นักธรรม
ห้องสมุด "นักธรรม" => หนังสือ => ข้อความที่เริ่มโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 3/10/2011, 22:47
-
ข้อแกร่งแรงมุ่งของผู้บำเพ็ญ
คำนำ
บทบรรยายในหัวข้อ ข้อแกร่งแรงมุ่ง ซึ่งได้ถอดความเป็นภาษาไทยแล้วนี้ ผู้บรรยายต้นฉบับภาษาจีน มิได้ระบุนามไว้บนปกหนังสือ แต่ท่านผู้ฟังบรรยายในครั้งนั้นได้เปิดเผยว่า ท่านคือเตี่ยนฉวนซือ ผู้ใหญ่ที่บำเพ็ญดีจนแทบไม่มีที่ติ ท่านอ่อนน้อมถ่อมตน จงรักภักดีต่ออาณาจักรธรรม ต่อท่านเฉียนเหยิน มีคุณธรรมศรัทธาต่อฟ้าเบื้องบน เสมอต้นเสมอปลายเรื่อยมาในชีวิตการบำเพ็ญที่นานกว่าสี่สิบปี แม้กระนั้นก็ยังมีผู้ชื่นชมและติฉินนินทา แต่ท่านมิได้รู้สึกกระทบกระเทือน เพราะท่านบำเพ็ญเพื่อการหลุดพ้น นั่นคือ ภาวะชั่วกาลนาน
หลากหลายอารมณ์ของคนรอบข้างจึงเป็นเสมือนลมพัดผ่าน คือ ภาวะสั้นชั่วระยะ เท่านั้น เมื่อท่านเฉียนเหยินได้โปรดมอบหมายให้ท่านอรรถาธรรมเพื่อเสริมสร้างทัศนคติเที่ยงตรงในการบำเพ็ญ แก่นักธรรมชั้นนำทั้งหลายในครั้งนั้น จึงได้รับความยินดีน้อมรับเพื่อย้อนมองส่องตนโดยทั่วกัน
ในเมื่อท่านเจ้าของบทบรรยาย มิได้ระบุนามไว้บนปกหนังสือต้นฉบับ จะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม ผู้แปลก็จะต้องเคารพความตั้งใจของท่าน จึงมิได้ระบุนามเจ้าของบทบรรยายไว้ จะอย่างไรก็ตาม ทัศนธรรมที่ท่านได้แสดงไว้ พลังใจในการปฏิบัติบำเพ็ญด้วยข้อแกร่งแรงมุ่งที่แผ่พลังออกมาทุกคำพูด ทุกวรรคทุกตอนนั้น ผุ้แปลสำนึกรู้ น้อมรับ ที่จะเจริญธรรมต่อไป และหวังว่าทัศนธรรมกับพลังข้อแกร่งแรงมุ่งของท่านจะได้เสริมสร้างผู้บำเพ็ญที่ได้อ่านเป็นอย่างดี
ด้วยความเคารพและขอบพระคุณยิ่ง
ศุภนิมิต
แปลและเรียบเรียง
-
ข้อแกร่งแรงมุ่งของผู้บำเพ็ญ
ซิวเต้าเหยิน ผู้บำเพ็ญธรรม
จื้อ แรงมุ่ง จิตใจใฝ่ดี วิริยะมุ่งมั่นฟันฝ่า
จื้อ ประกอบด้วยส่วนของตัวอักษร ซื่อ กับ ซิน
ซื่อ, ซิน ประเสริฐชนผู้อยู่เหนือโลก จิตใจเป็นฐานมั่นคง
เจี๋ย ข้อไผ่ แข็งแกร่ง สูงส่งเที่ยงตรง มั่นคง เสียดฟ้า ไม่บิดเบน อุปมาความสำรวม สามัคคี มีบรรทัดฐาน งดงามยั่งยืน
ข้อแกร่งแรงมุ่งของผู้บำเพ็ญ
คำนำ
ปีหมินกั๋วที่สิบเก้า ซือจุน ซือหมู่ พร้อมกันรับสนองเทียนมิ่ง อนุตตรพระโองการปรกโปรดทั่วกันทั้งสามโลก จวบบัดนี้ เจ็ดสิบปีผ่านมา ในระหว่างนั้น พุทธบุตรคนเดิมได้ขึ้นฝั่งกันนับไม่ถ้วน อีกทั้งได้เสริมสร้างอริยปราชญ์แห่งธรรมกาลยุคขาวไว้นับไม่ถ้วน ถือได้ว่าเป็นบันทึกหนึ่งหน้าของปัจจุบันกาลอันเรืองรองเป็นประวัติการทีเดียว วิถีธรรมสืบส่งจากจีนแผ่นดินใหญ่สู่ไต้หวัน การปรกโปรดแผ่ขยายเจริญไกลอย่างไม่เคยมีมาก่อน แต่อาณาจักรธรรมในวันนี้ ห่างไกลจากกาลเวลาของอริยบุคคล เพราะท่านผู้สูงส่งด้วยมหาบารมีคุณต่างก็ทยอยกันกลับคืนฐานเบื้องบนไปแล้ว ธาตุธรรมก่อนเก่า กับสภาวะคุณธรรมของท่านเหล่านั้น ไม่ง่ายเลยที่จะคืนกลับมาปรากฏอีก ทำให้ผู้รู้ผู้เจริญห่วงใยยิ่งนัก ด้วยเกรงว่า วิถีธรรมเมื่อสืบต่อไปจนถึงสุดท้าย ยิ่งนานวันก็จะยิ่งสิ้นสูญคุณวิเศษสูงส่งของธาตุแท้แต่เดิมทีไป ดังนั้น จึงได้ยกตัวอย่าง "ข้อแกร่งแรงมุ่ง" ของท่านธรรมภันเตที่เจริญธรรมอยู่ในจีนแผ่นดินใหญ่ในครั้งกระนั้น จัดพิมพ์เป็นเล่ม เพื่อแสดงให้เห็นคุณค่านิรันดร์กาลนั้น
ข้อความในหนังสือเล่มนี้ เรียบเรียงจากบทบรรยายสด แต่เพื่อให้เกิดความชัดเจนเป็นช่วงตอน จึงลองเพิ่มหัวเรื่องบทลงไว้ ซึ่งต้นฉบับเดิมได้เคยพิมพ์ลงไว้ในหนังสือ "ประมวลธรรมสารแสงสว่าง " เล่มที่สิบเก้าแล้ว
วันนี้ เพื่อให้แพร่หลาย จึงได้จัดพิมพ์เป็นเล่มเฉพาะ จึงเรียนมาเพื่อทราบด้วยความเคารพ
กลุ่มบรรณสารธรรมปราสาทเทียนเอวี๋ยนฝอเอวี้ยน
-
ข้อแกร่งแรงมุ่งของผู้บำเพ็ญ
กล่าวนำ
"ข้อแกร่งแรงมุ่ง" ไม่ใช่ทัศนคติ
วันนี้ที่ผู้น้อยจะเรียนให้ทราบ จะไม่พูดในแง่มุมว่า ผู้บำเพ็ญพึงมีข้อแกร่งแรงมุ่งข้อหนึ่ง ข้อสอง ข้อสาม...อย่างไร เพราะทุกท่านต่างเข้าใจดีหมดแล้วว่าอะไรคือ "ข้อแกร่งแรงมุ่ง" หลังจากได้เข้าสู่อาณาจักรธรรมแล้ว เราได้รู้หลักธรรมมากมาย ฉะนั้น วันนี้เราก็จะไม่สนใจอยู่กับเรื่องราวเล่าขาน และจะไม่พูดแต่เรื่องของทัศนคติ แต่จะพูดถึงปัญหาที่ว่า หลังจากที่ได้รู้หลักธรรมมากมายแล้ว เรายังคงเป็นเรา... "ฉันได้รู้หลักธรรม... มากมาย แต่ฉันยังคงเป็นฉันดนเดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง" ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น
ธรรมะมิใช่ได้มาจากการสอน
เราจะต้องเข้าใจทัศนคติอันหนึ่งเป็นเบื้องต้นว่า "ธรรมะมิใช่ได้มาจากการสอน" ฉันสอนเธอ... แท้จริงแล้วฉันไม่อาจสอนเธอได้ หากในใจของเธอไม่ "ก่อเกิดเปิดใจ" สอนไปก็ไร้ประโยชน์ เช่น ความกตัญญู ไม่ใช่สอนให้เราบรรยายหัวข้อกตัญญู คนที่อธิบายได้อย่างละเอียดนั้น อาจไม่กตัญญูเลยก็เป็นได้ ฉะนั้น ปัญหาจึงไม่ได้อยู่ที่พูดให้ แต่จะต้อง "ก่อเกิดเปิดใจ" เอง หากเราผู้บำเพ็ญ "ก่อเกิดเปิดใจ" ภายในตนแล้ว พลิกผันใจตนแล้ว ก็จะมีแรงผลักดัน เราเคยผ่านชั้นขอขมากรรมสำนึก ชั้นชั่นหุ่ยมาแล้ว บางครั้งเราได้พบว่า ผลที่ได้จากชั้นขอขมาฯ ชั่วคราวเท่านั้น แม้เขาผู้นั้นจะซาบซึ้งเสียใจในความผิดบาปของตนเองจนสะอื้นไห้เสียหนักหนาก็ตาม เราเคยเห็นเขาเอากำปั้นทุบพื้น สะเทือนใจมาก สุดท้าย ปีหนึ่งผ่านไป เขาก็กลับมาเหมือนเดิม ฉะนั้น แม้จะซาบซึ้งและในใจก็คิดว่าจะทำอย่างไรดี แต่ที่แน่ ๆ คือ เขา "ก่อเกิดเปิดใจ" จริง ๆ หรือเปล่า จิตภาพอันดีงามแท้ ได้สำนึกตื่นแล้วหรือยัง
เอาอย่างท่านเฉียนเหยิน อยู่ที่จิตวิญญาณ
เราล้วนแต่เคยติดตามท่านเฉียนเหยิน มีปัญหาหนึ่งพึงพิจารณา เราว่าเราจะเอาอย่างท่านเฉียนเหยิน เราจะเอาอย่างอะไรกันแน่ เราเอาอย่างได้แต่รูปแบบเท่านั้น ถ้าเราไม่รู้ว่าจิตใจของท่านเฉียนเหยินเป้นจิตใจอย่างไร จิตใจของเรากับจิตใจของท่านเฉียนเหยิน ไม่เหมือนกัน เป็นไปได้ที่เราบอกว่า เราเคยติดตามท่านเฉียนเหยิน เคยเอาอย่างท่านเฉียนเหยิน แต่เป็นเพราะจิตใจไม่เหมือนกัน ความเข้าใจต่อการแสดงออกของท่านเฉียนเหยินก็จะต่างกัน ที่ฉันได้เอาอย่างนั้น อาจเป็นเพียงรูปแบบภายนอกของท่านเฉียนเหยินเท่านั้น ในอาณาจักรธรรมของเราก็มีปัญหานี้คือ เธอบอกว่าเธอเป็นขวัญวิญญาณของท่านเฉียนเหยิน เขาก็บอกว่าเขาก็เป็นขวัญวิญญาณของท่านเฉียนเหยิน แต่สุดท้ายสองคนออกมาคนละพิมพ์ เธอบอกว่าเธอเป็นตัวแทนของท่านเฉียนเหยิน เขาก็บอกว่าเขาก็เป็นตัวแทนของท่านเฉียนเหยิน สุดท้ายพฤติกรรมการแสดงออกไม่เหมือนกัน นั่นเพราะเข้าไม่ถึงแก่นแท้ จึงเป็นได้แค่รูปแบบสมมุติภายนอกเท่านั้น ในนี้ก็มีปัญหาอีกว่า ถ้าหากเราสำคัญว่า ที่เราเอาอย่างท่านเฉียนเหยินนั้น เป็นบุคลิกภาพแบบอย่างในสมัยต้น ซึ่งหากเอาอย่างได้แต่รูปแบบภายนอก ก็จะมีข้อเสียตามมาว่า "ยอมรับตัวของฉันเอง" ซึ่งอาจจะมีคำพูดว่า "เราเป็นอย่างท่านเฉียนเหยินในสมัยต้น" แท้จริงแล้ว นั่นก็เป็นเพียงรูปแบบภายนอกอีกเหมือนกัน เพราะเรายังคงเข้าไม่ถึงจิตใจของท่านเฉียนเหยินว่า ในสมัยต้นนั้น ทำไมท่านจึงทำเช่นนั้น
-
ข้อแกร่งแรงมุ่งของผู้บำเพ็ญ
กล่าวนำ
บำเพ็ญไม่เรียกร้องให้ใครยอมรับ
ผู้บำเพ็ญจะต่างจากคนทั่วไปก็คือตรงนี้ คนทั่วไปในสังคม ต้องการการยอมรับ ถ้าพวกที่ดำเนินกิจการร่วมกันไม่ยอมรับ เขาก็ทำต่อไปไม่ได้ ข้าราชการ ต้องการการยอมรับจากประชาชน เขาไม่ยอมรับจะอยู่ต่อไปไม่ได้ แต่ผู้บำเพ็ญจะเรียกร้องให้ใครยอมรับไม่ได้ มันต่างกันตรงนี้ บำเพ็ญ หากมีการยอมรับตัวของฉันเองมากไป ต่อไปคนคนนั้นก็จะกลายเป็นไม่ยอมรับฟังใครสอน "ฉันดีออกอย่างนี้ ยังจะต้องให้เธอว่ากล่าวอีกหรือ" "ฉันดีออกอย่างนี้ แล้วจะเอาอะไรอีกล่ะ" มันจะยุ่งยาก เพราะไม่ยอมให้ใครสอน ภายหน้าก็จะห่างจากธรรมะออกไปทุกวันทุกวัน ฉะนั้น เมื่อพูดถึงข้อแกร่งแรงมุ่ง เช่นที่ว่ามานี้ก็คือ เป็นคนขาดข้อแกร่งแรงมุ่งแล้ว มาร่วมศึกษาบรรยายหัวข้อนี้กับท่านทั้งหลาย ผู้น้อยก็ใจเต้นไม่เป็นส่ำแล้ว เพราะละอายเมื่อย้อนสำรวจดูตน ยังบกพร่องอยู่มาก คิดถามตัวเองว่า " มีความรู้อันเป็นโดยจริงแท้ต่อธรรมะเท่าไร" คำตอบก็คือ "มีจำกัด" จึงไม่มีคุณสมบัติที่จะมาพูดหัวข้อนี้ แต่ก็คิดอีกทีว่า นี่เป็นโอกาสตรวจสอบพิจารณาตนเอง
-
ข้อแกร่งแรงมุ่งของผู้บำเพ็ญ
กล่าวนำ
-
ข้อแกร่งแรงมุ่งของผู้บำเพ็ญ
แบบอย่างของธรรมะสูงล้ำคุณธรรมสูงส่ง
ผู้น้อย จะพูดถึงหัวข้อใหญ่ข้อที่หนึ่งคือ "ธรรมะสูงล้ำ คุณธรรมสูงส่ง" ธรรมะสูงส่งเลิศล้ำยิ่งนัก ไม่เคยเปลี่ยนไป ตั้งแต่บรรพกาลจนถึงปัจจุบัน ธรรมะสูงส่งเลิศล้ำยิ่งนัก คนต่างหากที่เปลี่ยนไป เราไม่ต้องพูดถึงพระธรรมาจารย์สมัยที่ห้าที่หก ซึ่งห่างไกลนานมา จะพูดถึงผู้บำเพ็ญในธรรมกาลยุคขาวนี้ให้ท่านฟัง ซึ่งผู้น้อยได้ยินมาจากท่านธรรมภันเต และทำให้ละอายแก่ใจเสมอว่า ท่านเหล่านั้นน่าเคารพยิ่ง แต่เราสิเป็นอย่างไร คนแต่ก่อนท่านบำเพ็ญกันอย่างไร ปฏิบัติต่อธรรมะอย่างไร แต่เราสิ..... ลองเปรียบเทียบกันดู
ท่านเซี่ยเฉียนเหยินผู้ถึงที่สุดต่อการสำนึกรู้
ปีหมินกั๋วที่สามสิบ ที่มหานครเทียนจิน มีแม่หม้ายคนหนึ่งคือ ถังฮูหยิน สามีแซ่ถัง ตัวท่านเองแซ่เซี่ย (ต่อมาคือท่านเซี่ยเฉียนเหยิน) สามีทิ้งทรัพย์สมบัติมากมายมหาศาลไว้ให้ ชีวิตความเป็นอยู่ดีมาก ทุกวันมีแต่ดื่มกินเสพสุข สูบฝิ่น (ค่านิยมผู้มีฐานะดีในสมัยนั้น) ตื่นสายตามสบาย จะไม่ลุกจากที่นอนก่อนเที่ยงวัน แต่ท่านเซี่ยเฉียนเหยินเป็นคนใจบุญ ชอบบริจาคทาน จัดงานสงเคราะห์อยู่เสมอ สร้างกุศลคุณงามความดีเป็นประจำ ในสมัยนั้น ท่านจางเหล่าเฉียนเหยิน (อู่เฉิง ........) ก้อยู่ที่มหานครเทียนจิน ท่านกล่าวว่า "ใครฉุดช่วยนำพาท่านถังฮูหยินมารับวิถีธรรมได้ บุญกุศลเกินประมาณ เธอเป็นคนดี" ชิวเฉียนเหยินท่านหนึ่งตอบว่า "ผู้น้อยขอไปฉุดช่วยนำพา" ท่านจางเหล่าเฉียนเหยินกล่าวว่า "ท่าน ชิว ฐานะไม่ดี ฉุดช่วยนำพาเธอไม่ได้หรอก" ท่านชิวเฉียนเหยินว่า "ผู้น้อยจะกราบขอเหล่าหมู่ได้โปรด จะฉุดช่วยนำพาเธอได้" ผลสุดท้าย ท่านชิวเฉียนเหยินก็ฉุดช่วยนำพาได้จริง ๆ โดยเริ่มจากอาเสี่ยบุตรชายของฮูหยินก่อน จากนั้นจึงฉุดช่วยนำพาฮูหยิน รับธรรมะเสร็จ ฟังไตรรัตน์จบ ถังฮูหยินแสดงความตั้งใจออกมาทันทีว่า "ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ฉันจะเริ่มอดฝิ่น" สมัยปัจจุบัน การแพทย์และเถสัชเจริญมาก จะอดยาเสพติด อาศัยฉีดยาระงับช่วยได้ แต่สมัยก่อนนั้นยังไม่มี การอดฝิ่นเป็นเรื่องลำบากที่สุด ผลที่สุด เวลายี่สิบวันจะเป็นจะตาย อยากฝิ่นเมื่อไรถึงกับนอนกลิ้งดิ้นพราด ๆ บนพื้น น้ำตาน้ำมูกไหลพลั่ก ๆ ทรมานมาก สาวใช้บอกว่า "ฮูหยิน ท่านมรมานเหลือเกิน สูบสักคำเถอะ" สาวใช้เตรียมฝิ่นมาพร้อม แต่ท่านปฏิเสธเด็ดเดี่ยวว่า "ถึงอย่างไรก็ไม่สูบ" ท่านอดทนต่อความทุกข์ทรมานนั้นอย่างยิ่งยวด ยี่สิบวันผ่านพ้นไป ก็อดฝิ่นได้เลย หลังจากอดฝิ่นได้แล้ว ท่านรีบไปสถานธรรม เรียนแก่เตี่ยนฉวนซือว่า "ฉันจะถือศีลกินเจตลอดชีวิต" เตี่ยนฉวนซือจัดการให้ได้ถวายปณิธานกินเจตลอดชีวิตทันที ถวายปณิธานเสร็จ เข้าร่วมฟังในชั้นศึกษาธรรม ฟังไปหนึ่งสัปดาห์ ขอถวายปณิธาน "อุทิศตนเพื่องานธรรม" ทันที ชั่วเวลาเดือนเดียว ตั้งแต่รับธรรมะ จนถึงถวายปณิธานทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้เข้าประชุมธรรมไคฝ่าฮุ่ย
ท่านถวายปณิธานแล้ว ไม่เหมือนกับพวกเรา ที่ถวายปณิธานแล้วรอคอยโอกาสก่อน แต่ท่านบอกกับลูกชายว่า "ลูกไปหาทางทำมาหากินเอง ทรัพย์สมบัติของบรรพบุรุษ แม่จะบริจาคหมด คฤหาสน์หลังใหญ่และทรัพย์สมบัติทั้งหมดจะถวายให้อาณาจักรธรรม" ท่านจะอุทิศตนเพื่องานธรรม (เส่อเซินปั้นเต้า) สุดท้าย ท่านเซี่ยเฉียนเหยิน ก็ไปบุกเบิกที่เมืองฮาเอ่อปินชายแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เดิมทีเคยมีชีวิตเสพสุขสบาย แต่บัดนี้สละหมดจนไม่มีอะไรติดตัว ญาติธรรมบริจาคเงินเล็กน้อยให้ท่านเช่าบ้านเล็ก ๆ หลังหนึ่ง เป็นบ้านเก่าผุพัง จัดตั้งตำหนักพระ ท่านอาศัยอยู่ที่นั่น ออกฉุดช่วยนำพาคนที่นั่น ตั้งแต่เช้าจนค่ำ ท่านจะนั่งบรรยายธรรมอยู่บนม้ายาว อีกทั้งนั่งตัวตรงตลอดเวลา ก่อเกิดแบบอย่างบุคลิกภาพงดงาม (วิริยะ อุตสาหะ อดทน สำรวม งามสง่า เมตตากรุณา เหมือนปล้องไผ่ที่มี ข้อแกร่งแรงมุ่ง) ญาติธรรมที่นั่น ซาบซึ้งประทับใจในการปฏิบัติบำเพ็ญอย่างแกร่งกล้าของท่านยิ่งนัก ท่านบุกเบิกแพร่ธรรมที่นั่น ไม่ต้องพูดถึงว่ามีคนขอรับธรรมะจำนวนเท่าไร เฉพาะแต่ท่านที่ถือศีลกินเจ ก็มีจำนวนถึงห้าพันคน นี่คือ การช่วยให้คนได้เปลี่ยนแปลง ได้ตัดเวรกรรม สุดท้าย ในวันหนึ่งท่านได้กล่าวแก่เตี่ยนฉวนซือท่านหนึ่งที่ท่านอุ้มชูขึ้นมาว่า "ฉันอยากจะกลับไปแล้วล่ะ" เตี่ยนฉวนซือท่านนั้นเข้าใจว่า ท่านเซี่ยเฉียนเหยินจะกลับมหานครเทียนจิน จึงกราบเรียนท่านว่า "ท่านจะกลับไปเมื่อไหร่" ท่านเซี่ยเฉียนเหยินตอบว่า "ยังไม่ได้ดูวันเธอจงไปตามญาติธรรมทั้งหมดให้กลับมา" สุดท้าย ญาติธรรมพากันกลับมาสถานธรรม ท่านจัดประชุมธรรมสองวันให้แก่เขา ประชุมธรรมจบแล้วท่านพูดแก่ทุกคนว่า "จงบำเพ็ญให้ดี ๆ " จบงานประชุมธรรม ทุกคนกลับไปแล้ว ท่านจึงพูดแก่เตี่ยนฉวนซือท่านนั้นว่า "ฉันจะไปจริง ๆ แล้ว เหล่าซือมารับฉันแล้ว" เตี่ยนฉวนซือท่านนั้นตกใจเมื่อได้ยินคำว่า เหล่าซือ (พระอาจารย์) มารับ ถ้าเช่นนั้นก็ไม่ใช่กลับไปมหานครเทียนจินนะซิ เตี่ยนฉวนซือว่า "เฉียนเหยิน ท่านยังดี ๆ อยู่ ทำไมจะจากไป สุขภาพร่างกายท่านยังดี ๆ อยู่เลย" ท่านตอบว่า "จะไปแล้ว" วันรุ่งขึ้น ท่านเกิดเป็นหวัด พอเป็นหวัดก็รู้สึกไม่ค่อยสบาย ทุกคนมาเยี่ยมท่าน มารับประทานข้าวด้วยกัน รับประทานข้าวเสร็จท่านก็กล่าวแก่ทุกคนว่า "การปรกโปรดอย่างกว้างขวางในยุคสามนี้ เป็นเหตุปัจจัยของบุญวาระที่ไม่เคยมีตั้งแต่โบราณกาลมา ทุกคนจงถือโอกาสนี้ให้มั่น จะต้องฉุดช่วยจิตญาณตนและฉุดช่วยคนให้ดี ๆ บำเพ็ญกันให้ดี ๆ เอาละ แล้วพบกันใหม่" ท่านปล่อยมือลงแล้วก็ไป นั่นคือ วันหนึ่งในฤดูหนาวปีหมินกั๋วที่สามสิบสาม ท่านไปแล้ว
สมัยนั้น ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศจีน อยู่ภายใต้อำนาจการปกครองของ " อวังจิงเอว้ย ............." เรียกว่าประเทศแมนจูเทียม ซึ่งจะไม่ไปมาหาสู่ ไม่มีสัมพันธภาพกับรัฐบาลกลางของจีนคณะชาติ ทันที ที่ท่านเซี่ยเฉียนเหยินบรรลุธรรมกลับคืนไป คืนนั้น ทิพย์ญาณของท่านก็ไปที่สถานธรรมศูนย์กลางที่มหานครเทียนจิน ประทับใช้ร่างสะพานบุญสามคุณ โปรดให้โอวาทเป็นลายลักษณ์อักษรในพระอริยฐานะ "เต๋อฮุ่ยผูซ่า ............นามเดิม เซี่ยเวิ่งเจิน ..............." (อักษรพระนามต่างกันกับเต๋อฮุ่ยผูซ่า .................... องค์หลังในยุคนี้)
ท่านชิวเฉียนเหยิน ใจค้านทันทีเมื่อได้เห็นตัวอักษร ไม่ถูกแล้วล่ะ เซี่ยเฉียนเหยินบุกเบิกแพร่ธรรมอยู่ที่เมืองฮาเอ่อปิน จะมาประทับทิพย์ญาณได้อย่างไร จึงเก็บโอวาทฉบันนั้นไว้ก่อน ไม่กล้านำออกมาเปิดเผย สมัยก่อนนั้น ยังไม่มีโทรคมนาคม อีกทั้งบ้านเมืองเขตการปกครองของแมนจูก้ไม่มีการสื่อสารกับส่วนกลาง คนก็ไม่ไปมาหาสู่กัน จึงไม่มีข่าวคราวถึงกัน จนเวลาผ่านไปหนึ่งเดือน มีญาติธรรมจากฮาเอ่อปินมาแจ้งข่าวการละสังขารของท่านเซี่ยเฉียนเหยินที่มหานครเทียนจิน ท่านชิวเฉียนเหยินจึงอุทานและถามว่า "วันที่เท่าไร" เมื่อนำเอาพระโอวาทที่เก็บซ่อนไว้มาดู จึงได้ประจักษ์แจ้งว่าเป็นคืนวันเดียวกัน ท่านละกายสังขารทางโน้นก็มาประทับทิพย์ญาณทางนี้ทันที นี่คือบุญญาธิการของผู้บำเพ็ญจริง
ภายหลังมีผู้เดินทางออกมาจากเมืองฮาเอ่อปินเล่าว่า ขบวนส่งพระศพท่านเซี่ยเฉียนเหยินมีผู้ร่วมขบวนส่งถึงหลายหมื่นคน ตลอดถนนหนทางที่เคลี่ยนพระศพไป มีคนคุกเข่าอยู่เต็มสองฟากทาง สมัยนั้น ที่เรียกว่าประเทศแมนจูเทียม แท้จริงแล้วอยู่ในความควบคุมของญี่ปุ่น รัฐบาลญี่ปุ่นรู้สึกแปลกใจมาก หญิงชราคนธรรมดาคนหนึ่งตายไป ทำไมจึงมีคนร่วมส่งศพกันมากมายอย่างนั้น คงมีปัญหาซ่อนอยู่ แต่ตรวจสอบอย่างไรก็ตรวจสอบไม่พบปัญหา จึงปล่อยเลยตามเลยไป ญาติธรรมที่มาส่งพระศพ ทุกคนดูอย่างกับสูญเสียแม่บังเกิดเกล้า ต่างเศร้าโศกเสียใจอาลัยรัก แท้จริงแล้ว ตั้งแต่ท่านเซี่ยเฉียนเหยินรับธรรมะ จนถึงการกลับคืนเบื้องบนไป เป็นเวลาชั่วไม่กี่ปีเท่านั้น จึงเห็นได้ว่า ท่านเป็นผู้บำเพ็ญจริง
-
ข้อแกร่งแรงมุ่งของผู้บำเพ็ญ
ท่านเซิ่งเฉียนเหยิน ผู้ให้อย่างใหญ่หลวง ได้อย่างใหญ่หลวง
อีกท่านหนึ่งคือ ท่านเซิ่งเฉียนเหยิน ที่เมืองฮาเอ่อปิน เฉียนเหยินท่านนี้เดิมทีคือคนที่มีฐานะร่ำรวยเป็นอันดับหนึ่งของเมืองฮาเอ่อปิน ความเป็นอยู่ทางบ้านดีมาก เปิดโรงงานทำแป้งหมี่ถึงสามโรง ท่านเป็นพุทธมามกะ ทำบุญสุนทานมากในศาสนาพุทธ สร้างแต่ความดี ทุกคนต่างรู้จักท่านในนามของ "นักบุญใหญ่" ภายหลังเมื่อบุญวาระมาถึง วิถีอนุตรธรรมถ่ายทอดไปถึงเมืองฮาเอ่อปิน ท่านจึงได้รับวิถีธรรม หลังจากที่ได้รับวิถีธรรมแล้ว ครั้งหนึ่งเมื่อไปที่สถานธรรม สิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้โปรดเปิดกระบะทรายประทานพระโอวาทอักษร พอดีเป็นพระอาจารย์ของเราประทับมา พระองค์โปรดว่า "ให้อย่างใหญ่หลวง ได้อย่างใหญ่หลวง ไม่ให้ ไม่ได้ ............................................................" ท่านเซิ่งเฉียนเหยิน ได้เห็นข้อความประโยคนี้เข้า ก็เหมือนกับเราที่เคยได้เห็นพระโอวาทอักษรคำว่า " ให้ใหญ่หลวง ได้ใหญ่หลวง ................................." นั่นแหละ แต่เมื่อท่านได้เห็น พอกลับถึงบ้าน ท่านก็บอกแก่บุตรีของท่านว่า "เราจะต้องให้อย่างใหญ่หลวง ได้อย่างใหญ่หลวงแล้ว" ท่านขายโรงงานทำแป้งหมี่ และกิจการทั้งหมดไป ไม่เหลือติดตัวไว้สักเหรียญเดียว หอบเงินทั้งหมดมาที่สถานธรรม มอบให้ท่านชิวเฉียนเหยิน ตอนนั้น ท่านชิวเฉียนเหยินอยู่ที่เมืองฮาเอ่อปิน ได้เห็นเงินจำนวนมหาศาลขนาดนั้น แย่แล้ว จะทำอย่างไรดี เหมือนกับที่สมัยนี้เราพูดถึงกี่ร้อยล้านพันล้านอยางนั้น ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี จึงนำเงินไปมอบถวายไว้แด่ท่านธรรมปริณายกหูเต้าจั่ง ........... ท่านเซิ่งเฉียนเหยินท่านนี้ ถ้าพูดถึงพวกเราในปัจจุบัน ถ้ามีใครสร้างบุญถวายเงินจำนวนมหาศาลขนาดนี้ คงจะต้องภาคภูิมิมาก ไปถึงไหนก็จะได้รับการยกย่องให้เป็นบุคคลพิเศษผู้มีเกียรติ แต่เมื่อท่านเซิ่งเฉียนเหยินมาถึงสถานธรรม เฉียนเหยินของท่านบอกกับท่านว่า "มาถึงสถานธรรม จะต้องเรียนรู้จากการส่งผ้าเช็ดมือ" ท่านจึงเริ่มจากหัดส่งผ้าเช็ดมือที่ประตูสถานธรรม หัดยกถ้วยน้ำบริการ ญาติธรรมที่มาเป็นคนงานของท่านทั้งนั้นท่านก็น้อมตนโค้งศระษะส่งผ้าเช็ดมือให้ ยกถ้วยน้ำบริการให้คนงานของท่านดื่ม หลังจากท่านเซิ่งเฉียนเหยินสละทรัพย์สมบัติทั้งหมดแล้ว ท่านก็มักจะมาอยู่ในสถานธรรมเพื่อช่วยบริการ ยอมเหนื่อยด้วยความอดทน ไม่แบ่งชนชั้น ต่อญาติธรรมใหม่ก็ให้กรุณาธรรมอย่างเดียวกัน รินน้ำชา ส่งผ้าเช็ดมือ ต้อนรับดูแลด้วยตนเอง อัธยาศัยไมตรีของท่านให้ความสนิทใจจนทุกคนต้องซาบซึ้ง ธรรมกิจที่ท่านดูแลนำพาจึงแผ่ขยายเจริญไกล แม้ท่านเซิ่งเฉียนเหยินจะทุ่มเทที่สุดต่อธรรมะ ต้องเหนื่อย ยากลำบากเพียงไร ท่านก็ไม่เคยปริปากตัดพ้อ ท่านมีเมตตากรุณาธรรมเต็มหัวใจ วิริยะกล่อมเกลี้ยงตนเป็นอย่างดีไม่ว่านัยน์ตาดู หู ฟัง ทุกกิริยาวาจา ท่านจะไม่หละหลวมแม้แต่น้อย เรียกว่าสูงด้วยคุณธรรม สำคัญด้วยเกียรติ เป็นแม่พิมพ์ของผุ้น้อยทั้งหลายโดยแท้
ปีหมินกั๋วที่สามสิบเจ็ด การสอบใหญ่พลันเกิดขึ้น ท่านรับบัญชาจากท่านจางเหล่าเฉียนเหยินให้เดินทางไปประจำมหานครเทียนจิน ปีหมินกั๋วที่สามสิบแปด คอมมิวนิสต์มาถึง จับญาติธรรมที่เมืองฮาเอ่อปินหนึ่งหมื่นกว่าคนเฉียนเหยินหลายท่านรวมอยู่ในนั้นด้วย พวกคอมมิวนิสต์บอกว่า "ปลาใหญ่ตัวหนึ่งรอดไปได้" ความหมายก็คือ ท่านเซิ่งเฉียนเหยินไม่ได้ถูกจับ เขาต้องการจะจับท่าน ตอนนั้น ท่านเซิ่งเฉียนเหยินอายุใกล้จะเจ็ดสิบปีแล้วท่านอยู่ที่มหานครเทียนจิน เมื่อรู้ข่าวนี้ท่านรวดร้าวใจยิ่งนัก จึงกราบเรียนต่อท่านเฉียนเหยินของท่านว่า "ท่านเฉียนเหยิน ผู้น้อยมีปณิธานข้อหนึ่งที่ยังไม่สำเร็จการ" เฉียนเหยินของท่านถามว่า "ปณิธานข้อไหน" ท่านตอบว่า "ผู้น้อยอยากจะกลับฮาเอ่อปิน" เฉียนเหยินของท่านรีบห้ามว่า "ไม่ได้ ท่านรอดมาได้จากทะเลเพลิง จะกลับเข้าไปในทะเลเพลิงอีกไม่ได้ ไปที่นั่นจะต้องตายแน่ ๆ " ท่านเซิ่งเฉียนเหยินตอบว่า "ผู้น้อยจะไปช่วยเขาออกมา มีเฉียนเหยินหลายท่านรวมอยู่ในนั้นด้วย ผู้น้อยจะไปเจรจา บอกว่าพวกเขาเหล่านั้นไม่เกี่ยว เป็นเรื่องของผู้น้อยเอง" ว่าแล้วท่านก็คุกเข่าลงวอนต่อท่านเฉียนเหยินของท่าน เฉียนเหยินของท่านก็ยืนกรานไม่เห็นด้วย ภายหลังท่านให้เฉียนเหยินหลายท่านมาช่วยกันวอนขอ วอนขอจนท่านเฉียนเหยินของท่านจนใจ น้ำตาไหลพราก พยักหน้าอนุญาตให้ทั้งน้ำตาว่า " เอาเถอะ เมื่อท่านปรารถนาที่จะทำเช่นนี้ ก็ไปเถอะ" เมื่อท่านเฉียนเหยินอนุญาติแล้ว ท่านเซิ่งเฉียนเหยินดีใจมากกล่าวว่า " ดีเหลือเกิน ๆ อายุของฉันปูนนี้แล้ว เป็นคนแก่เฒ่าใช้การอะไรไม่ได้อีกแล้ว ยังมีโอกาสดีถึงอย่างนี้ ได้ไปสร้างกุศลประโยชน์อันนี้" ท่านอู๋เฉียนเหยินที่ฮ่องกงกล่าวว่า " วันนี้ ท่านเองเป็นคนช่วยท่านเซิ่งเฉียนเหยินหอบหิ้วสัมภาระไปส่งที่สถานีรถไฟเทียนจิน
อู๋เฉียนเหยิน (ยังเป็นผู้น้อยในสมัยนั้น) สะพายกระเป๋าเดินตามหลัง ท่านเซิ่งฌแียนเหยินเดินอยู่ข้างหน้า อู๋เฉียนเหยินมองดูภาพหลังของท่านเซิ่งเฉียนเหยินแล้วเดินไปร้องไห้ไป ดูเถิด... ท่านสูงอายุปูนนี้แล้ว ชั้วชีวิตอุทิศตนเสียสละเพื่องานแพร่ธรรม ถึงสุดท้ายยังจะต้องมามอบตัวเองให้ไปตาย...คิดถึงตรงนี้ทำให้ร้องไห้โฮออกมา ท่านเซื่งเฉียนเหยินหันกลับมามองแล้วว่า "เธอโง่จริง ๆ ร้องไห้ทำไม เธอควรจะต้องดีใจแทนฉัน ที่ฉันมีโอกาสดีออกอย่างนี้ ให้บรรลุปณิธานได้" ขึ้นรถไฟแล้ว อู๋เฉียนเหยินมอบสัมภาระให้แก่ท่านเซิ่งเฉียนเหยิน ท่านรับเอาไว้แล้วสั่งเสียอู๋เฉียนเหยินว่า "ต่อไปเราก็จะไม่ได้พบกันอีก เธอบำเพ็ญธรรมแล้วจะต้องใส่ใจข้อหนึ่งว่า ความเป็นความตายจะต้องดึงให้เรียบเสมอกัน ความเป็นความตายไม่ดึงให้เรียบเสมอกัน ไม่อาจบำเพ็ญธรรมได้" อะไรเรียกว่าไม่ดึงให้เรียบเสมอกัน อยากมีชีวิต กลัวตาย เรียกว่าไม่ดึงให้เรียบเสมอกัน เป็นตายดึงให้เรียบก็คือเห็นเป็นอย่างเดียวกัน ในที่สุด ท่านเซิ่งเฉียนเหยินก็ไปกับรถไฟขบวนนั้น พอถึง ฮาเอ่อปิน ท่านก็ไปรายงานตัวกับกองบังคับการคอมมิวนิสต์ "พวกคุณจะจับตัวเซิ่งเข่าปิน ใช่ไหม ฉันนี้แหละเซิ่งเข่าปิน ฉันกลับมาแล้ว แต่ที่มามอบตัวนั้น ฉันมีเงื่อนไขข้อหนึ่ง หมื่นกว่าคนที่คุณจับกุมตัวไว้ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับข้อหาของพวกคุณเลย ปล่อยพวกเขาเสียเถิด เป็นเรื่องของฉันทั้งหมด ฉันแบกรับโทษทั้งหมดคนเดียว" ได้ยินมาว่า การกระทำของทานเซิ่งเฉียนเหยินครั้งนั้น ทำให้คนเกินกว่าครึ่ง (เกินกว่าห้าพันคน) ได้รับการปลดปล่อย มีเฉียนเหยินสามท่านที่ถูกจับรวมอยู่ในนั้น ซึ่งจะต้องถูกพิพากษาโทษประหารชีวิตแต่ท่านเซิ่งเฉียนเหยินแบกรับไว้ทั้งหมด เฉียนเหยินทั้งสามท่านนั้นจึงได้รับการลดหย่อยผ่อนโทษไปใช้แรงงานแทนการถูกประหารชีวิต
คอมมิวนิสต์จับตัวท่านเซิ่งเฉียเหยินแห่ประจานไปทั่วเมือง ญาติธรรมคุกเข่าอยู่เต็มสองฟากทาง บ้างใช้ไตรรัตน์อธิษฐานภาวนา บ้างร้องไห้ บ้างโขกศรีษะ กราบกับพื้นถนน ทุกคนรู้ว่าเฉียนเหยินท่านนี้ เป็นเฉียนเหยินที่ประเสริฐนัก ท่านเซิ่งเฉียนเหยินกล่าวในเวลาต่อมาว่า "ขอบคุณทุกท่านที่มาส่งฉัน ภายหน้าเราจะได้พบกันที่ฟ้าเบื้องบน" ท่านเซิ่งเฉียนเหยินยังได้ให้คำพูดทิ้งท้ายว่า " ทุกคนอย่าได้เสียใจ ตัดหัวยิงเป้า เกษียณแล้วกลับบ้าน" ประโยคสุดท้ายนี้ ช่างสูงส่งสง่าผ่าเผยเกินกว่าธรรมดาเหลือเกินใช่ไหม ภายหลังประโยคเดียวกันนี้ของท่านได้กลายเป็นพลังคำขวัญแผ่กระจายไปทั่ว ถึงปีหมินกั๋วที่สามสิบแปด สามสิบเก้า สี่สิบ ไปปจนถึงปีหมินกั๋วที่สี่สิบห้า (รวมแปดปี) คอมมิงนิสต์ได้ประหารเตี่ยนฉวนซือไปมากมาย มากมายเหลือเกิน เตี่ยนฉวนซือทุกท่านใช้คำพูดของท่านเซิ่งเฉียนเหยินประโยคเดียวกันว่า " ตัดหัวยิงเป้า เกษียณแล้วกลับบ้าน................. ....................."
คำพูดประโยคนี้ ท่านเซิ่งเฉียนเหยินพูดเป็นคนแรก ภายหลังมีผู้ออกมาจากฮาเอ่อปินเล่าว่า ในขณะที่จะยิงเป้าท่านเซิ่งเฉียนเหยินนั้น เกิดลมพายุใหญ่ ฝนฟ้าคะนองหนัก พวกคอมมิวนิสต์ไม่เชื่อเรื่องผีสางเทวดา แต่พอเห็นอย่างนี้ชักกลัว จึงหยุดพักไว้ เปิดทำการสอบสวนใหม่ เรียกญาติธรรมไปถามว่า "นายเซิ่งเข่าปิน คนนี้ใช่ไม่ใช่ควรประหาร ใช่ไม่ใช่มีโทษผิด" ไม่มีใครว่ามีโทษผิดสักคนเดียว ทุกคนมีแต่คุกเข่าลง คอมมิวนิสต์เห็นว่าไม่ได้การ สอบสวนใหม่สามครั้งแล้วยังไม่มีใครยกมือให้ผิด จึงเอาคนของพรรคเองแทรกเข้าไปแล้วถามใหม่ว่า "ใช่ไม่ใช่ควรประหาร" ครั้งนี้มีคนตอบว่า "ใช่ " คอมมิวนิสต์จึงดำเนินเรื่องประหารอีก ในเวลานั้น ลมพายุกรรโชก ฝนฟ้าคะนองหนักอีก ฟ้าดินร่วมรับรู้
-
ข้อแกร่งแรงมุ่งของผู้บำเพ็ญ
เชื่อมั่นแน่แท้ต่อฟ้าเบื้องบน
ตรงนี้เราจะมองดูในอีกแง่มุมหนึ่งว่า ทำไมท่านเหล่านั้นจึงเห็นธรรมะอย่างจริงจังกันถึงปานนั้น ทำไมธรรมะนี้อยู่บนตัวของท่านจึงจริงจังถึงเพียงนี้ ต่อมาภายหลัง ธรรมะอยู่บนตัวของพวกเรา อาจจะไม่ได้สูงล้ำสำคัญอย่างนั้นก็เป็นได้ ฉะนั้น หลายคนจึงพูดว่า ยิ่งนานไปธรรมะก็ยิ่งเหมือนศาสนาเข้าไปทุกที เราต้องการศักดิ์ศรีความภาคภูมิใจ เราชอบที่จะเปรียบเทียบกับใคร ๆ คนเมื่อก่อนไม่ใช่อย่างนั้น ฉะนั้น ถ้าเราอยากให้ธรรมะสูงล้ำ คุณธรรมสูงส่ง ซึ่งตั้งแต่โบราณมาเป็นอย่างเดียวกัน ถ้าอย่างนั้น ใช่ไม่ใช่ว่าเราจะต้องมาก่อเกิดปณิธานว่า วันนี้จะต้องให้ฟูฟื้น "ธรรมะสูงล้ำ คุณธรรมสูงส่ง" ออกมาใหม่จากบนตัวของเรา และนี่ก็คือข้อแกร่งแรงมุ่งอันหนึ่ง ครั้งนั้น ที่ท่านเซิ่งเฉียนเหยิน อีกทั้งท่านเซี่ยเฉียนเหยิน ถวายทรัพย์สินเงินทองทั้งหมด หลายคนได้ทัดทานท่าน แม้แต่เฉียนเหยินของท่านเองก็เช่นกัน บอกว่า "อย่าถวายจนหมดสิ้นอย่างนี้เลย เก็บเอาไว้สำหรับตัวเองส่วนหนึ่งเถอะ" แต่ท่านทั้งสองไม่ขยักไว้แม้แต่บาทเดียว อุทิศถวายทั้งหมด ท่านกล่าวว่า "ฉันอุทิศตนเพื่องานธรรม แม้แต่กายสังขารตัวนี้ก็อุทิศถวายให้หมดแล้ว เงินทองของนอกกายยังจะเก็บเอาไว้ทำไม" ชีวิตจิตใจอย่างนี้ ทำให้ไม่ต้องสงสัยอะไรอีกแล้วที่ท่านเห็นธรรมะจริงจังปานนั้น เพราะธรรมะที่อยู่บนตัวของท่านเป็น "ธรรมะสูงล้ำ คุณธรรมสูงส่ง.........................."
อะไรคือสั้นชั่วระยะ อะไรคือชั่วกาลนาน
ข้อที่สองเราจะพูดถึง ความกตัญญูต่อพระแม่องค์ธรรม ความจงรักต่อฟ้าเบื้องบน ซึ่งเป็นทัศนคติอันหนึ่ง ความจงรัก เป้าหมายของเราคือ "พระแม่องค์ธรรม" ซึ่งเกี่ยวโยงกับที่ผู้น้อยจะพูดถึงเรื่อง "สั้นชั่วระยะกับชั่วกาลนาน" เราผู้ปฏิบัติงานธรรมบางคน แท้จริงแล้วใฝ่ใจแต่ สั้นชั้วระยะ ไม่ใฝ่ใจต่อชั่วกาลนาน
สร้างกุศลโดยมิเพื่อเหตุ - ผลกรรม
ผู้บำเพ็ญพึงมีทัศนคติอันหนึ่งว่า "สร้างกุศลโดยมิเพื่อเหตุ - ผลกรรม" วันนี้ปุถุชนคนหนึ่งจะทำบุญ เพราะเขากลัวเหตุ - ผลกรรม ฉะนั้นเขาจึงต้องทำบุญ แต่เราผู้เข้ามาสู่โลกของสัจธรรม สถานภาพของเราคือเตี่ยนฉวนซือ หรือเจี่ยงซือ ถันจู่ ถ่ายทอดวิถีธรรมแทนพระอาจารย์ ประกาศเกียรติคุณแทนพระอาจารย์ เราจึงไม่ควรทำบุญเพราะตกอยู่ในเหตุ - ผลกรรม เรื่องราวบางอย่าง มองดูเหมือนเสียเปรียบ อย่างเช่นท่านเซิ่งเฉียนเหยิน ท่านเซี่ยเฉียนเหยิน อุทิศสละทรัพย์สินเงินทองทั้งหมด มองดูเหมือนเสียเปรียบสิ้นเนื้อประดาตัว เรื่องขาดทุนเข้าเนื้อเป็นใคร ใครจะทำไหม นี่จะต้องวัดจากแง่มุมที่ว่า มองจากมุมสั้นชั่วระยะหรือมุมชั่วกาลนาน
-
ข้อแกร่งแรงมุ่งของผู้บำเพ็ญ
ปฏิบัติงานธรรมโดยมิเพื่อแผ่ไพศาล
ถ้าปฏิบัติงานธรรมด้วยเป้าหมายเพื่อแผ่ไพศาล เราก็จะใช้วิธีการ จะใช้กลเม็ดมากมาย เพียงเพื่อให้แผ่ไพศาลเป็นใช้ได้ ฉะนั้น จึงมีการดึงคนของคนอื่นมา มีการให้ร้ายทำลายอาณาจักรธรรมของผู้อื่น นินทาว่าร้ายเขา พยายามฉุดพลังมุ่งใจที่เขามีต่ออาณาจักรธรรมให้ต่ำลง เมื่อพลังมุ่งใจต่ออาณาจักรธรรมนี้หมดไปแล้ว ฉันจึงจะมีโอกาสไปดึงคนของเขามาได้ นี่คือทำเพื่อแผ่ไพศาล เพื่อจะได้แผ่ไพศาล ก็จะใช้เล่ห์เพทุบายมากมายหลายวิธี นั่นคือ สั้นชั่วระยะ เพราะเหตุว่า ไม่ว่าเราจะมีผู้น้อยเท่าไร วันข้างหน้าละสังขารเรียกว่า "ทุกอย่างว่างเปล่า" จะต้องหันหน้าเข้าหาตัวเอง เผชิญหน้ากับภาวะรอบตัวของตัวเอง หากในชีวิตนี้เรามีผู้น้อยมากมาย โดยที่จะต้องใช้กลไกความคิดตลอดชีวิต ถ้าอย่างนั้นเราคงไม่ได้ระดับของ "ฉัน" อันเป็น "จริง"
หล่อเลี้ยงสิ่งจริงแท้
ครั้งหนึ่ง ที่ธรรมปราสาทเทียนเอินกง ท่านฉีเฉียนเหยิน จัดนิทรรศการวรรณกรรมพู่กันจีน เนื่องในงานวันแม่ นักวรรณกรรมมีชื่อหลายท่านส่งผลงานมาร่วมแสดง ในจำนวนวรรณกรรมหลากหลายนั้น มีอยู่ชิ้นหนึ่งที่มีตัวอักษรตัวเล็ก ๆ เพียงสองตัว คือ "เอี้ยงเจิน .........แปลว่า "หล่อเลี้ยงสิ่งจริงแท้"
ท่านฉีเฉียนเหยินสูงส่งงดงาม บำเพ็ญจนกระทั่งธรรมชันษาชรากาล ก็ด้วยปฏิปทาคำว่า "หล่อเลี้ยงสิ่งจริงแท้" นั่นเอง อายุของเรายิ่งมากขึ้น ปฏิบัติบำเพ็ญยิ่งนานวันไป ยิ่งเข้าใจดีว่า อักษรสองตัวนี้ ........ หล่อเลี้ยงสิ่งจริงแท้ ไม่ง่ายเลย ทำไมจึงไม่ง่าย นั่นก็คือ ถ้าเรามุ่งแต่จะแผ่ไพศาล บางครั้งเราก็หันหลังให้อักษรสองตัวนี้ เราจึงจะต้องคิดว่า ที่เราใฝ่ใจนั้นคือ " ชั่วกาลนานหรือสั้นชั่วระยะ" นี่เป็นปัญหาอันหนึ่ง
งามเขื่องเบื้องหน้าคน กับบุญจริงกุศลแท้
ฉะนั้นเราจึงต้องคิดว่า ถ้าสั้นชั่วระยะเราจะเอาอะไร เอา "งามเขื่องเบื้องหน้าคน" งามเขื่องเบื้องหน้าคน กับ ให้ผู้อื่นยอมรับ เป็นความต้องการที่คนมากมายใคร่ได้ใฝ่หา แต่เราผู้ปฏิบัติบำเพ็ญ ใช่หรือไม่ที่ใฝ่ใจสิ่งนี้ ทุกคนยอมรับเธอ แต่มิได้หมายความว่าฟ้าเบื้องบนยอมรับเธอ ไม่แน่นะ ! บางคนมีชีวิตอยู่ในโลกดีมาก แต่พอตาย ทุกคนคาดว่า เขาควรจะบรรลุเป็นพระโพธิสัตว์ แต่ผลสุดท้ายก็ถูกขังอยู่ที่ลหุโทษเบื้องบน นี่เป็นเรื่องที่น่าจะเตือนตนไว้ ฉะนั้น สิ่งที่สั้นชั่วระยะก็คือ แสดงตนงามเขื่องเบื้องหน้าคน แสดงตนให้เป็นที่ยอมรับ แต่ถ้าชั่วกาลนานคือ บุญจริงกูศลแท้ จิตภาวะดีงามรู้ตื่น ก็คือ ตนเองมีจิตใจที่รู้ตื่น ไม่ใช่ใช้การทำเอา เช่น เอาละ ฉันจะทำความดี กับ ฉันสามารถทำความดีได้ ฉันช่วยเธอได้ ..... ทุกอย่างที่ทำล้วนมีฉัน ฉันเก่ง เธอทำได้ไม่ดี ฉันช่วยเหลือเธอได้ ฉันสร้างบุญคุณไว้แก่เธอ ฉันจะสอนเธอ ทุกอย่างที่เริ่มจากความเป็น "ฉัน" ไม่ใช่การแสดงออกของจิตภาวะอันดีงาม แต่เป็นดำริของสัญญาความจำ นั่นก็คือ "ใจคน" ใจคนทำความดีได้ ทำความชั่วก็ได้ ไม่ใช่จิตภาวะเดิมแท้อันงดงาม
จบไปสิ้น มีอะไรไม่สิ้น
จิตภาวะอันดีงามของจิตเดิมแท้จะไม่ทำความชั่วอย่างแน่นอน อีกทั้งไม่มีภาวะของบาป - บุญ จิตภาวะดีงามทำอย่างนี้ก็คือทำอย่างนี้ ทำแล้วก็วางลง (มิได้ยึดหมาย ทำเหมือนไม่ได้ทำ) มีคนไปที่ศาลบูชาพระโพธิสัตว์มัญชุศรีที่เมืองเฉิงตู มณฑลซื่อชวน จีนแผ่นดินใหญ่ เขาจดจำกลอนธรรมะบนหน้าประตูศาลมา น่าสนใจ.....
"เห็นแล้วทำ ทำแล้ววาง จบสิ้นไป มีอะไรไม่สิ้น.....................
เราบำเพ็ญก็เป็นเช่นนี้ เห็นแล้วทำ ทำแล้ววาง ช่วยเหลือได้ เราก็ช่วย ช่วยเสร็จแล้วก็วางลง ไม่ติดค้างอะไรเลย นี่คือจิตภาวะดีงามรู้ตื่น นี่เรียกว่า บุญจริงกุศลแท้ เมื่อก่อน ท่านฉีเฉียนเหยินพูดเสมอว่า "ผู้บำเพ็ญแม้ไม่รักษาหลักการเดิม ผู้ปฏิบัติงานธรรมแม้ไม่รักษาหลักการเดิม แม้แต่จะเทียบกับคนในสังคม เราก็อาจจะสู้เขาไม่ได้ เพราะไม่รักษา "หลักการเดิม" จะทำตามความต้องการไม่เลือก เรียกว่าใช้ความ "เป็นที่สุด" ทุกอย่าง เพื่อความต้องการ" ฉะนั้น ท่านฉีเฉียนเหยิน จึงกล่าวอยู่เสมอว่า "ธรรมะเป็นส่วนรวมของฟ้าเบื้องบน ไม่ใช่ธรรมะส่วนตัวของใคร ถ้าไม่มีจิตใจเป็นส่วนรวม ไม่มีจิตใจราบเรียบเปิดเผย ทำแต่เรื่องส่วนตัว จะไม่ผิดต่อฟ้าเบื้องบนได้อย่างไร" แต่หากหวังงามเขื่องเบื้องหน้าผู้คน แต่ตำแหน่งหรือสถานภาพที่อยู่ในอาณาจักรธรรมไม่สูงขึ้นสักที ตัวเองก็จะหนักใจว่า "เราทำให้ใคร ๆ เขาดูถูก" "เขาดูถูกเรา เราจะต้องหาทาง....." อันที่จริงคำว่า "เหนื่อยยากลำบากอยู่เบื้องหลัง จะดีเด่นได้เบื้องหน้าผู้คน" นั้น เหนื่อยากลำบากอยู่เบื้องหลัง หมายถึง เป็นการฝึกฝนเคี่ยวกรำอย่างหนึ่ง แต่ไม่ใช่ปลูกฝังศักยภาพฝีมือการจัดการให้แก่ตน ไม่ใช่เพือปลูกฝังความสามารถอะไร ที่จะทำให้ใคร ๆ ยอมรับ... ไม่เหมือนกันนะ
ที่เขายอมรับนั้นคือรูปแบบข้างนอก คือสิ่งที่คุณแสดงออกมา เมื่อเขายอมรับ คุณก็หาทางเต็มที่ ใช้ความคิดจิตใจที่เป็นกลไก ไปชิงเอาผู้น้อยของเขา อาณาจักรธรรมมีเรื่องราวอย่างนี้ไม่น้อย สมมุติว่า คุณจางคนนี้รู้จักกับคน ๆ หนึ่งซึ่งเป็นประธานใหญ่เจ้าของโรงงานกิจการค้าสำคัญ รู้จักกันมาสิบปีแล้ว พยายามจะนำพาเขามารับวิถีธรรมก็มาไม่ได้สักที ครั้งหนึ่ง กินข้าวร่วมกันกับญาติธรรมคนหนึ่งแซ่หลี่ ซึ่งเป็นพ่อค้าเหมือนกัน คุณจางแนะนำคุณหลี่ให้รู้จักกับประธานใหญ่ รู้จักกันไม่ทันถึงปี คุณหลี่รีบแอบพาประธานใหญ่คนนี้ไปรับธรรมะ เรียกว่า "ใครลงมือก่อนก็ชนะไป ใช่ไหม" จรรยาธรรมของผุ้บำเพ็ญเมื่อก่อนคือ อย่างน้อยจะต้องมาบอกกล่าวกันเสียก่อนว่า "คุณจางครับ ประธานใหญ่รับปากว่าจะมารับวิถีธรรมพรุ่งนี้ สถานธรรมของผมจะจัดพิธีถ่ายทอดวิถีธรรม..." แต่เดี๋ยวนี้ไม่มี พอขอนามบัตรแล้ว จัดการตัดหน้าไปเลย มี I.D. การ์ดแล้ว กำหนดตัวเตี่ยนฉวนซือ อิ๋นเป่าซือเรียบร้อยไปเลย อย่างนี้ก็จะแก้ไขไม่ได้ อย่างนี้เป็นเรื่องยุ่งยาก เรียกว่าแย่งชิงผู้น้อย และนี่ก็เป็นการกระทำที่ใฝ่ใจอยู่กับ "สั้นชั่วระยะ มิใช่ใฝ่ใจชั่วกาลนาน"
-
ข้อแกร่งแรงมุ่งของผู้บำเพ็ญ
พูดคุยสิ่งที่รู้เห็นมาเสียมาก พูดคุยเรื่องการบำเพ็ญน้อยกว่า
เตี่ยนฉวนซือท่านหนึ่งพูดไว้ ให้ข้อคิดดีมาก ท่านว่า พวกเราเตี่ยนฉวนซือพอรวมกลุ่มกัน ไม่ว่าจะไม่ได้พบกันมานานเท่าไรแล้วก็ตาม หรือที่พบกันบ่อย ๆ ฟังกันมาเรื่อย ๆ แล้วก็ตาม เรื่องที่พูดกันนั้น จะเป็นเรื่องราวข่าวรู้เห็นเป็นส่วนใหญ่ พูดคุยเรื่องการบำเพ็ญเป็นส่วนน้อย มักจะพูดถึงว่า "ฉันจะไปบุกเบิกแพร่ธรรมที่นั่นที่นี่ ได้พบเห็นใครอย่างไร สิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้โปรดแสดงบุญญาธิการ หรือการประชุมครั้งนั้น สิ่งศักดิ์สิทธิ์พระองค์ได้โปรดประทานอะไร ๆ ..." ล้วนแต่เป็นเรื่องได้ยินได้ฟังมา น้อยนักที่จะพูดคุยเรื่องการบำเพ็ญ ขณะที่พูดคุยเรื่องราว เราจะนิ่งดูผู้พูด ซึ่งเขาจะแสดงความรู้สึกพอใจที่ได้พูดคุยใช่ไหม เช่น "สิ่งศักดิ์สิทธิ์โปรดแสดงพระบุญาธิการที่เราโดยเฉพาะ... ฉันได้ฉุดช่วยนำพาบุคคลพิเศษ... มารับธรรมะ ฉันได้เห็นเหตุการณ์ แม้กระทั่งไปผจญภัย ฝ่าฟันที่อินโดนีเซีย ที่จีนแผ่นดินใหญ่มา... ฉันใช้วิธีการอย่างไรจึงรอดพ้นมาได้ ฉันปั้นเต้าพลิกแพลงอย่างไร..." คนที่พูดคุยน้ำลายเป็นฟองฝอยใช่ไหม คนฟังกำลังคิดอยู่ในใจว่า "ฉันจะต้องทำให้ได้เหนือกว่า" บางครั้งมีคนพูดว่าการประชุมธรรมครั้งนั้น ดีอย่างนั้นศักดิ์สิทธิ์อย่างนี้ คนที่ฟัง ฟังไปแล้วครึ่งค่อนวัน สนใจเพียงแต่ว่า "ชั้นประชุมธรรมของคุณมีนักเรียนกี่คน" เขาตอบว่า "ห้าสิบกว่าคน" ผู้ฟังรับทราบว่า "งั้นเหรอ" ในใจก็คิดว่า "แค่ห้าสิบคน" แต่ถ้าตอบว่า "ร้อยกว่าคน" ผู้ฟังก็จะอุทานว่า "โอ ไม่น้อยเลย" ที่อุทานว่า "ไม่น้อยเลย" นั้น บางคนอาจจะแฝงความรู้สึกนึกคิดว่า "ฉันน่าจะจัดได้เกินกกว่านี้" บางคนไปร่วมฉลองงานเปิดป้ายสถานธรรมใหญ่ ถ้าหากเป็นคนมีความคิด "สั้นชั่วระยะ" "หวังงามเขื่องเบื้องหน้าคน" เมื่อเห็นสถานธรรมใหญ่มาก ผู้มาร่วมงานเยอะมาก ก็จะพูดกับตัวเองว่า "เราจะต้องไม่แพ้เขา" ถ้ามีความคิดอย่างนี้ เมื่อไปถึงงานฉลอง ปากพูดแสดงความยินดีต่อเจ้าของงาน แต่สายตาก็จะกวาดสำรวจประมาณการแล้วถามว่า "เนื้อที่เท่าไร" "สร้างหมดเงินไปเท่าไร" เพื่อที่จะเปรียบเทียบกับของตน จิตใจอย่างนี้ไม่ใช่ใจธรรม แต่เป็นใจโลภะ ซึ่งยังมีการแอบตำหนิ นั่นนี่ มีความพอใจกับความคิดอย่างนี้ จึงพูดคุยอย่างนี้ได้ทั้งวัน แต่ถ้าพิจารณาการบำเพ็ญ
สนทนาธรรมกันอย่างเรียบ ๆ เงียบ ๆ คงนั่งอยู่ด้วยกันได้ไม่นาน
หลักสัจธรรมกับมนุษย์สัมพันธ์
บางคนเพื่อจะเรียกร้องการยอมรับจากผู้อื่น จะใช้วิธีสมานไมตรีได้เก่งมาก อย่างนี้เรียกว่า ใช้มนุษย์สัมพันธ์ตะล่อมเอา เมื่อก่อน ครั้งที่อาณาจักรธรรมของเราเพิ่งจะออกไปบุกเบิกนั้น มีเรื่องหนึ่งที่ทำให้ท่านเฉียนเหยินของเรา ไม่พอใจมาก เพราะเหตุว่า เตี่ยนฉวนซือบางท่านชอบเอาของกำนัลไปด้วย จ่ายเงินร้อยครึ่งร้อยซื้อของเล็ก ๆ น้อย ๆ แจกเขาคนละชิ้น นั่นเป็นอาณาจักรธรรมใหม่ เป็นอาณาจักรธรรมที่เพิ่งจะเริ่มต้น ญาติธรรมยังไม่รู้เลยว่าอะไรคือ "ธรรมะ" ผลออกมาวา ญาติธรรมเหล่านั้นรู้จักเรียกร้องแต่จะเอาจากเตี่ยนฉวนซือท่านนั้นเท่านี้ เรียนถามท่านเฉียนเหยินว่า "เตี่ยนฉวนซือท่านนั้นเมื่อไรจะมา" ทีแรกท่านเฉียนเหยินยังไม่ทราบเรื่อง ภายหลังได้ทราบ จึงเรียกเตี่ยนฉวนซือท่านนั้นเข้ามาอบรมว่า " เธอผูกมนุษย์สัมพันธ์โดยให้ของกำนัลเขา คนข้างหลังเธอจะทำอย่างไรต่อไป เธอไม่ใช่บำเพ็ญธรรม แต่กำลังตะล่อมญาติธรรม สร้างมนุษย์สัมพันธ์" ฉะนั้น คนที่ทำอย่างนี้คือ ทำ "งามเขื่องเบื้องหน้าคน" คนที่อยากเป็นที่ยอมรับของใคร ๆ เป็นจิตใจใฝ่ "สั้นชั่วระยะ" แต่จิตภาวะอันดีงามรู้ตื่นนั้นจึงจะเป็น "ชั่วกาลนาน"
-
ข้อแกร่งแรงมุ่งของผู้บำเพ็ญ
มุ่งสู่มงคลดี หลีกหนีภัยชั่วร้าย เสวยวิมุติพร้อมสุขวาสนา
เราจะพูดถึงจิตใจที่ใฝ่ "สั้นชั่วระยะ" อีกเรื่องหนึ่งคือ บำเพ็ญเพื่อ "มุ่งสู่มงคลดี หลีกหนีภัยชั่วร้าย" มันเป็นเรื่องดีเหลือเกินถ้าหาก "มุ่งสู่มงคลดี หลีกหนีภัยชั่วร้าย" ได้ การปฏิบัติบำเพ็ญจะได้มีแต่แม่ทัพนายกองที่มีแต่บุญวาสนาต่อไป ไปถึงไหนก็ไม่มีเหตุอะไรให้ห่วงใยทุกข์ร้อน ญาติธรรมก้พากันร่ำรวย คน ๆ นี้คงไม่ใช่ธรรมดา ใครก็คิดว่าเขาคงเป็นพระโพธิสัตว์มาเกิดใหม่ ราบรื่นสบายไปทุกอย่างใช่ไหม และยังอาจจะเป็นเทพเจ้าปกครองทรัพย์สมบัติมาเกิดใหม่ก็เป็นได้ "มุ่งสู่มงคลดี หลีกหนีภัยชั่วร้าย" เสวยวิมุติพร้อมสุขวาสนา" มันเป็นจิตใจที่ใฝ่ "สั้นชั่วระยะ" แล้ว "ชั่วกาลนาน" คืออะไร ชั่วกาลนานคือ "ข้อแกร่งสำแดงเมื่อเข้าตาจน...................." กับ คืนสู่รากเดิมแท้ พบพระแม่องค์ธรรม .................." สิ่งที่เราหวังวอนคือ "คืนสู่รากเดิมแท้ พบพระแม่องค์ธรรม" ไม่ใช่หวังวอน "เสวยวิมุติพร้อมสุขวาสนา" เราไม่ได้มีจิตใจอย่างนี้ อาจเป็นได้ที่ดวงชะตาชีวิตของคุณนั้นเป็นดวง "เสวยวิมุติพร้อมสุขวาสนา" แจ่ใจของคุณจะไม่อยู่บนจุดนั้น อย่างเช่นพระโพธิสัตว์ "เหวินฉือ" นักธรรมก่อนเก่าหลายท่านต่างเล่ากันว่า อันที่จริงพระโพธิสัตว์เหวินฉือ .............(ท่านหลี่เฉียนเหยิน) ไม่จำต้องทุกข์ยากลำบากอย่างนั้นเลยท่านสามารถใช้ชีวิตอย่างสุขสบายได้ เพียงแต่ท่านเอ่ยปาก ท่านก็จะเสวยสุขได้ แต่ท่านไม่เอ่ยปากเป็นอันขาด ท่านยินดีจะใช้ชีวิตลำบากยากเข็ญเช่นนั้นทุกวันไป ท่านไม่ต้องการ "เสวยวิมุติพร้อมสุขวาสนา" อย่างนี้คือ "ข้อแกร่งแรงมุ่ง" ใชไหม
ไม่สร้างบุญวาสนาเพื่อหลบจากภัยพิบัติ
ฉะนั้น ถ้ามองจากแง่มุมที่ว่าบำเพ็ญเพื่อมุ่งสู่มงคลดี หลีกหนีภัยชั่วระยะละก็ เขาจะใฝ่ใจต่อไปว่าจะสร้างบุญกุศลเพื่อหลบหลีกจากพิบัติภัย เคราะห์ภัยจะมาแล้ว รีบสร้างบุญกุศลเถอะ จิตใจที่สร้างบุญกุศลอย่างนี้เป็นจิตใจอย่างไร เป็นจิตใจ "ทำมาค้าขาย" (ลงทุนแล้วได้กำไร) อันที่สองคือ คาดคะเนความเป็นไปของกาลเวลา ฟ้ากำหนด ที่ผ่านมาคาดว่าปี ๕.ศ. 1999 เป็นปีอันตรายมากนะ พวกเธอรีบสร้างบุญกุศลโดยเร็วเถอะ รีบฉุดช่วยนำพาคนให้มารับธรรมะ การสร้างบุญกุศล กับ การฉุดช่วยคนให้ได้มารับธรรมะนั้น อันที่จริงเป็นเรื่องที่ควรจะต้องทำอยู่แล้ว แต่เราจะไปเจาะจงกำหนดเวลา บอกว่าถ้าม่ายอย่างนั้น อาจถึงที่สิ้นสุด จบกัน ถ้าญาติธรรมป็นคนใฝ่ใจทำบุญกุศลเพื่อหลบจากภัยพิบัติ ก็จะไม่ใช่จิตเมตตากรุณา ไม่เหมือนกันนะ แตกต่างกันมากเลย ระหว่างฉุดช่วยนำพาคนด้วยจิตเมตตา กับจิตที่เห็นแก่ตัว ทำเพื่อตัวเอง
ข้อแกร่งสำแดงเมื่อเข้าตาจน
เมื่อสักครู่ เราได้พูดถึงท่านเซิ่งเฉียนเหยิน ท่านสามารถจะอยู่สบายโดยไม่มีเรื่องได้ แต่เพื่อจะช่วยชีวิตญาติธรรม ท่านส่งตัวเองกลับไปตาย อย่างนั้นเรียกว่า "หวังให้กรุณาธรรม ได้แก่นกรุณาธรรม" ท่านจะช่วยชีวิตญาติธรรม นั่นคือ "ข้อแกร่งสำแดงเมื่อเข้าตาจน" ที่ท่านเดินหนทางนี้ วันข้างหน้าเราก็อาจจะต้องได้พบทางนี้ เพราะสถานการณ์ภายหน้าจะเป็นอย่างไรเราก็ไม่รู้ สมัยนี้ ดูเหมือนจะต้องไม่ใช้ลูกกระสุน ใช้ดอลล่าร์ก็โค่นเขาได้แล้ว ฉะนั้นจึงไม่รู้ว่าภายหน้า สักวันหนึ่งเราจะต้องเผชิญกับมัน ซึ่งตอนนั้นเรา "เข้าตาจน" แต่เราอาจไม่ได้ "สำแดงข้อแกร่ง" ก็เป็นได้ นี่เป็นปัญหาอันหนึ่ง
วันนี้ เราพูดถึงข้อแกร่งแรงมุ่ง เราจะสามารถเห็นข้อแกร่งได้หรือไม่ การกระทำด้วยข้อแกร่งอันสูงส่งงดงามนั้น (เจี๋ยเชา .......) ไม่ใช่เรื่องของอารมณ์สะเทือนใจผลักดันให้เป็นไป เอาละ ไม่เป็นไร ฉันจะไปตาย มันไม่ใช่อย่างนี้ ถึงเวลาจริง อยู่ในสถานการณ์ เธอก็เข่าอ่อนเสียแล้ว ที่พูดนี้หมายถึงธาตุแท้ที่มีอยู่ซึ่งได้อุ้มชูให้คงไว้เสมอ ความคิดจิตใจของท่านเซิ่งเฉียนเหยิน ไม่เคยไปจากเหลาหมู่ทุกขณะเวลา ฉะนั้น ท่านจึงพูดว่า "ตัดหัว ยิงเป้า เกษียณแล้วกลับบ้าน" สำหรับท่านมันเป็นไปอย่างธรรมชาติที่สุด ฉะนั้น ถ้าเมื่อเป็นสั้นชั่วระยะ เช่น เกียรติยศ อัปยศ ในโลกนี้ก็จะไม่สำคัญ เธอจะยกย่องหรือดูถูกก็ไม่สำคัญ คนดูถูกแต่ฟ้าเบื้องบนยกย่องก็ใช้ได้แล้ว ทัศนคตินี้เป็นไปได้ไม่ง่าย เพราะเธอยังมีชีวิตอยู่ คนมากมายจะกระทบกระเทียบเสียดแทงเธอ "ทำงานธรรมอย่างไรกัน ไม่มีมาตรฐานถึงอย่างนี้" "ไม่เป็นไร เธอดูถูกไม่เป็นไร เหลาหมู่ไม่ได้ดูถูกก็แล้วกัน" ไม่ง่ายที่จะคิดอย่างนี้ได้ เหมือนเราที่พูดถึงท่านเซิ่งเฉียนเหยิน ท่านคือผู้ที่มีจิตใจเป็นอย่างนี้
-
ข้อแกร่งแรงมุ่งของผู้บำเพ็ญ
ท่านเหอเหล่าเฉียนเหยินผู้พลีชีพเพื่อธรรมโดยดุษณีย์
ในสมัยต้น อาณาจักรธรรมของเรามีหนังสือเล่มหนึ่งชื่อ "ทฤษฏีใหม่ต่อศาสตร์แห่งธรรม....................."เขียนโดยท่านเหอเหล่าเฉียเหยิน นามว่า "เซี่ยนเหวิน " (......................) วันที่คอมมิวนิสต์บุกขยายมาถึงมณฑลซื่อชวน (เสฉวน) ท่านปักหลักรับมืออยู่ที่นั่น เรียกให้ญาติธรรมทุกคนขนย้ายหนีไปให้หมด ท่านจะแบกรับภัยพิบัติครั้งนี้เองแต่ผุ้เดียว ท่านกล่าวว่า ท่านได้ถวายปณิธานต่อเบื้องพระแท่นเหลาหมู่แล้วว่า ท่านจะเอาชีวิตของท่านแบกรับภัยพิบัติส่วนหนึ่งของเวไนยสัตว์ ท่านเห็นภัยพาลครั้งนี้ใหญ่หลวงหนักหนา (คอมมิวนิสต์กวาดล้างศาสนา ฆ่าคนถือศีลกินเจทั้งหมดทุกเพศทุกวัยไม่เว้นแม้แต่ผู้เดียว) จึงเอาชีวิตเข้าไปแบกรับด้วยความยินดี ท่านไล่ญาติธรรมทั้งหมดไปให้พ้นแล้ว ท่านเองนั่งอยู่ในสถานธรรมรอคอยพวกคอมมิวนิสต์ คอมมิวนิสต์ถือปืนครบมือกรุกันเข้ามา ท่านไปเปิดประตูรับแล้วกล่าวทักทายว่า "ท่านทั้งหลายเหนื่อยากกันมากแล้ว เชิญเข้ามาดื่มน้ำชากันเสียก่อนเถิด" คอมมิวนิสต์ตะคอกว่า "เราไม่ได้มาเพื่อดื่มน้ำชา เรามาจับท่าน" ท่านเหอเหล่าเฉียนเหยินตอบว่า "ฉันรู้แล้ว แันจะไปกับพวกคุณ ดื่มน้ำชาเสียก่อนแล้วค่อยว่ากันนะ" ดื่มน้ำชาเสร็จแล้ว ท่านก็ลุกขึ้นเดินตามพวกคอมมิวนิสต์ไป ตลอดทางท่านพูดคุยหัวเราะเบิกบาน ดูมีความสุขเหลือเกินที่จะได้ไปพลีชีวิต เดินมาตามทาง เลขาฝ่ายคอมมิวนิสต์ ถามท่านเหอเหล่าเฉียนเหยินว่า "ท่านไปจากที่นี่ได้ ทำไมไม่ไปให้พ้น ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าเรามา ท่านต้องตายแน่" ท่านเหอเหล่าเฉียนเหยินตอบว่า "ฉันรู้" แล้วท่านก็พูดถึงทัศนคติของท่านว่า "ฉันบำเพ็ญมานานปี รู้สึกว่าตนเองยังมีสิ่งกีดขวางอันหนึ่ง ยังไม่ได้ขจัดไป (กายสังขาร) ฉันจะอาศัยโอกาสในวันนี้ อาศัยมือของพวกคุณ ขอบคุณพวกคุณ ช่วยฉันกำจัดสิ่งกีดขวางตัวนี้ให้ด้วย" ท่านเหอเหล่าเฉียเหยินไม่ธรรมดาเลย ฉะนั้น เมื่อไปถึงลานยิงเป้า ซึ่งทั่วไปมือปืนเอาปืนคาร์บิ้นจ่อหลังคนที่จะถูกยิงเป้า แล้สั่งให้คุกเข่าลง จึงจะลั่นไกลปืน แต่ท่านเหอเหล่าเฉียนเหยินกลับหันหน้ากลับมาหามือปืน แล้วบอกว่า "คุณอย่าอยู่ข้างหลัง จะเล็งไม่ตรงเป้า มาข้างหน้านี้แนะ" มือปืนตกใจมือไม้สั่น เพราะไม่เคยเห็นอย่างนี้มาก่อนที่นักโทษประหารเรียกให้มือปืนมายืนข้างหน้า มือปืนตั้งท่าเตรียมยิงระยะไกลพอสมควร ท่านก็บอกเขาอีกว่า "คุณเข้ามาใกล้อีกหน่อยซิ อย่ายืนไกลนัก นี่อย่างนี้ อย่างนี้..." พูดพร้อมจับกระบอกปืนขอมือปืนมาจ่อไว้ตรงหัวใจของท่าน แล้วยังบอกอีกว่า "จะบอกให้ หัวใจอยู่ตรงนี้ ยิงตรงนี้ กระสุนนัดเดียวก็ได้ผลแล้ว ไม่ต้องเปลืองกระสุน" ตั้งแต่เดินตามพวกคอมมิวนิสต์มาจนถึงเวลายิงเป้า ท่านพูดคุยหัวเราะเป็นปกติตลอดเวลา ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เขาขึ้นไกปืนแล้ว ท่านยังคุยกับเขาอีกว่า "น้องชาย ฉันเห็นว่าคุณอายุน้อยกว่าฉัน เลยเรียกว่าน้องชาย นี่ น้องชายคุณยิงเป้านาย "เหอเซี่ยนเหวิน" ได้ แต่เธอยิง "ฉัน" ไม่ได้หรอก เอาละยิงเลย ท่านเรียกให้เขายิง เร่งให้เขายิง มือปืนยืนเซ่ออยู่ครู่หนึ่ง งงอยู่ว่ามีคนอะไรอย่างนี้ด้วย กระสุนนัดเดียว แล้วท่านก็ล้มลง แม่ทัพนายกองคอมมิวนิสต์ทุกคนที่อยู่ในที่นั้น พร้อมกันลุกขึ้นยืน ถอดหมวกทำความเคารพ โค้งศรีษะโดยมิได้นัดหมายกัน ท่านไม่ใช่ธรรมดาเลย พวกคอมมิวนิสต์พูดว่า "ไม่เคยเห็นคนอย่างนี้ ทำให้ตกใจแทบตาย" และนี่คือสิ่งที่เราพูดถึงว่า "ข้อแกร่งสำแดงเมื่อเข้าตาจน คืนสู่รากเดิมแท้พบพระแม่องค์ธรรม" ทุกวันหากเราคิดแต่จะ "มุ่งสู่มงคลดี หลีกหนีภัยชั่วร้าย" เราอาจจะโชคดี เราก็ไม่เป็นอย่างท่าน ถึงเวลานั้น รีบหนีเอาตัวรอดไปใช่ไหม แน่นอน ไม่ใช่ทุกคนจะเป็นอย่างท่านได้ เพราะไม่มีเงื่อนไข (สถานภาพ) นั้น อย่างท่านเหอเหล่าเฉียนเหยิน ในตอนนั้น ก็มีเตี่ยนฉวนซือหลายท่านจะอยู่ร่วมแบกรับภัยพิบัติกับท่านเหล่าเฉียนเหยิน แต่ท่านบอกว่า "ไปเถอะ พวกเธอไม่มีคุณสมบัติพอที่จะแบกรับได้ พวกเธอมีสิ่งที่พวกเธอจะต้องทำต่อไป รีบไปเสีย พวกเธอเอาธรรมะติดตัวไป ไปถึงที่ไหนก็ให้เอาธรรมะไปถึงที่นั่น" ท่านแบกรับ มิใช่ด้วยเจตนา แต่นี่คือ ชีวิตจิตใจ ขวัญวิญญาณตรงนั้น วันข้างหน้า ไม่ว่าเราจะเดินไปถึงมุมไหนของโลก จะมีวันอย่างนี้ด้วยหรือไม่ ไม่รู้ได้ แต่ถ้าหากเกิดมีวันอย่างนี้ เราจะสามารถแสดงออกได้ถึงข้อแกร่งอันดีงามสูงส่งได้หรือไม่ นี่เป็นปัญหาอันหนึ่่งใช่ไหม
-
ข้อแกร่งแรงมุ่งของผู้บำเพ็ญ
บทเรียนจากข้าวตัง
พูดถึงยุคกาลปัจจุบัน ทำให้นึกถึงเรื่องที่เคยเกิดขึ้นกับอาณาจักรธรรมของหน่วยสายธรรมอื่นที่ผู้น้อยเคยได้ยินมา น่าจะเป็นข้อสังวรณ์สำหรับเรา นี่คือ "ความคิดมุ่งสู่มงคลดี หลีกหนีภัยชั่วร้าย" ปลายปีหมินกั๋วที่สี่สิบแปด สิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้โปรดประทานพระโอวาทอักษรแยบยลฉบับหนึ่ง มีใจความประโยคหนึ่งว่า "ถึงกาลเจ็ดเจ็ดสี่สิบเก้า มีมหันตภัย" เตี่ยนฉวนซือบางท่านตีความพระโอวาทประโยคนั้นว่า ปีหมินกั๋วที่สี่สิบเก้าจะเกิดมหันตภัย พระโอวาทอักษรนั้นจะดูอย่างนั้นก็ได้ ดูอีกอย่างก็ได้ อยู่ที่เราใช้จิตใจอย่างไรไปตีความ แต่เขาก็ตีความอย่างนั้นแล้ว ถ้าดูอย่างนี้ก้เท่ากับว่า "ไม่เกินอีกสามปี จะมีภัยพิบัติใหญ์" ที่ไต้หวันจะตายกันจนเหลือไม่กี่คน จะทำอย่างไรดี รีบส่งเสริมกระตุ้นให้ทุกคนเริ่มกินเจกัน รีบจัดตั้งตำหนักพระ ในครั้งนั้น ทุกวันจะมีคนมาขอถวายปณิธานกินเจ ทุกสัปดาห์อย่างน้อยจัดตั้งตำหนักพระห้าแห่ง คนมากมายจัดตั้งสถานธรรม คนมากมายถวายปณิธานกินเจตลอดชีวิต ยังมีคนอีกมากมายที่รู้สึกว่าเหลือเงินไว้ไม่มีประโยชน์แล้ว รีบเอาไปแจกทานเสีย ยังมีญาติธรรมแพร่ข่าวนี้ต่อไป จนญาติพี่น้อง เพื่อนพ้องของเขาก้พากันเอาเงินไปถลุงกินถลุงเล่นกัน เตี่ยนฉวนซือยังบอกอีกว่า "เวลาที่ภัยพิบัติมาถึง ภายในสามปีที่เราหลบภัยอยู่ เราอาจจะไม่มีอาหารกิน อาหารภายนอกสถานธรรมจะแปดเปื้อนเป็นสารพิษไปหมด" ดังนั้น จึงมีการเริ่มหุงข้าวตัง จากนั้นก็เอาข้าวตังไปตากแห้ง แล้วเก็บสะสมไว้ บรรจุถุงแป้งหมี่ไว้เป็นถุง ๆ ทั้งห้องเต็มไปด้วยถุงข้าวตังเทินซ้อนกันไว้ ทุกบ้านก็พากันสะสมข้าวตัง เตรียมการว่าเกิดภัยพิบัติเมื่อไรก็จะใช้กัน สุดท้าย ปีหมินกั๋วที่สี่สิบเก้าก็ผ่านไป ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ปีหมินกั๋วที่ห้าสิบก้ไม่มีอะไร ห้าสิบเอ็ด ห้าสิบสอง ก้ไม่มีอะไร แต่ข้าวตังที่สะสมไว้ขึ้นราหมดเลย ภายหลังคนเหล่านั้นร้อยละเก้าสิบเลิกกินเจกินเจด้วยเหตุนั้นก็เลิกกินเจด้วยเหตุนั้น เพราะเพื่อให้พ้นจากภัยพิบัติจึงจัดตั้งตำหนักพระ ตำหนักพระเหล่านั้นก็พากันเก็บหมดไม่ไหว้แล้ว นั่นคือ เรื่องที่เกิดในปีหมินกั๋วที่สี่สิบเก้า นี่คือ บทเรียนที่คนเมื่อก่อนได้รับ ในระยะใกล้ ในอาณาจักรธรรมก้เล่าลือกันว่าในปี ค.ศ. 1999 จะเป็นปี มหันตภันยุคสุดท้าย เตี่ยนฉวนซือของเขาเหล่านั้นบอกว่า ในอาณาจักรธรรมของเราไม่กล้าพูดอย่างนั้นอีก เราเคยเสียเรื่องมาแล้ว เขาว่า "ถันจู่ของเราล้มไปแปดสิบเปอร์เซ็นต์ภายหลังจึงได้สร้างสรรค์ขึ้นมาใหม่" นี่คือปัญหาข้อหนึ่ง ตามหลักพื้นฐานแล้วจะต้องถามว่า "ทุกอย่างที่ท่านทำนั้น ท่านเริ่มจากจิตใจอย่างไร" เพื่อหลบหลีกภัยพิบัติใช่ไหม แท้จริง เราไม่ได้บำเพ็ญเพื่อการนี้ จุดหมายของการบำเพ็ญคือ กลับคืนสู่พระแม่องค์ธรรมต้นกำเนิดเดิม ที่กล่าวมานั้นอันหนึ่งคือสั้นชั่วระยะ อันหนึ่งเรียว่า ชั่วกาลนาน
-
ข้อแกร่งแรงมุ่งของผู้บำเพ็ญ
รากธรรมเสียหายเมื่อชื่อเสียงกำจายได้ผลประโยชน์
เราหวังแพร่ธรรมออกไป หลังจากแพร่ธรรมออกไปแล้ว ก้หวังได้เงินยิ่งมากยิ่งดี มีเงินทำงานได้ง่าย พอได้เงินแล้ว หรือได้ัรับคำชื่นชมยอมรับจากใคร ๆ อย่างนี้ ไม่เป็นการดีต่อการบำเพ็ญ ท่านเหล่าเฉียนเหยินกล่าวว่า " เธอมีชื่อเสียง เธอแย่แล้ว" แต่คนทั่วไปจะไม่ค่อยเห็นจุดนี้ง่าย ๆ เรามักจะรู้สึกว่า เราบำเพ็ญเป็นที่ยอมรับ เป็นที่เคารพ เช่น เขาชมว่า "เตี่ยนฉวนซือท่านนี้แน่มาก" ให้ความรู้สึกที่ดีทีเดียวใช่ไหม ฉะนั้น เมื่อไขว่คว้าสิ่งนอกตัวจนถึงระดับหนึ่งแล้ว ก็มักจะรู้เห็นสิ่งกระทบกระเทือนใจบ่อย ๆ คนบางคนอยากได้สักการะลาภ ญาติธรรมเอาเงินมา เราสำคัญว่าไม่เป็นไร ใช้จ่ายไป นักธรรมผู้ใหญ่กล่าวไว้เสมอว่า "เงินหนึ่งบาท เราเอามาใช้ได้คุณค่าถึงสองบาทสามบาท ก็จะเกิดบุญเกิดคุณ สองบาทสามบาท ใช้เป็นบาทเดียวไป ก็จะเกิดผิดบาป" นี่เป็นเรื่องที่จะต้องชั่งใจคิดนะ นี่เป็นเงินของญาติธรรม เราสังวรแล้วสังวรอีก คิดแล้วคิดอีกไม่กล้าใช้ไป ใช้วิถีการต่าง ๆ เพื่อให้ประหยัด และนี่ก็เป็นทัศนคติสำคัญมากอีกอย่างหนึ่งสำหรับผู้บำเพ็ญ ไม่หวังให้ได้บุญได้คุณ ขออย่าเป็นผิดเป็นบาป
ท่านชิวเฉียนเหยินผู้มิให้ต้องรับผิดบาปเป็นอันขาด
เราจะพูดถึงท่านชิวเฉียนเหยินอีกท่านหนึ่ง ท่านมีนามว่า หงหยู............... เป็นคนมีปรีชาญาณ มีความรอบรู้ในคัมภีร์ศาสตร์อย่างลึกซึ้งแตกฉานน้ำเสียงเมื่อท่านอรรถาธรรมดังกังวาลมีพลัง มีเมตตากรุณาเป็นปณิธาน ฉุดช่วยเวไนยฯนับไม่ถ้วน หลังจากรับธรรมะไม่นาน ท่านจังเหล่าเฉียนเหยินได้โปรดชี้ทางให้ "อุทิศตนเพื่องานธรรม............................" ท่านก็ตัดสินใจเด็ดขาดวางทุกอย่างลงทันที ช่วยท่านจางเหล่าเฉียนเหยินจัดประชุมอบรมธรรมฉุดช่วยผุ้คนมากมาย เมื่อตอนที่ท่านชิวเฉียนเหยินแสดงเจตนาปณิธานอุทิศตนให้ฮูหยินของท่านรับทราบ ฮูหยินของท่านตอบว่า "ท่านไปทำงานธรรมะไปช่วยท่านเหล่าเฉียนเหยิน ที่บ้านฉันจัดการเองทั้งหมด ท่านไม่ต้องเป็นห่วง" สามีภรรยาตกลงเห็นชอบด้วยกัน หลังจากนั้น ท่านชิวเฉียนเหยินก็ย้ายไปอยู่ที่สถานธรรม ช่วยท่านเหล่าเฉียนเหยินแพร่ธรรม จัดชั้นเรียนอรรถาธรรม สาธุชนมากมายซาบซึ้งเข้าถึงสัจธรรมกัน ญาติธรรมบางคนรู้มาว่า ฐานะทางครอบครัวของท่านชิวเฉียนเหยินไม่ค่อยดีนัก ก็จัดซื้อแป้งหมี่ส่งไปให้ ฮูหยินของท่านชิวเฉียนเหยินไม่กล้ารับไว้ ญาติธรรมอ้อนวอนให้รับไว้เขาบอกว่า "ท่านชิวเฉียนเหยินเมตตาเหลือเกิน ขอให้พวกเราผู้น้อยได้แสดงความสำนึกบ้างเถิด" ฮูหยินท่านปฏิเสธไม่ถูก จึงจำใจต้องรับไว้ ท่านขนเอาแป้งหมี่ทั้งหมดนั้นไปที่สถานธรรม แล้วเชิญญาติธรรมที่เกื้อหนุนจุนเจือเหล่านั้นมา ท่านกล่าวแก่ทุกคนว่า "ขอทุกคนอย่าได้ให้โทษแก่ฉันเลย ทุกคนจะต้องเข้าใจนะว่า เราเป็นญาติทางธรรมต่อกัน ไม่ใช่ญาติทางโลก ญาติทางธรรมกับญาตืทางโลกไม่เหมือนกันใช่ไหม ญาติทางธรรมไม่ต้องมาเป็นธุระเรื่องทางบ้านของฉัน ถ้าเป็นญาติทางโลกเป็นธุระได้ ก่อนจะอุทิศตนทำงานธรรมะ ครอบครัวของฉันตกลงกันแล้ว พวกคุณไม่ส่งแป้งหมี่ไปให้ คนที่บ้านฉันก็ไม่อดตายหรอก" จิตใจอย่างนี้ ซึ่งผู้บำเพ็ญมีแต่จะสร้างบุญกุศล แต่จะไม่ยอมแบกรับความผิดมิควรใด ๆ เลยเป็นอันขาด นี่เป็นชีวิตจิตใจ เป็นข้อแกร่งแรงมุ่ง คนสมัยนี้ ค่อนข้างใจกล้า กล้าสร้างบุญ อีกทั้งกล้าแบกรับ ความผิดมิควร ใช่ไหม แต่คนสมัยก่อนจะกล้าแต่สร้างบุญ ไม่กล้าแบกรับความผิดมิควร ต่อให้อุทิศตนเพื่องานธรรมแล้ว จะยากจนเข็ญใจจนกระทั่งครอบครัวไม่มีข้าวสารกรอกหม้อ ทางบ้านจะต้องไปรับจ้างเย็บผ้า ซักผ้า แต่ท่านก็จะยืนยันว่า "นั่นเป็นปณิธานของเขา เขาจะต้องเจริญปณิธานของเขา" มองดูแล้วเหมือนคนไม่มีน้ำใจ แต่การปฏิเสธนี้ เป็นการมองดูด้วยแนวทางชั่วกาลนาน ถ้ามองดูชั่วระยะสั้น ก็จะบอกว่า "ไม่เป็นไร ใครจะให้อะไรก็เอา ไม่ผิดหรอก เพราะฉันลำบากยากจน ขาดแคลน เขาช่วยเหลือจุนเจือเท่านี้จะเป็นไรไป " นี่คือความแตกต่าง
-
ข้อแกร่งแรงมุ่งของผู้บำเพ็ญ
ความสำคัญของคุณธรรมที่มีต่อศรัทธา
ที่สุดของความกตัญญูคือที่สุดต่อพระแม่องค์ธรรม ทุกคนลองคิดดู ต่อพระแม่องค์ธรรม เรามีจิตศรัทธาเด็ดขาดชัดจริงหรืิอไม่ ถึงกาลสุดท้ายจะมีการทดสอบเกิดขึ้นมากมาย เช่น ศาสนาต่าง ๆ จะพากันก่อเกิด จะปรากฏธรรมปฏิบัติและศาสนาต่าง ๆ มากมาย เราจะเรียนรู้ไหม เช่น ฉันเป็นเตี่ยนฉวนซือเรียนรู้วิธีการนั้นแล้ว อาจจะปั้นเต้าให้เจริญเฟื่องฟูยิ่งขึ้นได้ นี่คือ อีกความคิดจิตใจหนึ่ง เรียนรู้ให้มากหน่อย ถ้าหากเรียนเวทมนต์คาถาสักบทหนึ่ง ใครป่วยมา เอามือลูบหัวทีเดียวก็หาย จะได้ประโยชน์มาก และถ้าฉันมีกลวิธีหลายอย่าง เจอปัญหาอะไรก็มีจะแก้ไขได้ ไม่นานใคร ๆ ก็จะร่ำลือว่า "เตี่ยนฉวนซือท่านนี้มีบุญญาธิการเหมือนพระพุทธเจ้าทีเดียว" อย่างนี้จะปั้นเต้าได้เฟื่องฟูมาก ทำไมจึงมีความคิดจิตใจอย่างนี้ ผู้น้อยพิจารณาดูได้รู้ว่า เพราะเขามีความเชื่อมั่นศรัทธาต่อเหลาหมู่ไม่พอ เขาจึงรู้สึกว่า ธรรมะที่เหลาหมู่โปรดประทานให้เรานั้นยังสูงสุดไม่พอ จะต้องมีสิ่งอื่นช่วยหนุนด้วยจึงจะใช้ได้ อย่างนี้เรียกว่าคุณธรรมของศรัทธายังไม่พอ ถ้าหากเรามีคุณธรรมศรัทธาต่อเหลาหมู่ เราก็จะบอกว่า "ฟ้าเบื้องบนจัดการได้" เมื่ออย่างที่ท่านเหล่าเฉียนเหยินของเรา เมื่อครั้งที่นอนป่วยอยู่ที่โรงพยาบาลซิ่วฉวน ผู้น้อยไปกราบเยี่ยมท่าน ท่านเหล่าเฉียนเหยินได้สั่งความบางเรื่องแล้ว สุดท้ายได้สั่งว่า "ไม่ต้องไปยุ่งกับเรื่องของภายหน้า เรื่องของภายหน้าคนข้างหลังต่อมาจะจัดการได้เอง" นี่เป็นจิตใจเป็นขวัญวิญญาณอย่างหนึ่ง ครั้งหนึ่ง ท่านเฉียนเหยินของหน่วยสายธรรมหนึ่งไปกราบท่านอู๋เฉียนเหยินที่ฮ่องกง แล้วกราบเรียนถามท่านว่า "ต่อไป "เทียนมิ่ง" นี้จะสืบต่อกันอย่างไร" ท่านอู๋เฉียนเหยินตอบว่า "คุณยังจะมีชีวิตอยู่ได้อีกกี่ปี (ตอนนั้นผู้ถามอายุได้เจ็ดสิบกว่าปีแล้ว) คุณจะยุ่งกับเรื่องนี้ไปทำไม เรื่องนี้มีเหลาหมู่จัดการอยู่ ไม่ต้องให้คุณมาเป็นธุระ" คำพูดนี้เหมือนจิตใจของท่านเหล่าเฉียนเหยิน ธรรมะไม่ใช่อาศัยคนคิดคำนึงเอา ครั้งที่แล้ว อยู่ที่ฮ่องกงท่านอู๋เฉียนเหยินก็กล่าวว่า พวกเราคนรุ่นนี้พูดว่า "เราจะต้องวางแผนเอางานไว้ให้คนรุ่นหลังอย่างไรบ้าง" พอถึงสมัยคนรุ่นหลังเขาเหนือกว่าเราเสียอีก แล้วดูซิ ที่เราวางแผนไว้ให้เขาน่ะ พวกเขาจะบอกว่า "ไม่มีระดับ ไม่มีมาตรฐาน" ฉะนั้น ท่านอู๋เฉียนเหยินนั้นเหมือนกับท่านเหล่าเฉียนเหยินข้อแรกที่ว่า "ฟ้าเบื้องบนจัดวางให้ดี ไม่ต้องให้เราไปเจ้ากี้เจ้าการ" ท่านมีคุณธรรมศรัทธาต่อฟ้าเบื้องบนต่อเหลาหมู่อย่างเด็ดขาดชัดจริงอย่างนี้
บำเพ็ญจริง ดำเนินตรง หมื่นศาสน์พากันมาบรรจบ
ท่านอู๋เฉียนเหยินยังกล่าวอีกว่า มีอยู่ปีหนึ่ง ที่มหานครเทียนจิน พระธรรมาจารย์ได้โปรดมาเยี่ยมที่สถานธรรม ที่หน้าประตูสถานธรรมมีกลอนคู่อยู่บทหนึ่งว่า " วิถีรู้แจ้งแทงตลอดถ่ายทอดจริงชัด หมื่นศาสน์เก็บเสมอไว้ในธรรมเดียวกัน.................
พระธรรมาจารย์ (ซือจุน) จึงโปรดตั้งคำถามว่า หมื่นศาสน์เก็บเสมอไว้ในธรรมเดียวกันน่ะ เก็บได้อย่างไร" ท่านธรรมปรินายกและเตี่ยนฉวนซือทั้งหลายต่างคุกเข่าลงไม่กล้าพูด พระธรรมาจารย์จึงได้โปรดว่า " ลุกขึ้น ลุกขึ้น ข้อความนี้ต้องแก้ไขเสียหน่อย" พระธรรมาจารย์ได้โปรดแก้ไขให้เป็น "บำเพ็ญจริง เดินตรงชัด หมื่นศาสน์พากันมาบรรจบ" "ถ้าเราบำเพ็ญได้จริง ดำเนินได้ตรง หมื่นศาสน์ก็จะพากันมาบรรจบ" หลังจากที่ซือจุน แก้คำว่า "หมื่นศาสน์เก็บเสมอไว้ในธรรมเดียวกัน" แล้ว จากนั้นสถานธรรมน้อยใหญ่ในมหานครเทียนจินก็ไม่ปรากฏกลอนคู่ประโยคเดิมที่หน้าประตูสถานธรรมใดอีกเลย ฉะนั้นจึงกล่าวได้ว่า ถ้าหากเราบำเพ็ญจริง ดำเนินตรง เรายังจะต้องกลัวอีกทำไม เหตุและปัจจัย ฟ้าเบื้องบทรงจัดวาง เราบำเพ็ญจริงดำเนินตรงก็แล้วกัน นี่เป็นการไตร่ตรองเพื่อความเป็นชั่วกาลนาน มัวคิดว่า ฉันดำเนินการแพร่ธรรมอย่างนี้จะเจริญรุ่งเรืองไหม นี่เป็นการไตร่ตรองสั้นชั่วระยะ ท่านเหล่าเฉียนเหยินกล่าวว่า "เธอนำพาคนรับธรรมะหนึ่งหมื่นคน มีสักกี่คนที่จริงใจบำเพ็ญธรรม" นี่เป็นประโยคหนึ่ง หวังให้ดอกไม้บานไม่ขาดสาย นี่คือ สั้นชั่วระยะ มีสักกี่คนที่รู้ตื่นเข้าถึงธรรมะ กี่คนที่เปลี่ยนแปลงตัวเองได้จริง ๆ ฉะนั้น ถ้าคุณธรรมศรัทธาที่เรามีต่อเหลาหมู่พอเพียง เราก็จะคิดได้ว่า "การถ่ายทอดวิธีธรรมนั้น สิทธิ์ขาดอยู่ที่ฟ้าเพื้องบน ไม่ใช่อยู่ที่คน" เราต้องตกอยู่กับสภาพแวดล้อมลำบาก เรายังคงบำเพ็ญต่อไป จิตใจไม่ห่างจากเหลาหมู่ ไม่ห่างจากฟ้าเบื้องบน ฉะนั้น จึงกล่าวว่า "ทำงานธรรมะให้สุดความตั้งใจ" อย่างไรจึงเรียกว่าสุดความตั้งใจ ผู้น้อยคิดว่า "สุดความตั้งใจก็คือ" ไม่ห่างจากเหลาหมูทุกขณะจิต ไม่ห่างจากเวไนยทุกขณธจิต" ใจของเรานั้นไม่อยู่กับเหลาหมู่ก้อยู่กับเหล่าเวไนยฯ นี่คือสุดความตั้งใจ เรื่องอื่นเป็นเรื่องที่ฟ้าเบื้องบนจัดวางให้ไม่ต้องเจ้ากี้เจ้าการ" บางคนบำเพ็ญธรรมด้วยจิตใจหวาดกลัว กลัวว่าตัวเองจะแพร่ธรรมไม่ออก กลัวสิ่งแวดล้อมของตนจะลำบากมาก ไม่ต้องกลัว เราเป็นคนในสหาโลกธาตุ (โลกที่ลำบากยากจะแก้ไข) เราจึงไม่ต้องกลัวลำบาก เหนื่องเพียงใด ลำบากเพียงไหนก็ผ่านไปได้ทั้งนั้น มีคำโบราณคำหนึ่งว่า "คน ไม่มีที่จะกล้ำกลืนความทุกข์ไม่ได้ มีแต่จะเสวยสุขวาสนาไปไม่ถึง" สุขวาสนาบางอย่างเธอเสวยรับได้ไม่ถึง ถ้าเธอขืนไปเสวยรับไว้ เธอจะแย่เอา อย่าได้ยินดี
-
ข้อแกร่งแรงมุ่งของผู้บำเพ็ญ
ด่านสอบสุดท้ายสามด่านใหญ่
คุณธรรมศรัทธาของเรานี้จะต้องเรียกฟื้นฟู คุณธรรมศรัทธาต่อเหลาหมู่จะต้องเชื่อมั่นศรัทธาเต็มร้อย ไม่มีข้อโต้แย้ง จะไม่กลัว ไม่กังวลใจแม้แต่น้อย ไม่พูดว่า "ภายหน้าฉันควรจะทำอย่างไร" ภายหน้าเหลาหมู่จัดวางได้ อย่ายุ่งเกี่ยว เกี่ยวข้องเฉพาะตนเองให้บำเพ็ญจริง ดำเนินจริงเท่านั้น เพราะถึงกาลเวลาทดสอบสุดท้ายแล้ว มีแนวทางการสอบใหญ่สามทางคือ...
1. การทดสอบ "ชั่วดี ถูกผิด นินทา ว่ากล่าว" ซึ่งจะมีอยู่ทุกแห่ง
2. อารมณ์เจ็ดตัณหา ทุกอย่างที่เกิดจากโลภ โกรธ หลง รัก เงินทองไม่โปร่งใส หยฺงชายไม่ขาวสะอาด ที่มีปัญหามากมายอยู่ในเรื่องนี้ใช่ไหม
3. อภิญญาสื่อจิต เวทมนตร์คาถา ศาสตร์ต่าง ๆ มากมาย ก่อเกิดสำแดง ทำเพื่อชีวิตความเป็นอยู่ ปลุกใจให้ไหวตาม
นี่เป็นด่านสอบสุดท้ายสามด่าน เรื่องดีชั่ว ถูกผิด นินทา ว่ากล่าว เธออย่าดูถูกว่ามันเป็นเรื่องเล็กน้อย หากเธอใฝ่ใจสั้นชั่วระยะ เธอจะต้องถูกสอบล้มลงแน่นอน แล้วเธอก็จะพูดว่า "ฉันไม่ออกมาสู่อาณาจักรธรรมแล้ว ด่าว่าฉันจนเสียหายอย่างนี้ ไม่น่าฟัง" ว่ากันไปตรง ๆ ที่เธอหลุดร่วงไปไม่ออกมา ทำให้ใครต้องตื่นตกใจไปด้วยหรือ ไม่ออกมาก็ไม่ออกไปซิ ฉะนั้น เมื่อมีคนร้องบอกว่า "จะไม่ออกมางานธรรมแล้ว" บางครั้งท่านเหล่าเฉียนเหยิน ก็จะพูดเหมือนไม่มีเยื่อใยว่า "อาภัพอับวาสนา...................." นี่เป็นข้อตัดสินความเป็นชั่วกาลนาน ฉะนั้น ถึงกำหนดกาลสุดท้ายแล้ว จะผ่านด่านเหล่านี้ไปได้จะต้องมีข้อแกร่งแรงมุ่ง เวลาปกติไม่ได้เสริมสร้างข้อแกร่งแรงมุ่ง พอถึงเวลาไม่อาจปรากฏสำแดง ก็ไม่ง่ายที่จะได้พ้นด่านนี้
สอบราบรื่นอันน่ากลัว
สุดท้าย ผู้น้อยจะเล่าเรื่องเพื่อพึงสังวรกันบางเรื่อง ให้เราได้ช่วยกันเสริมสร้างกำลังใจ ปีหมินกั๋วที่สามสิบแปด ซือหมู่ลี้ภัยไปอยู่ฮ่องกง ท่านเฉียนเหยินมากมายในจีนแผ่นดินใหญ่ ก็ลี้ภัยไปอยู่ที่ฮ่องกงเหมือนกัน จนถึงปีหมินกั๋วที่สามสิบเก้า ทั่วท้องถนนในฮ่องกงมีแต่ผู้ลี้ภัย แต่ก่อน นักธรรมข้างหน้าเหล่านี้ มีสภาพเป็นธรรมภันเตเฉียนเหยินที่จีนแผ่นดินใหญ่ พอลี้ภัยมาถึงฮ่องกง ต้องเปลี่ยนสภาพมาเป็นผู้ลี้ภัย ซือหมู่เห็นว่าอย่างนี้ไม่ได้ จึงซื้อคฤหาสน์หลังใหญ่ที่เขตุซาเถียน สร้างสถานสงเคราะห์คนชราขึ้น (แสดงชื่อต่อคนภายนอกว่า สถานสงเคราะห์คนชรา) แท้จริงแล้วคือสถานโอบอุ้มนักธรรมผู้ใหญ่ที่ระหกระเหินอยู่ในฮ่องกง รวมเฉียนเหยินทั้งหมดหนึ่งร้อยสามสิบกว่าท่านอยู่ในนั้นทั้งหมด ซือหมู่ได้โปรดว่า "ทุกคนสร้างบุญกุศลไว้เกินพอ แต่แรงไฟสุขุมยังไม่พอ จะต้องทดสอบแรงไฟสุขุม (ความประณีตลุ่มลึกละเอียดของจิต) ม่ายเช่นนั้น วันข้างหน้าจะไม่อาจกลับคืนเบื้องบนไปได้" นี่เป็นข้อสอบที่แยบยลมาก ในฤดูหนาวปีหมินกั๋วที่สามสิบเก้า ซือหมู่ได้โปรดประกาศว่า "หยุดการถ่ายทอดวิถีธรรมในฮ่องกง" พระองค์ท่านใช้การ "หยุดการถ่ายทอด" มาเป็นข้อทดสอบ ดูซิ ขณะนี้เราทุกคนถ่ายทอดวิถีธรรมกันจนไม่มีเวลาว่างเลยเหมือนกัน อยู่ ๆ มีพระโองการประกาศทันทีว่าให้ "หยุด" พอ "หยุด" ก็จะล้มละ ท่านนักธรรมผู้ใหญ่ซึ่งเป็นแนวหน้าเหล่านั้น รับทราบว่าซือปหมู่จะหยุดถ่ายทอด พระองค์ได้โปรดว่า "เอาทางโลกเป็นหลัก เอาทางธรรมเป็นรอง ทุกคนจึงออกไปทำมาหากิน ไปค้าขายกัน" นักธรรมเหล่านั้นก็พากันออกจากอาณาจักรธรรม กลับไปสู่อาณาจักรธรรมแห่งลาภสักการะอีกครั้งหนึ่ง จุดนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย ใครที่ไม่มีข้อแกร่งแรงมุ่งก็จะรักษาสภาวะธรรมไว้ไม่อยู่ ในจำนวนนักธรรมชั้นแนวหน้าเหล่านั้น หลายท่านทำงานใหญ่มาแล้ว อย่างเช่น เฉียนเหยินท่านหนึ่ง เคยติดตามปั้นเต้าใกล้ชิดกับซือจุนมาแล้ว วันหนึ่ง ซือจุนได้โปรดแก่เฉียนเหยินท่านนั้นว่า "อย่าเอาแต่ติดตามฉันออกไปบุกเบิกแพร่ธรรม" เฉียนเหยินท่านนี้กราบเรียนถามซือจุนว่า "จะโปรดให้ศิษย์ไปบุกเบิกที่ไหน" ซือจุนโปรดว่า "แผนที่อยู่นั่นไปหาเอาเอง" ประเทศจีนกว้างใหญ่ไพศาลเหลือเกิน เฉียนเหยินท่านนั้นเอานิ้วชี้ลงไปจุดหนึ่ง คิดวาจุดนี้คงไม่เลว ซือจุนก็โปรดอนุญาตให้เฉียนเหยินท่านนั้นไป ต่อมา เฉียนเหยินท่านนั้นสืบถามได้ความว่า เพราะที่นั่นมีศาสนิกคาทอลิกอยู่ถึงสองล้านคน แย่แล้ว ท่านจึงไปคุกเข่ากราบเรียนซือจุนว่า "พระอาจารย์ได้โปรด ศิษย์จะไปที่นั่นไม่ได้ เพราะที่นั่นมีศาสนิกคาทอลิกมากเหลือเกิน" ซือจุนได้โปรดว่า "ไม่ต้องกลัวจะส่งต้าเซียนองค์หนึ่งไปช้วย" ส่งคนไปช่วย มองเห็นตัวตนได้ค่อยอุ่นใจ ซือจุนว่าจะส่งเซียนใหญ่ไปช่วย สิ่งศักดิ์สิทธิ์มองไม่เห็นตัวตน จึงกราบเรียนถามซือจุนเพื่อความมั่นใจอีกว่า "พระอาจารย์จะโปรดส่งเซียนพระองค์ใดไปช่วยหรือ" ซือจุนโปรดว่า "จะส่งอู่ซวิ่นต้าเซียนไปช่วยเธอ" วาจาประกาศิตของพระอาจารย์ อู่ซวิ่น............. ก็ได้รับแต่งตั้งเป็นต้าเซียนไปทันที เฉียนเหยินท่านนั้นเดินทางไปถึงจุดหมายที่จะบุกเบิกแพร่ธรรมแล้วจัดการเช่าบ้าน จัดตั้งตำหนักพระ แต่ฉุดช่วยนำพาใครให้มารับวิถีธรรมไม่ได้เลย อึดอัดกลัดกลุ้มมาก พระอาจารย์ว่าจะส่งอู่ซวิ่นต้าเซียนมาช่วย ก็ยังไม่เห็นมา เวลาผ่านไประยะหนึ่ง เช้าวันหนึ่ง ได้ยินเสียงผู้คนมากมายมาชุมนุมพูดคุยกันหน้าตำหนักพระ คนเหล่านั้นมาได้อย่างไรกัน โอ ล้วนแต่ได้รับนิมิตสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ต้าเซียนไปเข้าฝันบอกว่า พวกท่านต่างรอพระเยซูกลับมาอีกไม่ใช่หรือ จะบอกให้ พระเยซูกลับมาแล้ว พระผู้เป็นเจ้า พระผู้ช่วยโลกมาแล้ว อยู่ที่นั่น ที่นั่น บ้านเลขที่เท่านั้นเท่านี้ บอกกล่าวให้ถี่ถ้วน อีกทั้งยังแสดงภาพรูปร่างหน้าตา ของเฉียนเหยินท่านนั้นให้เห็นอีก เพียงแค่ข้ามคืน ก็มีคนถึงร้อยกว่าคนที่ฝันเห็นแล้วมาขอรับวิถีธรรม เช้าวันนั้น เฉียนเหยินท่านนั้นรู้สึกแปลกใจ ที่มีเสียงผู้คนมากมายเหมือนออกันอยู่เต็มหน้าตำหนักพระ เปิดประตูออกไปดู พอผู้คนเหล่านั้นเห็นท่านเฉียนเหยิน ก็พร้อมกันคุกเข่าลงวิงวอนว่า "พระผู้ช่วยโลกได้โปรดช่วยพวกเราด้วย" เฉียนเหยินท่านนั้นเริ่มต้นบุกเบิกแพร่ธรรมได้ด้วยเหตุปัจจัยอันนี้ สามปีต่อมา ได้จัดตั้งสถานธรรมใหญ่ คนที่ได้รับวิถีธรรมมากถึงสองแสนคน จนก่อเกิดเป็นหน่วยสายธรรมขึ้นมาอีกหน่วยสายหนึ่ง จึงกล่าวได้ว่าเฉียนเหยินท่านนั้นได้ทำงานใหญ่มามาก มีพื้นฐานบุญมาก
ทีนี้เราจะมาพูดถึงข้อแกร่งแรงมุ่งต่อไป เรื่องที่จะเล่านี้ ไม่ได้เจาะจงตัวบุคคล อย่าว่าแต่ท่านที่เคยทำงานใหญ่มาแล้วเลย เราเองก็เถอะ ถึงสุดท้ายก็จะต้องพึงสังวรระวัง ต้องเสริมสร้างความมั่นคงกัน วันข้างหน้าจึงจะรักษาความมั่นคงไว้ได้ ภายหลังเฉียนเหยินท่านนั้นมาลี้ภัยอยู่ที่ฮ่องกง ซือหมู่โปรดประทานข้อทดสอบ ให้หยุดการถ่ายทอดวิถีธรรม เฉียนเหยินท่านนั้นก็ทำตามพระบัญชาออกไปค้าขาย การค้าของท่านจะต้องติดต่อกับผู้คนมากมาย โดยเฉพาะศาสนิกคาทอลิก การค้าของท่านรุ่งเรืองมาก ซื้อง่ายขายคล่อง ราบรื่นไปหมดทุกอย่าง สุดท้ายเพื่อความสะดวกในการร่วมงานติดต่อซื้อขายกับศาสนิกคาทอลิกเป็นหลัก ก็เลยเปลี่ยนไปเป็นศาสนิกคาทอลิกเหมือนกับเขา พอเปลี่ยนศาสนาแล้ว การค้ายิ่งเฟื่องฟูรุ่งเรืองใหญ่โต ทำให้สำคัญผิดคิดว่าถูกต้องแล้ว นั่นยังพอจะเข้าใจได้ แต่สุดท้ายที่ไปมีอนุภรรยาอีกคนหนึ่งซิ ไม่น่าเป็นไปได้เลย ภรรยาหลวงดั้งเดิมของท่านอยู่ที่จีนแผ่นดินใหญ่ไม่ได้ลี้ภัยมาฮ่องกง เฉียนเหยินท่านนี้มีชื่อเสียงโด่งดังในการแพร่ธรรมมากเป็นบุคคลสำคัญในบัญชีกวาดล้างศาสนาของคอมมิวนิสต์ เมื่อท่านเล็ดลอดลี้ภัยมาฮ่องกง คอมมิวนิสต์จึงจับตัวภรรยาของท่านไปแทน ท่านได้อนุภรรยาคนหนึ่งที่ฮ่องกง เท่านั้นยังไม่พอ ต่อมาได้อนุภรรยาคนที่สอง และตอมาได้อนุภรรยาคนที่สาม แต่เวรกรรมชักนำ ว่าที่อนุภรรยาคนที่สามเป็นคนของกลุ่มอิทธิพลมืด สุดท้ายท่านถูกทำร้าย ขาหักไปข้างหนึ่ง เรื่อราวฉาวโฉ่ทำให้อับอายขายหน้าจนต้องไปกระโดดน้ำตายที่ชายทะเลอวั้งเจี่ยว แต่ยังไม่ตายถูกช่วยชีวิตไว้ หนังสือพิมพ์พาดหัวข่าวลงบทความพิเศษ คนทั่วฮ่องกงรู้ไปหมด ต่างวิพากษ์วิจารณ์กันว่า เฉียนเหยินคนนี้ทำไมเป็นเช่นนี้ ชื่อเสียงเสียหายจนไม่อาจทนมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อีก สุดท้ายไม่รู้ว่าไปทางไหนแล้ว
มีแต่ข้อแกร่งแรงมุ่งเท่านั้นที่ชั่วกาลนาน
ผู้น้อยได้ยินท่านอู๋เฉียนเหยินที่ฮ่องกงเล่าเรื่องนี้แล้ว รู้สึกว่าเป็นเรื่องที่น่ากลัวมาก ถึงบั้นปลายไม่ใช่เคยทำงานใหญ่มา รากฐานบุญลุ่มลึก หรือแม้กระทั่งเคยติดตามใกล้ชิดพระอาจารย์มา ก็จะรักษาสภาวะธรรมในตนไว้ได้ นี่เป็นเรื่องอันตรายเหลือเกิน ฉะนั้น วันนี้ที่เราพูดถึงข้อแกร่งแรงมุ่ง จึงเป้นเรื่องสำคัญมาก แต่ข้อแกร่งแรงมุ่งนั้น ไม่ใช่เราจะใช้ความคิดแล้วคิดออกมาได้ เชื่อว่าเฉียนเหยินท่านนั้นต้องแน่มากทีเดียว ดูซิ เคยทำงานใหญ่ได้ถึงอย่างนั้น เคยติดตามใกล้ชิดพระอาจารย์ แต่จิตใจภายในไม่ได้ก่อเกิดสภาวะธรรมอย่างแท้จริง ปกติก็ไม่ได้ปลุกฝังบำรุงเลี้ยงจิต บริสุทธิ์ พอถึงเวลา ตกสู่สภาวะแวดล้อมใหม่ ถูกทอสอบด้วยสิ่งต่าง ๆ ก็จะ "รูปโฉมแท้ตีแผ่เอง" น่ากลัวเหลือเกิน ท่านอู๋เฉียนเหยินกล่าวว่า ตัวอย่างอย่างนี้มีมากมายในฮ่องกงนี่คือการทดสอบราบรื่น มุ่งทางโลก ไม่มุ่งทางธรรม พอสอบราบรื่น คนถูกสอบมากมายก็ราบ (ลื่น) ไปเลย
สำหรับท่านอู๋เฉียนเหยินเอง ในระหว่างนั้นก็ลำบากมาก ท่านต้องไปรับจ้างเป็นกรรมกรสร้างทาง หิ้วปูน เทปูน ซือหมู่รู้ว่า ทุกคนลำบากกันปานนั้นเรียกให้มารับเงินจากพระองค์คนละหนึ่งตำลึงทองเพื่อประทังชีวิตไป ท่านอู๋เฉียนเหยินกล่าวแก่พวกเราว่า "มาถึงวันนี้ พวกเราสบายใจมาก เราไม่เคยได้รับเงินจากซือหมู่แม้สักครั้ง แม้ชีวิตจะยากเย็นแสนเข็ญอย่างไร เราก็ผ่านมาได้แล้ว ไม่เพียงแต่ผ่านมาได้แล้ว ต่อมาเรายังมีเงิน ได้ซื้อบ้านสร้างตำหนักพระ ตอนนี้ย้อนคิดดู เราสบายใจมาก" นี่คือข้อแกร่งแรงมุ่ง เราทุกคนเป็นคนบ้านเดียวกัน จะต้องส่งเสริมให้กำลังใจแก่กัน ยิ่งถึงวาระสุดท้าย ยิ่งจะต้องมีข้อแกร่งแรงมุ่ง สันหลัง เอว จะต้องยึดตรง จะต้องมีพลังโดยแท้จากกระดูกแกร่ง ไม่มีทุกข์ยากอันใดที่คนจะกล้ำกลืนไม่ได้ ขอให้เห็นชั่วกาลนานสำคัญสักหน่อยที่มันสั่นชั่วระยะไม่ได้เสียอะไรนัก ก็ปล่อยมันไป ไม่มีอะไรที่ผ่อนผันไม่ได้
เหล่านี้คือ รายงานจากผู้น้อยที่ยังด้อยความนึกคิดนัก พูดก็เพื่อเสริมสร้างตนเองไปด้วย คำพูดที่ไม่เหมาะไม่ควรท่านทั้งหลายโปรดชี้แนะ
~ ตัดหัวยิงเป้า เกษียณแล้วกลับบ้าน ~
~ จบเล่ม ~