ่มชัดนัก ภายในสระมีทั้งหญิงและชาย บนกายนุ่งใส่เสื้อชั้นในเท่านั้น ท่อนล่างของร่างกายส่วนมากมองไม่เห็น ถูกล้อมรอบด้วยน้ำแข็งทุกคนมีสีหน้าเขียวอื้อ ริมฝีปากดำมือไม้สั่นเทา ไม่สามารถแม้จะส่งเสียงร่ำร้อง เพียงแต่ครวญครางอย่างหมดเรี่ยวหมดแรง ผู้เฒ่า 2 คนที่อยู่ต่อหน้านั้น ใช้สายตาวิงวอนเพ่งมายังกระผม ประหนึ่งว่ามีอะไรจะพูดด้วย ขอเรียนถามท่านอาจารย์ว่า จะช่วยกู้มันขึ้นมาเพื่อพ้นจากความทรมานด้วยการถูกแช่น้ำแข็งจะได้ไหม?.
หัวข้อ: เที่ยวเมืองนรก ครั้งที่ 14 ตอน ท่องสระน้ำแข็งนรกน้อย
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 15/04/2012, 02:18
                                       เที่ยวเมืองนรก

                     ครั้งที่ 14  วันเสาร์ที่ 20  พฤศจิกายน  พ.ศ. 2519

                         ตอน ท่องสระน้ำแข็งนรกน้อย   

        ท่านอรหันต์จี้กงเสด็จลงตรัสเป็นกลอน มีความว่า   :

        ลมหนาวโกรก        ซาบซ่าน        เหน็บกระดูก
บาปบุญปลูก                 เปรียบเสมือน   สนหินเกย
ขุนเขาเขียว                   หิมะโปรย       เปลี่ยนขาวเลย
ต้นไผ่ - เหมย                ยืนตระหง่าน    บ่หวั่นไหว

พัศดี   :  ข้าพเจ้าจะให้วิญญาณโทษ 2 - 3 ตนขึ้นมาบนฝั่ง ท่านถามได้เลย

หยางเซิง   :  ดีซีครับ ขอถามผู้เฒ่าผู้นี้  ท่านรู้สึกรสชาติที่อยู่ที่นี้เป็นอย่างไรบ้าง ?.

วิญญาณโทษ   :  น้ำแข็งมืดฟ้ามัวดิน เสื้อผ้าแบบบางนุ่งเพียงกางเกงชั้นใน กระผมไม่มีเรี่ยวแรงที่จะพูดได้แล้ว ทั่วกายจากศรีษะจนถึงปลายมือปลายเท้าหนาวจนแข็งทื่อหมด ใกล้จะวายปราน .....

พัศดี   :  นายทหาร รีบเอาน้ำขิงมาให้มันกินเสียเพื่อช่วยเพิ่มพลังกายกำลังวังชา

นายทหาร   :  กินเข้าเร็ว แล้วจงสารภาพรายละเอียดที่เจ้าได้ทำบาปอย่างไรในแดนมนุษย์ทั้งหมดมา เพื่อลงตีพิมพ์ในหนังสือปลอบกล่อมช่วยกอบกู้ผู้คนอย่าได้เอาแบบอย่างของเจ้า จะได้มิต้องตกลงคุกนรกนี้เมื่อหลังจากตายแล้ว

วิญญาณโทษ   :  ขณะที่กระผมอยู่ในโลกมนุษย์ ชอบในการสะสมแสตมป์และเหรียญตราโบราณต่าง ๆ ตอนมีอายุได้ 45 ปี ได้รู้จักเพื่อนคนหนึ่งที่มีรสนิยมตรงกัน เราทั้งสองในยามว่างก็มีการสังสรรค์ดื่มน้ำชากัน สนิทสนมราวกับเป็นพี่น้องร่วมสาบาน อยู่มาวันหนึ่ง เราจะออกเดินทางไกลไปต่างประเทศโดยเกรงว่าพวกแสตมป์และเหรียญโบราณที่มีราคาค่างวดแสนแพงซึ่งตนสะสมอยู่นั้นถูกขโมยจึงได้ไปฝากไว้กับกระผม เพราะว่ากระผมเกิดความละโมบขึ้นมาในชั่วขณะหนึ่ง  จึงยักย้ายเอาของที่ฝากไว้นั้นไปยังแหล่งอื่น ต่อเมื่อเขาได้กลับมาแล้วทวงถามเอาสิ่งของที่ได้ฝากไว้คืน กระผมบอกเขาไปว่า "ต้องขอโทษเป็นอย่างยิ่ง เมื่อครึ่งเดือนก่อนที่ผ่านมานี้โดยขโมยขึ้นบ้านพลอยทำให้ของวัตถุโบราณที่มีราคาแพงทั้งหมด ถูกขนไปจนหมดเกลี้ยง"  เพื่อนผู้สนิทได้ยินแล้วจึงเจ็บซ้ำน้ำใจอาลัยอาวรณ์อย่างสุดซึ้ง ในเมื่อถูกขโมยเอาไปแล้วก็ไม่มีทางที่จะเอาคืนมาได้ ก็เลยตามเลย ตอนกระผมมีอายุได้  59 ปีเกิดเป็นมะเร็งในตับ เมื่อตายแล้ววิญญาณล่องลอยมายังยมโลก หารู้ไม่ว่ายมโลกได้มีการบันทึกข้อมูลความฉ้อฉลในทางปรพฤติชั่วของกระผมอยู่ก่อนแล้ว เมื่อผ่านการฉายปรากฏร่างเดิมต่อหน้ากระจกวิเศษแล้วในที่สุดก็ต้องก้มหน้ารับสารภาพผิด โดยถูกเจ้ายมบาลขุมที่สองตัดสันให้เข้ามาอยู่ใน  "แดนนรกสระน้ำแข็ง"  มีกำหนดโทษ 5 ปี  แต่ละวันถูกปิดทับด้วยน้ำแข็ง ตัวเย็นเนื้อแข็งแสนที่จะทรมาน จะสำนึกตัวได้มันก็สายเกินไปเสียแล้ว ขอท่านได้โปรดขอความกรุณาต่อพัศดีให้แก่กระผมด้วย ขอให้ยกโทษกระผมเสียเพื่อพ้นทุกข์ไปก่อนกำหนดจะได้ไหม ?.

หยางเซิง   :  ขอท่านพัศดีลดโทษให้เล็กน้อยจะได้หรือไ่ม่ประการใด ?.
หัวข้อ: เที่ยวเมืองนรก ครั้งที่ 14 ตอน ท่องสระน้ำแข็งนรกน้อย
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 15/04/2012, 02:55
                                         เที่ยวเมืองนรก

                     ครั้งที่ 14  วันเสาร์ที่ 20  พฤศจิกายน  พ.ศ. 2519

                         ตอน ท่องสระน้ำแข็งนรกน้อย   

        ท่านอรหันต์จี้กงเสด็จลงตรัสเป็นกลอน มีความว่า   :

        ลมหนาวโกรก        ซาบซ่าน        เหน็บกระดูก
บาปบุญปลูก                 เปรียบเสมือน   สนหินเกย
ขุนเขาเขียว                   หิมะโปรย       เปลี่ยนขาวเลย
ต้นไผ่ - เหมย                ยืนตระหง่าน    บ่หวั่นไหว

พัศดี   :  นั่นเป็นการตัดสินจากยมกฏ หากมิได้รับคำสั่งของท่านยมบาล ข้าพเจ้าก็มิมีอำนาจใดที่จะเปลี่ยนแปลงได้  ขณะนี้ให้มันกินน้ำขิงแก้หนาวก็นับว่าให้การเลี้ยงดูที่ดีแล้ว อย่าได้มีการขอร้องอะไรอีกเลย ท่านจะถามยายแก่นางนี้ที่ต้องตกมาอยู่คุกนรกนี้โดยเหตุอันใดอีกไหม ?.

หยางเซิง   :  ยายแก่นางนี้ถูกความหนาวคลอบจนทนไม่ไหวอยู่แล้ว  ล้มอยู่กับพื้นจะให้เธอตอบได้อย่างไร ?.  ท่านนายทหารขอน้ำขิงให้เธอกินบ้างเพื่อแก้หนาว เพื่อช่วยกระตุ้นให้ฟื้นคืนสติเถิด

นายทหาร   :  ก็ได้ รีบดื่่มเร็ว จงตอบคำถามของท่านหยางเซิง ท่านนี้ให้ดี ๆ นะ มิเช่นนั้นจะถูกทำโทษเพิ่มขึ้นอีก

วิญญาณโทษ   :  โอย !  ฉันทุกข์ทรมานเหลือเกิน น้ำแข็งหนาวจัดชนิดนี้คล้ายกับโรงเก็บศพ หรือหอตั้งศพที่แช่เย็นศพ โดยเฉพาะฉันนั้น ท่านเห็นทั่วกายออกสีเขียวคล้ำไม่มีสีเลือดแม้แต่น้อย ตอนฉันอยู่ในแดนมนุษย์ ได้เปิดซ่องนางโลมตั้งตนเป็นแม่เล้า อยู่บ้านต่ำ ๆ สับปะรังเค รับซื้อเด็กสาวไว้สิบกว่านาง ในจำนวนนั้นมีพวกชนเผ่าบนภูเขา พวกผู้หญิงคนดีตามบ้าน  นักเรียนสาวที่หนีการเรียนบ้าง ให้รับแขกทุกวัน ถ้าผู้ใดไม่ทำตามคำสั่งก็ถูกคุมขังหรือให้พวกแมงดาข่มขู่จัดการ ได้เงินสกปรกก้อนโต ในจำพวกโสเภณีนั้น แม้จะมีแขกหรือญาติทางบ้านจะขอไถ่ตัวไปช่วยออกจากความขมขื่นนี้ กลับตัวเป็นอิสรเสรี เมื่อได้โอกาสใหญ่นี้ก็เรียกร้องเงินทองเป็นจำนวนมหึมา บางคนก็ไม่มีเงินพอที่จะไถ่ตัว จึงต้องให้ความสดสาวจมปลักลงไปตลอดชีพ ดิ้นรนกลิ้งเกลือกอยู่ในซ่อง ตอนฉันอายุได้ 51 ปี เนื่องจากร่ำสุรายาเมามากจัดตลอดเวลา ทำให้เกิดเส้นโลหิตในสมองแตกถึงแก่ความตาย  เมื่อตายแล้วจึงรู้ว่าถูกท่านยมบาลตัดอายุขัยไป 10 ปี  เพราะเหตุที่ก่อกรรมทำเข็ญไว้มากล้นเหลือ ถูกตัดสินให้เข้าไปอยู่  "นรกอุจจาระ - ปัสสาวะ"  5 ปี ครบการลงโทษแล้วจึงย้ายมาถูกตัดสินเข้า  "นรกน้ำแข็ง"  อีก 31 ปี เมื่อครบโทษแล้วยังไม่รู้จะต้องถูกส่งไปขุมไหนลงโทษอะไรอีก !  ตั้งแต่ตายลงจนถึงปัจจุบันนี้ได้รับความทุกข์ทรมานจากอุจจาระ - ปัสสาวะ  น้ำแข็ง ความทุกข์ในอนาคตยังมีอีกมาก เป็นการทรมานอย่างแสนสาหัสที่แท้จริง ทั้งนี้ต้องโทษตัวเองที่สร้างบาปสร้างเวรมากเกินเท่านั้น

พัศดี   :  เปลี่ยนวิญญาณโทษหญิงคนสุดท้ายนี้ให้เล่าสารภาพความผิดตอนที่อยู่ในแดนมนุษย์นั้นมีสภาพเช่นไรโดยเร็ว นายทหารรีบให้น้ำขิงเพื่อคืนสติ เพื่อที่จะสะดวกในการบอกเล่าพูดจา

นายทหาร   :  ขอรับคำบัญชา ..... ได้ให้กินแก้หนาวไปแล้ว

หยางเซิง   :  ขอถามสุภาพสตรีผู้นี้  ไฉนเธอจึงได้ตกมายัง  "นรกน้ำแข็ง"
หัวข้อ: เที่ยวเมืองนรก ครั้งที่ 14 ตอน ท่องสระน้ำแข็งนรกน้อย
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 5/05/2012, 15:07
                                      เที่ยวเมืองนรก

                     ครั้งที่ 14  วันเสาร์ที่ 20  พฤศจิกายน  พ.ศ. 2519

                         ตอน ท่องสระน้ำแข็งนรกน้อย   

        ท่านอรหันต์จี้กงเสด็จลงตรัสเป็นกลอน มีความว่า   :

        ลมหนาวโกรก        ซาบซ่าน        เหน็บกระดูก
บาปบุญปลูก                 เปรียบเสมือน   สนหินเกย
ขุนเขาเขียว                   หิมะโปรย       เปลี่ยนขาวเลย
ต้นไผ่ - เหมย                ยืนตระหง่าน    บ่หวั่นไหว

วิญญาณโทษ   :  เมื่อพูดแล้วมีความอายระคนความแค้น (ทั้งอายทั้งแค้น) ขณะที่ดิฉันมีอายุ 18 ปีได้ร่วมกับคณะละครรำคณะหนึ่ง ได้ติดตามคณะออกไปแสดงทั่วทุกทิศ ขณะแสดงนั้นได้มีการแสดงเปลื้องผ้าเป็นประจำเพื่อดึงดูดความสนใจของผู้ชม ต่อมาเพราะเหตุกิจการไม่เจริญ คณะละครสลายตัวเลยเปลี่ยนอาชีพมาเป็นนางทางโทรศัพท์ (โสเภณีชั้นสูง) ถูกเรียกตัวไปรับแขกเป็นประจำ หรือแสดงการเปลื้องผ้าให้แขกชมตามรายการ ก็เลยรู้จักสนิทสนมกับแขกคนหนึ่งซึ่งเป็นพ่อค้ามีเงินกินอยู่ด้วยกันตามลำพังในฐานะเมียน้อย ครั้นตกมาถึงตอนอายุ 36 ปี เราสองคนเกิดมีความคิดเห็นขัดแย้งกัน ก็เลยแยกทางกันไป ในขณะที่คิดไม่ตกเลยกลืนยาพิษฆ่าตัวตาย แล้วก็เลยตกไปอยู่ "เมืองผีตายโหง"  ถูกคุมขังอยู่ 5 ปี ต่อมาถูกตัดสินให้เข้ามาอยู่ "นรกน้ำแข็ง"มาจนทุกวันนี้  เป็นเวลา 3 ปีแล้วและยังเหลือโทษอีก 12 ปี จึงจะหมดการลงอาญารับความทุกข์ทรมานยิ่งนัก แต่ละวันโดนทับอยู่ใต้น้ำแข็ง แม้นขาแข้งชาหนาวเย็นเสียดใจจะสำนึกตัวได้ก็สายเสียแล้ว จึงขอเตือนสตรีเพศในโลกมนุษย์ อย่าได้เอาเยี่ยงอย่างดิฉันที่หลงในทางผิดเป็นอันขาด

พัศดี   :  วิญญาณโทษผู้นี้ ขณะอยู่ในโลกมนุษย์ไม่ประกอบอาชีพสุจริต เลือกแสดงทางระบำลามกเปลื้องผ้าโดยเฉพาะทำลายประเพณีอันดีงาม เมื่อตอนมีชีวิตอยู่ไม่ชอบนุ่งห่มเสื้อผ้า ตายแล้วต้องถูกตัดสินให้ตกลง  "นรกน้ำแข็ง" ทันที ให้มันหาเสื้อผ้ากันหนาวก็ไม่มีทางจะหาได้ ทำเองรับเอง สมควรแก่โทษแล้ว วิญญาณนี้ยังมีโทษอื่นเหลืออยู่อีก เมื่อครบกำหนดโทษแล้วต้องส่งต่อไปให้ขุมอื่น ขอให้หญิงในโลกมนุษย์จงจำแบบอย่างจากนี้เถิด นายทหารรีบนำวิญญาณโทษทั้ง 3 ลงไป

หยางเซิง   :  ทั้วทั้งนรกหมอกขาวเหมือนควัน รู้สึกมีความหนาวอยู่บ้าง

อรหันต์จี้กง   :  นั่นคือการกระจายออกของควันเย็นไอหนางละ

พัศดี   :  บรรดาชาวโลกที่ได้รับฝากทรัพย์สินเงินทองจากผู้อื่นแล้ว จัดการแปรเปลี่ยนอย่างลับ ๆ หรือโกงเอาเสียเลย หรือเปิดซ่องค้าประเวณี และไม่ยอมให้หญิงโสเภณีไถ่ตัว หรือผู้ที่ใช้จ่ายฟุ่มเฟือยเกินควร  สุรุ่ยสุร่าย  ดูหมิ่นสินค้าที่ผลิตขึ้นในประเทศของตนที่สวมใส่ต้องเป็นอาภรณ์ที่ส่งมาจากต่างประเทศ เพื่อที่จะอวดแสดงว่าตนเองร่ำรวยมีเงิน ไม่รู้จักใช้เงินทองที่เหลือใช้นั้นซื้อสินค้า  เสื้อผ้า - ผ้าห่มแจกจ่ายคนจนให้รอดพ้นในฤดูหนาว หรือพวกสตรีที่ชอบแสดงตัวในที่สาธารณะนุ่งกระโปงสั้น - เปิดหลัง  เจตนาเปิดเผยร่างกายเพื่อยั่วยุให้คนหลงรักนั้น ไอ้การที่ไม่กลัวหนาว และชอบประดับประดาสวยงามเหล่านี้ เมื่อตายลงแล้วตัดสินให้ตกเข้าไป "นรกน้ำแข็ง"  ให้มันได้รับรสชาติแห่งความเย็นฉ่ำ

อรหันต์จี้กง   :  คืนนี้เวลาหมดลง เราจะกลับสำนักละ

หยางเซิง   :  ขอขอบคุณท่านพัสดี กับนายทหารที่ให้การแนะนำชี้แจง ลาก่อนละ

พัศดี   :  ขอนมัสการส่งท่านอาจารย์

อรหันต์จี้กง   :  เจ้าหยางเซิงรีบขึ้นดอกบัวเร็ว

หยางเซิง   :  กระผมนั่งเรียบร้อยแล้วครับ ท่านอาจารย์

อรหันต์จี้กง   :  กลับสำนักได้แล้ว  ถึงสำนักแล้ว หยางเซิงลงจากดอกบัว วิญญาณกลับเข้าสู่ร่างดังเดิม
หัวข้อ: เที่ยวเมืองนรก ครั้งที่ 14 ตอน ท่องสระน้ำแข็งนรกน้อย : นรกขุมที่สอง
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 5/05/2012, 15:20
        นรกขุมที่สอง     ดัดสันดาน        ผีดื้อด้าน     
มีหลักฐาน                ที่ทำผิด           ต้องชำระ     
แช่โคลนตม              อุจจาระ           ปัสสาวะ     
คนตะกละ                 คอร์รัปชั่น        เอาเปอร์เซ็นต์
        อีกล้มแชร์        หลอกลวงหญิง   ไปขายช่อง
กินเงินทอง               ของสกปรก       ได้คล่องคอ   
คงต้องให้                 ลองลิ้มรส         ขี่เยี่ยวหนอ
คงจะพอ                   กับความผิด       ที่ริทำ
        พวกพ่อค้า         กินฟุ่มเฟือย       ภัตตาคาร
สวัสดิการ                 กับคนงาน         ยิวแสนยิว
กิจการ                    งานกุศล           ก็บิดพริ้ว
ยมบาลกริ้ว               ตกนรก            แดนหิวโหย
หัวข้อ: เที่ยวเมืองนรก ครั้งที่ 15 ตอน พบเจ้ายมบาลขุมที่ 3 (ซ่งตี่อ๊วง) : นรกขุมที่สาม
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 8/06/2012, 08:45
                                 นรกขุมที่สาม

     ขุมที่สาม        แดนนรก        สุดอักโข
พวกยะโส            เหยียดหยามคน บ่นอิจฉา
ชอบดูถูก            ดูแคลน           เขาเรื่อยมา
ถูกควักตา           ให้ถลน            ชดใช้กรรม

      อีกขอทาน     หน้าทน        งานไม่ทำ
ชอบลูบคลำ        ทำหน้าด้าน    ลวนลามหญิง
ตกนรก              เหล็กขูดหน้า   เจ็บปวดยิ่ง
กรรมเป็นสิ่ง        ที่ตนก่อ         จะโทษใคร

     ส่วนพวกที่        ลืมตน        ลืมฐานะ
ไม่มีกาล               เทศะ         ที่ต่ำสูง
พอชีพดับ              ตกนรก       ถูกลากจูง
ขึ้นที่สูง               แขวนหัวทิ่ม  เจาะอุ้งตีน                     
หัวข้อ: เที่ยวเมืองนรก ครั้งที่ 15 ท่องขุมที่ 3 ตอน พบเจ้ายมบาลขุมที่ 3 (ซ่งตี่อ๊วง)
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 8/06/2012, 09:53
                                         เที่ยวเมืองนรก

                     ครั้งที่ 15  วันจันทร์ที่ 29  พฤศจิกายน  พ.ศ. 2519

                                         ท่องขุมที่ 3

                            ตอน พบเจ้ายมบาลขุมที่ 3  (ซ่งตี่อ๊วง)

        ท่านอรหันต์จี้กงเสด็จปรากฏตัว ตรัสเป็นกลอน มีความว่า   :

     เขียนบททรง        แต่งตำรา        ประกาศธรรม
พระรำพัน                 สิ่งจริงแท้        ยมโลก
ด่านนรก                  รับทรงศีล        อย่าสะทก
ไม่โกหก                  มิต้องกลัว       ยมบาล

อรหันต์จี้กง   :  การท่องนรกในวันนี้ เข้ามาเป็นระยะที่สามแล้ว 10 ขุมในแดนนรก  เราสรรหาเยี่ยมชมแต่ที่มีเอกลักษณ์พิเศษของแต่ละสิ่ง ซึ่งแสดงออกถึงการเป็นแบบอย่างของขุมนั้น ๆ เท่านั้นก็เพียงพอแล้ว มิเช่นนั้นแล้ว จะเที่ยวชมนรกน้อยให้ทั่วทั้ง 10 ขุม โดยตลอดก็จะต้องใช้เวลาหลายปี ทั้งนี้ก็เพราะเหตุว่าต้องการจะให้หนังสือ  "เที่ยวเมืองนรก"  ออกสู่โลกโดยเร็ว เพื่อช่วยกอบกู้ชักจูงมวลมนุษย์ ดังนั้นจึงเลือกชมแต่สิ่งที่มีความสำคัญเท่านั้น เจ้าหยางเซิง เตรียมท่องนรก รีบขึ้นบนดอกบัวเร็ว

หยางเซิง   :  ขอรับคำบัญชา กระผมนั่งเรียบร้อยแล้วครับท่านอาจารย์ เริ่มเดินทางได้แล้วละ .....

อรหันต์จี้กง   :  ถึงแล้วละ รีบลงจากดอกบัวเร็ว

หยางเซิง   :  เบื้องหน้ามีหอสูงอยู่หลังหนึ่ง คล้ายกับสถานที่ปิดประกาศของเมืองมนุษย์  มีกระดาษสีแดงปิดอยู่บนนั้น พวกข้าราชการยมโลกและยมทูตหลายคนรุมล้อมอ่านกันเสียงขรมอยู่ เราจะเดินหน้าเข้าไปดูบ้างว่าในนั้นได้เขียนอะไรไว้บ้าง

อรหันต์จี้กง   :  ข้ารู้แล้วละ เจ้าอยากชมก็รีบไปเถิด

หยางเซิง   :  พวกข้าราชการของยมโลกและยมทูต เมื่อเห็นเราเดินมา ไฉนแต่ละคนแสดงความหวาดหวั่นประหลาดใจออกนอกหน้า ต่างก็หลบหลีกไป ?

อรหันต์จี้กง   :  พวกยมทูต - ข้าราชการเหล่านี้รู้ว่าเจ้าน่ะเป็นคนในอดนมนุษย์ ในกายได้พกพาเทวโองการมา จึงหลบหลีกไม่กล้าละเมิด ดูซิ ... กระดาษสีแดงที่ประกาศนั้น เขียนว่าอย่างไรกัน ?. 
        ที่แท้คือเทวโองการของท่านเง็กเสียงอ๊วงตี่  เขียนไว้ว่า  :  จอมศาสดาแห่งยมโลก ได้รับเทวโองการจากเง็กเสียงอ๊วงตี่ มีความว่า  ข้าฯ สถิตเบื้องสวรรค์สืบราชสมบัติมาเป็นเวลาสามพันปีแล้ว ทรงอำนาจสิทธิ์ขาดตลอดเก้าชั้นนรก และหกทางแห่งการเกิดของดวงวิญญาณ ย้อนทวนจากวิญญาณเดิมลงมาประทับยังแดนมนุษย์เป็นต้นมา สมัยโบราณกาลนั้น จิตใจของผู้คนละมุนละม่อม ดวงกมลผุดผ่องบริสุทธิ์ ดังนั้นเมื่อเกิดก็เกิดเป็นมนุษย์ เมื่อตายก็ขึ้นสวรรค์ อันความจริงนั้นไม่มีนรก ตราบมาจนสมัยกลาง จิตใจคนเริ่มชั่วช้า ดวงกมลค่อยเคล้าเปื้อนด้วยผงธุลี ความทำนองคลองธรรมเกิดวิปริต ต่างสร้างกำแพงปิดล้อมก็เลยสร้างนรกขึ้นเอง นอกจากปฏิบัติด้วยความซื่อสัตย์สุจริต  กตัญญู  สงวนตัวในทางดี  เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และฝึกตนบำเพ็ญธรรมแล้ว นอกจากที่กล่าวมานี้แล้ว ทุก ๆ คนต้องตกลงในห้วงแห่งเวียนว่ายตายเกิด ขณะนี้เราได้พบกับโลกที่อุบาทว์ สรรพสิ่งวุ่นวายอึกทึก ใจคอของคนกลับโหดร้ายยิ่งขึ้น ก่อกรรมทำชั่วไม่เคยหยุดหย่อน เฉพาะอย่างยิ่งเพลิงแห่งคาวโลกีย์โหมแรงเหลือหลาย วิญญาณดั้งเดิมแห่งความเที่ยงแท้บริสุทธิ์ของฟ้าดินหลุดร่วงหล่นหาย โดยสร้างเคราะห์กรรมให้กับตนเองจึงเกิดฆาตเคราะห์เป็นเนืองนิตย์ สวรรค์ท่านมีความเมตตาไม่อาจทนดูมวลชนตกต่ำ จึงประกาศพระธรรมที่เที่ยงแท้ ในขณะที่มนุษย์ก่อกรรมมหาศาล คอยช่วยผู้คนที่มีบุญสุนทาน บัดนี้สำนักธรรมเซี้ยเฮี้ยงตึ้ง เมืองไถ่ตง ซึ่งขึ้นตรงต่อสวรรค์ด้านใต้แห่งชมพูทวีป  อำมาตย์กวน  ผู้ได้รับเทวโองการให้เปิดทรงวิญญาณประกาศธรรมเพื่อสืบต่อความเมตตาเอื้ออารีจากท่าน  ขงจื้อ - เม่งจื้อ  ในกาลก่อน และรับช่วงธรรมะอันถ่องแท้จากพุทธ เต๋า ในกาลต่อมา เผยแพร่ศีลธรรม วัฒนธรรมกอบกู้ โปรดสัตว์ทั่วแผ่นดินมีผลงานที่เฉิดฉายเจิดจ้า  ข้าฯ ต้องการที่จะให้ชาวโลกทราบถึงความจริงแห่งเมืองนรก จึงได้มีโองการสั่งไปยังสำนักเซี่ยเฮี้ยงตึ้งเขียนแต่งหนังสือมณีพจน์  "เที่ยวเมืองนรก"  ขึ้น  สั่งให้ท่านอรหันต์จี้กงนำพาหยางเซิงนักทรงพู่กันศักดิ์สิทธิ์นำวิญญาณท่องนรกทั้ง 10 ขุม นำเหคุการณ์ในการลงโทษของแต่ละขุมเผยต่อมวลชน และในระหว่างท่องนรกนั้นแสดงออกถึงหลักธรรมอันถ่องแท้เพื่อปลิดทำลายทิ้งความงมงายของชาวโลกด้วย ในระหว่างการแต่งหนังสือ เมื่อท่านอรหันต์จี้กงนำหยางเซิงเสด็จถึงแห่งใดแล้ว  ให้ข้าราชการบริพารของแต่ละขุมทำการต้อนรับช่วยกันเขียนแต่งหนังสือ เพื่อที่มณีพจน์เล่มนี้จะได้เสร็จสิ้นแต่เนิ่น ๆ เมื่อทราบเทวโองการแล้วให้ปฏิบัติตาม หากมีการขัดขืนคำสั่งจะถูกทำโทษอย่างมหันต์ จึงประกาศให้ทราบดังกล่าว ณ  วันที่ 15  กันยายน พ.ศ. 2519  ที่แท้คือเทวโองการของท่านเง็กเสียงอ๊วงตี่ ให้นรกทุกขุมปฏิบัตินั่นเอง

อรหันต์จี้กง   :  ใช่แล้ว  จะแต่งหนังสือ  "เที่ยวเมืองนรก"  นอกจากมีเทวโองการไปยังแดนมนุษย์แล้ว แดนนรกก็ต้องออกประกาศเช่นกัน รีบเดินไปข้างหน้าเถิด ไปเยี่ยมคำนับท่าน  ซ่งตี่อ๊วง  แห่งนรกขุมที่ 3

หยางเซิง   :  นรกขุมที่ 3 ห่างไกลจากที่นี่กี่มากน้อยมิทราบ ?. บนถนนเห็นแต่พวกยมทูตและพวกวิญญาณผีเดินกันไป ๆ มา ๆ ไม่เห็นปราสาทของขุมเลย

อรหันต์จี้กง   :  ไม่ไกลนักจะถึงแล้ว รีบขึ้นดอกบัวเถอะ เพื่อประหยัดเวลา

หยางเซิง   :  เอาละครับ  เริ่มเดินทางได้ .....

อรหันต์จี้กง   :  ถึงแล้วละ ลงจากดอกบัวเร็ว ข้างหน้าคือขุมที่ 3  รีบเข้าไปทำความเคารพท่านยมบาลซ่งตี่อ๊วง  และตุลาการทั้งฝ่ายพลเรือน - ทหาร  ได้พร้อมกันออกจากปราสาทมาต้อนรับเราแล้ว

หยางเซิง   :  ขอรับกระผม  คำนับมายังท่านซ่งตี่อ๊วงและเทวทูตทั้งหลาย วันนี้เรารับเทวโองการให้ท่องนรกแต่งหนังสือ ขอได้โปรดให้การแนะนำชี้แจงด้วย   
หัวข้อ: เที่ยวเมืองนรก ครั้งที่ 15 ท่องขุมที่ 3 ตอน พบเจ้ายมบาลขุมที่ 3 (ซ่งตี่อ๊วง)
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 9/06/2012, 04:50
                                        เที่ยวเมืองนรก

                     ครั้งที่ 15  วันจันทร์ที่ 29  พฤศจิกายน  พ.ศ. 2519

                                         ท่องขุมที่ 3

                            ตอน พบเจ้ายมบาลขุมที่ 3  (ซ่งตี่อ๊วง)

        ท่านอรหันต์จี้กงเสด็จปรากฏตัว ตรัสเป็นกลอน มีความว่า   :

     เขียนบททรง        แต่งตำรา        ประกาศธรรม
พระรำพัน                 สิ่งจริงแท้        ยมโลก
ด่านนรก                  รับทรงศีล        อย่าสะทก
ไม่โกหก                  มิต้องกลัว       ยมบาล

ซ่งตี่อ๊วง   :  เชิญลุกขึ้นเถิดมิต้องมีพิธีมากนัก ทราบมานานแล้วว่าสำนักของท่านตั้งใจประกาศเผยแพร่ศาสตร์อันศักดิ์สิทธิ์มาก และได้ชักนำผู้คนบำเพ็ญธรรม จนบรรลุผลบุญเป็นจำนวนมาก รู้สึกเลื่อมใสศรัทธามานานหนักหนา เชิญท่านทั้งสองเข้ามานั่งพักในปราสาทข้างในสักครู่เพื่อพบปะสังสรรค์กัน

หยางเซิง   :  ขอขอบคุณ ท่านยมบาลที่ชมเชย กระผมมิอาจกล้ารับด้วยความอาย สำนักของกระผม ภายใต้การนำของท่าน คู  และศิษย์ทั้งหลายร่วมแรงร่วมใจกัน ช่วยสวรรค์ท่านประกาศแนะนำ ก็เพื่อทำตามหน้าที่ของตนที่พึงมี มิกล้าเอื้อมอาจว่ามีคุณธรรมใหญ่ยิ่งประการใดเลย

อรหันต์จี้กง   :  ไม่ต้องเกรงใจ เราเข้าไปพักในปราสาทเถิด

ซ่งตี่อ๊วง   :  เชิญท่านทั้งสองนั่งตามสบาย โต๊ะม้าที่ทำด้วยไม้อันหยาบกระด้างนี้ ไม่นุ่มนิ่มเหมือนโซฟาของแดนมนุษย์ นายพลรีบถวายน้ำชาท่านทั้งสองเร็ว

นายพล   :  ขอรับคำบัญชา ท่านทั้งสองเชิญดื่มน้ำชาครับ

หยางเซิง   :  ขอขอบพระคุณมาก ห้องรับแขกห้องนี้ตกแต่งแบบวิจิตรโบราณ สะอาดมาก บนฝาผนังมีภาพศิลป์แขวนอยู่มากหลาย อบอวลด้วยบรรยากาศแห่งวรรณคดี

ซ่งตี่อ๊วง   :  ถูกต้องแล้ว ข้าราชบริพารของขุมนี้จะมาดื่มน้ำชาสังสรรค์ในยามว่างอยู่เสมอ ๆ เพราะเหตุว่าข้าราชการในแดนนรก ล้วนได้รับการเลือกเฟ้นเลื่อนขึ้นมาจากผู้สร้างบุญกุศลของโลกมนุษย์ ดังนั้นจึงอยู่ในสถานที่ที่สะดวกสบายแห่งนี้ได้ มิใช่ว่าแดนนรกล้วนแต่มีความทุกข์ทรมานก็หาไม่ แดนนรกก็เปรียบเสมือนคุกตะรางของแดนมนุษย์ ผู้ที่ได้รับทุกข์เข็ญล้วนเป็นพวกที่ต้องโทษ ดังนั้นผู้ช่วยซ้ายขวาของข้าพเจ้า ก็เหมือนกับข้าราชการพนักงานในเรือนจำของแดนมนุษย์ เดินเหินก็เป็นอิสระเสรี  ด้วยเหตุนี้หากจิตใจไม่ขาดกุศลบุญ ทำความดีสร้างบุญในแดนมนุษย์ เมื่อวิญญาณลอยมายังยมโลก ข้าพเจ้าก็ต้อนรับด้วยอัธยาศัยที่ดี  ข้อนี้ขอให้ชาวโลกทั้งหลายจงเข้าใจด้วย หากว่าตอนนี้อยู่ในโลกมนุษย์มีใจคอชั่วช้าฉ้อฉล  ความประพฤติชั่วร้ายโหดเหี้ยม ไม่ประกอบอาชีพที่สุจริต  เมื่อตายแล้วตกมายังแดนนรก มือต้องร้อยด้วยโซ่เหล็ก   หัวต้องใส่ขื่อคา  แส้หนังแส้เหล็กเฆี่ยนตี  จะมีความสุขสบายอย่างนี้ได้อย่างไรกัน

อรหันต์จี้กง   :  วันนี้เวลาหมดแล้ว เจ้าหยางเซิงเตรียมตัวกลับสำนัก ขอบคุณมากที่ท่านยมบาลให้การแนะนำ วันอื่นมีโอกาสจะได้มาเยี่ยมใหม่

หยางเซิง   :  ขอบพระคุณท่านยมบาล และท่านนายพลมาก ที่ได้ให้การต้อนรับอย่างอบอุ่นดียิ่ง เพราะว่าเวลาจำกัด เราจะกลับแล้วล่ะ ขอลาท่านทั้งหลายครับ   

ซ่งตี่อ๊วง   :  มิต้องมีการคารวะ ขอส่งท่านทั้งสองหวังว่ามาเที่ยวอีกครั้ง

อรหันต์จี้กง   :  รีบออกจากปราสาทเร็ว เตรียมกลับสำนัก

หยางเซิง   :  ฉุกละหุกวุ่นวายมาก เวลามันน้อยเสียจริง ๆ

อรหันต์จี้กง   :  อย่าได้พูดอะไรมาก เรารีบออกเดินทางกลับสำนัก ... ถึงสำนักแล้ว  หยางเซิงลงจากดอกบัว วิญญาณกลับเข้าสู่ร่างดังเดิม
หัวข้อ: เที่ยวเมืองนรก ครั้งที่ 16 ตอน ท่องแดนควักตานรกน้อย
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 15/06/2012, 13:25
                                เที่ยวเมืองนรก

              ครั้งที่ 16  วันศุกร์ที่  9  พฤศจิกายน  พ.ศ. 2519

                        ตอน ท่องแดนควักตานรกน้อย

        ท่านอรหันต์จี้กงเสด็จปรากฏตัว ตรัสเป็นกลอน มีความว่า   :

        ทางนรก        หวาดหวั่น        หนาวสั่นนัก
มิได้พัก                 ร้องครวญคราง   หวั่นไหวจิต
ประพฤติชั่ว            เนื่องอารณ์        เพียงคิดผิด
แม้น้อยนิด             ยากปกปิด        ในนรก

อรหันต์จี้กง   :  กระแสลมหนาวมาเยือนแล้ว อากาศหนาวจัดหาที่เสมอเหมือนมิได้ แต่ศิษย์ทั้งหลายของสำนักเซี้ยเฮี้ยงตึ้งต่างก็ร้อนรนอุ่นอุรา ไม่มีวี่แววแห่งความหนาวเหลืออยู่เลย ทำให้ฉันรู้สึกสะเทือนอารมณ์เป็นอย่างยิ่ง  หากว่าหนังสือ "เที่ยวเมืองนรก" ได้เขียนแต่งสมบูรณ์แล้ว จะแพร่หลายสืบต่อไปนับหมื่นปี  ศิษย์ทั้งหลายก็จะรับเกียรติยศชื่อเสียงตลอดกาลไปด้วย เจ้าหยางเซิงเตรียมท่องนรกในวันนี้

หยางเซิง   :  วันนี้อากาศหนาวจัดมาก หนทางแห่งยมโลกวิเวกหนาวเย็น ขอให้ทานอาจารย์ประทานยาทิพย์ให้กระผมสักเม็ดเพื่อบำรุงพลกำลัง มิทราบว่าอาจารย์จะมีความเห็นประการใด ?.

อรหันต์จี้กง   :  ได้ซี ฉันจะให้ยา "ยาวิเศษอุ่นกายบำรุงใจ"  เจ้าอีก 3 เม็ด กลืนกินเร็วเพื่อช่วยสร้างพละกำลังอันอบอุ่นสะดวกในการท่องนรก

หยางเซิง   :  ขอบคุณท่านอาจารย์มาก ... กระผมกลืนลงแล้วรู้สึกอบอุ่นทั่วทั้งกาย ได้นั่งลงบนดอกบัวเรียบร้อยแล้ว เชิญอาจารย์เริ่มเดินทางได้แล้ว ...

อรหันต์จี้กง   :  ถึงแล้วล่ะ เจ้าลงจากดอกบัวเร็ว

หยางเซิง   :  ที่นี่เป็นสถานที่ใด?. บันไดหินเบื้องหน้าที่ผู้คนแต่งแบบนายทหารกำลังเดินมา

อรหันต์จี้กง   :  บนบันไดหินนั้นคือนรกขุมที่ 3 เป็นเขตปกครองของท่านยมบาล ข้างบนนั้นเป็นคุกตะรางที่ยาวเหยียดไม่มีที่สิ้นสุด รีบเข้าไปทำความเคารพท่านนายทหารเถิด

หยางเซิง   :  ขอแสดงความคารวะต่อท่านเทวทูตทั้งหลาย เราศิษย์อาจารย์ได้รับเทวโองการแต่งหนังสือ วันนี้ท่องเที่ยวมายังที่นี่ ขอท่านเทวทูตได้โปรดให้การชี้แจงโดยละเอียดด้วยเถิด

นายทหาร   :  มิต้องคารวะ เชิญท่านอาจารย์และหยางเซิงเข้านั่งพักข้างในสักครู่ ที่นี่คือที่ทำการควบคุมของคุกทั้งหลาย ซึ่งขึ้นต่อขุมที่ 3  ข้างหลังที่ทำการนี้ก็คือคุกต่าง ๆ

อรหันต์จี้กง   :  เพราะเหตุว่าเวลาจำกัด อาตมาว่ามิต้องนั่งพักแล้ว ช่วยพาหยางเซิงตรวจชมคุกต่าง ๆ ก็แล้วกัน

นายทหาร   :  ก็ได้ครับ สำนักของท่านได้รับเทวโองการแต่งหนังสือ "เที่ยวเมืองนรก"  ข้าพเจ้าทั้งหลายทราบมานานแล้วและวันนี้ก็ได้รับสาส์นจากท่านอาจารย?ด้วย ทราบว่าท่านศิษย์อจารย์จะมาเยี่ยมชมสถานที่นี้ เชิญท่านทั้งสองตามข้าพเจ้าเดินไปทางซ้ายเถิด

หยางเซิง   :  โอย ! สนามนี้กว้างใหญ่เสียจริง ๆ มีห้องหอที่สร้างด้วยไม้ทั้งนั้น ที่ใกล้ ๆ นี้ได้มีเสียงครวญครางกระจายมา ข้างหน้ามีคุกอยู่คุกหนึ่ง ด้านบนนั้นเขียนว่า  "แดนควักตานรกน้อย" 
หัวข้อ: เที่ยวเมืองนรก ครั้งที่ 16 ตอน ท่องแดนควักตานรกน้อย
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 15/06/2012, 14:15
                                เที่ยวเมืองนรก

              ครั้งที่ 16  วันศุกร์ที่  9  พฤศจิกายน  พ.ศ. 2519

                        ตอน ท่องแดนควักตานรกน้อย

        ท่านอรหันต์จี้กงเสด็จปรากฏตัว ตรัสเป็นกลอน มีความว่า   :

        ทางนรก        หวาดหวั่น        หนาวสั่นนัก
มิได้พัก                 ร้องครวญคราง   หวั่นไหวจิต
ประพฤติชั่ว            เนื่องอารณ์        เพียงคิดผิด
แม้น้อยนิด             ยากปกปิด        ในนรก

นายทหาร   :  วันนี้นำพวกท่านเยี่ยมชม  แดนควักตานรกน้อย"  เข้ามาในห้องนี้ก่อน ข้าพเจ้าจะไปรายงานให้พัศดีทราบ

พัศดี   :  ยินดีต้อนรับท่านทั้งสอง ได้มาเยี่ยมชมถึงที่นี่ ข้าพเจ้าจะพาท่านไปตรวจชมภายในสักพัก ถ้ามีสิ่งใดไม่เข้าใจก็ขอเชิญท่านหยางเซิงถามได้โดยไม่ต้องเกรงใจ

หยางเซิง   :  โอย ! นักโทษในคุกนี้ ลูกตาล้วนถูกควักเลือดสด ๆ ไหลพราก แต่ละคนร่ำไห้โหยหวนใช้มือทั้งสองข้างอุดปิดเป้าตาที่มีเลือดไหลอยู่ ดหดร้ายทารุณเสียจริง ๆ ชายวัยกลางคนผู้อยู่ด้านซ้ายคนนั้นกำลังถูกยมทูตเอาง่ามเหล็กควักตาอยู่ เขาดิ้นรนไม่หยุดยั้ง ตะโกนด้วยเสียงดังเจ็บปวด ตาข้างซ้ายถูกควักออกเสียแล้วเลยสลบไป ถูกล่ามติดอยู่กับเสา ได้แต่ก้มหน้าลง ยมทูตก็ควักตาข้างหนึ่งออก กระผมไม่กล้าดูแล้ว  การกระทำเช่นนี้ช่างทารุณเสียจริง ๆ

อรหันต์จี้กง   :  หยงเซิง เจ้าอย่าตกใจพูดมากเลย นี่แหละยมกฏสนองตอบล่ะ ไฉนจึงพูดจาไม่สุภาพ ?. เสียมารยาทมากไปแล้ว

นายทหาร   :  เราไม่ว่าอะไรหรอก ขอให้ท่านหยางเซิงอย่ากังวลใส่ใจเลย มีความข้องใจก็ถามได้

หยางเซิง   :  ขออภัยในการพูดจาไม่เหมาะสมต่อท่านพัศดีและนายทหารด้วย ขอถามท่านพัศดีว่า คุกนรกควักตามีสภาพการลงโทษอย่างไร?. จะอธิบายชี้แจงสักนิดได้หรือไม่ประการใด ?.

พัศดี   :  ได้ครับ บรรดานักโทษที่ถูกตัดสินให้ตกมายังคุกนี้ เมื่อตกเข้ามาแล้วล่ามติดอยู่กับต้นเสาเสียก่อน เสร็จแล้วก็ควักลูกตาทั้งสองข้างวิญญาณนั้นต้องเจ็บปวดทรมานส่งเสียงหวีดร้องสลบไสลไป แต่ละวันทำโทษสามครั้งก่อนจะทำโทษก็เอาลูกตายัดใส่กลับที่เดิม แล้วใช้น้ำคืนชีพล้างเพียงทีเดียว วิญญาณโทษก็จะคืนสติขึ้นมาทันที และแล้วจึงทำการลงโทษอีกหน ทำกันอย่างนี้ถึงจะให้มันรู้สึกความเจ็บปวดทรมาน

หยางเซิง   :  มิทราบว่าต้องโทษประการใดจึงต้องตกมายังคุกนี้ ?.

พัศดี   :  ข้าพเจ้าจะให้วิญญาณโทษเล่าเรื่องของตัวเอง ที่จะสะท้อนความจริงออกมาดีกว่า ให้นายทหารเอาลูกตาใส่คืน ให้วิญญาณสามตนที่อยู่ข้างหน้านี้ รดน้ำคืนชีพให้ เพื่อให้เล่าแจ้งแถลงไขถึงบาปที่ตนก่อไว้ในโลกมนุษย์ ลงในหนังสือธรรมเพื่อปลอบเตือนชาวโลก

นายทหาร   :  ได้ทำตามคำบัญชาแล้วครับ วิญญาณตนนี้ได้เล่าก่อนว่า ตอนมีชีวิตอยู่ได้ทำผิดอย่างไรต่อท่านมนุษย์ผู้นี้?.  และสภาพการถูกทำโทษภายหลังจากตายลงแล้ว โดยให้ท่านหยางเซิงทำการขยายความในใจของเจ้าแทน เพื่อปลอบเตือนชาวโลก

วิญญาณโทษ   :  โอย ! โอย !  ตาฉันเจ็บปวดแสนที่จะทรมานจนทนไม่ไหว จะให้ฉันฑุดอะไรเล่า

พัศดี   :  นายทหาร ให้น้ำมนต์ชะล้างเร็ว เพื่อให้มันสงบลง

อรหันต์จี้กง   :  มิต้อง  ดูฉันแสดงอิทธิฤทธิ์เถิด ...   
หัวข้อ: เที่ยวเมืองนรก ครั้งที่ 16 ตอน ท่องแดนควักตานรกน้อย
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 16/06/2012, 05:34
                                 เที่ยวเมืองนรก

              ครั้งที่ 16  วันศุกร์ที่  9  พฤศจิกายน  พ.ศ. 2519

                        ตอน ท่องแดนควักตานรกน้อย

        ท่านอรหันต์จี้กงเสด็จปรากฏตัว ตรัสเป็นกลอน มีความว่า   :

        ทางนรก        หวาดหวั่น        หนาวสั่นนัก
มิได้พัก                 ร้องครวญคราง   หวั่นไหวจิต
ประพฤติชั่ว            เนื่องอารณ์        เพียงคิดผิด
แม้น้อยนิด             ยากปกปิด        ในนรก

วิญญาณโทษ   :  บัดนี้สบายขึ้นบ้างแล้ว ขอบพระคุณพระรูปนี้ช่วยแก้ไขมาก ฉันตอนมีชีวิตอยู่นั้นมีนิสัยเย่อหยิ่งจองหองมาก เพราะว่าฉันได้เรียนสำเร็จจากมหาวิทยาลัยและเกิดในครอบครัวที่ร่ำรวย ดังนั้นจึงดูแคลนพวกคนจนและพวกมีการศึกษาน้อย ใช้อารมณ์ท่าทียะโสใส่ผู้อื่น ใช้สายตาที่ไม่ยี่หระเมินเฉยใส่ผู้อื่นเป็นประจำ เมื่ออยู่ในแดนมนุษย์แม้จะเสพสุขอย่างผู้ดีรวยเงินคบค้าสมาคมกับพวกมีอำนาจราชศักดิ์ เมื่อตายลงแล้วได้ถูกยมบาลตัดสินลงโทษโดยตัดสินว่า ฉันมีสายตาสูงเกินควร ดูถูกคนธรรมดาทั่วไป ว่าฉันเป็นคนที่เห็นแก่อำนาจและผลประโยชน์ ฉันมาอยู่คุกนี้ได้สองปีกับสามเดือนเศษและยังเหลือโทษอีกสองปีกว่าจึงจะพ้นโทษ แต่ว่าตอนมีชีวิตอยู่นั้นยังทำความผิดอีกมาก เมื่อพ้นออกจากคุกแล้วอนาคตจะโชคร้ายมากกว่าโชคดี ขอนักบุญผู้นี้ได้โปรดตักเตือนชาวโลกให้มาก ๆ หน่อย  ผู้ที่มีเงินรวยอำนาจอย่าได้เป็น "ตาสุนัขมองคนต่ำ"  ดูถูกเหยียดหยามผู้อื่นเป็นประจำนั้น เมื่อตายแล้วก็จะต้องรับผลเช่นเดียวดังตัวฉันแหละ เชิญท่านนักบุญช่วยขอท่านยมบาลลดโทษให้ฉันด้วย

หยางเซิง   :  ขอถามท่านนายทหาร วิญญาณโทษท่านนี้ได้ร่วมมือด้วยการบอกเล่าความเป็นไปแห่งความผิดและช่วยตักเตือนชาวโลกถือว่ามีความชอบอยู่บ้าง จะลดหย่อนผ่อนโทษให้เขาจะได้หรือไม่ประการใด ?.

นายทหาร   :  กระผมไม่มีอำนาจ

พัศดี   :  เรื่องนี้ข้าำพเจ้าจะกลับไปรายงานต่อเจ้านาย คิดว่าคงจะลดให้มันได้บ้าง แล้วพาอีกสองตนออกมาพร้อมกัน ให้สารภาพถึงเหตุการณ์ความผิดที่ตนก่อไว้

นายทหาร   :  ขอรับคำบัญชา ได้คุมสองคนใหม่ออกมาแล้ว และได้ให้น้ำมนต์ล้างสะอาดแล้ว ล้วนได้กลับเป็นอิสระกันแล้ว ให้ผู้อยู่ด้านขวานี้สารภาพการทำความผิดตอนอยู่ในโลกมนุษย์อย่างเปิดเผยก่อน ต่อท่านหยางเซิงแห่งเมืองมนุษย์

วิญญาณโทษ   :  กระผมอยู่ในเมืองมนุษย์ชอบเรื่องผู้หญิง โลกมนุษย์ในปัจจุบันนี้มีสารพัดสิ่งแปลกประหลาดนับไม่ถ้วน นอกจากชอบแอบดูสาวและหญิงข้างบ้านอาบน้ำแล้ว ยังเคยถูกเพื่อนพาไปดูหนังลามก ยังที่แห่งหนึ่งภายในบ้านที่ซอมซ่อโกโรโกโส หลังจากนั้นแล้วจึงติดใจเป็นอย่างยิ่ง โดยออกค้นหาความตื่นเต้น กระตุ้นประสาทด้วยตนเอง เมื่อเร็ว ๆ นี้ได้มีเพื่อนชักนำพาไปยังโรงแรมแห่งหนึ่ง โดยมีแม่สื่อจัดการเอานางทางโทรศัพท์มาแสดงระบำเปลือยกายมาหาความสนุก เมื่อปีก่อนนี้กระผมตายเพราะอุบัติเหตุรถ วิญญษณตกถึงยมโลกซึ่งเป็นวาระอายุขัยหมดลง จึงถูกยมบาลตัดสินให้เข้ามายัง "นรกควักตา"  แต่ละวันรับทรมานจากการควักตาอย่างเจ็บปวดยิ่ง  สภาพที่อเนจอนาถนี้ลูกหลานในแดนมนุษย์ไม่มีใครรู้ด้วยเลย จะสำนึกตัวเสียใจก็สายเสียแล้ว ขอท่านนักบุญผู้นี้เมื่อกลับไปยังโลกมนุษย์แล้วให้ประกาศตักเตือนชาวโลกทราบว่า ที่กระทำอยู่ในแดนมนุษย์นั้น อย่าคิดว่าปิดบังผีสางเทวดาได้หารู้ไม่ว่าเมื่อตายลงแล้วฉายต่อกระจกกรรมวิเศษ ความเลวร้ายน่าอัปยศต่างปรากฏออกโดยสิ้นเซิง

นายทหาร   :  อ้ายแก่ไม่มียางอาย อ้ายเฒ่าตัณหากลับ ตอนอยู่ในโลกมนุษย์มีเงินติดตัวอยู่บ้างไม่รู้จักเก็บไว้ให้ดีเพื่อใช้กินในวัยชราจนหมดอายุขัย กลับไปรักชอบเรื่องต่ำช้าเจาะจงในเรืื่องลามก ลูกตาไร้ศีลธรรม ดังนั้นจึงตกลงในนรกควักลูกตาออกมาล้างให้สะอาด เปลี่ยนตัววิญญาณโทษข้างซ้ายนี้อีกคน รีบเล่าเรื่องตอนมีชีวิตอยู่ได้ทำความชั่วอะไรบ้าง
หัวข้อ: เที่ยวเมืองนรก ครั้งที่ 16 ตอน ท่องแดนควักตานรกน้อย
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 16/06/2012, 07:37
                                  เที่ยวเมืองนรก

              ครั้งที่ 16  วันศุกร์ที่  9  พฤศจิกายน  พ.ศ. 2519

                        ตอน ท่องแดนควักตานรกน้อย

        ท่านอรหันต์จี้กงเสด็จปรากฏตัว ตรัสเป็นกลอน มีความว่า   :

        ทางนรก        หวาดหวั่น        หนาวสั่นนัก
มิได้พัก                 ร้องครวญคราง   หวั่นไหวจิต
ประพฤติชั่ว            เนื่องอารณ์        เพียงคิดผิด
แม้น้อยนิด             ยากปกปิด        ในนรก

วิญญาณโทษ   :  ผมถูกตัดสินมานรกนี้ ความชั่วที่ทำไว้คือระหว่างเป็นนักเรียนอยู่ เคยทำการคดโกงด้วยกลอุบายแอบดูคำตอบของผู้อื่นและหนังสือ กับชอบอ่านหนังสือพวกลามก  ภาพโป๊  และหนังลามกต่าง ๆ เมื่อตายลงแล้วถูกยมบาลตัดสินให้มาลงโทษที่คุกนี้ ผมถูกทำโทษมาครึ้งปีเศษจึงจะพ้นออกจากคุก

หยางเซิง   :  นั่นน่ากลัวเสียจริง ๆ กระผมตอนเรียนหนังสืออยู่นั้น เวลาสอบก็เคยลักดูคำตอบของผู้อื่นแต่ไม่ได้เจอครูอาจารย์จับได้ เมื่อตายแล้วต้องมาถูกลงโทษที่นี่ด้วยหรือไฉน ?.

อรหันต์จี้กง   :  การคดโกงด้วยกลอุบายก็ผิดระเบียบของโรงเรียนอยู่แล้ว แต่เจ้าไฉนจึงต้องหวาดหวั่น สวรรค์ท่านมิลงโทษผู้ที่สำนึกตัวในความผิด เจ้าได้สละตนเข้าอยู่ในสำนักทรงเจ้าทำการแพร่ธรรมช่วยมวลชน เป็นทูตแห่งสวรรค์  มีบุญกุศลยิ่งใหญ่มหาศาลเอาความดีชดเชยความเลว ย่อมไม่ต้องมาที่นี่โดยปริยาย

พัศดี   :  นายทหารรีบคุมวิญญาณโทษกลับเข้าคุกไปเร็ว มีสิ่งใดบกพร่อง ขอท่านอาจารย์กับท่านหยางเซิงโปรดอภัยด้วย

หยางเซิง   :  ที่ไหนได้ ! 

พัศดี   :  บรรดาผู้คนในแดนมนุษย์ที่มีสายตาไม่บริสทธิ์ ชอบมองแต่ผู้หญิง  หนังสือลามก  หรือชอบมองคนด้วยสายตาเหยียดหยาม  และไม่ชอบหน้าเหล่านี้ เมื่อตายลงแล้วต้องตกลง "นรกควักตา"  รับการทำโทษ หากอ่าน "เที่ยวเมืองนรก"  แล้วสำนึกกลับตัวใหม่และตั้งอธิษฐานพิมพ์แจกหนังสือช่วยเหลือกอบกู้ชาวโลก เมื่อนั้นโทษทางนี้ก็จะได้ลบล้างสูญไป

อรหันต์จี้กง   :  วันนี้เวลาดึกมากแล้ว เราศิษย์อาจารย์จะกลับกันแล้ว ขอขอบคุณท่านพัศดีและนายทหาร เจ้าหยางเซิงจงรีบกล่าวคำขอบคุณต่อท่านทั้งสอง และออกจากคุกเตรียมตัวกลับสำนัก

หยางเซิง   :  ขอขอบคุณท่านพัศดีและนายทหารที่ให้การแนะนำชี้แจง ขอลาละครับ

พัศดี   :  ขอนมัสการส่งท่านอาจารย์กับท่านหยางเซิง

อรหันต์จี้กง   :  หยางเซิงรีบขึ้นดอกบัวเร็ว เตรียมกลับสำนัก

หยางเซิง   :  กระผมนั่งเรียบร้อยแล้ว

อรหันต์จี้กง   :  ถึงสำนักเซี้ยเฮี้ยงตึ้งแล้ว  หยางเซิงลงจากดอกบัว วิญญาณกลับสู่ร่างดังเดิม
หัวข้อ: เที่ยวเมืองนรก ครั้งที่ 17 ตอน ท่องแดนเหล็กขูดหน้านรกน้อย
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 17/06/2012, 10:09
                                  เที่ยวเมืองนรก

              ครั้งที่ 17  วันพฤหัสบดีที่  19  พฤศจิกายน  พ.ศ. 2519

                        ตอน ท่องแดนเหล็กขูดหน้านรกน้อย

        ท่านอรหันต์จี้กงเสด็จปรากฏกาย ตรัสเป็นกลอน มีความว่า   :

        กามตัณหา        แผ่ขยาย        อนาถนัก
โทษฐานนั้น              ร้ายแรงยิ่ง       ดุจสิงห์เสือ
ขอฝากเพื่อ                ผู้ลุ่มหลง        กามล้นเหลือ
หากไม่เบื่อ                ลดและเลิก     กรรมตามทัน

อรหันต์จี้กง   :  หนทางแห่งแดนมนุษย์ขรุขระกันดาร ผู้บำเพ็ญธรรมต้องผจญกับยักษ์มารครั้งแล้วครั้งเล่า ผู้ใดหนอสามารถขึ้นสู่สวรรค์โดยปราศจากการขวางกั้น ตั้งจิตใจให้แน่วแน่ แม้จะตายก็ไม่คลาย ถึงจะสังเวยพลีกายในทางธรรม แต่ดวงวิญญาณได้สถิตสู่สุดยอด ยิ่งประสบอุปสรรคยิ่งต้องพยายาม ขบกรามให้แน่น ไม่หวั่นเกรงต่อยักษ์มารทั้งหลาย ปราชญ์โบราณท่านกล่าวว่า "เห็นสิ่งแปลกประหลาด แต่ไม่รู้สึกว่าประหลาด สิ่งประหลาดนั้นก็จะดับไปเอง คือเมื่อเห็นผี แต่ไม่กลัวผี ผีนั้นจะหายตัวไปเอง"  หนทางขรุขระขวางกั้น จงชูดาบซึ่งเปี่ยมด้วยปัญญาฟันฝ่ากลุ่มเส้นไหมอันยุ่งเหยิงให้มันขาดกระจุยไปเลย  เมื่อผ่านพ้นความหนาวอันจับใจไปได้แล้ว ก็ต้องให้ดอกเหมยหอมที่จับจิตอย่างแน่นอน การท่องนรกในวันนี้เตรียมตัวได้แล้ว เจ้าหยางเซิงจงปลุกประสาทให้พร้อมเพรียง - กระฉับกระเฉงขึ้นหนทางนี้เลิศล้ำมิใช่ธรรมดา  เมื่อสามารถบรรลุถึงปลายทาง (สุดทาง) แล้ว จึงสมกับคำที่ว่า "ผู้อดทนในทางธรรม"

หยางเซิง   :  ขอขอบคุณท่านอาจารย์ที่ได้ปลอบโยนตักเตือน ต่างรู้ว่ากรรมหนักแต่ไม่แสวงบำเพ็ญเพียร ยากจะรอดพ้นจากการรังควานของพวกมารปีศาจ ขอท่านอาจารย์วางใจเถิด กระผมได้นั่งเรียบร้อยแล้ว ตามท่านอาจารย์ท่องนรก .....

อรหันต์จี้กง   :  ถึงแล้วละ รีบลงจากออกบัวเร็ว  วันนี้เราศิษย์อาจารย์จะเที่ยวชม  "แดนนรกเหล็กขูดหน้า" 

หยางเซิง   :  อ้อ !  พัศดีกับนายทหารได้ออกมาอยู่ข้างหน้าแล้ว ขอแสดงความคารวะต่อท่านเทวทูตทั้งหลาย กระผมคือศิษย์สำนักเซี้ยเฮี้ยงตึ้ง วันนี้ท่านอาจารย์ได้นำเยี่ยมชมคุกนรกของท่าน เพื่อเขียนลงในหนังสือ "เที่ยวเมืองนรก"  ปลอบกล่อมกอบกู้ชาวโลกเพื่อให้ทราบถึงเหตุการณ์แต่ละคุกแห่งยมโลกที่ลงโทษทัณฑ์ต่อพวกนักโทษ ขอท่านเทวทูตทั้งหลายได้โปรดให้ความสะดวกด้วย

พัศดี   :  ที่ไหนได้ ท่านเกรงใจมากเกินไปแล้ว มิต้องคุกเข่ารีบลุกขึ้นเถิด ขอต้อนรับท่านกับอาจารย์ที่มาเยี่ยมคุกนี้ เชิญตามข้าพเจ้าเข้าไปตรวจสอบภายใน

นายทหาร   :  คุกนี้คือ  "นรกเหล็กขูดหน้า"  ที่ลงโทษผู้คนในแดนมนุษย์ที่ไม่รู้จักเรื่องเหนียมอาย ไม่ถนอมรักหน้าตา (ไม่รักเกียรติ)  เชิญท่านทั้งสองรีบเข้ามา

หยางเซิง   :  ที่หน้าคุก ยมทูตหัวควายหน้าม้า ต่างคุมตัววิญญาณโทษมากหลาย มีทั้งหญิงทั้งชาย ต่างวัยต่างอายุ แต่ละคนคอพับคอตกถอนหายในระทดระทวย สีหน้าประหวั่นพรั่นพรึง ถูกคุมอยู่ข้างประตูคุกก่อน เพื่อทำการรายงานตัว และแล้วจึงถูกคุมเข้าไปในคุกติดต่อกันไป

อรหันต์จี้กง   :  ไม่ต้องดูให้มาก รีบตามพัศดีกับนายทหารเข้าไปชมดูภายใน

หยางเซิง   :  โอ้โฮ !! เสียงตะเบ็งอย่างเจ็บปวดส่งมาจากภายในห้องขัง ... นักโทษแต่ละคนถูกล่ามติดเสาเหล็ก ยมทูตหน้าควายกำลังจัดการลงโทษ ใช้มีดเหล็กหรือมีดทองเหลืองขูดเอาผิวหน้าคนออก ราวกับว่าการขูดลอกผิวหนังหมูออกในโรงฆ่าสัตว์ฉันนั้น วิญญาณโทษแต่ละตนส่งเสียงร่ำไห้อย่างเจ็บปวดเวทนา เห็นแต่เลือดเนื้อเกรอะกรังไปหมด ส่งเสียงหวนไห้น่าสังเวช  เปรอะเปื้อนเลอะเทอะไปทั่วหน้า เมื่อผิวหนังถูกขูดออกแล้ว บนหน้าเห็นแต่เนื้อสีแดงช้ำ ๆ เละ ๆ ลักษณะทารุณมาก ขอถามท่านพัศดี พวกวิญญาณโทษเหล่านี้ทำกรรมชั่วอะไรบ้าง ?. ไฉนจึงถูกตัดสินให้มารับโทษที่นี้ ?.

พัศดี   :  มันพูดยากครับ ข้าพเจ้าจะเรียกมันออกมาสัก 2 - 3 คน ให้ท่านถามมันเองจะรู้ละเอียดกว่า

หยางเซิง   :  อย่างนี้ก็ยอดเลยครับ จะได้มีหลักฐานให้พิสูจน์ได้

นายทหาร   :  วิญญาณตนนี้ออกมาเร็ว นำเอาการทำชั่วเมื่อตอนอยู่แดนมนุษย์ สารภาพให้ชาวโลกมนุษย์หยางเซิงผู้นี้ฟัง

หยางเซิง   :  ขอถามท่านสุภาพบุรุษผู้นี้ ที่ตกลงมายังคุกนรกนี้ด้วยเหตุใดมิทราบ ?. 
หัวข้อ: เที่ยวเมืองนรก ครั้งที่ 17 ตอน ท่องแดนเหล็กขูดหน้านรกน้อย
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 18/06/2012, 11:09
                                 เที่ยวเมืองนรก

              ครั้งที่ 17  วันพฤหัสบดีที่  19  พฤศจิกายน  พ.ศ. 2519

                        ตอน ท่องแดนเหล็กขูดหน้านรกน้อย

        ท่านอรหันต์จี้กงเสด็จปรากฏกาย ตรัสเป็นกลอน มีความว่า   :

        กามตัณหา        แผ่ขยาย        อนาถนัก
โทษฐานนั้น              ร้ายแรงยิ่ง       ดุจสิงห์เสือ
ขอฝากเพื่อ                ผู้ลุ่มหลง        กามล้นเหลือ
หากไม่เบื่อ                ลดและเลิก     กรรมตามทัน

วิญญาณโทษ   :  เพราะเหตุว่าผมกำพร้าพ่อแม่ตั้งแต่เด็ก จึงรับการศึกษาน้อย เป็นลูกจ้างเขา รู้สึกลำบากมาก ใจก็คิดว่าสู้เปลี่ยนอาชีพเป็นขอทานดีกว่าหากสามารถขอได้บ้านละเหรียญ แต่ละวันยื่นมือขอได้ร้อยบ้าน ก็จะยังชีพได้ ไม่ต้องลงทุน งานก็เบา แต่รูปร่างผมมันล่ำสันแข็งแรง เกรงว่าผู้คนจะไม่ยอมทำทานให้ ดังนั้นจึงทำการอดอาหารสักสองเดือนก่อน แต่ละวันกินเพียงข้าวต้มกับน้ำ ร่างกายก็กลายเป็นผอมแห้ง อ่อนแอดังคาดหมาย แล้วก็ใช้ดินทรายทาหน้า ใส่เสื้อขาดวิ่น แกล้งทำ้เป็นขาเสีย (พิการ)  ออกขอเงินทั่วทุกทิศ ขอความเมตตาจากผู้คน และพร่ำพูดถึงความคับแค้นน่าสงสารของตนเองว่าไม่มีพ่อแม่พี่น้อง  ขาก็พิการ  หลายคนเขาเห็นสภาพแล้วก็สงสารให้เงิน ด้วยเหตุนี้แต่ละเดือนได้เงินถึง  4 - 5 พัน กลับไปยังบ้านแอบภูมิใจตัวเองที่ได้เงินโดยง่าย ๆ พอตกกลางคืนก็เปลี่ยนใส่เสื้อผ้าใหม่ ไปดื่มกินอย่างไม่อั้น ตามเหลา ตามร้าน หรือเข้าไปหาความสุขในเขตคาวโลกีย์ และบ่อยครั้งไปดื่มกินเสพสุรายังภัตตาคาร  โรงแรม  ต่อมาใจนึกอยากได้เงินมาก ต้องเค้นขอเงินจากผู้อื่นให้มากขึ้น ถ้าให้เหรียญเดียว ถึงสามเหรียญ ก็จะไม่รับ อย่างน้อยที่สุดต้องสิบเหรียญ  จึงมีบ่อยครั้งโดนผู้ให้ทานที่ขี้เหนียวแช่งด่าเสียหายไปเลย หรือไม่ก็ไม่ให้เลย  เมื่อตายลงแล้วถูกยมบาลตัดสินให้เข้ามาในคุกนี้รับการลงโทษ ทำโทษด้วยการขูดหน้านั้น เจ็บปวดทรมานยิ่งนัก จะสำนึกตัวได้ก็สายเสียแล้ว

พัสดี   :  ไอ้เวร !  พูดถึงคนนี้ ชาติก่อนไม่ทำความดี เกิดมาในครอบครัวที่อับโชค โดยไม่คิดว่าอาศัยความหนุ่มแน่นแข็งแรงทำงานเลี้ยงชีพ แต่กลับแกล้งทำเป็นคนพิการ  ทำหน้าด้านไปขอกิน ผู้ที่มีความทรนงนั้น ไม่ตกถึงขั้นสิ้นไร้ไม้ตอก ใครเล่าที่จะบากหน้าไปยื่นมือของเขากิน ?. และนี่ยังทำมากกว่านี้อีก ยังถลุงเงินทองที่ได้มาจากการขอทานไปใช้ในสถานที่เริงรมญ์ด้วย ผิดอย่างฉกาจฉกรรจ์ใหญ่หลวงนััก เมื่อตอนมีชีวิตอยู่ไม่รักหน้า (คือหน้าด้าน)  ตายลงแล้วก็ให้มันไม่มีหน้าไปเลย โดนทำโทษขูดหน้า ชาวโลกจงจำไว้เป็นที่เตือนใจ กลับเข้าไปในคุกโดยเร็ว !  ข้าพเจ้าจะเรียกวิญญาณออกมาอีกคนหนึ่ง  ท่านหยางเซิงจะถามอีกก็ย่อมได้

หยางเซิง   :  ขอบคุณท่านนายทหารมาก ขอถามสุภาพบุรุษผู้นี้ ฉันมองดูท่านแล้วอายุก็เพียง 30 ปีเศษ ไฉนจึงตายลงตอนอายุยังน้อยเช่นนี้ ?. แล้วยังถูกตัดสินให้มาลงโทษในคุกนี้อีก ?.

วิญญาณโทษ   :  พูดแล้วเป็นที่หน้าอับอายขายหน้า ข้าผู้น้อยทำให้เสื่อมเสียถึงบรรพบุรุษด้วย เมื่อตอนฉันมีอายุ 17 - 18 ปี เรียนอยู่ชั้นมัธยมปลายนั้นได้นัดกับเพื่อนฝูงไปเที่ยวที่สวนสาธารณะเสมอ ๆ พบเห็นหญิงสาวก็จะต้องเข้าหยอกล้อจีบเล่น หรือกล่าวคำต่ำช้าสามานย์ โดนผู้หญิงแช่งด่า  "ไอ้จิ๊กโก๋" หรือ  "ไม่มีการศึกษา  ไอ้หน้าด้าน"  ก็บ่อยครั้ง แต่ฉันถูกด่าแล้วในใจกลับทวีความสนุกสนาน บางครั้งอยู่ที่เปลี่ยวมืด ก็ฉวยโอกาสลวนลามผู้หญิง หรือพุ่งเข้าสวมกอดผู้หญิงโดยเธอไม่ทันรู้ตัว หรือบางครั้งขี่จักรยานเฉียดไปก็เอื้อมมือไปจับต้องตัวผู้หญิง และเคยข่มขืนหญิงสาวคนหนึ่ง แม้ว่าตอนนั้นมิได้ถูกตำรวจจับไปดำเนินคดี แต่มีอยู่ครั้งหนึ่งระหว่างขี่จักรยานอยู่ได้ใช้กลเก่าอีก คือเอื้อมมือไปทำการมิดีมิร้ายนั้น หญิงผู้นั้นร้องตะโกนลั่นขึ้น ฉันเกิดความกลัวลนลานจักรยานที่ขี่อยู่เลยตกลงไปในคูน้ำถึงแก่ความตาย ท่านยมบาลพิโรธมากหาว่าฉันไม่ละนิสัยชั่วร้ายเลยหักอายุขัยไป 10 ปี  ต่อมาก็ตัดสินให้ตกเข้ามารับความทรมานในคุกนี้ ถึงปัจจุบันนี้เป็นเวลา 5 ปีเศษแล้ว และยังเหลือโทษอีก 13 ปี จึงพ้นจากคุก นอกนั้นยังมีความผิดอย่างอื่นอีก ต้องส่งให้ขุมอื่นพิจารณาตัดสิน เป็นเรื่องน่าอนาจใจยิ่ง ขอให้ท่านหยางเซิง (นักบุญ) ผู้นี้ทำการแทนตัวฉัน ขอร้องยมบาลลดโทษให้ฉันบ้างเถิด

พัศดี   :  อย่างพูดมาก ใครใช้ให้เอ็งประพฤติตัวเหลวแหลก ไม่สำรวมตัวในแดนมนุษย์เล่า ไม่รู้กระทั่งความเหนียมอาย  มารยาท  คุณธรรมต่าง ๆ  การบ้ากามนับเป็นสิ่งที่สุดยอดของความชั่วร้ายทั้งหลาย สมควรที่ได้โทษสนองแล้ว  เสียเวลาที่ได้ร่ำเรียนไปเปล่า ๆ ทำให้อับอายถึงพ่อแม่ เมื่อเป็นมนุษย์ไม่รักหน้า ตายแล้วก็ต้องรับการสนองแบบนี้ ส่วนโทษที่ไปข่มขืนเขา เมื่อหมดโทษทางนี้แล้ว จะส่งไปขุมอื่นลงโทษอย่างนัก นายทวาร ! รีบคุมวิญญาณนี้เข้าห้องขังไป

นายทหาร   :  ขอรับคำบัญชา

อรหันต์จี้กง   :  เวลาดึกมากแล้ว เราศิษย์อาจารย์เตรียมกลับสำนัก เจ้าหยางเซิงออกจากคุกไปกันเถอะ

พัศดี   :  สิ่งใดที่บกพร่อง ขอท่านอาจารย์กับท่านหยางเซิง โปรดให้อภัยด้วย

หยางเซิง   :  มิกล้า !  ขอบคุณมากที่ท่านพัศดีและนายทหารที่ช่วยเหลือในหน้าที่แต่งหนังสือของเรา ขอลาท่านทั้งสองละ

อรหันต์จี้กง   :  รีบขึ้นบนดอกบัวเร็ว

หยางเซิง   :  กระผมนั่งเรียบร้อยแล้ว ท่านอาจารย์กลับสำนักได้แล้ว 

อรหันต์จี้กง   :  สำนักเซี้ยเฮี้ยงตึ้งถึงแล้ว  หยางเซิงลงจากดอกบัว วิญญาณกลับเข้าสู่ร่างดังเดิม   
หัวข้อ: เที่ยวเมืองนรก ครั้งที่ 18 ตอน ท่องนรกน้อยแดนแขวนหัวทิ่ม
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 19/06/2012, 07:48
                               เที่ยวเมืองนรก

              ครั้งที่ 18  วันพุธที่  29  พฤศจิกายน  พ.ศ. 2519

                      ตอน ท่องนรกน้อยแดนแขวนหัวทิ่ม

        ท่านอรหันต์จี้กงเสด็จปรากฏกาย ตรัสเป็นกลอน มีความว่า   :

        ทั่วปฐพี        เกลื่อนตลบ        ซากศพเลือด
ไหลนองกลบ         จับเกาะ             หญ้ามากมาย
ศีลธรรม                ในครอบครัว        ถูกทำลาย
เวรกรรมร้าย           ตกทอด             สู่ลูกหลาน

อรหันต์จี้กง   :  กระแสลมหนาวโชยมา รู้สึกหนาวเป็นระลอก ๆ พวกผู้ดีมีเงินในบ้านพร้อมด้วยเครื่องทำความอุ่น บนกายก็ประดับแต่งด้วยเสื้อหนังขนสัตว์รับประทานอาหารร้อน ๆ ในหม้อ กลับมาดูในบ้านของคนจน ทั้งครอบครัวใส่เสื้อผ้ากันหนาวที่แนบบาง หนาวจนกรามกระทบเสียงดังกึก ๆ แสนที่อนาถใจชาติก่อนไม่เคยสร้างบุญไว้ ชาตินี้เลยต้องเดียวดาย เมื่อถึงหน้าหนาว ก็ขาดความอบอุ่น จึงหวังให้ชาวโลกผู้มีอันจะกินมีความเป็นอยู่สบาย จงมีเมตตาธรรมเหมือนส่งถ่านให้ในยามหิมะตก ช่วยเหลือผู้ยากจน สร้างบุญทำกุศลไว้ให้มาก ๆ ชาติหน้าจะได้รับสนองตอบด้วยโชคลาภต่าง ๆ นา ๆ มิเช่นนั้นแล้วเมื่อโชควาสนาหมดลง ชาติหน้าจะหมุนเวียนมาเกิดในครอบครัวยากจน ผู้มีสติปัญญาปราดเปรื่องแลเห็นการณ์ไกล ไม่ควรที่จะไม่เตรียมการเอาไว้แต่เนิ่น ๆ  วันนี้เตรียมท่องนรก เจ้าหยางเซิงรีบขึ้นดอกบัวเร็ว

หยางเซิง   :  กระผมได้นั่งเรียบร้อยแล้ว เชิญท่านอาจารย์เริ่มออกเดินทางเถิด ...

อรหันต์จี้กง   :  ถึงแล้วละ เจ้าหยางเซิงลงไปเร็ว

หยางเซิง   :  อื้อฮือ !!  ข้างหน้วแว่วเสียงถวิลไห้ราวกับเพชฌฆาตกำลังมัดหมู เตรียมจะนำส่งไปโรงฆ่าในชนบทอย่างนั้นแหละ

อรหันต์จี้กง   :  อย่าพูดมากไปเลย พัสดีและนายทหารได้มาแล้ว รีบเข้าไปทำความเคารพเถิด

หยางเซิง   :  ขอแสดงความคารวะท่านพัศดีกับนายทหาร ข้าพเจ้ากับท่านอาจารย์มีพระราชโองการให้มาท่องนรก แต่งหนังสือ "เที่ยวเมืองนรก"  เพื่อเตือนชาวโลก ขอได้โปรดชี้แจงให้ละเอียดด้วย

พัศดี   :  มิกล้า  ได้ยินและเลื่อมใสชื่อเสียงของสำนักเซี้ยเฮี้ยงตึ้งมานานนักหนาแล้ว สำนักของท่านประทับทรงบรรยายธรรม พิมพ์แจกหนังสือธรรม  คัมภีร์  โปรดเวไนยสัตว์  ช่วยกอบกู้ชาวโลก  น้ำใจอันประเสริฐที่กล่อมเกลาอบรมผู้คนนั้น สั่นสะเทือนไปทั่วทั้งสามแดน ได้ช่วยปลอบกล่อมจนพวกที่ประพฤติเหลวไหล ผู้ลุ่มหลงกลับตัวเป็นคนดีก็ไม่น้อย ความชอบที่ช่วยเสริมกฏหมายแห่งแดนมนุษย์ที่ปกคลุมไม่ทั่วถึงนั้น ได้ผลเป็นอย่างมาก วันนี้มีบุญวาสนามาพบท่าน เชิญท่านอาจารย์และหยางเซิงตามข้าพเจ้าเข้าไปเยี่ยมชมภายในคุกเถิด

หยางเซิง   :  ขอบคุณครับ ที่แท้ที่นี่ก็คือ  "นรกแขวนหัวทิ่ม"  (คือแขวนหัวลงดินตีนชี้ฟ้า)  บนประตูได้เขียนบอกไว้แล้ว

อรหันต์จี้กง   :  ใช่แล้ว  เราจะเยี่ยมชม  "นรกแขวนหัวทิ่ม"  รีบตามพัศดีกับนายทหารเข้าไปในคุกเร็ว

หยางเซิง   :  เสียงคร่ำครวญเป็นทอด ๆ ราวกับว่าบิดามารดาตายฉันนั้น ในนั้นมีสนามกว้างบนพื้นสนามต้นหญ้าสีแดงงอดเต็มไปหมด

พัศดี   :  นี่แหละคือ  "นรกแขวนหัวทิ่ม"  อยู่ในความปกครองของขุมที่ 3

หยางเซิง   :  เบื้องหน้าปรากฏภาพเป็นสนามลงโทษที่มองเห็นอย่างชัดแจ้ง ในสนามกว้างติดตั้งเสาเหล็กเป็นแถว ๆ ด้านบนร้อยเอาเส้นเหล็กกล้าเต็มไปหมด วิญญาณโทษแต่ละตนถูกแขวนเอาหัวทิ่มลงบนพื้นดิน เส้นเหล็กกล้าร้อยเจาะอุ้งตีนทั้งสองข้าง หัวคนทิ่มลง บริเวณตีนเลือดสด ๆ ไหลพราก บ้างก็ร้องด้วยความเจ็บปวด บ้างก็ดิ้นรน แต่ยิ่งดิ้นก็ยิ่งเจ็บ บ้างก็มีเลือดไหลออกทางหูตาปากจมูก หยุดนิ่งไม่ไหวติง วิญญษณโทษแขวนอยู่บนราวสูง คล้ายกับตากเส้นหมี่อย่างนั้น  ขอเรียนถามท่านพัศดี ไฉนจึงมีวิญญาณโทษจำนวนมากถูกลงโทษเช่นนี้ ?.

พัศดี   :  มนุษย์ชาวโลก ทำเอาอันดับศักดิ์สิทธิ์สูงต่ำของสังคมกลับตาลปัตร ศีลธรรมเสื่อมสลาย  ดูหมิ่นก้าวร้าวครูบาอาจารย์  ไม่รู้จักสัมมาคารวะ (ไม่รู้จักที่สูงที่ต่ำ)  ดังนั้นวิญญาณโทษที่ถูกจำขังในคุกนี้จึงเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ วิญญาณโทษที่ถูกลงโทษเลือดสด ๆ ไหลลงหยดอยู่บนพื้นดิน ก็เลยงอกต้นหญ้าสีแดง เพราะเหตุว่าเลือดนั้นสีแดงสด เมื่อนอนแช่พื้นดินเป็นเวลานาน ๆ ก้เลยงอกต้นหญ้าสีแดงขึ้นโดยธรรมชาติ เหมือนดังที่โลกมนุษย์เพาะปลูกเห็ดฟางในทุกวันนี้ เลือดของวิญญาณโทษไม่สะอาดพอ เมื่อบ่มแล้วก็เกิดงอกของชนิดนี้ขึ้น

หยางเซิง   :  กลิ่นคาวเลือดตลบกลบจมูกไปหมด ยากที่จะทนทานได้ คิดจะอาเจียนเสียเหลือเกิน

อรหันต์จี้กง   :  ทำจิตใจให้สงบ เพื่อไม่ให้กระทบต่อหน้าที่การแต่งหนังสือ

พัศดี   :  ข้าพเจ้าจะเรียกวิญญาณโทษบางตนลงมา ให้มันเล่าความเป็นมาในการทำผิดว่ามีสภาพอย่างไรให้ท่านฟัง

หยางเซิง   :  ขอขอบคุณท่านพัศดีมาก

พัศดี   :  นายทหารเอาวิญญาณโทษที่แขวนอยู่ข้างหน้าปลดลงมาตนหนึ่ง เพื่อสะดวกในการบอกเล่าด้วยตนเองถึงเหตุการณ์ที่ได้ทำผิดต่อหน้าหยางเซิงเอง

นายทหาร   :  ขอรับคำบัญชา ..... ปลดลงมาแล้ว

หยางเซิง   :  ขอถามบุรุษผู้นี้ ไฉนจึงมาถูกแขวนตากลมเย็น ณ ที่นี้ ?.
หัวข้อ: เที่ยวเมืองนรก ครั้งที่ 18 ตอน ท่องนรกน้อยแดนแขวนหัวทิ่ม
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 19/06/2012, 08:58
                              เที่ยวเมืองนรก

              ครั้งที่ 18  วันพุธที่  29  พฤศจิกายน  พ.ศ. 2519

                      ตอน ท่องนรกน้อยแดนแขวนหัวทิ่ม

        ท่านอรหันต์จี้กงเสด็จปรากฏกาย ตรัสเป็นกลอน มีความว่า   :

        ทั่วปฐพี        เกลื่อนตลบ        ซากศพเลือด
ไหลนองกลบ         จับเกาะ             หญ้ามากมาย
ศีลธรรม                ในครอบครัว        ถูกทำลาย
เวรกรรมร้าย           ตกทอด             สู่ลูกหลาน

วิญญาณโทษ   :  โฮ !โฮ ! โฮ ! ฉันเจ็บปวดทรมานมาก เท้าทั้งสองข้างยืนไม่ค่อยติด เจ็บเหลือหลายถูกแขวนหัวทิ่มจนท้องไส้ทั้งหมดจะอาเจียนออกหมด ฉันอยู่เมืองไถ่หน้ำ ตอนมีชีวิตอยู่เพราะเหตุว่า อาฉันไม่มีลูก ฉันเลยถูกอารับเอาไปเลี้ยงตั้งแต่วัยเยาว์ เรียกกอาเป็นพ่อได้รับการชุบเลี้ยงจากท่าน และได้รับการศึกษาถึงชั้นมัธยม ท่านเปิดร้านสรรพสินค้าอยู่ในบ้านท่านเอง มีเด็กผู้ชายเพียงฉันคนเดียว อาจึงรักใคร่ฉันมาก ฉันมีอำนาจเต็มบริหารกิจการของบริษัททั้งหมด ต่อมาเมื่อฉันมีอายุได้ 37 ปี มีเพื่อนบ้านคนหนึ่ง บอกฉันว่าตัวฉันมิใช่ลูกที่แท้จริงของอา  ในใจจึงเกิดความคิดไม่สุจริตขึ้นมาทันที ว่าถ้าได้กลับไปอยู่ข้างตัวของบิดาบังเกิดเกล้าแล้วน่าจะดีมาก จากนั้นก็แอบขนย้ายเงินทองไปยังบ้านบิดาบังเกิดเกล้า บิดาผู้บังเกิดเกล้าก็มิได้ห้ามปรามแต่อย่างไร แล้วยุยงให้ขายเลหลังสินค้าส่วนใหญ่ในบริษัทอีกด้วย และให้เซ็นเช็คไปเป็นจำนวนมาก แล้วก็หลบหนีจากบ้านของอากลับไปอยู่กับบิดาบังเกิดเกล้าเสพสุขอย่างผู้ดีมีเงิน เมื่ออาได้รู้เห็นเหตุการณ์นี้แล้ว ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันเจ็บซ้ำน้ำใจ ด่าสะบั้นหั่นแหลก เมื่อเช็คครบกำหนดเวลาสั่งจ่ายจึงไม่สามารถจ่ายให้เขาไปแม้แต่ฉบับเดียว เจ้าหน้าที่มาทวงตามหนี้ถึงบ้านกันชุลมุลกันหมด เพราะเช็คที่จ่ายไปอยู่ในนามของอา  อาถูกเร่งรัดไม่มีทางออกถึงกับฆ่าตัวตายด้วยความแค้น วิญญาณล่องไปแดนนรกไปฟ้องร้องต่อท่านยมบาล กล่าวหาโทษฉันกับบิดา ท่านยมบาลรับเรื่องไว้พิจารณา หลังจากตายไปแล้วหนึ่งปี ฉันและบิดาเกิดป่วยไข้ขึ้นพร้อมกัน ทรัพย์สมบัติใช้จ่ายหมดเกลี้ยง อาการป่วยหนักจนถึงแก่ความตาย วิญญาณตกถึงยมโลก ฉันจึงรู้ว่าโดนหักอายุขัย ยมบาลขุมที่ 3 พิโรธยิ่งนัก ตัดสินให้ฉันตกอยู่ใน  "นรกแขวนหัวทิ่ม"  ได้ยินว่าบิดาบังเกิดเกล้าก็ถูกตัดสินให้เข้าไปรับโทษที่คุกอื่น

พัสดี   :  ไอ้สัตว์ทรยศ !  อาชุบเลี้ยงจนเติบใหญ่ ไม่รู้จัดทดแทนบุญคุณ กลับมาเปลี่ยนใจในกลางทาง กลับตาลปัตร อันดับศักดิ์ศรีแห่งทำนองคลองธรรมของโลกมนุษย์ ดังนั้นจึงตัดสินให้มารับโทษที่นี่  แล้วจะพูดอะไรอีก ให้ทหารคุมตัวกลับไปทำโทษ ปลดวิญญาณโทษสองตนด้านซ้ายนั้นลงเสีย ให้สารภาพต่อท่านหยางเซิงเพื่อนเขียนลง "เที่ยวเมืองนรก" 

นายทหาร   :  ขอรับคำบัญชา ..... เอาตัววิญญาณโทษมาแล้ว

พัศดี   :  รีบบรรยายความชั่วที่ได้ก่อไว้ต่อท่านหยางเซิง แห่งสำนักเซี้ยเฮี้ยงตึ้ง แห่งเมืองมนุษย์เสีย 

วิญญาณโทษ   :  ขณะนี้ตัวข้าพเจ้าแสนที่จะเจ็บปวดทรมาน ถูกทำโทษด้วยการแขวนเอาหัวทิ่มทุก ๆ วัน มีปากก็พูดไม่ออก นัยน์ตาทั้งสองข้างจวนจะถลนออกนอกเบ้าแล้ว ข้าพเจ้าเกิดที่เมืองไถ่ตง มีครอบครัวแล้ว ต่อมาได้รู้จักสนิทสนมกับหญิงสาวนางหนึ่ง และเกิดมีการสมสู่ได้เสียกันขึ้น จากความลับกลายมาเป็นความเปิดเผย เนื่องจากหญิงสาวผู้นั้นบิดาเสียชีวิตไปแล้ว มีเพียงมารดาที่มีอายุเพียง 40 ปีเศษ ๆ อยู่เท่านั้น รูปร่างหน้าตาก็หมดจดพอไปวัดไปวาได้ ข้าพเจ้าคอยหาโอกาสไปบ้านของเธอ ใช้วาจาอันอ่อนหวนกล่อมเกี้ยว เมื่อโดนข้าพเจ้าโน้มน้าวเร้าโลมต่าง ๆ นา ๆ  ก็เสียความเป็นแม่หม้ายที่สงวนตัวสงวนใจ ตกเป็นของข้าพเจ้าไป ไหน ๆ มันก็เป็นไปแล้วก้เลยให้มันเลยไป จึงค่อย ๆ กลายเป็นเรื่องเปิดเผยขึ้น ได้เสพสุขสารพัดทุกอย่าง เพราะการหลงใหลในทางคาวโลกีย์จนถอนตัวไม่ขึ้น หลังจากนั้นเกิดอุบัติเหตุทางรถขึ้น จักรยานยนต์ที่ข้าพเจ้าขี่อยู่นั้นถูกชนจนแหลกละเอียด ตัวข้าพเจ้าสลบหมดสติไป ระหว่างสลบไสลนั้นถูกทหารหัวควายหน้าม้าเอาโซ่เหล็กล่ามตัวคุมส่งยมโลกผ่านกระจก (กรรม) วิเศษ ปรากฏร่างเดิมลักษณะอุบาทว์น่าเกลียดน่าอายเป็นยิ่งนัก ท่านยมบาลพิโรธมากตัดสินให้ตกเข้า  "นรกแขวนหัวทิ่ม"  30 ปี  ขณะนี้รับโทษมาเพียง 2 ปีเศษ วันข้างหน้ายังยืดยาวมาก ไม่รู้ว่าวันไหนจึงจะพ้นทุกข์

พัศดี   :  ไอ้สัตว์ !  คนกลายเป็นไก่เป็นหมา ไม่รู้จักพ่อแม่ เรื่องบ้ากามเป็นเรื่องสุดยอดแห่งความชั่วร้ายทั้งหมด การไปมั่วหญิงสาวโทษนั้นก็ไม่เบาอยู่แล้ว ยังบังอาจล่วงล้ำคืบเข้าไปอีก ทำลายแม่หม้ายที่รักษาเนื้อรักษาตัวอย่างถูกต้องตามทำนองคลองธรรม ทำให้แม่ลูกร่วมกันมั่วกาม โทษนี้สมควรให้ตายเป็นพันครั้ง เมื่อครบการลงโทษแล้วจะต้องตกเข้าไป  "นรกโลกันตร์"  ไม่มีวันผุดวันเกิดตลอดไป

อรหันต์จี้กง   :  ไม่รักษาวัฒนธรรมอันดีงามของมนุษย์ 5 ประการ  ทำลายศีลธรรมของชาวโลก  ถ้าไม่รู้จักเคารพครูบาอาจารย์  ใช้คำหยาบคายต่อผู้ใหญ่  หรืออกตัญญูต่่อบิดามารดา  หรือทำให้แม่ลูกมั่วในกามเดียวกัน  "นรกแขวนหัวทิ่ม"  เพียงเป็นที่ลงทัณฑ์แห่งน้อย ๆ เท่านั้น  "นรกอาปี" (นรกโลกันตร์)  จึงจะเป็นที่ฝังตัวที่แท้จริง ชาวโลกควรสำนึกตัวโดยเร็ว เพื่อที่จะไม่ต้องมาตกลงในนรกนี้ วันนี้หมดเวลาแล้ว เราศิษย์อาจารย์จะกลับละ

หยางเซิง   :  ขอขอบคุณที่ท่านพัสดีและนายทหารให้การแนะนำมาก เราจะกลับสำนักกันแล้ว ขอลาท่านทั้งสองละ

พัสดี   :  มิกล้า สิ่งใดไม่รอบคอบ ขอท่านอาจารย์และท่านหยางเซิงโปรดอภัยด้วย

อรหันต์จี้กง   :  ไม่ต้องเกรงใจ หยางเซิงรีบเตรียมตัวกันเถอะ

หยางเซิง   :  กระผมนั่งเรียบร้อยแล้ว เชิญท่านอาจารย์กลับเถิดครับ

อรหันต์จี้กง   :  สำนักเซี้ยเฮี้ยงตึ้งถึงแล้ว  หยางเซิงลงจากดอกบัว วิญญาณกลับเข้าร่างดังเดิม
หัวข้อ: เที่ยวเมืองนรก ครั้งที่ 19 ตอน ท่องตำหนักวิญญาณสัตว์สี่ชีวิตคืนชีพ
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 20/06/2012, 06:57
                               เที่ยวเมืองนรก

              ครั้งที่ 19  วันเสาร์ที่  8  มกราคม  พ.ศ. 2520

                  ตอน ท่องตำหนักวิญญาณสัตว์สี่ชีวิตคืนชีพ

        ท่านอรหันต์จี้กงเสด็จปรากฏกาย ตรัสเป็นกลอน มีความว่า   :

        หัวมีเขา        ตัวมีขน        อมนุษย์
กรรมอุดหนุน          นำเกิด         ก่อหนทาง
สรรพสัตว์              หมุนตามกฏ   สวรรค์ร่าง
สัตว์สี่อย่าง            ฝ่าฝืนธรรม    ไร้เมตตา

อรหันต์จี้กง   :  วันนี้เตรียมท่องนรก เจ้าหยางเซิงรีบตามฉันขึ้นบนดอกบัวเร็ว

หยางเซิง   :  ขอรับคำบัญชา  มิทราบว่าวันนี้จะท่องไปในทางใด ?.

อรหันต์จี้กง   :  ที่จะท่องในวันนี้ผิดกับวันก่อน ๆ เป็นอย่างมาก จะมีภาพวิวทิวทัศน์อีกแบบหนึ่ง จงตั้งใจตั้งสติให้ดี ๆ อย่าได้หวาดหวั่น จนต้องกระทบงานแต่งหนังสือเลย

หยางเซิง   :  ขอรับกระผม  กระผมได้นั่งบนดอกบัวแล้ว เชิญท่านอาจารย์เริ่มเดินทางได้ ... เอ๊ะ !.  ไฉนเบื้องล่างมีแสงทองส่องระยิบระยับ บนศรีษะของผู้คนในบ้านก็เกิดมีรัศมีพุ่งขึ้นสู่อากาศ

อรหันต์จี้กง   :  ใครใช้ให้เจ้ารีบลืมตาเล่า ?.  อันนี้แหละ คือรัศมีธรรมที่สำนักเซี้ยเฮี้ยงตึ้งเปล่งบานออก และเรานั่งอยู่บนดอกบัวลอยกลางอากาศ เพราะเหตุว่าเทวดาทั้งหลายที่คุ้มครองศิษยานุศิษย์ที่ตั้งจิตสมาธิอยู่ในสำนักนั้น เมื่อธาตุลับ ธาตุแจ้ง 2 สิ่งมาบรรจบรวมกันเข้าในจุดกลาง จึงเปล่งรัศมีออกโดยปริยาย นั่นคือผลแห่งการตั้งใจมั่นคงปฏิบัติธรรมของศิษย์ทั้งหลายหล่ะ

หยางเซิง   :  ขอเรียนถามท่านอาจารย์ว่า รัศมีบนศรีษะของผู้ร่วมบำเพ็ญทั้งหลายในสำนักจะคงอยู่โดยไม่เปปลี่ยนแปลงหรือไฉน ?. 

อรหันต์จี้กง   :  บรรดาผู้ที่ออกจากสำนักแล้ว จิตใจในธรรมไม่เสื่อมคลาย ขยันหมั่นเพียรในการบำเพ็ญธรรม แสงรัศมีจะยิ่งเข้มขึ้น ยิ่งโชติช่วงรุ่งเรือง หากว่าออกจากสำนักไปแล้ว จิตใจธรรมเสื่อมลง โดยทำตามใจตน แอบทำอกุศล รัศมีนั้นจะกลับมืดลงหมดแสงรุ่งโรจน์ เนื่องจากอยู่ในสำนักผู้ศักดิ์สิทธิ์แห่ง 3 แดน จุติสถิตลง รัศมีแห่งธรรมก็เจิดจ้าโชติช่วงเป็นพิเศษ ดังนั้นถ้ามนุษย์ได้เข้าใกล้ชิดผู้ทรงธรรมหรือเข้าวัดโบสถ์เสมอ ๆ ปีศาจยักษ์มารภายนอกก็ไม่กล้ามารุกรานทำร้าย เมื่อออกจากสำนักแล้วหากทำความชั่วร้ายเสื่อมศีลธรรม  แสงแห่งดวงจิตก็จะดับลงทันทีทันใด ภูติผีนั้นกลัวความสว่างชอบความมืด ดังนั้นจึงง่ายที่จะสิงสู่ในกายมนุษย์ เหมือนกับเมื่อแสงรุ่งอรุณเริ่มส่อง ผีก็ถอยร่นไปชาวโลกตระหนักระวังให้ดี เจ้าหยางเซิงรีบปิดตาเร็ว เพื่อไปท่องชมเมืองนรก

หยางเซิง   :  ขอรับกระผม  ได้ปิดตาทั้งสองข้างแล้ว เชิญท่านอาจารย์รีบเดินทางได้ .....

อรหันต์จี้กง   :  ... ถึงแล้วละ เจ้าจงรีบลงเสีย

หยางเซิง   :  ไฉนเบื้องหน้าจึงมีสัตว์พวกเป็ดไก่นกกา ชุมนุมมุ่งเดินทางไปข้างหน้าตามทางเล็กนี้เล่า ?.

อรหันต์จี้กง   :  นี่แหละคือหนทางสัตว์สี่ชนิด  เมื่อตายลงแล้วกลับคืนสู่นรกละ

หยางเซิง   :  วันก่อนมาที่นี่ เหตุใดจึงมองไม่เห็น สภาพการณ์เช่นนี้ ?.

อรหันต์จี้กง   :  ก็เพราะว่าเจ้าเป็นปุถุชน ฉันเกรงว่าเจ้าจะรู้อะไรมากเกินไป จะทำให้จิตใจหวั่นไหว จึงใช้ฤทธิ์เดชนิดหน่อยใช้ "เดชพลางตา"  ปิดบังสภาพจริงของทางสัตว์สี่ชนิดที่กลับคืนสู่นรก

หยางเซิง   :  ที่แท้ท่านอาจารย์เล่นกลใน 3 ภพเสียแล้ว พวกสัตว์เหล่านี้สู่แดนนรกแล้ว ทำไมจึงต้องตกใจร้องวิ่งพล่าน ราวกับว่าถูกคนไล่ต้อนฉันนั้น ?.
หัวข้อ: เที่ยวเมืองนรก ครั้งที่ 19 ตอน ท่องตำหนักวิญญาณสัตว์สี่ชีวิตคืนชีพ
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 20/06/2012, 10:37
                             เที่ยวเมืองนรก

              ครั้งที่ 19  วันเสาร์ที่  8  มกราคม  พ.ศ. 2520

                  ตอน ท่องตำหนักวิญญาณสัตว์สี่ชีวิตคืนชีพ

        ท่านอรหันต์จี้กงเสด็จปรากฏกาย ตรัสเป็นกลอน มีความว่า   :

        หัวมีเขา        ตัวมีขน        อมนุษย์
กรรมอุดหนุน          นำเกิด         ก่อหนทาง
สรรพสัตว์              หมุนตามกฏ   สวรรค์ร่าง
สัตว์สี่อย่าง            ฝ่าฝืนธรรม    ไร้เมตตา

อรหันต์จี้กง   :  พวกสัตว์สี่ชนิดเหล่านี้เมื่อไปเกิดในแดนมนุษย์ ตอนที่ตายนั้นส่วนมากถูกฆ่าตาย ดังนั้นมันจึงหวาดกลัวแตกตื่น พอหมดธาตุแจ้งลงมาก็ถูกธาตุมืดดูดดึงเข้าไป แต่ละตนต้องกลับคืนสู่นรก เพื่อเสร็จสิ้นเวรเหตุแห่งกรรมใน 3 ชาติแล้ว สัตว์สี่ชนิดมีเวรกรรมหนักหน่อย ดวงวิญญาณมืดมัว พลกำลังอ่อนแอ เวลาตายลงไม่ต้องให้ยมทูตคุมส่ง ถูกธาตุธรณีดูดคืนโดยธรรมชาติอันนี้ ชนชาวโลกส่วนมากยังไม่เข้าใจ

หยางเซิง   :  จริงครับ เป็นเรื่องที่เพิ่งได้ยินในชีวิตนี้เป็นครั้งแรก เราจะเดินไปข้างหน้าหรือครับ

อรหันต์จี้กง   :  ใช่แล้ว  เราจะเดินตามพวกหัวควาย  ม้า  แพะ  และสัตว์เลี้ยงเหล่านี้ไป ส่วนมากที่แยกกายเกิด เช่นสัตว์ที่เกิดในน้ำเน่าเกิดจากความชื้นรูปร่างเล็กมาก  เมื่อตายแล้วดวงวิญญาณคล้ายดินทรายถูกลมโชยจนปลิวว่อน มีความรวดเร็วมากมองด้วยตาเปล่าจะเห็นไม่แจ้ง มันบินกลับโลกมาชุมนุมกัน รอคอยจนเต็มดวงวิญญาณแล้ว จะรับการตัดสินอีกที เพื่อชำระล้างเหตุแห่งกรรมในสามชาติให้เรียบร้อยไป

หยางเซิง   :  ขอขอบคุณท่านอาจารย์ที่ได้อธิบายสั่งสอน มิเช่นนั้นกระผมจะไม่ทราบอะไรเอาเสียเลย ข้างหน้าก็คือประตูผี  เหตุใดพวกวิญญาณสี่ชนิดเหล่านี้ จึงไม่เข้าไปทางประตูใหญ่ ?.

อรหันต์จี้กง   :  เพราะเหตุว่าประตูผีให้วิญญาณมนุษย์เป็นหลักใหญ่ พวกสี่ชนิดเหล่านี้มรกรรมเวรหนักหนา จึงต้องเข้าไปทางประตูเล็กด้านสองข้าง

หยางเซิง   :  เข้าไปในประตูผีแล้ว พวกมันเหตุใดจึงไม่ไปรายงานตัวที่หอทะเบียน ?.

อรหันต์จี้กง   :  มีสถานที่แห่งอื่นจัดำ ห่างจากที่นี่ไม่ไกลนัก เราเดินตามมันไปเถอะ ไปเร็วเข้า .....

หยางเซิง   :  โอ !  เบื้องหน้าพื้นที่เขียวขจีเหมือนสนามเลี้ยงสัตว์ ด้านซ้ายมีปราสาทหลังหนึ่ง ด้านบนเขียนไว้ว่า "ตำหนักวิญญาณสี่ชนิดคืนชีพ"  พวกสี่ชนิดเหล่านี้ล้วนร่ำไห้และมุ่งไปรวมกลุ่มอยู่ที่นั่น สั่นหัวกราบไหว้ไปทางตำหนัก มีอาการคล้ายร้องทุกข์

อรหันต์จี้กง   :  ข้างหน้าคือ "ตำหนักวิญญาณสี่ชนิดคืนชีพ"  บรรดาสี่ชนิดหมุนเวียนไปเกิดเพื่อรับสนองกรรมเวรที่ก่อไว้ เมื่อรับตอบจนหมดเวร หมดกรรมแล้วต้องกลับตำหนักนี้ เพื่อส่งวิญญาณคืนกลับไปเป็นตัวมนุษย์ รีบมุ่งไปหน้าตำหนักเถิด

หยางเซิง   :  หน้าตำหนักมีข้าราชการเดินออกมา 3 คน มิรู้ว่าเป็นผู้ใด ?.

อรหันต์จี้กง   :  เป็น พระพันปี  (ข้าราชการมีศักดิ์ถึงขั้นเจ้าหรือที่เรียกว่าอ๋อง)  และข้าราชบริพาร จงรีบเข้าไปทำความเคารพ

หยางเซิง   :  ขอแสดงคารวะต่อพระพันปี และเทวทูตทั้งหลาย

พระพันปี   :  มิต้อง ลุกขึ้นเร็ว ขอต้อนรับท่านอาจารย์กับหยางเซิงแห่งสำนักเซี้ยเฮี้ยงตึ้งที่ได้มาเยี่ยมชมถึงตำหนักนี้

อรหันต์จี้กง   :  วันนี้อาตมาพาหยางเซิงแห่งสำนักเซี้ยเฮี้ยงตึ้งจากเมืองไถ่ตง ผู้เป็นศิษย์มาเยี่ยมชมถึงตำหนักของท่าน ขอให้พระพันปีได้โปรดให้คำแนะนำชี้แจงด้วยเถิด

พระพันปี   :  สมควรแล้ว  สมควรแล้ว  เชิญทั้งสองตามข้าพเจ้าเข้ามานั่งพักสักครู่ในตำหนักเถิด

หยางเซิง   :  ขอขอบพระคุรพระพันปีที่ให้เกียรติเป็นอย่างสูง

พระพันปี   :  เชิญท่านทั้งสองนั่งตามสบาย นายทหารรีบเสริร์ฟน้ำชาเร็ว

หยางเซิง   :  สถานที่นี่แปลก  เปลี่ยวมาก  รู้สึกงงงันไปหมดขอพระพันปีได้โปรดอธิบายอย่างละเอียดด้วยขอรับ
หัวข้อ: เที่ยวเมืองนรก ครั้งที่ 19 ตอน ท่องตำหนักวิญญาณสัตว์สี่ชีวิตคืนชีพ
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 22/06/2012, 13:12
                                เที่ยวเมืองนรก

              ครั้งที่ 19  วันเสาร์ที่  8  มกราคม  พ.ศ. 2520

                  ตอน ท่องตำหนักวิญญาณสัตว์สี่ชีวิตคืนชีพ

        ท่านอรหันต์จี้กงเสด็จปรากฏกาย ตรัสเป็นกลอน มีความว่า   :

        หัวมีเขา        ตัวมีขน        อมนุษย์
กรรมอุดหนุน          นำเกิด         ก่อหนทาง
สรรพสัตว์              หมุนตามกฏ   สวรรค์ร่าง
สัตว์สี่อย่าง            ฝ่าฝืนธรรม    ไร้เมตตา

พระพันปี   :  "ตำหนักวิญญาณสี่ชนิดคืนชีพ"  นี้ชาวโลกรู้กันน้อยมาก เนื่องจากสำนักของท่านมีพระราชโองการให้แต่งหนัสือ  "เที่ยวเมืองนรก"  ท่านเง็กเสียงอ๊วงตี่ มีเทวโองการบัญชามา จึงได้เปิด  "ตำหนักวิญญาณสี่ชนิดคืนชีพ"  รับท่านเข้ามาเยี่ยมชมเป็นกรณีพิเศษ ซึ่งเป็นเรืองที่ไม่เคยมีมาก่อนเลย

หยางเซิง   :  ขอขอบคุณพระมหากรุณาธิคุณที่ได้โปรดประทานคุณธรรมอันศักดิ์สิทธิ์แห่งสวรรค์ ขอเชิญพระพันปีได้โปรดชี้แนะด้วย

พระพันปี   :  ข้าพเจ้าปกครอง  "ตำหนักวิญญาณสี่ชนิดคืนชีพ"  อยู่ในตำแหน่งพระพันปี เพราะสี่ชนิดเช่นเต่ามีชีวิตยืนนานถึงพันปี ดังนั้นข้าพเจ้าจึงถูกขนานนามว่า พระพันปี  ไม่เรียกว่ายมบาล  บรรดาผู้ที่มีความชั่วร้ายอุบาทว์กรรมเวรเต็มตัวในเมืองมนุษย์ เมื่อผ่านการลงโทษจากสิบขุมแล้ว ก็ถูกตัดสินเข้าสู่หนทางเกิดของสัตว์  สัตว์สี่ชนิดคืนชีพในหกทางแห่งเวียนว่ายตายเกิด เมื่อไปเกิดยังโลกมนุษย์ก็ถูกเปลี่ยนหน้าเปลี่ยนหัว สูญไปของร่างกายที่มีค่ายิ่ง สัตว์สี่ชนิดแยกออกจากการเกิดเป็นรก  เกิดจากไข่  เกิดจากน้ำ  และเกิดจากการแยกกายสี่จำพวก  เกิดจากรกเป็นชั้นที่หนึ่ง  เกิดจากไข่เป็นชั้นที่สอง  เกิดจากน้ำเป็นชั้นที่สาม  เกิดจากการแยกกายเป็นชั้นที่สี่  เนื่องจากวิบากกรรมมาก จึงไปเกิดในแดนมนุษย์รับกรรมสนองตอบคืน  เมื่อสี่ชนิดตายลงแล้ว  เพราะเหตุว่าเกิดจากรก  เกิดจากไข่นั้น ดวงวิญญาณเหมือนมนุษย์ เป็นดวงวิญญาณที่สมบูรณ์  พวกเกิดจากน้ำ เกิดจากการแยกกายนันมีเวรกรรมหนักมาก ดวงวิญญาณถูกแยกออก ดังนั้นที่เกิดจากน้ำเกิดจากการแยกกายสองชนิดนี้ การคืนชีพจึงค่อนข้างยาก ต้องคอยจนดวงวิญญาณรวมตัวเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน วิญญาณนั้นจึงจะสมบูรณ์แบบ จึงสามารถคืนชีพเป็นตัวมนุษย์ได้

อรหันต์จี้กง   :  เวลาดึกมากแล้ว เราศิษย์อาจารย์จะต้องกลับก่อนแล้ว วันหลังค่อยมารบกวนท่านใหม่

หยางเซิง   :  เสียใจเป็นที่ยิ่ง ในระหว่างที่กำลังรับฟังคำสั่งสอนชี้แจงเกิดลาจากโดยฉับพลัน ขอขอบคุณพระพันปีที่ได้ให้การแนะนำอธิบาย เราจะกลับสำนักแล้วละ

พระพันปี   :  ที่ไหนได้ สิ่งใดที่บกพร่อง ขอโปรดให้อภัยด้วย คราวหน้าเชิญมาเที่ยวชมตำหนักใหม่นี้เถิด

อรหันต์จี้กง   :  เจ้าหยางเซิงรีบออกจากตำหนัก เตรียมตัวกลับสำนัก

พระพันปี   :  ขอนมัสการส่งท่านอาจารย์

อรหันต์จี้กง   :  การทำให้วาจาอันมีค่ายิ่งของพระพันปีขาดหายไปนั้นได้โปรดอภัยด้วย

พระพันปี   :  มิต้อง เพราะว่าเวลาที่จะต้องกลับสู่โลกมนุษย์ของท่านหยางเซิงมาถึงแล้ว ข้าพเจ้าไม่สามารถที่จะเหนี่ยวรั้งให้อยู่ได้อีก

อรหันต์จี้กง   :  หยางเซิงรีบขึ้นบนดอกบัวเร็ว

หยางเซิง   :  กระผมนั่งเรียบร้อยแล้ว เชิญท่านอาจารย์เริ่มเดินทางได้ .....

อรหัยต์จี้กง   :  ถึงแล้ว ..... สำนักเซี้ยเฮี้ยงตึ้ง  หยางเซิงลงจากดอกบัว วิญญาณกลับเข้าสู่ร่างดังเดิม 
หัวข้อ: เที่ยวเมืองนรก ครั้งที่ 20 ตอน ท่องตำหนักวิญญาณสัตว์สี่ชีวิตคืนชีพ ครั้งที่ 2
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 22/06/2012, 14:05
                                 เที่ยวเมืองนรก

              ครั้งที่ 20  วันอังคารที่  18  มกราคม  พ.ศ. 2520

                  ตอน ท่องตำหนักวิญญาณสัตว์สี่ชีวิตคืนชีพ 2

        ท่านอรหันต์จี้กงเสด็จปรากฏกาย ตรัสเป็นกลอน มีความว่า   :

      กฏแห่งกรรม        ปรากฏชัด        ใครใคร่เถียง 
มิอาจเลี่ยง                กรรมต่างกัน      ร่างต่างไป
หกช่องเกิด               ย่อมมีแน่          ทางสายใหม่
จงอย่าไพล่               เหมืองแมงมุม    ใต้ชายคา

อรหันต์จี้กง   :  ใครหนอว่าหลักธรรมแห่งสากลโลก (หรือที่ทุกวันนี้คนทั้งหลายนิยมเรียกว่า "กฏแห่งกรรม")  ไม่มีการตอบสนองนะ ก็ดูพวกสัตว์สี่ชนิดนั้นเถิด วัว  ม้า  ไก่สัตว์ปีก  ปลา  แมลง  ยุง  ตัวหนอนนั้น  ชาติก่อนต่างก็สร้างเหตุต่าง ๆ ซึ่งไม่เหมือนกัน ดังนั้นชาตินี้จึงมีรูปร่างลักษณะแตกต่างกันไป  คนเป็นสิ่งที่มีค่าสูงยิ่งในบรรดาสรรพสิ่งที่มีชีวิตทั้งหลายในแดนมนุษย์ที่เรียกว่า  "บ่วง"  (สัตว์ประเสริฐ หรือสิ่งประเสริฐนานาพันธุ์)  ต้องถนอมรักที่เกิดมาเป็นมนุษย์ จงรีบแสวงหาธรรมบำเพ็ญศีล และก็ปลอบเตือนสัตว์สี่ชนิดที่รวมอยู่ในมวลสรรพชีวิตทั้งหลายต่างเจียมตัวเจียมกาย เพื่อลบล้างบาปเวรเปิดทางเดินที่สว่างไสวจากช่องทางของสัตว์ขึ้น มุ่งหวังที่จะกลับคืนสู่ร่างมนุษย์โดยเร็ว อย่าให้เหมือนแมงมุมที่ใช้ชายคาบ้านทอใยสร้างข่ายพลางตา ขลุกตัวเองอยู่ในนั้นตลอดชาติ ไม่สามารถหลุดพ้นออกจากร่างแห  เจ้าหยางเซิงเตรียมตัวท่องนรกได้แล้ว

หยางเซิง   :  ขอรับคำบัญชา กระผมนั่งลงเรียบร้อยแล้วครับ .....

อรหันต์จี้กง   :  ถึงแล้วหละ เบื้องหน้าก็คือ " ำหนักวิญญาณสัตว์สี่ชนิดคืนชีพ"  พระพันปีและข้าราชบริพารได้ออกมาต้อนรับเราแล้ว

หยางเซิง   :  ขอแสดงความคารวะต่อพระพันปีและเทวทูตทั้งหลาย วันนี้เราศิษย์อาจารย์ได้มารบกวนท่านอีกครั้ง ขอได้โปรดให้การแนะนำอย่างมากด้วยครับ

พระพันปี   :  มิต้อง  วันก่อนคุยกันไม่มาก วันนี้ขอต้อนรับท่านอาจารย์และท่านหยางเซิงที่อุตส่าห์มาเยี่ยมมอีก เชิญพักข้างในสักครู่ คงจะเหนื่อยอ่อนในการเดินทางนะครับ ?.

หยางเซิง   :  ไม่รู้สึกยากลำบากแต่อย่างไร เพราะว่านั่งบนดอกบัว เพียงแต่ได้ยินเสียงลมเท่านั้น

อรหันต์จี้กง   :  เราตามพระพันปีเข้าไปพักในตำหนักเถิด

หยางเซิง   :  ขอขอบพระคุณที่พระพันปีให้เกียรติต้อนรับเป็นอย่างยิ่ง

พระพันปี   :  มิต้องเกรงใจ เชิญดื่มน้ำชา

หยางเซิง   :  สำนักของกระผมรับเทวโองการแต่งหนังสือ "เที่ยวเมืองนรก"  ให้กระผมรับหน้าที่เที่ยวชมยมโลก รู้สึกเป็นเกียรติเป็นหนักหนา  แต่วิชาความรู้ืทางธรรมของกระผมผิวเผินตื้นเขินมาก เหตุการณ์หลายสิ่งหลายอย่างของยมโลก กระผมยังมิอาจเข้าใจกระจ่างแจ้ง ขอให้พระพันปีโปรดอธิบายรายละเอียดสภาพการณ์ใน  "ตำหนักวิญญาณสี่ชนิดคืนชีพ" ให้ทราบอีกครั้ง เพื่อที่จะให้ชาวมนุษย์เข้าใจแจ่มแจ้งปฏิบัติตามจะได้ไม่หลงไปในทางผิดอีก

พระพันปี   :  ข้าพเจ้าจะพาท่านไปตรวจชมรายละเอียดถึงที่ สถานที่ปัจจุบัน และจะอธิบายเสริมให้ด้วยดังนี้จะค่อยเข้าใจง่ายขึ้น

หยางเซิง   :  ขอขอบพระคุณพะพันปีมาก

พระพันปี   :  ท่านตามข้าพเจ้าไปยังห้องโถงกลางของตำหนัก

หยางเซิง   :  ขอรับกระผม  โอ !  กวางตัวนี้ไฉนจึงสั่นหัวมายังท่านที่หน้าโต๊ะ คล้ายกับจะพูดอะไรกับท่านด้วยอย่างนั้น ?.

พระพันปี   :  ใช่แล้ว  กวางตัวนี้ชาติก่อนเป็นลูกศิษย์ของพระสงฆ์ เกิดป่วยไข้อย่างนัก ในใจจึงโกรธแค้นพระพุทธองค์ว่าไม่ช่วยคุ้มครองรักษาให้ ก็เลยแหกศีลกินของคาว (พระจีนถือนิกายมหายานห้ามฉันของมีชีวิต)  สึกออกไปมีลูกมีเมีย และพูดให้ร้ายบริภาษพระพุทธะเทพยดาเป็นประจำ เมื่อตายแล้วก็ไปเกิดเป็นกวาง  เกิดรอบนี้เวียนว่ายมาเป็นครั้งที่สามแล้ว กวางนั้นเกิดในภูผาเปลี่ยวลึก  กินหญ้าสีเขียว  ดื่มน้ำในลำธาร  ตรากตรำรับทุกข์จากลมฟ้ามาตลอดชีวิต ก็เพื่อสนองรับเหตุที่ก่อไว้ในปางก่อน อยู่ในป่าเขาเปลี่ยวลึก กินแต่หญ้าดื่มแต่น้ำค้าง เสมือนหนึ่งผู้บำเพ็ญธรรมคนหนึ่ง นี่แหละที่ว่าการตอบสนองเหตุแห่งกรรม เวลานี้กวางตัวนี้ได้รับกรรมตอบสนองมาหมดแล้ว ถูกธาตุมืดดูดนำมายังยมโลก สั่นหัวเหมือนดังแสดงความคารวะนั่นคือขอให้ข้าพเจ้าช่วยกอบกู้แก้ไขเพือให้กลับร่างเป็นมนุษย์

หยางเซิง   :  น่าสะพรึงกลัวเสียจริง ๆ ความคิดผิด ๆ ชั่ววูบเดียวได้รับกรรมตอบสนองร้ายถึงเพียงนี้ ยมกฏรอดยากนัก แต่ว่ากระผมก็ยังไม่สู้จะเข้าใจถ่องแท้นักว่า ไฉนสัตว์สี่เท้าตายลงแล้ว ธาตุมืดจะดูดดึงมันเข้ามาในยมโลกโดยอัตโนมัติได้อย่างไรนั้นเป็นเหตุผลจากอะไร ?.
หัวข้อ: เที่ยวเมืองนรก ครั้งที่ 20 ตอน ท่องตำหนักวิญญาณสัตว์สี่ชีวิตคืนชีพ ครั้งที่ 2
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 25/06/2012, 05:11
                                   เที่ยวเมืองนรก

              ครั้งที่ 20  วันอังคารที่  18  มกราคม  พ.ศ. 2520

                  ตอน ท่องตำหนักวิญญาณสัตว์สี่ชีวิตคืนชีพ 2

        ท่านอรหันต์จี้กงเสด็จปรากฏกาย ตรัสเป็นกลอน มีความว่า   :

      กฏแห่งกรรม        ปรากฏชัด        ใครใคร่เถียง 
มิอาจเลี่ยง                กรรมต่างกัน      ร่างต่างไป
หกช่องเกิด               ย่อมมีแน่          ทางสายใหม่
จงอย่าไพล่               เหมืองแมงมุม    ใต้ชายคา

พระพันปี   :  ข้าพเจ้าจะอธิบายให้ฟัง  ความเป็นอยู่ทั่วพิภพนั้นล้วนอาศัยอากาศธาตุศักดิ์สิทธิ์เป็นพลังโคจรหมุนเวียน ดังนั้นศาสนาเต๋าจึงมีสิ่งที่เรียกว่า อากาศธาตุศักดิ์สิทธิ์  (หรือธาตุอันดับ1) นี้แบ่งออกเป็น 3 ภาค (หริือ 3 ภพ)  ซึ่งความจริงแล้วธาตุอันดับ1 นี้แปลงได้ไม่  ใช่แค่ 3 ภาค (ภพ)  เท่านั้นแต่สามารถแปลงได้เป็นหมื่นภาค เช่นนี้แล้วฟ้าก็มีธาตุฟ้า   ธรณีก็มีธาตุธรณี  มนุษย์ก็มีธาตุมนุษย์  ฟ้าธรณีมนุษย์ มีการหายใจเข้าออกอยู่ตลอดเวลา ถ้าหากธาตุฟ้าขาดลง มนุษย์ก็จะวายปราณ  อากาศธาตุแท้อันนี้ก็คือธาตุจิต  ก่อนหน้านี้ไม่นานนักวิทยาศาสตร์เมืองมนุษย์ได้พิสูจน์ปรากฏว่า "แรงดึงดูดของโลก"  แต่ยังไม่ทราบว่ามี  "แรงดึงดูดของฟ้า"  "แรงดึงดูดของมนุษย์"  สิ่งใดที่ลอยขึ้นฟ้านั่นก็คือเป็นผลแห่งแรงดึงดูดของฟ้า  สิ่งทึบที่ถ่วงลงนั้นก็คือดินเป็นผลลแห่งแรงดึงดูุดของธรณี  เกิดความอยากความใคร่เป็นแรงดึงดูดของมนุษย์  เมื่อมีแรงดึงดูดสามประเภทนี้แล้วจึงร่วมกันสร้างให้มีสัตว์โลกทุกชนิดเพราะเหตุว่าในจำพวกสัตว์สี่ชนิด ทางเกิดของสัตว์ล้วนแล้วแต่มีกรรมเวรหนักหนาในชาติก่อนทั้งนั้น  เมื่อตายลงก็ถูกแรงแห่งธรณีดูดดึงเอา จึงต้องตกลงยมโลกรับการพิจารณาโดยอัตโนมัติ หากว่าผู้ที่ได้บำเพ็ญธรรม ดวงวิญญาณเบาและแจ่มใสเปล่งปลั่ง ก็ลอยขึ้นบนฟ้าโดยอัตโนมัติ ถึงยมทูตจะคุมตัวมาแดนนรกก็ไม่สามารถทำได้ ประหนึ่งว่าลูกโป่งขนาดใหญ่ซึ่งมีแก็สอัดเต็มอยู่ภายใน ลอยอยู่บนอากาศ คนจะดึงมันไว้ แต่กลับถูกมันดึงลอยไป ดังนั้นชาวมนุษย์จะเป็นพระอรหันต์เทวดา  เป็นภูติผี  ล้วนต้องอาศัยธรรมที่ตนบำเพ็ญในมนุษยโลก ส่วนที่จะช่วยกู้วิญญาณบิดามารดานั้น ต้องอาศัยบุญกุศล มิเช่นนั้นแล้วจะจ่ายเงินเป็นพัน ๆ ก็ช่วยอะไรไม่ได้ ผู้ที่จะช่วยเหลือกอบกู้บรรพบุรุษนั้น เจ้าตัวต้องประพฤติดี  บำเพ็ญธรรมในตัวเอง  แล้วยังจะต้องมีการสร้างพิมพ์แจกหนังสือธรรมด้วย  เป็นงานกุศลใหญ่ยิ่งอันดับหนึ่ง ดังนั้น พระอรหันต์เทวดาจุติสู่โลก จุดประสงค์ที่จะช่วยกู้มวลมนุษย์เป็นจุดใหญ่อันดับแรก และพระคัมภีร์หนังสือธรรมก็คือเสียงสวรรค์จากอรหันต์ เทวดา  เป็นหลักแก่นสำคัญในการประพฤติบำเพ็ญทางจิตใจ  ฉะนั้น การเผยแพร่ตำราคัมภีร์พิมพ์หนังสือธรรมนั้น จึงเหมาะสมตรงต่อความมุ่งหมายของพระอรหันต์เทวดา มีความดีความชอบที่ยิ่งใหญ่โดยอาศัยความดีกุศลกรรมนี้ส่งย้อนไปยังวิญญาณของบรรพบุรุษ  เป็นทางเดินที่สะดวกในการพ้นทุกข์  ถ้าหากจะสวดมนต์กอบกู้ชักนำต้องมีตำราหนังสือธรรมเป็นที่พึ่งเสียก่อน  จุดนี้แหละชาวโลกควรตะรู้ไว้ นอกนั้นเช่นช่วยเหลือจุนเจือคนยากคนจน ส่วนสาธารณกุศลก็เป็นสิ่งที่สมควรกระทำอีกอย่างหนึ่ง

หยางเซิง   :  พระพันปีมีเหตุผลอย่างยิ่ง อรหันต์เทวดาประกาศธรรมล้วนได้จดบันทึกลงในหนังสือ พิมพ์แจกหนังสือธรรมจึงสมดังความประสงค์แห่งสวรรค์เป็นกุศลที่ยิ่งใหญ่ไพศาล วิญญาณของบรรพบุรุษนั้น โดยแรงธรรมชาติดึงดูดจากฟ้าจึงขึ้นสู่สวรรค์ได้ 

อรหันต์จี้กง   :  เจ้าหยางเซิงพูดเข้าหลักธรรมเป็นอย่างยิ่ง  "ตำราสวรรค์"  ก็คือ "ความอารีแห่งธรณี"  เมื่อมนุษย์สามารถใช้ความเมตตาอารีอารอบโดยหมดสิ้น ความประพฤติดีแห่งมนุษยชาติก็สมบูรณ์  ก็มีส่วนเป็นเทวดาแล้ว 

พระพันปี   :  กวางตัวนี้เวียนมาเกิดสามชาติได้หมดเหตุปางก่อนลงแล้ว ข้าพเจ้าจะล้างโทษให้มัน ให้นายทหารนำกวางตัวนี้ไปยัง  "ศาลาคืนชีพ"  ให้  "น้ำคืนชีพ"  มันดื่มเสีย

นายทหาร   :  ขอรับคำบัญชา !  เชิญท่านหยางเซิงตามข้าพเจ้าไปสังเกตดูรายละเอียด

หยางเซิง   :  ครับผม  ขอบคุณท่านนายทหารมากด้านนี้มีศาลาอยู่ศาลาหนึ่งจริงอย่างว่า ด้านบนเขียนไว้ว่า "ศาลาคืนชีพ"  ภายในศาลามีผู้เฒ่าอยู่คนหนึ่ง เอาน้ำที่อยู่ในแต่ละถ้วยให้พวกวิญญาณชีวิตดื่มกิน แต่ละคนก็ปรากฏเป็นร่างของมนุษย์ขึ้นมา มีทั้งหญิงชาย แก่หนุ่ม
หัวข้อ: เที่ยวเมืองนรก ครั้งที่ 20 ตอน ท่องตำหนักวิญญาณสัตว์สี่ชนิดคืนชีพ 2
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 25/06/2012, 05:42
                                  เที่ยวเมืองนรก

              ครั้งที่ 20  วันอังคารที่  18  มกราคม  พ.ศ. 2520

                  ตอน ท่องตำหนักวิญญาณสัตว์สี่ชีวิตคืนชีพ 2

        ท่านอรหันต์จี้กงเสด็จปรากฏกาย ตรัสเป็นกลอน มีความว่า   :

      กฏแห่งกรรม        ปรากฏชัด        ใครใคร่เถียง 
มิอาจเลี่ยง                กรรมต่างกัน      ร่างต่างไป
หกช่องเกิด               ย่อมมีแน่          ทางสายใหม่
จงอย่าไพล่               เหมืองแมงมุม    ใต้ชายคา

นายทหาร   :  ท่านหยางเซิงจงยืนดูอยู่ทางนี้ ข้าพเจ้าจะไปรับเอา "น้ำคืนชีพ"  จอกหนึ่งให้กวางตัวนี้ดื่ม

หยางเซิง   :  ได้ครับ  เชิญตามสบาย  โอย!. คล้ายกับเล่นมายากลเสียจริง กวางป่าดื่มแล้วร่างกายเปลี่ยนแปลงขึ้นทันที กลับกลายเป็นคนแก่อายุประมาณ 50 เศษ ผมก็ไม่ขาว  บนศรีษะมีรอยจุดแห่งการรับศีลอย่างว่าด้วย (การเป็นพระจีนนั้นต้องเข้าพิธีใช้ธูปจี้บนศรีษะ)  นั่นเป็นรูปที่หลังจากสึกออกจากพระแล้วกระมัง

นายทหาร   :  ถูกต้อง  ผู้นี้บวชแล้วสึก กินของคาวทำลายศีลก็เลยต้องโดน 3 รอบ กลายเป็นสัตว์เดียรัจฉาน เพราะดื่มน้ำคืนชีพ เกิดการกลับกลายแปรเปลี่ยน ถอดร่างลอกคราบทันที คืนสู่ร่างเดิม

หยางเซิง   :  มิทราบว่าเวลานี้จะจัดการกับมนุษย์กวางผู้นี้อย่างไรบ้าง?.

นายทหาร   :  มนุษย์กวางผู้นี้อยู่มาจนได้คืนชีพในขณะนี้  เป็นหน้าที่รับผิดชอบของตำหนักนี้ เมื่อคืนชีพแล้วจะส่งขุมที่สิบให้พญายมบาล "จวงลุ้งอ๊วง" ตรวจเหตุปางก่อน ให้ไปเกิดเป็นมนุษย์อีก ตามที่ข้าพเจ้าทราบมา ผู้ที่ไปจากตำหนักนี้ เมื่อหมุนเวียนไปเกิดแล้ว ล้วนเกิดในบ้านยากจนทั้งสิ้น หรือมีร่างกายพิการบางส่วน ต้องรับสนองทุกข์ยากอีก ถ้ารู้ตัวบำเพ็ญธรรมแล้วก็จะค่อย ๆ เข้าสู่แดนสุขสบายขึ้น

อรหันต์จี้กง   :  เพราะเหตุเวลาจำกัด เราขอลาท่านนายทหารและจะไปลาพระพันปีในตำหนักด้วย

หยางเซิง   :  ขอบคุณที่ท่านนายทหารให้คำแนะนำ เพราะได้เวลาที่จะต้องกลับสู่แดนมนุษย์ อยู่ต่อไปไม่ได้อีกแล้ว พบกันใหม่ในวันอื่นนะครับ

อรหันต์จี้กง   :  ขอขอบพระคุณพระพันปีที่ให้การชี้แจง เนื่องจากเวลาดึกมากแล้ว เราเตรียมจะกลับสำนัก วันอื่นค่อยมาเยี่ยมคารวะใหม่

พระพันปี   :  มิต้อง ข้าพเจ้าก็จะไม่ถ่วงเวลาของท่านละ ยินดีต้อนรับที่จะมาเยือนตำหนักใหม่

อรหันต์จี้กง   "  "วิญญาณสัตว์สี่ชนิดคืนชีพ"  มวลมนุษย์ส่วนใหญ่ไม่รู้จัก ฉันวางแผนให้หยางเเซิงตรวจเยี่ยมสังเกตการณ์ให้ละเอียด เพื่อที่จะเผยให้ชาวโลกเข้าใจ ฉะนั้นจึงขอมารบกวนอีกครั้งหนึ่ง

พระพันปี   :  ยินดีต้อนรับด้วย นายทหารตั้งแถวนมัสการส่งท่านอาจารย์กับท่านหยางเซิง

หยางเซิง   :  ท่านให้เกียรติมากเกินไปแล้ว ขอขอบคุณท่านและเทวทูตทั้งหลาย เราลาละครับ

อรหันต์จี้กง   :  รีบขึ้นดอกบัวเร็ว เตรียมกลับสำนัก

หยางเซิง   :  กระผมนั่งเรียบร้อยแล้ว ท่านอาจารย์เชิยเริ่มได้ .....

อรหันต์จี้กง   :  ถึงแล้ว  หยางเซิงลงจากดอกบัว วิญญาณกลับเข้าสู่ร่างดังเดิม
หัวข้อ: เที่ยวเมืองนรก ครั้งที่ 21 ตอน ท่องตำหนักวิญญาณสัตว์คืนชีพ ครั้งที่ 3
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 26/06/2012, 05:12
                                    เที่ยวเมืองนรก

              ครั้งที่ 21  วันพฤหัสบดีที่  27  มกราคม  พ.ศ. 2520

                  ตอน ท่องตำหนักวิญญาณสัตว์สี่ชีวิตคืนชีพ 3

        ท่านอรหันต์จี้กงเสด็จปรากฏกาย ตรัสเป็นกลอน มีความว่า   :

        โอ้สัตว์น้ำ        ต้องเวียนว่าย        ทะเลทุกข์
ลมหนาวบุก             โบกพัดสัตว์          ทั้งปีก - บก
เนื่องปางก่อน           รื่นหรรษา            กามลามก
ตื่นภวังค์                 จึงได้พบ             ทุกอย่างสูญ

อรหันต์จี้กง   :  ถนนหนทางในแดนนรกขมุกขมัวนัก แต่ละวันมีแต่เสียงร่ำไห้โอดครวญ  คนตายก็โศกเศร้าร่ำไห้ สัตว์ตายครวญครางไม่หยุดหย่อน สัตว์สี่ชนิดที่ไปเกิดแดนมนุษย์ ส่วนมากถูกชาวโลกเฉือนฆ่า เมื่อชีวิตถูกคมมีดเฉียนเอา ขณะนั้นจะตกใจกลัวจนตะลึงพรึงเพริดขวัญหนีดีฝ่อ อยากจะหาทางเอาชีวิตรอด แต่ด้วยเหตุที่มีกำลังอ่อนแอกว่าจึงไม่สามารถดิ้นหลุด จึงได้แต่แหกเสียงหวีดร้อง ราวกับว่าถูกนำส่งตะแลงแกงทำการประหาร ดวงวิญญาณจุดนั้นล่องลอยไปใต้บาดาล  "ตำหนักวิญญาณสัตว์สี่ชนิดคืนชีพ"  กำลังทำการรับเอาดวงจิตวิญญาณ เพื่อคืนชีพให้อยู่ในร่างมนุษย์ แล้วก็ตามบุญตามกรรมที่ตนก่อไว้สนองรับไปเพื่อที่จะได้ชำระล้างบาปจากเหตุซึ่งสร้างไว้แต่ปางก่อน ศิษย์ทั้งหลายถ้าไม่ตั้งตนอยู่ในทางธรรม จิตใจโหดร้าย  ทำสิ่งไร้ศีลธรรมขัดหลักธรรมแห่งสวรรค์ และไม่กลัวความตายนั้น เมื่อตัวตายแล้วถูกหมุนเวียนไปเกิดเป็นสัตว์พวก  รก  ไข่  น้ำ  แยกกายเกิดเป็นสัตว์สี่ชนิดนั้นอย่างแน่นอน เจ้าหยางเซิงเตรียมตัวท่องนรก

หยางเซิง   :  ท่านอาจารย์ครับ ขณะนี้ เนื่องจากบิดาของศิษย์นักทรงผู้หนึ่งในสำนักเสียชีวิตไป ในใจเจ็บปวดโศกเศร้าไม่รู้คลาย  ไฉนสวรรค์ท่านจึงไม่ละเว้นคนดีใจบุญไว้ให้มาก ๆ เพื่อช่วยกันอุ้มชูรักษากิจการธรรมที่ศักดิ์สิทธิ์ ไฉนจึงรีบเอาคนดีกลับคืนสู่สวรรค์เล่า ?.

อรหันต์จี้กง   :  การเกิดแก่เจ็บตายนั้น  แม้จะเป็นถึงรัฐมนตรี นายพล  ผู้มียศศักดิ์สูงส่ง  ความหวังเพื่ออุทิศตัวเพื่อแผ่นดินแม้ว่างานการนั้นยังมิทันลุล่วงสำเร็จ ยังต้องวางมือคืนสู่สวรรค์เช่นเดียวกัน  สำมะหาอะไรกับผู้คนธรรมดาเล่า ขอเพียงแต่ว่าตอนมีชีวิตอยู่ รู้จักบำเพ็ญสร้างบุญ แม้ตนจะตาย ตัวจะสูญ แต่วิญญาณนั้นจะคงอยู่ในแดนมนุษย์ ที่เรียกว่าวิญญาณนักปราชญ์ ไม่มีวันดับสูญในโลกนี้  ไม่มีผู้ใดไม่ตาย  เจ้าอย่าได้ไปเสียใจสะเทือนจนเกินไป

หยางเซิง   :  กระผมคิดจะพบหน้าแกเหลือเกิน เพื่อที่จะสอบถามถึงสภาพการณ์ เมื่อขึ้นสวรรค์ไปแล้ว ได้ยินลูกหลานแกเล่าว่า ก่อนที่แกจะคืนสู่สวรรค์ 2 วัน แกรู้ตัวว่าความเป็นมนุษยภาพนั้นหมดลงแล้ว จะต้องคืนสู่สวรรค์แล้ว มิทราบการบำเพ็ญธรรมต้องถึงขั้นไหน จึงสามารถบรรลุถึงเขตแดนนี้ ?.

อรหันต์จี้กง   :  เนื่องจากโอกาสยังไม่อำนวย ดังนั้นการพบปะนั้นจึงไม่สามารถจัดการให้ได้  ส่วนที่บำเพ็ฯจนสามารถรู้ถึงวันตายของตัวเองนั้น เป็นที่จิตใจแน่วแน่สัตย์ซื่อ จนไปดลจิตดลใจภูติผีเทวดาฟ้าดิน เลยแสดงปรากฏเป็นลางให้ทราบก่อนและก็จะอาศัยใน (โอกาส)  ครั้งนี้พิสูจน์ได้ว่า ผีสางเทวดานั้น มิใช่เรื่องเหลวไหลไร้สาระ  หากได้ตั้งใจจริงปฏิบัติธรรมแล้ว การเกิดการตายได้กุมอยู่ในอุ้งมือแล้ว เพียงงอนิ้วเท่านั้นก็รู้ได้ทันทีโดยหาใช่เรื่องแปลกประหลาดไม่ นี่แหละเป็นการดลบันดาลใจกันละ อย่าได้คุยต่อเถอะ เพื่อไม่ให้เสียเวลาท่องนรก รับขึ้นบนดอกบัวเร็ว

หยางเซิง   :  ขอรับคำบัญชา กระผมนั่งเรียบร้อยแล้วครับ ท่านอาจารย์

อรหันต์จี้กง   :  ถึงแล้วละ รีบลงจากดอกบัวเร็ว

หยางเซิง   :  เบื้องหน้าพระพันปีกับเทวทูตใน  "ตำหนักวิญญาณสัตว์สี่ชนิดคืนชีพ"  ได้ออกมาแล้ว

อรหันต์จี้กง   :  รีบเข้าไปแสดงความเคารพเร็ว 

หยางเซิง   :  ขอแสดงความคารวะพระพันปี และเทวทูตทั้งหลาย การมารบกวนท่านในวันนี้อีกครั้ง ขอให้ท่านได้โปรดแนะนำด้วย

พระพันปี   :  มิต้อง !  ท่านศิษย์อาจารย์ไม่รังเกียจที่มีสัตว์เดินไปทั่วพื้นที่แห่งนี้ ได้อุตสา่ห์มาเยี่ยมเป็นครั้งที่ 3 ข้าพเจ้าปลื้มปิติยิ่งนักด้วย เชิญท่านทั้งสองตามข้าพเจ้าเข้าไปในตำหนักเถิด   
หัวข้อ: เที่ยวเมืองนรก ครั้งที่ 21 ตอน ท่องตำหนักวิญญาณสัตว์สี่ชีวิตคืนชีพ ครั้งที่ 3
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 8/07/2012, 05:57
                                     เที่ยวเมืองนรก

               ครั้งที่ 21  วันพฤหัสบดีที่  27  มกราคม  พ.ศ. 2520

                  ตอน  ท่องตำหนักวิญญาณสัตว์สี่เท้าคืนชีพ  ครั้งที่ 3

       ท่านอรหันต์จี้กงเสด็จปรากฏกาย ตรัสเป็นกลอน มีความว่า  :

        โอ้สัตว์น้ำ        ต้องเวียนว่าย        ทะเลทุกข์
ลมหนาวบุก             โบกพัดสัตว์          ทั้งปีก - บก
เนื่องปางก่อน           รื่นหรรษา            กามลามก
ตื่นภวังค์                 จึงได้พบ             ทุกอย่างสูญ

อรหันต์จี้กง   : ขอบคุณมาก เพราะเวลาน้อยมาก ขอพระพันปีพาเจ้าหยางเซิงเที่ยวชมตามสำนักงานต่าง ๆ เล่าสภาพการณ์ของวิญญาณสี่ชนิดคืนชีพให้ทราบ เพื่อลงพิมพ์ในหนังสือ "เที่ยวเมืองนรก"

พระพันปี   : 
ถ้าเช่นนั้นแล้ว เชิญตามข้าพเจ้าไปข้างหน้า ตรวจสอบสถานที่ต่าง ๆ เถิด ... ! !

หยางเซิง   :  กลไกตกแต่งของสถานที่นี้รู้สึกพิสดารแยบยลมาก คล้ายกับเครื่องดูดฝุ่นในเมืองมนุษย์  ยุงแต่ละตัว มิทราบว่าถูกดูดมาจากที่ใดเมื่อรวมเป็นกลุ่มแล้วก็ตกลงมา ประหนึ่งว่าดอกหิมะที่รวมตัวเป็นก้อนเดียว แล้วยังกระดุกกระดิกไม่หยุดยั้ง

พระพันปี   :  นั่นคือพวกยุงโดนคนตบตาบ หรือถูกยาพ่นฆ่า ถูกธาตุธรณี (ดิน) ดูดมายังตำหนักนี้ กลุ่มนี้มีประมาณห้าร้อยตัว  ดังนั้นจากวิญญาณแยกมารวมเป็นวิญญาณที่สมบูรณ์ จึงตกอยู่ข้างหน้าโดยปริยาย เมื่อรด "น้ำคืนชีพ" ให้อีก ก็จะสามารถคืนสู่ร่างมนุษย์

หยางเซิง   :  กลไกชนิดนี้ตกแต่งทั่วไปหมด พื้นที่นี้สร้างด้วยวิธีพิศดารอันไหนหนอ ?.

พระพันปี   :  นั่นคือความพิสดารจากแรงดึงดูดแห่งโลก จากการดูดของธาตุธรณี เพราะเหตุว่า ยุง  หนอน เหล่านี้เป็นวิญญาณแยก ธาตุแท้ที่อับทึบ เมื่อตายลงแล้วต้องถูกดูดมาที่นี่โดยปริยาย วิญญาณแยกนั้นอุปมารวมทรายสร้างเจดีย์ ความพิสดารแยบยลของการคืนชีพก็คืออย่างนี้แหละเราไปชมดูที่อื่น ๆ อีกกันเถอะ ! 

หยางเซิง   :  สนามกว้างใหญ่นี้เต็มไปด้วยสัตว์ต่าง ๆ มีสัตว์ที่แปลกประปลาดจำนวนมากล้วนไม่เคยพบเห็นในชีวิตมีทั้งเสือ สิงโต  เหมือนหนึ่งสวนสัตว์อย่างนั้น ยิ่งพวก ไก่ เป็ด หมู แล้วยิ่งนับไม่ถ้วนใหญ่  ได้กลับเข้ามายังในตำหนักแล้ว มิทราบว่าพระพันปีมีคำแนะนำประการใด ?.

พระพันปี   :  ขณะนี้ ข้าพเจ้ากำลังจัดการกับคดีเรื่องหนึ่ง ไก่ตัวผู้ที่อยู่ตรงหน้ากำลังมาทำการร้องทุกข์ ข้าพเจ้าจะเปิดข้อมูลดั่งเดิมให้ท่านชม ไก่ตัวนี้ชาติก่อนไปเกิดเป็นบุตรของครอบครัวคนรวยผู้หนึ่ง เกิดที่แถบเหนือในไต้หวัน เนื่องจากอาศัยความมีเงินแล้วมักจะไปผิดกามกับลูกเขาเมียเขา และใช้เงินทองซื้อหญิงสาวที่ร่างกายกำลังตูม ๆ เพื่อทำการเสพสมหาความสนุกทางกาม โดยเอาหญิงบริสุทธิ์นั้นเป็นที่เสพสุข สร้างเวรบาปมหันต์ จึงโดนหมุนเวียนไปเกิดเป็นไก่ห้าชาติ  บัดนี้เวรกรรมนั้นได้ชดใช้ไปหมดแล้ว วิญญาณกลับมาสู่ตำหนักนี้ วิงวอนร้องขอคืนชีพ

หยางเซิง   :  น่ากลัวเป็นที่สุด ไก้แปลงสภาพมาจากมนุษย์ แล้วผู้ที่กินเนื้อไก่น่ะ จะมีบาปเวรบ้างไหม ?.

พระพันปี   :  แต่ละสิ่งล้วนมีวิญญาณสิงอยู่ เว้นเสียแต่แตกต่างกันในรูปร่างเท่านั้น มีวิญญาณที่ปราดเปรื่องเหมือนมนุษย์ ชาวโลก ที่ชอบกินอาหารพวกเนื้อ แน่นอนล่ะ ต้องการบำำรุง ว่าด้วยไขมัน มีธาตุโปรตีนสูงหน่อย กินเพื่อบำรุงร่างกายให้แข็งแรง  แต่ไม่คิดว่าสัตว์สี่ชนิดล้วนเป็นการแปลงกายมาจากมนุษย์ที่มีบาปเวรชั่วร้าย ร่างของมันมีธาตุแห่งไม่ซื่อสัตย์สุจริตชนิดหนึ่ง และตอนที่มนุษย์ฆ่ามันตายนัน มันก็ดิ้นรนเพื่อจะหนีเอาชีวิตรอดในใจหวาดกลัว การหมุนเวียนของโลหิตทั่วกายก็ผิดปกติ เครื่องในทุกส่วนเกิดมาสารพิษ เมื่อมนุษย์ฆ่ามันตายแล้ว ดื่มกินเลือดเนื้อของมัน แม้จะมีประโยชน์ แต่ส่วนมีโทษได้หลบสิงอยู่ภายใน หากมนุษย์เกิดมีอาการเกร็งเครียดขณะหวาดหวั่นตกใจกลัว โลหิตก็แปรสภาพ ถ้าประสบเหตุการณ์ชนิดนี้บ่อย ๆ เข้า ร่างกายจะต้องเกิดเจ็บป่วยลง มนุษย์ที่แข็งแรง หน้าตามีน้ำมีนวล ราศีเปล่งปลั่ง ถ้าหากตายลง ทั่วทั้งร่างก็ปรากฏสีเขียวดำ เรียกว่า ศพ เมื่อมนุษย์กินซากศพของสัตว์ ก็มีสารที่ไม่สะอาดอยู่แล้ว มีทั้งประโยชน์และให้โทษคู่กัน พวกนักวิทยาศาสตร์ก็เคยแนะนำให้กินแบบมังสวิรัติ (กินเจ) เลี้ยงชีพ  บรรดาผู้ที่บำเพ็ญธรรม แม้ว่าจะไม่สามารถตัดขาดการกินของมีชีวิต ก็ควรทีกินน้อยลงจะดีกว่า เพื่อไม่ให้ธาตุสกปรกเต็มตามร่างมนุษย์ มิเช่นนั้นแล้วจะชำระสะสางผลธรรมให้หมดจดบริสุทธิ์ก็ทำได้ยากมาก การกล่าวถึงว่าจะบาปหรือไม่บาปนั้น ยังเป็นประเด็นที่รองลงมาเป็นอันดับสอง

หยางเซิง   :  คำพูดของพระพันปีสมแก่หลักการของวิทยาศาสตร์เป็นอย่างยิ่ง จะกินหรือไม่ก็ตามแต่ใจของคน เมื่อรู้ชัดแล้วว่า คุณโทษนั้นต่างกันจะทำอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของตนเอง  ขอเรียนถามพระพันปีอีกสักนิดว่า เบื้องหน้ามีลิงและนกแก้ว  ลิงนั้นการเดินเหินคล้ายมนุษย์ นกแก้วยังสามารถพูดจาได้ พวกนี้จะเป็นพวกชั้นสูงสักหน่อยหรือไฉน ?.

พระพันปี   :  ลิง นั้นการเดินเหินคล้ายมนุษย์ สมองก็ฉลาดเฉลียวมาก ต้องโทษตัวเองเมื่อชาติก่อน เป็นผู้ที่หลงตัวเองในความฉลาดของตน ดังนั้นชาตินี้จึงตกลงมาเกิดในร่างของสัตว์ ส่วน นกแก้ว แม้จะสามารถเรียนคำพูดจากมนุษย์ แต่ชาติก่อนที่เป็นมนุษย์อยู่นั้น ชอบเล่นลิ้น เปล่งวาจากล่าวร้ายทำให้ผู้อื่นล้มตาย บ้านแตก ชาตินี้จึงต้องเข้าไปอยู่ในกรง ฟังคนอื่นเขาพูด เรียนคำพูดจากมนุษย์ มีแต่ปากอันคมคายเสียเปล่า ดังเช่น เสียดายที่วีรบุรุษไม่มีทางได้แสดงฝีไม้ลายมือ บรรดาผู้คนในโลกที่ทำอะไรลงไปทุกอิริยาบถ ถ้าขัดต่อหลักกฏและหลักธรรมแล้วเมื่อตายลงต้องตกเป็นสัตว์บก  สัตว์ปีก  ไม่มีวันสิ้นสุด  สมควรจะตระหนักรู้ตัวให้ดี

อรหันต์จี้กง   :  เนื่องจากเวลาจำกัด ฉันว่าการเยี่ยมชม "ตำหนักสัตว์สี่ชนิดคืนชีพ" จะปิดฉากลงเพียงเท่านี้ ชาวโลกก็พอจะรับรู้เข้าใจเป็นสังเขปบ้างแล้ว ที่นี่เพียงแต่จัดการคืนชีพ นอกนั้นที่โดนขุมที่สิบแห่งยมบาล "จ้วงลุ้งอ๊วง" ตัดสินให้เวียนไปเกิดเป็นสัตว์สี่ชนิด วิญญาณที่เวียนยังไม่ครบกำหนดไม่อยู่ในการจัดทำของตำหนักนี้ อันนี้ชาวโลกควรจะเข้าใจให้ถ่องแท้ไว้ เจ้าหยางเซิงเราเตรียมตัวกลับสำนักกันเถอะ

หยางเซิง   :  ขอขอบคุณพระพันปีและเทวทูตทั้งหลายที่ให้การแนะนำชี้แจง และได้เวลาแล้วเราศิษย์อาจารย์จะกลับเมืองมนุษย์ ขอลาทุกท่านแล้วล่ะ ! 

พระพันปี   :  ที่ไหนได้ !  สิ่งใดบกพร่องแล้ว ขอได้อภัยด้วย นายทหารทั้งหลาย นมัสการส่งท่านอาจารย์กับท่านหยางเซิงกลับ

อรหันต์จี้กง   :  รีบออกจากตำหนัก เตรียมขึ้นบนดอกบัว

หยางเซิง   :  กระผมนั่งเรียบร้อยแล้ว เชิญอาจารย์ท่านเดินทางกลับเถิด .....

อรหันต์จี้กง   :  ถึงสำนักเซี้ยเฮี้ยงตึ้งแล้ว หยางเซิงลงจากดอกบัว วิญญาณกลับเข้าสู่ร่างดังเดิม
หัวข้อ: เที่ยวเมืองนรก ครั้งที่ 22 ตอน พบปะท่านยมบาลโหงวกัวอ๊วง ขุมที่ 4
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 8/07/2012, 07:28
                                เที่ยวเมืองนรก

               ครั้งที่ 22  วันเสาร์ที่  5  มีนาคม  พ.ศ. 2520

                                 ขุมที่ 4

                  ตอน  พบปะท่านยมบาลโหงวกัวอ๊วง

      ท่านอรหันต์จี้กงเสด็จปรากฏกาย ตรัสเป็นกลอน มีความว่า  :


             ชีวิตคน        เหมือนขี่ม้า        ชมโคมไฟ       
เวลาผ่านไป               อย่างรีบเร่ง        ไม่กลับย้อน
รูปนามใหม่                จิตวิสุทธิ์           ประภัสสร
ครบวงจร                  เริ่มดิถี              ใครเหาะเหิน

อรหันต์จี้กง   :  ปีเก่าผ่านไปแล้ว ตั้งแต่วันที่ 15  เดือน 8  ปีมะโรง  สำนักเซี็ยเฮี้ยงตึ้งได้รับเทวโองการให้แต่งหนังสือ "เที่ยวเมืองนรก"  พริบตานั้นเวลาได้ผ่านไปแล้วครึ่งปี  ชีวิตคนอุปมาเหมือนโคมไฟ มีภาพต่าง ๆ หมุนวิ่งอยู่ตลอดเวลา วิ่งหมุนไปโดยไม่หยุดยั้ง เวลาบินหายไปทุกขณะ คนเราจะมีโอกาสได้พบวัน "หง่วนเซียว (วันเพ็ญเดือนอ้าย) สักกี่ครั้ง ?. รู้สึกอายุขัยเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ที่เห็นอยู่ต่อหน้าล้วนเป็นพวกเด็กทั้งหลายมือถือดวงโคมหยอกล้อวิ่งเล่นกัน ยกกระจกขึ้นส่องหน้าตัวเอง เห็นหัวหงอกหน้าคล้ำ หากไม่บำเพ็ญตนโดยเร็วจะคอยเวลาใดเล่า ภายในอุ้งกลางแห่งหัวใจของฉันมียาทิพย์เม็ดหนึ่งสถิตย์อยู่ แต่รอจนครบรอบปีใหม่ ขณะที่ทุกสิ่งทุกอย่างในพิภพเปลี่ยนสภาพใหม่หมด ผลสุกขั้วหล่นจะได้สลัดเปลือกทิ้งบินขึ้นสู่สวรรค์ แผนชีวิตเริ่มขึ้นเมื่อฤดูใบไม้ผลิ เวลาอันมีค่าในชีวิตคนอยู่ที่วัยเยาว์ ถนอมรักเวลาหวงแหนชีวิต ตั้งใจแน่วแน่จะไม่หวั่นไหวต่อยักษ์มาร แสงสว่างมองเห็นอยู่เบื้องหน้าแล้ว ก้าวตรงไปเถิด ขออวยพรให้ดำเนินไปด้วยความสวัสดีมีชัย ปราศจากอุปสรรคใด ๆ ทั้งสิ้น วันนี้เตรียมท่องนรก เจ้าหยางเซิงจงรวบรวมสติกำลังให้สมบูรณ์

หยางเซิง   :  ขอแสดงความยินดีในการร่ำรวย !

อรหันต์จี้กง   :  ยินดีด้วย  ยินดีด้วย !
แต่ว่าเราผู้เป็นอาจารย์ของเจ้านี้ ไม่คิดถึงความร่ำรวยมีเงิน ฉันมีเงินทองเต็มบ้านอยู่แล้ว เพียงคิดแต่จะมีลูกแก้วลูกขวัญโดยเร็วเท่านั้น

หยางเซิง   :  ผู้อยู่ในบรรพชิตยังคิดจะมีบุตรโดยเร็ว จะไม่ทำให้เสื่อมเสียแก่วินัยสงฆ์หรือ ?.

อรหันต์จี้กง   :  เจ้านะ่เข้าใจผิดเสียแล้วล่ะ ความคิดฉันนั้นคือ อยากให้สวรรค์ได้โปรดคลอดบุตรที่สูงศักดิ์มีปัญญาปราดเปรื่องมาก ๆ และคลอดพวกที่ฉลาดแกมโกงให้น้อยลง แล้วโลกนี้จะได้สงบสุข ข้าฯก็จะได้สุขสบายเลย ไม่ต้องมาท่องลุยในโลกอันเต็มไปด้วยฝุ่นกิเลส (คือโลกที่สกปรก) เพื่อกอบกู้ชักจูง (คำพระท่านว่าโปรดเวไนยสัตว์) มวลชนโดยไม่ต้องทุ่มเทซึ่งกำลังน้ำใจทั้งหลาย

หยางเซิง   :  ท่านอาจารย์พูดได้วิเศษมาก แต่มนุษย์ในปัจจุบันนี้ที่ว่าอยากมีบุตรที่สูงศักดิ์โดยเร็วนั้น หมายถึงว่าต้องการบุตรที่คลอดออกมาแล้วต่อไปจะได้ร่ำรวยใหญ่โต รวยทางอุบาทว์ ดังนั้นจึงขอแสดงความยินดีที่มีบุตรสูงศักดิ์โดยเร็ว ไม่เหมือนกับคำว่า "ยินดีที่ร่ำรวย" ชาวโลกชอบจะรับฟังมากกว่า

อรหันต์จี้กง   :  ที่หาเงินเก่งก็ใช่ว่าล้วนเป็นบุตรที่สูงศักดิ์เสียหมดก็หาไม่ ยังมีหญิงชั่วอีกมากนะ ! ฮา ! ฮา ! พูดเพลินไปเลย "เวรปาก" ขอประทานโทษ ๆ เราเตรียมท่องนรกแล้ว เจ้าจงรีบขึ้นบนดอกบัวเร็ว

หยางเซิง   :  ไฉนดอกบัวช่อนี้ในปีนี้จึงเพิ่มความใหญ่โตขึ้นเล่าครับ ?.

อรหันต์จี้กง   :  หน้าที่งานหนักและหนทางก็ไกลด้วย ช่อบัวจึงเบิกบานเปล่งขึ้น จงเคร่งธรรมปฏิบัติงาน ที่นั่งดอกบัวของเจ้ามีสัญญลักษณ์บ่งบอกว่ามีความก้าวหน้าขึ้น

หยางเซิง   :  มิได้ ! รู้สึกตัวเองว่า ยังมีเวรบาปอยู่มาก ไฉนจึงมีบัวอาสนะนั่งได้เล่า ?.

อรหันต์จี้กง   :  ดอกบัวเกิดจากโคลนตม "รักคนถนอมตัว"
ก็จะไม่มีวันผิดได้ รีบขึ้นบนดอกบัวเร็ว วันนี้เราจะท่องนรกขุมที่ 4 กันละ

หยางเซิง   :  กระผมนั่งเรียบร้อยแล้ว เชิญท่านอาจารย์เริ่มเดินทางได้ .....
หัวข้อ: เที่ยวเมืองนรก ครั้งที่ 22 ตอน พบปะท่านยมบาลโหงวกัวอ๊วง :
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 10/07/2012, 11:25
                                เที่ยวเมืองนรก

               ครั้งที่ 22  วันเสาร์ที่  5  มีนาคม  พ.ศ. 2520

                                 ขุมที่ 4

                 ตอน  พบปะท่านยมบาลโหงวกัวอ๊วง

      ท่านอรหันต์จี้กงเสด็จปรากฏกาย ตรัสเป็นกลอน มีความว่า  :

             ชีวิตคน        เหมือนขี่ม้า        ชมโคมไฟ       
เวลาผ่านไป               อย่างรีบเร่ง        ไม่กลับย้อน
รูปนามใหม่                จิตวิสุทธิ์           ประภัสสร
ครบวงจร                  เริ่มดิถี              ใครเหาะเหิน

อรหันต์จี้กง   :  วันนี้เกิดมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาดลใจ จึงอ่านกลอนปลอบเตือนชาวโลกบทหนึ่ง ดังต่อไปนี้ :-

ถามชาวโลกว่าวุ่นอะไร ?.        วุ่นเรื่องปากท้องอยู่ร่ำไป !
ถามชาวโลกว่าอยากได้อะไร ?.      อยากได้ชื่อเสียงทรัพย์สินจึงต้องระทมไป !
ถามชาวโลกว่าหลงอะไร ?.           หลงเรื่องความรักร่างกายซูบผอมไป !
ถามชาวโลกว่าคิดอะไร ?.             ล้วนถูกความโลภปั่นหัวไป !
ถามชาวโลกว่าทำอะไร ?.             เรื่องชั่วร้ายผิดศีลไม่ควร (ทำ) ไป !
ถามชาวโลกว่าได้อะไร ?.              วุ่นวายจนตัวตายก็มิได้อะไรไป !
ถามชาวโลกว่าใคร่อะไรไป ?.          ลูกเมียโดนมั่วแค้นเคืองไป !
ถามชาวโลกว่าคอยอะไร ?.           จงกลับเนื้อกลับตัวมุ่งธรรมไป ! 
ถามชาวโลกว่าสร้างอะไร ?.           ออกจากตมบ่เปื้อนท่องเที่ยวสบายไป !
ถามชาวโลกว่าเที่ยวอะไร ?.           เราโดยสารกันในกอปรเมตตาธรรม สุขกายสบายใจ !


        ถึงแล้ว รีบลงจากดอกบัวเร็ว "นรกขุมที่ 4" ได้ปรากฏต่อหน้าเราแล้ว

หยางเซิง   :  อ็อ ! ขุมที่ 4 ปรากฏอยู่เบื้องหน้าจริง ๆ แฮะ

อรหันต์จี้กง   :  โหงวกัวอ๊วง และเทวทูตทั้งหลายได้ออกจากปราสาทแล้ว เราเข้าไปแสดงความเคารพเถิด

หยางเซิง   :  ขอแสดงความคาวระต่อท่าน โหงวกัวอ๊วง และเทวทูตทั้งหลาย กระผมซึงเป็นศิษย์สำนักเซี๊ยเฮี้ยงตึ้ง เมืองไถ่ตง ได้รับเทวโองการแต่งหนังสือ วันนี้โดยการนำของท่านอาจารย์ รู้สึกมีบุญวาสนาที่ได้มายังปราสาทของท่าน ขอได้โปรดให้การแนะนำชี้แจงด้วยเถิด

โหงวกัวอ๊วง   :  มิต้อง รีบลุกขึ้นเถิด ปีใหม่ก็เริ่มละเลงพู่กันมาบากบั่นพากเพียรถึงปานฉะนี้ มุ่งสู่ใต้บาดาลเพื่อการแต่งหนังสือ ศิษย์ยานุศิษย์ทั้งหลายของสำนักเซี้ยเฮี้ยงตึ้งมีจิตน้ำใจน่าสรรเสริญยิ่งนัก เชิญท่านอาจารย์และหยางเซิงตามข้าพเจ้าเข้าไปนั่งพักในปราสาทสักครู่ เพื่อสังสรรค์สนทนากันบ้าง

หยางเซิง   :  ขอขอบคุณท่านยมบาลที่ให้การต้อนรับอย่างดีเป็นที่ยิ่ง

โหงวกัวอ๊วง   :  เชิญนั่ง เชิญนั่ง  นายทหารรีบเสิร์ฟน้ำอมฤตด่วน

หยางเซิง   :  ขอบคุณท่านยมบาลมาก
หัวข้อ: เที่ยวเมืองนรก ครั้งที่ 22 ตอน พบปะท่านยมบาลโหงวกัวอ๊วง
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 11/07/2012, 03:27
                                เที่ยวเมืองนรก

               ครั้งที่ 22  วันเสาร์ที่  5  มีนาคม  พ.ศ. 2520

                                 ขุมที่ 4

                 ตอน  พบปะท่านยมบาลโหงวกัวอ๊วง

        พระอรหันต์จี้กงเสด็จปรากฏกาย ตรัสเป็นกลอนมีความว่า  :

             ชีวิตคน        เหมือนขี่ม้า        ชมโคมไฟ       
เวลาผ่านไป               อย่างรีบเร่ง        ไม่กลับย้อน
รูปนามใหม่                จิตวิสุทธิ์           ประภัสสร
ครบวงจร                  เริ่มดิถี              ใครเหาะเหิน

อรหันต์จี้กง   :  เป็นโชคลาภวาสนาของเจ้าหยางเซิงแล้ว ท่านโหงวกัวอ๊วงประทานน้ำอมฤตที่ท่านได้ดื่มเป็นส่วนตัวนั้นให้เจ้า นับเป็นสิ่งประเสริฐสุดแห่งหมู่เทพเทวดา เมื่อเจ้าดื่มแล้วสามารถจะเพิ่มพูนสติปัญญาขึ้นได้อีก

โหงวกัวอ๊วง   :  ท่านอาจารย์และหยางเซิงมิต้องเกรงใจรีบดื่มเสีย

หยางเซิง   :  รสชาติหอมหวาน ชื่นอกชื่นใจ ความรู้สึกที่เยือกเย็นและอบอุ่นรวมอยู่ในตัว ขอขอบคุณท่านยมบาลที่ประทานให้ กระผมจะพยายามจนสุดความสามารถ เพื่อทำหน้าที่แต่งหนังสือให้สำเร็จลุล่วงไป

โหงวกัวอ๊วง   :  มิต้องเกรงใจ น้ำอมฤตนี้ "พระแม่แห่งสระศักดิ์สิทธิ์" ประทานให้ยมบาลทั้ง 10 ขุม ได้รับทั่วกันหมด ดื่มแล้วสามารถเพิ่มพลังแห่งดวงกมลให้ช่วงโชติรุ่งโรจน์ขึ้น ถ้าเป็นตุลาการแดนนรกจะดื่มน้ำอมฤต ภูตผีปีศาจก็จะดื่มแต่น้ำชาเท่านั้น เนื่องจากตำแหน่งหน้าที่และผลบุญต่างกันนั่นเอง การเลี้ยงดูกำนัลจึงแตกต่างกันด้วยประการเช่นนี้

หยางเซิง   :  ขุมของท่านทำการชำระตัดสินลงโทษพวกวิญญาณโทษนั้นมีสภาพการเช่นไรครับ ?.

โหงวกัวอ๊วง   :  ข้าพเจ้าก็คุมสิบหกนรกน้อยเช่นกัน นอกนั้นยังมีคุกนรกที่สร้างเพิ่มขึ้นใหม่เพื่อป้องกันโทษที่ชาวมนุษย์กระทำขึ้นแบบพิศดาร ตามกาลเวลาสมัยใหม่ คุกนรกก็แยกชั้นรับหน้าที่กัน ต่างคนต่างมีหน้าที่รับผิดชอบ บรรดาที่ประพฤติชั่วทำบาป ในแดนมนุษย์ เมื่อตายลงแล้วเข้ามาจากประตูผีขึ้นบนหอกระจก (กรรม) วิเศษส่องร่างเดิมปรากฏออกมาหลักฐานที่ทำผิดพร้อมมูลแล้ว ต้องดูว่าโทษที่ทำไว้นั้นขึ้นกับการปกครองของขุมไหน ก็ส่งมอบให้แต่ละขุมรับไปจัดการ ขณะนี้ข้าพเจ้าจะชำระคดีเรื่องหนึ่ง เชิญท่านทั้งสองตามข้าพเจ้าขึ้นนั่งบัลลังก์สังเกตการณ์เถิด

หยางเซิง   :  ขอรับกระผม ยมบาลหัวควายหน้าม้าสองนายคุมวิญญาณโทษชายตนหนึ่งอยู่หน้าโต๊ะ ท่วงทีท่าทางคล้ายพวกผู้อำนวยการหรือประธานกรรมการ หน้าตาเปล่งปลั่งราศีดี หัวเถิกอยู่บ้างแล้ว มิทราบว่าทำผิดด้วยโทษอันใด มีอาการแสดงออกด้วยความหวาดกลัวสั่นเทา

โหงวกัวอ๊วง   :  วิญญาณโทษตนนี้สมองปราดเปรื่องตอนมีชีวิตอยู่ เป็นพ่อค้ายาแผนโบราณ ต่อมาคิดหาเงินโดยทางมิชอบ เพราะเหตุว่าตนเองมีความรู้ความชำนาญเรื่องยาพอสมควร เลยทำยาปลอมออกจำหน่ายปองร้ายให้โทษชาวบ้านมากมาย วันนี้หมดอายุขัยแล้ว โดนยมทูตคุมตัวมาพิจารณาโทษ

อรหันต์จี้กง   :  เนื่องจากหมดเวลาลงแล้ว ข้าฯ ว่าเจ้าหยางเซิงเตรียมกลับสำนักเถิด วันหน้าค่อยมาสัมภาษณ์ที่คุกนรกนี้กันใหม่ก็แล้วกัน ขอแสดงความเสียใจต่อท่านโหงวกัวอ๊วงเป็นอย่างมากโปรดให้อภัย

โหงวกัวอ๊วง   :  ที่ไหนได้ นายทหารและเทวทูตทั้งหลายตั้งแถวนมัสการส่งท่านอาจารย์กลับ

หยางเซิง   :  ขอขอบคุณท่านยมบาลและเทวทูตที่ได้ให้เกียรติต้อนรับ ลาก่อนละครับ

อรหันต์จี้กง   :  เจ้ารีบขึ้นนั่งบนดอกบัวเร็ว เตรียมกลับสำนัก

หยางเซิง   :  ขอรับคำบัญชา กระผมได้นั่งลงเรียบร้อยแล้ว เชิญอาจารย์ท่านเริ่มเดินทางได้ .....

อรหันต์จี้กง   :  ถึงสำนักเซี้ยเฮี้ยงตึ้งแล้ว  หยางเซิงลงจากดอกบัว วิญญาณกลับเข้าสู่ร่างดังเดิม
หัวข้อ: เที่ยวเมืองนรก บทที่หก ชั่วบาป ครั้งที่ 22 นรกขุมที่ 4 - หอส่องบ้านเดิม
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 11/07/2012, 03:59
นรกขุมที่ 4 - หอส่องบ้านเดิม

ขุมที่สี่          โหดร้าย          สาหัสนัก
พวกบาปหนัก       ผลิดยาปลอม     ฆ่าผู้คน
ถูกกรอกยา        รสขมขื่น          สุกฝืนทน
หลีกไม่พ้น     พวกขายยา     ให้เสพติด

        คนมั่งมี        ชอบมั่วกาม        ค๊อฟฟี่ช็อพ
คงจะชอบ   นรกน้ำร้อน   ลวกมือดี
พวกนักล้วง  เช็ดสปริง    ไม่อาจหนี
ลองชิมที    คงจะเข็ด    ไปอีกนาน

        ปากเราะราน        ชอบวิวาท        กับสามี
ยุเหย่ดี       ให้บ้านแตก    สาแหรกขาด
นักร้องเพลง  ลามกจกเปรต  คงขยาด
คงไม่พลาด   เหล็กแทงปาก ร้องโอดโอย

        นรกตัดเอ็น        แคะกระดูก        คงเหมาะสม
คนโสมม     ไร้ซื่อสัตย์        โกงตาชั่ง
ชอบเล่นไพ่  ติดพนัน        คนชอบดัง
แขนขายัง    ถูกตัดขาด    เจ็บถึงใจ

หอส่องบ้านเดิม

หอส่องบ้าน        ดูลูกหลาน        แดนมนุษย์
ใจแสนสุด         ลึกล้ำ       พรรณาได้
ให้วิญญาณ      ผู้ทำผิด     หลังความตาย
ได้ย่างกราย     มาพบพาน   ทุกผู้คน
วิญญาณโทษ   เมื่อแลเห็น   ลูกหลานตน
เห็นผู้คน        กินอยู่          สุขสบาย
บ้างก็เล่น     บ้างก็สุข       น่าใจหาย
มิได้คิด     ถึงตายาย       แม้ผู้เดียว
เห็นดังนี้    สุดเศร้า        โสกหนักหนา
อนิจจา    ถึงตนเอง        นึกเฉลียว
เคยทำงาน     หาเงิน     ตัวเป็นเกลียว
ตายแผล็บเดียว มันสำราญ  ให้ช้ำใจ
หัวข้อ: เที่ยวเมืองนรก ครั้งที่ 23 ตอน ท่องแดนกรอกยานรกน้อย
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 12/07/2012, 06:10
                            เที่ยวเมืองนรก

               ครั้งที่ 23  วันที่  8  มีนาคม  พ.ศ. 2520

                     ตอน  ท่องแดนกรอกยานรกน้อย

        พระอรหันต์จี้กงเสด็จปรากฏกาย ตรัสเป็นกลอนมีความว่า  :


        ขายยาปลอม        เป็นหมอเถื่อน        บาปหนักหนา
โลภเงินตรา                 บาปติดตน             ทุกแห่งหน
แพทย์ฮั้วท้อ               เมตตาจิต               รักษาคน
ทิพย์สุคนธ์                 โพธิสัตว์                 พรมแผ่นดิน

อรหันต์จี้กง   :  ในโลกนี้มีคนไม่น้อยที่จิตใจโหดเหี้ยมปราศจากความสำนึกผิดชอบ หลงระเริงแต่เงิน ๆ ทอง ๆ ไม่คำนึงถึงศีลธรรม เช่นหมอเถื่อนทำลายชีวิตคน จนกระทั่งทำยาปลอมจำหน่าย เห็นชีวิตคนเป็นผักเป็นปลาเวรกรรมหนักหนา แม้ยมกฏจะเข้มงวดกวดขัน ก็ยังมีแมลงเม่าบินสู่กองไฟจงใจเสี่ยงกฏหมาย เมื่อตายลงแล้วไปสู่นรก ก็ต้องระทมอย่างมีปากก็พูดไม่ออก หากผู้ใดไม่เชื่อข้าฯ จะพาหยางเซิงไปท่องนรกเพียงเที่ยวเดียว ก็จะพิสูจน์ได้ว่าที่กล่าวไปนั้นมิได้มดเท็จเพ้อเจ้อ วันนี้เตรียมท่องนรก เจ้าอหยางเซิงขึ้นบนดอกบัวเถอะ

หยางเซิง   :  มิทราบว่าการเดินทางวันนี้จะมุ่งสู่แห่งใด ?.

อรหันต์จี้กง   :  ขุมนรกที่ขึ้นกับขุมที่ 4 รีบเตรียมตัวออกเดินทาง

หยางเซิง   :  กระผมนั่งลงเรียบร้อยแล้ว เชิญท่านอาจารย์ได้ .....

อรหันต์จี้กง   :  ถึงแล้วละ รีบลงจากดอกบัวเสีย

หยางเซิง   :  คุกที่อยู่เบื้องหน้าส่งเสียงอาเจียนโอดครวญระงมไป บนประตูคุกเขียนว่า "แดนกรอกยานรกน้อย" นายทหารหัวควายหน้าม้า ต่างคุมวิญญาณโทษหญิงชายเข้าไปในคุก อ้อ ! พัศดีและนายทหารออกมาจากประตูใหญ่แล้ว ประหนึ่งรู้ว่าเราได้มาถึงที่นี่แล้ว

อรหันต์จี้กง   :  ถูกต้อง  พัศดีและนายทหารได้มาต้อนรับเราอยู่เบื้องหน้าแล้ว เจ้าจงรีบเข้าไปแสดงความเคารพ

พัศดี   :  ขอต้อนรับท่านอาจารย์และหยางเซิงแห่งสำนักเซี้ยงเฮี้ยงตึ้ง ที่มาเยี่ยมชมถึงคุกนี้ ก่อนหน้านี้ครู่หนึ่งได้รับคำสั่งจากเจ้านายทราบว่าท่านทั้งสองจะมาคุกนี้ สำรวจสภาวะที่แท้จริง เพื่อตีลงพิมพ์ในหนังสือ "เที่ยวเมืองนรก" ทำให้ชาวมนุษย์เชื่อว่ามีนรกอยู่จริง ท่านทั้งสองเชิญตามสบายเถิด

หยางเซิง   :  ขอบคุณท่านพัศดีที่ให้การต้อนรับอย่างดี สองข้างประตูของนรกแดนกรอกยา มียาชนิดต่าง ๆ กองเต็มไปหมด เข้าไปดูใกล้ ๆ เครื่องหมายการค้ามีทั้งภาษาจีน อังกฤษ ญี่ปุ่น การห่อหุ้มบรรจุก็สวยงามมาก ขอเรียนถามท่านพัศดี คุกของท่านก็ค้าขายเครื่องยาด้วยหรือไฉน ?. มิเช่นนั้นแล้วจะตั้งแสดงประดับด้วยเครื่องยามากมายอย่างนี้ ?. ร้านขายยาในแดนมนุษย์ยังไม่มียามากมายเช่นนี้วางจำหน่ายเลย ?.

พัศดี   :  คุกนี้มิได้ขายยาแต่ประการใด เครื่องยาเหล่านี้เป็นยาปลอมที่ชาวโลกออกจำหน่ายในแดนมนุษย์ เมื่อทำอะไรขึ้นมาสิ่งหนึ่ง แดนนรกก็จะถ่ายทอดปรากฏภาพออกมาทันที ดังนั้น ทำยาปลอมขึ้นหนึ่งขวดยมโลกก็จะสะท้อนภาพจริงออกมาด้วย หลักฐานแห่งการทำผิดก็เลยวางอยู่ที่นี่โดยปริยายไม่มีขาดเกินผิดพลาดแม้แต่น้อยนิด ดังที่ดวงอาทิตย์กับดวงจันทร์ส่องแสงต่อกันฉันนั้น สิ่งเหล่านี้ชาวโลกควรเข้าใจเอาไว้ อย่าคิดว่าทำในที่มืดจะทำการผิดศีลธรรมก็ย่อมทำได้ แต่หารู้ไม่ว่าภูติผีเทวดาได้ควบคุมดูแลอยู่แล้ว มิเช่นนั้นแล้วบาปเวรของผู้คนจะได้รับสนองตอบคืนได้อย่างไร พระเจ้าทรงตรัสไว้ว่า "เคราะห์กรรมโชคลาภมิได้มาเอง อยู่ที่ผู้คนจะใฝ่หาเองต่างหาก การตอบสนองแห่งบุญบาป อุปมาเหมือนเงาตามตัว" ก็คือเหตุผลอันนี้แหละ   
หัวข้อ: เที่ยวเมืองนรก ครั้งที่ 23 ตอน ท่องแดนกรอกยานรกน้อย
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 13/07/2012, 09:15
                      เที่ยวเมืองนรก

               ครั้งที่ 23  วันที่  8  มีนาคม  พ.ศ. 2520

                     ตอน  ท่องแดนกรอกยานรกน้อย

        พระอรหันต์จี้กงเสด็จปรากฏกาย ตรัสเป็นกลอนมีความว่า  :

            ขายยาปลอม        เป็นหมอเถื่อน        บาปหนักหนา
โลภเงินตรา                 บาปติดตน             ทุกแห่งหน
แพทย์ฮั้วท้อ               เมตตาจิต               รักษาคน
ทิพย์สุคนธ์                 โพธิสัตว์                 พรมแผ่นดิน

อรหันต์จี้กง  :
ชาวมนุษย์ส่วนมากไม่เชื่อในเรื่องของการก่อเหตุก่อผล ควรรู้ไว้ว่าการสนองตอบแห่งบุญบาปนั้น เหมือนเงาตามตัวเช่นการอยู่ใต้แสงสว่าง ผู้คนจะมองเห็นเงาของตนเองเมื่อเข้าไปอยู่ในห้องมืด ก็จะไม่มีเงาให้เห็น เลยคิดว่าไม่มีผีสางเทวดาที่ไหนมารู้เห็น แต่ไม่รู้หรอกว่าในห้องมืดนั้นที่จริงแล้วเป็นแหล่งที่มีผีมาก อยากตกเข้าไปในบ่วงเองแล้วจะมาโทษใครเล่า ?.

พัศดี   :  เชิญท่านทั้งสองรีบไปชมดูภายใน

หยางเซิง   :  ในคุกล้วนล้อมด้วยเส้นเหล็กกล้าสามารถมองเห็นวิญญาณโทษแต่ละตนร้องเสียงครวญครางเจ็บปวดอยู่ภายในนั้น พวกยมทูตกำลังเทของเหลวสีดำเป็นถัง ๆ กรอกเข้าไปในปาก แต่ละตนก็ดิ้นรนหลบหลีกการกรอกยาของยมทูต

อรหันต์จี้กง   :  ฉันจะพามาทางนี้ ดูวิญญาณโทษตนที่วันก่อนนั้นถูกตัดสินให้มารับโทษในคุกนี้ว่า สภาพการทำโทษเป็นอย่างไรบ้าง

พัศดี   :  ได้ครับ ข้าพเจ้าจะพาท่านไปตรวจชมภายในคุก

หยางเซิง   :  น่าสงสารเสียจริง ๆ วิญญาณโทษตนนี้ วันก่อนขณะที่อยู่ในขุมที่ 4 หน้าตายังเป็นน้ำเป็นนวล ผ่านมาแค่สามวันเท่านั้นเวลานี้หน้าคล้ำไปแล้ว ทั้งหน้าตาจมูกเต็มไปด้วยของเหลวสีดำ มิทราบว่าเป็นของอะไร ?.

พัศดี   :  วิญญาณโทษตนนี้ เพราะเหตุว่าทำยาปลอมขายที่โลกมนุษย์ทำลายล้างชีวิตคนมาไม่น้อย เมื่อตายลงแล้วคุกเราก็ใช้ยาน้ำสีดำและมีสารพิษปนอยู่ด้วยกรอกปากมันเข้าไป ยาชนิดนี้ขมนัก กลืนกินยากเหลือหลาย พอเข้าปากไปเท่านั้น ท้องไส้ถูกกัดกร่อนบีบเฉือน ทั้งเจ็บปวดทั้งจะรากแต่ก็รากไม่ออก นี้แหละเป็นการสนองตอบจากการกระทำยาปลอมละ

หยางเซิง   :  ชุดสากลของวิญญาณโทษตนนี้เปรอะเปื้อนยาน้ำสีดำเต็มไปหมด สกปรกสิ้นดี ตาทั้งสองข้างก็เหม่อลอยไม่มีแวว

วิญญาณโทษ   :  ช่วยด้วย ! ช่วยชีวิตฉันด้วย ! พระอรหันต์ใหญ่รูปนี้กับท่านมนุษย์ผู้นี้ รีบช่วยเหลือฉันด้วย ฉันทนไม่ไหวแล้วขอกราบล่ะ !  ถ้าสามารถช่วยฉันได้ชาติหน้าฉันจะเกิดเป็นควายเป็นสุนัขมาตอบสนองบุญคุณของท่าน ฉันมีเงินทองมากมายทิ้งไว้ในโลกมนุษย์ จะให้ลูก ๆ มอบให้ท่านก็ย่อมได้

พัศดี   :  พูดเหลวไหล ! ท่านคือพระอรหันต์จี้กง มิใช่พระธรรมดาในแดนมนุษย์ แกจะให้เงินท่านมีประโยชน์อันใด ?. ปลดแกออกมา ให้รีบเล่าเรื่องความผิดที่แกได้กระทำไว้ สารภาพต่อท่านมนุษย์ผู้นี้ ท่านคือหยางเซิงแห่งสำนักเซี้ยเฮี้ยงตึ้งแห่งเมืองไถ่ตง ศิษย์ท่านพระอาจารย์กวนอูผู้ศักดิ์สิทธิ์ ตามพระราชโองการให้มาท่องนรก เพื่อแต่งหนังสือปลอบเตือนชาวโลก แกสารภาพให้หมดเปลือกจะได้ลดโทษให้บ้าง
หัวข้อ: เที่ยวเมืองนรก ครั้งที่ 23 ตอน ท่องแดนกรอกยานรกน้อย
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 17/07/2012, 16:36
                          เที่ยวเมืองนรก

               ครั้งที่ 23  วันที่  8  มีนาคม  พ.ศ. 2520

                     ตอน  ท่องแดนกรอกยานรกน้อย

        พระอรหันต์จี้กงเสด็จปรากฏกาย ตรัสเป็นกลอนมีความว่า  :

            ขายยาปลอม        เป็นหมอเถื่อน        บาปหนักหนา
โลภเงินตรา                 บาปติดตน             ทุกแห่งหน
แพทย์ฮั้วท้อ               เมตตาจิต               รักษาคน
ทิพย์สุคนธ์                 โพธิสัตว์                 พรมแผ่นดิน

วิญญาณโทษ   : 
ขอขอบพระคุณใต้เท้า  พูดแล้วก็อับอายขายขี้หน้า และทำให้พวกลูกหลานต้องอัปยศด้วย ฉันเปิดร้านขายยาแผนปัจจุบันที่เมืองมนุษย์ ขายทั้งยาในประเทศและยาต่างประเทศ เพราะเหตุว่าตาได้เห็น หูได้ยิน มิช้ามินานก็มีความรู้ทางเรื่องยาอยู่บ้าง ใจเกิดคิดจะหาเงินทางลัด (ทางที่ไม่มีศีลธรรม) คิดจะเสี่ยงกับมัน จึงซื้อเครื่องจักรเล็ก ๆ เครื่องหนึ่ง ใช้แป้งสาลีทำยาปลอมที่ขายดีชนิดต่าง ๆ ขึ้น และเรียนแบบบรรจุหุ้มห่อเหมือนยาขนานแท้ แล้วผลิตออกจำหน่ายใหญ่โตมโหฬาร นอกจากขายในร้านเองแล้วยังขายให้กับร้านขายยาอื่น ๆ อีกได้เงินมามิใช่น้อย มาตอนต้นฤดูใบไม้ผลินี้ เกิดโชคร้ายป่วยไข้ตายมีอายุขัย 52 ปี ตอนตายโดนทหารหน้าความยม้าคุมตัวไปยังหอกระจก (กรรม) วิเศษฉายภาพการทำยาปลอมและภาพของการจำหน่ายปรากฏออกมาทำให้ฉันตกตลึงกลัวจนหน้าถอดสี ที่แท้ยมโลกก็มีเครื่องมือร้ายกาจฉมังถึงขนาดนี้ ดังนั้น ฉันจึงไม่สามารถปฏิเสธได้ เมื่อสามวันก่อนโดนโหงวกัวอ๊วงแห่งขุมที่ 4 ตัดสินให้ฉันตกมายังนรก แดนนรกกรอกยา 30 ปี ในขณะที่จะทำการลงโทษ ยิ่งทำให้ฉันขวัญหาย วิญญาณกระเจิงไปหมด เพราะเหตุว่ายาปลอมที่ฉันทำขึ้นในตอนอยู่ในแดนมนุษย์ มีสภาพเรียบร้อยทุกอย่างตั้งอยู่ที่หน้าคุกยมโลก มีฤทธิ์เดชกว้างใหญ่ไพศาลเสียจริง ๆ หลักฐานความผิดพร้อมมูล แล้วจะให้พูดอะไรได้อีกเล่า สามวันมาแล้ว (โดนภูตผีบังคับกรอกน้ำยาดำ มันช่างกินยากเหลือทน จะไม่กินหรือก็ต้องโดนเฆี่ยนตีอีกทั้งบังคับกรอกเข้าปากไป ก็เจ็บปวดทรมานเหลือที่จะกล่าว เมื่อดื่มเข้าไปท้องไส้ก็เจ็บปวดเหมือนลำไส้จะขาด จะรากก็รากไม่ออก เมื่อสำนึกตัวได้ก็สายเสียแล้ว ผู้ที่ขายยาในแดนมนุษย์ อย่าได้เลียนแบบฉันเป็นอันขาด หากรู้ว่าทำผิดแล้ว ให้รีบแก้ไขสำนึกบาป มิเช่นนั้นเมื่อตัวตายลงแล้วจะมีความทุกข์ทรมานมาหยิบยื่นให้

พัศดี   :  ไอ้เวร !  แกยังมีความผิดอีกมาก รีบสารภาพมาอย่าปิดบัง มิเช่นนั้นจะเพิ่มโทษให้หนักยิ่งขึ้น

วิญญาณโทษ   :  ขอรับ ! ขอรับ !  ฉันจะพูดก็แล้วกัน ตอนที่ฉันเปิดร้านขายยา เพราะโลภอยากได้เงินมาก ๆ ก็เลย แอบขายยาประเภทกล่อมประสาท ให้แก่พวกหนุ่มสาวไปทำให้พวกเขาสะลึมสะลือ บ๊อง ๆ บวม ๆ เกิดมีเหตุร้ายขึ้นก็มากหลาย โทษฉันนี้สมควรตายเป็นหมื่น ๆ ครั้ง ยังมีอีกครั้งหนึ่ง เพื่อนคนหนึ่งได้ให้หนังสือเรื่องธรรมะของพระพุทธเทวดาลงประทับทรงเพื่อปลอบเตือนชาวโลกเล่มหนึ่งให้ฉันศึกษาท่องอ่าน เพื่อสร้างบุญประกอบความดี ฉันเปิดอ่านได้ไม่กี่หน้า เห็นว่าล้วนเป็นเรื่องโคลงกลอนของพระพุทธเทวดาอะไรต่อมิอะไรที่ลงทรงไว้ทั้งนั้น ฉันจึงโยนทิ้งทันที ใจคิดว่าสมัยยุคอวกาศนี้ จะมีเทพผีพระพุทธเทวดาอะไรกันอีก  ล้วนเป็นผู้หลงงมงายทั้งเพจึงไม่เชื่อคำผีคำเจ้า หารู้ไม่ว่าเมื่อตัวตายลงแล้ว ยมบาลท่านให้เพิ่มโทษในการที่ทำการกล่าวร้ายบริภาษพุทธเทพและทำลายทิ้งตำราธรรมอีก 5 ปี  ที่แท้ท่านผู้เป็นมนุษย์นี้คือศิษย์แห่งสำนักทรงของเมืองมนุษย์ ฉันมันหลงละเมอมากเกินไป ขอท่านอาจารย์กับท่านหยางเซิงช่วยเหลือฉันด้วย ช่วยขอความกรุณาจากพัศดี ปล่อยตัวฉันออกไปจากคุก

หยางเซิง   :  ท่านอาจารย์ครับ ! วิญญาณโทษตนนี้มีสำนึกผิดชอบอบู่บ้าง ยังรู้จักคำว่าสำนักทรงเจ้า กระผมว่าอภัยโทษให้บ้างเถิด

อรหันต์จี้กง   :  ขณะมีชีวิตอยู่ไม่เชื่อพุทธเทพ ยกตัวเองว่าทันสมัยยุควิทยาศาสตร์ ตายลงแล้วจึงสำนึกตัวได้ เธอนะ เวลานี้ตกอยู่ในอุ้งมือของเทพผีแล้ว จะสำนึกตัวก็สายเสียแล้ว แต่เห็นแก่ที่เธอสารภาพความผิดที่ตัวทำขึ้น จะให้รอคอยหนังสือ "เที่ยวเมืองนรก" สำเร็จลงแล้วได้ปลอบเตือนกอบกู้ช่วยเหลือชาวโลกนั่นแหละ จึงจะเอาบุญกุศลในเศษหนึ่งส่วนหมื่นจากหนังสือนี้ช่วยกู้ให้เธอพ้นทุกข์

พัศดี   :  สมควรแก่โทษแล้ว ลงทัณฑ์หนักต่อ พวกมิจฉาชีพ สมแล้วอย่ามีการอ้อนวอนขออภัยอีก !  แม้ว่าแกจะไม่ฆ่าคนโดยตรง จากการทำยาปลอมขาย แต่ทำให้ร่างกายของผู้คนได้รับผลร้ายแห่งการกระทำของแกอย่างมาก จะว่าฆ่าคนโดยทางอ้อมก็ว่าได้ ดังนั้น ยมบาลจึงตัดสินให้ลงโทษอย่างหนักให้กับแก

อรหันต์จี้กง   :  เวลาดึกมาแล้ว เจ้าหยางเซิงเตรียมการกลับสำนักได้ ถ้าบุญมีวาสนาส่ง โอกาสหน้าจะได้มาเยี่ยมใหม่

หยางเซิง   :  ขอขอบคุณท่านนายพัศดีและนายทหารทุกท่านที่ได้ให้การแนะนำชี้แจง ข้าพเจ้าจะตามท่านอาจารย์กลับสำนักแล้ว ลาก่อนละ

อรหันต์จี้กง   :  รีบขึ้นดอกบัว เตรียมกลับสำนัก

หยางเซิง   : 
กระผมนั่งลงเรียบร้อยแล้ว เชิญท่านอาจารย์ออกเดินทางได้  .....

อรหันต์จี้กง   :  ถึงแล้วสำนักเซี้ยเฮี้ยงตึ้ง หยางเซิงลงจากดอกบัว วิญญาณกลับเข้าสู่ร่างดังเดิม     
หัวข้อ: เที่ยวเมืองนรก ครั้งที่ 24 ตอน ท่องแดนน้ำร้อนลวกมือนรกน้อย
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 17/07/2012, 17:07
                         เที่ยวเมืองนรก

               ครั้งที่ 24  วันที่  12  มีนาคม  พ.ศ. 2520

                     ตอน  ท่องแดนน้ำร้อนลวกมือนรกน้อย

        พระอรหันต์จี้กงเสด็จปรากฏกาย ตรัสเป็นกลอนมีความว่า  :

        การปล้นจี้        ขโมยทรัพย์        สุดบัดสี
เงินไม่ดี            แม้ร่ำรวย            ก็ไร้เกียรติ
เลี้ยงลูกชั่ว        ทำจัญไร            โคตรถูกเหยียด
บ้านเหงาเงียบ   อยู่เดี่ยวโดด         สุดเศร้าเอย

อรหันต์จี้กง   :   
การค้าทุกกิ่งก้านสาขาของโลกมนุษย์ล้วนดำเนินการได้ ภาษิตกล่าวว่า  "แต่ละวิชาชีพผลิตบัณฑิตได้ทั้งนั้น" ขอแต่ว่ารู้ช่องทางหาเงิน ที่ไม่ผิดกฏหมายของประเทศชาติเท่านั้น เช่นนี้แล้วในแดนมนุษย์จะไม่มีคนอดตาย มองดูรอบด้านของสังคม ปรากฏว่ามีพวกมิจฉาชีพยึดเฉพาะในทางตัดช่องย่องเบา ลักขโมยหรือฉ้อฉลคดโกงหลอกลวงเป็นอาชีพ จนกระทั้งแย่งชิงทรัพย์สมบัติ แอบเอามือโหดเหี้ยมล้างผลาญฆ่าคน เลี้ยงลูกไม่สั่งสอนเป็นความผิดของใครเล่า ?.  น่าสงสารจิตใจผู้เป็นพ่อแม่ทั่วพิภพ สูญสิ้นแล้วซึ่งพลังใจพลังกายอย่างมหาศาล เลี้ยงลูกขึ้นมาเป็นนักเลงอันธพาล ก่อกรรมทำเข็ญผิดกฏผิดเกณฑ์ ทำลายความสงบสุขของสังคม โทษทัณพ์นั้นน่าจะฆ่าทิ้งเสียนี่กระไร เมื่อตอนมีชีวิตอยู่ ยกตัวเองเป็นนักเลงโตออกตระเวนครองความเป็นใหญ่เป็นถิ่น ๆ แต่เมื่อตกมาถึงในคุกแห่งแดนนรกแล้ว จึงต้องชูมือยอมแพ้ (ยื่นมือให้มัด) โดนยมทูตดุด่า เฆี่ยนตีน่าสงสารมาก ถ้าชาวโลกไม่เชื่อ วันนี้อาตมาจะนำหยางเซิงไปเยี่ยมชมยมโลกสักครั้ง ก็จะทราบดีถึงแก่นแท้ เจ้าหยางเซิงเตรียมท่องนรก รีบขึ้นดอกบัวเร็ว

หยางเซิง   :  ขอขอบคุณท่านอาจารย์ในการตักเตือนสั่งสอนชาวโลก เมื่อได้ยินคำพูดของท่านก็คงจะมีความรู้สึกเช่นเดียวกัน กระผมมีปัญหาอยู่ข้อหนึ่งขอให้ชี้แจงด้วยคือ มีผู้คนหลายคนถามถึงเหตุการณ์ตอนท่องนรกโดยบอกว่า บางขณะที่ท่านได้พากระผมไปท่องนรก และในขณะเดียวกันนี้ก็มีคนขอเชิญท่านลงประทับทรง ท่านจะสามารถแบ่งกายได้หรือไฉน ?. ขอได้คลายความกังขาแก่มวลชนด้วย
หัวข้อ: เที่ยวเมืองนรก ครั้งที่ 24 ตอน ท่องแดนน้ำร้อนลวกมือนรกน้อย
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 19/07/2012, 13:13
                           เที่ยวเมืองนรก

               ครั้งที่ 24  วันที่  12  มีนาคม  พ.ศ. 2520

                     ตอน  ท่องแดนน้ำร้อนลวกมือนรกน้อย

        พระอรหันต์จี้กงเสด็จปรากฏกาย ตรัสเป็นกลอนมีความว่า  :

        การปล้นจี้        ขโมยทรัพย์        สุดบัดสี
เงินไม่ดี                 แม้ร่ำรวย            ก็ไร้เกียรติ
เลี้ยงลูกชั่ว            ทำจัญไร            โคตรถูกเหยียด
บ้านเหงาเงียบ       อยู่เดี่ยวโดด         สุดเศร้าเอย

อรหันต์จี้กง   :   
ปัญหานี้ซึ่งความจริงแล้วเป็นที่น่าสนใจแก่ชาวโลกมาก วันนี้ฉันจะอธิบายให้รู้พอสังเขปดังนี้  ดวงจันทร์ลอยอยู่เหนือสระน้ำใสสะอาดแวววาว แต่เมื่อผู้คนไปจับต้องเข้าแล้วจะกลายเป็นฟองน้ำ ที่ว่า "ดอกไม้ในกระจก ดวงจันทร์ในนที (คือน้ำ) ล้วนเลื่อยลอยไม่แน่นอน" พุทธท่านว่า "พุทธเดชไม่มีที่สิ้นสุด" ทางเทพว่า  "เทวฤทธิ์กว้างใหญ่มหาศาล"  พุทธและเทพก็คือสิ่งศักดิ์สิทธิ์โปร่งใสดั่งแสงทองดวงหนึ่งเท่านั้น   
แต่สามารถแปรธาตุแปลงกายเปลี่ยนตัวสารพัด พุทธเทพเมื่ออยู่บนฟ้าก็เหมือนพระจันทร์ดวงหนึ่งบรรดาแม่น้ำลำธาร  ทะเล  มหาสมุทร  ในที่มีน้ำแล้วล้วน
มีดวงจันทร์สถิตอยู่ ดังที่ว่า "แม่น้ำพันสายพันดวงจันทร์หมื่นลี้ไร้เมฆหมอกเห็นฟ้าหมื่นลี้" พระจันทร์มีเพียงดวงเดียวจะสามารถแปรเปลี่ยนสารพัด       
ได้อย่างไร  ทั้งนี้ก็เพราะเหตุว่าดวงจันทร์นั้นทั้งสูงทั้งสว่างสมเทียมฟ้านั่นเอง ถ้าผู้คนสามารถสร้างบุญ  สร้างกุศล  ขยันหมั่นบำเพ็ญธรรมเช่น "สำนักเซี้ย
เฮี้ยงตึ้ง"  อักษร 3 ตัวนี้ เพียงแต่เป็นตัวแทนของสำนักทรงที่ปลอบเตือนชาวโลกเท่านั้นเอง แต่ในใจของผู้คนนับพันนับหมื่นทั่วโลกล้วนมี "สำนักเซี้ยเฮี้ยงตึ้ง" อักษร 3 ตัวนี้ สถิตอยู่ในดวงใจ นี่แหละคือ สำนักเดียวพิมพ์ (ดึง) ใจคนพันคน พระจันทร์ดวงเดียวฉายทั่วพันแม่น้ำ ยกมาเปรียบเทียบอีก                   
ทางหนึ่งก็เหมือนกับส่งโทรทัศน์ในทุกวันนี้ ในสถานที่ทำการปัจจุบัน มีเพียงผู้จัดรายการคนเดียว แต่ละบ้านขอให้มีความถี่เหมือนกันก็จะมีภาพเป็นพัน
เป็นหมื่นปรากฏออกมา ความมหัศจรรย์พิสดารเป็นเช่นนี้แหละ ล้วนขึ้นอยู่กับการสัมผัสสัมพันธ์ในความนึกคิดชั่ววูปหนึ่ง เมื่อชาวมนุษย์จะจองให้ฉันลงประ   
ทับทันทีในความนึกคิดของเขาสิ่งนี้ขอให้ชาวโลกจงเข้าใจรู้ตัวไว้ด้วย อรหันต์จี้กงแม้ว่ามีเพียงรูปเดียว ฉันอยู่บนฟ้าผู้ที่นับถือเคารพในตัวข้าฯ ก็จะ
แปรสภาพเป็นพันเป็นหมื่นให้ทุก ๆ คนสามารถมองเห็น คัมภีร์ท่านว่า  "พระพุทธสถืตอยู่ภูผาอันศักดิ์สิทธิ์ ภูผาศักดิ์สิทธิ์สถิตอยู่ในจิต ภูผาศักดิ์สิทธิ์เปรียบเสมือนพระเจดีย์ ทุกผู้ทุกนามล้วนมีพระเจดีย์อยู่ในจิต จงบำเพ็ญธรรมภายใต้พระเจดีย์เทอญ"  ทั้งหมดนี้ก็คือมีความหมายดังที่กล่าวไว้ทั้งหมดนั่นแหละ ได้เสียเวลาท่องนรกไปแล้ว เจ้าหยางเซิงรีบขึ้นบนดอกบัว เตรียมเที่ยวชมนรกเถิด 

หยางเซิง   :  กระผมขึ้นอยู่บนดอกบัวแล้วครับท่านอาจารย์เชิญเริ่มเดินทางได้

อรหันต์จี้กง   :  ถึงแล้วละ เจ้าหยางเซิงรีบลงจากดอกบัวเร็ว

หยางเซิง   :  ขอรับคำบัญชา หูได้แว่วเสียงร้องอย่างเจ็บปวด คุกนรกข้างหน้า บนประตูเขียนว่า "แดนน้ำร้อนลวกมือนรกน้อย"

อรหันต์จี้กง   : 
ที่นี่แหละคือ "แดนน้ำร้อนลวกมือนรกน้อย" ซึ่งขึ้นต่อขุมที่ 4 เรารีบรุดไปข้างหน้า เตรียมการเยี่ยมชม
หัวข้อ: เที่ยวเมืองนรก ครั้งที่ 24 ตอน ท่องแดนน้ำร้อนลวกมือนรกน้อย
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 20/07/2012, 11:37
                           เที่ยวเมืองนรก

               ครั้งที่ 24  วันที่  12  มีนาคม  พ.ศ. 2520

                     ตอน  ท่องแดนน้ำร้อนลวกมือนรกน้อย

        พระอรหันต์จี้กงเสด็จปรากฏกาย ตรัสเป็นกลอนมีความว่า  :

        การปล้นจี้        ขโมยทรัพย์        สุดบัดสี
เงินไม่ดี                 แม้ร่ำรวย            ก็ไร้เกียรติ
เลี้ยงลูกชั่ว            ทำจัญไร            โคตรถูกเหยียด
บ้านเหงาเงียบ       อยู่เดี่ยวโดด         สุดเศร้าเอย 

หยางเซิง   :   
ข้างในนั้นมีข้าราชการหมู่หนึ่งออกมา คงจะเป็นพัศดีของคุก ..... ขอแสดงความคารวะต่อท่านพัศดีและนายทหารทั้งหลาย วันนี้เราศิษย์อาจารย์ได้รับคำสั่งมาเยี่ยมชมคุกของท่าน ขอได้โปรดให้การแนะนำด้วยเถิด

พัศดี   :  มิต้อง ยินดีต้อนรับท่านอาจารย์และท่านหยางเซิงแห่งสำนักเซี้ยเฮี้ยงตึ้ง ที่มาเยี่ยมชมถึงคุกนี้ ข้าพเจ้าเพิ่งได้รับคำสั่งจากท่านยมบาล ทราบว่าท่านทั้งสองจะมาเยี่ยมชมคุกนี้ มีอะไรขาดตกบกพร่องแล้ว ขอได้โปรดอภัยให้ด้วย

อรหันต์จี้กง   :  ได้เสียเวลาไปไม่น้อยแล้ว การมาถึงล่าช้าลง ขอท่านพัศดีจงให้อภัย เจ้าหยางเซิงรีบตามพัศดีเข้าไปชมในคุกเร็ว

พัศดี   :  ท่านทั้งสองตามข้าพเจ้าเข้าชมในคุก ก็จะได้ทราบเหตุการณ์ต่าง ๆ โดยละเอียด

หยางเซิง   :  ขอบคุณมาก ทั่วทั้งเรือนจำ เต็มไปด้วยไอน้ำร้อน เสียงหวีดร้องร่ำไห้ดังลั่นปกคลุมทุกแห่งหน วิญญาณโทษในคุก มือทั้งสองข้างล้วนถูกตอกตรึงอยู่กับรางไม้ ยมทูตต่างยกเอาน้ำร้อนที่เดือดพล่านอยู่เป็นถัง ๆ ใช้กระบวยตักราดลงบนมือทั้งสองข้างของวิญญาณโทษ แต่ละตนโดนลวกจนคร่ำครวญด้วยความเจ็บปวด ยมทูตอีกตนหนึ่งก็ถือแส้ พอได้ยินเสียงร้องก็หวดลงทีหนึ่ง สภาพนั้นน่าเวทนานัก มิทราบว่า พวกนั้นทำผิดโทษฐานอะไรบ้าง บางคนอายุยังอ่อนอยู่ก็โดนทำโทษอย่างทรมานด้วย

พัศดี   :  วิญญาณโทษเหล่านี้ ล้วนต้องโทษด้วยความผิดที่ลักขโมย หรือคดโกงในแดนมนุษย์ เมื่อตายลงแล้วจึงตกมายังคุกนี้รับการลงโทษ ข้าพเจ้าจะเรียกมาสัก 2 - 3 คน ให้มาเล่าเรื่องชั่วร้ายที่ตนก่อขึ้นในแดนมนุษย์ให้ท่านฟัง

หยางเซิง   :  นั่นก็ดีซิครับ กระผมจะได้ถามสภาพการทำชั่วของเขา เพื่อลงพิมพ์ "เที่ยวเมืองนรก" จะได้ปลอบเตือนกอบกู้มวลมนุษย์

พัศดี   :  ข้าพเจ้าได้ปลดวิญญาณโทษ 3 ตนออกมาแล้ว สั่งให้ตนที่ 1 เล่าเหตุการณ์ที่ตนทำชั่วอย่างไรบ้าง ในขณะที่เป็นมนุษย์อยู่ในแดนมนุษย์ให้ท่านหยางเซิงแห่งเมืองไถ่ตงฟัง

วิญญาณโทษ   :  โอย  โอย มือของผมใกล้จะแหลกเหลวแล้ว ขอให้ท่านอาจารย์รีบช่วยผมด้วย ขอยาทาให้ด้วย

หยางเซิง   :  ดูมือทั้งสองข้าง ได้มีน้ำเหลืองไหลออกมาแล้ว คล้ายกับเนื้อหมูเละ ๆ อย่างนั้น เชิญท่านอาจารย์ช่วยทายาให้มันด้วย

อรหันต์จี้กง   :  เจ้าอย่าได้พูดมาก มือสองข้างของมันสร้างบาปขึ้นเอง หยูกยาก็ช่วยรักษามือที่โหดร้ายนี้ได้ยาก

พัศดี   :  ไอ้เวร ห้ามร้องทุกข์ขอความช่วยเหลือส่งเดชนะ รีบสารภาพทำบาปชั่วร้ายอย่างไร ในเมืองมนุษย์ออกมาโดยเร็ว
หัวข้อ: เที่ยวเมืองนรก ครั้งที่ 24 ตอน ท่องแดนน้ำร้อนลวกมือนรกน้อย
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 31/07/2012, 03:35
                              เที่ยวเมืองนรก

               ครั้งที่ 24  วันที่  12  มีนาคม  พ.ศ. 2520

                     ตอน  ท่องแดนน้ำร้อนลวกมือนรกน้อย

        พระอรหันต์จี้กงเสด็จปรากฏกาย ตรัสเป็นกลอนมีความว่า  :

        การปล้นจี้        ขโมยทรัพย์        สุดบัดสี
เงินไม่ดี                 แม้ร่ำรวย            ก็ไร้เกียรติ
เลี้ยงลูกชั่ว            ทำจัญไร            โคตรถูกเหยียด
บ้านเหงาเงียบ       อยู่เดี่ยวโดด         สุดเศร้าเอย   

วิญญาณโทษ   :  เอาครับ
เนื่องจากผมได้เกิดในครอบครัวที่ั่มั่งคั่งมากอยู่ดีกินดีทุกอย่างคบค้ากับพวกจิ๊กโก๋อย่างสนิทสนมแบบเพื่อนฝูง กินแล้วไม่ค่อยจะทำการทำงาน ชอบไปมั่วอยู่ค๊อฟฟี่ช็อฟ ไปมั่วหยอกเย้ากับพวกผู้หญิงโสเภณี หรือพวกจิ๊กี๋หญิงใจแตก รวมพวกกันสุมหัสเสพสุข พ่อแม่จะตักเตือนเท่าไหร่ก็ไม่ฟัง ในที่สุดโดนตัดขาดความสัมพันธ์ทางบ้าน โดยถูกประกาศไว้ในหนังสือพิมพ์ ตัดการเป็นพ่อเป็นลูกกัน จากนั้นผมก็พกความแค้นนั้นอยู่ในใจไม่ยอมกลับเข้าบ้านอีก ก็เลยตะเวณเที่ยวไปทุกหนทุกแห่งเข้าเป็นพวกของสังคมมืด รับการชักชวนเสี้นมสอนจากเพื่อนวายร้ายทั้งหลาย เรียนจบวิชาขโมยลักทรัพย์ มักจะอยู่บนรถประจำทางหรือท่ารถสถานที่ต่าง ๆ แสดง "มือเซียน" (ล้วงกระเป๋า) 

พัศดี   :  ไอ้เวร  ห้ามพูดจาละเมิดเทพ - พุทธ ที่ยื่นออกไปนั้นเป็น "มือผี" ต่างหาก

วิญญาณโทษ   : 
ทำการล้วงกระเป๋าลักทรัพย์มาเรื่อย ตอนหลังมาคิดได้ว่า ทำเช่นนี้ได้เงินน้อย จนก้าวถึงขั้นเข้าไปลักขโมยทรัพย์สินในบ้านพักหรือในแฟลต ชั่วชีวิตนั้น ได้ทรัพย์สินมาเป็นล้าน ครั้งหนึ่งในขณะที่ทำการลักทรัพย์นั้นเกิดเรื่องแตกขึ้น ถูกชาวบ้านไล่ต้อน เคราะห์ร้ายโดนจับไปดำเนินคดี ถูกศาลตัดสินจำคุกส่งไปทำโทษที่เรือนจำ เมื่อพ้นโทษออกจากคุก ก็ไม่สำนึกกลับตัวล้างเท้าล้างมือเสีย ยังแอยขโมยตามอาชีพเก่า เมื่ออายุได้ 41 ปี เนื่องจากเสพสุรานารีมากเกินควร เลยเกิดมะเร็งถึงแก่ความตาย ในระหว่างป่วยไข้ต้องใช้เงินทองของตัวเองรักษา เพื่อนฝูงในสังคมมืดนั้นเห็นว่าผมไม่มีความสามารถใด ๆ แล้วจึงไม่เข้ามาแยแสด้วย ดังนั้นจึงตรอมใจตาย เมื่อตายลงก็ถูกนายทหารหัวควายม้าคุมมายังนรกโดนเฆี่ยนตีตลอดทาง  ตอนหลังูกตัดสินเข้ามาอยู่คุกนี้จึงรู้ว่าตนถูกตัดอายุขัยไป 9 ปี เป็นการสนองตอบจากความชั่วโดยแท้ ผมก็ไม่มีอะไรจะพูดอีกแล้ว

พัศดี   :  เมื่อแกสำนึกตัวได้ก็สายเสียแล้ว หากว่าตอนพ้นโทษออกจากคุกแล้วรู้จักสำนึกตัวใหม่ ทำตัวเป็นพลเมืองดี สร้างกุศลชดใช้เวรบาปที่ก่อไว้ จะไม่ต้องถูกหักอายุขัย และตกลงในนรกรับการทรมาน แกน่ะไม่เพียงแต่ผิดฐานขโมยลักทรัพย์ ยังผิดฐานอกตัญญูซึ่งเป็นโทษใหญ่อีกด้วย ยมบาลท่านตัดสินให้แกมาอยู่คุกนรกนี้ 32 ปี โทษฐานนี้พอที่จะให้แกชดใช้กรรมอยู่แล้ว วิญญาณโทษตนที่ 2 รีบสาธยายบาปเวรที่สร้างไว้ในเมืองมนุษย์ให้ท่านหยางเซิงแห่งสำนักเซี้ยเฮี้ยงตึ้งชาวมนุษย์ฟังโดยเร็ว
หัวข้อ: เที่ยวเมืองนรก ครั้งที่ 24 ตอน ท่องแดนน้ำร้อนลวกมือนรกน้อย
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 31/07/2012, 04:35
                            เที่ยวเมืองนรก

               ครั้งที่ 24  วันที่  12  มีนาคม  พ.ศ. 2520

                     ตอน  ท่องแดนน้ำร้อนลวกมือนรกน้อย

        พระอรหันต์จี้กงเสด็จปรากฏกาย ตรัสเป็นกลอนมีความว่า  :

        การปล้นจี้        ขโมยทรัพย์        สุดบัดสี
เงินไม่ดี                 แม้ร่ำรวย            ก็ไร้เกียรติ
เลี้ยงลูกชั่ว            ทำจัญไร            โคตรถูกเหยียด
บ้านเหงาเงียบ       อยู่เดี่ยวโดด         สุดเศร้าเอย   

วิญญาณโทษ 2   :  ฉันทำการค้าเครื่องเหล็กและเครื่องอะไหล่กลไกต่าง ๆ
ในแดนมนุษย์ เริ่มต้น 2 - 3 ปี ด้วยความอดทนขยันหมั่นเพียรมีผลกำไรได้เงินทองไม่น้อย ต่อมาค่อย ๆ หัดเล่นการพนันและดื่มเหล้าเที่ยวหาความสุข เที่ยวหาผู้หญิงนางบำเรอนอกบ้าน รับเลี้ยงเมียน้อยอยู่หลายคน ส่วนเมียหลวงไม่มีทางรู้ได้เลย ดังนั้นการหมุนเวียนทางการเงินจึงค่อย ๆ ฝึดลง ต่อมาเพื่อที่จะปรับค่าใช้จ่ายให้สมดุล จึงสั่งซื้อสินค้าวัสดุจำนวนมากจากโรงงาน 2 แห่งโดยเขียนเช็คไว้ให้เป็นจำนวนเงินมหาศาล แล้วก็เอาเครื่องเหล็กเครื่องกลนั้นไปขายที่ต่างถิ่นด้วยราคาต่ำ ๆ เป็นพิเศษ ในธนาคารคงเหลือยอดเงินเพียงนิดเดียว เสร็จแล้วก็หลบหนีหายตัวไป บรรดาเจ้าหนี้เมื่อได้เวลาเก็บเงินตามใบสั่ง ก็เก็บเงินไม่ได้  จึงรู้ว่าโดนเช็คสปริงเสียแล้ว แห่กันมาคิดบัญชีกับฉัน และฟ้องร้องไปยังศาลสถิตยุติธรรมตำรวจก็ประกาศจับตัวไปทั่วทุกทิศ ต่อมาจึงโดนจับตัวได้ขณะอยู่บ้านญาติแห่งหนึ่ง ส่งตัวไปดำเนินคดี เพราะเหตุว่าฉันฝากเงินไว้กับเพื่อนหญิงคนหนึ่ง เมื่อหลุดพ้นจากการจองจำออกมา การดำเนินชีวิตก็ยังสุขสมบูรณ์มาก แต่ว่าพวกเจ้าหนี้ล้วนผูกใจเจ็บแค้นด่าฉัน"ไอ้ชาติชั่ว  ไอ้ขี้โกง  ใจอำมหิต"  6 ปีก่อนฉันตายลงด้วยโรคหัวใจ ถูกนายทหารหน้าควาย - ม้า คุมตัวส่งไปขุมที่ 2 แห่งแดนนรก ฉอกังอ๊วง ดุด่าว่าฉันโกงเงินค่าสินค้าของชาวบ้าน หากินทางสกปรกไร้ศีลธรรม ตัดสินให้ตกเข้าไปอยู่ใน "แดนนรกอุจจาระ - ปัสสาวะ" รับการลงโทษ เมื่อหมดโทษแล้ว จึงย้ายมาขุมที่ 4 ในปัจจับันนี้แหละ โหงวกัวอ๊วงว่าฉันจ่ายเช็คหลอกลวงเขา มือทั้งสองข้างเป็นต้นเหตุแห่งกรรมชั่วนั้น ๆ  ทำลายให้ร้ายผู้อื่นมากมาย ตัดสินเข้าอยู่ใน "นรกน้ำร้อนลวกมือ" 10 ปี  รับเลี้ยงเมียน้อย ความประพฏติไม่เหมาะสมนั้น  ต้องตัดสินลงโทษอีกต่างหากยมบาลท่านยังบอกอีกว่า เมื่อรับการลงโทษทุกกรรมทุกกรณีเสร็จสิ้นแล้ว จะต้องส่งไปหมุนเวียน "เวียนไปเกิดครั้งที่ 1 เป็นมนุษย์มีร่างกายพิการแต่มีความสามารถฝีมือดีโดยกำเนิด  ไปรับจ้างจากเจ้าหนี้ หาเงินให้เขา ตนเองเพียงมีข้าวกินพอยังชีพเท่านั้น เพื่อชดใช้หนี้ในชาติก่อน เวียนไปเกิดครั้งที่ 2 ไปเกิดในครอบครัวที่มั่งคั่งมีเงิน แต่เงินนั้นได้มาโดยไม่สุจริต เกิดมาก้ไม่แข็งแรงอมโรคมากหลาย ต้องเสียเงินทองหาหมอรักษาแม้จะมั่งมี แต่ต้องกินยาทุกวัน หมอผู้นั้นคือเจ้าหนี้แต่ชาติก่อน เป็นหมอประจำพิเศษเพื่อที่จะเรียกคืนหนี้ที่ค้างชำระ นี้แหละคือการสนองตอบของคนรวยที่ไม่มีเมตตาธรรมประการหนึ่งละ  ประการที่สองคือ เมื่อไปโกงกินเงินของคนอื่น ต้องสนองตอบด้วยการกินยาใช้หนี้ เหตุและผลสนองรับต่อกันต่างลบล้างกันไป " ชาวโลกที่ทำการค้าขายต้องยึดมั่นในศีลธรรมแห่งการค้าขาย เงินที่ได้มาจากใจหินชาตินั้นไม่อาจตกทอดไปถึงมือลูกหลานได้ ดังตัวอย่างฉันนี้เป็นต้น

พัศดี   :  ไอ้เวร ทำการค้าไม่มีศีลธรรม เครื่องโลหะก็จะกลายเป็นละอองดินในที่สุด คดโกงเงินทองผู้อื่น  ชาติหน้าต้องจ่ายคืนพร้อมต้นและดอกเบี้ย แล้วยังพลอยให้คนรุ่นหลังด่างพร้อยเสียชือเสียงไปด้วย ลูกหลานจะลืมตาอ้าปากได้อย่างไรเล่า วิญญาณโทษที่พูดเรื่องครู่นี้เป็นเรื่องจริง เหตุและผลสนองตอบรับกันไม่มีการผิดเพี้ยนแม้แต่น้อย  ตามความสำรวจในกรมกองยมโลก พวกเจ้าหนี้ในชาติก่อนล้วนมีผลบุญกุศล ชาติหลังจึงได้เวียนไปทวงหนี้สินที่ตกค้างคืนมา เหตุและผลของโลกมนุษย์เป็นการวนเวียนมาตอบสนองกัน มีความละเอียดอ่อนไหวมากคล้ายกับข่ายใยแมลงมุมเชื่อมต่อเนื่องกัน ทุกสิ่งทุกส่วนที่เกี่ยวข้องกันแล้ว ล้วนยากที่จะรอดพ้นจากการตอบสนอง ชาวโลกควรถือเรื่องนี้เป็นอุทาหรณ์ อย่าได้ใจร้ายต่อไป การกระทำทุกกรณีที่ทำให้ผู้อื่นเสียหาย แต่ตนเองได้รับผลประโยชน์นั้น ล้วนแต่เป็นการก่อเวรสร้างกรรมทั้งสิ้น ก็น่าเห็นใจชาวโลกส่วนใหญ่มักจะพบเจอแต่สิ่งอุปสรรคกีดขวางแล้วมาถอนใจบ่นกันว่ามนุษย์นั้นมีกรรมเวรหนักหนา

อรหันต์จี้กง   :  เพราะว่าเวลาดึกมาแล้ว ข้า ฯ ว่าดูคู่วิญญาณโทษ 2 ตนก็พอแล้ว

หยางเซิง   :  ก็ดีครับ ขอถามท่านพัศดีอีกนิดเถิดว่าปัจจุบันนี้ในแดนมนุษย์มีคดีปปล้นทรัพย์ บางรายถูกตัดสินให้ยิงเป้า เมื่อถูกยิงเป้าไปแล้วไม่ทราบว่าไปขุมขังอยู่ ณ แห่งใด

พัศดี   :  เกี่ยวกับวิญญาณโทษที่ถูกประหารแล้วนั้นได้ขังอยู่ที่อื่น ที่มีการลงโทษร้ายแรงกว่าคุกนี้อีก วันอื่นจะพาท่านไปตรวจเยี่ยมอีกครั้ง

หยางเซิง   :  ขอขอบคุณท่านพัศดีและนายทหารทุกท่านที่ให้การชี้แจงแนะนำ เราเตรียมตัวกลับสำนักแล้วโอกาศหน้าพบกันใหม่

อรหันต์จี้กง   :  ออกมาเร็ว รีบขึ้นบนดอกบัวเร็ว เตรียมตัวกลับสำนัก

หยางเซิง   :  กระผมได้นั่งลงเรียบร้อยแล้ว เชิญท่านอาจารย์ออกเดินทางเถิด .....

อรหันต์จี้กง   :  สำนักเซี้ยเฮี้ยงตึ้งถึงแล้ว  หยางเซิงลงจากดอกบัว วิญญาณกลับเข้าสู่ร่างดังเดิม
หัวข้อ: เที่ยวเมืองนรก ครั้งที่ 25 ตอน ท่องแดนแทงปากนรกน้อย
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 9/08/2012, 03:03
                            เที่ยวเมืองนรก

               ครั้งที่ 25  วันที่  25  มีนาคม  พ.ศ. 2520

                     ตอน  ท่องแดนแทงปากนรกน้อย

        ท่านอรหันต์จี้กงเสด็จปรากฏกาย ตรัสเป็นกลอนมีความว่า  : 

          ไม่ยับยั้ง     วจีกรรม           ก่อคลื่นลม
เสียดอารมณ์          คนสิ้นคิด          ควรงดเสีย
คำมุสา                 เที่ยวพ่นทั่ว      ต้องจนจิต
ชั่วชีวิต                คุยโอ้อวด        ไร้สรรเสริญ

อรหันต์จี้กง   : 
ชีวิตคนเต็มไปด้วยความดีใจ  ขุ่นข้องใจ  เศร้าใจ  สุขใจ  และความระทม  หรรษา  พลัดพราก  อยู่ร่วมกัน  พูดไปแล้ว  การบำเพ็ญ   
ธรรมก็ไม่ใช่เรื่องง่ายดายนักหรอก ต้องรักษาจิตให้มั่นคง ควรทุ่มเทปฏิบัติสักระยะหนึ่ง โดยมิใช่ว่าพูด ๆ แล้วก็จะสำเร็จต้องมีการปฏิบัติทางศีลธรรมที่แท้
จริงเป็นพื้นฐานแห่งหลักธรรม มิเช่นนั้นแล้วจะพูดอย่างน้ำไหลไฟดับก้เท่ากับดอกไม้ร่วงสู่ธารน้ำ (ที่ไหลไปตามเรื่อง) ปลุกจิตให้ศรัทธาและพลังใจมิขึ้น             
เลย วันนี้เตรียมท่องนรก เจ้าหยางเซิงรีบขึ้นบนดอกบัวเร็ว

หยางเซิง   :  ไฉนท่านอาจารย์จึงถอนหายใจอยู่ร่ำไป

อรหันต์จี้กง   :  จิตใจที่แตกต่างกันของมนุษย์ จึงเปล่งวาจาที่แตกต่างกันออกมา บ้างว่าลูกบ๊วยแห่งนี้มีรสเค็ม  บ้างก็ว่ามีรสหวาน  บ้างก็ว่ามีรสขม  พูดเอาจนหนทางใหญ่ที่กลมกลืนนั้น  หมุนเคว้งคว้างไปหมดทำให้คนหูตาฝ้าฟางยุ่งเหยิง ไม่รู้จะทำอย่างไรดี ! 

หยางเซิง   :  อะฮ้า ! ผู้อยู่ในบรรพชิตควรปลงเสียบ้างเถิด ขอให้กุมแก่นกลางนั้นให้มั่นคงก็แล้วกัน มันจะโยเยยอบแยบอย่างไรก็ช่างมันเถิด แล้วก็จะสบายอกสบายใจเอง

อรหันต์จี้กง   :  นับว่าเจ้ายังปราดเปรื่องฉลาดมาก ฉันนะเกือบจะหลงตกลงในห้วงเหวแห่งวิญญาณหลงเสียแล้ว ณ บัดนี้พอจะนับได้ว่ามีหนทางสายใหญ่ที่โชติช่วงแล้ว อย่าได้คุยอะไรมากเลย รีบขึ้นบนดอกบัวเร็ว

หยางเซิง   :  ขอรับคำบัญชา .....

อรหันต์จี้กง   :  ถึงแล้วละ  ลงจากดอกบัวไปเยี่ยมชมเถิด

หยางเซิง   :  พัศดีและนายทหารทั้งหลายมาอยู่ตรงหน้าแล้ว ข้าพเจ้าคือศิษย์สำนักเซี้ยเฮี้ยงตึ้งมาเยี่ยมชมคุกของท่านในวันนี้ ขอได้ให้การชี้แจงด้วย

พัศดี   :  ท่านทั้งสองมิต้องแสดงความคารวะ คุกนี้คือ "แดนแทงปากนรกน้อย" อยู่ในความปกครองของขุมที่ 4  เนื่องจากได้รับคำสั่งจากท่านยมบาล ทราบว่าท่านอาจารย์กับท่านหยางเซิงแห่งสำนักเซี้ยเฮี้ยงตึ้งจะมาเยี่ยมชมคุกนี้ ในวันนี้หากการต้อนรับที่มีบกพร่องแล้ว ขอได้ให้อภัยด้วย

อรหันต์จี้กง   :  ท่านพัศดีมิต้องถ่อมตัว เราศิษย์อาจารย์ท่องนรกตามโองการแต่งหนังสือ วันนี้มาเยี่ยมชมคุกของท่าน ขอท่านพัศดีและนายทหารให้ความสะดวกด้วย เพื่อให้หยางเซิงได้เยี่ยมชม

พัศดี   :  ขอรับคำบัญชา เชิญท่านทั้งสองตามข้าพเจ้าเยี่ยมชมสภาพการณ์ของการลงโทษวิญญาณโทษได้

หยางเซิง   :  บนประตูคุกเขียนไว้ว่า "แดนแทงปากนรกน้อย" กระผมว่าคงจะทรมานมากเหลือที่จะกล่าวนะ

พัศดี   :  ตามข้าพเจ้าเข้าไปข้างใน อย่าเสียเวลาเลย             
หัวข้อ: เที่ยวเมืองนรก ครั้งที่ 25 ตอน ท่องแดนปากนรกน้อย
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 13/08/2012, 08:13
                          เที่ยวเมืองนรก

               ครั้งที่ 25  วันที่  25  มีนาคม  พ.ศ. 2520

                     ตอน  ท่องแดนแทงปากนรกน้อย

        ท่านอรหันต์จี้กงเสด็จปรากฏกาย ตรัสเป็นกลอนมีความว่า  : 

          ไม่ยับยั้ง     วจีกรรม           ก่อคลื่นลม
เสียดอารมณ์          คนสิ้นคิด          ควรงดเสีย
คำมุสา                 เที่ยวพ่นทั่ว      ต้องจนจิต
ชั่วชีวิต                คุยโอ้อวด        ไร้สรรเสริญ

หยางเซิง   : 
ไม่ผิดตามที่คิดจริง ๆ แหละ เสียงคร่ำครวญร่ำไห้ในคุกปานแก้วหูจะแตก ยมทูตกำลังใช้เหล็กปลายแหหลมคมอันหนึ่ง แทงปากของผู้ถูกมัดติดกับเสาอย่างทารุณโหดร้าย ราวกับว่าจะทำให้คนตายคามือเลยทีเดียว วิญญาณโทษที่โดนแทงหวีดร้องด้วยความเจ็บปวดทรมาน การทำโทษชนิดนี้คล้ายกับการฆ่าหมูโดยใช้แรงคนฆ่า มิทราบว่าพวกนั้นต้องโทษประการใดบ้าง จึงถูกทำโทษรุนแรงเช่นนี้ ?

พัศดี   :  ข้าพเจ้าจะปลดออกมาสัก 2 - 3 ตน ท่านจะทราบโดยละเอียดจากการซักถามของท่านเอง

หยางเซิง   :  ขอบคุณท่านพัศดีมาก

พัศดี   :  สั่งวิญญาณโทษตนนี้ให้สาธยายความผิดของตัวเองตอนที่อยู่ในแดนมนุษย์ให้ท่านหยางเซิงแห่งสำนักเซี้ยเฮี้ยงตึ้ง เมืองไถ่ตงฟัง

วิญญาณโทษ   :  ปากฉันเจ็บจนทนไม่ไหวแล้ว ก่อนหน้านี้ได้สารภาพต่่อหน้ายมบาลมาแล้ว ไฉนจึงให้ฉันพูดอีกเล่า?

อรหันต์จี้กง   :  อาตมาอยู่ที่นี่ จะบิณฑบาตจากเธอ หรือว่าเธอจะไม่ยอมให้ทานงั้นหรือ?.

พัศดี   :  ท่านผู้นี้คืออรหันต์จี้กง ได้มาท่องนรกตามโองการ หากเจ้าไม่สารภาพโดยเร็วมีโทษขัดขืนพระราชโองการ โทษนั้นเจ้าจะรับไม่ไหว นรก "อาปี" (โลกันตร์) เจ้าอยากไปไหม ?.

วิญญาณโทษ   :  พระรูปนี้ที่แท้คือท่านอรหันต์จี้กงเอง เมื่ออยู่แดนมนุษย์ก็เคยได้ยินชื่อเสียงท่านมาแล้ว ฉันควรตายเสียจริง ๆ ขอท่านอาจารย์โปรดให้อภัยด้วยเถิด ฉันจะสารภาพการทำบาปในแดนมนุษย์อย่างหมดเปลือกดังนี้ เมื่อฉันอยู่ในโลกมนุษย์ เพราะเหตุว่ามีสุ้มเสียงดีพอ มีพรสวรรค์ในการร้องเพลง ก็เลยไปร้องเพลงตามภัตตาคาร  โรงละครบ่อย ๆ ยังเคยรับจ้างโรงงานผลิดยาไปแสดงตามที่ต่าง ๆ มากหลาย ชีวิตในอาณาจักรเสียเพลงนั้น เพื่อสนองตามรสนิยมของผู้ฟังก็เลยแต่งเพลงลามกเองร้องเอง ก็บ่อยครั้งหรือแสดงบทบาทชั่วช้าสามานย์เรียกเสียงฮือฮาจากผู้ชมข้างเวทีอย่างกึกก้อง ตบไม้ตบมมือชอบอกชอบใจเป็นการใหญ่  เนื่องจากเพลงที่ร้องไปนั้น ไม่สุภาพ เมื่อตายลงแล้วยมบาลตัดสินลงโทษว่า ชีวิตทั้งชีวิตของฉันไม่ชอบร้องเพลงรักชาติ หรือเพลงปลุกใจคน  หรือเพลงกล่อมเกลาอบรมจิตใจมนุษย์ ที่ร้องไปนั้นล้วนเป็นเพลงที่ทำให้เสื่อมเสียประเพณีอันดีงาม ที่หยาบช้าชั้นต่ำ ๆ ทั้งนั้น  ให้โทษทางสังคมที่มีประเพณีอันดีงาม  เลยตัดสินให้ตกเข้ามาอยู่ใน "นรกแทงปาก" 10 ปี ทุกวี่ทุกวันโดนเหล็กเจาะแทงปาก มีความทุกข์ทรมานอย่างพูดไม่ออก ตอนอยู่เมืองมนุษย์ ความเป็นอยู่เละเทะเหลวแหลกยังต้องรับโทษทางอื่นอีก เมื่อหมดโทษพ้นคุกไปต้องถูกส่งไปแห่งอื่นทำโทษอีก ทั้งนี้เป็นคำบอกเล่าจากพัศดี จะสำนึกผิดในขณะนี้มันก็สายไปเสียแล้ว ขอให้นักร้องที่อยู่ในโลกมนุษย์ จงอย่าร้องแต่เพลงรักใคร่ที่แสนจะเร้าโลมอารมณ์เท่านั้น ให้ร้องเพลงที่มีความหมายมากขึ้น มิเช่นนั้น เมื่อตายลงแล้วปากที่ร้องออกมานั้นล้วนเป็น "เพลงโหยหวานคร่ำครวญ" หมดแหละ
 
พัศดี   :  ขอฝากไปยังนักร้องในแดนมนุษย์
ให้ร้องเพลงปลุกระดม ใจรักชาติ อย่าร้องแต่เพลงรำพึงรำพันระหว่างหญิงชาย เพื่อหลีกเลี่ยงการเสื่อมเสียของสังคม  สร้างเวรปากที่กว้างใหญ่ไพศาลจนตกลงนรก ... สั่งวิญญาณโทษตนที่ 2 ให้เล่าความจริงในการทำผิดระหว่างที่มีชีวิตอยู่ให้ท่านหยางเซิงฟัง
หัวข้อ: เที่ยวเมืองนรก ครั้งที่ 25 ตอน ท่องแดนแทงปากนรกน้อย
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 14/08/2012, 13:22
                            เที่ยวเมืองนรก

               ครั้งที่ 25  วันที่  25  มีนาคม  พ.ศ. 2520

                     ตอน  ท่องแดนแทงปากนรกน้อย

        ท่านอรหันต์จี้กงเสด็จปรากฏกาย ตรัสเป็นกลอนมีความว่า  : 

          ไม่ยับยั้ง     วจีกรรม           ก่อคลื่นลม
เสียดอารมณ์          คนสิ้นคิด          ควรงดเสีย
คำมุสา                 เที่ยวพ่นทั่ว      ต้องจนจิต
ชั่วชีวิต                คุยโอ้อวด        ไร้สรรเสริญ

วิญญาณโทษ   :  ปากฉันเจ็บปวดจัง ยังมีน้ำเลือดหยดอยู่เลย 
นึกถึงตอนเป็นมนุษย์อยู่นั้น มีนิสัยชอบอยู่นอกบ้าน เมื่อแต่งงานแล้วมักจะทะเลาะกับสามี พูดออกมาทีไรล้วนเป็นคำแช่งด่า จนกระทั่งถึงฟ้าดินและมักจะทะเลาะกับหญิงใกล้เรือนเคียง ความชั่วที่ร้ายที่สุดก็คือมักจะใช้วาจายุยงผู้อื่น ทำให้ชาวบ้านเกิดความระหองระเหงขึ้นในครอบครัว มีรายหนึ่งที่อยู่บ้านใกล้กัน เนื่องจากเคยทะเลาะกับฉัน เพื่อที่จะแก้แค้นมันฉันจึงปล่อยข่าวสร้างความเท็จขึ้นว่า "เมียเขาไปมีชู้กับชายคนนั้น ๆ  นัดพบกันที่ตรงนั้นตรงนี้ ฉันไปเห็นมากับตา" จากหนึ่งก็แพร่ออกไปเป็นสิบ จากสิบเป็นร้อยทำให้เกิดความปั่นป่วนขึ้นในครอบครัว และเคยยุแหย่จนคู่สมรสต้องแยกอย่ากัน นอกนั้นที่ใช้ปากพูดเท็จให้ร้ายผู้อื่นอีกมากราย เมื่อตายลงแล้วถูกยมบาลตัดสินให้ตกมาอยู่ "นรกแทงปาก" 8 ปี แล้วยังมีโทษอื่นอีก ฉันก็ไม่คิดจะพูดมากแล้วหละ

พัศดี   :  เอาละ ! ไอ้ปากเสียของแกนั้นทำเวรมามากพออยู่แล้ว

อรหันต์จี้กง   :  เวลาก็ดึกมากแล้ว ฉันว่าเตรียมกลับสำนักเถอะเจ้าหยางเซิง เจ้ายังมีข้อสงสัยอะไรอีกไหม ?

หยางเซิง   :  ลองให้วิญญาณโทษตนนั้นเล่าเรื่องที่ทำความชั่วไว้ในเมืองมนุษย์อีกทีนะครับ

พัศดี   :  รีบสารพภาพต่อท่านหยางเซิง ที่แกได้ทำบาปตอนอยู่ในโลกมนุษย์

วิญญาณโทษ   :  ผมตอนมีชีวิตอยู่นั้น เนื่องจกบิดาสำเร็จทางแพทย์ ใช้พวกสมุนไพรรักษาโรคโดยเฉพาะ ผมเห็นบิดาประกอบยารักษาโรค ก็มีความรู้อยู่บ้าง เมื่อบิดาตายลงแล้ว มีคนไข้มาให้รักษา ผมก็พูดว่า "บิดาข้าฯก่อนตายได้สอนและมอบ "ตำราลับของตระกูล" ให้กับข้าหมด" ไม่ว่าจะเป็นโรคประหลาดยากเย็นชนิดไหน ล้วนรักษาได้ชนิด "ยาถึงโรคหาย"  แต่ทว่าตัวยานั้นล้วนเสาะหามาจากภูเขาที่ลึกล้ำมาก หายากยิ่งนักเป็นยาพิศดารมีค่าสูงมาก คนไข้ก็คิดว่าเป็นความจริง ผมก็เลยขายยาในราคาสูงมาก บางคนก็ให้ผมรักษาจนหายป่วย บางคนจ่ายค่ายาแล้ว โรคไข้กลับหนักลงไม่มีผลเลย หากว่าคนเขาถามถึงตำราลับของยาสมุนไพรนั้น ผมมักจะไม่เปิดเผย โดยบอกกล่าวตำราลับจากต้นตระกูลห้ามเผยให้ผู้อื่นรู้  เพื่อที่ให้ผู้อื่นจ่ายเงินเป็นค่าขึ้นครู ในชีวิตทั้งชีวิตได้เงินทองมาไม่น้อย หารู้ไม่ว่าเมื่อตายลงแล้ว ยมบาลท่านไม่ปราณีเลย ตัดสินให้ผมเข้ามาอยู่นรกนี้รับโทษทัณฑ์ จะสำนึกตัวก็สายเสียแล้ว

พัศดี   :  อาศัยลิ้นสามนิ้วอันกลับกลอกของแก ขยับปากแต่ละครั้งล้วนอ้างว่าเป็น "ตำราลับของตระกูล" แกไม่รู้หรือนั่นเพียง "ตำราลับจากพ่อ" เท่านั้น แม้ว่าแกจะมีความดีที่ช่วยเหลือชาวโลกอยู่บ้าง แต่เรียกร้องราคาสูงเกินควรเสียจรรยาแพทย์ จึงตัดสินแกมีความผิด บรรดาชาวมนุษย์ที่เก็บตำราลับจากต้นตระกูลควรเปิดเผยออกเพื่อช่วยเหลือผู้คน ไม่ควรใช้เป็นเครื่องมือหาเงินหรือคุยอ้างยาสมุนไพรเป็นยาสรรพคุณสูงราคาแพง มิเช่นนั้นปาก (ลิ้น)จะสร้างเวร "นรกแทงปาก" ก็จะมีส่วนให้แหละ

อรหันต์จี้กง   :  เวลาดึกมากแล้ว เจ้าหยางเซิงเตรียมตัวกลับสำนัก ขอบคุณท่านพัศดีและนายทหารทั้งหลาย เราขอลาแล้วละ

หยางเซิง   :  ขอขอบคุณท่านพัศดีที่ให้การชี้แจงและให้การต้อนรับอย่างดียิ่ง

พัศดี   :  ขอนมัสการส่งท่านทั้งสอง หากไม่รังเกียจเชิญมาเที่ยวชมใหม่อีกครั้ง

หยางเซิง   :  ขอบคุณมากครับ 

อรหันต์จี้กง   : 
ขึ้นนั่งบนดอกบัวเร็ว เตรียมกลับสำนัก

หยางเซิง   :  กระผมนั่งเรียบร้อยแล้ว เชิญท่านอาจารย์รีบเดินทางได้ .....

อรหันต์จี้กง   :  บรรดาที่ชอบพูดเท็จ และลับหลังชอบหาเรื่องยุแหย่ หรือผู้หญิงที่ไม่รู้จักพูดคำอ่อนหวานนุ่มนวลนั้น หรือทำลายล้างทำให้การสมรสพินาศลง หรือลับหลังชอบแช่งด่าผู้ใหญ่นั้น ควรระวังตัวเป็นพิเศษ หากไม่สำนึกกลับตัว ต่อไปก็จะเป็นผีใน "นรกแทงปาก" เช่นกัน ชาวโลกถ้าพูดคำว่า "ขอบคุณครับ  ขอประทานโทษ" เสมอ ๆ เคราะห์กรรมจะจากไป โชคลาภจะเข้ามาเยืือน สำนักเซี้ยเฮี้ยงตึ้งถึงแล้ว หยางเซิงลงจากดอกบัว วิญญาณกลับเข้าสู่ร่างดังเดิม
หัวข้อ: เที่ยวเมืองนรก ครั้งที่ 26 ตอน ท่องแดนตัดเอ็นแทะกระดูกนรกน้อย
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 14/08/2012, 13:54
                       เที่ยวเมืองนรก

               ครั้งที่ 26  วันที่  4  เมษายน  พ.ศ. 2520

                     ตอน  ท่องแดนตัดเอ็นแทะกระดูกนรกน้อย

        ท่านอรหันต์จี้กงเสด็จปรากฏกาย ตรัสเป็นกลอนมีความว่า  : 

              ทำการค้า        ให้ใหญ่โต        กำไรดี
ไม่กดขี่                         ไม่คดโกง        เจริญได้
การพนัน                        ผิดศีล            นั้นจริงไซร์
เสียหรือได้                    ไม่พึงกล่าว       เป็นถาวร

อรหันต์จี้กง   :  เวลาท่องนรกในวันนี้
ได้เวลาแล้วเจ้าหยางเซิง รีบขึ้นบนดอกบัวเร็ว

หยางเซิง   :  ขอรับคำบัญชา เชิญท่านอาจารย์เริ่มออกเดินทางได้ .....

อรหันต์จี้กง   :  ถึงแล้ว ลงจากดอกบัวเร็ว

หยางเซิง   :  เบื้องหน้าคือ "นรกตัดเอ็นแทะกระดูก" บนประตูคุกได้เขียนบ่งไว้แล้ว พัศดีและนายทหารได้ออกมาต้อนรับเราแล้ว ขอแสดงความเคารพต่อท่านพัศดีและนายทหารทั้งหลาย ข้าพเจ้านายหยางเซิงผู้เป็นศิษย์ได้ตามท่านอาจารย์มาเยี่ยมชมคุกของท่าน ขอได้โปรดให้ความสะดวกด้วยเถิด

อรหันต์จี้กง   :  อาตมาพาหยางเซิงมายังคุกของท่านในวันนี้มาตามเทวโองการให้แต่งหนังสือ เนื่องจากปัจจุบันนี้ศีลธรรมโลกมนุษย์ตตกต่ำมาก นิยมแต่วัตถุเลยขาดการบำเพ็ญปลูกฝังจิตใจใฝ่ทางธรรม ต่างละโมบต่อทรัพย์สินเงินทอง โดยไม่เลือกที่จะหามาโดยวิธีใด ๆ ทั้งสิ้นขอให้ได้เงินมาก็แล้วกัน ก็ไม่มีการคำนึงถึงทำนองคลองธรรมและจิตสำนึกที่ดีงาม ?. ที่พูดว่า "จิตสำนึก ที่ดีงามนั้นไม่มีราคาค่างวด"นั้นเป็นที่น่าอนาทใจยิ่ง เนื่องจากสำนักเซี้ยเฮี้ยงตึ้ง เมืองไถ่จงแห่งชมพูทวีปได้รับเทวโองการ รับการประทับทรงประกาศธรรม เพื่อที่จะกู้คืนจิตใจที่เสื่อมทรามลงของผู้คน สร้างแต่งหนังสือธรรมเป็นการปลอบเตือนชาวโลก มีผลงานที่โชติช่วงรุ่งโรจน์มาก จึงได้รับคำชมเชยจากท่าน "เง็กเสียงอ๊วงตี่  โดยประทานเทวโองการให้แต่ง"เที่ยวเมืองนรก" เป็นกรณีพิเศษ  ให้อาตมาพานายหยางเซิงท่องชมยมโลก เก็บเอาความจริงในนรกไปเผยแพร่ให้ชาวโลกรับทราบ วันนี้มาเที่ยวชมคุกของท่าน ขอได้ให้ความชี้แนะด้วย

พัศดี   :  ท่านอาจารย์พูดได้หนักแน่นมาก ท่านทั้งสองตรากตรำลำบาก การรับเทวโองการแต่งหนังสือนั้น เข้าใจดีโดยตลอด เชิญท่านทั้งสองตามข้าพเจ้าเข้าไปตรวจชมภายในเถิด

หยางเซิง   :  พวกยมทูตช่างทารุณเสียจริง ๆ ใช้มีดอันคมกริบตัดฟันมือนักโทษให้ขาดลง แต่ละคนหวีดร้องเสียแหบแห้ง แต่ร่างกายถูกมัดติดอยู่กับหลัก จึงไม่สามารถดิ้นหลุดได้

พัศดี   :  คุกนี้คือ  "แดนตัดเอ็นแทะกระดูกนรกน้อย" ยมทูตใช้มีดตัดฟันเอ็นบนมือของนักโทษให้ขาดก่อน แล้วก็แทะเอาเนื้อติดกระดูกนั้นออก โยนให้พวก "สุนัขเหล็ก" กิน ต่อจากนั้นจึงแทะกระดูกมือให้ขาด การรับโทษชนิดนี้ทรมานยิ่งนัก
หัวข้อ: เที่ยวเมืองนรก ครั้งที่ 26 ตอน ท่องแดนตัดเอ็นแทะกระดูกนรกน้อย
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 15/08/2012, 10:07
                           เที่ยวเมืองนรก

               ครั้งที่ 26  วันที่  4  เมษายน  พ.ศ. 2520

                     ตอน  ท่องแดนตัดเอ็นแทะกระดูกนรกน้อย

        ท่านอรหันต์จี้กงเสด็จปรากฏกาย ตรัสเป็นกลอนมีความว่า  : 

              ทำการค้า        ให้ใหญ่โต        กำไรดี
ไม่กดขี่                         ไม่คดโกง        เจริญได้
การพนัน                        ผิดศีล            นั้นจริงไซร์
เสียหรือได้                    ไม่พึงกล่าว       เป็นถาวร

หยางเซิง   :  กระผมเห็นแต่ละวิญญาณโทษ 
ล้วนถูกลงโทษจนมีอาการสลบไสล สุนัขดำที่อยู่ข้าง ๆ ก็ขบกัด เนื้อมือที่ถูกขูดออก สุนัขในโลกมนุษย์มักจะหากินแทะกระดูกก้างปลาตามใต้โต๊ะ แต่สุนัขที่กินเนื้อคนเพื่อยังชีพนั้น ยังไม่เคยพบเห็นมาก่อนเลย ขอถามท่านพัศดีว่าสุนัขดำเหล่านี้มาจากแห่งใด?

พัศดี   :  พวกนี้เรียกว่า "สุนัขเหล็ก" มีเฉพาะในยมโลกเจาะจงกินแต่เนื้อมนุษย์ยังชีพ เพราะเหตุว่ามันไม่มีความสัมพันธ์กับมนุษย์  จึงเรียกว่า "สุนัขเหล็ก"  หากเป็นสุนัขของโลกมนุษย์ก็มีวิญญาณจิตผ่องใสมาก ดูแลเฝ้าบ้านและซื่อสัตย์ต่อมนุษย์ ปัจจุบันชาวโลกมักจะเลี้ยงสุนัขที่มีชื่อเสียงราคาแพง ความเป็นอยู่ก็เหมือนกับมนุษย์จนขนาดนอนร่วมกับเจ้าของผู้เลี้ยง แต่สุนัขในแดนนรกมีความแตกต่างกันมาก เพื่อที่จะลงโทษผู้ไร้จิตใจของมนุษย์ ที่ไม่มีศีลธรรม ดังนั้นในยมโลกจึงเลี้ยง "สุนัขเหล็ก" เพื่อกินเนื้อของมันอันนี้เป็นการ "สนองตอบ" ที่เรียกว่า "ใจหมา" นั้นก็คืออันนี้แหละ

หยางเซิง   :  ท่านพัศดีพูดเข้าทีมาก มนุษย์ที่ไม่มีจิตใจซื่อสัตย์และคุณธรรมแล้ว เลวยิ่งกว่าสุนัขนี้อีก ดูพวกวิญญาณโมษที่โดนทำโทษอย่างน่าเวทนานี้ มิทราบว่าทำผิดในโทษฐานใด ๆ

อรหันต์จี้กง   :  ฉันจะใช้พัดโบกให้ 2 - 3 ตนตื่นขึ้น เพื่อสะดวกในการให้ตนเองเล่าเรื่องบาปที่สร้างไว้ ดูข้าฯแสดงความปาฏิหาริย์...

หยางเซิง   :  แต่ละตนฟื้นคืนสติขึ้นมาจริง ๆ ด้วย กลับคืนตัวเป็นมนุษย์อย่างสมบูรณ์แล้ว

พัศดี   :  ข้าพเจ้าจะปลด 3 ตนออก ให้สารภาพต่อท่านหยางเซิง เพื่อลงพิมพ์ใน "เที่ยวเมืองนรก" ให้วิญญาณโทษตนนี้รีบสารภาพบาปกรรมที่ทำไว้ในแดนมนุษย์มีอะไรบ้าง จึงตกลงมายังคุกนี้รับการรับโทษ

วิญญาณโทษ   :  ฉันจะพูด ฉันจะพูด  ช่างทุกข์ทรมานเสียจริง ๆ แต่ลูกหลานของฉันไม่รู้ว่าฉันมาถูกทรมานที่ยมโลก คิดว่าตายแล้วก็แล้วกันไปตอนฉันมีชีวิตอยู่นั้นทำการค้าขายผัก ด้วยความโลภอยากได้เงินมาก ก็เลยเล่นลูกไ้บนตาชั่ง เช่นชั่งหนึง (ของจีนมีสิบหกตำลึง) ก็ชั่งให้เพียง 12 ตำลึง ต่าง ๆ นานา ในชีวิตการค้าขายมีการ "ลักตัดน้ำหนัก" เสมอ ๆ แม้ว่าเคยได้ยินผู้คนพูดว่า การค้าขายควรตั้งอยู่ในทางยุติธรรมสุจริต ลักตัดไปครึ่งชั่ง ชาติหน้าต้องชดใช้ให้ 8 ตำลึง  แต่ฉันก็ถือว่าเป็นลมโบกโชยผ่านหูเท่านั้น ไม่มีการสำนึกในจิตที่เป็นธรรมแม้แต่น้อย หารู้ไม่ว่าเมื่อตายลงแล้ววิญญาณตกลงมายังยมโลก ต่อหน้ากระจก (กรรม)  วิเศษฉายเอาความทุจริต ปรากฏมาอย่างชัดแจ้งแจ่มใส ถูกยมบาลขุมที่ 4 ตัดสินให้ตกเข้า "นรกตัดเอ็นแทะกระดูก" มีกำหนด 10 ปี ทุก ๆ วันโดนทำโทษจากการตัดเอ็นแทะกระดูก มือทั้งสองข้างโดนยมทูตเฉียนตัดดังผักปลา จะสำนึกได้ก็สายเสียแล้ว พ่อค้าแม่ค้าที่แดนมนุษย์ต้องค้าขายโดยสุจริตมีคุณธรรม อย่าเห็นแก่ได้เล็กได้น้อยชั่งตวงไม่ยุติธรรม  แดนนรกจะลงโทษอย่างหนักมิผ่อนคลายอภัยให้ยมบาลท่านเกลียดคนชนิดนี้ยิ่งนัก จึงลงโทษเป็นพิเศษ ยมทูตก็ไม่ปราณี เมื่อสำนึกได้ก็สายเสียแล้ว

พัศดี   :  ใครใช้ให้แกเล่นลูกไม้ในตาชั่งเล่า ?. เวลานี้แดนนรกให้ยมทูตช่วยซ่อมความป่วยไข้ของมือทั้งสองข้างของแกแล้วล่ะ ให้ตนที่ 2 รีบเล่าเรื่องของตนเองที่ทำการไม่สุจริตในแดนมนุษย์ให้ท่านหยางเซิงแห่งสำนักเซี้ยงเฮี้ยงตึ้งแดนมนุษย์ฟัง

วิญญาณโทษ   :  ขอรับคำบัญชา เนื่องจากฉันอยู่ในแดนมนุษย์ มีฐานะความเป็นอยู่ไม่สู้ดี และก็ไม่ได้รับการศึกษาด้วย ก็เลยยึดอาชีพรับซื้อของเก่า แต่ละวันขี่สามล้อเก่า ๆ คันหนึ่ง เที่ยวออกรับซื้อของโบราณ  เศษเหล็ก  เศษกระดาษไปทุกทิศ เพราะเหตุเคยได้ยินพวกเดียวกันพูดว่า จะรับซื้อพวกเศษทองเหลือง  ของเก่า  ถ้าซื้อตามน้ำหนักจริงแล้ว จะมีผลกำไรน้อย ต้องเล่นลูกไม้บนตาชั่ง  คือเล่นกลกับตาชั่ง เวลาชั่งคนนอกเห็นว่าถูกต้องแล้ว แต่ว่าหากเป็นของหนัก 10 ชั่ง เวลาชั่งฉันชั่งเพียง 7 ชั่งเท่านั้น ผู้ขายของเก่ามักจะไม่เกี่ยงงอนอะไรมากนัก ขอให้ขายได้ก็แล้วกัน  ในชีวิตโกงตาชั่งเป็นจำนวนนับไม่ถ้วน  เมื่อตายลงแล้ว ยมบาลท่านโกรธมากด่าว่าฉันรับซื้อของเก่าไม่ยุติธรรมเสียศีลธรรมด้านการค้า ขณะนี้ถูกตัดสินให้อยู่ในคุกนี้ 15 ปี ถูกทำโทษทุกวัน โดยถูกพวกยมทูตรังแกข่มเหงสบประมาท ความทุกข์ยากนั้นไม่อาจพูดได้ ขอเชิญท่านหยางเซิงแห่งเมืองมนุษย์ ช่วยขอความเมตตาลดโทษแทนฉันด้วยเพื่อจะได้พ้นทุกข์โดยเร็ว ขอกราบละครับ

หยางเซิง   :  ท่านอาจารย์ครับ เมื่อมันได้พูดความจริงแล้ว ดูสารรูปที่น่าสมเพช เสื้อผ้าขาดวิ่นรุ่งริ่ง กระผมว่าอภัยให้มันบ้างเถิด

อรหันต์จี้กง   :  เรารับเทวโองการแต่งหนังสือเรื่องอื่น ๆ ไม่ควรไปเกี่ยวข้อง ให้พัศดีจัดการก็แล้วกัน 
หัวข้อ: เที่ยวเมืองนรก ครั้งที่ 26 ตอน ท่องแดนตัดเอ็นแทะกระดูกนรกน้อย
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 15/08/2012, 10:40
                            เที่ยวเมืองนรก

               ครั้งที่ 26  วันที่  4  เมษายน  พ.ศ. 2520

                     ตอน  ท่องแดนตัดเอ็นแทะกระดูกนรกน้อย

        ท่านอรหันต์จี้กงเสด็จปรากฏกาย ตรัสเป็นกลอนมีความว่า  : 

              ทำการค้า        ให้ใหญ่โต        กำไรดี
ไม่กดขี่                         ไม่คดโกง        เจริญได้
การพนัน                        ผิดศีล            นั้นจริงไซร์
เสียหรือได้                    ไม่พึงกล่าว       เป็นถาวร

พัศดี   :  ตอนมีชีวิตมือไม่สะอาด
เวลานี้ก็น่าจะให้ยมทูตถลกหนัง ตัดเอ็นแทะกระดูก อันนี้มิได้เกี่ยวกับซื้อขาย แต่เป็นการตัด (เส้น) เอ็นปวดแสบ ลูกผู้ชายทำผิดแล้วต้องกล้ารับโทษซิ อย่ามาขอร้อง เปลี่ยนตนที่ 3 รีบเล่าเรื่องขาดศีลธรรมของแกในเมืองมนุษย์ให้้ท่านหยางเซิงฟัง เพื่อสะดวกในการตีพิมพ์ในหนังสือ "เที่ยวเมืองนรก" จะได้เตือนพวกนักการพนันแห่งโลกมนุษย์

วิญญาณโทษ   : 
ตอนอีฉันอยู่เมืองมนุษย์ สามีอีฉันรับราชการ มีตำแหน่งที่ไม่ต่ำต้อยนัก  เมื่อสามีไปทำงาน ลูก ๆ ก็ไปโรงเรียนกันหมด อยู่บ้านว่าง ๆ หญิงข้างบ้านก็มาชวนไปเล่นไพ่ แรกเริ่มนั้นอีฉันเล่นไม่เป็น หล่อนก็สอนวิธีเล่นให้ จึงค่อย ๆ เรียนรู้เล่นไพ่นกกระจอก และแล้วการเล่นการพนันทุกชนิดล้วนเล่นได้คล่องแคล่วมาก ถึงแม้ว่าจำนวนเงินที่ได้เสียกันไม่มากมายนัก แต่จากนั้นก็หลงใหลอยู่กับโต๊ะการพนันออกจากบ้านไปเล่นไพ่ตามสถานที่ต่าง ๆ ไม่มีเวลาอบรมดูแลบุตรธิดา หรือบ้านช่อง สามีได้ปลอบห้ามตักเตือนอยู่เสมอ ๆ ก็ไม่ยอมเชื่อฟัง ดังนั้นในครอบครัวจึงเกิดการทะเลาะวิวาทขึ้นเป็นประจำ 4 ปีก่อน อิฉันป่วยตายลงด้วยโรคหัวใจวาย ตกถึงยมโลกแล้ว ท่านยมบาลตัดสินให้มารับโทษในคุกนรกนี้  เหลืออีกครึ่งปีจะได้พ้นออกจากคุก ขอเตือนสตรีในโลกมนุษย์ ต้องรักษาศีลธรรมแห่งสตรี  ต้องดูแลบ้านช่อง  อย่าทำตามแบบอิฉันนี้ เมื่อตายลงไปแล้วไม่ต้องมารับโทษในที่แห่งนี้มือทั้งสองข้างต้องถูกตัดเฉือน จึงโทษตัวเองทำไม่ดี ในขณะที่มีชีวิตอยู่เท่านั้นเอง

พัศดี   :  แม่บ้านในครอบครัวลืมหน้าที่ ไปเที่ยวนอกบ้านทั้งเล่นการพนัน ทำให้สังคมเสื่อมเสีย เนื่องจากยังไม่มีการฉ้อฉลลวงหลอกและยึดการพนันเป็นอาชีพ ยมบาลท่านจึงตัดสินโทษเธอในสถานเบา

หยางเซิง   :  ขอชมท่านพัศดี ส่วนพวกนักเลงพเนจรที่อาศัยเปิดบ่อนการพนัน เปิดเล่นเฉพาะแต่ต้มตุ๋นโกงกิน ไม่ทราบว่าไปทำการลงโทษยังแหล่งใด

พัศดี   :  นั่นมิได้อยู่ในความควบคุมของคุกนี้ ต้องส่งไปยังขุมที่ 7 ในยมบาลไท้ซัวอ๊วงลงโทษหนัก  ขอเตือนชาวโลกบรรดาที่มีความประพฤติดังกล่าวข้างต้น ต้องสำนึกกลับตัวกลับใจทันที และพิมพ์แจกหนังสือ "เที่ยวเมืองนรก" ปลอบเตือนชาวโลก แล้วโทษนั้นก็จะลบล้างลงได้ ตายลงแล้วก็มิต้องมารับโทษที่คุกนี้

อรหันต์จี้กง   :  เพราะเวลาดึกแล้ว เราเตรียมกลับสำนัก

หยางเซิง   :  ขอขอบคุณท่านพัศดีที่ได้ให้คำชี้แจงเรา จะกลับสำนักแล้วล่ะ ขอลาก่อน

พัศดี   :  มิต้อง   ขอส่งท่านทั้งสองกลับ

อรหันต์จี้กง   :  เจ้าหยางเซิงรีบออกจากคุกเร็ว เตรียมขึ้นบนดอกบัว

หยางเซิง   :  กระผมได้นั่งเรียบร้อยแล้ว เชิญอาจารย์ท่านกลับได้ .....

อรหันต์จี้กง   :  ถึงสำนักเซี้ยเฮี้ยงตึ้งแล้ว หยางเซิงลงจากดอกบัว วิญญาณกลับเข้าสู่ร่างดังเดิม
หัวข้อ: เที่ยวเมืองนรก ครั้งที่ 27 ตอน ท่องแดนผึ้งพิษนรกน้อย
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 17/08/2012, 03:31
                            เที่ยวเมืองนรก

               ครั้งที่ 2ึ7  วันที่  23  เมษายน  พ.ศ. 2520

                     ตอน  ท่องแดนผึ้งพิษนรกน้อย

        ท่านอรหันต์จี้กงเสด็จปรากฏกาย ตรัสเป็นกลอนมีความว่า  :

           อุทิศตน        พึ่งพระพุทธ        ด้วยใจจริง
โยนมีดทิ้ง                เลิกฆ่าสัตว์        ผียำเกรง
ศีลวิสุทธิ์                  ยึดให้มั่น          ไม่คลางแคลง
พิมานแมน                แดนสวรรค์        ทางสะดวก

อรหันต์จี้กง   : 
การจะบำเพ็ญจนสำเร็จเป็นเทพเทวานั้น มิใช่สิ่งที่กระทำได้ง่ายนัก แต่การที่จะรักษาศีลนั้นให้ (จิตใจ) มั่นคงตลอด เช่นนักปราชญ์หรือผู้ทรงศีลยิ่งยากมาก บนพื้นโลกนี้มีโรงเจวัดสงฆ์อยู่ทั่วไป แขวนป้ายยี่ห้ออย่างแจ่มแจ้งจรัสแสง ถกเถียงตำราวิจารณ์สิ่งศักดิ์สิทธิ์ นั่งเข้าฌาณบรรลุธรรม อันที่จริงนั้นสถานที่ช่วยกอบกู้มวลมนุษย์ให้พ้นทุกข์เป็นเมืองแมนแห่งโลกมนุษย์ในยุคหลังนี้ มีอยู่ไม่น้อยที่อาศัยอ้างชื่อสิ่งศักดิ์สิทธินี้แอบทำการเสื่อมเสียศีลธรรม หรืออาศัยสิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นเครื่องมือหากิน บ้างก็แอบแกะสลักรูปเทพเจ้าเป็นสินค้าเพื่อขายให้แก่นักท่องเทียว พลิกแพลงแปรเปลี่ยน เรื่องหลอกเอาทรัพย์ล่อลวงผู้หญิงมีนับครั้งไม่ถ้วย อุจาดและละเมิดต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ โทษฐานการลวงโทษทำลายล้างหนักข้อขึ้น ยมบาลเข้มงวดหนักหน่วงมาก ไม่มีการยกเว้นอภัยให้เด็ดขาด วันนี้ ข้าฯจะพาเจ้าหยางเซิงไปท่องชมนรก เพื่อเป็นอุทาหรณ์แก่มวลมนุษย์ เจ้าหยางเซิงเตรียมท่องนรก รีบขึ้นบนดอกบัวเร็ว

หยางเซิง   :  ขอรับคำบัญชา กระผมได้ขึ้นนั่งบนดอกบัวแล้ว มิทราบว่าวันนี้จะไปสู่แห่งใด ?

อรหันต์จี้กง   :  "นรกผึ้งพิษ" รีบหลับตาเร็วเตรียมออกเดินทาง

หยางเซิง   :  กระผมได้ปิดตาทั้งสองข้างแล้ว เชิญท่านอาจารย์เริ่มได้แล้ว.....

อรหันต์จี้กง   :  ถึงแล้วละ รีบลงจากดอกบัวเร็ว

หยางเซิง   :  อ้อ ที่แท้ "นรกผึ้งน้อย" อยู่ต่อหน้าแล้ว ยมทูตต่างคุมตัววิญญาณโทษมากหลายเข้าไปในคุก แต่ละตนโดนเฆี่ยนตีไปตามทางเดินครวญครางสะอึกสะอื้น ทำให้คนได้ยินใจคอหดหู่ มิทราบว่าพวกนั้นมีโทษติดตัวประการใด?

อรหันต์จี้กง   :  พวกนี้อาศัยเทพเทวดาหากิน ในแดนมนุษย์ ตอนมีชีวิตอยู่มันกินอิ่มจนเกินไป เมื่อตายลงแล้วจึงต้องโดนกฏนรกทำโทษเหตุการณ์โดยละเอียดนั้นต้องรอให้เข้าไปเยี่ยมชมภายในคุกจึงจะรู้ถึงแก่น พัศดีและนายทหารได้มาต้อนรับเราแล้ว รีบเข้าไปทำความเคารพเสีย

หยางเซิง   :  ท่านพัศดีและนายทหารทั้งหลาย ข้าพเจ้าหยางเซิงู้เป็นศิษย์ ขอแสดงคารวะต่อท่าน ข้าพเจ้าเป็นศิษย์สำนักเซี้ยเฮี้ยงตึ้ง เมืองไถ่ตง แดนมนุษย์ ได้รับคำสั่งมาท่องเมืองนรก เพื่อแต่งหนังสือพร้อมกับท่านอาจารย์ วันนี้มาเยี่ยมชมคุกของท่าน ขอได้โปรดให้ความสะดวกด้วย

พัศดี   :  โปรดอย่าได้เกรงใจเลย คุกนี้คือ "แดนผึ้งพิษนรกน้อย" อยู่ในความปกครองของขุมที่ 4 เป็นคุกที่สร้างขึ้นมาใหม่ เนื่องจากในยุคหลังนี้มีผู้ทำบาปเวรมากขึ้นเรื่อย ๆ ไม่มีการลดน้อยลงเลย ท่านศาสดาจารย์แห่งยมโลกจัดการสร้างคุกแห่งใหม่ ณ ขุมที่ 4 ขึ้นเป็นพิเศษเพื่อที่จะควบคุมอบรมนักโทษ เชิญท่านทั้งสองเข้าไปเยี่ยมชมภายใน

หยางเซิง   :  ขอบคุณมาก !  โอ้โฮ ! ท่านอาจารย์ครับ กระผมไม่กล้าเข้าไป ในนั้นล้วนเป็นตัวผึ้ง แต่ละตัวโตเท่าหัวแม่มือออกสีดำคล้ายผึ้งหัวสิงห์ โหมเข้าต่อยพวกนักโทษในคุก ทุกคนส่งเสียคร่ำครวญ จะหลบหนีก็ไม่มีทางออก ต่างก็เบียดเข้าใกล้มุมกำแพง บางตัวก็บินมุ่งมาทางเรานี้ กลัวถูกมันต่อยจังเลย หลบเสียดีกว่ามั้ง !  ผึ้งหัวสิงห์นี้พิษมันร้ายกาจ ต่อยคนตายได้นะ

อรหันต์จี้กง   :  เจ้าไปแตกตืนตาลีตาเหลือกไปไย พวกผึ้งพิษนี้มีญาณพิเศษ มิใช่ว่าพบคนก็ต่อยดะไป เพราะเหตุว่าวิญญาณโทษมีกลิ่นไอไม่บริสุทธิ์ติดตัวอยู่แล้ว ดังนั้นมันจึงชอบเข้าไปใกล้นักเหมือนดังสถานที่สะอาดหมดจด พวกยุงแมลงจะไม่เข้าใกล้ ที่สกปรกเหม็น พวกยุงแมลงก็แห่กันเข้าไป ผึ้งตัวที่บินมานี้ก็เพื่อแสดงความหมายเป็นการต้อนรับพวกเราเท่านั้นเอง

หยางเซิง   :  เป็นเรื่องที่แปลกดี ที่แท้เสียงปืนใหญ่มิได้ทำร้ายคน แต่กลับกลายเป็นเสียงปืนใหญ่ที่ยิงสลุดสดุดีต้อนรับแขกผู้มีเกียรติ
หัวข้อ: เที่ยวเมืองนรก ครั้งที่ 27 ตอน ท่องแดนผึ้งพิษนรกน้อย
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 20/08/2012, 17:16
                          เที่ยวเมืองนรก

               ครั้งที่ 2ึ7  วันที่  23  เมษายน  พ.ศ. 2520

                     ตอน  ท่องแดนผึ้งพิษนรกน้อย

        ท่านอรหันต์จี้กงเสด็จปรากฏกาย ตรัสเป็นกลอนมีความว่า  :

           อุทิศตน        พึ่งพระพุทธ        ด้วยใจจริง
โยนมีดทิ้ง                เลิกฆ่าสัตว์        ผียำเกรง
ศีลวิสุทธิ์                  ยึดให้มั่น          ไม่คลางแคลง
พิมานแมน                แดนสวรรค์        ทางสะดวก

พัศดี   :  เชิญ
ท่านทั้งสองเข้าไปเยี่ยมชม  ท่านหยางเซิงมิพักตื่นตระหนักตกใจก่อนหรือ ? หากว่าผึ้งพิษต่อยคนโดยไม่เลือกหน้า เราจะแผ่นหนีแบบอย่างไม่เห็นฝุ่นไปนานแล้ว ผึ้งพิษเหล่านี้เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ต่อยเฉพาะพวกที่อาศัยพระอาศัยเจ้า เพื่อหลอกเอาทรัพย์ลวงผู้หญิงเท่านั้น ทำให้มันไม่มีทางจะหลบหนี หากวิญญาณโทษคิดจะวิ่งหนี ฝูงผึ้งกลับตามไล่ต่อยเอา ท่านเห็นไหม วิญญาณโทษแต่ละตน มีบาดแผลเกลื่อนกลาดเต็มตัว เฉพาะอย่างยิ่งศรีษะบวมซ้ำ  พิษร้ายออกฤทธิ์น้ำตาตกเป็นสายฝน แต่ละตนกุมหัวแล้วโลดเต้นเหยง ๆ 

หยางเซิง   :  การทำโทษที่โหดเหี้ยมทารุณเหลือเกิน วิญญาณโทษทุกตนโดนฝูงผึ้งไล่ต่อย ที่คุมขังก็คับแคบและไม่มีทางออกจะหลบก็ไม่มีที่ให้หลบ ขอถามท่านพัศดีว่า พวกนั้นทำบาปอะไรบ้าง ไฉนจึงยังมาถูกลงโทษที่นี่

พัศดี   :  เพื่อให้ได้ลงพิมพ์ในหนังสือ  "เที่ยวเมืองนรก" ข้าพเจ้าจะเปิดประตูคุก สั่งให้วิญญาณโทษ  2 - 3  ตนออกมาเล่าเรื่องที่ตนทำชั่วไว้ในแดนมนุษย์ด้วยตัวมันเอง เป็นการเตือนชาวโลก

อรหันต์จี้กง   :  ดีมาก !  ขณะนี้ทุกขุมในยมโลกต่างก็ทราบว่าเรารับราชโองการแต่งหนังสือ "เที่ยวเมืองนรก" เก็บประมวลข้อมูลไว้ใช้ในการตักเตือนชนชาวโลก  ขอท่านพัศดีโปรดได้เสนอแนะ เกียวกับรายละเอียดการทำบาปของพวกนักโทษด้วย

พัศดี   :  นี่คือหนาที่ของข้าพเจ้าอยู่แล้ว  ข้าพเจ้าจะปล่อยตัววิญญาณโทษ 2 ตนก่อน สั่งให้มันเล่าเรื่องความชั่วในตอนอยู่ในแดนมนุษย์  ให้ท่านหยางเซิงได้รับทราบไว้ อย่าอิดออดเสียเวลา

หยางเซิง   :  ขอถามท่านบุรุษผู้นี้ ท่านทำอะไรผิดบ้างในขณะมีชีวิตอยู่ ไฉนจึงถูกตัดสินให้มารับโทษยังที่นี้ ?

วิญญาณโทษ   :  พูดไปก็อายคนเปล่า ไม่มีหน้าตาจะพบหาคนอีก ข้าพเจ้าเป็นศิษย์ในสำนักทรงแห่งหนึ่ง ซึ่งตั้งอยู่ที่ภาคใต้ของไต้หวัน เนื่องจากเป็นตัวทรงมานานปี ต่อมาถูกส่งไปรับหน้าที่เป็นรองเจ้าสำนัก ครั้งหนึ่ง ในสำนักนี้ได้รับการลงทรงเพื่อแต่งหนังสือ จะพิมพ์หสังสือธรรมส่งไปที่ต่าง ๆ  ข้าพเจ้าก็ได้ทำงานเต็มพละกำลัง ออกเรี่ยไรตามที่ต่าง ๆ หวังจะพิมพ์ให้มากขึ้นแจกจ่ายผู้คน เนื่องด้วยคำพูดของข้าพเจ้าคมคายมาก ในเวลา 2 เดือนเศษก็เรี่ยไรเงินได้ 3 หมื่นเหรียญเศษ  ขณะนั้น ข้าพเจ้าเป็นหนี้ผู้อื่นอยู่บ้าง เมื่อเจ้าหนี้มาเร่งทวงหนี้ ข้าพเจ้าคิดไม่ตกว่าจะทำประการใดดี เพราะเหตุว่าในตัวมีเงินอยู่ 3 หมื่นกว่าเหรียญ ยักไว้สักส่วนเพื่อใช้หนี้คงจะดีมั้ง ในที่สุดจึงส่งมอบให้เจ้าสำนักไปเพียง 2 หมื่นเหรียญ  คงเหลือไว้หนึ่งหมื่นสองพันสี่ร้อยห้าสิบหกเหรียญ นอกจากชำระหนี้ไปแล้ว ยังมีเหลือเศษอยู่บ้างไว้เป็นค่าใช้จ่ายประจำตัว คิดว่าผู้อื่นไม่มีทางทราบได้ แต่ว่าหลังจากนั้นมา เกิดความละอายแก่ใจต่อองค์ประทับทรง ท่านก็มิได้เขียนถึงเรื่องข้าพเจ้ายักยอกทรัพย์แต่อย่างไร  3 ปีก่อน ข้าพเจ้าตายลงด้วยโรคกระเพาะที่ร้ายแรงมาก ถูกทหารหน้าความม้าคุมตัว  ขณะนั้นเอง องค์ประทับทรงได้เข้ามาตวาดต่อหน้าข้าฯ ว่า "แกเกิดความคิดชั่วเพียงวูบเดียว แต่จนกระทั่งถึงเวลาตายยังไม่สำนักตัว เพราะว่าตอนแกมีชีวิตอยู่นั้นมีมูลเหตุหลายอย่างจึงไม่เปิดเผยต่อหน้าคน พุทธเทพลงประทับทรง ประกาศธรรมก็คือ สั่งสอนให้คนละบาปสร้างบุญ ได้รวมหลักธรรมความจริงแห่งการประพฤติตัวปฏิบัติชอบ อยู่ในนั้นอย่างพรักพร้อมแล้ว" เมื่อแกเรียนรู้คำสอนอันศักดิ์สิทธิ์แต่ไม่ปฏิบัติตาม จึงสมควรแก่โทษแล้ว  และได้มอบให้ยมทูตส่งให้ยมบาล ให้ตัดสินโทษในสถานหนัก เมื่อข้าพเจ้าถึงยมโลก ท่านยมบาลมีความโกรธจัด ได้ถูกคุมไปหอกระจก (กรรม) วิเศษฉายรูปเดิมปรากฏออกมาก่อน โดยฉายเอาเหตุการณ์ที่ข้าพเจ้าไปเรี่ยไรเงินแล้วยักยอก ส่วนหนึ่งที่จะพิมพ์หนังสือธรรมนั้น ฉายปรากฏอกอย่างไม่มีปกปิดผิดเพี้ยนแม้แต่น้อย  ทำให้ข้าพเจ้าใจคอสั่นกลัวไปหมด ต่อมาส่งให้ขุมที่ 4 โหงวกัวอ๊วงตัดสินลงโทษ โดยตัดสินให้ตกเข้า "นรกผึ้งพิษ" 28 ปี  แล้วจึงส่งมอบมาให้ขุมที่ 5  จัดการ  แต่ละวันโดนผึ้งพิษกัดต่อยอยู่ในที่นี้ทั้งปวดทั้งคันไปทั่วร่างกายเหลือที่จะทนทานได้ บวมซ้ำยิ่งนัก ผึ้งพิษพอเห็นข้าพเจ้าก็ไล่ตามไม่ลดละ ห้องขังแคบนิดเดียวไม่มีที่จะหลบหลีก จึงสำนึกรู้ตัวว่าตอนที่ข้าไปเป็นนักทรงอยู่ในแดนมนุษย์เป็นศิษย์เฉพาะของท่านแป๊ะกง ไม่ปฏิบัติตามคำสอนอันศักดิ์สิทธิ์ แม้ว่าทำความชั่วไปเพียงครั้งเดียว ก็ไม่มีทางที่จะกอบกู้ช่วยเหลือได้ จึงหวังนักทรงในสำนักทั่วพิภพระมัดระวังคำพูดทั้งการปฏิบัติ แม้จะผิดเพียงนิดเดียว แต่ไม่สามารถจะปิดตาสวรรค์ได้ ขณะนี้ ข้าพจ้าจะสำนึกได้ก็สายเสียแล้วเป็นการเนรคุณต่อคำสั่งสอนของแป๊ะกง พวกนักธรรมด้วยกันเป็นอย่างยิ่ง อัปยศอดสูนัก

พัศดี   :  แกเข้าอยู่ในสำนักศักดิ์สิทธิ์ ไม่รับธรรมที่ศักดิ์สิทธิ์ ทรยศต่อครูบาอาจารย์และหลอกลวงชาวบ้าน ส่วนหนึ่งที่เนรคุณต่ออาจารย์  ส่วนที่สองทรยศต่อผู้ที่สละเงินเพื่อพิมพ์หนังสือธรรม  แต่ว่าผู้ที่ตั้งใจทำทานจริงแล้ว ไม่หวั่นพระปลอม  ผู้ที่ให้ทานไปแล้วก็ได้เกิดมีใจกุศลอย่างสมบูรณ์ บุญกุศลนั้นจะไม่สูยมลาย ผู้ที่ละโมบโกงเงินไป ก็เกิดใจอุบาทว์ขึ้น มีโทษหนักติดตัวอยู่ บรรดามนุษย์ที่สละตน เข้าอยู่ในสำนักศักดิ์สิทธิ์แล้ว เรื่องเงินทองแม้แต่สตางค์แดงเดียวก็ต้องเคลียร์ให้เรียบร้อย มิเช่นนั้นแล้วจะทำให้สำนักศักดิ์สิทธิ์แปดเปื้อนมีราคี และเสื่อมวินัย อันใสสะอาด นรกจะลงโทษหนักขึ้น  ชาวโลกสมควรที่ระมัดระวังให้ดี 
หัวข้อ: เที่ยวเมืองนรก ครั้งที่ 27 ตอน ท่องแดนผึ้งพิษนรกน้อย
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 21/08/2012, 07:37
                                 เที่ยวเมืองนรก

               ครั้งที่ 2ึ7  วันที่  23  เมษายน  พ.ศ. 2520

                     ตอน  ท่องแดนผึ้งพิษนรกน้อย

        ท่านอรหันต์จี้กงเสด็จปรากฏกาย ตรัสเป็นกลอนมีความว่า  :

           อุทิศตน        พึ่งพระพุทธ        ด้วยใจจริง
โยนมีดทิ้ง                เลิกฆ่าสัตว์        ผียำเกรง
ศีลวิสุทธิ์                  ยึดให้มั่น          ไม่คลางแคลง
พิมานแมน                แดนสวรรค์        ทางสะดวก

อรหันต์จี้กง   :  แกะดำในสำนักอันศักดิ์สิทธิ์
เรื่องเงินทองไม่สะอาดเสื่อมเสียต่อวินัยที่ผ่องแผ้ว โทษนั้นควรตายเป็นหมื่นหน กฏในยมโลกถือเป็นโทษที่ให้อภัยไม่ได้่เลย ขอฝากไปยังชาวโลกรับรู้ไว้ด้วย ผู้บำเพ็ญธรรมนั้นต้องถือเคร่งในวินัยและกฏข้อบังคับ เพื่อที่ไม่ต้องตกนรกรับการทรมาน แล้วต้องตกไปใน 4 ทางเกิดของสัตว์เพื่อเวียนว่ายตายเกิดอีก  จะรู้สึกสำนึกก็สายไปเสียแล้ว  เพราะเหตุว่าเวลาสำหรับวันนี้หมดลงแล้ว วันอื่นจะมาเยี่ยมคำนับอีกครั้ง เจ้าหยางเซิงเตรียมตัวกลับสำนัก ขอบคุณที่ท่านพัศดีให้คำแนะนำมาก

หยางเซิง   :  ขอบคุณท่านพัศดีและนายทหารที่ให้ความสะดวกเราได้เข้าไปเยี่ยมชมในคุก เนื่องจากเวลาดึกมากแล้ว ขอลาก่อนละ

พัศดี   :  นายทหารทั้งหลายได้ตั้งแถวนมัสการส่ง เชิญทั้งสองมาเที่ยวใหม่นะครับ

หยางเซิง   :  กระผมขึ้นนั่งบนดอกบัวแล้ว เชิญท่านอาจารย์กลับสำนักเถิด...

อรหันต์จี้กง   :  สำนักเซี้ยเฮี้ยงตึ้ง ถึงแล้ว  หยางเซิงลงจากดอกบัว วิญญาณกลับเข้าสู่ร่างดังเดิม 
หัวข้อ: เที่ยวเมืองนรก ครั้งที่ 28 ตอน ท่องแดนผึ้งพิษนรกน้อย ครั้งที่ 2
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 21/08/2012, 10:23
                             เที่ยวเมืองนรก

               ครั้งที่ 2ึ8  วันที่  26  พฤษภาคม  พ.ศ. 2520

                     ตอน  ท่องแดนผึ้งพิษนรกน้อย ครั้งที่ 2

        ท่านอรหันต์จี้กงเสด็จปรากฏกาย ตรัสเป็นกลอนมีความว่า  :

              อาจารย์เทพ        ทรงโปรดเรา        พระคุณนำ
คุณธรรมล้ำ                       เอื้ออาทร            มิรู้วาย
ในโลกนี้                          นักธรรมชั่ว           มีมากมาย
บำเพ็ญกาย                     ลวงสังคม             ต้องรับกรรม

อรหันต์จี้กง   :   พระพุทธ  เทวดา  เทพศักดิ์สิทธิ์เสด็จสู่โลกมนุษย์เพื่อโปรดเวไนยสัตว์
  กอบกู้ช่วยมวลมนุษย์ รับสอนศิษย์ประสาทวิชาให้ อบรมสั่งสอนบำเพ็ญธรรม คอยแต่จะสอนให้ชาวโลกกลับคืนสู่ความดั้งเดิมต้นกำเนิด เพื่อบำเพ็ญบรรลุสำเร็จธรรมที่แท้จริง พระคุณสวรรค์ท่านและคุณธรรมของครูบาอาจารย์นั้น หนักหนาใหญ่ยิ่งจนหาที่เปรียบมิได้ ที่เรียกว่า "เป็นครูเพียงวันเดียว ต้องนับถือเป็นบิดาไปตลอดกาล" ตามหลักธรมแล้วต้องปฏิบัติตามคำสั่งสอนของครูอาจารย์  เอาแบบอย่างความประพฤติจากท่าน หากแต่ว่ามีพวกศิษย์อุบาทว์ แหกธรรมทำลายศีลอาศัยชื่อจากเทพเจ้ารวบทรัพย์ลวงผู้หญิง  ไม่บำเพ็ญเป็นเทพยดา แต่บำเพ็ญเป็นผู้หลอกลวงในคราบของเทพเจ้า ไม่ไปสวรรค์ กลับมาโดนคดีในโรงศาล โทษฐานบาปกรรมนั้นไม่เบาเลย ผู็ที่เข้าไปเป็นศิษย์แห่งสำนักสิ่งศักดิ์สิทธิ์แล้ว แต่ละเมิดกฏเกณฑ์แห่งความศักดิ์สิทธิ์  ยมกฏนั้นลงโทษหนักมาก มวลชนไม่ว่าจะสละตัวเข้าไปบำเพ็ญธรรมอยู่ในศาสนาใดก็ตาม ควรที่จะปฏิบัติตามธรรมวินัย มารยาทอันศักดิ์สิทธิ์นั้น ๆ เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงโทษที่ไม่สามารถให้อภัยได้ เจ้าหยางเซิงเตรียมท่องนรกสำหรับวันนี้ รีบขึ้นบนดอกบัวเร็ว

หยางเซิง   :  กระผมนั่งเรียบร้อยแล้ว มิทราบว่าจะมุ่งสู่แห่งใดในวันนี้?

อรหันต์จี้กง   :  ไป  "นรกผึ้งพิษ" นั้นอีก ไปดูพวกแหกธรรมเสียศีลจะลงเอยกันอย่างไร ปิดตาทั้งสองข้าง เราจะเริ่มเดินทางแล้ว...ถึงแล้วละ รีบลงจากดอกบัวเร็ว

พัศดี   :  ขอต้อนรับท่านอาจารย์กับท่านหยางเซิง มาเยือนคุกนี้เป็นคำรบที่สอง

อรหันต์จี้กง   :  เพราะเหตุนี้ขณะนี้ในโลกมนุษย์ มีคนไม่น้อยอาศัยชื่อแห่งเทพเจ้ารวบรวมทรัพย์ ล่อลวงหญิงอย่างอุกอาจกว้างขวาง ทำให้สะกสะท้านต่อศักดิ์ศรีอันศักดิ์สิธิ์ของวินัยแห่งศาสนา อันถ่องแท้ชอบธรรมเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้น จึงกลับมาเสาะหาข้อมูลเตือนใจชาวโลกอีกครั้งหนึ่ง

พัศดี   :  ขอรับ พระคุณท่าน ท่านทั้งสองโปรดตามข้าพเจ้าเข้าไปข้างใน ข้าพเจ้าจะปล่อยวิญญาณโทษ 2 - 3  ตน ให้มันเล่าเรื่องความทำชั่วของตนเองต่อท่านหยางเซิง

หยางเซิง   :  ขอบคุณท่านพัศดีมาก ผึ้งพิษเหล่านี้บินว่อนทั่วไปหมด พอเห็นวิญญาณโทษก็ต่อยเอาต่อยเอา จนบวมซ้ำไปตาม ๆ กัน จนหัวหมุนตาลาย

พัศดี   :  ไม่เพียงเท่านี้ซิครับ ยังปวดแสบปวดร้อนเป็นไข้ด้วย เพราะว่าผึ้งพิษนี้มีพิษรุนแรงยิ่ง ข้าพเจ้าจะเอานักโทษ 2 - 3 ตน ออกมาเล่าเหตุการณ์ที่ตนเคยทำผิด ให้นายทหารรีบคุมตัววิญญาณโทษออกมาเร็ว

นายทหาร   :  ขอรับคำบัญชา... ได้เอาตัววิญญาณโทษ 3 ตนออกมาแล้ว

พัศดี   :  วิญญาณโทษฟังคำสั่งให้ดี พระคุณท่านนี้คือ อรหันต์จี้กง  อีกท่านหนึงคือหยางเซิง แห่งสำนักเซี้ยเฮี้ยงตึ้งเมืองไถ่ตง สองศิษย์อาจารย์รับโองการแต่งหนังสือ "เที่ยวเมืองนรก" ให้ทุกคนสารภาพความผิดที่ตนทำไว้ในแดนมนุษย์ เพื่อเป็นการเตือนใจชาวโลก

หยางเซิง   :  ขอถามบุรุษผู้นี้ ท่านมารับโทษยังที่นี้ด้วยเหตุใด?                       
หัวข้อ: เที่ยวเมืองนรก ครั้งที่ 28 ตอน ท่องแดนผึ้งพิษนรกน้อย ครั้งที่ 2
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 21/08/2012, 11:15
                            เที่ยวเมืองนรก

               ครั้งที่ 2ึ8  วันที่  26  พฤษภาคม  พ.ศ. 2520

                     ตอน  ท่องแดนผึ้งพิษนรกน้อย ครั้งที่ 2

        ท่านอรหันต์จี้กงเสด็จปรากฏกาย ตรัสเป็นกลอนมีความว่า  :

              อาจารย์เทพ        ทรงโปรดเรา        พระคุณนำ
คุณธรรมล้ำ                       เอื้ออาทร            มิรู้วาย
ในโลกนี้                          นักธรรมชั่ว           มีมากมาย
บำเพ็ญกาย                     ลวงสังคม             ต้องรับกรรม 

วิญญาณโทษ   :  ผมไม่ควรเลย
เป็นความจริง ขณะที่ผมอยู่ในแดนมนุษย์ มีตำแหน่งเป็นผู้ใหญ่บ้านอยู่ในตำบลหนึ่ง เนื่องจากในหมู่บ้านจะสร้างศาลเจ้า ผมจึงออกทำการเรี่ยไรเงินแทนชาวบ้าน แต่ไม่เคลียร์เงินทองให้เรียบร้อย โดยเอาเงินที่เรี่ยไรมา อมไว้ส่วนหนึ่งเข้ากระเป๋าตัวเอง เมื่อตายแล้วจึงรู็ว่าการอมเงินของเทพเจ้านั้นมีบาปหนักหนา ดังนั้นจึงถูกตัดสินให้มารับโทษในคุกนี้ ผึ้งพิษต่อยคนเจ็บปวดมากโดยไม่มีการปราณี ทั้งปวดทั้งคัน ยากที่จะทนทานได้ ท่านก็เห็นตามตัวผมแดงซ้ำไปหมด เงินทองเทพเจ้าแม้สตางค์แดงเดียวก็อมไม่ได้ การที่ผึ้งพิษต่อยนั้นเป็นการสนองตอบของผม ผมผิดครั้งเดียวในชีวิตเท่านั้น นอกจากนี้ไม่ได้ทำอะไรผิดเลย

พัศดี   :  แกเป็นผู้ใหญ่บ้าน ต้องบริการผู้เป็นลูกบ้านของแก ทำความดีให้แก่บ้านเกิดเมืองนอน  หมู่บ้านจะสร้างศาลเจ้า เพื่อเป็นการระลึกถึงสิ่งศีักดิ์สิทธิ์ปางก่อนและให้ความเคารพเลื่อมใส แต่แกกลับฉวยโอกาสรวบทรัพย์ โทษนั้นอภัยให้ไม่ได้  ตนที่ 2 รีบสารภาพผิดระหว่างมีชีวิตอยู่โดยเร็ว

หยางเซิง   :  ขอถามอาจารย์รูปนี้ ท่านออกบวช แล้วไฉนท่านไม่ไปทางทิศตะวันตกแดนผุดผ่อง แต่กลับมาอยู่นรกด้วยเล่า?.

วิญญาณโทษ   :  นโมพุทโธ !  ประทานอภัย ๆ ! ฉันเมื่อตอนอายุได้ 15 ปี ออกบวชเป็นชีเป็นศิษย์ของพระพุทธเจ้าท่าน ศึกษาบำเพ็ญในธรรมใจคิดว่าจะบำเพ็ญธรรมจนสำเร็จขั้นอรหันต์ แต่จิตใจตนไม่มั่นคงถาวรพอ เงินทองที่ประดาญา๖ิโยมถวายแด่วัดนั้น ฉันก็แอบยักยอกไว้ใช้เองบ้าง  เก็บสะสมไว้บ้าง มิได้มอบเงินทั้งหมดนั้นไปใช้จ่ายในการบูรณะปฏิสังขรณ์วัด  หรือซื้อของที่ทางวัดจำเป็นต้องใช้หากมีญาตฺโยมให้ช่วยสวดสะเดาะเคราะห์ก็ทำไปอย่างลวก ๆ ขอไปที หากมีคนมานิมนต์ไปสวดศพ ก็จะทำแบบซื้อขายตีราคาเป็นเงินเป็นทองจะสวดกี่กัณฑ์ ก็แล้วแต่เงินมากเงินน้อยที่เรียกว่า "เงินมากของก็มาก เงินน้อยขอก็ได้"  หมายความว่าสวดตามราคาที่ตกลงกันไว้ หากมีญาติโยมที่ค่อนข้างยากจนมานิมนต์ ก็จะแสดงออกว่าไม่ค่อยพอใจด้วย หรืออ้างโน่นอ้างนี่ไม่คิดจะไป ถ้าเผื่อเจอผู้ดีคนรวยก็จะทำสุดความสามารถจัดการให้อย่างมโหฬารเพื่อเอาใจเจ้าภาพ  เพราะเหตุว่าตอนมีชีวิตอยู่มักมากในทรัพย์ เมื่อตายลงแล้วพระพุทธท่าจึงไม่ต้อนรับ ยังโดนดันลง "นรกผึ้งน้อย" มารับโทษ  เจ็บปวด  ทุกข์เข็ญอย่างสาหัสสากรรจ์

พัศดี   :  เธอเป็นพระเป็นชี สละตนออกบวช ควรมีพื้นฐานที่สะอาดหมดจด (คือตัดกิเลสออก) ฝึกฝนอบรมบ่มนิสัย  แต่สลัดกิเลสออกไม่ได้  นิยมชมชอบเรื่องสุขกายสบายใจ  เห็นเงินเป็นพระเจ้า  ขัดต่อหลักธรรมพระพุทธท่าน จึงตัดสินให้เธอมารับโทษยังที่นี่

อรหันต์จี้กง   :  เมื่อบวชเป็นพระเป็นชี ก็ต้องเปลี่ยนชื่อเปลี่ยนสกุลเดิมมาเป็นชื่อทางพระ แต่ละรูปจึงมีชื่อว่า  พระ  ศักดิ์ศรีนั้นหาที่เสมอเหมือนมิได้เลย ก็คือเท่ากับพระพุทธนั่นแหละ แต่ทนต่อกิเลสสิ่งยั่วยวนไม่ได้  ไม่ใช่ความเมตตาปราณีช่วยกอบกู้มวลชน ใจคออันสามานย์ธรรมดานี้ ยากที่จะเสมอเหมือนจิตของท่านพระโพธิสัตว์ได้ ทำใจให้ถึง 3 กำหนดได้ 4  จึงสามารถเข้าเฝ้าพระพุทธ พิษ 3   ธาตุไม่ละทิ้ง ก็ต้องไป 6 ช่องทาง เพื่อเวียนว่ายตายเกิดดังเดิม ขอมวชมลในทั่วพื้นพิภพไม่ว่าจะบำเพ็ญในทางเต๋า  ทางพุทธ  หากว่าไม่ตัดกิเลสทิ้งเสีย  ก็ยากที่จะขึ้นสู่สวรรค์  วันนี้เวลาหมดลงแล้ววันอื่นค่อยมาเยี่ยมชมใหม่ เจ้าหยางเซิงเตรียมตัวกลับสำนัก

หยางเซิง   :  ขอบคุณมากที่ท่านพัศดีและนายทหารในการรับรองที่อบอุ่นมาก เราจะกลับสำนักกันแล้ว ขอลาท่านก่อนละ

พัศดี   :  สิ่งใดที่ขาดตกบกพร่อง ขอท่านทั้งสองโปรดให้อภัยด้วย หวังว่าท่านจะมาให้การสั่งสอนอีกครั้ง

อรหันต์จี้กง   :  รีบขึ้นดอกบัวเร็ว

หยางเซิง   :  กระผมนั่งลงเรียบร้อยแล้ว เชิญท่านอาจารย์เดินทางกลับเถิด...

อรหันต์จี้กง   :  ถึงสำนักเซี้ยเฮี้ยงตึ้งแล้ว  หยางเซิงลงจากดอกบัว วิญญาณกลับเข้าร่างดังเดิม   
หัวข้อ: เที่ยวเมืองนรก ครั้งที่ 29 ตอน ท่องแดนผึ้งพิษนรกน้อย ครั้งที่ 3
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 22/08/2012, 09:26
                            เที่ยวเมืองนรก

               ครั้งที่ 2ึ9  วันที่  20  พฤษภาคม  พ.ศ. 2520

                     ตอน  ท่องแดนผึ้งพิษนรกน้อย ครั้งที่ 3

        ท่านอรหันต์จี้กงเสด็จปรากฏกาย ตรัสเป็นกลอนมีความว่า  :

             เทพลงทรง        ช่วยชาวโลก        เมตตาจิต
ฝึกฝนฤทธิ์                     แลธรรมะ             อยู่เนืองนิตย์
แนะคนหลง                    ด้วยวาจา            อันศักดิ์สิทธิ์
พ้นวิกฤต                       ขจัดเคราะห์         แก่มวลชน

อรหันต์จี้กง   :  เทพเทวะ
ท่านลงประทับทรงเพื่อกอบกู้ช่วยเหลือชาวโลกตั้งใจใช้เมตตาจิต  ความปราณี  ปลดความทุกข์ยากของมวลชน  แต่ถูกพวกนักบวชปลอม  เทพปลอม  ฉกฉวยพาไปในทางผิด เพื่อหาผลประโยชน์โดยทรัพย์ สมควรลงโทษเพิ่มขึ้นอีกขั้นหนึ่ง พวกหมอดูยกตัวเองว่า "ปากเหล็ก" แต่มีบางคนกัดคนโดยไม่ให้เห็นเลือด โหดร้ายเท่ากับเสือสิงห์ พวกศิษย์ทรยศต่อท่าน "กุ้ยก๊กเซียนซือ" ศาสดาจารย์แห่งต้นตำหรับหมอดู ทำให้เสื่อมเสียไปถึงท่านนั้น เมื่อตายลงแล้วโดนยมบาลทำโทษอย่างหนัก หลังจากนั้นให้หมุนไปเกิดเป็นพวกนก กา ใน "หุบเขาผีเปลี่ยน" อาศัยปากเหล็กนั้น ๆ ร้องเสียงเจี้ยว ๆ อันไพเราะเท่านั้นเอง วันนี้ได้เวลาท่องนรกแล้ว เจ้าหยางเซิงเตรียมตัวขึ้นบนดอกบัวเร็ว 

หยางเซิง   :  ขอรับคำบัญชา อากาศร้อนมากมิทราบว่าหนทางแห่งนรกจะเย็นสบายกว่านี้บ้างไหม?.

อรหันต์จี้กง   :  บรรยากาศในนรกหนาวเหน็บ จะทำให้เจ้าขนลุก รีบขึ้นบนดอกบัวเร็ว อย่าเสียเวลาอีกเลย

หยางเซิง   :  ขอรับกระผม นั่งเรียบร้อยแล้ว เชิญท่านอาจารย์เริ่มได้ ...

อรหันต์จี้กง   :  ถึงแล้ว รีบลงเสีย

พัศดี   :  ขอต้อนรับท่านทั้งสอง ที่มาเยี่ยมคุกนี้อีกครั้งหนึ่ง

หยางเซิง   :  วันนี้มาเยี่ยม "นรกผึ้งน้อย" อีกครั้งท่านพัศดีและนายทหารได้ออกมาต้อนรับเราแล้ว

อรหันต์จี้กง   : ในโลกมนุษย์มีพวกทรชนอาศัยชื่อของเทพเจ้า แต่ทำสิ่งที่เสื่อมเสียคุณธรรมชื่อเสียงของท่าน ดังนั้น จึงทำให้เราต้องเวียนมาถึง 3 ครั้ง ยังที่ "นรกผึ้งพิษ" เพื่อรวบรวมข้อมูลประกาศเปิดเผยสิ่งที่ได้รู้ได้เห็นในแดนนรก เพื่อปลอบเตือนกอบกู้ชาวโลก

พัศดี   :  ท่านทั้งสอง เชิญตามข้าพเจ้าเข้าไปข้างใน พักผ่อนดื่มน้ำชากันเถิด

หยางเซิง   :  วันนี้ได้เสียเวลาไปบ้างแล้ว กระผมว่าไม่ต้องก็ได้นะครับ

พัศดี   :  ถ้างั้น เชิญท่านอาจารย์ และท่านหยางเซิงเข้าไปในคุกกันเถิด

หยางเซิง   :  ผึ้งพิษอยู่เต็มห้อง เอาตัวคนเป็นรัง ล้วนบินไปปตอมอยู่บนร่างของวิญญาณโทษนั้น มิได้ทำการผลิตน้ำผึ้งนะ แต่ทำการพ่นยิงน้ำพิษ

อรหันต์จี้กง   :  อยู่ในแดนมนุษย์กินของหวานมามากแล้ว มาอยู่ที่นี่ให้มันลิ้มรสขมเสียบ้าง

หยางเซิง   :  วิญญาณโทษร้องลั่น ด้วยความเจ็บปวดแตกตื่น วิ่งพล่านแต่ไม่มีทางออก

อรหันต์จี้กง   :  นี่แหละคือ "สวรรค์" มีทางมันไม่ไป นรกไม่มีประตู ดันจะเข้า "เป็นอย่างนี้ละ
หัวข้อ: เที่ยวเมืองนรก ครั้งที่ 29 ตอน ท่องแดนผึ้งพิษนรกน้อย ครั้งที่ 3
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 22/08/2012, 11:39
                             เที่ยวเมืองนรก

               ครั้งที่ 2ึ9  วันที่  20  พฤษภาคม  พ.ศ. 2520

                     ตอน  ท่องแดนผึ้งพิษนรกน้อย ครั้งที่ 3

        ท่านอรหันต์จี้กงเสด็จปรากฏกาย ตรัสเป็นกลอนมีความว่า  :

             เทพลงทรง        ช่วยชาวโลก        เมตตาจิต
ฝึกฝนฤทธิ์                     แลธรรมะ             อยู่เนืองนิตย์
แนะคนหลง                    ด้วยวาจา            อันศักดิ์สิทธิ์
พ้นวิกฤต                       ขจัดเคราะห์         แก่มวลชน 

พัศดี   : 
ขณะนี้โลกมนุษย์มีผู้จัดการโรงเจ้าโรงธรรมหลายคนอาศัยชื่อเสียงสิ่งศักดิ์สิทธิ์หลอกล่อทรัพย์สินและผู้หญิง  ทางสังคมก็ติเตียนกล่าวโทษอยู่เนืองนิตย์ ทำให้กระทบต่อเกียรติศักดิ์อันผุดผ่องของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ "นรกผึ้งน้อย" มีวิญญาณโทษเพิ่มขึ้นเสมอ ๆ ทำให้เสทือนในอารมณ์ข้าพเจ้าเป็นอย่างยิ่ง ข้าพเจ้าจะให้วิญญาณโทษ 2 - 3 ตนที่มีสัญญลักษณ์ซึ่งจะเป็นตัวแทนได้มาเล่าความชั่ว ทำลายศีลที่ตนก่อไว้ในโลกมนุษย์ เพื่อลงพิมพ์ใน "เที่ยวเมืองนรก"

หยางเซิง   :  รบกวนท่านพัศดี ที่ให้ความช่วยเหลือที่จะทำให้เราศิษย์อาจารย์สามารถบรรลุถึงหน้าที่อันศักดิ์สิทธิ์นี้ รู้สึกขอบคุณเป็นที่ยิ่ง

พัศดี   :  นี่เป็นสิ่งที่ควรกระทำอยู่แล้ว อย่าได้เกรงใจเลย ได้ให้นายทหารคุมตัววิญญาณโทษ 3 ตนออกมาแล้วฟังคำสั่ง ท่านผู้นี้คือหยางเซิงแห่งสำนักเซี้ยเฮี้ยงตึ้ง เมืองไถ่ตงในแดนมนุษย์ โดยมีท่านอรหันต์จี้กงพาเข้ามายังยมโลก สืบเสาะและสำรวจความลับในแดนนรก เพื่อแต่งหนังสือเตือนชาวโลก ให้รีบเล่าสารภาพตอนอยู่เมืองมนุษย์ ได้ทำชั่วอย่างไรบ้างอย่างหมดเปลือก

วิญญาณโทษ   :  ผมเป็นเด็กทรง ของจอมพลหอกลาง สำนักหนึ่งในเมืองไถ่ตง ตอนมีชีวิตอยู่เริ่มแรกเทพเจ้ามาอาศัยตัวผมลงประทับทรงช่วยชาวโลก  ก็ได้ช่วยกอบกู้ผู้คนนับจำนวนไม่น้อยจริง ผู้ป่วยที่นายแพทย์ไม่สามารถรักษาให้หาย มีหลายรายล้วนได้รับการรักษาจากเดชเทพเจ้าแห่งจอมพลหอกลางนี้ ต่อมา ผมเห็นว่ามีคนศรัทธามากยิ่งขึ้น บางครั้งท่านจอมพลหอกลางไม่อยู่ ผมก็จะเกล้งทำกระโดดโลดเต้นว่าเจ้าลงประทับทรงแล้ว ให้โทษแก่ร่างกายที่เจ็บไข้ของผู้มาเฝ้าทรง และก็อาศัยโอกาสนี้บอกกับผู้มาเฝ้าทรงว่า มีฆาตเคราะห์หรือมีภูตผีปีศาจสิงสู่ตัวก็บ่อยครั้ง ต้องทำการสะเดาะถึงจะแก้ไข แต่ผู้ที่สะเดาะเคราะห์ต้องเผากระดาษทองเป็นจำนวนมาก รีดเอาเงินทีละพัน  สองพัน  สามพัน  ต่าง ๆ นานา  ทั้งนี้ล้วนมิใช่ความประสงค์ของเทพเจ้า ในชีวิตหาเงินทองได้มิใช่น้อย ยังซื้อตึกสูงหลายชั้น ได้เสพสุขชนิดชั้นยอด เมื่อตายแล้วถูกยมทูตคุมตัวไปยังขุมที่ 4  ท่านยมบาลโกรธมาก ดุว่าตัวแกเป็นเด็กนักทรง แห่งจอมพลหอกลาง ตามหลักแล้วต้องรอจนกว่าธาตุทุกส่วนสมบูรณ์เรียบร้อยแล้วจึงจะทำการกอบกู้ผู้คนได้ แต่แกบังอาจเอาชื่อเจ้าไปหลอกลวงโกยทรัพย์ ความดีที่ช่วยกอบกู้ผู้คนหักล้างกับความชั่วที่โกยทรัพย์ไปแล้ว ความชั่วมากกว่าความดี จึงตัดสินให้ตกเข้า"นรกผึ้งพิษนรกน้อย" ไปรับโทษลงทัณฑ์ทุก ๆ วัน โดนผึ้งพิษกัดต่อย จนปวดแสบเหลือจะทนทานได้ ตอนมีชีวิตอยู่แม้เอามีดดาบมาแทงฟันตามตัว ยังไม่รู้สึกเจ็บปวดเลย แต่บัดนี้โดนผึ้งตัวเดียวปล่อยเหล็กไนเข้าทีเดียว จะเจ็บปวดถึงขั้วหัวใจ สำนึกตัวได้ก็สายเสียแล้ว ขอฝากคำไปยังเด็กนักทรงในแดนมนุษย์ด้วย ต้องตั้งอยู่ในจิตที่ช่วยกอบกู้ผู้คนอันดั้งเดิมนั้นไว้ อย่าไปเปลี่ยนใจกลางทาง เข้ากับเจ้าเพื่องานการ อย่าอาศัยเจ้ามาหลอกคน จึงจะไม่ต้องเดินตามรอยของผมอย่างนี้

อรหันต์จี้กง   :   
เทพเจ้าลงประทับทรงเพื่อช่วยมวลชนเป็นปฏิบัติสืบต่อกันมาของศาสนาเดิม ทำขึ้นเพื่อช่วยเหลือบรรดาคนป่วยที่นายแพทย์ไม่สามารถให้การรักษาได้ ช่วยรักษาในทางไสยศาสตร์ ซึ่งเป็นคุณธรรมที่เมตตาชีวิตมนุษย์ของฟ้าสวรรค์ท่าน  ต่อมามนุษย์ได้ถือเอาเป็นเครื่องมือกอบโกยรวบทรัพย์ขัดกับความมุ่งหมายแห่งการช่วยชีวิตของสวรรค์ท่านเป็นอย่างยิ่ง นับได้ว่าผู้ทรงเป็นเหตุในการทำบาป การรับประทับทรงเพื่อช่วยกอบกู้ชาวโลก หากจะทำเพื่อยังชีพ ก็แล้วแต่ผู้เฝ้าทรงจะบริจาค ก็ยังไม่ผิดอะไรนักหนา  ถ้าอาศัยสิ่งนี้ทำการรับทรัพย์แบบซื้อขาย "รักษาโดยเทพเจ้า" ก็จะกลายเป็น "อาศัยเทพเจ้าหากิน" กฏหมายของบ้านเมืองอนุญาตให้ ยมกฏแห่งนรกก็ไม่ให้อภัย

พัศดี   :  สั่งให้วิญญาณโทษตนที่ 2 เล่าเรื่องความชั่วที่ตนทำไว้ในแดนมนุษย์ ให้ท่านหยางเซิงฟัง 
หัวข้อ: เที่ยวเมืองนรก ครั้งที่ 29 ตอน ท่องแดนผึ้งพิษนรกน้อย ครั้งที่ 3
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 22/08/2012, 12:07
                             เที่ยวเมืองนรก

               ครั้งที่ 2ึ9  วันที่  20  พฤษภาคม  พ.ศ. 2520

                     ตอน  ท่องแดนผึ้งพิษนรกน้อย ครั้งที่ 3

        ท่านอรหันต์จี้กงเสด็จปรากฏกาย ตรัสเป็นกลอนมีความว่า  :

             เทพลงทรง        ช่วยชาวโลก        เมตตาจิต
ฝึกฝนฤทธิ์                     แลธรรมะ             อยู่เนืองนิตย์
แนะคนหลง                    ด้วยวาจา            อันศักดิ์สิทธิ์
พ้นวิกฤต                       ขจัดเคราะห์         แก่มวลชน 

วิญญาณโทษ   : 
ตอนอยู่ในโลกมนุษย์ ผมเป็นหมอดูคนหนึ่ง ศึกษาทางโหราศาสตร์ หากินไปทั่ว มักจะตั้งโต๊ะดูหมอตามตลาดโต้รุ่ง ช่วยแก้ปัญหาช่วยเหลือผู้คน มีอยู่ครั้งหนึ่ง ในขณะที่การค้าซบเซา ก็มีเจ้าหนุ่มผู้หนึ่งมาขอให้ตรวจโชคชะตาราศี ผมสังเกตดูเห็นการแต่งกายเป็ฯคนต่างถิ่น  จึงรัวลิ้นอันติดสปริงนั้นบอกเขาว่า อนาคตอันใกล้นี้ชะตาจะถึงฆาต ต้องทำการสะเดาะเคราะห์  มิเช่นนั้หนทางข้างหน้าจะมืดมน ผมก็เรียนจบทางเวทย์มนต์ของขลังจะย้ายดวงย้ายดาวได้  เจ้าหนุ่มนั้นเชือว่าเป็นความจริง ก็เลยตกหลุมพลางของผม หลังทำสะเดาะเคราะห์แล้ว ผมเรียกเอาเงิน 1,500 เหรียญเป็นค่าบริการ  ต่อจากนั้นจึงใช้ลูกไม้หลอกลวงทรัพย์ เมื่อตายลงแล้วยมบาลตวาดดุด่าผมว่า เรียนจบตำราหมอดู ขาดศีลธรรม หลอกลวงเงินทองผู้อื่น ตัดสินผมเข้าคุก "นรกผึ้งพิษ"  12 ปี ขณะนี้รับโทษมาแล้วเพียง 3 ปีเศษ วันข้างหน้าความทุกข์ยังมีอีกมาก ผึ้งพิษไม่ประทานน้ำหวานให้ ล้วนฉีดให้แต่เข็มพิษ  ทั่วกายบวมซ้ำ และคันเหลือกำลัง จึงสำนึกได้ว่าเมื่อก่อนนั้นเราไม่ควรทำเลย

อรหันต์จี้กง   :  ตอนมีชีวิตอยู่ คำพูดคำจา หวานดังน้ำผึ้ง พูดอย่างน้ำไหลไฟดับ คุยว่ามีฤทธิ์เดชสารพัด ที่แท้เหมือนกับผึ้งพิษตัวหนึ่ง ให้โทษเขามาก ช่วยคนได้น้อยจึงต้องรับการตอบสนองดังทุกวันนี้แหละ  ขอเตือนหมอดูในโลกมนุษย์ จงฝึกอบรมธรรม บำเพ็ญตนใช้หลักความจริง ช่วยกอบกู้ผู้คน ช่วยแก้ไขปัญหาสับสนยุ่งยากแก่ผู้อื่น ก็จะสร้างบุญสร้างกุศลอันใหญ่หลวง การตรวจดวงตรวจดาวอันชุ่ย ๆ ส่งเดช เป็นการตรวจเฉพาะเงินในกระเป๋าของผู้อื่นก็จะไม่สมชื่อว่าหมอดู นรกจะมีส่วนกำนัลให้ วันนี้เวลาดึกมากแล้ว เราเตรียมกลับสำนักเถอะ

หยางเซิง   :  ขอถามท่านพัศดีว่า ผู้อาศัยเจ้าหากินพวกนั้น เมื่อตายลงแล้วมารับโทษที่คุกนี้ทั้งหมดหรือไฉน?.

พัศดี   :  มันก็ไม่แน่หรอก  บ้างก็ลวงหญิงโดยเฉพาะ หรือมีพฤติการณ์พิเศษกว่านี้ก็ขังไว้ที่อื่น ที่ขังอยู่ในคุกนี้เพียงแต่บางส่วนเท่านั้นเอง

หยางเซิง   :  เนื่องจากเวลาหมดแล้ว ขอบคุณท่านพัศดีและนายทหารที่ให้การแนะนำ เราศิษย์อาจารย์ขอลาก่อนละ

พัศดี   :  ให้นายทหารตั้งแถวนมัสการส่งท่านอาจารย์ 

อรหันต์จี้กง   :  ขอบคุณท่านพัศดีมาก เราขอลาแล้ว เจ้าหยางเซิงเตรียมออกจากคุก รีบขึ้นบนดอกบัว

หยางเซิง   :  กระผมนั่งเรียบร้อยแล้ว เชิญอาจารย์ท่านกลับได้...

อรหันต์จี้กง   :  ถึงสำนักเซี้ยเฮี้ยงตึ้งแล้ว หยางเซิงลงจากดอกบัว วิญญาณกลับเข้าสู่ร่างดังเดิม
หัวข้อ: เที่ยวเมืองนรก ครั้งที่ 30 ขุมที่ 5 ตอน ท่องหอส่องบ้านเดิมพบยมบาลเซียมล้ออ๊วง
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 30/08/2012, 14:47
                             เที่ยวเมืองนรก

               ครั้งที่ 30  วันที่  30  พฤษภาคม  พ.ศ. 2520

                              ขุมที่  5 

              ตอน  ท่องหอส่องบ้านเดิมพบยมบาลเซียมล้ออ๊วง

          เทพเจ้าหยางเจี๋ยนเสด็จลง ตรัสเป็นกลอนมีความว่า  :
               
             หาความลับ          ในนรก          ถึงขุมห้า   
ย่อมเป็นข้า                       แต่งหนังสือ    ช่วยคนรั้น
ชูกิ่งท้อ                           เหล่าภูตผี      สยบพลัน
เตือนกัน                          ด้วยระฆัง       ก้องกังวาน

เทพเจ้า   : 
เนื่องจากวันนี้ท่านอรหันต์จี้กงติดกิจธุระสำคัญไม่สามารถพาหยางเซิงไปท่องนรก ข้าพเจ้าได้รับเทวโองการจากท่านเง็กเสียงอ๊วงตี่ให้ลงสู่สำนักเซี้ยเฮี้ยงตึ้งพาหยางเซิงท่องแดนนรก ด้วยเหตุว่าเวลาน้อยมาก เราเตรียมการท่องยมโลกกันเถิด

หยางเซิง   :  ท่านเทพเจ้าหยางเจี่ยน ที่รบกวนท่านพาเที่ยวในวันนี้ รู้สึกขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่ง ท่านได้นำสุนัขฟ้าตัวหนึ่งติดตามไปด้วย เพื่ออะไรมิทราบ?. ก่อนหน้านี้ท่านอาจารย์จี้กงพากระผมไปด้วยการนั่งบนดอกบัว มิทราบว่าใช้พาหนะอันใดที่ท่านจะพากระผมไปในวันนี้ ?.

เทพเจ้า   :  ท่านอาจารย์มีดอกบัว ส่วนฉันไม่มี พุทธกับเทพต่างก็มีเดชด้วยกัน วันนี้เจ้ากับฉันขี่สุนัขตัวนี้ไปด้วยกันเถิด

หยางเซิง   :  สุนัขเดินได้ช้ามาก ยิ่งกว่านั้นดูแล้วสุนัขตัวนี้ดุร้ายเหลือกำลัง คนแปลกหน้าเมื่อเข้าใกล้กลัวมันแผงฤทธิ์จะโดนกัด๙้ำไปทั้งตัว

เทพเจ้า   :  สุนัขนี้มิใช่สุนัขธรรมดา แต่เป็นสุนัขฟ้า เป็นยานพาหนะของฉัน มีฤทธิ์เดชไม่เบาเสียด้วยจะไม่กัดเจ้าให้ช้ำ

หยางเซิง   :  แต่ว่าสุนัขเดินทางในอัตราช้ามาก เกรงว่าจะกระทบต่อการเดินทาง

เทพเจ้า   :  เจ้าจงวางใจได้ เท้าทั้ง 4 ของสุนัขฟ้าเปรียบเสมือนล้อรถยนต์ 4 ล้อของแดนมนุษย์ออกเดินอัตตราความเร็วไม่แพ้ดอกบัว รีบขึ้นมาเถิด

หยางเซิง   :  กระผมนั่งเรียบร้อยแล้ว ท่านนั่งอยู่ข้างหน้าผม ต้องควบคุมให้ดี มิเช่นนั้นกระผมตกหล่นไปแล้ว ก็จะแย่นะครับ

เทพเจ้า   :  เจ้ารีบหลับตาทั้งสองข้างเร็ว ไม่มีการเกิดอุบัติเหตุหรอก เย็นใจไได้

หยางเซิง   :  มิทราบว่าวันนี้จะไปยังแห่งใด ?.

เทพเจ้า   :  วันนี้จะท่อง "นรกขุมที่ 5 " เป็นครั้งแรก อย่าถามอะไรอีกเลย เวลามันน้อยมาก เราเริ่มเดินทางเถิด...ถึงแล้วละ รีบลงมาเร็ว

หยางเซิง   :  หูทั้งสองข้างเพียงแต่ได้ยินเสียงอู้ ๆ พริบตาเดียวเท่านั้นก็ถึงยมโลกแล้ว ของเทวดาก็ไม่ผิดแผกแตกต่างจากของพระอรหันต์

เทพเจ้า   :  เทพกับพุทธที่แท้ก็อันหนึ่งอันเดียวกัน เช่นเดียวกับผู้คนในแดนมนุษย์ ซื้อรถยนต์ 2 คัน ที่มียี่ฮ้อต่างกัน ล้วนพูดว่าของตนเป็นผลิตภัณฑ์ชั้นสูง แต่ไม่รู้เนื้อแท้ จึงไม่สามารถแบ่งแยกได้ว่าสิ่งใดดีสิ่งใดเลว จิตใจคนก็เหมือนเครื่องยนต์ ถ้าหากเครื่องยนต์ดีเลิศ บวกกับพื้นฐานที่เรียบร้อย เมื่อเล่นไปบนถนนที่กว้างใหญ่ก็จะราบรื่นปลอดภัยไปเอง

หยางเซิง   :  เทพเจ้าท่านพูดสมเหตุสมผลมาก เบื้องหน้าฝูงชนแออัดยัดเยียดน่าดู  ล้วนแย่งกันขึ้นไปบนบันไดหอวิญญาณโทษ หญิงชายถูกยมทูตคุมตัวรุดขึ้นหน้าไปแล้ว ยังมีอีกพวกหนึ่งไม่มีใครคุม สีหน้าเบิกบานแย้มระรื่น ปรากฏออกนอกหน้า มิทราบว่าที่นี่คือแห่งใด?.
หัวข้อ: เที่ยวเมืองนรก ครั้งที่ 30 ขุมที่ 5 ตอน ท่องหอส่องบ้านเดิมพบยมบาลเซียมล้ออ๊วง
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 30/08/2012, 15:27
                            เที่ยวเมืองนรก

               ครั้งที่ 30  วันที่  30  พฤษภาคม  พ.ศ. 2520

                              ขุมที่  5 

              ตอน  ท่องหอส่องบ้านเดิมพบยมบาลเซียมล้ออ๊วง

          เทพเจ้าหยางเจี๋ยนเสด็จลง ตรัสเป็นกลอนมีความว่า  :
               
             หาความลับ          ในนรก          ถึงขุมห้า   
ย่อมเป็นข้า                       แต่งหนังสือ    ช่วยคนรั้น
ชูกิ่งท้อ                           เหล่าภูตผี      สยบพลัน
เตือนกัน                          ด้วยระฆัง       ก้องกังวาน

เทพเจ้า   :  ที่นี่คือ "หอส่องบ้านเดิม"
วิญญาณโทษเหล่านี้เมื่อตกเข้านรกแล้วจะส่งมอบให้ขุมที่ 5 ใจในคิดว่าจะขึ้นบน "หอส่องบ้านเกิม" ส่องมองดูลูกหลานที่อยู่ในเมืองมนุษย์มีสภาพเป็นอยู่อย่างไรบ้าง จึงอดกลั้นในความเศร้าที่เกิดขึ้นไม่ได้ เลยร้องห่มร้องไห้ตาม ๆ กัน วิญญาณโทษที่มิได้โดนทำโทษนั้นก็มุ่งมาหอส่องบ้านเดิมด้วยความเบิกบานใจ เพื่อมองดูลูกหลานในโลกมนุษย์เป็นอย่างไรบ้าง

หยางเซิง   :  ข้างหน้ามีผู้คนหมู่หนึ่งกำลังเดินมา ท่าทีองอาจสง่างาม น่าเกรงขาม มิทราบว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์จากแห่งใด?. 

เทพเจ้า   :  ยมบาลแห่งเซียมล้ออ๊วงแห่งขุมที่ 5 แล้ข้าราชการบริพารฝ่ายบุ๋นฝ่ายบู๊ (พลเรีอนและทหาร)  ทั้งหลาย ได้ลงบันไดมาต้อนรับเราแล้วรีบเข้าไปแสดงความเคารพเถิด

หยางเซิง   :  กระผมนายหยางเซิง ศิษย์ของท่านกวนอู แห่งสำนักเซี้ยเฮี้ยงตึ้งแห่งเมืองไถ่ตง เนื่องด้วยได้รับเทวโองการให้แต่งหนังสือ "เที่ยวเมืองนรก" เพื่อปลอบเตือนชาวโลก วันนี้โดยการนำของเทพเจ้าท่านหยางเจี่ยนเข้ามายังแดนนรก มายังขุมที่ 5 ขอท่านเซียมล้ออ๊วงโปรดให้ความสะดวก เพื่อที่การแต่งหนังสือนี้ได้ลุล่วงไปโดยสะดวกรวดเร็ว

เซียมล้ออ๊วง   :  สำนักเซี้ยงเฮี้ยงตึ้ง สร้างธรรมในทางชอบไม่น้อย ตั้งสำนักประกาศธรรม รับลงทรงแต่งหนังสือ กล่อมเกลากอบกู้ผู้คนนับจำนวนไม่ถ้วน ข้าพเจ้าคุมอำนาจในขุมที่ 5 มีวิญญาณผู้ตายหลายต่อหลายคนเคยได้อ่านหนังสือธรรมคัมภีร์จากสำนักของท่านในแดนมนุษย์ ความผิดพลาดมีน้อย  สะสมความดีในแดนนรก  ข้าพเจ้าล้วนตัดสินให้เขาไปผุดไปเกิดโดยเร็ว หรือจัดตามความชอบให้รับผลสำเร็จธรรมไป

หยางเซิง   :  ขอขอบคุณท่านยมบาลที่ให้การดูแลช่วยเหลือยิ่ง ผิดถูกประการใดจะได้รับการตัดสินอย่างเที่ยงธรรม ผู้ที่มีคุณธรรมจึงได้รับอภัยโทษจากท่าน

เซียมล้ออ๊วง   :  มิต้อง ลุกขึ้นเร็ว  ท่านยี่นึ้งซิ้งกุง (นามเดิมของเทพเจ้าหยางเจี่ยน) และท่านหยางเซิงตามข้าพเจ้าเข้าไปพักในปราสาทสักครู่เถิด

เทพเจ้า   :  เพราะเหตุว่าจะเสียเวลาอีกไม่ได้แล้ว วันอื่นค่อยเข้าไปรบกวนในปราสาท วันนี้ข้าพเจ้าจะพาหยางเซิงขึ้นไปบนหอส่องบ้านเดิมชมดูสักครั้งก่อน

เซียมล้ออ๊วง   :  ถ้าเช่นนั้นแล้ว ข้าพเจ้าก็จะไม่ขอหน่วงเหนี่ยวเวลา ข้าพเจ้าจะพาพวกท่านขึ้นบนหอส่องบ้านเดิม โปรดตรวจชมให้ละเอียด

หยางเซิง   :  ขอบพระคุณท่านยมบาล ที่ทำการนำทางเอง 

เซียมล้ออ๊วง   :  วิญญาณที่จะผ่านไปทางขุมที่ 5 ต้องผ่านหอส่องบ้านเดิมก่อน เพื่อสอดส่องดูลูกหลานของตนที่อยู่ในแดนมนุษย์เป็นอย่างไรบ้าง ดังนั้น วิญญาณผู้ตายโดยทั่วไปล้วนมีความหลงรัก ห่วงใยลูกหลานในแดนมนุษย์ เช่นนี้แล้วไม่ว่าจะมีโทษหรือไม่มี จึงอยากจะขึ้นไปส่องมองทั้งนั้น

หยางเซิง   :  อันนี้เป็นนิสัยธรรมดาของผู้คนที่จะสลัดได้ยากยิ่งจริง ๆ เบื้องหน้ามียมทูตคุมตัวผู้เฒ่าคนหนึ่งเดินผ่านมา ขณะที่ตาแกมองดูหอนี้นั้นน้ำตาร่วงราวกับสายฝน ร่ำไห้คร่ำครวญ มิทราบว่าเนื่องจากเหตุใด ?.   
หัวข้อ: เที่ยวเมืองนรก ครั้งที่ 30 ครั้งที่ 5 ตอน ท่องหอส่องบ้านเดิมพบยมบาลเซียมล้ออ๊วง
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 31/08/2012, 09:08
                         เที่ยวเมืองนรก

               ครั้งที่ 30  วันที่  30  พฤษภาคม  พ.ศ. 2520

                              ขุมที่  5 

              ตอน  ท่องหอส่องบ้านเดิมพบยมบาลเซียมล้ออ๊วง

          เทพเจ้าหยางเจี๋ยนเสด็จลง ตรัสเป็นกลอนมีความว่า  :
               
             หาความลับ          ในนรก          ถึงขุมห้า   
ย่อมเป็นข้า                       แต่งหนังสือ    ช่วยคนรั้น
ชูกิ่งท้อ                           เหล่าภูตผี      สยบพลัน
เตือนกัน                          ด้วยระฆัง       ก้องกังวาน

เซียมล้ออ๊วง   : 
ผู้เฒ่าคนนี้ได้ทำบาปไว้ตอนที่แกมีชีวิตอยู่ จึงต้องมารับโทษยังแดนนรก เวลานี้การลงโทษยุติลงแล้ว (หมดโทษ) มาส่องมองบนหอเมื่อส่องดูลูกหลานแล้ว เห็นว่าไม่มีอาการเศร้าโศกแม้แต่น้อย บ้างก็เฝ้าดูโทรทัศน์ในห้องโถง บ้างก็เล่นกันอยู่ในลานบ้าน ไม่มีการรำลึกคิดถึงบรรพบุรุษเลย ในใจคิดถึงว่าตอนมีชีวิตอยู่นั้น ตนเองมุทำงานเหมือนวัวเหมือควายเพื่อพวกเขา คิดแล้วไม่สมควรเป็นอย่างยิ่ง จึงเกิดความซ้ำใจขึ้น

เทพเจ้า   :  ตอนมีชีวิตอยู่ถ้าไม่บำเพ็ญธรรมอย่างจริงจัง จะหวังให้ลูกหลานมากอบกู้ชักจูงพ้นทุกข์ เป็นเรื่องที่ยากยิ่งเสียจริง ๆ เพราะเหตุว่าลูกหลานบางคนไม่เชื่อถือสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือเรื่องเหตุและผลแม้แต่นิดเดียว ไหนเลยจะมาทำการช่วยกอบกู้วิญญาณตน เมื่อวิญญาณตกมาถึงยมโลกซึ่งจะสำนึกได้ก็สายเสียแล้ว ดังนี้แล้วจงสร้างบุญทำกุศลไว้ตอนที่ยังมีลมหายใจอยู่ให้มาก ๆ ก็จะปลอดภัยกว่า

หยางเซิง   :  กระผผมเห็นบน "หอส่องบ้านเดิม" ไฉนจึงเวิ้งว้างว่างเปล่า ไม่มีวี่แววแสดงว่ามีอะไรเลย ?.

เทพเจ้า   :  ตาเจ้าน่ะเป็นตาธรรมดาสามัญ ถึงแม้ว่าท่านอรหันต์จี้กงได้เคยพาเจ้าไปอาบใน "สระน้ำสบายใจ" แต่พอนานเข้าฝุ่นแดง(ฝุ่นในโลกียโลก) จับเต็มอีก ดังนั้นตาปุถุชนจึงยากที่จะมองทุลุปรุโปร่งบน "หอส่องบ้านเดิม" สิ่งนี้คือกลไกที่พิศดารอ่อนไหวแยบยลมากเครื่องหนึ่ง แปรเปลี่ยนพลิกแพลงได้สารพัด

เซียมล้ออ๊วง   :  ฝุ่นแดงมากจับตาเลยกลายเป็นตาทราย (ตาเป็นโรคริดสีดวง) จึงมองดูอะไรไม่กระจะชัดแจ้ง  ให้ตุลาการฝ่ายบุ้งรับไปเอาน้ำในมาให้ท่านหยางเซิงชะล้างให้สะอาดสักครั้ง

บุ้งพัวกัว   :  ขอรับคำบัญชา ได้เอาน้ำใสมาแล้ว เชิญเจ้านายท่านจัดการเถิด

เซียมล้ออ๊วง   :  เอามาให้ฉัน ท่านหยางเซิงจงเบิกตาทั้งสองข้างออก ใช้น้ำใสล้างเสีย.....

หยางเซิง   :  ขอบคูรมากที่ท่านได้ประทานน้ำใส ตาทั้งสองเญ้นสบายหาที่เสมอเหมือนมิได้จริง ๆ ด้วย

เซียมล้ออ๊วง   :  ขณะนี้ท่านจงมองไปยัง "หอส่องบ้านเดิม" ได้แล้ว

หยางเซิง   :  โอ้ วิเศษอะไรอย่างนั้น ในหอปรากฏขึ้นซึ่งเหตุการณ์ต่าง ๆ ของสำนักเซี้ยเฮี้ยงตึ้งอยู่ต่อหน้าต่อตา ศิษย์นักทรงแยกเป็น 2 แถวอารักขาองค์ทรงอย่างเลื่อมใสจริงใจ ร่างกระผมเองก็ยืนอยู่กลางปราสาท และกำลังประทับทรงเขียนเป็นตัวอักษร เง็กฮือท่งจื้อ (ชื่อของกุมารเทพ) ประคองร่างกระผมไว้ ชูพู่กันเขียนตัวอักษรในถาดทรายอย่างรวดเร็ว ศิษย์ผู้บันทึกคุณเฮ้งศิษย์ผู้พี่คุณลี้ ก็ขีดเขียนอยู่ข้างกาย ศิษย์ผู้อ่านคุณหลินก็อ้าปากอ่านตัวหนังสืออยู่ ราวกับภาพยนต์ฉันนั้น
หัวข้อ: เที่ยวเมืองนรก ครั้งที่ 30 ครั้งที่5 ตอน ท่องหอส่องบ้านเดิมพบยมบาลเซียมล้ออ๊วง
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 31/08/2012, 09:50
                           เที่ยวเมืองนรก

               ครั้งที่ 30  วันที่  30  พฤษภาคม  พ.ศ. 2520

                              ขุมที่  5 

              ตอน  ท่องหอส่องบ้านเดิมพบยมบาลเซียมล้ออ๊วง

          เทพเจ้าหยางเจี๋ยนเสด็จลง ตรัสเป็นกลอนมีความว่า  :
               
             หาความลับ          ในนรก          ถึงขุมห้า   
ย่อมเป็นข้า                       แต่งหนังสือ    ช่วยคนรั้น
ชูกิ่งท้อ                           เหล่าภูตผี      สยบพลัน
เตือนกัน                          ด้วยระฆัง       ก้องกังวาน

เซียมล้ออ๊วง   : 
ความอ่อนไหวพิศดารของ "หอส่องบ้านเดิม" ยากที่จะหาสิ่งใดมาเปรีบยเทียบเสมอเหมือนได้ เง็กฮือท้งจื้อของสำนักท่านใช้ตาทิพย์ถ่ายทอดภาพ โดยประทับทรงอยู่ในกายท่านแล้วถ่ายทอดเหตุการณ์ต่าง ๆ ของท่านที่ท่องเที่ยวในยมโลกเขียนลงบนถาดทราย ดวงตาของเง็กฮือท้งจื้อก็เหมือนกับ "หอส่องบ้านเดิม" สามารถมองทะลุทลวงที่แจ้งที่ลับด้วยแสงทิพย์อย่างปรุโปร่ง

หยางเซิง   :  ความพิศดารแห่งฟ้าดิน ซึ่งไม่สามารถที่จะหยั่งรู้ได้ เบื้องหน้ามีวิญญาณคนตายอีกตนหนึ่ง วิญญาณนี้มิได้ถูกคุมตัวมีแต่ยมทูตนำทาง ได้เชื้อเชิญให้ส่องมองอย่างมีอัธยาศัยดีมาก หลังจากดูแล้วสีหน้าของเขาแสดงออกมาอย่างชื่นชมยินดี มิทราบด้วยเหตุใด?.

เซียมล้ออ๊วง   :  ผู็นี้ตอนอยู่ในแดนมนุษย์มีจิตใจสุจริตบริสุทธิ์งดงาม เคยเข้าบำเพ็ญจำศีลในทางธรรม แต่สำเร็จผลได้ไม่มากนัก เพิ่งตายลงไม่นาน ขณะนี้มองเห็นลูกหลานกำลังกราบไหว้อยู่ที่หน้าตั้งศพ จากความกตัญญูของลูกหลานนี้ ทำให้เขาปลื้มปิติจนสะเทือนอารมณ์ เพราะเหตุว่าเขาปลงตกแล้วซึ่งชีวิตของมนุษย์ ถึงแม้ว่าผลสำเร็จนั้นไม่มากนัก แต่ก็รู้ว่าหนีไม่พ้นจากการเกิดการตาย  ก็จึงไม่มีการโศกเศร้า จะได้เข้าไปฝึกฝนที่ "โรงรวมธรรม" วันหลังจะได้ไปรับตำแหน่งเจ้าต่อ

หยางเซิง    :  ข้าพเจ้ามีข้อข้องใจอยู่ข้อหนึ่ง ขอเรียนถามท่านยมบาลว่า ไฉนวิญญาณโทษพอมาถึง "หอส่องบ้านเดิม" ล้วนสามารถมองเห็นเหตุการณ์ต่าง ๆ ของแดนมนุษย์ แต่ข้าพเจ้ากลับไม่เห็นอะไรเลยเมื่อครู่นี้ ?.

เซียมล้ออ๊วง   :  ก็เพราะเหตุว่าท่านยังเป็นมนุษย์ผู้หนึ่ง ดังนั้นจึงยังมีวิญญาณจิตใจเกี่ยวเนื่องกับร่างกายที่เต็มไปด้วยเลือดเนื้อคือธาตุแจ้งยังไม่หมด จึงไม่สามารถมองทะลุจะแจ้งในเหตุการณ์ของแดนนรกได้หมดสิ้น ร่างกายที่มีเลือดเนื้อของวิญญาณผู้ตายนั้นได้ดับสูญไปแล้ว ทางแจ้งกับทางลับถูกแบ่งออกอยู่คนละฝ่าย วิถีความเป็นอยู่แปรเปลี่ยนลง จึงสามารถอยู่ในทางลับมองเห็นทางแจ้ง และวิญญาณลับนั้นยังสามารถเปลี่ยนแปลงได้สารพัดอีกด้วย แต่คนในโลกมนุษย์ไม่สามารถทำได้

เทพเจ้า   :  เพราะเหตุเวลาดึกมากแล้ว ขอขอบคุณท่านเซียมล้ออ๊วงแห่งขุมที่ 5 และข้าราชการทั้งหลาย เราจะกลับสำนักกันแล้ว

หยางเซิง   :  ขอบพระคุณท่านยมบาลและเทวทูตทั้งหลายที่ได้ให้ความสะดวก เราจะกลับสำนักแล้ว วันอื่นค่อยมาเยี่ยมคำนับท่านใหม่

เซียมล้ออ๊วง   :  ให้ทหารทั้งหลายตั้งแถวส่งท่านกลับ

เทพเจ้า   :  เจ้าหยางเซิงรีบลงบันไดมาเร็ว

หยางเซิง   :  ขอรับกระผม มิทราบว่าระหว่างกลางของคิ้วท่านนั้นมีตาอีกตาหนึ่ง มีเพื่อการใด ?.

เทพเจ้า   :  ฉันมีตาอีกตาหนึ่ง คือตาสวรรค์ สามปัญญารวมเป็นอันเดียวกัน คือพระอาทิตย์  พระจันทร์  ดวงดาวฉายส่องประสานกัน มีอภินิหารสูงมาก จองจับแต่เฉพาะภูตผีปีศาจในแดนมนุษย์เหล่านั้น พวกมันจะขวัญเสียใจสั่นเมื่อมาเจอฉันเข้า

หยางเซิง   :  ที่แท้มีเดชฤทธิ์มากถึงเพียงนี้ มีตาหลายใจเสียจริง ๆ

เทพเจ้า   :  เจ้าอย่าได้ดูหมิ่นนะ ผู้ที่มีสายตา (ดีหรือสูง) นั้น ควรที่จะเงยหัวให้สูงขึ้นสักหน่อย มองดูเทพเจ้าเทวดาเบื้องบนเสียบ้าง ความชั่วจะไม่กล้ากล้ำกราย

หยางเซิง   :  พบกับท่านเทพเจ้าเป็นครั้งแรก มีตาไม่มีแววเสียเปล่า ล้อเล่นนิดหน่อยโปรดอย่าถือโทษ

เทพเจ้า   :  ไม่ถือ ๆ รีบขึ้นนั่งบนหลังสุนัขฟ้า เตรียมกลับสำนัก

หยางเซิง   :  กระผมได้นั่งลงเรียบร้อยแล้ว เชิญท่านเริ่มเดินทางได้

เทพเจ้า   :  ถึงแล้วสำนักเซี้ยเฮี้ยงตึ้ง หยางเซิงลง วิญญาณกลับเข้าสู่ร่างดังเดิม   
หัวข้อ: เที่ยวเมืองนรก ครั้งที่ 31 ตอน ฟังยมบาลวิจารณ์การพร่า (ฆ่า) หัวใจ
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 2/09/2012, 12:10
                         เที่ยวเมืองนรก

               ครั้งที่ 31  วันที่  15  พฤษภาคม  พ.ศ. 2520

                     ตอน  ฟังยมบาลวิจารณ์การพร่า (ฆ่า) หัวใจ

        ท่านอรหันต์จี้กงเสด็จปรากฏกาย ตรัสเป็นกลอนมีความว่า  :

              พวกใจโหด        ตามพร่าเฉือน        เจ้าผีร้าย
กลอุบาย                        แผนร้อยแปด         บ่สมหวัง
ยมบาล                          พักตร์ท่านเครียด     เย็นชาชัง
เมื่อตายปัง                     จึงรู้ตัว                 ว่าผิดทาง

อรหันต์จี้กง   :   
คราวก่อนฉันติดธุระสำคัญ เชิญท่านเทพเจ้าหยางเจี๋ยนพาหยางเซิงท่องนรกแทนฉัน แซ่หยางสองท่านได้ท่องขุมที่ 5 เป็นครั้งแรกได้คุยกันสนุกสนานตลอดทาง และยังได้เผยรสชาติแห่งธรรมะออกอย่างประปราย ขอให้ชาวโลกจงอ่านท่องหนังสือธรรม ตำราธรรมควรพิจารณาความหมายที่เคลือบแฝงอยู่ด้วยอย่างละเอียกละออ อย่าอ่านเฉพาะแต่บทความเบื้องนอกอันผิวเผินเท่านั้น  เปรียบเสมือนการกินผลไม้ควรจะกินเนื้อใน ถ้าเพียงแต่แทะกินเปลือกนอกก็ไม่สามารถลิ้มรสอันแท้จริงฉันนั้น วันนี้เตรียมท่องนรก เจ้าหยางเซิงขึ้นนั่งบนดอกบัวเถอะ

หยางเซิง   :  ขอรับคำำบัญชา ท่านอาจารย์ครับ เมื่อก่อนท่านเคยพูดไว้ว่าพุทธเทพสามารถแปรเปลี่ยนแปลงกายได้สารพัด ไฉนคราวก่อนท่านจึงไม่สามารถแยกกายเล่า ?.

อรหันต์จี้กง   :  มิใช่ว่าไม่สามารถแยกกายได้ แต่เป็นการเจตนาเชิญเทพเจ้าหยางเจี่ยนมาเป็นดารารับเชิญสักครั้ง เพื่อที่จะปลุกปลอบบรรดาศิษยานุศิษย์ทั้งหลายให้มีความสนุกหรรษาเท่านั้นเอง เวลาก็น้อยมากเราเตรียมเดินทางกันเถอะ

หยางเซิง   :  กระผมได้นั่งลงเรียบร้อยแล้ว เชิญท่านอาจารย์เริ่มออกเดินทางได้.....

อรหันต์จี้กง   :  ถึงขุมที่ 5 แล้ว ลงจากดอกบัวเร็ว ยมบาลและเทวทูตทั้งหลายลงบันไดมาต้อนรับเราแล้ว รีบเข้าไปแสดงความเคารพเร็ว

หยางเซิง   :  ขอแสดงความคารวะต่อท่านยมบาลและเทวทูตทั้งหลาย ข้าพเจ้ากับท่านอาจารย์มาท่องนรกเพื่อแต่งหนังสืออีกครั้งในวันนี้ ขอท่านยมบาลได้โปรดให้การชี้แจงแนะนำด้วย

เซียมล้ออ๊วง   :  เชิญท่านอาจารย์ลุกขึ้นเถิด ขอต้อนรับท่านกับท่านอาจารย์ที่ได้มาเยือนขุมของเรา เชิญท่านทั้งสองเข้ามาพักในปราสาท เรามีความจะสนทนาด้วย

อรหันต์จี้กง   :  เราศิษย์อาจารย์รับแต่งหนังสือตามโองการในครั้งนี้ท่องมาถึงขุมที่ 5 ทำหน้าที่เสร็จสิ้นไปได้เพียงครั้งเดียว ขอท่านยมบาลได้โปรดให้การช่วยเหลือให้มาก ๆ เพื่อที่งานการอันศักดิ์สิทธิ์นี้เสร็จสิ้นลงอย่างราบรื่น จะได้กราบถวายส่งคืนตามพระราชโองการอย่างเรียบร้อยสมบูรณ์

เซียมล้ออ๊วง   :  อาจารย์ท่านพูดอย่างหนักหน่วงมาก สมัยปัจจุบันนี้เฟื่องฟูนิยมทางวิทยาศาสตร์ จิตใจผู้คนไม่เจริญดังคนโบราณ ศีลธรรมตกต่ำเสื่อมทราม แต่ยังเคราะห์ดีที่เกาะไต้หวันมีสำนักทรงตั้งขึ้นมากมายก่ายกอง รับทรงประกาศธรรมสนองปฏิบัติตามความประสงค์แห่งสวรรค์ ท่านเลือกสั่งสอนผู้คนตามแต่เหมาะสมช่วยเหลือกอบกู้ผู้คนได้ไม่น้อย เฉพาะอย่างยิ่ง สำนักเซี้ยเฮี้ยงตึ้งแห่งเมืองไถ่ตง เผยแพร่ศาสนา  รับประทับทรง  แพร่ขยายศีลธรรม  วัฒนธรรม  จนได้รับผลสำเร็จล้ำเลิศยิ่งนัก ดังนั้นจึงได้รับเทวโองการจากท่านเง็กเซียนฮ่องเต้ ให้แต่งหนังสือ "เที่ยวเมืองนรก" เขตทุกเขตใน 10 ขุมแห่งยมโลก ต่างได้รับเทวโองการตั้งแต่วันที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2519 นี้ ทราบว่าสำนักท่านมีการแต่งหนังสือและได้รอคอยการเยี่ยมเยือนจากท่านทั้งสองมานานแล้ว เชิญท่านรีบเข้าไปพักผ่อนในปราสาท เพื่อได้สังสรรค์พูดคุยกันบ้าง

หยางเซิง   :  ขอขอบคุณท่านยมบาลที่ให้การต้อนรับอย่างอบอุ่นสมเกียรติยิ่ง นอกปราสาทนี้มีวิญญาณคนตายเต็มไปหมด แต่ละคนบนใบหน้าไม่ปรากฏมีสีเลือดเลย ต่างประหวั่นพรั่นพรึงแตกตื่นเสียขวัญ บ้างก็เมียงมองมาทางนี้

อรหันต์จี้กง   :  ยมบาลขุมที่ 5  ชาวโลกได้ยินกิตติศัพย์มานานนักหนาแล้ว ท่านหน้าเคร่งขรึมไม่ลำเอียง ตัดสินลงโทษเฉียบขาดรุนแรง วิญญาณโทษได้ยินเข้ากลัวจนขวัญหนีดีฝ่อ ดังนั้นผู้ที่มาถึงที่นี่ล้วนกลัวจนวิญญาณระส่ำระสาย

เซียมล้ออ๊วง   :  ท่านทั้งสองเชิญรีบเข้าไปพักข้างในเร็ว

หยางเซิง   :  ขอบพระคุณมาก

เซียมล้ออ๊วง   :  ท่านทั้งสองเชิญนั่งก่อน บุ้งพั้งรีบเสิร์ฟน้ำชาทิพย์เร็ว

บุ้งพั้ง   :  ขอรับคำบัญชา น้ำชาทิพย์ได้แล้วครับเชิญเจ้านายและท่านเทวเจ้ารับประทานโดยไม่ต้องเกรงใจ   
หัวข้อ: เที่ยวเมืองนรก ครั้งที่ 31 ตอน ฟังยมบาลวิจารณ์การพร่า (ฆ่า) หัวใจ
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 2/09/2012, 13:32
                            เที่ยวเมืองนรก

               ครั้งที่ 31  วันที่  15  พฤษภาคม  พ.ศ. 2520

                     ตอน  ฟังยมบาลวิจารณ์การพร่า (ฆ่า) หัวใจ

        ท่านอรหันต์จี้กงเสด็จปรากฏกาย ตรัสเป็นกลอนมีความว่า  :

              พวกใจโหด        ตามพร่าเฉือน        เจ้าผีร้าย
กลอุบาย                        แผนร้อยแปด         บ่สมหวัง
ยมบาล                          พักตร์ท่านเครียด     เย็นชาชัง
เมื่อตายปัง                     จึงรู้ตัว                 ว่าผิดทาง   

หยางเซิง    : 
กระผมกำลังหิวน้ำอยู่ ดื่มได้จิบเดียวรสหอมชุ่มคอล้ำเลิศจริง ๆ

เซียมล้ออ๊วง   :  ข้าพเจ้าชอบดื่ม "ตุงเตงทิกวนอิม" ยิ่งนัก

อรหันต์จี้กง   :  คำของท่านยมบาลได้แฝงไว้ซึ่งความหมายอะไรบางอย่าง มิรู้ว่าเจ้าหยางเซิงเข้าใจบ้างไหม ?.

หยางเซิง   :  ยมบาลขุมที่ 5 ชาวโลกมักเปรียบเปรยเสมือน "ท่านเปาบุ้นจิ้น" ออกบัลลังก์ ผิดแผกแตกต่างกับทั่วไปอย่างมากมาย"ตุงเตง" หมายความว่าบนใบหน้าที่เย็นเฉียบ "ทิกวนอิม" หมายถึงโพธิสัตว์ท่านใจเข้มแข็งมั่นคงคือแบบอย่างของท่าน"เปาบุ้นจิ้น" นั่นเอง

เซียมล้ออ๊วง   :  ฮ่า ๆ ชื่อเสียงพู่กันศักดิ์สิทธิ์แห่งสำนักเซี้ยเฮี้ยงตึ้งดังมากตามคำบอกเล่าจริง ๆ มีพื้นฐานแห่งปัญญาธรรมผิดมนุษย์มาก ได้ทายคำพูดข้าพเจ้าถูกต้อง

หยางเซิง   :  อันนี้เพียงแต่ทายสุ่ม ๆ ไปเท่านั้นเอง

เซียมล้ออ๊วง   :  วันนี้ที่ท่านทั้งสองได้มาเยือนขุมของเรารู้สึกปิติยินดียิ่ง สภาพของโลกมนุษย์แย่มาก ผู้คนที่ดำเนินชีวิตอยู่ในสังคมปัจจุบัน ต่งแก่งแย่งเอาชื่อเสียงเงินทองสูญสิ้นซึ่งจิตใจที่เป็นธรรมและคุณธรรมทุกหนทุกแห่งจะเห็นว่ามีสภาพการชิงไหวพริบตั้งแง่ตั้งคม ท่านคดมาฉันโกงไป บ้างก็เปิดตั้งร้านค้าลามกหาเงิน เช่น ร้านอาหาร  ห้องโภชนา  ร้านตัดผม  เป็นต้น ใช้ความสวย ๆ ของผู้หญิงเย้ายวนใจคน ทางยมโลกได้ตรวจตราทั้งกลางวันกลางคืนแต่ละวันได้จดบันทึกเหตุการณ์ทำลายศีลธรรมแบบนี้อย่างล้นพ้น นับได้ว่าเหลือที่จะบันทึกไว้ได้  ยิ่งกว่านั้นยังมีผู้ที่เกิดความตายลงขณะเสพสุขอยู่ในสภาพเริงรมย์ วิญญาณผีลามกเหล่านี้ล้วนถูกขังไว้ในคุกนรก รับการลงโทษที่อุกฤษฏ์ร้ายแรงยิ่ง จึงฝากไปยังชาวโลกจงอย่าได้ค้าประเวณี มิเช่นนั้นแล้วโทษบาปนั้น 3 ชาติยังชดใช้ไม่หมด ข้าพเจ้าคุมขุมที่ 5 หน้าเคร่งขรึม (หน้าเหล็ก) ไม่ลำเอียง  บรรดาวิญญาณโทษที่ถูกส่งมอบมายังขุมนี้ แต่ละตนมีสีหน้าแตกตื่น หวั่นกลัวเพราะเหตุว่าข้าพเจ้าตัดสินเที่ยงตรงรุนแรง มวลมนุษย์หากไม่เปลี่ยนจิตเปลี่ยนใจโดยเร็ว วันข้างหน้าตกมาถึงขุมที่ 5 ก็จะรู้เอง ข้าพเจ้าไม่มีการปราณีให้ใคร ขุมนี้คือ แดดแผดร้องนรกใหญ่" บรรดาผู้ที่เข้าคุกได้ยินแต่เสียงครวญครางร่ำร้องเท่านั้นเอง เฉพาะอย่างยิ่งที่ "แดน 16 พร่าหัวใจนรกน้อย" ล้วนทำการพร่า (ฆ่าหรือเฉือน) ชาวโลกที่มีใจพาล  ใจอุบาทว์  ใจร้าย  ใจแค้น  ใจชิงชัง  ใจอยากถาม  ใจริษยา  ใจลำเอียง  ใจแอบแฝง  ใจโหด  ใจหมา  ใจสัตว์ที่มีจิตใจไม่ซื่อสัตย์ ข้าพเจ้าสั่งนายทหารแหวกอกเฉือนเอาหัวใจออก โทษฐานที่โหดเหี้ยมทารุณยิ่ง มิใช่ว่าข้าพเจ้าไม่มีความเมตตา  แต่เป็นที่ผู้คนโหดร้ายเกินไปหาเรื่องถูกพร่าเฉือนหัวใจเอาเองต่างหาก เนื่องจากเวลาหมดลงแล้ว วันหลังจะพาท่านทั้งสองไปตรวจชม "นรกพร่าหัวใจ" ให้เห็นกับตาท่านเอง

อรหันต์จี้กง   :  เพราะเหตุเวลาอยู่ในแดนนรกหมดลงแล้วท่านยมบาลได้เร่งเตือนแล้ว เจ้าหยางเซิงเตรียมกลับสำนักกันเถอะ

หยางเซิง   :  ขอบพระัคุณท่านยมบาลที่ให้การต้อนรับอย่างดีและประทานวาจาที่มีค่ายิ่งกว่าทองคำให้ฟัง เราเตรียมกลับสำนัก ขอลาท่านและเทวทูตทั้งหลายละ

เซียมล้ออ๊วง   :  ให้ข้าราชการทั้งฝ่ายพลเรือนและฝ่ายทหารตั้งแถวนมัสการส่งท่านอาจารย์

อรหันต์จี้กง   :  ขอบคุณมากที่ท่านยมบาลให้เกียรติมาก เราขอลาก่อน เจ้าหยางเซิงรีบขึ้นบนดอกบัวเร็ว

หยางเซิง   :  กระผมได้นั่งลงเรียบร้อยแล้ว เชิญท่านอาจารย์กลับสำนักได้.....

อรหันต์จี้กง   :  ถึงสำนักเซี้ยเฮี้ยงตึ้งแล้ว หยางเซิงลงจากดอกบัว วิญญาณกลับเข้าสู่ร่างดังเดิม
หัวข้อ: เที่ยวเมืองนรก ครั้งที่ 32 ตอน ท่องแดนพร่าหัวใจนรกน้อย
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 3/09/2012, 07:23
                               เที่ยวเมืองนรก

               ครั้งที่ 32  วันที่  2  กรกฏาคม  พ.ศ. 2520

                     ตอน  ท่องแดนพร่าหัวใจนรกน้อย

        ท่านอรหันต์จี้กงเสด็จปรากฏกาย ตรัสเป็นกลอนมีความว่า  :

              ข่มทำลาย        ทั้งเจ้า - โคตร        อดสูมาก
ยกต่างชาติ                    หมิ่นตนเอง             ไร้คุณธรรม
ศีลธรรมจีน                     สืบต่อกัน                หลายพันปี
วัฒนธรรม                      เลื่องลือดี               ใหญ่ยิ่งเอย   

อรหันต์จี้กง   :  วัฒนธรรมและศีลธรรมของประเทศจีนนั้น
แรกเริ่มเดิมทีนันซึ่งสะสมก่อตัวขึ้นจากธาตุศักดิ์สิทธิ์แห่งฟ้าดิน ดังนั้นกาลเวลายิ่งนานจึงผุดผ่องใหม่สดอยู่เสมอ สืบต่อเป็นหมื่นปีมิรู้ขาดสิ้น แต่น่าเสียดายที่ผู้คนหลงนิยมในปรากฏการณ์ มุ่งแสดงแตวัตถุ ดูหมิ่นวัฒนธรรมของตนเองแล้วกลับไปนิยมเลียนแบบตะวันตกโดยสิ้นเชิง การเสพเหล้ากินเนื้อ กามลามก  ที่รุนแรงดุเดือด เต็มไปทั่วทุกหัวระแหง ในสังคมพวกที่ลืมชาติ ลืมตระกูลนิยมชาติอื่นการดูหมิ่นตนเองนั้นน่าอับอายที่ตนเองเป็นบุตรหลานแห่ง พระเจ้าอึ้งตี่ (ต้นตระกูลชนชาวจีน)  ยิ่งทุกวันนี้ วิทยาศาสตร์เจริญรุ่งเรือง คิดว่ามนุษย์สามารถเอาชนะธรรมชาติ แต่หารู้ไม่ว่าตนเพียงแต่เป็นข้าวเม็ดหนึ่งในท้องน้ำมหาสมุทร ถึงแม้จะมีฝีมือยอดเยี่ยมก็เปรียบเสมือนฟองน้ำน้อยฟองหนึ่งในทะเลอันกว้างใหญ่ไพศาลเท่านั้น จะใช้วิทยาศาสตร์ทำลายธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่ ใช้ความแยบยลเอาชนะธรรมชาติจึงต้องรับผลร้ายในทีสุด เมื่อมนุษย์หลุดพ้นจากธรรมชาติก็ตกอยู่ในความไม่ปกติแห่งความเป็นอยู่ของชีวิต ดังนั้นผู้ที่มีเลือดเนื้อจิตใจควรตระหนักให้มาก ๆ วันนี้เตรียมท่องนรก เจ้าหยางเซิงขึ้นบนดอกบัวเร็ว

หยางเซิง   :  กระผมนั่งเรียบร้อยแล้ว เชิญท่านอาจารย์ออกเดินทางได้.....

อรหันต์จี้กง   :  ถึงแล้วละ ลงจากดอกบัวเร็ว

เซียมล้ออ๊วง   :  ยินดีต้อนรับท่านอาจารย์และท่านหยางเซิงมาเยือนขุมเราอีกครั้ง  การเดินทางคงลำบากนะ

อรหันต์จี้กง   :  ที่ไหนได้ เรามารบกวนขุมของท่านในวันนี้อีกครั้ง ขอท่านยมบาลพาเข้าไปชมดูในคุก

เซียมล้ออ๊วง   :  คราวก่อนข้าพเจ้าได้พูดไว้แล้วว่า จะพาท่านเข้าไปชม "นรกพร่าหัวใจ" ด้วยตนเอง เชิญตามข้าพเจ้าเข้าไปในคุกเถิดนายทหารคอยให้การอารักขา

หยางเซิง   :  ขอบคุณมากที่ท่านยมบาลให้ความเอ็นดู เบื้องหน้านั้นคือ "16 แดนพร่่าหัวใจนรกน้อย" ได้ยินแว่วแห่งความทรมานแผดผ่านมา  ข้าพเจ้าว่าคงจะเป็นสถานที่ลงโทษที่คล้งไปด้วยคาวเลือด

เซียมล้ออ๊วง   :  มวลมนุษย์ล้วนเกิดจาก "เปลี่ยนใจ" ไปแล้วเมื่อตกมาในนรก จึงจำเป็นต้องเฉือนเอาออกมารักษาเสียบ้าง

หยางเซิง   :  พัศดีมาแล้ว ข้าพเจ้าจะไปแสดงความเคารพก่อน

พัศดี   :  ขอน้อมต้อนรับท่านเจ้านายและท่านอาจารย์กับท่านหยางเซิง ที่ได้มาเยือนคุกของข้าพเจ้า ทราบว่าท่านหยางเซิงแห่งสำนักเซี้ยเฮี้ยงตึ้งแห่งเมืองไถ่ตง และท่านอาจารย์แห่งฟ้าตะวันตกจะมาเยือนคุกนี้ หากมีมารยาทที่ไม่เรียบร้อย ขอโปรดอภัยให้ด้วย

หยางเซิง   :  ท่านพัศดีเกรงใจมากเกินไปแล้ว ข้าพเจ้าติดตามท่านอาจารย์มาเยี่ยมคุกของท่านในวันนี้เพื่อจะแต่งเรื่อง "เที่ยวเมืองนรก" ขอได้ให้การชี้แจงแนะนำ

เซียมล้ออ๊วง   : 
ให้ทหารรีบเปิดประตู

นายทหาร ขอรับคำบัญชา.....เปิดออกแล้ว เชิญเข้าไปชมข้างในเถิด
หัวข้อ: เที่ยวเมืองนรก ครั้งที่ 32 ตอน ท่องแดนพร่าหัวใจนรกน้อย 2
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 3/09/2012, 07:42
                        เที่ยวเมืองนรก

               ครั้งที่ 32  วันที่  2  กรกฏาคม  พ.ศ. 2520

                     ตอน  ท่องแดนพร่าหัวใจนรกน้อย

        ท่านอรหันต์จี้กงเสด็จปรากฏกาย ตรัสเป็นกลอนมีความว่า  :

              ข่มทำลาย        ทั้งเจ้า - โคตร        อดสูมาก
ยกต่างชาติ                    หมิ่นตนเอง             ไร้คุณธรรม
ศีลธรรมจีน                     สืบต่อกัน                หลายพันปี
วัฒนธรรม                      เลื่องลือดี               ใหญ่ยิ่งเอย   

หยางเซิง   :  อุ๊ย ๆ
เสียงร้องอย่างอเนจอนาถใจเหลือที่จะทนฟังได้อีกแล้ว มองเห็นยมทูตในคุกล้วนใช้มีดแหวกอกวิญญาณโทษควักเอาหัวใจราวกับฆ่าหมูแล้วตัดเอาหัวใจออกฉันนั้น วิญญาณโทษถูกมัดตืดอยู่กับเสาไม้ อกถูกผ่าออก ได้ยินเสียงวิญญาณโทษร้องอย่างน่าเวทนาเพียงคำเดียว ก็สลบไปเลย มิทราบว่าพวกมันต้องโทษอะไรบ้าง?.

พัศดี   :  ข้าพเจ้าจะราดน้ำคืนชีพให้ ให้มันได้คืนชีพขึ้น

หยางเซิง   :  ศักดิ์สิทธิ์พิศดารจริง ๆ วิญญาณโทษที่โดนน้ำคืนชีพเข้าหน้าอกแต่ละตนเรียบร้อยดังเดิม ตัวก็ฟื้นตื่นขึ้น

พัศดี   :  ข้าพเจ้าจะพาวิญญาณโทษ 2 - 3 ตนออกมาให้มันเล่าความชั่วของตนเองให้ฟัง

เซียมล้ออ๊วง   :  วิญญาณโทษฟังคำสั่งทางนี้ นี่คือท่านอรหันต์จี้กงและท่านหยางเซิงแห่งสำนักเซี้ยเฮี้ยงตึ้ง เมืองไถ่ตงแดนมนุษย์ ตามเทวโองการ มาสืบหาความลับยังที่นี่ พวกแกทำชั่วอย่างไรในโลกมนุษย์ ให้สารภาพโดยเร็ว ห้ามปิดบัง เพื่อความสะดวกในการแต่งหนังสืออย่าขัดคำสั่ง

วิญญาณโทษ   :  ขอรับคำบัญชา ขอให้ท่านยมบาลลดหย่อนผ่อนโทษให้กระผมด้วย มิทราบจะได้หรือไม่ประการใด?.

เซียมล้ออ๊วง   :  แกเล่าไปก่อน แล้วฉันจะพิจารณาให้เอง 
หัวข้อ: เที่ยวเมืองนรก ครั้งที่ 32 ตอน ท่องแดนพร่าหัวใจนรกนัอย 3
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 3/09/2012, 11:33
                        เที่ยวเมืองนรก

               ครั้งที่ 32  วันที่  2  กรกฏาคม  พ.ศ. 2520

                     ตอน  ท่องแดนพร่าหัวใจนรกน้อย

        ท่านอรหันต์จี้กงเสด็จปรากฏกาย ตรัสเป็นกลอนมีความว่า  :

              ข่มทำลาย        ทั้งเจ้า - โคตร        อดสูมาก
ยกต่างชาติ                    หมิ่นตนเอง             ไร้คุณธรรม
ศีลธรรมจีน                     สืบต่อกัน                หลายพันปี
วัฒนธรรม                      เลื่องลือดี               ใหญ่ยิ่งเอย   

วิญญาณโทษ   :  เอาครับ
กระผมตอนเป็นนุษย์ได้เล่าเรียนศึกษาไม่น้อย ถึงขั้นมหาลัยได้รับการอบรมจากแผนสมัยใหม่หลงใหลแบบอย่างทางตะวันตก ในมหาวิทยาลัยมีศาสตราจารย์ท่านหนึ่งเป็นผู้ถือศาสนาคริสต์ ท่านปลอบให้กระผมถือคริสต์ด้วย โดยบอกว่าไม่เพียงแต่จะศึกษาภาษาอังกฤษในชั้นสูงแล้วยังมีโอกาสไปเรียนนอกอีกด้วย กระผมคิดถึงหนทางในอนาคตเห็นว่าการนี้ก็เป็นทางที่ดีทางหนึ่งเหมือนกัน เลยตกลงรับคำอย่างง่ายดาย จากนั้นมาพอมีเวลาว่าง ก็ไปโบสถ์ฟังการบรรยายธรรมจากบาทหลวง เรียนภาษาอังกฤษ  สาวกผู้ถือคริสต์ล้วนแต่งกายแบบสากลทันสมัย ฉะนั้นผู้ถือคริสต์จึงมีคนหนุ่มมาก ที่เป็นเพื่อนฝูง ประการแรกจะได้ความรู้  ประการสองสามารถรู้จักคนมาเป็นเพื่อนกันได้มากขึ้น และมีการจัดงานต่าง ๆ เสมอ คิดเป็นคณะสังคมแห่งคนหนุ่มคณะหนึ่ง หลังจากรับการล้างบาปแล้ว ในใจคิดว่าทางบ้านไหว้เจ้าไหว้พระมันไม่เหมาะสมกับกาลสมัยเสียแล้ว ล้วนเป็นการไหว้ตัวรูป เป็นผู้ที่งมงาย ตอนโรงเรียนปิดพักร้อนกระผมกลับไปอยู่บ้าน ก็ตั้งใจเปลี่ยนแปลงความเชื่อถือของคนในบ้าน เริ่มพูดจาหว่านล้อมบิดามารดา ให้ละทิ้งนับถือในตัวรูป เื่องจากบิดามารดาหลงใหลเชื่อถือยึดมั่นมานาน จึงไม่ยอมเชื่อฟังคำกระผม กระผมเกิดความโกรธเคืองขึ้นในแวบหนึ่งก็เลยขนเอาป้ายเจ้าป้ายของบรรพบุรุษไปโยนทิ้งยังพื้นดิน  บิดามารดาเห็นเข้าโกรธจนหน้าเขียวหน้าเหลือง คว้าเอาเก้าอี้ฟาดตีกระผม เมื่อได้รับการเสียดแทงใจจากการนี้ กระผมจึงไม่กลับไปอยู่บ้านอีก เมื่อสำเร็จการศึกษาแล้ว ได้ติดตามบาทหลวงออกไปประกาศธรรมและได้เข้าทำงานในคริสต์สมาคมนั้น ต่อมาตายลงด้วยอุบัติเหตุรถยนต์ขณะที่ตายนั้นพระผู้เป็นเจ้าพระเยซู ก็มิได้ให้เกียรติมารับไปขึ้นสวรรค์ กลับมีแต่ยมทูต ๆ 2 ตนคุมตัวมายังนรกผ่านการตัดสินจากยมบาลแล้วให้คุมขังไว้ใน "นรกพร่าหัวใจ" ขอท่านยมบาล อภัยโทษให้กระผมด้วยเถิด

เซียมล้ออ๊วง   :  การนับถือศาสนานั้นอันที่จริงแล้วก็ิได้แบ่งแยกออกเป็นเขตแดนอันใด ทุก ๆ ศาสนาล้วนจะเลื่อมใสนับถือได้ แต่แกนี่มันลืมตัว(ลืมต้นตระกูล) ทำลายล้างผลาญป้ายเจ้าป้ายบรรพบุรุษ การเชื่อถือแบบแกอย่างนี้จะสอนให้ชาวมนุษย์ที่ดื่มน้ำต้องรำลึกถึงแหล่งต้นน้ำได้อย่างไร(หมายความว่า ระลึกถึงบรรพบุรุษที่ให้กำเนิดสืบต่อ ๆ มา) ถึงแม้ว่าผู้เผยแพร่ศาสนาบอกไม่ให้กราบไหว้ "ตัวรูป"  แต่แกไม่เข้าใจธรรมแห่งความเป็นจริง ไม้กางเขนคัมภีร์คริสต์บาทหลวงนั้นก็เป็นตัวรูปเช่นเดียวกัน และแกทำไมจึงกราบไหว้นับถือเล่า ?. ที่ว่า "สลัดทิ้งซึ่งตัวรูป" ก็คือต้องการให้แกมองเห็นความไม่เที่ยงแท้ในโลกมนุษย์ อย่าไปหลงใหลเสพสุขทางเรือนร่าง (เนื้อหนังมังสา)  ควรเสริมสร้างความว่างเปล่าทางจิตใจให้เต็ที่ "ไม่ไหว้ตัวรูป" ก็คือ ยกย่องการเชื่อถือเลื่อมใสแห่งจิตใจ เพื่อที่จะแสวงหาทางอยู่ยืนยงตลอดไป แกเข้าใจในความหมายนี้ผิดไป การทำลายป้ายชื่อบรรพบุรุษเท่ากับตัดขาดกุศลบุญของบรรพบุรุษ อยากจะถามว่าตัวแกมาจากแห่งใด?. แกแซ่อะไร?.  ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนสืบเนื่องมาจากบรรพบุรุษสวรรค์ "ตั่วเซี่ยงตี่" (พระเจ้าองค์ใหญ่) บรรพบุรุษคือ เสี่ยวเซี่งตี้ (พระองค์เจ้าเล็ก) แกมันลืมต้นตระกูลข่มโคตร ไม่ใช่ความมุ่งหมายอันแท้จริงของพระผู้เป็นเจ้า ดังนั้นสวรรค์จึงไม่รับ ต้องตกลงมาอยู่ในนรกในเมื่อแกสารภาพมาตามความจริงจะลดโทษให้ 2 เดือน เมื่อหมดกำหนดการลงโทษแล้ว ให้ส่งไปยัง 6 ช่องทางเพื่อไปผผุดเกิดอีกครั้ง

อรหันต์จี้กง   :  การเลื่อมใสนับถือศาสนาคือการฝึกฝนอบรมจิตใจ มิใช่ว่าพวกปัญญาอ่อนวุ่นวายกันเอง การต่อต้านซึ่งกันและกันอ้างตนเองถูกต้อง กฏสวรรค์ได้วางไว้แน่วแน่แล้ว ที่โจมตีหาว่าศาสนาอื่นไม่ถูกต้อง อ้างอวดว่าศาสนาตนเองถูกต้องนั้น ได้บังเกิดจิตใจแห่งการแบ่งแยกแล้ว จิตแห่งเมตตากรุณานั้นสูญสิ้นไปแล้วจึงไม่สามารถสำเร็จธรรม ถ้าหากว่าคนพวกนี้สามารถสำเร็จธรรมแล้วก็หมายความว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นเกิดการลำเอียง ต้องดูคนนับถือศาสนาใดแล้วจึงจะให้คุ้มครอง เมื่อนั้นแล้วสิ่งศักดิ์สิทธิ์เทพเจ้าก็จะเกิดขัดแย้งวุ่นวาย สวรรค์ก็จะกลายเป็นสนามรบ จะมีชื่อว่าแดนแห่งความผ่องแผ้วสดใสยอดสุขได้อย่างไร?. วันนี้เวลาหมดแล้ววันอื่นค่อยมาเยี่ยมชมใหม่ เจ้าหยางเซิงเตรียมตัวกลับสำนัก

เซียมล้ออ๊วง   :  นายทหารตั้งแถวนมัสการส่งท่านอาจารย์

หยางเซิง   :  เพราะเหตุเวลาดึกมาก อยู่นานไม่ได้ขอขอบคุณท่านยมบาลและพัศดีกับนายทหารทั้งหลายในการให้คำแนะนำ เราขอลาก่อนละ

อรหันต์จี้กง   :  รีบขึ้นดอกบัว

หยางเซิง   :  กระผมนั่งเรียบร้อยแล้ว เชิญอาจารย์ท่านเดินทางกลับเถิด.....

อรหันต์จี้กง   :  ถึงสำนักเซี้ยเฮี้ยงตึ้งแล้ว หยางเซิงลงจากดอกบัว วิญญาณกลับเข้าสู่ร่างดังเดิม
หัวข้อ: เที่ยวเมืองนรก ครั้งที่ 33 ตอน ท่องแดนพร่าหัวใจนรกน้อย ครั้งที่ 2
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 4/09/2012, 05:18
                        เที่ยวเมืองนรก

               ครั้งที่ 33  วันที่  15  กรกฏาคม  พ.ศ. 2520

                     ตอน  ท่องแดนพร่าหัวใจนรกน้อย  ครั้งที่ 2

        ท่านอรหันต์จี้กงเสด็จปรากฏกาย ตรัสเป็นกลอนมีความว่า  :

              ด้วยปัญญา        มักอิจฉา        ผู้ดีกว่า
ชอบกล่าวหา                   ลอบทำร้าย     ด้วยอุบาย
ประพฤติชั่ว                     ก่อทุกข์เข็ญ    กรรมติดกาย
ร้องจนตาย                     ในนรก           พร่าหัวใจ

อรหันต์จี้กง   : 
ในโลกมนุษย์มีคนอยู่ชนิดหนึ่ง ตัวเองนั้นไม่มีภูมิปัญญา พอเห็นผู้อื่นมีความสามารถแสดงออกมา ก็เกิดความริษยาขึ้น โดยแอบใช้อาวุธลับ เข้ายุแหย่ปลุกปั่น หรือเที่ยวโพนทะนาปมด้อยหรือความผิดของผู้นั้นให้ร่ำไป บ้างก็เห็นผู้อื่นบำเพ็ญธรรมที่ต่างกันกับตนที่เชื่อถืออู่ ก็กล่าววาจาให้ร้ายทำลายล้าง เหล่านี้ล้วนต้องตกเข้า"นรกพร่าหัวใจ" เพื่อตัดเฉือนใจที่ริษยาผู้อื่นที่เก่งกว่า ใจที่ให้ร้ายทำลายล้างผู้อื่นนั้นออก วันนี้เตรียมท่องนรก เจ้าหยางเซฺงขึ้นดอกบัวเร็ว

หยางเซิง   :  ขอรับคำบัญชา กระผมนั่งลงเรียบร้อยแล้ว เชิญท่านอาจารย์เดินทางได้.....

อรหันต์จี้กง   :  ถึงแล้วละ ลงจากดอกบัวเร็ว

หยางเซิง   :  "นรกพร่าหัวใจ" ได้ปรากฏต่อหน้าจริง ๆ ด้วย

อรหันต์จี้กง   :  วันนี้เราจะไม่รบกวนท่านยมบาลอีก เราตรงไปยัง "แดน 16 พร่าหัวใจนรกน้อย" เพื่อประหยัดเวลา พัศดีได้เปิดประตูต้อนรับเราแล้ว

หยางเซิง   :  เราเข้าไปข้างในกันเถิด

พัศดี   :  ขอต้อนรับท่านอาจารย์กับท่านหยางเซิงมาเยี่ยมชมอีกครั้ง เชิญท่านทั้งสองเข้าชมภายใน

หยางเซิง   :  การลงโทษของคุกนรกน่าหวาดเสียวสยองเกล้าเหลือเกิน เริ่มจากขุมที่ 1 แล้ว พอย่างเข้าแดนนรกสิ่งที่ได้รู้ได้เห็นล้วนมืดมัวขนลุกน่าสยดสยองทั้งสิ้น เฉพาะอย่างยิ่งความอนาถเมทนาหัวใจของวิญญาณโทษในนรกพร่าหัวใจ ยิ่งทวีความเศร้าสลดใจแสนที่จะทนทานได้

พัศดี   :  หัวใจเป็นเจ้าผู้ครองในตัวมนุษย์ "พร่าหัวใจ" นั้นเป็นการลงโทษที่ทรมานสุดยอดหาที่เปรียบมิได้ หัวใจโดนตัดสะเทือนไปทั่วสรรพางค์กาย ความเจ็บปวดทรมานนั้นยากที่ตัวหนังสือจะถ่ายทอดออกมาได้

อรหันต์จี้กง   :  เราเข้าไปในคุกอีกครั้ง สัมภาษณ์วิญญาณโทษเพิ่มอีกสัก 2-3 ตน เพื่อรวบรวมข้อมูลไปเตือนผู้คนในแดนมนุษย์

พัศดี   :  ท่านรออยู่นอกห้องขังก่อน ข้าพเจ้าจะเข้าไปพาตัววิญญาณโทษออกมาสัก 2-3 ตน ให้นายทหารพักการทำโทษชั่วคราวไว้ก่อน ใช้พัดคืนชีพให้ ทำให้หน้าตาเดิมของมันกลับคืนมา

นายทหาร   :  รับคำบัญชา

พัศดี   :  ปลดวิญญาณโทษ 3 ตนออก เพื่อให้ออกจากห้องขัง ให้เล่าสารภาพหลักฐานการทำชั่วของตนต่อท่านอาจารย์ และท่านหยางเซิงแห่งสำนักเซี้ยเฮี้ยงตึ้งเมืองไถ่ตงของแดนมนุษย์ ที่รอคอยอยู่ข้างนอก เพื่อปลอบเตือนชาวโลก

นายทหาร   :  ได้ปลดวิญญาณโทษ 3 ตนออกแล้ว รีบตามท่านพัศดีออกจากห้องขัง

พัศดี   :  ท่านนี้คือ อรหันต์จี้กง  และท่านหยางเซิง แห่งสำนักเซี้ยเฮี้ยงตึ้งแห่งเมืองมนุษย์ ท่านศิษย์อาจารย์รับเทวโองการท่องนรกเพื่อแต่งหนังสือ รีบสารภาพความจริงที่ตนสร้างไว้ในตอนมีชีวิตอยู่เพื่อลงในหนังสืิอ เร็ว !  เร็ว !

วิญญาณโทษ   :  ผม
ตอนมีชีวิตอยู่นั้นทำงานเป็นข้าราชการอยู่สถานที่ ๆ หนึ่ง เนื่องจากผมเองไม่มีผลงานที่ดีเด่นเห็นเพื่อน ๆ ร่วมงานเลื่อนตำแหน่งสูงขึ้น ภายในใจก็เกิดความแค้น - ริษยา หาว่าเจ้านายไม่ยุติธรรมจึงคิดจะหาทางแก้แค้น และฉวยโอกาสปั้นแต่งเรื่องเท็จต่าง ๆ ไปฟ้องร้องต่อเจ้านายเสมอ ๆ โดยแจ้งเท็จไปว่า เขาผู้นั้นรายงานการปฏิบัติงานเท็จบ้าง คอรัปชั่นบ้างเพื่อจะใส่ร้ายเขา ก็เพราะเรื่องนี้แหละ เมื่อ 4 ปีก่อนนั้น เกิดป่วยเป็นโรคมะเร็งถึงแก่ความตาย ถูกยมทูตขาวดำนำตัวเข้ามาในนรก คุมขึ้นไปบนหอกระจก (กรรม) วิเศษ  ฉายออกซึ่งเหตุการณ์ความผิดซึ่งผมเล่นสกปรกและใส่ร้ายเพื่อนร่มงาน ต่อมาถูกมอบส่งให้ขุมที่ 5 ให้ท่านยมบาลพิจารณาตัดสิน ท่านยมบาลโกรธมาก ด่าว่าผมไม่มีความสามารถแล้วไม่เจียมตัวไปอิจฉาริษยาผู้มีภูมิปัญญา ทำอุบายให้ร้าย จิตใจโหดเหี้ยมอำมหิต  ตัดสินให้ผมมารับโทษที่นี่โดนยมทูตผ่าอกตัดพร่าหัวใจทุกวี่ทุกวัน เจ็บปวดแสบไส้ ตอนอยู่ในเมืองมนุษย์ไม่เชื่อว่ามีกรรมสนองตอบเรื่องเหตุและผล เมื่อตายลงแล้วจึงมีทุกข์แต่ไม่สามารถพูดได้
หัวข้อ: เที่ยวเมืองนรก ครั้งที่ 33 ตอน ท่องแดนพร่าหัวใจนรกน้อย ครั้งที่ 2
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 4/09/2012, 07:09
                           เที่ยวเมืองนรก

               ครั้งที่ 33  วันที่  15  กรกฏาคม  พ.ศ. 2520

                     ตอน  ท่องแดนพร่าหัวใจนรกน้อย  ครั้งที่ 2

        ท่านอรหันต์จี้กงเสด็จปรากฏกาย ตรัสเป็นกลอนมีความว่า  :

              ด้วยปัญญา        มักอิจฉา        ผู้ดีกว่า
ชอบกล่าวหา                   ลอบทำร้าย     ด้วยอุบาย
ประพฤติชั่ว                     ก่อทุกข์เข็ญ    กรรมติดกาย
ร้องจนตาย                     ในนรก           พร่าหัวใจ

อรหันต์จี้กง   :  จิตใจที่อิจฉาผู้มีปัญญานั้นไม่มควรมี
แกทำลายความสมัครสมานของกลุ่มคณะ เป็นตัวแกะดำไม่ควรอย่างยิ่ง ชาวโลกควรฝึกเรียนความสามารถหาจุดเด่นจากผู้มีปัญญา ต้องให้ความเคารพเทิดทูน ก็จะได้เพิ่มพูนความรักความสามารถไปเรื่อย ๆ มิเช่นนั้นแล้วจิตใจควรแก่การพร่าเฉือนจะต้องลงเอยแบบวิญญาณตนนี้แหละ

พัศดี   :  ตนที่ 2 รีบเล่าความชั่วตนเองครั้งอยู่ในแดนมนุษย์ให้ท่านหยางเซิงฟังว่าผิดอะไรบ้าง

วิญญาณโทษ   :  ตอนมีชีวิตอยู่ ผมเป็นดาบสจำศีลบำเพ็ญธรรมอยู่กับบ้าน ซึ่งได้อธิษฐานสละตัวเป็นสาวกของพระพุทธเจ้าท่าน เนื่องจากได้อ่านพระไตรปิฏกมากพอสมควร จึงถือว่านอกจากพระพุทธเจ้าแล้วล้วนเป็นพวกมาร พวกนอกรีตนอกรอยทั้งนั้น เมื่อไปเจอพวกถือศาสนาอื่นจึงมองดูด้วยสายตาเหยียดหยามหมิ่นแคลน เช่นต่อพวกถือศาสนาเต๋า ผมจะพูดว่า "ที่เธอกราบไหว้นั้นเป็นพวกภูตผีชั้นต่ำนอกรีตนอกรอย ต่อไปจะไม่ได้สำเร็จขึ้นสวรรค์"  มีคนเขาให้หนังสือธรรมจากสำนักรับทรงให้ผมอ่าน ผมก็ไม่สนใจแม้แต่จะมองดูเลย โดยพูดว่า "ภูตผีสิงสู่ร่างพู่กันทรงเป็นของปลอม อย่าไปเชื่อถือ ศาสนาอุบาทว์"  ทั้งชีวิตมีแต่พูดทำลายศาสนาอื่นอย่างสุดความสามารถ คิดว่าตนเองเข้าใจในพระพุทธธรรมดีแล้วเลิศล้ำยิ่งยอด หารู้ไม่ว่าทางนรกกลับเปิดโล่งเดินสะดวก ขณะตายไม่เห็นมีเจ้าผู้ครองธรรมและทูตจากสวรรค์ แต่มียมทูต 2 ตน ควบคุมตัวผมเข้าคุกถูกส่งมาคุมที่ 5 ยมบาลท่านไม่สบอารมณ์ ตวาดว่า "แกเป็นผู้ทรยศต่อพระพุทธท่าน ไม่มีจิตใจที่เมตตากรุณาแม้แต่น้อย มาตรว่าตัวได้รับศีลแล้วแต่ในใจมีแต่ความโกรธหลงอยู่ ใส่ร้ายป้ายสีศาสนาอื่นอย่างสาดเสียเทเสีย ไม่เข้าใจความเสมอภาคแห่งพุทธธรรม ทุก ๆ ศาสน์ทุก ๆ นิกาย ล้วนมีธรรมมีเหตุผล ขอให้สร้างแต่กุศลบำเพ็ญไม่ทำความชั่วร้ายผิดกฏหมายล้วนเป็นศาสนาที่ถูกต้องเที่ยงตรงทั้งนั้น  แกถือว่าเดชฤทธิ์ของพระพุทธกว้างขวางไม่มีที่สิ้นสุด แต่หารู้ไม่ว่าศาสนาอื่นเขาก็มีฤทธิ์เดชอันมหาศาล ไม่น่าไปตบปากผู้อื่น (เหยียดผู้อื่น) แล้วมาคุยอวดว่าตัวเองสูงส่งเลิศล้ำกว่า เพียงแต่โทษตัวเองดื้อรั้น ถือมิจฉาทิฐิ  ตอนมีชีวิตอยู่ยกตัวเองสูงเกินควร ทำให้ตัวเองลุ่มหลงเลยเกิดจิตใจใส่ร้ายป้ายสีผู้อื่น หมิ่นกฏ  หมิ่นธรรม  หมิ่นศาสนา  หมดสิ้นแล้วซึ่งจิตแห่งพุทธธรรม  ก็เลยต้องมาลงเอยอย่างนี้ แหละฝากเตือนชาวพุทธที่อยู่ในศาสน์เดียวกันทั้งหลาย อย่างพึงเลียนแบบอย่างของผมไปสร้างกรรม ไปทำลายล้างความตั้งใจอุตสาหะตอนที่มีชีวิตอยู่

อรหันต์จี้กง   :  แกเทศนาพระธรรมด้วยการปกปิดพุทธจิตเป็นที่น่าเสียดายยิ่ง ไม่เพียงแต่ควรฆ่า (พร่า) เฉือนหัวใจเท่านั้น ต่อไปใน "นรกถอนลิ้น" ยังมีความทุกข์ให้อีก

พัศดี   :  วิญญาณโทษตนที่ 3 ให้รีบสารภาพความผิดที่ทำไว้ในโลกมนุษย์เร็ว

วิญญาณโทษ   :  ผมเป็นนักทรงเอกของสำนักทรงแห่งหนึ่ง ตอนแรกเริ่มก็ตั้งใจจริงรับทรงปลอบเตือนชาวโลก เทวเจ้าท่านมีความศักดิ์สิทธิ์มาก ต่อมาเจ้าสำนักไม่สนใจใยดีต่อผม ผมก็เลยคิดว่าแต่ละงวดก็ได้ทำงานอย่างเหน็ดเหนื่อย แต่ปราศจากความหมายกำลังใจก็เลยถอยเสื่อมลงไปมาก จึงพูดกับพวกนักทรงว่า "การรับเข้าทรงล้วนเป็นการมายาจากมนุษย์ทั้งสิ้น พวกเธออย่าไปหลงใหลเลย"  พวกศิษย์นักทรงเมื่อได้ยินผมพูดเช่นนี้แล้วต่างก็สูญเสียความเชื่อถือ จากนั้นก็มิได้เข้าสำนักฝึกธรรมบำเพ็ญตัว ผมก็ออกจากสำนักไปไม่รับเข้าทรงอีก 7 ปีผ่านไป ผมป่วยตาย วิญญาณถูกยมทูตคุมมายังขุมที่ 5 ยมบาลท่านด่าว่า "ตัวแกเป็นนักทรงเอก แม้ว่าไม่มีใครสนใจแกจากสำนัก ก็ไม่ควรกล่าวคำละเมิดให้ร้ายต่อการทรงที่ศักดิ์สิทธิ์ แกทำความผิดอย่างใหญ่หลวง ตัดสินให้เข้าอยู่ "นรกพร่าหัวใจ" 15 ปี รับการลงโทษฐานแห่ง "ใจกล่าวร้ายต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์" เสร็จแล้วส่งไปให้ขุมอื่นจัดการลงโทษอีก จะสำนึกตัวได้ก็สายเสียแล้ว ขอท่านอาจารย์โปรดช่วยขออภัยโทษให้ด้วยเถิด

อรหันต์จี้กง   :  การทรงเจ้าคือตัวแทนแห่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ชาวโลกจะละเมิดให้ร้ายไม่ได้เป็นอันขาด มิเช่นนั้นแล้วโทษนั้นจะไม่มีทางอภัยให้ได้ รับทรงเตือนชาวโลก คือการตอบสนองรับจากฟ้าสวรรค์ท่านเพื่อช่วยเหลือกอบกู้มวลมนุษย์ ต้องได้รับอนุญาตจากท่านเง็กเซียนฮ่องเต้ จึงจะตั้งสำนักประกาศธรรมได้ ผู้กล่าวร้ายทำให้เสื่อมเสียก็เท่ากับละเมิดท่านผู้สูงส่งเบื้องบนสวรรค์ โทษนั้นยากยิ่งที่จะให้อภัยได้ เพราะเหตุว่าเวลาดึกแล้ว เจ้าหยางเซิงเตรียมตัวกลับสำนัก

หยางเซิง   :  ขอบคุณท่านพัศดีและนายทหารที่ให้การนำพาเยี่ยมชม ขอลาก่อนละ

พัศดี   :  จะยินดีต้อนรับท่านมาเยี่ยมใหม่อีกครั้ง

อรหันต์จี้กง   :  นรกพร่าหัวใจนี้สำคัญมาก คราวหน้าต้องมาเยี่ยมเยือนอีก

หยางเซิง   :  กระผมนั่งลงเรียบร้อยแล้ว เชิญท่านอาจารย์กลับสำนักเถิด.....

อรหันต์จี้กง   :  สำนักเซี้ยเฮี้ยงตึ้งถึงแล้ว  หยางเซิงลงจากดอกบัว วิญญาณกลับเข้าสู่ร่างดังเดิม
หัวข้อ: เที่ยวเมืองนรก ครั้งที่ 34 ตอน ท่องแดนพร่าหัวใจนรกน้อย ครั้งที่ 3
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 5/09/2012, 08:39
                          เที่ยวเมืองนรก

               ครั้งที่ 34  วันที่  17  สิงหาคม  พ.ศ. 2520

                     ตอน  ท่องแดนพร่าหัวใจนรกน้อย  ครั้งที่ 3

                       พอดีเป็นเดือนเจ็ดประตูผีเมืองนรกเปิด

        ท่านอรหันต์จี้กงเสด็จปรากฏกาย ตรัสเป็นกลอนมีความว่า  :

             เทศกาล        ทิ้งกระจาด        ในเดือนเจ็ด
วิญญาณผั                  ทั้งใหญ่เล็ก        สุขหรรษา
ขุมนรก                      ปลดปล่อยผี       สามสิบเพลา
เหมือนมนุษย์              สุขสมหวัง          ไม่มากนัก

อรหันต์จี้กง   :  เดือนเจ็ดประตูผีเปิด
พวกวิญญาณผีทั้งหลายมีโอกาสขึ้นมาพักผ่อนหย่อนใจและรับส่วนบุญในเมืองมนุษย์ ดังนั้นเดือนเจ็ดจึงเรียกตามประเพณีว่าเป็น  "เดือนผี" กิจการงานหลายเรื่องต้องถูกห้ามทำ เพราะว่าเกรงจะไปปะทะเข้ากับวิญญาณผี ถ้าหากว่าชาวโลกมีความเกรงกลัวเจ้า - ผีอยู่ทุก ๆ ขณะจิตก็จะไม่มีการทำผิดโดยปริยาย เมื่อประตูผีเปิดออก การท่องนรกแต่งหนังสือย่อมมีอุปสรรค ไม่มากก็น้อย  แต่มีตัวข้าฯ อยู่ที่นี่ด้วย พวกผีสางจะหลบหลีกไปเอง เจ้าหยางเซิงอย่าได้เกรงกลัวเลย

หยางเซิง   :  ผีสางนั้นแปรเปลี่ยนมาจากมนุษย์ เห็นสิ่งประหลาดแต่ไม่ประหลาดด้วย สิ่งประหลาดนั้นก็จะดับสูญไปเอง (เมื่อเห็นผีแล้วไม่กลัวผีก็จะดับไปเอง) กระผมหาได้กลัวมันไม่

อรหันต์จี้กง   :  พูดอย่างนี้ถูกต้องแล้ว ขึ้นบนดอกบัวเร็ว เตรียมท่องนรก

หยางเซิง   :  กระผมนั่งลงเรียบร้อยแล้ว เชิญท่านอาจารย์ออกเดินทางได้แล้ว...

อรหันต์จี้กง   :  ถึงแล้วละ ลงดอกบัวเร็ว.....

หยางเซิง   :  เบื้องหน้าคือ "ประตูเมืองผี" ประตูด้านข้างของ "ประตูผี" ได้เปิดออกแล้ว วิญญาณคนตายแก่งแย่งเบียดเสียดแย่งกันออกมา แต่ละตนยิ้มแย้มแจ่มใสคล้ายกับว่าได้รับอากาศบริสุทธิ์ฉันนั้น

อรหันต์จี้กง   :  เดือน 7 ประตูเมืองผีอนุญาตให้เปิดประตูด้านข้างออก ประดาวิญญาณผีพวก "สามัญชน" ล้วนได้เวรผลัดเปลี่ยนออกเที่ยว  แต่ละตนราวกับว่านกที่หลุดพ้นออกจากกรง ต่างดีอกดีใจจนลืมตัว มุ่งไปยังแดนมนุษย์

หยางเซิง   :  พวกวิญญาณผีที่มาเผชิญหน้าเรา ไฉนจึงทำการหลบหลีกเลี่ยงไป?.

อรหันต์จี้กง   :  มิใช่อย่างนั้น แม้ว่าจะเปิดประตูผีในเดือนเจ็ด แต่ปลดปล่อยเอาพวกวิญญาณผีในพวกสามัญชนนั้น ตอนมีชีวิตอยู่มิได้สร้างบุญกุศลหรือทำบาปเอาไว้ ถูกจัดไว้ที่เขต "สามัญชน" ในแดนนรก ดำเนินการเป็นอยู่เหมือนดั่งชาวโลก ตามปรกติแล้วไม่สามารถจะออกจากเขตแดน เมื่อถึงเดือนเจ็ดมีการอภัยโทษครั้งใหญ่จากเจ้าที่เจ้าทาง อนุญาตให้เปลี่ยนเวรกันออกไปพักผ่อน ส่วนช่องทางของผีในยมโลกต้องเป็นวันที่ 15 จึงปล่อยให้บางส่วนออกไปรับส่วนบุญ ทางพุทธศาสนาว่า "อูลั้งเส่งหวย" ทางศาสนาเต๋ากล่าวว่า "ตงง้วนโพวโต่ว" (คือพิธีโปรดวิญญาณในนรก) ข้าราชการของยมโลกตามปรกติมีวันพักผ่อนที่กำหนดอยู่ก่อนแล้วไม่เกี่ยวกับการนี้  นี่แหละเป็นสภาพความเป็นอยู่ของยมโลกโดยสังเขป เจ้าจงรีบขึ้นบนดอกบัวเสีย เราจะตรงไปเยี่ยมชม 16 แดนพร่าหัวใจนรกน้อย"

หยางเซิง   : 
กระผมนั่งเรียบร้อยแล้ว เชิญอาจารย์ท่านออกเดินทางเถิด

อรหันต์จี้กง   :  ถึงแล้ว ลงจากดอกบัวได้

หยางเซิง   :  ขอรับคำบัญชา พัศดีได้มาต้อนรับเราแล้ว ขอแสดงความเคารพต่อท่านพัศดีและเทวทูตทั้หลาย วันนี้เราศิษย์อาจารย์ได้มารบกวนอีก โปรดให้คำแนะนำด้วย

พัศดี   :  ไม่ต้องเกรงใจ เพราะเหตุที่ตรงกับเดือนเจ็ด การจราจรบนถนนในยมโลกจึงค่อนข้างจะวุ่นวายสับสน ท่านทั้งสองคงลำบากมาก

อรหันต์จี้กง   :  หาเป็นไรมิได้ เราเยี่ยมชมจากนอกประตูเมืองแล้ว เห็นความชื่นบานหฤหรรษ์ของวิญญาณผี จึงตระหนักดีถึงคุณค่าแห่งอิสรเสรี

พัศดี   :  เชิญท่านทั้งสองเข้าไปเยี่ยมชมในคุก ข้าพเจ้าจะจัดคดีเรื่องพิจารณาให้เห็น เพื่อเป็นการปลอบเตือนชาวโลก

หยางเซิง   :  ขอบคุณยิ่ง ข้าพเจ้ามองเห็นวิญญาณโทษในที่คุมขัง มีอาการทุกข์โศกเวทนายิ่งกว่าวันก่อนเสียอีก มิทราบว่าเพราะเหตุใด
หัวข้อ: เที่ยวเมืองนรก ครั้งที่ 34 ตอน ท่องแดนพร่าหัวใจนรกน้อย ครั้งที่ 3
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 5/09/2012, 09:50
                        เที่ยวเมืองนรก

               ครั้งที่ 34  วันที่  17  สิงหาคม  พ.ศ. 2520

                     ตอน  ท่องแดนพร่าหัวใจนรกน้อย  ครั้งที่ 3

                       พอดีเป็นเดือนเจ็ดประตูผีเมืองนรกเปิด

        ท่านอรหันต์จี้กงเสด็จปรากฏกาย ตรัสเป็นกลอนมีความว่า  :

             เทศกาล        ทิ้งกระจาด        ในเดือนเจ็ด
วิญญาณผั                  ทั้งใหญ่เล็ก        สุขหรรษา
ขุมนรก                      ปลดปล่อยผี       สามสิบเพลา
เหมือนมนุษย์              สุขสมหวัง          ไม่มากนัก 

พัศดี   :  เนื่องจากเป็นเดือนเจ็ด บรรดาวิญญาณผีที่ไม่มีความผิด สามารถออกจากคุกไปท่องเที่ยว
วิญญาณโทษเหล่านี้ก็เคยได้ยินเขาพูดไว้ตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ว่า เดือนเจ็ดเป็นโลกแห่งวิญญาณผี ในใจคิดว่าวันนี้จะได้ปลดทุกข์สบายสักครั้ง แต่หารู้ไม่ขื่อคาถูกมัด ร่างกายมิได้เป็นอิสระ เห็นคนอื่นได้พักผ่อนสนุกสนานด้วยความกระลิ้มกระเหลี่ย ตนเองถูกคุมขัง ยมทูตไม่มีการปราณี ก็ยังลงโทษพร่าหัวใจตามเคย จึงเกิดการกลุ้มอกกลุ้มใจอเนจอนาจใจยิ่งนัก ชาวโลกควรเตรียมใจไว้แต่เนิ่น ๆ เป็นคนดี ทำความดี อย่าทำบาป  ตายลงแล้วอยู่ในแดนนรกจะไม่เห็นดาวเห็นตะวันเลย ซ้ำยังไม่มีความอิสรเสรีด้วยเนื่องจากเวลาน้อย ข้าพเจ้าจะจัดให้วิญญาณโทษ 2 ตนออกจากที่คุมขังให้เล่าความชั่วของตัวมันเองในปางก่อนเป็นการปลอบเตือนชาวโลก

วิญญาณโทษ   :  พูดไปแล้วน่าขายหน้ามาก เนื่องจากผมได้สูญสิ้นภรรยาตอนวัยกลางคน แต่ยังมีกามราคะติดกายติดใจอยู่ อยู่มาวันหนึ่งขณะที่อยู่ในที่เปลี่ยวของชนบท ระหว่างทางได้พบหญิงสาวนางหนึ่ง จึงเกิดความใคร่ขึ้นอย่างรุนแรงเห็นว่าปลอดคนทั้งสี่ทิศจึงตรงเข้าไปสวมกอดเธอแล้วฉุดคร่าเข้าไปในสวนอ้อยที่ใกล้ ๆ นั้นเตรียมการข่มขืนเธอ หญิงสาวนั้นก็ร้องดิ้นขัดขืนร่ำไห้ครวญครางขอร้องให้ปล่อยเธอไป เนื่องจากผมได้สูญสิ้นสติสัมปชัญญะหิริโอตตัปปะแล้ว จึงสำทับข่มขุ๋ว่า หากไม่ยอมจะฆ่าให้ตาย ในที่สุดเธอก็ต้องจำยอม ให้ผมทำการปู้ยี่ปู้ยำ หลังจากเหตุการณ์ผ่านพ้นไปแล้วผมมีความรู้สึกสำนึกตัว รู้สึกเสียใจมาก แม้ว่าเธอผู้นั้นมิได้ไปแจ้งความให้ตำรวจสืบสวนคดี แต่ผมมีความละอายใจต่อตัวเอง ได้แต่ติเตือนตัวเองอยู่เสมอ ๆ ต่อมาไม่นานผมตายลงด้วยโรคไข้ วิญญาณตกไปถึงแดนนรก  ท่านยมบาลมีความโกรธยิ่งเพราะเหตุว่าผมได้รับสารภาพความผิดโดยดี จึงมิได้ผ่านหอกระจก (กรรม) วิเศษ โดยถูกส่งตรงมายังขุมที่ 5 ตัดสินให้ตกเข้า "นรกพร่าหัวใจ" มีกำหนด 10 ปี เพื่อพร่าเฉือน "ใจมักมากในกาม ใจข่มขืน" ของผมได้รับความทรมานมา 4 ปีเศษแล้ว แต่ละวันเจ็บใจสำนึกผิด แต่เมื่อพลั้งพลาดครั้งเดียว จึงต้องระทมเป็นพันปี จะสำนึกตัวได้ก็สายเสียแล้ว

พัศดี   :  ข่มขืนหญิงพรหมจารี ทำลายคนตลอดชาติ บาปกรรมนั้นชั่วร้ายใหญ่ยิ่งสุดซึ้ง แม้แกจะโทษตัวเองจนถึงกับตายลง รู้จักสำนึกผิดแต่โทษอันนี้ไม่มีทางที่จะชดใช้ได้ ความชั่วร้ายทั้งหลายนับได้ว่ากามราคะเป็นความชั่วที่สุดยอด ทำเองรับเอง อย่าไปโทษใครเขาเลย ขอเตือนชาวโลก อย่าได้ทำผิดในเรื่องกามลามกนี้เป็นอันขาด หากว่าผู้ใดผิดไปแล้วควรรีบไปสารภาพบาปต่อหน้าพุทธเทพ บนบานตั้งอธิษฐานแน่วแน่หรือพิมพ์แจกหนังสือ "เที่ยวเมืองนรก" พันเล่มเพื่อปลอบเตือนชาวโลก จะได้ลดโทษให้บ้าง มิเช่นนั้นแล้วแดนนรกต้องมีส้วนด้วยแน่นอน สั่งให้วิญญาณโทษตนที่ 2 รับารภาพปางก่อนได้ทำเวรก่อกรรมอะไรไว้ ไม่งั้นจะลงโทษอย่างหนักไม่ผ่อนคลาย   

วิญญาณโทษ   : 
กระผมแสนจะเจ็บปวดทรมาน จะพูดก็พูดไม่ออกเพราะว่า ความผิดเพียงวูบเดียวในตอนที่มีชีวิตอยู่นั้นเลยก่อกรรมชั่วอันใหญ่หลวงมหาศาลขึ้น ต้องทนทุกข์อย่างไม่รู้จักจบสิ้น น้อมขอนำท่านอรหันต์จี้กงช่วยกอบกู้ด้วยเถิด

อรหันต์จี้กง   :  ตอนมีชีวิตอยู่รับความสุขทางกามมากเกินควร สุขสดชื่นล้นเหลือ จึงนำความชั่วร้ายมาสนองตน ฉันจะอภัยโทษให้แกทางใดได้เล่า คงก้มหน้ารับกรรมไปเถิด

วิญญาณโทษ   :  กระผมชอกช้ำระกำใจยิ่งนัก เมื่อท่านอาจารย์ไม่ช่วยแล้ว กระผมก็หมดปัญยาได้แต่สารภาพบาปในปางก่อน ตอนมีชีวิตอยู่นั้นกระผมเป็นคนขับรถแท็กซี่ ด้วยเหตุว่ามิได้รับการศึกษาสูงจึงมักจะทำอะไรในทางผิด ๆ สารพัดอย่าง "เทียวผู้หญิง เล่นการพนัน เมาสุรา" เอาหมดทุกอย่าง เฉพาะอย่างเรื่องผู้หญิงภายในรถมีเทปสนทนาพูดแต่เรื่องลามก ถ้ามีผู้เช่าใช้รถเป็นหญิงเดี่ยวก็จะเปิดเทป เป็นการเกี้ยวพาราสี บางคนเจอเข้าก็ด่าผมว่า "ไอ้ผี ไม่มีศีลธรรมปีศาจลามก" เป็นการใหญ่ แต่กระผมก็สนุกสนานชอบใจ ไม่มีความอายเลย มีอยู่ครั้งหนึ่งในเวลากลางคืน ได้รับผู้โดยสารสาวคนหนึ่ง มีหน้าตาที่สวยสดบาดใจมาก กระผมก็เกิดความใคร่ขึ้นมาอย่างรุนแรงรีบเปิดเทปลามก และเร่งความเร็วเพิ่มขึ้นพาไปที่ชานเมืองที่เปลี่ยว แล้วใช้มีดข่มขู่บังคับข่มขืนสำเร็จความใคร่รวดเดียว 3 ครั้งติดกัน เมื่อ 5 ปีเกิดโชคร้าย รถเกิดเสียหลักพลิกคว่ำถึงกับชีวิตดับลง ทันใดนั้นเห็นยมบาลหัวควายหน้าม้าใช้โซ่เหล็กล่ามตัวแล้วคุมไปยมโลก ผ่านการพิจารณาจากทุกขุมแล้วส่งมอบมาให้ขุมที่ 5 ให้ตกเข้า นรกพร่าหัวใจ" มีกำหนด 30 ปี ได้รับการทรมานทุกวี่ทุกวัน จะสำนึกผิดมันก็สายเกินการเสียแล้ว  หวังว่าท่านหยางเซิงหลังจากกลับไปยังโลกมนุษย์แล้ว บอกต่อ ๆ ชาวโลกว่า การกระทำตาง ๆ ในตอยอยู่ในโลกมนุษย์ เมื่อตายแล้วต้องไปคิดบัญชีกันทุก ๆ เรื่องที่ยมโลกให้เคลียร์ (เรียบร้อย) จะรอดจากการลงโทษยากนักโทษแต่ตัวเองโง่เง่า ไม่มีความคิด ก่อสร้างโทษมหาศาล

พัศดี   :  วิญญาณโทษตนนี้บาปเวรหนักหนายิ่ง ถูกหักอายุขัย 10 ปี โดนเก็บกับแดนนรกก่อนกำหนดเป็นการตัดตอนปราบปรามพวกคนชั่ว รอจนการลงโทษคุกนี้หมดลง จะส่งเข้านรกโลกันต์ ไม่ให้ไปผุดเกิดได้ตลอดกาล ชาวโลกควรจดจำจากตัวอย่างนี้ เรื่องกามลามกเป็นสิ่งชั่วร้ายสุดยอดแห่งความชั่วทั้งหลาย บรรดาการสมสู่ที่ไม่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม หรือข่มขืนผู้หญิง หรือเปิดเทปเสียงลามกในรถต่าง ๆ โดยความคิดชั่วร้ายนั้นๆ ยมกฏไม่มีการให้อภัยหากไม่ระมัดระวังในการกระทำ วันข้างหน้าจะไม่สามารถช่วยเหลือชดเชยได้เลย

อรหันต์จี้กง   :  การทำโทษแบบ "พร่าหัวใจ" มีความทรมานเจ็บปวดมากกว่าทำโทษอื่น ๆ เป็นหมื่นเท่า ชาวโลกจงอย่ากระทำสิ่งใด ๆ ด้วยใจอธรรมเป็นอันขาด มิเช่นนั้นแล้วต้องได้รับสนองตอบแค่มือเอื้อมเท่านั้น จะสำนึกผิดก็สายเสียแล้ว เพราะเวลาหมดลง เจ้าหยางเซิงเตรียมตัวกลับสำนัก

หยางเซิง   :  ขอบคุณท่านพัศดีและนายทหารมาก

อรหันต์จี้กง   :  รีบขึ้นบนดอกบัวเถอะ

หยางเซิง   :  กระผมได้นั่งลงเรียบร้อยแล้ว เชิญท่านอาจารย์กลับสำนักได้...

อรหันต์จี้กง   :  ถึงสำนักเซี้ยเฮี้ยงตึ้งแล้ว หยางเซิงลงจากดอกบัว วิญญาณกลับเข้าสู่ร่างดังเดิม 
หัวข้อ: เที่ยวเมืองนรก ครั้งที่ 35 ตอน ท่องแดนพร่าหัวใจนรกน้อย ครั้งที่ 4
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 6/09/2012, 15:34
                         เที่ยวเมืองนรก

               ครั้งที่ 35  วันที่  30  สิงหาคม  พ.ศ. 2520

                     ตอน  ท่องแดนพร่าหัวใจนรกน้อย  ครั้งที่ 4

        ท่านอรหันต์จี้กงเสด็จปรากฏกาย ตรัสเป็นกลอนมีความว่า  :

            การพนัน        เหมือนแมลงเม่า        โถมกองไฟ
ทรัพย์บรรลัย              แม้นหมื่นแสน            ไม่รู้สึก
หญิงสำส่อน              เมามั่วกาม                ไม่เคยนึก
ตกเหวลึก                 จะร้องโอด                ร้องไปไย 

อรหันต์จี้กง   :  พวกที่กินแล้วก็เที่ยว ไม่คิดจะทำงานทำการ
ไม่ประกอบอาชีพที่ชอบธรรม ดำเนินการครองชีพด้วยเล่นการพนัน มีผู้สุจริตชนไม่น้อยถูกพวกนี้หลอกล่อตกหลุมพรางจนเสียผู้เสียคนถึงกลับต้องล้มละลายบ้านแตกหมดเนื้อหมดตัว เป็นเรื่องที่น่าแค้นเคืองยิ่งนัก เช่นกรณีการปล้นทรัพย์เมื่อเร็ว ๆ นี้ที่เกิดขึ้นในถาคกลางก็เนื่องมาจากการเล่นการพนัน สาเหตุมาจากไม่มีเงินไปใช้หนี้ในการเสียพนันนั้น จึงได้เสี่ยงอันตรายไปปล้นเขา ดังนั้นคดีปล้นจี้ใหญ่น้อยกับการลักเล็กขโมยน้อยจึงเกิดขึ้นเสมอ ๆ การพนันสามารถทำลายมนุษย์ แพร่พิษสงลึกล้ำมากมาย ชาวโลกจงอย่าเข้าใกล้บ่อนการพนันเป็นอันขาดเพื่อที่จะไม่ต้องซ้ำชอกขมขืนไปตลอดกาลนาน กามราคะเป็นที่สุดแห่งความชั่วร้ายทั้งปวง ใครไปทำเข้าจะต้องรับโทษอัปยศอดสูเสียชื่อเสียเสียง เฉพาะผู้หญิงคนดีตามบ้านยิ่งต้องรักเกียรติชื่อเสียงอย่าไปคบชู้สู่ชายลับหลังสามี ก่อเหตุร้ายขึ้น หญิงเจ้าชู้มีบาปนักหนา เฉกเช่นการพนันวิญญาณผีในแดนนรกโอดครวญร้องทุกข์ สุ้มเสียงนั้นเศร้าโศกหดหู่เวทนา ไม่น้อยที่เกิดจากสิ่งเหล่านี้ วันนี้อาตมาจะพาหยางเซิงไปท่อง "16 แดนพร่าหัวใจนรกน้อย" อีกครั้ง  ไปสังเกตการณ์การลงโทษของพวกนี้ เจ้าหยางเซิงเตรียมขึ้นบนดอกบัว

หยางเซิง   :  กระผมนั่งลงเรียบร้อยแล้ว เชิญท่านอาจารย์ออกเดินทางได้.....

อรหันต์จี้กง   :  ถึงแล้วละ เจ้ารีบลงจากดอกบัว

หยางเซิง   :  กระผมลงมาแล้ว เหตุการณ์ของแดนนรกในวันนี้ผิดแปลกต่างกันมาก วิญญาณผีเที่ยวไปเที่ยวมา รู้สึกคึกคักมาก  บรรยายกาศนั้นได้ปลอดโปร่งนุ่มนวลดี มันเนื่องจากอันใดมิทราบ?

อรหันต์จี้กง   :  เพราะเหตุว่ากลางเดือนเจ็ดได้มีการโปรดเวไนยสัตว์ (โปรดสัตว์) สองวันนี้ในโลกมนุษย์ทุกแห่งหนได้จัดแต่งสถานที่ทำพิธีกรรมเพื่อให้ทานแผ่ส่วนบุญแก่วิญญาณผี ถ้าหากวิญญาณตนใดที่มีโทษฐานเบาหน่อยล้วนสามารถออกจากคุก ไปรับการให้ทานโดยทั่วหน้า

หยางเซิง   :  ความจริงเป็นอย่างนี้เอง พัศดีได้มาต้อนรับเราอยู่ข้างหน้าแล้ว

พัศดี   :  ยินดีต้อนรับท่านทั้งสองมาเยือนคุกนี้ เพราะเหตุตรงกับเดือนเจ็ดมีการโปรดสัตว์ ยมโลกให้อภัยโทษครั้งใหญ่ จึงรู้สึกค่อนข้างวุ่นวายสับสน ขอท่านอย่าได้ถือสาหาความเลย

อรหันต์จี้กง   :  ที่ไหนได้ ไม่ต้องเกรงใจ เรารบกวนบ่อยครั้งแล้ว ขอท่านพัศดีและนายทหารทั้งหลายอภัยให้ด้วย

พัศดี   :  นี่เป็นกระทำการตามคำสั่ง แต่งหนังสือเตือนชาวโลก บุญกุศลยิ่งยงนัก กล้าหรือจะทำเฉยเมย เชิญเข้าชมภายในเถิด

หยางเซิง   :  ขอบคุณ ในคุกมีเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดไม่ขาดสาย

อรหันต์จี้กง   :  นรกพร่าหัวใจล้วนเป็นพวกที่มีโทษหนักมาก จึงไม่อยู่ในรายการอภัยโทษครั้งใหญ่นี้ เลยไม่สามารถรับการเซ่นไหว้ของสังเวยจากแดนมนุษย์

พัศดี   :  วันนี้ข้าพเจ้าคุมตัววิญญาณโทษ 2 ตน ที่ต่างจากวันก่อนให้มันบอกเล่าเหตุการณ์ในปางก่อนด้วยตัวมันเอง จงฟังคำสั่งดังนี้ ท่านรูปนี้คืออรหันต์จี้กง อีกท่านหนึ่งคือหยางเซิงแห่งสำนักเซี้ยเฮี้ยงตึ้ง เมืองไถ่ตง เมืองมนุษย์ เนื่องจากได้รับเทวโองการให้เข้ามายังยมโลกรวบรวมหลักฐานข้อมูลเตือนชาวโลก หวังว่าวิญญาณโทษ 2 ตนนี้จะรีบสารภาพความชั่วที่สร้างสมไว้ในปางก่อนอย่าได้ชักช้าเสียเวลา 
หัวข้อ: เที่ยวเมืองนรก ครั้งที่ 35 ตอน ท่องแดนพร่าหัวใจนรกน้อย ครั้งที่ 4
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 7/09/2012, 09:01
                         เที่ยวเมืองนรก

               ครั้งที่ 35  วันที่  30  สิงหาคม  พ.ศ. 2520

                     ตอน  ท่องแดนพร่าหัวใจนรกน้อย  ครั้งที่ 4

        ท่านอรหันต์จี้กงเสด็จปรากฏกาย ตรัสเป็นกลอนมีความว่า  :

            การพนัน        เหมือนแมลงเม่า        โถมกองไฟ
ทรัพย์บรรลัย              แม้นหมื่นแสน            ไม่รู้สึก
หญิงสำส่อน              เมามั่วกาม                ไม่เคยนึก
ตกเหวลึก                 จะร้องโอด                ร้องไปไย   

วิญญาณโทษ   : 
ขอรับคำบัญชา ผมตอนมีชีวิตอยู่ทำงานบริษัทแผนกเดินตลาด วันทั้งวันต้องไปติดต่อลูกค้าอยู่นอกร้าน จึงได้ไปพักผ่อนที่โรงแรมเสมอ ๆ เลยรู้จักแม่สื่อคนหนึ่ง มิช้ามินานต่อมา เธอได้ชวนผมร่วมเล่นการพนันด้วย แรกเริ่มเดิมทีเพียงแต่ว่าอยากรู้อยากเห็นเท่านั้น ต่อมาก็เล่นกันเป็นประจำทุกวัน มิเช่นนั้นแล้วมันคันไม้คันมือหงุดหงิดใจไปหมด จากนั้นก็ลุ่มหลงเที่ยวแตร่อยู่กับบ่อนการพนัน แม้ว่ารายได้จากงานนอกร้านพอสมควร แต่มักจะเล่นเสียจนป่นปี้ไปหมด จึงไม่สมดุลกับทุนการพนัน ก็เลยต้องไปหยิบยืมจากเพื่อนฝูงทั่วไป ไม่สนใจดูแลความเป็นอยู่ในครอบครัวผ่านชีวิตด้วยวิธีนี้ไปเรื่อย ๆ  จวบจนกระทั้่งอายุได้ 43 ปี ครั้งหนึ่งได้ขี่รถเครื่อง เกิดอุบัติเหตุขึ้น โดยที่มีอาการมึนเมาด้วยฤทธิ์สุราชีวิตเลยลาโลก เมื่อตายแล้วถูกยมทูตคุมตัวมายังนรกจึงรู้ว่าโดนหักอายุขัย 5 ปีผ่านการพิจารณาจากขุมที่ 1 จนถึงขุมที่4 แล้วจึงส่งมอบให้ขุมที่ 5  ท่านยมบาลโกรธมาก ตัดสินให้ผมตกเข้า"นรกพร่าหัวใจ" 13ปี แต่ละวันโดนพร่าเฉือน "ใจที่รักการพนัน" เจ็บปวดทรมานเหลือที่จะกล่าว ขอให้ชาวโลกจงอย่ารักการพนันเป็นชีวิตจิตใจเป็นอันขาด แดนนรกเกลียดพวกนักการพนันยิ่ง ท่านยมบาลพอเห็นหน้านักการพนันต้องสั่งให้คุมไปเฆี่ยนเสียหนึ่งร้อยหวายก่อนแล้วจึงพิจารณาคดี ท่านว่าก้นของนั่งการพนันนั้นแข็งแกร่งมาก เพราะว่านั่งอยู่กับโต๊ะพนันทุกวี่วัน ขาดการออกกำลังกาย ท่านยมบาลจึงได้ใช้ไม้กระดานเฆี่ยนตีที่ก้น เพื่อเป็นการอกกำลังกาย การกระทำเช่นนี้ไม่เพียงแต่รับการอดสูและยังต้องเจ็บตัวด้วย โอย ผมเจ็บปวดทรมานจริง ๆ ขอท่านอาจารย์โปรดช่วยเหลือด้วย

อรหันต์จี้กง   :  พวกนักการพนัน เมื่อลงมือแล้วไม่เคยมีการปรานีใครเลย แกจะใช้มือข้างไหนขอความช่วยเหลือจากฉัน?. รับโทษแต่โดยดีไปเถอะ อย่าคิดเพ้อเจ้อไปเลย ! 

พัศดี   :  ห้ามขอความช่วยเหลือส่งเดชนะ "ใจรักการพนัน" รักษาให้แกหายดีแล้วยังจะต้องส่งไปลงโทษที่ "นรกไปนาบมือ" อีก ใครใช้ให้แกชอบเล่นการพนันตอนมีชีวิตอยู่เล่า เมื่อตายแล้วก็ต้องรับการสนองอย่างนี้แหละ  อย่าไปโทษฟ้าโทษคนเลย วิญญาณโทษตนที่ 2 รีบสารภาพมาว่าปางก่อนได้ทำอะไรน่าอดสูไว้บ้าง

วิญญาณโทษ   : คนมากหน้าหลายตาอย่างนี้ พูดไปก็อายละซี...ฉันได้แต่งงานแล้ว เนื่องจากมีนิสัยสำส่อนมาแต่เดิม จึงได้เที่ยวคบหาเพื่อนชายทั่วไปหมด เพื่อหาความสุขตื่นเต้น ตอนมีชีวิตอยู่ได้คบชาย 5 คน แอบไปสมสู่กันนอกบ้านเสมอ ๆ สามีไม่มีทางจะรู้ได้เลย ตอนที่อายุได้ 54 ปี เกิดเป็นโรคหัวใจวายถึงกับตายลง วิญญาณถูกนายทหารขาวดำคุมเอาไว้ ผ่านหอกระจก (กรรม) วิเศษฉายเอาความบัดสีในปางก่อนออกมาจึงได้รับสารภาพโดนส่งมอบให้ขุมที่ 5 ตัดสินเข้าอยู่ใน "นรกพร่าหัวใจ" 20 ปี แต่ละวันถูกพร่าเฉือนหัวใจแสนเจ็บปวดจะสำนึกผิดได้ก็สายเสียแล้ว ขอท่านอาจารย์โปรดช่วยขอร้องต่อท่านยมบาล ให้ความปรานีอภัยฉันพ้นจากความทรมานนี้เถิด

อรหันต์จี้กง   :  เธอเป็นเมียคน แต่ไม่รักษาสงวนประเพณีแห่งสตรีเพศ หลงในกาม ใฝ่หาสิ่งฟุ้งเฟ้อไร้แก่นสาร และก็ไมเคยมีการทำบุญสร้างกุศลฉันก็ไม่สามารถจะช่วยได้

พัศดี   :  ท่านอาจารย์อย่าได้ไปสนใจมันเลย ตอนมีชีวิตอยู่ชอบมั่วกาม จึงต้องพร่าเฉือนเอา "ใจมักมากในกาม" ออก นี่คือการทำเองรับเอง จะขอให้พุทธเทพอภัยโทษให้ ตอนมีชีวิตอยู่ความวางมือจากมีดฆ่าสัตว์ (คือสร้างบุญสร้งกุศล)  เช่นนั้นแล้วจึงมาขอพุทธขอเทพ ก็จะได้ให้อภัยโทษทันที ถ้ายังไม่สำนึกตัวจนวันตาย จะอภัยก็ไม่มีทางเสียแล้วล่ะ

อรหันต์จี้กง   :  ท่านพัศดีพูดสมเหตุสมผลมาก บรรดาผู้ที่ชอบเล่นการพนันหรือชอบมั่วกามนั้น ควรรีบสำนึกตัว แล้วตั้งต้นกันใหม่ ทำบุญกุศลให้มาก หากว่าสามารถไปบนบานต่อหน้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์แล้วพิมพ์แจก "เที่ยวเมืองนรก" ให้มากเข้าโทษนั้นก็จะอภัยให้ได้ วันนี้เวลาดึกมากแล้ว เจ้าหยางเซิงเราเตรียมกลับสำนักกันเถอะ

หยางเซิง   :  ขอรับคำบัญชา ขอบคุณท่านพัศดีและนายทหารที่ให้การรับรอง ขอลาก่อนละ

พัศดี   :  ให้นายทหารตั้งแถวนมัสการส่งท่านอาจารย์

อรหันต์จี้กง   :  เจ้าอยางเซิงรีบขึ้นบนดอกบัวเร็ว เตรียมเดินทางกลับ

หยางเซิง   :  กระผมนั่งลงเรียบร้อยแล้ว เชิญอาจารย์ท่านกลับได้แล้ว...

อรหันต์จี้กง   :  สำนักเซี้ยเฮี้ยงตึ้งถึงแล้ว หยางเซิงลงจากดอกบัว วิญญาณกลับเข้าสู่ร่างดังเดิม

                              นรกขุมที่ห้า

        ขุมที่ห้า             สุดสยอง             แสนน่ากลัว
สุดมีดมัว                    น่าเกรงขาม         อนาถหนอ
วิญญาณบาป              ย่างเข้ามา           น้ำตาคลอ
ผู้บาปรอ                    รับโทษทัณฑ์       โดยทั่วกัน
        ยมบาล             หน้าเหล็ก            สั่งเฉียบขาด
ชี้ชะตา                     ผู้ก่อกรรม             ให้อาสัญ
ถูกแหวกอก               ควักหัวใจ             กรีดร้องกัน
หมิ่นวัฒนธรรม            เห่อต่างชาติ          ดูถูกตัว
        พวกลืมตน         ลืมชาติ                ศาสน์กษัตริย์
ชอบตระบัด               ยักยอก                ทำลายชาติ
พวกริษยา                 เขาได้ดี                เป็นสันดาน
ได้รับการ                 ทุรกรรม                ให้ซ้ำไป
        ทั้งพวกสงฆ์      ไม่เจียมตน            ออกนอกศีล
เที่ยวหากิน               นอกลู่ทาง            เถลไถล
ชอบดูถูก                 ศาสนา                 ของใครใคร
ที่กล่าวไป                ถูกพร่าใจ              ให้สิ้นกรรม
หัวข้อ: เที่ยวเมืองนรก ครั้งที่ 36 ขุมที่ 6 : ตอน สนทนากับยมบาลเปียงเซี้ยอ๊วง
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 7/09/2012, 10:26
                         เที่ยวเมืองนรก

               ครั้งที่ 36  วันที่  18  สิงหาคม  พ.ศ. 2520

                                 ขุมที่ 6

                 ตอน  สนทนากับยมบาลเปียงเซี้ยอ๊วง

        ท่านอรหันต์จี้กงเสด็จปรากฏกาย ตรัสเป็นกลอนมีความว่า  :

            กลางเดือนแปด        เวียนมาถึง        อย่างง่ายดาย
วุ่นมิคลาย                          ตั้งแต่เช้า          ยันค่ำมา
หงอกขึ้นเต็ม                       ศรีษะ              ด่วนชรา
มัวชะล่า                           ไม่ชำระ            สะสางใจ

อรหันต์จี้กง   :  วันเพ็ญเดือน 8 ใกล้เข้ามาอีกแล้ว
วันเวลาผ่านไปเหมือนสายน้ำ สำนักของท่านรับเทวโองการให้แต่งหนังสือ "เที่ยวเมืองนรก" เมื่อวันเพ็ญปีกลายนี้ พริบตาเดียวเกือบเต็มขวบปีแล้ว ศิษย์ทังหลายได้ทำงานหามรุ่งหามค่ำอย่างเหน็ดเหนือยเพื่อแต่งหนังสือ ได้สร้างแล้วซึ่งความชอบอันยิ่งใหญ่ ชีวิตมิได้อยู่ยืนนานนัก โบราณท่านว่า คนเรามีอายุได้ถึง 70 ปี นั้นหาได้ยากแต่โบราณกาลมา" มาตรแม้นวิชาแพทย์จะเจริญรุ่งเรืองในสมัยปัจจุบัน ระดับการครองชีพยกฐานะสูงขึ้น มีการเผยแพร่แนะนำว่า "ชีวิตเริ่มต้นด้วย 70 (ปี)" แต่ผู้ที่สามารถมีอายุถึง 70 ปีนั้นมีสักกี่คน ที่จริงแล้วสวรรค์ท่านมิได้กำหนดอายุขัยของมนุษย์แต่อย่างไร แต่เนื่องจากมนุษย์เรามักมากในกาม กำลังกายกำลังใจถูกเผาผลาญไปเกินควร จึงทำให้ร่างกายดับลงก่อนวัย ซึ่งเป็นการฆ่าตัวเองของชาวมนุษย์โดยแท้ ดังนั้น จึงขอเตือนชาวโลกรีบบำเพ็ญตนแต่เนิ่น ๆ ปลูกฝังเสริมแต่งวิญญาณและจิตใจ ก็จะสามารถมีอายุขัยได้ยั่งยืนนาน วันนี้เตรียมท่องนรก หยางเซิงขึ้นบนดอกบัวเสีย

หยางเซิง   :  มิทราบว่าวันนี้จะไปแห่งใด?.

อรหันต์จี้กง   :  ขุมที่ 5 ท่องมามากพอสมควรแล้ว วันนี้จะเดินทางไปขุมที่ 6 หวังว่าคงตั้งจิตได้มั่นคง

หยางเซิง   :  ภาระหน้าที่ท่องนรกได้สำเร็จลุล่วงไปได้ครึ่งหนึ่งแล้ว กระผมก็ค่อนข้างจะสบายใจ

อรหันต์จี้กง   :  กิจธุระสำเร็จหรือไม่อยู่ที่ตัวคนทำ ขอให้ตั้งใจมั่นคงแน่วแน่ ปฏิญาณไม่ท้อถอย ภารกิจท่องนรกที่หนักหน่วงนั้นก็จะสำเร็จลงโดยสะดวกรวดเร็ว รีบขึ้นดอกบัวเถอะ เวลามีน้อยมาก

หยางเซิง   :  กระผมนั่งเรียบร้อยแล้ว เชิญท่านอาจารย์ออกเดินทางเถิด.....! 

อรหันต์จี้กง   :  ถึงแล้วละ เจ้ารีบลงจากดอกบัวเร็ว

หยางเซิง   : ศาลาว่าการของขุมที่ 6 ได้อยู่ต่อหน้าเราแล้วนอกปราสาทพวกวิญญาณผีออกกันเป็นกลุ่ม ๆ กำลังออกนั่งบัลลังก์ชำระคดี ผู้ที่นั่งอยู่ตรงกลางเกิดถอนตัวออกโดยฉับพลันทันด่วน พวกวิญญาณผีจึงมองมาทางนี้เป็นตาเดียวกัน

อรหันต์จี้กง   :  เปียงเซี้ยอ๊วง แห่งขุมที่ 6 ได้ลงบันไดมาต้อนรับเราแล้ว เจ้าหยางเซิงจงตามฉันเข้าไปแสดงความเคารพ

หยางเซิง   :  ขอรับคำบัญชา ! ขอแสดงความคารวะต่อท่านยมบาลและเทวทูตทั้งหลาย ข้าพเจ้าศิษย์ผู้ต่ำต้อยคือศิษย์แห่งสำนักเซี้ยเฮี้ยงตึ้ง เมืองไถ่ตง ซึ่งเป็นศิษย์แห่งกวนอู เราศิษย์อาจารย์รับเทวโองการแต่งหนังสือ มาหาข้อมูลหลักฐานทางยมโลก เพื่อเป็นการเตือนชาวมนุษย์ การมาถึงที่นี่ในวันนี้ ขอให้ท่านยมบาลโปรดประทานความสะดวกให้ด้วย

ยมบาล   :  ลุกขึ้นเร็ว มิต้อง ยินดีที่ได้พบ ! ได้ยินสำนักของท่านเปิดรับประทับทรงบรรยายธรรมมาเป็นเวลานาน สร้างความดีในการเตือนชาวโลกมากหลาย วันเพ็ญเดือน 8 ปีที่แล้ว ขุมของเราได้รับเทวโองการแล้ว ทราบว่าสำนักของท่านแต่งหนังสือ "เที่ยวเมืองนรก" วันนี้เพิ่งมาถึงที่นี่เชิญท่านอาจารย์และท่านหยางเซิงเข้าไปนั่งพักภายในเถิด

อรหันต์จี้กง   :  ขอบคุณท่านเปียงเซี้ยอ๊วงที่ให้เกียรติต้อนรับมาก เจ้าหยางเซิง เราตามท่านยมบาลเข้าไปข้างในเถิด

ยมบาล   :  เทวทูตรีบเสิร์ฟน้ำชาทิพย์เร็ว

เทวทูต   :  ขอรับคำบัญชา.....เชิญดื่มน้ำชา ! 

ยมบาล   :  ท่านอาจารย์กับท่านหยางเซิง มิต้องเกรงใจ เชิญดื่ม

หยางเซิง   :  ขอบคุณท่านยมบาลในการต้อนรับครั้งนี้้ น้ำชานี้ไม่เหมือนกับชาของเมืองมนุษย์ รู้สึกรสหวานชุ่มคอดี
หัวข้อ: เที่ยวเมืองนรก ครั้งที่ 36 ขุมที่ 6 : ตอน สนทนากับยมบาลเปียงเซี้ยอ๊วง
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 7/09/2012, 11:14
                          เที่ยวเมืองนรก

               ครั้งที่ 36  วันที่  18  สิงหาคม  พ.ศ. 2520

                                 ขุมที่ 6

                 ตอน  สนทนากับยมบาลเปียงเซี้ยอ๊วง

        ท่านอรหันต์จี้กงเสด็จปรากฏกาย ตรัสเป็นกลอนมีความว่า  :

            กลางเดือนแปด        เวียนมาถึง        อย่างง่ายดาย
วุ่นมิคลาย                          ตั้งแต่เช้า          ยันค่ำมา
หงอกขึ้นเต็ม                       ศรีษะ              ด่วนชรา
มัวชะล่า                           ไม่ชำระ            สะสางใจ 

ยมบาล   :  ชาหยาบ ๆ
เท่านั้นเอง ของมันมีน้อยค่ามันก็สูงท่านจึงมีความรู้สึกอย่างนี้แหละ ท่านทั้งสองมายังที่นี่ในวันนี้ข้าพเจ้ามีความชื่นชมยินดีมาก พูดถึงเหตุการณ์ในโลกมนุษย์ของทุกวันนี้แล้วแทบไม่อยากกล่าวถึงเลย  ดังนั้นพระทัยของเง็กเสียงอ๊วงตี่ท่านทรงสลดยิ่ง จึงได้ตรัสสั่งมายังสำนักของท่านให้แต่งหนังสือ เที่ยวเมืองนรก" เพราะเหตุว่าชาวโลกไม่เชื่อว่าผู้ที่ทำชั่วสร้างบาปเมื่อตายลงแล้วต้องไปรับโทษยังแดนนรก จึงได้สั่งอาจารย์นำพาหยางเซิงล่องลงยมโลก เยี่ยมชมเหตุการณ์ของชาวโลกที่ตายลงแล้ว โดนแดนนรกทำโทษอย่างไรบ้าง โดยให้ เง็กฮือท่งจื้อ เทวดาองค์หนึ่ง ใช้ตาทิพย์ถ่ายทอดสดจากสถานที่ปัจจุบัน แล้วนำเอาสภาพจริงที่หยางเซิงพบเห็นในระหว่างท่องอยู่ในนรก ถ่ายทอดออกโดยอาศัยพู่กันจากร่างทรง เชื่อว่าหนังสือเล่มนี้สำเร็จลง จะได้ช่วยกอบกู้ผู้คนได้ไม่น้อย ทุกวันนี้ชาวโลกสนใจแต่วิทยาศาสตร์ดูหมิ่นดูแคลนต่อภูติผีเทพเจ้า จึงเกิดการปล้นจี้  ฆ่าแกง  ข่มขืน  ฉ้อฉล  ขโมยต่าง ๆ  ขึ้นทุกแห่งหนและบ่อยครั้ง ชาวโลกถือแต่เหตุการณ์เฉพาะหน้า ในใจคิดว่าเมื่อได้รอดพ้นจากเงื้อมมือกฏหมายไปได้แล้วก็จะเรียบร้อยลง ดังนั้นบรรดาที่หาช่องโหว่แห่งกฏหมายหรือเสี่ยงต่อกฏหมายนั้น จะเห็นมีอยู่ทั่วไป บรรดาพวกทำลายความทำนองคลองธรรมไม่เคารพต่อศีลธรรมทางการค้า ตอมเต็มอยู่ในเมืองมนุษย์เป็นเรื่องที่น่าอนาถใจยิ่ง นี่แหละคือผลที่ติดตามมาอันเลวร้ายของการนิยมวัตถุ โลกทุกวันนี้มีสภาพอย่างที่เห็นนี้ ทำให้จิตใจข้าพเจ้าเจ็บปวด ผู้ที่ไปเชื่อถือผีเจ้าทั้งเหตุและผล แล้วไปก่อกรรมทำเข็ญ เมื่อตายลงแล้วไม่มีแม้คนเดียวจะรอดจากการลงโทษของยมโลกที่เรียกว่า "แม้กฏสวรรค์จะหละหลวม แต่ก็ไม่มีใครรอดได้" คือหมายถึงเรื่องนี้ล่ะ ข้าพเจ้าควบคุมขุมที่ 6 คือ "นรกใหญ่ตะโกนร้อง" บรรดาผีที่ถูกตัดสินโทษจากขุมที่ 6 ความเจ็บปวดทรมานไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าขุมที่ 5 ดังนั้นจึงเรียกว่า "นรกใหญ่ตะโกนร้อง" โดยเอาสถานที่การลงโทษจาก 16 นรกน้อย ชาวโลกที่กระทำสิ่งชั่วร้ายอุบาทว์หนักหนา ผู้ที่ไม่เคารพระเบียบประเพณีศีลธรรมนั้น ต้องถูกทำโทษอย่างลึกซึ้งหนักหน่วงอเนจอนาถยิ่ง เมื่อท่านหยางเซิงกลับสู่โลกมนุษย์แล้ว ควรปลอบเตือนชาวโลกสงบอารมณ์ หล่อหลอมจิตใจบำเพ็ญกาย ประพฤติปฏิบัติอยู่ในขอบเขตของตน ท่านทั้งสองมาเยี่ยมชมในนรกวันนี้ข้าพเจ้าขอแสดงความยินดีต้อนรับอย่างสูง การรับดื่มน้ำชาทิพย์ผิดแปลกแตกต่างกับนักโทษที่รับการทำโทษอยู่นั้นราวฟ้ากับดิน ชาวโลกจะลงเอยกันอย่างไร ตัวเองต้องตระเตรียมการไว้ก่อน เชิญท่านทั้งสองดื่มน้ำชาเถิด

อรหันต์จี้กง   :  วันนี้หมดเวลาลงแล้ว อาตมาว่าวันอื่นค่อยมาเยี่ยมชมสภาพการณ์ของคุกต่าง ๆ กันใหม่

ยมบาล   :  ก็ดีเหมือนกัน ยินดีต้อนรับท่านทั้งสองมาเยี่ยมใหม่ ให้ข้าราชการทั้งหลายตั้งแถวนมัสการส่งท่านอาจารย์

หยางเซิง   :  ขอบคุณมากที่ท่านยมบาลประทานน้ำชาทิพย์ และวาจาอันมีค่าเท่าเทียมหยกทองปลอบโยนให้ เนื่องจากเวลาดึกมากแล้ว จำเป็นต้องกราบลาละครับ

อรหันต์จี้กง   :  เจ้าหยางเซิงเตรียมขึ้นดอกบัวเร็ว

หยางเซิง   :  กระผมนั่งลงเรียบร้อยแล้ว เชิญท่านอาจารย์กลับสำนักได้.....

อรหันต์จี้กง   :  ถึงสำนักเซี้ยเฮี้ยงตึ้งแล้ว หยางเซิงลงจากดอกบัว วิญญาณกลับเข้าสู่ร่างดังเดิม

                         นรกขุมที่หก

        ขุมที่หก             นรกร้าง             ไว้คอยปราบ
คอยขนาบ                  ผู้ชาย                ที่มั่วกาม
นรกตัดไต                  ตัดไอ้จ้อน            จะได้ปราม
หนูคุกคาม                 กัดถอนราก           ให้สิ้นซาก
        พวกรถซิ่ง          สิงห์มอเตอร์ฯ        ชอบปาดหน้า
ชอบแข่งท้า               ผลาญทรัพย์สิน      ชนคนตาย
ในนรก                      ถูกรถทับ             โทษเหลือหลาย
จะได้คลาย                ความบ้าคลั่ง          ครั้งอดีตมา
        พวกพูดจา         สามหาว               อวดแบ่งใหญ่
แสดงใคร่                  พูดอ่อนหวาน         กล่าวมดเท็จ
ถูกแหวกปาก             ยัดหนามเหล็ก        คงแสนเผ็ด
จะได้เข็ด                  กลับตัว                เปลี่ยนนิสัย
        ท่านตุลา          พิพากษา              คดีความ
อย่าวู่วาม                 ตัดสิน                  ไม่ยุติธรรม
รับสินบน                  ดำเป็นขาว            ก่อเวรกรรม
ตาข่ายตำ                 ตั๊กแตนเจาะ          เพราะขาดธรรม
หัวข้อ: เที่ยวเมืองนรก ครั้งที่ 37 : ตอน ท่องแดนตัดไตหนูนรกน้อย
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 11/09/2012, 02:19
                          เที่ยวเมืองนรก

               ครั้งที่ 37  วันที่  1  ตุลาคม  พ.ศ. 2520

                  ตอน  ท่องแดนตัดไตหนูนรกน้อย

        ท่านอรหันต์จี้กงเสด็จปรากฏกาย ตรัสเป็นกลอนมีความว่า  :

             ดวงประทีป        ลอยเด่นใน        ราตรีกาล
นำหยางเซิง                    ท่องบาดาล       แดนประหาร
ครบรอบปี                      แต่งหนังสือ        ตามโองการ
ดลบันดาล                      ผู้หลงทาง         ทั่วแดนไกล 

อรหันต์จี้กง   :  สำนักของท่านรับเทวโองการแต่งหนังสือ "เที่ยวเมืองนรก" ถึงวันนี้ได้ครบหนึ่งปีแล้ว
อาตมารับเกียรตินำพานายหยางเซิงไปเที่ยวชมรายละเอียดในแดนนรก และรวบรวมหลักฐานแห่งความผิดนั้น ๆ รู้สึกว่าเป็นภาระหน้าที่ที่หนักหน่วง และยาวนานมาก เฉพาะอย่างยิ่งถนนหนทางในแดนนรกน้อยขรุขระกันดาร ก่อให้เกิดความลำบากในการท่องเดินยิ่ง "เที่ยวเมืองนรก" เป็นหนังสือที่แปลกประหลาดพิศดารอันยิ่งใหญ่ในพิภพนี้ ซึ่งจุติลงด้วยการสนองรับความมุ่งมาตรแห่งสวรรค์ เนื่องจากสำนักเซี้ยเฮี้ยงตึ้งแห่งเมืองไถ่ตงได้รับเทวโองการให้รับประทับทรงบรรยายธรรม มีผลงานกอบกู้ช่วยเหลือผู้คนนับได้เป็นอันดับหนึ่ง ดังนั้นท่านเง๊กเสียงอ๊วงตี่มีความพอพระทัยเป็นที่ยิ่ง จึงตรัสสั่งมอบหมายภาระกิจพิเศษอันใหญ่หลวงนี้ ทั้งนี้ก็เป็นความสามารถแห่งพู่กันศักดิ์สิทธิ์ จึงจะสามารถบรรลุผลงานอันศักดิ์สิทธิ์นี้ อาตมาก็รู้สึกพลอยสุขใจไปด้วย การเขียนแต่งของหนังสือ "เที่ยวเมืองนรก" ได้สำเร็จลงไปแล้วกว่าครึ่งเล่ม ระยะทางก็ยังห่างไกลมากอยู่ ขอศิษยานุศิษย์ทั้งหลายจงมุมานะงานอย่างได้หน่ายแหนง เมื่อกาลเวลาที่หนังสือนี้สำเร็จลง ผลบุญของศิษย์ทั้งหลายจะสามารถช่วยได้ถึง 3 ชั่วคน (ปู่  พ่อ  และลูก)  ได้เวลาท่องนรกแล้ว หยางเซิงเตรียมขึ้นบนดอกบัวเร็ว

หยางเซิง   :  ขอรับคำบัญชา ขอขอบคุณท่านอาจารย์ที่ลำบากมาตลอดทั้งปีแผ่บารมีช่วยปกป้องคุ้มครองในทางลับ อย่างถี่ถ้วนละเอียดทุกประการ รู้สึกว่าตนเองนี้มีสติปัญญาไม่ผ่องแผ้ว ยังไม่สามารถเข้าใจบรรลุถึงขั้นลึกล้ำพิศดาร ขอท่านอาจารย์โปรดประทานรัศมีแห่งศักดิ์สิทธิ์ให้แก่กระผมด้วยเถิดขอรับ เนื่องจากกระผมเพิ่งรีบเดินทางกลับจากสำนักธรรม "กำซิวตึ้ง" ทางใต้รู้สึกว่ามีอาการอ่อนเพลียบ้างเล็กน้อย อาจารย์ท่านจะให้ยาวิเศษผมสักเม็ด เพื่อปลุกกระตุ้นประสาทได้หรือไม่ไฉน?.

อรหันต์จี้กง   :  เจ้าลำบากมามาก เนื่องจากเจ้ามีความตั้งใจแน่วแน่บริสุทธิ์ ฉันจึงได้ให้ยาวิเศษไปหลายหน เจ้าก็รู้แก่ใจแล้วหลังจากเริ่มแต่ง "เที่ยวเมืองนรก" ร่างกายเจ้าแข็งแกร่งล้ำสันขึ้นทุกวัน พุทธเทพเจ้าท่านได้ประทานช่วยเจ้าด้วยพลังแห่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่น้อยเลย วันนี้ฉันจะให้ยาทิพย์อีก 3 เม็ด กินเร็วเข้า เพื่อเตรียมท่องนรก

หยางเซิง   :  ขอขอบคุณท่านอาจารย์เป็นที่ยิ่งที่ได้แผ่บารมีปกป้องคุ้มครองกระผม โรคกระเพาะที่เรื้อรังมานานปี หลังจากรับเทวโองการแต่งหนังสือแล้ว ค่อย ๆ หายไปโดยมิได้ทานยา วันนี้ได้รับทานยาทิพย์จากท่านอาจารย์อีกครั้ง รู้สึกจิตใจและสติผ่องใสกระปรี้กระเปร่า ขอบพระคุณมากครับ

อรหันต์จี้กง   :  เพราะเวลาน้อยมากแล้ว ขึ้นบนดอกบัวเร็ว

หยางเซิง   :  ขอรับคำบัญชา  กระผมนั่งเรียบร้อยแล้วเชิญท่านอาจารย์ออกเดินทางเถิด.....

อรหันต์จี้กง   :  ถึงแล้ว รีบลงจากดอกบัวเร็ว 

หยางเซิง   :  เบื้องหน้าคือคุกอะไร?. ไฉนจึงได้ยินเสียงคนร้องอย่างเจ็บปวดและมีเสียงหนูด้วย

อรหันต์จี้กง   :  คุกข้างหน้าเป็น "แดนตัดไตหนูกัดนรกน้อย" ซึ่งเป็นคกหนึ่งในจำนวน 16 นรกน้อยที่อยู่ในความปกครองของขุมที่ 6 พัศดีและนายทหารได้มาแล้ว รีบเข้าไปแสดงความเคารพ

หยางเซิง   :  ขอรับกระผม ขอแสดงความเคารพต่อท่านพัศดีและนายทหารทั้งหลาย ข้าพเจ้านายหยางเซิงแห่งสำนักเซี้ยเฮี้ยงตึ้งเมืองไถ่ตง วันนี้ได้ติดตามท่านอาจารย์มาเยี่ยมชมคุกของท่าน ขอได้ให้คำแนะนำชี้แจงและความสะดวกด้วย

พัศดี   :  มิต้อง ลุกขึ้นเร็ว !  คุกของเราได้รับคำสั่งจากท่านยมบาล ทราบว่าท่านอาจารย์และท่านหยางเซิงจะมาเยี่ยมชมเพื่อแต่งหนังสือ เชิญตามข้าพเจ้าเข้าไปในคุกเถิด

หยางเซิง   :  ขอบคุณท่านพัศดีให้การรับรองอย่างดี แต่ว่าในคุกเห็นหนูเกลื่อนกลาดไปทั่วพื้น บุกจู่โจมเข้าเล่นงานวิญญาณโทษ วิญญาณโทษแต่ละตนถูกล่ามติดอยู่กับพื้น มือทั้งสองข้างมิสามารถป้องกันตนเองได้ ได้ยินแต่เสียงร้องตะโกนอย่างเจ็บปวด อันที่จริงแล้วพวกมันต้องโทษอย่างไร?. 
หัวข้อ: เที่ยวเมืองนรก ครั้งที่ 37 : ตอน ท่องแดนตัดไตหนูนรกน้อย
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 11/09/2012, 03:26
                        เที่ยวเมืองนรก

               ครั้งที่ 37  วันที่  1  ตุลาคม  พ.ศ. 2520

                  ตอน  ท่องแดนตัดไตหนูนรกน้อย

        ท่านอรหันต์จี้กงเสด็จปรากฏกาย ตรัสเป็นกลอนมีความว่า  :

             ดวงประทีป        ลอยเด่นใน        ราตรีกาล
นำหยางเซิง                    ท่องบาดาล       แดนประหาร
ครบรอบปี                      แต่งหนังสือ        ตามโองการ
ดลบันดาล                      ผู้หลงทาง         ทั่วแดนไกล 

พัศดี   :  คุกนี้มีนักโทษชายล้วน ๆ
เพราะเหตุว่าตอนมีชีวิตอยู่ล้วนชอบมั่วหญิงมักมากในกาม หรือผู้ที่ผิดศีลธนนมวินัยเป็นเสือผู้หญิง โดยที่ตอนมีชีวิตอยู่นั้นชอบเสพกามเสื่อมเสียทำลายศีลธรรม นอกจากตัดเอาไอ้จ้อนออกแล้ว ยังให้พวกหนูแทะกัดขั้วของมันอีกด้วย ซึ่งมีความมุ่งหมายจะ "ขุดรากถอนเหง้า" นั่นแหละ

อรหันต์จี้กง   :  ลงโทษแบบนี้เหลือที่จะทนทานได้ ไอ้จ้อนมันเกี่ยวเนื่องกับหัวใจ เมื่อโดนตัดหรือถูกกัดจะเจ็บปวดหาที่เปรียบมิได้ คำพังเพยกล่าวว่า "ตัดหญ้าไม่ถอนราก ลมอุ่นโชยมาก็จะงอกขึ้นอีก" พวกนี้มันลุ่มหลงในการเสพเมถุนเกินไป จึงต้องรับการลงโทษวิตถารแบบนี้

พัศดี   :  ข้าพเจ้าจะพาวิญญาณโทษ 2 - 3 ตนออกมาเล่าเรื่องที่มันทำความผิดอย่างไรในตอนมีชีวิตอยู่ด้วยตัวมันเอง จึงต้องมาลงเอยกันอีกแบบนี้

หยางเซิง   :  ดีมากครับ !วิญญาณโทษพวกนี้มือทั้งสองข้างถูกมัดไว้ พวกหฯุจู่โจมบุกเข้ากัดจากเบื้องล่าง บ้างก็โหยหวนคร่ำครวญ ไม่สามารถหลบหลีกเลยกลิ้งเกลือกอยู่กับพื้น หนูพวกนี้ตัวโตเท่าแมวมองดูแล้วรู้สึกดุร้ายเหลือหลาย เวลากัดคนคล้ายกับกินอาหารอย่างนั้น

อรหันต์จี้กง   :  พวกหนูชอบแทะกัดถุงผ้ายิ่งนัก ชอบกินถั่วลิสง ก็คือภาพที่ได้เห็นอยู่อันนี้แหละ เห็นแต่เลือดสด ๆ ทะลักเรี่ยราด น่าสมเพสที่มวลมนุษย์หลงในการเสพสุขชั่วครั้งชั่วคราว เลยก่อความทุกข์ยากอย่างน่าเวทนาในวันนี้

พัศดี   :  ข้าพเจ้าได้พาวิญญาณโทษ 2ตนออกมาแล้ว วิญญาณโทษฟังคำสั่งนี้ ท่านรูปนี้คือพระอรหันต์จี้กง อีกท่านหนึ่งคือหยางเซิงแห่งสำนักเซี้ยเฮี้ยงตึ้งเมืองมนุษย์ สองศิษย์อาจารย์รับเทวโองการท่องนรกเพื่อแต่งหนังสือ พวกแกจงรีบสารภาพความชั่วที่กระทำไว้ในปางก่อนเพื่อที่จะลงในหนังสือ "เที่ยวเมืองนรก" เพื่อปลอบเตือนชาวโลก

วิญญาณโทษ   :  ภพก่อนผมได้สละตนเป็นศิษย์แห่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ บำเพ็ญธรรม และได้ถือศีลกินเจ ได้แต่งงานมีลูกเต้าต่อมาเกิดมีจิตใจรวนเรไม่มั่นคง ได้เกิดได้เสียกับหญิงผู้บำเพ็ญธรรมซึ่งเป็นศิษย์คณะเดียวกัน ทำลายล้างกฏวินัยข้อบังคับซึ่งเป็นการล้างผลาญความตั้งใจจากแรกเริ่ม เมื่อตายลงแล้วไม่เพียงไม่มีแต่ทางไปสวรรค์ กลับโดนยมทูตขาวดำคุมตัวมาแดนนรก ผ่านการฉายร่างเดิมจากหอกระจก (กรรม) วิเศษ มองเห็นเหตุการณ์อันบัดสีโดยตลอดอายจนพูดไม่ออก และแล้วส่งมอบขุมที่ 6 เปียงเซี้ยอ๊วงท่านโกรธมาก ด่าผมว่าตัวอยู่ในธรณีสงฆ์แห่งศักดิ์สิทธิ์รู้กฏเองทำลายเอง ต้องลงโทษเพิ่มขึ้นอีกขั้นหนึ่ง ตัดสินให้ตกเข้าไปยัง แดนนรกตัดไตหนูกัด" โดยโดนยมทูตตัดเอาไอ้จ้อนออกก่อน แล้วถูกมัดอยู่กับพื้นปล่อยให้หนูแทะกัดเอาตามใจชอบ ทุกวี่ทุกวันจิตใจหวั่นไหวเจ็บแสบอย่าบอกใครเชียว จึงโทษตัวเองพลาดพลั้งหนเดียวกลายเป็นความขมขื่นตลอดกาล ขอผู้คนในแดนมนุษย์เมื่อเข้าอยู่ในธรณีศักดิ์สิทธิ์แล้ว จงรักษาปฏิบัติกฏระเบียบแห่งศักดิ์สิทธิ์นั้น มิเช่นนั้นแล้วบุญกุศลใด ๆ ที่ตนสร้างไว้ก็ไม่สามารถจะชดเชยความผิดนี้ได้

อรหันต์จี้กง   :  คำพังเพยกล่าวว่า "การถือศีลกินเจไปหมดเขตที่ตรงสะดือเท่านั้น" ก็คืออย่างที่ว่านี้แหละ เมื่อท่อนล่างไม่บำเพ็ญให้สะอาดหมดจด บัดนี้ให้ยมทูตและหนูช่วยรักษาให้ ทำให้แกสะอาดขึ้น เวรนั้นต้องรับเอาเอง

พัศดี   :  ตนที่ 2 รีบเล่าการกระทำในปางก่อนเร็ว

วิญญาณโทษ   : 
เพราะเหตุว่าตอนที่ผมเรียนอยู่ในชั้นมัธยมนั้น ถูกลวงจากเพื่อนชั่วไปเที่ยวโสเภณีจากสถานเริงรมย์ ต่อมาพอมีเงินบ้างก็ไปเที่ยวหย่อนใจตามสถานที่นั้น ๆ แล้วยังชวนเพื่อนนักเรียนไปเปิดหูเปิดตาหลายครั้งด้วย เป็นเหตุให้เสียตัวในขณะร่างกายกำลังอยู่ในความเจริญของวัย บ้างก็ติดกามโรค เนื่องจากความสำส่อนวัยหนุ่ม ทำผิดเรื่องพรรค์นี้ ตายลงแล้ว จึงถูกตัดสินให้มารับโทษยังที่นี่ ทุกข์ทรมานอันนี้หามีผู้ใดเข้าใจไม่ ตอนเป็นมนุษย์ก็เสพสุขอย่างสุโข เมื่อตายแล้วมาอยู่ที่นี่อย่างอยากที่จะทนต่อวันเวลานึกขึ้นมาทีไรจึงเสียใจไม่รู้วาย

พัศดี   :  ตอนเป็นหนุ่มเป็นแน่นไม่ประพฤติดี หลงใหลแต่นารีหญิงสาว ยังไม่ทันแต่งงานก็เสียความเป็นโสดเสียแล้ว จะเรียกได้ว่า "ไม่รักศักดฺ์ศรี" และยังลวงเพื่อนให้เสื่อมเสียอีก ไอ้จ้อนมันสร้างเวร จึงต้องตกคุกนี้ เป็นเหตุที่สมควรแล้ว

หยางเซิง   :  ดู ๆ แล้วพวกนี้น่าเวทนามาก ในกรงขังยังมีวิญญาณโทษอีกมากหลาย ที่จริงมันทำผิดอะไรบ้าง จึงมารับการลงโทษที่นี่

พัศดี   :  คุกนี้วิญญาณโทษใหม่เข้ามาวันละเป็นพันตน ดังนั้นคุกนี้จึงมีขอบเขตแห่งความผิดกว้างขวางมาก บรรดาผู้ที่ชอบเที่ยวผู้หญิง จนเกินความต้องการ ผู้ที่มีไอ้จ้อนไม่สะอาด หรือผู้ที่ยังไม่ได้แต่งงาน ก็ไปเสียตัวในซ่องผู้หญิง หรือผู้ที่เที่ยวไปหลอกลวงผู้หญิง หรือผู้ที่แต่งงานแล้วเป็นชู้กัน หรือผู้ที่ปวารณาตัวถือศีลอยู่ในบรรพชิตหรือสำนักศักดิ์สิทธิ์แล้วยังมั่วกามลามก หรือผู้ที่สมสู่กันขัดต่อระดับชั้นวรรณะ หรือพวกโทรมหญิง (ลงแขก)  ไอ้จ้อนมันร้ายมาก ล้วนตัดสินให้ตกเข้ามาคุกนี้รับโทษอย่างทารุณทั้งสิ้น

อรหันต์จี้กง   :  อาตมาขอเตือนชาวโลก อย่าได้ทำผิดในเรื่องกามเป็นอันขาด โทษนี้หนักที่สุด เฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่บำเพ็ญธรรมอยู่ยิ่งสมควรระวังให้จงหนัก ผู้ทำผิดทางนี้ไม่มีทางให้อภัยเลย นอกจากต้องเกี่ยวข้องกับ "นรกพร่าหัวใจ" แห่งขุมที่ 5 แล้ว บางพวกยังต้องโทษที่ขุมนี้อีก แต่สวรรค์ท่านมีความเมตตาปราณีต่อชีวิตของมวลมนุษย์ แหวกช่องให้รอดเปิดโอกาสให้ ถ้าได้อ่าน "เที่ยวเมืองนรก" แล้วได้ตั้งใจปลงบาปสำนึกตัวและพิมพ์แจก "เที่ยวเมืองนรก" ให้มากเพื่อเตือนชาวโลกและไม่ทำผิดในเรื่องนี้อีก แล้วท่านเง็กเสียงอ๊วงตี่่จะได้ตรัสสั่งให้อภัยลงโทษ เนื่องจากเวลาดึกมากแล้ว เจ้าหยางเซิงเตรียมตัวกลับสำนัก

หยางเซิง   :  ขอบคุณท่านพัศดีและนายทหารที่ให้การต้อนรับอย่างดี เราขอลาก่อนละ

พัศดี   :  ให้นายทหารตั้งแถวนมัสการส่งท่านอาจารย์

อรหันต์จี้กง   :  เจ้าหยางเซิงขึ้นบนดอกบัวเร็ว เตรียมกลับสำนัก

หยางเซิง   :  กระผมนั่งลงเรียบร้อยแล้ว เชิญท่านอาจารย์กลับสำนักได้.....

อรหันต์จี้กง   :  ถึงสำนักเซี้ยเฮี้ยงตึ้งแล้ว หยางเซิงลงจากดอกบัว วิญญาณกลับสู่ร่างดังเดิม 
หัวข้อ: เที่ยวเมืองนรก ครั้งที่ 38 : ตอน ท่องนรกสอนขับรถ
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 12/09/2012, 08:47
                        เที่ยวเมืองนรก

               ครั้งที่ 38  วันที่  18  ตุลาคม  พ.ศ. 2520

                      ตอน  ท่องนรกสอนขับรถ

        ท่านอรหันต์จี้กงเสด็จปรากฏกาย ตรัสเป็นกลอนมีความว่า  :

              แพร่หลักธรรม        มิหวั่นไหว        ทางกันดาร
ราตรีกาล                           ปลื้อมปิติ         ศักดิ์สิทธิ์ปวง
วัฒนธรรม                          รุ่งเรืองศรี         กลางเมืองหลวง
กลิ่นธรรมอวล                     พวยพุ่ง            สู่นภา

อรหันต์จี้กง   :  ฤดูร้อนผ่านไป ฤดูใบไม้ร่วงเข้ามาแทนรู้สึกว่ามีความเย็นประปราย
ผู้คนเริ่มนุ่งห่มเสื้อผ้าหนาขึ้น พวกนกกาก็เพิ่มขนขึ้นบ้างแล้ว สี่ฤดูกาลผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนไปไม่หยุดยั้ง นึกถึงก่อนโน้นสมัยเด็ก ๆ เวลานี้ลูกหลานเต็มบ้านสายตาพร่ามัว มือไม้เฉื่อยชา เวลาเดินเหินก็โยกเยกไม่มั่นคง รู้สึกเสียดายเวลาที่ผ่านพ้นไป ขณะนี้มาหวนคิดถึงกาลเวลาที่ล่วงลับไปแล้วนั้น ชีวิตคนคล้ายความฝัน จึงขอเตือนชาวโลก ควรยึดมั่นในกาลเวลาขณะหนึ่งก็คือชีวิตหนึ่งขณะ ควรรีบบำเพ็ญตน ปฏิบัติธรรมในธรณีแห่งศักดิ์สิทธิ์ เป็นผู้ปฏิบัติดีของสังคม เป็นศิษย์มีความสามารถในธรณีแห่งศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นแล้วจะไม่เกี่ยวข้องกับพวกนรก ถึงแม้ว่าจะมาบ้างก็อยู่ในฐานะของผู้ท่องเที่ยว มิต้องรับโทษทรมาน การท่องนรกในวันนี้ได้เวลาแล้ว หยางเซิงเตรียมตัวขึ้นดอกบัวเร็ว

หยางเซิง   :  มิทราบว่าเราจะไปคุกใดในวันนี้ ?.

อรหันต์จี้กง   : 
ฉันจะไม่ขอพูดก่อน ชั่วพริบตาเดียวเจ้าก็จะได้รู้เองโดยตลอด

หยางเซิง   :  ครับผม กระผมได้นั่งลงเรียบร้อยแล้ว เชิญท่านอาจารย์ออกเดินทางได้.....

อรหันต์จี้กง   :  ถึงแล้วละ เจ้าลงจากดอกบัวเร็ว

หยางเซิง   :  ท่านอาจารย์ครับ ! ไฉนท่านจึงพาผมมายังไหล่เขาลูกนี้ ข้างหน้ามีเสียงร้องพัดผ่านมาคล้ายเสียงที่มีคนถูกฆ่าฟัน หรือถูกทุบตีฉันนั้น ทางเล็กเบื้องหน้ายังมีวิญญาณโทษที่ถูกคุมโดยยมทูตเดินรุดหน้าไป เราจะตามหลังมันไปชมดูให้ถึงที่สุดหรือไฉน?.

อรหันต์จี้กง   :  การเดินทางของเราในวันนี้ก็คือจะไปเยี่ยมชมนรกน้อยที่ตั้งอยู่ไหล่เขาเบื้องหน้านี่แหละ รีบตามยมทูตข้างหน้านั้นไป

หยางเซิง   :  เรากวดทันยมทูตมาแล้ว เขายังหันกลับมาทำความเคารพเราด้วย มิทราบว่าพวกวิญญาณโทษเหล่านี้ต้องโทษอะไรไว้บ้าง ที่ได้ถูกคุมไปดำเนินคดีในเวลานี้?.

อรหันต์จี้กง   :  วิญญาณโทษเหล่านี้คือพวกโชเฟอร์ (คนขับรถ) หรือพวกขับรถมอเตอร์ไซค์ เพราะว่าภพก่อนเคยทำผิดเรื่องรถชนคนตาย ดังนั้นจึงต้องมารับการลงโทษจากแดนนรก

หยางเซิง   :  ผู้ที่เป็นโชเฟอร์หรือนักขับมอเตอร์ไซค์เมื่อขับชนเขาตายแล้วยังหาที่สิ้นสุดยุติมิได้หรือ?. 

อรหันต์จี้กง   :  เมื่อมีเรื่องถึงกับคนตาย ยมกฏยังมีการทำโทษอีกวาระหนึ่ง ถึงหน้าประตูคุกแล้ว ประเดี๋ยวเจ้าจะสอบถามรายละเอียดจากพัศดีได้

หยางเซิง   :  เบื้องหน้าได้ปรากฏคุกหนึ่ง ข้างประตูคุกมีเวรรักษาการณ์ยืนอยู่ รู้สึกองอาจเคร่งขรึมมาก บนประตูคุกเขียนไว้ว่า "สอนขับรถนรกน้อย" พัศดีและนายทหารได้ตั้งแถวรอรับเราอยู่แล้ว

อรหันต์จี้กง   :  เจ้าจงรีบเข้าไปทำความเคารพ

หยางเซิง   : 
ขอแสดงความคารวะต่อท่านพัศดีและนายทหารทั้งหลาย วันนี้ข้าพเจ้ากับท่านอาจารย์รับคำสั่มาเยือนคุกท่านและรวบรวมข้อมูลเพื่อเตือนชาวโลก ขอท่านพัศดีโปรดให้ความสะดวกในการค้นหาหลักฐานความผิด

พัศดี   :  มิต้อง ท่านทั้งสองโปรดตามข้าพเจ้าไปชมดูภายในเถิด
หัวข้อ: เที่ยวเมืองนรก ครั้งที่ 38 : ตอน ท่องนรกสอนขับรถ
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 12/09/2012, 09:37
                          เที่ยวเมืองนรก

               ครั้งที่ 38  วันที่  18  ตุลาคม  พ.ศ. 2520

                      ตอน  ท่องนรกสอนขับรถ

        ท่านอรหันต์จี้กงเสด็จปรากฏกาย ตรัสเป็นกลอนมีความว่า  :

              แพร่หลักธรรม        มิหวั่นไหว        ทางกันดาร
ราตรีกาล                           ปลื้อมปิติ         ศักดิ์สิทธิ์ปวง
วัฒนธรรม                          รุ่งเรืองศรี         กลางเมืองหลวง
กลิ่นธรรมอวล                     พวยพุ่ง            สู่นภา 

หยางเซิง   :  ขอเรียนถามท่านพัศดี คุกของท่านอยู่ในความปกครองของขุมใด?.

พัศดี   :  คุกนี้มีชื่อว่า "สอนขับรถนรกน้อย" อยู่ในความควบคุมของท่านเปียงเซี้ยอ๊วง แห่งขุมที่ 6 เป็นคุกที่สร้างขึ้นใหม่
มวลชนชาวโลกล้วนไม่เคยรู้จัก ที่สำนักท่านรับเทวโองการแต่งหนังสือ "เที่ยวเมืองนรก" คุกเราทราบมานานแล้ว วันนี้ได้รับสาส์นจากเจ้านายขุมที่ 6 จึงทราบว่าพวกท่านจะมาเยี่ยมชม คุกนี้ยินดีต้อนรับเป็นที่ยิ่ง ท่านหยางเซิงมีข้อปัญหาอะไร ถามได้โดยละเอียดทุกอย่าง

หยางเซิง   :  ผู้ที่ถูกทำโทษในคุกของท่าน ล้วนเป็นพวกอะไรบ้าง?.

พัศดี   :  บรรดาพวกที่ขับรถแล้วเกิดอุบัติเหตุ ถึงแก่ความตาย หรือบาดเจ็บสาหัส หรือถึงกับทุพพลภาพไม่ว่าจะเป็นคนขับรถเครื่อง  รถยนต์  รถจักรยาน เมื่อตายลงแล้วต้องมารับกรรมสนองลงโทษ ณ ที่นี้ เชิญท่านตามข้าพเจ้าเข้าไปชมดูภายในเถิด

อรหันต์จี้กง   :  ขอบคุณมาก 

หยางเซิง   : 
ไหล่เขาข้างหน้าฝูงชนมากมาย มีทางเล็ก ๆ หลายสายบนถนนล้วนเป็นหินทรายดินกรวดขรุขระไม่ราบเรียบ วิญญาณโทษแต่ละตนต่างลากรถคนละคันเหมือนดั่งลากรถลาก (รถเจ๊ก) ในสมัยก่อนฉันนั้น บนรถบรรทุกเต็มไปด้วยอิฐแดงเคลื่อนลงช้า ๆ จากไหล่เขา หนทางก็แคบพอรอรับล้อรถสองข้างเท่านั้น หากล้ำเส้นไปนิดเดียว ก็จะตกไปในล่องลึกสองข้างทาง เท้าวิญญาณโทษทั้งสองข้างเปลือยเปล่า เนื่องจากอิฐแดงบนรถหนักมากลงจากไหล่เขาก็ไม่มีที่ห้ามล้อ (เบรค) ต้องอาศัยเท้าทั้งสองข้างยันไว้ แต่ละคนต้องเดินอย่างแช่มช้าระมัดระวัง ใช้เท้าทั้งสองข้างยันพื้นแบบเบรครถอย่างนั้น ดังนั้น อุ้งเท้าทั้งสองข้างจึงมีผิวหนังขาดเลือดออกเรี่ยราดไปทั่วพื้นดิน บ้างก็ไม่ระวังจนพุ่งลงไปในร่อง เนื่องจากตัวรถหนักมากต้องขนเอาอิฐลงก่อน และแล้วจึงรีบเข็นรถขึ้นมาบนถนน ใช้อิฐหนุนไว้ ตรึงล้อรถให้อยู่กับที่ ต่อจากนั้นจึงเก็บเอาอิฐทีละก้อนขึ้นไปบนรถแล้วลากลงเขาอีก มีบางคนกำลังกายต้านไม่ได้เท้าเหยียบพลาดล้มลง โดนรถแล่นทับผ่านไปบนร่างกาย ร้องตะโกนได้เพียงคำเดียวตัวก็สลบเหมือดไปเลย เหมือนดังเกิดอุบัติเหตุโดนรถทับตายฉันนั้นแหละ เลือดสด ๆ ทะลักเต็มพื้นที่ การลงโทษแบบนี้แปลกประหลาดทันสมัยมาก แต่ทารุณมากเกินไป

อรหันต์จี้กง   :  ผู้ขับรถในมนุษย์โลกที่ไม่มีความระมัดระวังจนเกิดอุบัติเหตุถึงกับทำให้ผู้อื่นต้องตายลงนั้น เมื่อตัวเองตายลงแล้วจะกลับกลายเป็น "ผู้ถูกทำร้าย" และยังต้องมารับโทษทรมานจากสถานที่นี้อีก ซึ่งเป็นการตอบสนองกันถึงที่สุดที่ไม่สามารถจะรอดพ้นจากการตอบสนองของเหตุและผล

พัศดี   :  ข้าพเจ้าจะสั่งวิญญาณโทษ 2 - 3 ตนให้เล่าเรื่องเกิดเหตุการณ์ขึ้นในตอนมีชีวิตอยู่นั้นให้ท่านหยางเซิงฟัง

หยางเซิง   :  ขอบคุณท่านพัศดีที่ไม่ทอดทิ้ง

พัสดี   :  วิญญาณโทษมาแล้ว รีบสารภาพต่อท่านอาจารย์กับท่านหยางเซิงถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปางก่อน เพื่อท่านหยางเซิงนำกลับไปเผยให้ชาวมนุษย์รู้ต่อ ๆ ไปในโลกมนุษย์

วิญญาณโทษ   :  ตอนผมยังเป็นมนุษย์อยู่นั้น มีอาชีพเป็นคนขับรถประจำทาง อยู่มาวันหนึ่งขณะที่เลี้ยวรถหักมุมนั้น เกิดมีเด็กหญิงวิ่งพุ่งออกมาจากตรอกอย่างปัจจุบันทันด่วน ผมเบรครถไม่ทันเลยทับผ่านร่างเด็กคนนั้นถึงกับ ตายคาที่  ระหว่างเวลาที่ผมขับรถอยู่ก็เกิดอุบัติเหตุหลายครั้ง แต่ยังไม่เคยถึงกับเสียชีวิตลง เพียงแต่ตัวรถเสียหายไปบ้างบวกกับเรื่องนี้อีกจึงถูกบริษัทไล่ออกเมื่อตายลงแล้ว ถูกตัดสินให้ตกเข้า "นรกสอนขับรถ" มีกำหนดโทษ 1 ปี แต่ละวันฝึกฝนการขับรถอยู่ที่นี้ถนนล้วนลาดลงไปทางตีนเขาทั้งสองเท้าทำหน้าที่เบรครถ แม้ว่ากำลังกายยังพอไปไหว แต่ต้องขึ้นลงร้อยเที่ยวทุกวี่วัน จึงทำให้พลังกายพลังใจสูญสิ้นไปหมด พื้นเท้าแหลกและทรมานยิ่งนัก

พัศดี   :: ตนที่ 2 รีบสารภาพขับรถแล้ว เกิดเหตุอะไรขึ้นตอนที่อยู่ในเมืองมนุษย์ 
หัวข้อ: เที่ยวเมืองนรก ครั้งที่ 38 : ตอน ท่องนรกสอนขับรถ 3
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 12/09/2012, 10:34
                       เที่ยวเมืองนรก

               ครั้งที่ 38  วันที่  18  ตุลาคม  พ.ศ. 2520

                      ตอน  ท่องนรกสอนขับรถ

        ท่านอรหันต์จี้กงเสด็จปรากฏกาย ตรัสเป็นกลอนมีความว่า  :

              แพร่หลักธรรม        มิหวั่นไหว        ทางกันดาร
ราตรีกาล                           ปลื้อมปิติ         ศักดิ์สิทธิ์ปวง
วัฒนธรรม                          รุ่งเรืองศรี         กลางเมืองหลวง
กลิ่นธรรมอวล                     พวยพุ่ง            สู่นภา 

วิญญาณโทษ   :  ตอนผมมีชีวิตอยู่มีอาชีพขับรถแท็กซี่
อยู่มาคืนหนึ่งไปร่วมวงกินเหล้ากับเพื่อนฝูง เมื่อกินเหล้าแล้วก็ไปขับรถต่อเพราะเหตุเมาเหล้าตามัว ไม่เพียงแต่ขับรถเร็วเกินอัตราที่ทางการกำหนดไว้แล้วยังแซงรถคันอื่น ๆ ไปอีก ด้วยความประมาทเผลอเรอเลยชนเอาคนเดินถนนตายไปคนหนึ่ง ผิดทางคดีฆ่าคนตายโดยประมาทเลินเล่อ ต้องชดใช้เงินทองเขาและติดคุกอีก เมื่อตายลงแล้ว ท่านยมบาลสอนผมว่า "ขับรถแล้วยังเมาเหล้าอีก ล้อเล่นชีวิตคน" เลยตัดสินให้ตกเข้ามาอยู่ใน "นรกสอนขับรถ" 3 ปี ทุก ๆ วันลากรถทดลองขับดู ถูกข่มเหงรังแกเหลือหลาย เท้าทั้งสองก็บวมเป่งเจ็บปวดเพราะเหตุกำลังใจกำลังกายสูญเสียไปมากเกินควร ร่างกายจึงผอมแห้งเหลือแต่กระดูก ขอให้ผู้ขับรถในแดนมนุษย์ควรเตือนสติให้ดี เมื่อมอมเมาจากการร่ำสุราแล้วจงอย่าขับรถเป็นอันขาด เพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดอุบัติเหตุ มาอยู่ที่นี่ไม่มีน้ำเหล้าให้ดื่ม มีแต่น้ำขม (น้ำหนอง) ไหลพรากออกจากเท้าทั้งสองข้าง

พัศดี   :  วิญญาณโทษตนที่ 3 รีบสารภาพเกิดเหตุร้ายอย่างไรในตอนมีชีวิตอยู่

วิญญาณโทษ   :  ตอนผมอยู่ในแดนมนุษย์เป็นพ่อค้า แต่ละวันขึ่รถเครื่องออกไปส่งของ มักจะขับรถเร็วเกินอัตราไม่ปฏิบัติตามกฏจราจรเพลิดเพลินสุดยอดจนเกิดเรื่องโศกเศร้าขึ้น ในวันหนึ่งไปชาเอาคนเดินถนนเข้า ตัวเองก็ล้มลงได้รับบาดเจ็บทั้งสองคนถูกนำส่งโรงพยาบาล ผมเพียงแต่ขาหัก อีกฝ่ยหนึ่งหัวสมองกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง ผมรักษาครึ่งปีจึงหายเป็นปกติ ฝ่ายตรงข้ามนั้นก็ไม่ถึงกับตาย แต่กลายเป็นสติฟั่นเฟือน ผมก็โดนฟ้องร้องจนต้องชดใช้ค่าเสียหายเป็นจำนวนเงินมหาศาลก็เพราะเหตุนี้แหละ เมื่อตายลงแล้วถูกส่งตัวมายังขุมที่ 6 เปียงเซี้ยอ๊วง ตัดสินผมตกเข้าคุกนี้รับความทรมานมีกำหนด 3 ปี ความทุกข์ที่ได้รับ คนทั่วไปไม่มีทางที่จะเข้าใจได้

พัศดี   :  วันนี้เอาวิญญาณโทษ 3 ตนนี้ เป็นหลักพิสูจน์บรรดาผู้ขับรถในแดนมนุษย์ ควรเป็นเยี่ยงอย่างต้องขับรถโดยตั้งใจระมัดระวังทั้งคนและรถก็จะปลอดภัย เมื่อตายลงแล้วก็มิต้องมารับทุกข์ทรมานอยู่ที่นี่ ผู้ที่ตกเข้ามาอยู่คุกนี้ โทษที่ตัดสินไปนั้น มีหนักมีเบาไม่เท่ากัน หากเป็นพวกที่ไม่เจตนาทำร้ายคน นับว่าความผิดที่เกิดจากความเลินเล่อ ก็ตัดสินให้เบาหน่อย ถ้าเมาเหล้าขับรถเร็วเกินอัตรา หรือไม่ปฏิบัติตามกฏถึงกับเกิดเหตุร้าย ก็ตัดสินให้หนักหน่อย ถ้าเกิดเรื่องแล้วไม่หยุดรถ เจตนาจะหลบหนีโดยไม่รู้ว่าฝ่ายถูกชนจะตายหรือไม่?. เมื่อตัวเองตายลงแล้วท่านยมบาลจะตัดสินลงโทษหนักที่สุด จึงขอเตือนชาวโลก เมื่อเกิดอุบัติเหตุรถแล้วอย่าหลบหนี ต้องรับผิดชอบตามความสามารถ เพื่อภาระหน้าที่และศีลธรรมของตนเองแล้วโทษนั้นก็จะได้เบาบางลงได้

อรหันต์จี้กง   :  "นรกสอนขับรถ" เป็นคุกใหม่ของยมโลก เสมือนหนึ่งโรงเรียนสอนขับรถยตน์ในแดนมนุษย์ วิญญาณโทษที่มายังที่นี้ทุก ๆ ตนต้องทำตามขั้นตอน ต้องดูทิศทางให้มั่นแม่นเร็วเกินอัตราไม่ได้ หรือผิดเพี้ยนแม้แต่นิดเดียว พลาดพลั้งไปตัวเองตาย จึงเตือนผู้ขับรถเป็นพิเศษ จงขับขี่อย่างระมัดระวัง อันชีวิตของคนนั้นผูกพันธ์กับฟ้าสวรรค์จะเมาเหล้าไม่ได้ ขับรถเร็วเกินอัตราไม่ได้ ถ้าไม่ปฏิบัติตามกฏ เมื่อตายลงแล้วต้องมายึดอาชีพเก่าในแดนนรกอีกครั้งหนึ่ง วันนี้เนื่องจากเวลาดึกมากแล้ว เจ้าหยางเซิงเตรียมตัวกลับสำนัก ขอบคุณมากท่านพัศดีและนายทหารที่ให้การแนะนำชี้แจง

หยางเซิง   :  ขอบคุณยิ่งที่ท่านพัศดีและนายทหารให้ความสะดวก ขอลาก่อนละ

พัศดี   :  สิ่งใดที่บกพร่องแล้ว ขอท่านทั้งสองอภัยให้ด้วย ให้นายทหารทั้งหลายตั้งแถวนมัสการส่งท่านอาจารย์

หยางเซิง   :  กระผมนั่งลงเรียบร้อยแล้ว เชิญท่านอาจารย์กลับสำนักได้แล้ว.....

อรหันต์จี้กง   :  สำนักเซี้ยเฮี้ยงตึ้งถึงแล้ว หยางเซิงลงจากดอกบัว วิญญาณกลับเข้าสู่ร่างดังเดิม
หัวข้อ: เที่ยวเมืองนรก ครั้งที่ 39 : ตอน ท่องแดนแหวกปากเอาเข็มทิ่มนรกน้อย
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 13/09/2012, 04:43
                         เที่ยวเมืองนรก

               ครั้งที่ 39  วันที่  4  พฤศจิกายน  พ.ศ. 2520

                 ตอน  ท่องแดนแหวกปากเอาเข็มทิ่มนรกน้อย

        ท่านอรหันต์จี้กงเสด็จปรากฏกาย ตรัสเป็นกลอนมีความว่า  :

             แดนศักดิ์สิทธิ์        มักซบเซา        ขาดนักธรรม
ต้องรับกรรม                      หากละเมิด        ผิดศีลธรรม
มุ่งสงบ                           หากหมั่นเพียร     มีผลนำ
คงจะกรรม                       หากตอแหล       ทุกข์ร่ำไป

อรหันต์จี้กง   :  ธรณีศักดิ์สิทธิ์เงียบเหงา ผู้บำเพ็ญธรรมมีอยู่ประปราย
บ้างก็เสแสร้งแกล้งทำโดยไม่มีความจริงใจ หน้าไหว้หลังหลอก  บ้างก็ไม่เข้าใจหลักธรรมที่ถ่องแท้ นึกคิดอย่างลม ๆ แล้ง ๆ ตามใจตัว ทำเป็นหูทวนลมต่อคำสั่งสอนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ไม่รักษาตามกฏวินัย  เป็นเหตุให้ศีลธรรมเสื่อมโทรมลง แม้ว่าพวกที่สามารถพูดอย่างน้ำไหลไฟดับ พูดเป็นต่อยหอย แต่คำพูดนั้นก็ไม่ตงกับใจดังเหมือนกลุ่มควันที่ปราศจากรากเหง้าพื้นฐานไม่มั่นคง ลอยละล่องไปตามกระแสลมที่พัดต้อง ยากที่จะเติบโตเป็นต้นกล้าหรือไม้ยืนต้นที่ใหญ่โต ดังนั้นจะมุมานะในการหว่านไถ จะได้รับผลสมบูรณ์ทุก ๆ ปี เหนือกว่าที่พูดคุยส่งเดช อันไม่มีผู้ใดจะเห็นชอบกับมันด้วย การบำเพ็ญธรรมนั้นต้องยืนอยู่บนพื้นฐานแห่งความเป็นจริง ปราชญ์โบราณท่านว่า "ผู้ที่สร้างบุญกุศล ต้องได้รับโชคลาภเหลือล้น พวกที่ก่อกรรมทำเข็ญต้องพบแต่ภัยพิบัติ" กฏแห่งสวรรค์ถึงจะหละหลวม แต่ก็ไม่รอดพ้นไ้ด้ง่ายนัก ถ้าสามารถสำนึกตัว หันหลังกลับยังมีหนทางให้เดิน มิเช่นนั้นแล้วจะเสมือนลมเย็นกวาดใบไม้ร่วงเป็นแถบ ๆ ที่จะมาเยือนในโลกมนุษย์ แล้วจะรู้สึกหนาวสะท้านหาที่พึ่งมิได้ ธรณีบ้านจะซบเซาเปล่าเปลี่ยว ความทุกข์โศกนั้นจะหาที่สิ้นสุดมิได้ วันนี้ได้เวลาไปท่องนรกแล้ว เจ้าหยางเซิงเตรียมขึ้นดอกบัว

หยางเซิง   :  ขอรับคำบัญชา ขอเรียนถามท่านอาจารย์ไฉนวันนี้จึงดื่มจนเมาแป้?. คำพูดคำจาก็แสดงออกถึงความไม่สบอารมณ์หมาย

อรหันต์จี้กง   :  ก็เพราะมองทะลุปรุโปร่งของจิตใจชาวโลก ที่ล้วนแล้วแต่เสาะแสวงหาทางเสพสุขในด้านวัตถุ ละเลยในขนบธรรมเนียมประเพณีสะเทือนต่อจิตใจของฉัน ดังนั้นจึงดื่มเหล้าขมไป 2 - 3 ขวดวันนี้มีเหล้าก็ขอให้เมาในวันนี้ มวลมนุษย์จะไปตกนรกหมกไหม้ก็ช่างมัน แม้ฟ้าดินจะเกิดปรวนแปรถล่มทลายอีกครั้งก็ไม่แคร์

หยางเซิง   :  ท่านอาจารย์มีทั้งเมตตากรุณาทั้งทุกข์โศก

อรหันต์จี้กง   :  ขึ้นบนดอกบัวเร็ว เหล้าไม่เมาคน คนไปเมามันเอง ผู้หญิงมิได้ทำให้คนหลงใหล แต่คนไปหลงใหลเอง เงินทองไม่เคยไปสนใจใคร แต่มนุษย์นั้นไปสนใจมันเอง ลมเย็นโบกมาวูบหนึ่ง ทำให้ฉันสดชื่นขึ้นหน่อย เราศิษย์อาจารย์ไปแดนนรกกันเถอะ.....ถึงแล้ว หยางเซิงลงจากดอกบัวได้

หยางเซิง   :  พัศดีได้มาต้อนรับเราอยู่เบื้องหน้าแล้ว ขอแแสดงคารวะท่านพัศดีและนายทหารทั้งหลาย วันนี้ข้าพเจ้าพร้อมกับท่านอาจารย์มาเยี่ยมชมคุกท่าน ขอได้ให้คำแนะนำชี้แจงด้วย

พัศดี   :  มิต้อง เชิญลุกขึ้นเถิด คุกนี้คือ "แดนแหวกปากเอาเข็มทิ่มนรกน้อย"  เป็นเขตปกครองของขุมที่ 6 เราได้รับคำสั่งแล้วทราบว่าท่านอาจารย์กับท่านหยางเซิงแห่งสำนักเซี้ยเฮี้ยงตึ้งเมืองมนุษย์จะมาเยี่ยมแต่งหนังสือ "เที่ยวเมืองนรก" ขอต้อนรับ ๆ

อรหันต์จี้กง   :  ขอท่านพัศดีอย่าได้เกรงใจเลย เราศิษย์อาจารย์รับเทวโองการให้ท่องนรก ที่มาถึงที่นี่ในวันนี้ ขอให้เปิดประตูแห่งความสะดวกให้ด้วย

พัศดี   :  ท่านทั้งสองเชิญตามข้าพเจ้าเข้าไปข้างใน เพื่อสะดวกในการตรวจชม

หยางเซิง   :  เห็นแต่วิญญาณโทษเต็มพืดไปหมด ที่ถูกขังอยู่ในกรงขัง พวกยมทูตใช้ง่ามเหล็กเจาะแหวกปากให้อ้าออก และแล้วเอาลูกเหล็กที่มีหนามแหลมเต็มไปทั้งลูก บังคับยัดเยียดเข้าไปในทางปากวิญญาณโทษ แต่ละตนแหวกร้องอย่างเจ็บปวด ปานฟ้าดินจะถล่ม ชั่วประเดี๋ยวเดียวเลือดสด ๆ ไหลทะลักออกจากปาก แต่ละตนก็ตกเข้าในลักษณะสงบหมดสติไป

อรหันต์จี้กง   :  ลูกเหล็กมีหนามแหลม เหมือนลูกหนามเหล็ก พวกวิญญาณโทษมันปากแข็ง จึงต้องใช้ง่ามเหล็กแหวกออก ยัดลูกเหล็กเข้าไป ทำให้มันมีปากพูดไม่ได้ และไม่มีเสียงให้ร้องเจ็บด้วย
หัวข้อ: เที่ยวเมืองนรก ครั้งที่ 39 : ตอน ท่องแดนแหวกปากเอาเข็มทิ่มนรกน้อย 2
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 13/09/2012, 05:36
                         เที่ยวเมืองนรก

               ครั้งที่ 39  วันที่  4  พฤศจิกายน  พ.ศ. 2520

                 ตอน  ท่องแดนแหวกปากเอาเข็มทิ่มนรกน้อย

        ท่านอรหันต์จี้กงเสด็จปรากฏกาย ตรัสเป็นกลอนมีความว่า  :

             แดนศักดิ์สิทธิ์        มักซบเซา        ขาดนักธรรม
ต้องรับกรรม                      หากละเมิด        ผิดศีลธรรม
มุ่งสงบ                           หากหมั่นเพียร     มีผลนำ
คงจะกรรม                       หากตอแหล       ทุกข์ร่ำไป

หยางเซิง   :  การทำโทษแบบนี้ทารุณมาก
หาที่เสมอเหมือนมิได้ มนุษย์เราหากมีก้างปลาติดอยู่ในลำคอก็จะทุกข์ทรมานไปร้อยแปด ทุรนทุรายไปทั้งเนื้อทั้งตัว ตอนนี้ใช้ลูกหนามบังคับยัดใส่เข้าไป จึงเป็นคนใบ้กินยาขมไม่สามารถบรรยายความขมได้ (คือทุกข์นั้นพูดไม่ออก) ขอถามพัศดีว่า พวกวิญญาณโทษนี้ทำความผิดอะไรหนักหนาในแดนมนุษย์ จึงต้องมารับโทษทัณฑ์ในแดนนรกเช่นนี้?.

พัศดี    :  ชาวโลกที่ชอบพูดจาสามหาวโดยปราศจากเหตุผล ถือใจตัวเป็นใหญ่ หรือใช้วาจาที่อ่อนนุ่มหยดย้อยหลอกลวงผู้หญิง หรือที่โกหกมดเท็จเอาเงินทองของผู้อื่นเข้ากระเป๋าตัวเอง หรือที่ชอบสูบยาเสพติดให้โทษ หรือชอบพูดจาอย่งมีเลศนัยให้ร้ายผู้อื่นเสมอ ๆ พวกนี้เมื่อตายลงแล้วยากที่จะรอดจากการลงโทษของ นรกแหวกปากเอาเข็มทิ่ม"  ข้าพเจ้าจะให้วิญญาณโทษ 2 - 3 ตนออกจากกรงขัง เพื่อมาเล่าอธิบายสารภาพการทำผิดอย่างไรบ้าง

อรหันต์จี้กง   :  พวกมันสลบไสลไปแล้ว อาตมาใช้พัดนี้โบกทีเดียวให้มันตื่นขึ้น นายทหารรีบถอดเอาลูกเหล็กในปากมันออก มิเช่นนั้นแม้มีปากก็พูดไม่ได้

นายทหาร   :  ได้ถอดเอาลูกเหล็กออกแล้ว เชิญท่านอาจารย์จัดการได้

อรหันต์จี้กง   :  วิญญาณโทษทุกตนฟังคำสั่งนี้  :: วันนี้อาตมาพานายหยางเซิงแห่งเมืองมนุษย์มารวบรวมมาหาสภาพการณ์ที่พวกแกถูกทำโทษณที่นี้ ให้ทุก ๆ ตนเปิดเผยความจริงที่ทำอะไรไว้เสียบ้างจากปากของตนตอนที่อยู่ในเมืองมนุษย์ เมื่อตายลงแล้วจึงมีมารับโทษที่นี้?.

วิญญาณโทษ   :  ฉันตอนมีชีวิตอยู่นั้นมีคารมคมคายดีมาก เวลาพูดเวลาจาไม่เพียงแต่นุ่มนิ่มเสนาะโสต ยังสามารถโน้มหน้าวเหนี่ยวรั้งจิตใจคนทำให้ผู้อื่นหลงใหลได้ เนื่องจากฉันมีรูปโฉมโนมพรรณสวยงาม หลังจากแต่งงานแล้ว ยังมีผู้ชายไม่น้อยมาติดพันฉันอยู่ มีอยู่ครั้งหนึ่ง มีผู้ชายคนหนึ่งมาขอความรักอย่างร้อนแรงจากฉัน ฉันเห็นว่าเขาผู้นั้นร่ำรวยมีเงินมากจึงใช้ความตลบตะแลงต่อเขา โดยพูดหลอกว่า "สามีฉันปฏิบัติต่อฉันไม่ดี ขอให้คุณจงช่วยเหลือฉันให้มากหน่อย"  ต่อจากนั้นก็เกิดเป็นชู้กันขึ้น เพราะเหตุว่าฉันประจบประแจงออเซาะเก่ง โดยเอาลิ้น 2 นิ้วนี้เป็นเครื่องมือตะล่อมหลอกล่อเอาทรัพย์สินเงินทองจากเขาจนหมดเกลี้ยง เสร็จแล้วก็ใช้วาจาอันสามหาวใส่เขา แต่ละคำล้วนแฝงด้วยเลศนัยฝังคม กระแทกกระทั่นเพื่อชายผู้นั้น เขาโดนการเหยียดหยามดูหมิ่นเข้าแบบนี้ เกิดความปลงไม่ตกก็เลยฆ่าตัวตาย เมื่อตายลงแล้วใจนั้นจึงผูกความพยาบาทไปฟ้องร้องยังท่านยมบาล ท่านยมบาลเห็นว่าเขาพลาดพลั้งไปโดยความนึกคิดชั่วูบเดียว แต่เห็นว่าตัวฉันเป็นผู้หญิงที่มีจิตใจโหดร้ายเกินควร จึงรับฟ้องไว้ให้มีการสนองตอบรับกรรมเวร ต่อมาวิญญาณชายผู้นั้นก็เข้ามาสิงอยู่กับตัวฉันเสมอ ๆ ทำให้ตัวฉันอยู่ไม่เป็นสุข โดยผ่านมาได้ 7 ปีเศษ ถึงคราวอับโชคและตายลงด้วยจิตใจร่างกายที่อ่อนเปลี้ย เราทั้งสองได้ไปโต้เถียงที่เมืองผีตายโหง เขาถูกลงโทษด้วยฐานที่มักมากในกามไปมั่วลูกเมียชาวบ้าน ฉันก็โดนขุมต่าง ๆ ลงโทษอย่างหนัก วันนี้ถูกส่งตัวมายังขุมนี้ เปียงเซี้ยอ๊วงด่าว่าฉันมีปากไว้ให้ผู้อื่นหลงใหล ทำร้ายคนเสียดแทงคน ควรรับสนองตอบจาก นรกแหวกปากเอาเข็มทิ่ม" ทุกวี่ทุกวันโดนยัดด้วยลูกหนามเหล็ก รับทุกข์ทรมานร้อยแปดพันประการ

อรหันต์จี้กง   :  เธอแกล้งทำเป็นมีความรักความใคร่คบชู้สู่ชาย ฆ่าคนด้วยปากด้วยลิ้น เมื่อตายลงแล้วมารับโทษยังที่นี้ เป็นการสมควรแล้ว ไม่ต้องพร่ำบ่นแค้นเคืองใคร วิญญาณโทษตนที่ 2 เล่าเรื่องของแกที่ผ่านมาเป็นอย่างไรบ้าง

วิญญาณโทษ   :  ภพกก่อนผมเป็นอันธพาลคนหนึ่ง ชอบเสพแต่พวกยาเสพติด และฉีดทั้งมอร์ฟีน จนติดงอมแงม จึงต้องเที่ยวออกหาลักขโมยข้าวของชาวบ้านไปทั่วทุกแห่ง เพื่อจะซื้อยาเสพติด เมื่อตายลง ถูกตัดสินให้ตกมาอยู่คุกนี้ รับทุกข์ทรมานอย่างไม่สามารถพูดได้ ไม่มีความสุขสบายดังเช่นเสพยาเสพติดครั้งที่อยู่ในโลกมนุษย์ ทุก ๆ วันกลืนกินแต่ลูกเหล็ก รับทุกข์จากการแทงทิ่มปาก จึงโทษตัวเองไม่ทำดีในตอนที่มีชีวิตอยู่

พัสดี   :  การสูบยาเสพติดให้โทษ คุกนี้ให้ลงโทษยาวนานมาก เนื่องจากพิษยายังไม่เสื่อมสลายตัว วิญญาณโทษนั้นจึงไม่สามารถถูกปลดปล่อยให้ไปผุดเกิดและในแดนมนุษย์ยังมีผู้คนไม่น้อยที่ชอบพวกยาเสพติดให้โทษ ยาต้องห้ามกฏหมายบ้านเมืองก็ลงโทษอย่างหนัก เมื่อตายลงแล้วกฏในยมโลกยิ่งหนักขึ้นไปอีก บางตนยังย้ายขังไว้ "นรกโลกันตร์" ขอเตือนผู้ประพฤติผิดในทางนี้ รีบสำนึกกลับตัวโดยเร็ว อย่ามอมเมาชีวิตและวิญญาณต่อไป
หัวข้อ: เที่ยวเมืองนรก ครั้งที่ 39 : ตอน ท่องแดนแหวกปากเอาเข็มทิ่มนรกน้อย 3
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 13/09/2012, 06:08
                         เที่ยวเมืองนรก

               ครั้งที่ 39  วันที่  4  พฤศจิกายน  พ.ศ. 2520

                 ตอน  ท่องแดนแหวกปากเอาเข็มทิ่มนรกน้อย

        ท่านอรหันต์จี้กงเสด็จปรากฏกาย ตรัสเป็นกลอนมีความว่า  :

             แดนศักดิ์สิทธิ์        มักซบเซา        ขาดนักธรรม
ต้องรับกรรม                      หากละเมิด        ผิดศีลธรรม
มุ่งสงบ                           หากหมั่นเพียร     มีผลนำ
คงจะกรรม                       หากตอแหล       ทุกข์ร่ำไป

อรหันต์จี้กง   :  ตนที่ 3  รีบสารภาพได้ก่อกรรมทำชั่วอะไรไว้ตอนเป็นมนุษย์ ?.

วิญญาณโทษ   :  ผมได้รับการศึกษาอยู่บ้าง
ท่องจำคำพังเพยสุภาษิตอยู่ไม่น้อย จึงมักจะถกเถียงกับญาติมิตรด้วยเหตุผลที่ไม่ถูกต้องตามหลักธรรมเสมอ ๆ ที่พูดไปนั้นเป็นเพียงหลักธรรมผิด ๆ เพี้ยน ๆ และชอบนำเอาคำพูดของนักปราชญ์อัจฉริยะบุคคลมากล่าวร้ายป้ายสีผู้อื่น เมื่อตายลงแล้วท่านยมบาลพูดว่า แกไม่ยกเอาคำพูดของนักปราชญ์อัจฉริยะบุคคลไปปฏิบัติในทางสร้างบุญสร้างกุศล แต่กลับนำไปใช้ในทางไร้ประโยชน์เถียงอย่างข้าง ๆ คู ๆ ควรที่จะนับได้ว่าพูดเพ้อเจ้อ เมื่อปากแข็งนักจึงควรตัดสินให้กลืนกินลูกหนาม ให้ทดลองลิ้มรสชาติแห่งปากเหล็กฟันแข็งเสียบ้าง เวลานี้จึงมีปากเหมือนมีก้น (พูดไ่ออก) เสียจริง ๆ

อรหันต์จี้กง   : 
คนมีเหตุมีผลท่องเดินไปได้ทั่วโลก คนไร้เหตุไร้ผลก้าวเดียวก็ขยับไปไหนไม่รอด ชาวโลกเมื่อจะพูดจะจาควรพูดตรงตามหลักธรรม เช่นพูดว่า การฆ่าเขาตายเพราะว่าเขาผู้นั้นชีวิตมันถึงฆาตแล้ว โดยไม่ใช่ตายเพราะฉันไปฆ่ามันพูดแบบนี้ก็คือพูดอย่างข้าง ๆ คู ๆ ปราศจากเหตุผล ผู้ที่ชอบพูดแบบน้ำขุ่นไม่ตรงต่อเหตุผล เมื่อตายลงแล้วต้องถูกลงโทษแน่นอน ถามวิญญาณโทษตนที่ 4 อีกที แกมาตกนรกนี้ด้วยเหตุใด?. 

วิญญาณโทษ   :  ผมตอนมีชีวิตอยู่สะสมเงินทองไว้ได้ไม่น้อย เนื่องจากโลภอยากได้ดอกผลเพิ่มพูน ประดาผู้ที่เดือนร้อนจะใช้เงินหรือคนยากจนจะมายืมเงินจากผม ล้วนเรียกดอกเบี้ยอย่างสูงมาก ฉะนั้นทั้งเงินต้นทั้งดอกเบี้ย กระเป๋าก็ตูมขึ้นทุกวัน ถ้าฝ่ายกู้ยืมถึงกำหนดเวลาแล้วไม่สามารถชำระเงินคืนก็จะเสี้ยมสอนอันธพาลไปข่มขู่ พอตายลง ท่านยมบาลจึงกล่าวหาว่าผมปล่อยกู้ขูดรีด ดูดกินเลือดคน กอบโกยอย่างโหดเหี้ยมเกินควร ต้องลงโทษด้วยการกลืนกินหนามเหล็ก มันทรมานเหลืือที่จะรับไว้จริง ๆ

พัศดี   :  คนรวยบางคนมีจิตใจแข็งกระด้างดุจเหล็กดุจทอง ยึดอาชีพปล่อยเงินกู้ ด้วยการเก็บดอกเบี้ยสูงลิ่ว แม้ว่าฝ่ายกู้จะสมยอมด้วย แต่ใจคอโหดเหี้ยมเกินไป เสมือนหนึ่ง "กินทองเหลือง กินเหล็กได้" เมื่อตายลงแล้วให้มันได้ชิมรสชาติแห่ง "รวยแล้วไม่มีความเมตาสงสารผู้อื่น จึงขอเตือนบรรดาผู้ที่ร่ำรวยในแดนมนุษย์ ตัวเองมีเงินทองเหลือใช้ให้ผู้อื่นหยิบยืม อย่าได้เรียกเก็บดอกเบี้ยสูงนักไปรีดไถเขา ควรปล่อยกู้ด้วยดอกเบี้ยต่ำ ๆ การช่วยเหลือผู้อื่นเปนรากเหง้าแห่งความสุข ไฉนจึงไม่ปฏิบัติเล่า

อรหันต์จี้กง   :  เวลาดึกมากแล้วสำหรับวันนี้ เจ้าหยางเซิงเตรียมกลับสำนัก ขอบคุณท่านพัศดีและนายทหารทั้งหลายที่ให้การต้อนรับอย่างดียิ่ง ขอลาก่อนละ

พัศดี   :  ให้นายทหารตั้งแถวนมัสการส่งท่านอาจารย์

หยางเซิง   :  กระผมนั่งลงเรียบร้อยแล้วเชิญท่านอาจารย์กลับสำนัก.....

อรหันต์จี้กง   :  ถึงสำนักเซี้ยเฮี้ยงตึ้งแล้ว  หยางเซิงลงจากดอกบัว  วิญญาณกลับเข้าสู่ร่างดังเดิม
หัวข้อ: เที่ยวเมืองนรก ครั้งที่40 ตอน ท่องแดนตาข่ายหนามตั๊กแตนเจาะนรกน้อย
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 18/09/2012, 19:42
                       เที่ยวเมืองนรก

               ครั้งที่ 40  วันที่  19  พฤศจิกายน  พ.ศ. 2520

                 ตอน  ท่องแดนตาข่ายหนามตั๊กแตนเจาะนรกน้อย

        ท่านอรหันต์จี้กงเสด็จปรากฏกาย ตรัสเป็นกลอนมีความว่า  :

               อิงแอบกาย        ที่เมื่อยเปลี้ย        ในราตรี
ประสาทศรี                        ศักดิ์สิทธิ์            ใหม่ผ่องแผ้ว
กวาดล้างเสีย                     ฝุ่นละออง            ชะบาปแล้ว
คนไม่แคล้ว                       ต้องลำบาก          ทำไมหนอ

อรหันต์จี้กง   :  ทั้งภายในและภายนอกของสำนักเซี้ยเฮี้ยงตึ้ง ได้รับการบูรณะปฏิสังขรณ์ตกแต่งลงเรียบร้อยแล้ว
รู้สึกว่าหน้าตาสดใสผ่องแผ้วสง่างามขึ้นเทพเทวาท่านชอบสถานที่ที่สะอาดหมดจด มวลชนที่ต้องการจะพบเห็นเทพเทวานั้น ต้องชำระล้างร่างกายจิตใจให้สะอาดเรียบร้อย มิเช่นนั้นตาทิพย์จะถูกปกปิดด้วยฝุ่นละอองยากที่จะมองทะลุทิวทัศน์บนสวรรค์ วันนี้เตรียมไปท่องแดนนรก เจ้าหยางเซิงขึ้นบนดอกบัวเสีย

หยางเซิง   :  ขอรับคำบัญชา !วันนี้เห็นท่านอาจารย์สดชื่นเบิกบานมาก มิทราบว่าท่านมีความสุขด้วยสิ่งใด?.

อรหันต์จี้กง   :  เมื่อมาถึงสถานที่ผผ่องแผ้วแห่งธรณีศักดิ์สิทธิ์ เห็นปราสาทอันทรงธรรมศักดิ์สิทธิ์ปราศจากฝุ่นละอองแม้แต่ผงธุลี  ความกลัดกลุ้มที่เกาะจับอยู่ในหัวใจจึงคลายออกจนหมดสิ้น ก็เลยเป็นสุขหายกังวล

หยางเซิง   :  ชาวโลกมักพูดว่า "เมื่อไม่เห็นก็นับว่าสะอาดหมดจด" ท่านอาจารย์มีความเห็นประการใด?.

อรหันต์จี้กง   :  พุทธเทพท่านสามารถทรงอำนาจแห่งความมั่นคงชนิดนี้ได้ แต่ปุถุชนจะไม่มีทางเสมอเหมือนได้ "มุมตาย" (มุมมืด) ที่ไม่สามารถมองเห็นนั้นมักจะสกปรกเหลือหลาย ประพฤติความชั่วร้ายในมุมมืด จะเรียกว่าเมื่อมองไม่เห็นให้ถือเป็นสะอาดหมดจดได้อย่างไรเล่า

หยางเซิง   :  ท่านอาจารย์พูดสมเหตุสมผลมาก กระผมนั่งบนดอกบัวเรียบร้อยแล้ว เชิญท่านอาจารย์ออกเดินทางได้แล้ว.....

อรหันต์จี้กง   :  ถึงแล้วละ รีบลงจากดอกบัวเร็ว

หยางเซิง    :  วันนี้เรามาถึงที่นี่ เห็นแต่ยมทูตคุมตัววิญญาณโทษรุดไปข้างหน้า ยังไม่ได้ยินเสียงร้องจากการถูกทำโทษเลย

อรหันต์จี้กง   :  วันนี้เรามาเยี่ยมชม "ตาข่ายหนามตั๊กแตนเจาะนรกน้อย" ก็เพราะว่าวิญญาณโทษเหล่านั้นที่รับการลงโทษให้ความทรมานอย่างเชื่องช้า จึงมีแต่เสียงครวญครางเจ้าจะได้เห็นโดยละเอียดหลังจากนี้สักครู่  นี่ก็ได้ใกล้กับประตูคุกอยู่แล้ว พัศดีกับนายทหารก็ได้มาคอยต้อนรับเราแล้ว

หยางเซิง   :  ขอแสดงความเคารพต่อท่านพัศดีและนายทหารทั้งหลาย ข้าพเจ้าพร้อมท่านอาจารย์มาเยี่ยมชมคุกของท่านในวันนี้ขอให้ความสะดวกด้วย

พัศดี   :  หามิได้ ! คุกนี้คือ "ตาข่ายหนามตั๊กแตนเจาะนรกน้อย" ซึ่งขึ้นกับท่านเปียงเซี้ยอ๊วงแห่งขุมที่ 6 สำนักเซี้ยเฮี้ยงตึ้งแห่งเมืองไถ่ตง รับประทับทรงบรรยายธรรม มีบุญกุศลกว้างใหญ่ล้ำลึกยิ่งนัก คราวนี้ได้รับเทวโองการให้แต่งหนังสือ "เที่ยวเมืองนรก" เปิดเผยเหตุการณ์ของยมโลกปลอบเตือนกอบกู้ชาวโลก ความบากบั่นอุตสาหะน่าสรรเสริญยิ่งนัก คุกเรานี้สามารถตีพิมพ์ลงในหนังสืออันมีค่าเปรียบเสมือนทองคำเล่มนี้ รู้สึกเป็นเกียรติอย่างสูง เชิญท่านทั้งสองเข้าไปชมดูภายใน

หยางเซิง   :  ขอบคุณมากที่ท่านพัศดีให้การแนะนำ โอย !ภายในคุกล้วนปูด้วยตาข่ายหนามแหลม เสมือนหนึ่งลวดหนามสิ่งกีดขวางในแดนมนุษย์ บนพื้นดินก็บุอีกชั้นหนึ่ง และมีน้ำขังเปียกชุ่มอยู่ ด้านบนก็มีอีกชั้นคุมไว้ด้วย ตัวตนยืนตรงไม่ได้ เวลาเดินต้องใช้คลานเอา พอเงยหัวขึ้นศีรษะและแผ่นหลังจะโดนหนามเหล็กทิ่มแทงบาดเจ็บ วิญญาณโทษแต่ละตนครวญเสียงอย่างหมดอาลัย เสื้อผ้าขาดวิ่นไม่มีชิ้นดี บนตัวยังมีสิ่งของ 2 สิ่งติดอยู่ เนื่องจากอยู่ในระยะห่างไกลพอสมควร ข้าพเจ้ามองเห็นไม่ถนัดนัก ขอท่านพัศดีบอกให้ทราบด้วย จะได้หรือไม่ประการใด?.

พัศดี   :  อ้าย 2 สิ่งนั้น สิ่งหนึ่งคือตัวตั๊กแตน อีกสิ่งหนึ่งคือตัวปลิง ซึ่งดูดกินมันสมองและโลหิตโดยเฉพาะ

อรหันต์จี้กง   :  เราขึ้นหน้าไปอีกหน่อย เจ้าจะได้มองเห็นชัดเจนขึ้น

หยา่างเซิง   :  ดีซิครับ โอ้โฮ้ ! ที่แท้บนตัววิญญาณโทษโดนพวกปลิงเกาะติดทั้งตัวเลย มองดูแล้วรู้สึกหวาดเสียวมากจริง ๆ แล้วบนศีรษะยังมีตัวตั๊กแตนเกาะเต็มไปด้วย ที่จริงแล้วมันกำลังดูดกินอะไรนะ ?.
หัวข้อ: Re: ท่องนรก
เริ่มหัวข้อโดย: nakdham ที่ 8/01/2019, 11:40
                        เที่ยวเมืองนรก

               ครั้งที่ 40  วันที่  19  พฤศจิกายน  พ.ศ. 2520

                 ตอน  ท่องแดนตาข่ายหนามตั๊กแตนเจาะนรกน้อย

        ท่านอรหันต์จี้กงเสด็จปรากฏกาย ตรัสเป็นกลอนมีความว่า  :

               อิงแอบกาย        ที่เมื่อยเปลี้ย        ในราตรี
ประสาทศรี                        ศักดิ์สิทธิ์            ใหม่ผ่องแผ้ว
กวาดล้างเสีย                     ฝุ่นละออง            ชะบาปแล้ว
คนไม่แคล้ว                       ต้องลำบาก          ทำไมหนอ 

อรหันต์จี้กง   :  ตัวปลิงมีอีกชื่อหนึ่งเรียกว่า "หม่าม้อ" (ปลิงใหญ่ชนิดหนึ่ง)
มีชุมที่สุดในหนองน้ำร่องลึก พอมันเกาะอยู่กับตัวคนโลหิตจะถูดดูดกินจนหมดเกลี้ยง ชาวโลกหวาดกลัวยิ่งนัก ตัวตั๊กแตนเป็นพวกทำลายต้นข้าวเป็นแมลงที่ให้โทษ แมลงตั๊กแตนฝูงหนึ่งสามารถกัดกินต้นข้าวทั้งปวงให้เหลือแต่ซาก บัดนี้ตัวตั๊กแตนทั้งฝูงกำลังดูดกินมันสมองของวิญญาณโทษอยู่

พัศดี   :  เนื่องจากตัวตั๊กแตนเลือกกินแต่น้ำหล่อเลี้ยงใบต้นข้าวโดยเฉพาะ วันนี้มันมาแปลงกายเกิดอยู่ในนรก จึงดูดกินแต่มันสมองของคนซึ่งเป็นของเหลวสีขาวเช่นเดียวกัน

หยางเซิง   :  น่าสะพรึงกลัวเป็นที่ยิ่ง ข้าพเจ้าเห็นแล้วทำให้หัวใจชักอ่อนแรงลง หายใจครึดครากมือเท้าอ่อนนุ่มหมดเรี่ยวแรง

อรหันต์จี้กง   :  มิต้องหวั่นกลัว เราท่องนรกเพื่อแต่งหนังสือ ซึ่งมาตามพระราชโองการ มีข้าฯอยู่เป็นเพื่อนด้วยทำใจให้กล้าเถิด

พัศดี   :  ท่านทั้งสองโปรดรอสักครู่ ข้าพเจ้าจะให้วิญญาณโทษ 2- 3 ตนมาบอกเล่าหลักฐานในคดีที่มันก่อขึ้น

หยางเซิง   :  ขอบคุณท่านพัศดีมาก แต่ขอให้เร็วหน่อย และต้องเอาตัวปลิงเกาะวิญญาณโทษนั้นออกหมด ข้าพเจ้ากลัวสิ่งนี้เป็นที่สุด

พัศดี   :  ได้ครับ !  ท่านคอยสักครู่นะครับ...สิ่งร้ายสองสิ่งได้เอาออกหมดแล้ว ท่านหยางเซิงมิต้องตกใจ  สั่งให้วิญญาณโทษ 2 ตนนี้สารภาพเรื่องไม่ดีที่ทำไว้ตอนมีชีวิตอยู่ ที่ต้องมารับโทษที่นี่ด้วยเหตุใด ๆ ท่านอาจารย์และท่านหยางเซิงแห่งสำนักเซี้ยเฮี้ยงตึ้ง เมืองมนุษย์ ได้มายังยมโลกเพื่อรวบรวมพยานหลักฐานแห่งการทำชั่ว แกทั้งสองจงร่วมมือสารภาพออกมา เพื่อเอาไปปลอบเตือนชาวโลก

วิญญาณโทษ   :  ตอนอยู่ในแดนมนุษย์ผมเป็นตุลาการผู้พิพากษา ดำเนินการพิจารณาคดีความ เนื่องจากได้รับสินบนจากฝ่ายจำเลยเป็นเหตุให้คดีดำเนินและตัดสินไปโดยไม่ยุติธรรม จึงเกิดการทำให้คนติดคุกโดยปราศจากความชอบธรรมแห่งขบวนความ ตอนนั้นได้รับทรัพย์สินเงินทองที่ไม่ชอบด้วยกฏหมายไม่น้อย แม้ว่าจะเคยได้ยินผู้คนพูดว่า "มันเป็นตุลาการแล้วไม่อยู่ในความยุติธรรม ละโมบทรัพย์ตัดสินไม่เที่ยงตรง เมื่อตายลงแล้วย่อมได้รับกรรมสนองตอบ" แต่บางครั้งใจก็คิดว่า ในชาตินี้ขอให้ร่ำรวยมียศศักดิ์ศรี มีอำนาจบาทใหญ่ชาติหน้าจะเป็นฉันใดก็ช่างหัวมัน เมื่อตายลงแล้วผ่านหอกระจก (กรรม) วิเศษฉายปรากฏออกซึ่งเหตุการณ์คอร์รัปชั่น หรือการตัดสินที่ผิดศีลธรรมไม่เที่ยงตรง ล้วนถ่ายออกมาเป็นฉาก ๆ ดังภาพยนตร์เห็นอย่างแจ่มแจ้งชัดเจนต่อหน้าต่อตา นอกจากรับการลงโทษจาก "นรกอุจจาระ ปัสสาวะแล้วยังส่งขุมที่ 6 นี้อีก ท่านเปียงเซี้ยอ๊วง ตวาดว่าตัวผมเป็นผู้พิพากษาตุลาการ รู้กฏหมายถือกฏหมายทำผิดกฏหมายโทษฐานนั้นยิ่งใหญ่หนักหนา ตัดสินให้ตกเข้ามาอยู่ใน "นรกตาข่ายหนามตั๊กแตนเจาะ" รับความทรมานทุกวี่วัน ต้องคลานไปภายใต้ตาข่ายหนามทั่วทั้งร่างกายโดนตัวตั๊กแตน ตัวปลิงเจาะกิน เจ็บปวดไปทั่วสรรพางค์กาย พลังกายพลังใจแทบจะสูญสิ้นทลายลง ทรมานเหลือที่จะกล่าว

พัศดี   :  รู้กฏหมายแล้วทำผิดเอง เป็นการกระทำที่ดูหมิ่นดูแคลนกฏบัตรแห่งสวรรค์เป็นที่ยิ่ง ขอเตือนผู้รักษากฏหมายในเมืองมนุษย์ ควรถือเป็นแบบอย่างของท่านเปาปุ้นจิ้น เคร่งครัดซื่อสัตย์ เที่ยงธรรม ทำชนิดลงโทษคนดีไม่ปล่อยคนชั่ว เพื่อแผ้วถางสิ่งชั่วร้ายกำจัดทุจริตในสังคม แผ่เมตตาธรรมแทนฟ้าสวรรค์ ท่านจะได้บุญกุศลมหาศาล หากไม่ทำตามกฏวินัย เห็นแต่ได้ เสียความเที่ยงธรรม โลภรับสินบนเมื่อตายลงต้องรับโทษอย่างหนักจากแดนนรกแล้วจะมีผลพลอยให้ลูกหลานแหลนไม่เจริญไปด้วย  ซึ่งมีตัวอย่างให้เห็นมาแต่โบราณกาลแล้ว การตอบสนองนั้นล้วนจะไม่เข้าใครออกใคร วิญญาณโทษตนที่ 2 รีบเล่าความผิดที่สร้างไว้ในปางก่อน

วิญญาณโทษ   :  เนื่องจากผมมีร่างกายสูงใหญ่แข็งแรง ตอนอยู่เมืองมนุษย์เคยมีหน้าที่เป็นผู้คุ้มครองในบ่อนการพนันและสถานที่เริงรมย์ต่าง ๆ เรียกเก็บค่าที่คุ้มครองยังชีพไปวัน ๆ ก็ผ่านไปอย่างสุโขไม่น้อยจะกินจะดื่มมั่วกันสนุกสารพัด แต่หารู้ไม่ว่าตายลงแล้วท่านยมบาลตัดสินให้ตกเข้ามาอยู่ในคุกนี้ ความทรมานนั้นหาที่เปรียบมิได้จริง ๆ แสนที่จะอเน็จอนาถเหลือประมาณ

พัศดี   :  อย่าปิดบังความชั่วอื่น ๆ อีกนะ ให้พูดออกมาเร็ว มิเช่นนั้นจะลงโทษให้หนักกว่านี้อีก

วิญญาณโทษ   :  ครับผม ผมจะพูด เนื่องจากผมใหญ่พอในสังคมมืด จึงไม่คิดจะอาศัยกำลังกายไปหากิน หากเวลาเงินทองขาดมือ ก็มักจะไปรีดไถเอาจากร้านที่ค้าขาย ทำอย่างนี้ทั้งปีทั้งชาติจนชีวิตจะหาไม่

อรหันต์จี้กง   :  บรรดาผู้คนที่ไม่ทำมาหาเลี้ยงชีพด้วยงานการสุจริต เอาแต่รีดไถเงินทองผูั้อื่นที่หามาด้วยหยาดเหงื่อเลือดเนื้อนั้นล้วนต้องมาลงเอยกันอีแบบนี้ทั้งสิ้น ขอเตือนชาวโลกจงสำนึกตัวตื่นขึ้นและกลับตัวกลับใจเวลาดึกมากแล้ว เจ้าหยางเซิงเตรียมตัวกลับสำนักได้

หยางเซิง   :  ขอบคุณท่านพัศดีและนายทหารทั้งหลายที่ให้การต้อนรับอย่างดียิ่ง เพราะเหตุว่าเวลาหมดลง เราขอลาก่อน

พัศดี   :  ให้นายทหารตั้งแถวนมัสการส่งท่านอาจารย์

หยางเซิง   :  กระผมนั่งลงเรียบร้อยแล้ว เชิญท่านอาจารย์เดินทางกลับสำนักเถิด...

อรหันต์จี้กง   :  ถึงสำนักเซี้ยเฮี้ยงตึ้งแล้ว หยางเซิงลงจากดอกบัว วิญญาณกลับเข้าสู่ร่างดังเดิม