นักธรรม
ห้องสมุด "นักธรรม" => หนังสือ => ข้อความที่เริ่มโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 13/09/2554, 18:03
-
โอวาทท่านธรรมอธิการ
คำแถลง
ความจริงแล้วธรรมะในศาสนาต่าง ๆ ล้วนเป็นธรรมที่มีรากเหง้ามาจากอนุตตรธรรมเดียวกันทั้งสิ้น เพียงแต่การแบ่งแยกออกเป็นศาสนาต่าง ๆ นั้นเป็นไปตามความเหมาะสมของวัฒนธรรมประเพณีของแต่ละชนชาติที่แตกต่างกัน ซึ่งคำสอนของศาสนาต่าง ๆ จำต้องเอื้อต่อความเป็นอยู่ของมนุษย์ในแต่ละส่วนของโลกนี้ การถ่ายทอดวิถีธรรมของอนุตตรธรรมไม่มีบัญญัติเอาไว้เป็นลายลักษณ์อักษร เพราะถือว่าเป็นการถ่ายทอดจากจิตสู่จิต เมื่อจิตบรรลุก็ย่อมกระจ่างแจ้งในหลักสัจธรรมนั้นเอง แต่การจะบรรลุธรรมเป็นเรื่องยากยิ่ง ฉะนั้น จึงจำเป็นต้องศึกษาและบำเพ็ญเพื่อให้จิตถึงพร้อมด้วยกุศลและผลบุญนั้น ๆ การศึกษาจากท่านผู้อาวุโสที่บำเพ็ญมาดีแล้ว อย่างเช่น ท่านธรรมอธิการ จึงเป็นการศึกษาที่จะนำเอาเยี่ยงอย่างที่ดีมาพิจารณา เพื่อหาหนทางในการบำเพ็ญตนเองให้บรรลุสู่เป้าหมาย เพราะเหตุนี้ โอวาทของท่านจึงเป็นเสมือนหนึ่งอัญมณีที่เหล่าผู้บำเพ็ญทั้งปวงควรจะได้น้อมใจนำมาศึกษาอย่างละเอียดถี่ถ้วน เพื่อความเจริญธรรมในจิตแห่งตน สำนักพิมพ์จึงมีความยินดีที่ได้พิมพ์โอวาทของท่านธรรมอธิการที่ได้เมตตาต่อผู้บำเพ็ญในประเทศไทย จึงหวังว่าโอกาสนี้จักเป็นเสมือนหนึ่งน้ำอมฤตเพื่อญาติธรรมทั้งปวงจักได้รับรสอันจะเป็นกำลังใจให้การบำเพ็ญอนุตตรธรรมเจริญก้าวหน้ายิ่ง ๆ ขึ้นไป
สำนักพิมพ์ส่งเสริมคุณภาพชีวิต
-
โอวาทท่านธรรมอธิการ
คำนำ
อนุตตรธรรม เป็นธรรมที่ถ่ายทอดจากจิตสู่จิต บำเพ็ญจิตรู้ญาณ ซึ่งตั้งแต่กาลก่อนมายังไม่เคยได้รับการโปรดให้ถ่ายทอดสู่ปุถุชนทั่วไป เช่นในกาลบัดนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอนุตตรธรรม ถ่ายทอดมาจากประเทศจีน ซึ่งมีพงศาธรรมต่อเนื่องมาจากพระพุทธเจ้าด้วยการใช้ภาษาจีนเป็นหลักในการเผยแพร่ เพราะฉะนั้น จึงเป็นปัญหาสำหรับผู้ที่ไม่เข้าใจภาษาจีน คำเฉพาะต่าง ๆ ในอนุตตรธรรมมีความหมายละเอียดลึกซึ้งและแยบยลยิ่งนัก ประกอบกับคำหนึ่ง ๆ ของภาษาจีนมีคุณสมบัติพิเศษครอบคลุมความหมายได้อย่างกว้างไกล จึงเป็นอุปสรรคอย่างยิ่งในอันที่จะแปลความหมายให้ได้ใจความครบล้วนสมบูรณ์ โอวาทนี้ ท่านธรรมอธิการได้บรรยายในประเทศไทยเนื่องในการประชุมนักธรรมผู้รับผิดชอบปฏิบัติงานธรรมขึ้นไป และในการเปิดชั้นเรียนขอขมาสำนึกบาป ณ พุทธสถานเมตตาธรรม จังหวัดสุราษฏร์ธานี โอวาทของท่านจึงเป็นการสนทนาธรรมที่ฟังดูเรียบง่าย เป็นที่เข้าใจสำหรับผู้ที่รับธรรมและปฏิบัติงานธรรมมานานพอสมควร แต่อาจจะเข้าใจยากสำหรับผู้ที่เพิ่งรับวิถีธรรม ผู้เรียบเรียงก็เป็นอีกผู้หนึ่งที่ถือว่าเพิ่งจะได้ศึกษาอนุตตรธรรม แต่ด้วยศรัทธาอันแรงกล้าที่ใคร่จะเผยแพร่คุณแห่งอนุตตรธรรมสู่สาธุชนด้วยกัน จึงมิได้คำนึงถึงปัญญาความรู้อันมีจำกัดของตนเองในด้านนี้ ฉะนั้น จะด้วยเหตุผลใด ๆ ก็ตามที ที่ทำให้หนังสือเล่มนี้ด้อยคุณค่าลง ผู้เรียบเรียงต้องกราบขอประทานอภัยต่อเบื้องบน กราบขอประทานอภัยท่านธรรมอธิการและท่านผู้ใฝ่ธรรมทั้งหลายมา ณ ที่นี้ด้วย
ด้วยความขอบพระคุณยิ่ง
ศุภนิมิต
เรียบเรียง
-
โอวาทท่านธรรมอธิการ
ที่มาของฉายา "ผู้เฒ่าน้ำใส"
"ใส" คือปราศจากสิ่งเจือปน "น้ำ" ท่านจอมปราชญ์เหลาจื้อ เขียนคำนิยามเกี่ยวกับ "น้ำ" ไว้ว่า กุศลสูงเยี่ยงน้ำ ด้วยน้ำให้คุณต่อสรรพสิ่งโดยไม่เบียดบัง ศาสดาจารย์ขงจื้อ ก็ให้คำนิยามไว้ว่า น้ำกอปรด้วยคุณธรรมห้าประการ น้ำ เป็นกระแสไหลไม่หยุดยั้งนำความชุ่มฉ่ำไปสู่ชีวิตทั้งหลายเหมือนมีเมตตาธรรม น้ำ ไหลจากที่สูงลงสู่ที่ต่ำ ไม่ขัดขืนฝืนทวนเข้ากับลักษณะที่รองรับ เหลี่ยมยาวอย่างไรก็เป็นไปตามสถานภาพอันควร เหมือนมีทำนองคลองธรรม น้ำ ยิ่งใหญ่ไพศาล มิอาจประมาณขอบเขตความลุ่มลึกกว้างไกลเหมือนมีสภาวะ "ธรรม" อันคุณากร น้ำ โกกจากหน้าผานับร้อยวาสู่หุบเขาใหญ่โดยไม่หวั่น เหมือนมีพลังความกล้าหาญ น้ำ เมื่อตั้งวางก็ราบเรียบไม่เอาเปรียบสูงต่ำเหมือนรักษาวินัย ปริมาณที่เห็นเป็นเท่าใดก็เท่านั้น ไม่ต้องตัดหั่นบั่นทอนเหมือนมีความเที่ยงตรง น้ำ ซึมซาบซอกซอนถึงที่สุด เหมือนรู้พิเคราะห์ละเอียดลึกซึ้ง ต้นน้ำจะเริ่มจากทิศตะวันตกเป็นที่ตั้งเหมือนมีความมุ่งมั่นที่แน่นอน น้ำจะตักขึ้นใช้สอยถ่ายเทอย่างไรไม่ขัดข้องเช่นนี้จึงชำระล้างสรรพสิ่งให้สะอาดหมดจดได้ อีกทั้งเหมือนรู้จักปรับสภาพให้เหมาะควร น้ำ ชอบด้วยคุณธรรมความดีมากมายดังกล่าว ฉะนั้น กัลยาณชนพบน้ำที่ใด จึงควรพินิจพิจารณา มองน้ำจึงให้พิจารณาถึงต้นกำเนิดของน้ำ อักษรจีน คำว่าใส กับน้ำ รวมกันคือ หมายถึงแหล่งน้ำ แหล่งน้ำก็คือต้นน้ำ ลำธารกำเนิดจากต้น้ำบนภูเขา จะไหลอยู่ทั้งวันทั้งคืนไม่ขาดสาย เรื่อยลงไปบรรจบทะเล แม่น้ำ ลำคลอง นับร้อยโดยดุษณี ผู้มีจิตงดงามดังน้ำ จึงมีสภาวะธรรมเช่นต้นน้ำที่รินไหลไม่ขาดสายและไม่เปลี่ยนแปลง ต้นน้ำไหลรินจึงเหมือนจิตที่ปิติท่วมท้นด้วยคุณธรรม ผู้ใฝ่ธรรมทั้งหลายจึงพึงพิจารณา บำเพ็ญตนให้เหมือนน้ำใสที่ให้คุณนับร้อยต่อสรรพสิ่งทั้งหลายโดยไม่ว่างเว้น ข้าพเจ้าดื่มน้ำใส (น้ำเปล่า) มาสามสิบกว่าปี จึงได้ฉายาว่า "ผู้เฒ่าน้ำใส" อีกทั้งกำลังเจริญเเรียนอย่างน้ำใสให้ได้ดังกล่าว
-
โอวาทท่านธรรมอธิการ
ประวัติย่อ "ท่านธรรมอธิการ"
ท่านธรรมอธิการหันเหล่าเฉียนเหยิน นามเดิม "เอินหยง" นามเสริมว่า "อวี่หลิน" ฉายา "ผู้เฒ่าน้ำใส" ท่านเป็นผู้ปกครองใหญ่ในวงการอนุตตรธรรม ขณะนี้ (ค.ศ.1990) ท่านมีอายุได้ 90 ปีแล้ว นักธรรมหนุ่มสาวมักจะเรียกท่านด้วยความเคารพรักและซาบซึ้งว่า "ท่านปู่" ท่านธรรมอธิการเป็นผู้มีสติปัญญาเหนือกว่าคนทั่วไปมาตั้งแต่เด็ก ท่านศึกษาคัมภีร์ปรัชญาทุกแขนงได้อย่างลึกซึ้ง ภายใต้การอบรมกล่อมเกลาของครอบครัวที่ดี ทำให้ท่านเกิดความมุ่งมั่นด้วยปณิธานกว้างไกลในอันที่จะอุทิศตนสร้างคุณประโยชน์เพื่อชาติและสังคม ท่านธรรมอธิการสำนึกในหน้าที่รับผิดชอบ่อชีวิต ตั้งแต่อายุเพิ่งได้สิบกว่าปี ด้วยความเป็นคนซื่อสัตย์ขยันขันแข็งในการทำงาน ภายในเวลาไม่กี่ปี ท่านก็เป็นที่ชื่นชมของผู้บังคับบัญชาจนได้ เลื่อนตำแหน่งงานขึ้นไปเรื่อย ๆ อายุเพียงสามสิบเศษก็ได้รับตำแหน่งผู้อำนวยการโรงงานทอผ้า ย้อมผ้า ต้าเต๋อหลง แห่งนครเทียนจิน ด้วยคุณธรรมและความปรีชาสามารถของท่าน กิจการของบริษัทจึงก้าวหน้าไปไม่หยุดยั้ง การงานก็ดำเนินไปอย่างราบรื่น ในขณะที่อนาคตของท่านกำลังรุ่งโรจน์สดใสอยู่นั้น เนื่องจากท่านมุมานะกับงานมากเกินไป ตรากตรำจนร่างกายทรุดโทรมจึงล้มป่วยลงด้วยวัณโรคปอดระยะที่สาม ซึ่งในสมัยนั้นไม่มีหมอและยาอะไรที่จะรักษาให้หายได้เลย ขณะที่ชีวิตตกอยู่ใกล้ความตายเพียงแค่เอื้อมมือนั้นเอง ท่านโชคดีที่ได้พบแพทย์แผนโบราณท่านหนึ่ง แซ่ซุน หมอซุน ได้ชวนให้ท่านธรรมอธิการไปขอรับวิถีธรรมที่พุทธสถาน ซึ่งเวลานั้นก็พอดีเป็นขณะที่พระพุทธะจี้กงประทับทรงประทานพระโอวาททรงพระอักษรให้ปรากฏบนกระบะทราย พระพุทธะจี้กงประทานข้อความตอนหนึ่งว่า "โรคภัยไข้เจ็บเล็ก ๆ น้อย ๆ แค่นี้ ไม่มีอะไรน่าวิตก หากเจ้าศรัทธาปฏิบัติงานธรรมแทนฟ้าเบื้องบน ต่อให้เจ็บหนักกว่านี้อีก เบื้องบนก็สามารถเรียกชีวิตเจ้ากลับคืนมาจากความตายได้" ข้อความนี้ดูเหมือนพระองค์จะเจาะจงพูดกับท่านธรรมอธิการโดยตรง ดังนั้น ท่านจึงอธิษฐานอยู่เบื้องหน้าพระองค์เงียบ ๆ ว่า "พระพุทธะจี้กงได้โปรดเมตตา หากพระองค์โปรดให้กระผมหายขาดจากวัณโรค และการอาเจียนเป็นโลหิตได้ กระผมจะวางมือจากกิจการทางโลก ติดตามบำเพ็ญธรรม ปฏิบัติงานธรรมกับพระธรรมาจารย์ เพื่อช่วยเวไนยสัตว์ทั้งหลาย" ทันทีที่ท่านธรรมอธิการตั้งจิตอธิษฐานจบลง พระอาจารย์จี้กงก็โปรดประทานอาหารที่ถวายอยู่บนโต๊ะหนึ่งคำให้ท่านธรรมอธิการรับประทาน ขณะที่กลืนอาหารคำนั้นลงสู่ลำคอ ความรู้สึกของท่านตื่นเต้นหวาดกลัวอย่างบอกไม่ถูก เพราะอาหารคำนั้นเย็นเฉียบ คนที่เป็นโรคปอดระยะที่สามแล้วสิ่งที่แสลงโรคที่สุดคืออาหารเย็น ๆ เหตุนี้ ท่านธรรมอธิการจึงหวั่นเกรงเป็นอย่างยิ่งว่าจะทำให้อาการป่วยทรุดหนักลง แต่ในที่สุดผลกลับเป็นตรงกันข้ามอย่างน่าประหลาด ต่อมาอีกไม่นาน ท่านธรรมอธิการก็มีโอกาสได้เข้าประชุมอบรมธรรมในฐานะญาติธรรมใหม่ ท่านเข้าไปนั่งเงียบ ๆ อยู่มุมห้องใหญ่ท้ายสุด ไม่เป็นที่สังเกตุของใคร ๆ และแล้ว พระอาจารย์จี้กงก็ประทับทรงในร่างทรงพรหมจารี พระองค์โปรดเรียกชื่อท่านธรรมอธิการจากหน้าห้องทั้ง ๆ ที่ไม่เห็นตัวแล้วถามว่า "ใครอยากจะช่วยพระอาจารย์สร้างโรงพยาบาลบ้าง" ท่านธรรมอธิการตอบรับทันที พระอาจารย์ก็โปรดว่า "ไม่ใช่โรงพยาบาลรักษาโรคทางกายนะ แต่เป็นโรงพยาบาลรักษาจิตใจของคน" ท่านธรรมอธิการก็รับปากอย่างแข็งขัน จากวันนั้นแล้ว ไม่นานต่อมา โรคปอดระยะที่สามของท่านธรรมอธิการ ก็หายขาดโดยไม่ต้องเยียวยาอะไรเลย ท่านรู้ดีว่าที่เป็นไปได้เช่นนี้ ล้วนเกิดแต่บุญญาภินิหาริย์ของพระอาจารย์จี้กง เพราะเหนือความสามารถที่จะชุบชีวิตใหม่ให้ได้ เพื่อให้เป็นไปตามคำมั่นสัญญาที่อธิษฐาน และก็เพื่อตอบแทนพระคุณของพระอาจารย์จี้กงที่ช่วยชีวิตไว้ ท่านจึงตัดสินใจเด็ดขาด ยอมสละชีวิตครอบครัวและกิจการงาน ทุ่มเทกายใจติดตามพระธรรมาจารย์ไปทั่วทุกหนทุกแห่งเพื่อปรกโปรดฉุดช่วยเวไนยสัตว์ทั้งหลาย จวบจนกระทั่งพระธรรมาจารย์คืนสู่เบื้องบนไปนับเป็นเวลาได้แปดปี
-
โอวาทท่านธรรมอธิการ
ประวัติย่อ "ท่านธรรมอธิการ"
ปีหมินกั๋วที่ 36 (พ.ศ. 2490) หลังจากพระธรรมาจารย์คืนสู่นิพพานแล้ว ท่านธรรมอธิการก็รับพระบัญชาจากพระธรรมจาริณีโดยตรงทันที ท่านติดตามพระธรรมจาริณีอย่างใกล้ชิด ช่วยแบ่งเบาภาระงานธรรมถวายแด่พระธรรมจาริณีอยู่ตลอดเวลา พระธรรมาจาริณีสูงส่งด้วยคุณธรรมปัญญา พระองค์มองเห็นการณ์ไกล รู้แจ้งก่อนหน้าว่าที่ไต้หวัน (ครั้งนั้นยังเป็นเกาะโฤโมซวร์อันรกร้าง เพิ่งพ้นจากการยึดครองของญี่ปุ่น) มีสาธุชนหยญิงชาย ที่เคยบำเพ็ญดีสั่งสมบุญไว้แต่ชาติบางก่อนมากมายอนุตรธรรมควรจะเฟื่องฟูที่นั่น ดังนั้น ในปีหมินกั๋วที่สามสิบเจ็ด จึงได้โปรดบัญชาท่านธรรมอธิการพร้อมด้วยนักธรรมผู้น้อยอีกหลายท่านในครั้งนั้น อาทิ ท่านรองธรรมอธิการ จางเฉียนเหยิน หลี่เฉียนเหยิน ฉีเฉียนเหยิน และเฉินเฉียนเหยินต้ากู เป็นต้น พร้อมกันเดินทางมบุกเบิกแพร่ธรรมที่ไต้หวัน แต่ถึงอย่างไรคนก็ไม่ใช่พระอิฐพระปูน ชั่วขณะที่ท่านธรรมอธิการจะก้าวเท้าพ้นจากบ้านเกิดเมืองนอน ภรรยาของท่านโศกเศร้าอาลัยเป็นยิ่งนัก เพราะการจากกันครั้งนั้นจะต้องข้ามน้ำข้ามทะเล เป็นการเดินทางไกลที่ลำบากยากเข็ญไปสู่ดินแดนต่างถิ่น ไม่รู้อนาคตว่าเมื่อไรจะได้กลับมาพบหน้ากันอีก ยิ่งกว่านั้นลูก ๆก็ยังเล็กอยู่ยังจะต้องให้การเลี้ยงดูฟูมฟัก ภาระหนักของครอบครัวเห็นทีจะต้องตกอยูบนบ่าทั้งสองของฮูหยินภรรยาของท่านแต่เพียงผู้เดียวเป็นแน่ เมื่อคิดถึงตรงนี้ฮูหยินก็นึกอยากจะทัดทานไม่ให้ท่านธรรมอธิการเดินทางจากไป แต่ท่านฮูหยินเป็นเบญจกัลยาณีที่มีวิจรรญาณสูง ท่านรู้ดีว่าการไปครั้งนี้ของท่านธรรมอธิการมีความหมายสูงส่งยิ่งนัก เพราะเพื่อฉุดช่วยผู้คนทั้งหลายซึ่งเป็นงานศักดิ์สิทธิ์อันยิ่งใหญ่จะยับยั้งท่านไว้ได้อย่างไร แม้จะสุดแสนอาลัยแต่ภายใต้หนทางเลือกทั้งสองคือความเห็นแก่ตัว หรือยอมสละผู้เป็นที่รักเพื่อประโยชน์สุขของผู้อื่นด้วยมโนธรรม ในที่สุดท่านก็ได้เสริมส่งให้ท่านธรรมอธิการได้บรรลุความมุ่งมั่นอันสูงส่งนั้นท่านธรรมอธิการจึงได้สพายสัมภาระขึ้นบ่า ก้าวสู่เส้นทางสายใหญ่แห่งชีวิตทันทีด้วยความเด็ดเดี่ยวหนักแน่น เป็นเส้นทางยาวไกลที่มุ่งไปสู่เกาะไต้หวันเพื่องานบุกเบิกแพร่ธรรมอันยิ่งใหญ่ ระยะแรกที่มาอยู่ไต้หวัน ชีวิตความเป็นอยู่ที่แสนจะแร้นแค้นทุลักทุเลนั้นไม่ต้องพูดถึง แต่ที่ซ้ำร้ายกว่านั้นก็คือ ปีหมินกั๋วที่สามสิบแปดหลังจากที่จากบ้านมาหนึ่งปี จีนแผ่นดินใหญ่ก็ตกอยู่ภายใต้ความยึดครองของคอมมิวนิสต์ จากนั้น ข่าวคราวทุกอย่างทางบ้านเกิดเมืองนอนก็ขาดสะบั้นลงเงินทองที่ต้องอาศัยให้ทางบ้านส่งมาให้ดำรงชีวิจก็ถูกตัดขาด ความเป็นอยู่ของนักธรรมทั้งหลายในไต้หวันตกอยู่ในความลำบากทันที เพื่อความอยู่รอดของทุกคนและเพื่องานแพร่ธรรมที่จะต้องมีค่าใช้จ่ายต่างๆ ท่านธรรมอธิการจึงจำเป็นต้องนำนักธรรมในความดูแลของท่านทั้งหมดโยกย้ายจากทางเหนือลงไปสู่ภาคกลางของเกาะไต้หวันซึ่งเป็นที่ด้อยความเจริญยิ่งไปกว่าอีก เพราะค่าครองชีพต่ำมาก
-
โอวาทท่านธรรมอธิการ
ประวัติย่อ "ท่านธรรมอธิการ"
ท่านเริ่มต้นหาทางยังชีพด้วยการทำเส้นหมี่และเต้าเจี๊ยวพริกออกขาย กลางวันก็ทำเส้นหมี่ กลางคืนก็ออกไปแพร่ธรรม ความลำบากยากแค้นในช่วงนั้นเกินกว่าคนนอกที่จะเข้าใจได้ วันแล้ววันเล่าที่ท่านธรรมอธิการต้องตรากตรำทำงานหนักเลี้ยงดูนักธรรมผู้น้อยที่อยู่ในความรับผิดชอบ ในที่สุดก็ล้มป่วยลงด้วยโรคเยื่อหุ้มปอดอักเสบอย่างแรง และอาการก็อยู่ในขั้นอันตราย เมื่อท่านธรรมอธิการมีอาการน่าวิตกยิ่งขึ้นทุกวันเช่นนั้น นักธรรมในความปกครองของท่านทุกคนก็มองเห็นสภาพของวันวิปโยคข้างหน้าที่ทุกคนจะต้องเผชิญกับลมกรรโชกและน้ำตาของสายฝน เมื่อถึงวันที่ท่านธรรมอธิการได้อุทิศตนมุ่งมั่นในงานธรรมแต่ยังมิทันได้บรรลุปณิธานก็ต้องมาเป็นเสียเช่นนี้ อีกทั้งคิดว่า หากสิ้นท่านเสียแล้ว ชีวิตความเป็นอยู่ของพวกตนก็เหมือนเสียศูนย์ วันข้างหน้าจะมีใครให้พึ่งพา ความเศร้าโศกโทมนัสประดังกันขึ้นมา นักธรรมทั้งหมด่างพร้อมกันคุกเข่าลงหน้าเตียงท่านธรรมอธิการแล้วร้องไห้โฮใหญ่ ชะรอยจะเป็นความโศกเศร้าที่เกิดจากแรงศรัทธาจริงใจของท่านนักธรรมทั้งหลาย (ซึ่งบัดนี้ท่านเหล่านั้นคือ ท่านรองธรรมอธิการเฉียนเหยินทั้งหลาย) ส่งผลไปถึงเบื้องบน และอาจเป็นด้วยเบื้องบนทรงโปรดเมตตาต่อชีวิตทั้งหลายในไต้หวัน จึงทำให้เกิดปรากฏการณ์ประหลาดขึ้น อาการเจ็บป่วยของท่านธรรมอธิการค่อย ๆ ทุเลาลงท่ามกลางเสียงสะอื้นไห้ของนักธรรมทั้งหลายนั่นเอง นับเป็นบุญวาสนาของสาธุชนชาวไต้หวันและชาวโลกโดยแท้ ท่านธรรมอธิการยังคงทำการค้าต่อไปอีก ทั้ง ๆ ที่เพิ่งหายป่วย จนกระทั่งอายุมากแล้ว ญาติธรรมทั้งหลายก็เฝ้าขอร้องให้ท่านเลิกตรากตรำสังขารเสียที ในที่สุด ท่านจึงยอมรับปากว่าจะเลิกทำงานหนักอย่างเสียมิได้ และทำหน้าที่เป็นผู้นำการบำเพ็ญปฏิบัติธรรมแต่เพียงอย่างเดียว หลายสิบปีที่ผ่านมา ท่านนำนักธรรมรุ่นหลังทั้งหลายฟันฝ่าอุปสรรคต่าง ๆ นานัปการ ค่อย ๆ ดำเนินไปทีละขั้นค่อย ๆ บุกเบิกเผยแพร่งานธรรมออกไป ท่านเป็นป้อมปราการประจำใจของทุกคนเสมอมาและชั่วชีวิต จริยวัตรของท่านงามสง่าดังขุนเขา ความอดทน ความขยันหมั่นเพียร ความใจกว้าง รู้ปล่อยวาง รู้อภัย สิ่งเหล่านี้ จะเป็นที่เคารพเทิดทูนของชาวโลกชั่วกาลนาน ด้วยวัยสูงอายุของท่านจนบัดนี้ ท่านยังอุตส่าห์เดินทางไปทั่วเกาะไต้หวันเพื่อเสริมส่งให้ญาติธรรมทั้งหลาย ให้ได้บรรลุธรรม อีกทั้งเดินทางไปดูแลงานที่ญี่ปุ่น ที่ประเทศต่าง ๆ แถบเอเซียอาคเนย์ ครั้งหนึ่งท่านได้ไปเผยแพร่ธรรมที่สหรัฐอเมริกาถึงสี่สิบวัน โดยไม่ยอมให้มีการต้อนรับให้สมฐานะ สำหรับประเทศไทยท่านได้มาโปรดแล้วสามครั้ง ครั้งล่าสุดนี้ก็ด้วยการกราบเรียนเชิญของนักธรรมผู้ใหญ่ในประเทศไทย สภาสังคมสงเคราะห์พุทธสมาคมแห่งประเทศไทย ฯลฯ โดยสังขารของผู้สูงอายุวัยเก้าสิบ ฝีเท้าของท่านแต่ละก้าวที่ได้โปรดเหยียบย่างไปสู่พุทธสถานทุกแห่ง ในที่นั้น จะมีผู้ปฏิบัติธรรมนับร้อยนับพันรอเฝ้ารับพระโองการอยู่แน่นขนัด ท่านได้โปรดแสดงธรรมทุกแห่ง ทุกขณะที่โอกาสอำนวยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนห่วงใย ย้ำเตือน บางวันแต่เช้าจรดค่ำ น้ำเสียงของท่านก็ยังคงกังวาลสดใส ไม่มีวี่แววของความเหนื่อยหน่ายเลย ขอเพียงให้นักธรรมทั้งหลายได้เกิดความเข้าใจ ได้เกิดศรัทธาปฏิบัติธรรมเพื่อความหลุดพ้นโดยแท้จริงเท่านั้น ท่านได้นำเอาความชุ่มฉ่ำ ไปสู่ต้นธรรมอ่อน ๆ ทุกแห่งในโลก จนเกิดความเจริญเติบโตกันไปทั่ว ปกติเวลาว่างจากงานธรรม ท่านยังคงศึกษาคัมภีร์ต่าง ๆ เป็นนิจ ท่านทุ่มเทกำลังเท่าที่มีอยู่ทั้งหมดให้กับการแนะนำและแสดงธรรมแก่นักธรรมรุ่นหลังเช่นเดียวกับคำกล่าวที่สดุดีปรมาจารย์ขงจื้อว่า "ศึกษาไม่รู้หน่าย อบรมไม่รู้เบื่อ มิรู้ความชราที่มาถึง" ญาติธรรมที่เคยสดับโอวาทสนทนาธรรมจากท่านธรรมอธิการจะมีความรู้สึกเหมือนได้ชโลมด้วยน้ำทิพย์เหมือนอบอุ่นระรื่นเย็น อยู่ท่ามกลางลมเรื่อย ๆ ในฤดูใบไม้ผลิ แม้ว่าท่านจะชอบชี้ข้อบกพร่องของญาติธรรมให้เห็นตรง ๆ พร้อมกับแนะนำหนทางแก้ไขนักธรรมรุ่นหลังทั้งหลาย ก็พร้อมเสมอที่จะเปิดใจไว้รอรับคำสอนของท่าน ถือเสมือนคำบัญญัติล้ำค่่าอันพึงปฏิบัติและประกาศต่อไปให้รู้ทั่วกัน
-
โอวาทท่านธรรมอธิการ
ประวัติย่อ "ท่านธรรมอธิการ"
ในชีวิตประจำวันของท่านทุกอริยาบถ จะเป็นวาจา ท่าที นั่งเดิน ทุกสิ่งทุกอย่างจะปรากฏให้เห็นอริยภาพอันแฝงไว้ด้วยเมตตากรุณาธรรม มีสัมมาสติอยู่ในมัชฌิมาปฏิปทาทุกขณะจิต ท่านสนใจและห่วงใยนักธรรมรุ่นหลังอย่างละเอียดรอบคอบ ไม่ว่าจะเป็นชาย หญิง เด็ก คนชรา คนที่ฉลาดน้อย ฉลาดมาก ยากจนหรือร่ำรวย ในสายตาของท่านทุกคนเท่าเทียมกัน ท่านจะให้การดูแลด้วยความตั้งใจ ด้วยดวงจิตของพระโพธิสัตว์ ด้วยจิตใจอันเปี่ยมไปด้วยความเมตตาสงสาร จริยวัตรสูงด้วยคุณธรรมที่ท่านปรกแผ่ไปทั่วมากมาย จนมิอาจกล่าวได้ครบถ้วน เช่น ความเมตตากรุณาที่ท่านได้โปรดช่วยเด็กเร่ร่อนที่ไร้ญาติขาดที่พึ่งพิง วันที่ ๑๘ ธันวาคม ปีหมินกั๋วที่หกสิบแปด ท่านได้จัดตั้งสถานสงเคราะห์เด็กขึ้นที่อำเภออวิ๋นหลิน ตำบลซีหลัว เพื่อเลี้ยงดูให้การศึกษาอย่างสมบูรณ์แบบแก่เยาวชน มีเด็กในความดูแลมากมาย ซึ่งความรักความเมตตาที่มีต่อเด็กกำพร้าผู้ยากไร้ประการนี้ เป็นที่ชื่นชอบและสนับสนุนของวงการทั่วไป ท่านธรรมอธิการยังคำนึงต่อไปถึงคนชราที่ยากไร้ไม่มีผู้ดูแล อยากให้คนชราเหล่านั้นได้รับความอบอุ่นของครอบครัวอีกครั้งหนึ่งอันเสมือนยาอายุวัฒนะ จึงได้จัดตั้งกองทุนสงเคราะห์ และคณะกรรมการขึ้นชุดหนึ่ง เพื่อดำเนินงาน "บ้านทางสว่างแห่งความรักและเมตตา" (กวงหมิงเหยินไอ้จือเจีย) ญาติธรมทั้งหมดได้กราบเรียนเชิญท่านธรรมอธิการโปรดดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการโครงการและท่านรองธรรมอธิการทั้งหลายเป็นกรรมการอำนวยการ โครงการนี้ได้รับการสนับสนุนจากญาติธรรมทั้งหลายอย่างกว้างขวาง ช่วยทั้งทุนทรัพย์ และแรงงาน เงินกองทุน ที่รวบรวมได้ในขั้นต้นเป็นจำนวนหนึ่งร้อยยี่สิบกว่าล้านเหรียญ หลังจากได้สำรวจที่ทางพิจารณาจนเป็นที่เห็นชอบแล้ว จึงตกลงซื้อที่บริเวณไหล่เขาเหนือทะเลสาบ หลี่อวี๋ถัน ในอำเภอหนันโถว ตำบลผูหลี่ เป็นเนื้อที่กว้างนับพันไร่ ในเดือนพฤษจิกายน ปีหมินกั๋วที่เจ็ดสิบสองก็ได้เริ่มเบิกชัยเปิดหน้าดินแล้วลงมือสร้างตามโครงการซึ่งก็ได้แล้วเสร็จในปลายปีหมินกั๋วที่เจ็ดสิบห้า (พ.ศ. ๒๕๒๙) โครงการนี้เป็นงานใหญ่ยิ่งที่ไม่เคยมีมาก่อนเลย ซึ่งจะเป็นปูชนียสถานอันศักดิ์สิทธิ์ของวงการอนุตตรธรรมสืบไป ด้วยวัยเก้าสิบปีที่ยังมีสติปัญญา จิตใจแข้มแข็ง ฝีเท้าก้าวเดินอย่างมั่นคงคล่องแคล่วดังเหินเมฆ ท่านได้รับสมญานามจากนักธรรมรุ่นหลังว่า "พระพุทธาเดินดิน" นี่คือคำยืนยันที่มิอาจลบล้างได้ สำหรับปฏิปทาอันสูงส่ง งดงามบริสุทธิ์ในการบำเพ็ญของท่าน และกล่อมเกลาผู้อื่นมาแล้วกว่าครึ่งศตวรรษในชีวิตของท่าน ท่านธรรมอธิการคือสัญลักษณ์ของแสงประทีปแห่งชีวิต แม่พิมพ์ของวงการธรรม เราซึ่งเป็นนักธรรมรุ่นหลังทั้งนั้นจะพร้อมกันสำนึกในธรรมคติที่ว่า "พึงเป็นประหนึ่งคุณความดีนับร้อยประการของน้ำใสที่ยังประโยชน์แก่สรรพสิ่งทั้งหลาย" ขอให้เราได้แพร่ธรรมเพื่อชูช่วยมนุษย์โลก ด้วยศรัทธาเต็มกำลัง
-
โอวาทท่านธรรมอธิการ
เมื่อโปรดเยือนประเทศไทยครั้งที่ 2
ด้วยพระมหากรุณาธิคุณแห่งเบื้องบน และคุณธรรมบารมีแห่งพระอาจารย์ วันนี้เราทั้งหลายจึงได้มาร่วมชุมนุมกัน เมื่อปีก่อนมาครั้งหนึ่ง ได้อาศัยสถานบูชาบรรพชนของตระกูลหวังชุมนุมพบปะกันทุกคน วันนี้ก็ได้ขอใช้สถานที่ของสมาคมจงหัวเป็นที่ชุมนุมพบปะกับพวกเราอีก จงอย่าดูแคลนวิถีอนุตตรธรรมที่เบื้องบนโปรดสามโลกในครั้งนี้ ซึ่งแต่โบราณกาลมายังไม่เคยมี ช่วงเวลานี้จึงสูงค่ายิ่งนัก ทุกคนมาพบกันจึงให้เข้าใจความหมายของธรรมะ ให้ศึกษาธรรมะ เราได้รับวิถีธรรมกันแล้วทุกคน รู้หรือไม่ว่าอะไรเรียกว่าได้รับวิถีธรรม เราได้รับรู้ ได้เปิดจุดนี้แหละเรียกว่าได้รับวิถีธรรม ในที่นี้ทุกคนล้วนได้ชื่อว่าเป็นพุทธบริกร เป็นอาจารย์บรรยายธรรม เป็นผู้รับผิดชอบพุทธสถาน บ้างก็เป็นอาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรม ที่เรียกกันนี้ล้วนเป็นนามธรรม พระอาจารย์เคยกล่าวว่า "ธรรมอธิการหรืออาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรมก็ตกนรกได้เช่นกัน" พระอาจารย์ของเราก็เคยมีธรรมอธิการ แต่ทำไมธรรมอธิการของพระอาจารย์จึงไม่บรรลุธรรม จะต้องสร้างกุศลแล้วจึงจะมีธรรมสถานภาพเราเกิดมาทันโอกาส ที่เบื้องบนทรงโปรดสามโลกและได้รับรู้จุดนี้เป็นเบื้องต้น แต่โบราณมาคนบำเพ็ญธรรมมีมาก แต่บรรลุธรรมมีน้อย ดังคำกล่าวที่ว่า "เจนจบพระไตรปิฏกหมื่นพันคัมภีร์สาส์น มิเทียบได้กับพบพระวิสุทธิอาจารย์ประทานเปิดจุด แต่โบราณมาก็มีผู้บำเพ็ญ แต่หาจุดนี้ไม่พบ ฉะนั้นเราจึงต้องศึกษา จุดนี้เรียกว่า "อนุตตรธรรม เรียกว่า ธรรมญาณ เรียกว่า ธาตุแท้" ฉะนั้น การบำเพ็ญธรรมจึงต้องนำเอาจิต ซึ่งเป็นธาตุแท้ที่ได้จากฟ้าเบื้องบนออกมาบำเพ็ญ เมื่อก่อนเราหาไม่พบว่าตรงไหนเป็นจุดนึกคิด นักวิทยาศาสตร์ว่าสมองทั้งหมดเป็นตัวนึกคิด ความคิดนั้นออกมาจากจุดนี้ คัมภีร์ในแต่ละศาสนาก็ยืนยันจุดนี้ พระวจนะของพระพุทธเจ้าทั้งหลายแต่ครั้งอดีตกาลเป็นคำเทษนา เป็นคำสอน สุดท้ายก็จะถ่ายทอดวิถีอนุตตรธรรมให้ท่านผู้หนึ่งเป็นผู้รับช่วงสืบสาย พระศากยพุทธเจ้าถ่ายทอดสู่พระอัครสาวกคือพระมหากัสสปะ ถือเป็นธรรมบูรพาจารย์องค์ที่หนึ่งแห่งชมพูทวีปและได้ถ่ายทอดต่อมาแต่ละสมัยจนถึงพระโพธิธรรมเป็นพระธรรมาจารย์องค์ที่ยี่สิบแปด ซึ่งภายหลังได้โปรดจาริกสู้ประเทศจีน และได้ถ่ายทอดวิถีธรรม "ชี้ตรงให้เห็นจิตแท้ บรรลุรู้แจ้งพุทธภาวะแห่งตน" วันนี้ที่เราได้รับจุดนี้ก็คือ "ชี้ตรงให้เห็นจิตแท้ รู้แจ้งในพุทธภาวะแห่งตน เราได้ค้นพบธาตุแท้ของเราแล้ว" ศาสดาจารย์ขงจื้อเดินทางไปตามบ้านเมืองต่าง ๆ โปรดอบรมศืษย์ได้สามพันคน ถ่ายทอดวิถีธรรมแด่ศิษย์เอกที่ชื่อว่า "เอี๋ยนหุย" แต่เอี๋ยนหุย อายุสั้น สุดท้ายจึงถ่ายทอดแก่ศิษย์คนทั่วไปคือ เจิงจื่อ เจิงจื่อเป็นผู้สืบทอดต่อไปและต่อไปแต่ละสมัยเป็นประวัติพงศาธรรมอันสืบเนื่องต่อมาจนถึงปัจจุบันนับได้เวลาสองพันห้าร้อยกว่าปีแล้ว
-
โอวาทท่านธรรมอธิการ
เมื่อโปรดเยือนประเทศไทยครั้งที่ 2
สมัยนี้ แม่ชี และพระสงฆ์ มีมากมายทั่วไป คนเรียนหนังสือก็มีมาก แต่ไม่มีใครบรรลุเป็นปราชญ์เป็นอริยะสักคน จีนมีคำกล่าวแต่ครั้งโบราณคำหนึ่งว่า "สามพันปีจะตกผลครั้งหนึ่ง" บัดนี้ก้ได้เวลาสามพันปีแล้วตามกำหนดกาล เบื้องบนจึงได้เปิดการสอบคัดเลือกขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง คือ พระอริยเจ้าสามพันหกร้อยตำแหน่ง และ ปราชญ์ อีกสี่หมื่นแปดพันตำแหน่ง เป็นจำนวนตำแหน่งที่เบื้องบนทรงกำหนดคัดเลือกจากทั่วโลก ไม่ใช่เฉพาะประเทศไทย พวกเราได้รับวิถีธรรมแล้วและได้ตั้งปณิธานแล้ว ได้รับเปิดจุดนี้ ได้ถวายชื่อลงทะเบียน ณ อาณาจักรเบื้องบนแล้ว ในการร่วมประชุมอบรมธรรม เราก็ได้ตั้งศรัทธาปณิธานแล้ว เราทำหน้าที่รับผิดชอบแล้ว ทุกคนทำงานให้กับเบื้องบนได้ กษัตริย์ผู้ปกครองประเทศนั้น ๆ พระองค์ปกครองได้เฉพาะประชาราษฏร์ของพระองค์เอง ไม่อาจปกครองประชาชนชาติอื่น ๆ ได้ แต่งานที่เราทำกันเป็นงานใหญ่ที่เบื้องบนทรงโปรดสามโลก เราจึงทำหน้าที่โปรดสัตว์แทนเบื้องบนได้ทั่วโลก ภารกิจนี้จึงเหนือกว่าปกครองประเทศอีกหลายเท่านัก เราแพร่ธรรมแทนเบื้องบน โปรดสัตว์แทนเบื้องบนทั่วไป ไม่ว่าใครที่ได้รับวิถีธรรมแล้วล้วนพูดเช่นนี้ได้ นี่คืองานของพุทธะ พระอาจารย์กล่าวว่า "งานที่เราทำคืองานของพุทธะ" เราลองคิดดูซิว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ทรงปฏิบัติกิจใด พระอวโลกิเตศวรพระโพธิสัตว์กวนอิมปฏิบัติกิจใด และศาสตราจารย์ขงจื้อก็เช่นกันท่านปฏิบัติกิจใด พระองค์ท่านเหล่านั้นล้วนทำหน้าที่โปรดสัตว์ ฉะนั้น เมื่อดับขันธ์คืนสู่ปรินิพพานเป็นอมตะแล้ว จึงมีผู้สร้างวัดไว้เป็นที่บูชา เคารพเทิดทูนพระองค์ว่าเป็นพระอริยเจ้า แต่ชีและสงฆ์ส่วนใหญ่ในสมัยนี้ ดำรงอยู่ด้วยปัจจัยที่ผู้อื่นถวายสวดมนต์ภาวนาทำสมาธิปฏิบัติเฉพาะตนเราลองมองย้อนไปในอดีตดูประวัติของพระอริยเจ้าทั้งนั้นซิ ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสวดมนต์ ภาวนาอยู่นานเท่าไรหรือเปล่าเลย พระองค์ไม่มีบทสวดคัมภีร์ใด ๆ เลยและไม่มีวัดวาอารามให้ไปกราบไหว้บูชาพระ พระอวโลกิเตศวรพระโพธิสัตว์กวนอิมก็มิเคยได้บวชเป็นชี พระองค์ล้วนเป็นคนอย่างเราท่าน เพียงแต่พระองค์มองการณ์ไกล มองไปถึงหลังจากสิ้นอายุขัยและเดินทางไปที่ไหน เรามีธาตุแท้ตัวจริงคือธรรมญาณ กายสังขารเป็นเพียงสิ่งสมมุติ พระองค์ทั้งนั้นไม่หวังลาภสักการะ เพราะทรงเห็นแล้วว่าสัตว์โลกทั้งหลายมีความทุกข์กันเลยเกิน วิ่งเต้นตรากตรำคร่ำเครียดก็เพื่อลาภสักการะ เพื่อเลี้ยงดูลูก ๆ เพื่อปากเพื่อท้อง เมื่อลูกโตแล้วก็แยกจากไป ตนเองก็แก่ลงแล้วก็ตายไปพร้อมกับเวรกรรมทั้งหลายไปสู่ยมโลก ภรรยาที่สุดแสนจะรักเราก้ไม่ตามเราไปด้วย ลูกก็ไม่มีใครตามเราไปด้วย เงินทองก็เอาติดตัวไปไม่ได้ ธาตุแท้ของตนก็มืดมัว หลงลืมเสียสิ้น จึงต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่เช่นนี้มาหกหมื่นปีแล้ว
-
โอวาทท่านธรรมอธิการ
เมื่อโปรดเยือนประเทศไทยครั้งที่ 2
ด้วยบรรยากาศของเวรกรรมแห่งมนุษย์โลกและชะตากรรมกำหนด สรรพสิ่งทั้งหลายในโลกย่อมประสบเภทภัย วิทยาศาสตร์ยิ่งก้าวหน้าโลกมนุษย์ก็ยิ่งวุ่นวายระเบิดนิวเคลียร์พร้อมที่จะระเบิดในไม่ช้านี้ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายทรงเตือนไว้นานแล้ว และบัดนี้นักวิทยาศาสร์ก็ยอมรับแล้ว หนังสือพิมพ์ก็ยอมเปิดเผยข่าวนี้ ทั่วโลกจะไม่มีใครรอดพ้นจาก กัมมันตภาพรังสีของระเบิดนิวเคลียร์ไปได้เลยซึ่งสอดคล้องกับพระดำรัสของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายที่ทรงเตือนไว้ "วาระสุดท้ายแห่งกัลป์นี้สรรพสิ่งทั้งหลายจะประสบภัยพิบัติ" เบื้องบนไม่อาจดูดายได้ พระองค์อยากช่วยคนดีให้พ้นทะเลทุกข์คืนสู่เบื้องบน ดังนั้นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายจึงได้แบ่งพระภาคลงมาเกิดกายเพื่อค้นหาพุทธบุตรเดิมกลับคืนไป พระธรรมาจารย์และพระธรรมจาริณีของเรา เป็นคนธรรมดาเหมือนอย่างเราท่าน ปีหมินกั๋วที่ 19 (พ.ศ.2473) ทั้งสองพระองค์น้อมรับพระธรรมโองการพร้อมกัน ตอนนั้น คนไม่เชื่อเพราะในประวัติพงศาธรรมทุกยุคทุกสมัย ไม่เคยมีรับพระธรรมโองการพร้อมกันสององค์ ปีหมินกั๋วที่ยี่สิบเอ็ด คือห้าปีก่อนที่ข้าพเจ้าจะขอรับวิถีธรรม สมัยนั้น ที่นครเทียนจิน มีพุทธสถานอยู่สิบกว่าแห่ง ที่นครปักกิ่ง มีหกแห่ง ที่อื่น ๆ ที่ยังไม่มี ผู้หญิงก็รับวิถีธรรมกันน้อย สิ่งศักดิ์สิทธิ์ตรัสไว้ก่อนแล้วว่าต่อไปอนุตตรธรรมจะแพร่หลายไปทั่วโลก พระอนุตตรธรรมเจ้าทรงบัญชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายให้ถ่ายทอดวิถีธรรมลงสู่ชาวบ้าน ล้วนแต่คนสามัญธรรมดาทั้งนั้นที่ได้รับวิถีธรรม เพราะคนระดับนี้รู้ดีว่าชีวิตเป็นทุกข์ ฉะนั้น จึงพร้อมที่จะบำเพ็ญ เมื่อจัดตั้งพุทธสถานผู้คนก็ไปกันโดยง่าย แต่ถ้าเป็นผู้ว่าการมณฑลจัดตั้งพุทธสถาน ชาวบ้านใครจะกล้าไป ยิ่งกว่านั้นผู้ว่าการมณฑล มณฑ,หนึ่งก็มีเพียงคนเดียว เช่นนี้วิถีธรรมจะแพร่หลายได้อย่างไร ฉะนั้น สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายแบ่งพระภาคลงมาเกิดกายในโลกมนุษย์ครั้งนี้ล้วนเกิดเป็นชาวบ้านธรรมดา เบื้องบนไม่เหลือพระอรหันต์ไว้เลย ฟากฟ้าตะวันตกก็ไม่เหลือพระโพธิสัตว์ไว้ ทั้งยังลงมาเกิดเป็นเพศหญิงเสียส่วนใหญ่ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ตรัสว่า "เพศหญิงสร้างบาปน้อยกว่า" ในโลกนี้อาชญากรรมใหญ่ ๆ ความชั่วร้ายขั้นอุกฤษฏ์ ปล้น ฆ่า แย่ง ชิง ข่มขืน ฉุดคร่า ส่วนมากเกิดจากน้ำมือของผู้ชาย ฉะนั้นจะเห็นได้ว่าพระธรรมของโองการเบื้องบนไม่ใช่เรื่องเท็จ หากพระธรรมโองการไม่สัมฤทธิ์จริงใครเลยจะยอมรับยอมเชื่อ ธรรมอธิการและผู้อาวุโสทางธรรมที่อยู่ไต้หวันทุกคนเป็นชาวบ้านธรรมดา ไม่มีอิทธิพล ไม่มีทรัพย์สมบัติ ไม่มีความรู้ แต่วิถีธรรมก็เผยแพร่ไปได้ทั่วโลก วันนี้ทุกคนเกิดมาทันโอกาสนี้ ได้รับจุดนี้เป็นเบื้องต้น จุดที่เรียกว่า "รัตนที่ประมาณค่ามิได้" ประมาณค่ามิได้ก็คือ ไม่อาจตีราคาเป็นตัวเงิน รัตนที่ทำให้พ้นจากเวียนว่ายตายเกิด ซื้อได้ด้วยเงินหรือไม่ ชีวิตของเราซื้อไม่ได้ด้วยเงิน ประธานาธิบดีมีเงินทอง มีอำนาจอิทธิพล คิดจะทำอะไรก็ได้ แต่ไม่อาจซื้อชีวิตของตัวเองไว้ได้ ไม่อาจซื้อเลือดเนื้อร่างกายตัวเองไว้ได้ พรุ่งนี้จะยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ ตัวเองยังกำหนดไม่ได้เลย ทำไมจุดนี้จึงเรียกว่าธาตุแท้สัจธรรม เพราะสัจธรรมคือชีวิตของเรา จิตวิญญาณของเรา ผู้ควบคุมชีวิตกายสังขารของเราคือธรรมญาณ
-
โอวาทท่านธรรมอธิการ
เมื่อโปรดเยือนประเทศไทยครั้งที่ 2
พระอริยเจ้าทรงตรัสไว้เช่นนี้ ในคัมภีร์บันทึกไว้เช่นกัน เมื่อก่อนอ่านพบแต่ไม่เข้าใจ จนกระทั่งได้รับวิถีธรรมแล้ว จึงได้รู้ว่าจิตวิญญาณของเราทั้งหลายอุบัติลงมาเกิดด้วยพระธรรมโองการจากเบื้องบน บัดนี้ได้เวลาหกหมื่นปีแล้ว สรรพสิ่งทั้งหลายจะถึงกาลวินาศด้วยมหันตภัย เบื้องบนได้โปรดทั่วไปครั้งใหญ่ กำหนดคัดเลือกพระอริยะสามพันหกร้อย ปราชญ์อีกสี่หมื่นแปดพัน นี่เป็นจำนวนจากทั่วโลก วันนี้ทุกคนมีความมุ่งมั่นอันยิ่งใหญ่ อุทิศตัวเพื่องานธรรม ทุกคนเป็นผู้มีคุณสมบัติจะได้รับเลือก ทั้งหมดขึ้นอยู่กับบุญกุศลที่บำเพ็ญ ไม่ต่างอะไรกับการเข้าสอบมหาวิทยาลัย ในจำนวนผู้สอบเป็นแสนคน คัดเลือกไว้เพียงสามหมื่นคน อีกเจ็ดหมื่นคนสอบเข้าไม่ได้ ไม่ใช่สอบเข้าไม่ได้แต่เพราะรับเพียงสามหมื่นคน ต่อไปถึงงานชุมนุมใหญ่พระอริยะ (หลงฮว๋า) เป็นโอกาสที่เบื้องบนจะปูนบำเหน็จอริยฐานะมรรคผลตามผลบุญกุศลที่สร้างกันมา บุญกุศลสูงก็จะได้อริยฐานะสูง ไม่มีบุญกุศลก็สอบไม่ผ่าน เมื่อสิ้นพระธรรมาจารย์ และพระธรรมจาริณีแล้วผู้ที่ใกล้ชิดติดตามปฏิบัติ บำเพ็ญธรรมมาตั้งแต่ครั้งนั้น ทั้งที่นครเทียนจิน ปักกิ่ง นานกิง เซี่ยงไฮ้ และจี้หนาน บัดนี้ คงเหลือแต่ข้าพเจ้าเพียงคนเดียว ซึ่งปีนี้ก้อายุแปดสิบเจ็ดปีแล้ว (พ.ศ. 2530) คนอื่น ๆ ในครั้งนั้นต่างกลับคืนเบื้องบนไปสิ้น กายสังขารนี้จะจบสิ้นวันไหนก็ไม่รู้ ฉะนั้น จึงอย่ามองข้ามความสำคัญวันนี้ เมื่อวันนี้ผ่านไปแล้ว อยากจะหาคนเดิมเหล่านี้มาชุมนุมกันอีกนั้นก็เป็นไปไม่ได้ ทุกคนเป็นศิษย์พระอาจารย์เดียวกัน เป็นนักธรรมพี่ นักธรรมน้อง ไม่ว่าหญิงชาย คนแก่หรือเด็ก ไม่ว่ารู้หนังสือหรือไม่รู้หนังสือ พุทธจิตนั้นเป็นเช่นเดียวกัน พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทรงตรัสไว้ว่า เวไนยสัตว์ล้วนเป็นพุทธภาวะ ฉะนั้น วันนี้ได้รับจุดนี้แล้วจึงต้องศึกษาไตรรัตน์ จุดนี้เรียกว่าคัมภีร์ที่แท้ไม่มีลายลักษณ์อักษร แท้คือไม่ใช่สมมุติ คัมภีร์คือสัจธรรมที่ไม่เปลี่ยนแปลงเช่น พระพุทธาทรงเปรียบว่าเป็นวัชรคัมภีร์ วัชรคือธาตุของความแกร่งกล้า ในเนื้อทองสวยใส วาวงาม เป็นสัญลักษณ์แห่งพุทธจิต ในโลกนี้เรายังค้นไม่พบเลยว่า มีสิ่งใดที่คงสภาพอยู่ไม่เปลี่ยนแปลง แม้โลกที่เราอยุ่นี้ก็ต้องถึงกาลแตกดับ ในที่สุด ฉะนั้น เมื่อเราได้พบเจ้าตัวจริงผู้ควบคุมชีวิตของเราแล้ว เราจึงรู้ว่าการที่เราเสพสุขกัน กินอาหารดี ๆ เข้าไปทุกวันนี้เปล่าประโยชน์ เพราะเราไม่มีศิษย์ขาดในการกำหนดชีวิตของเราเอง เบื้องบนให้เรามีชีวิตอยู่จึงได้อยู่ วันนี้เราได้รู้ตัวชีวิตจริงของเราแล้ว รู้ตัวว่ากายเนื้อคือตัวสมมุติ ขอยืมตัวนี้บำเพ็ญพุทธจิตตัวจริง อาศัยสรรพสิ่งทั้งหลายเป็นเหตุปัจจัยช่วยให้สร้างกุศลจิต สร้างคุณธรรมความดี และสร้างสัมมาวาจาทั้งสามประการอันเป็นอมตะให้คงไว้ นอกจากสามประการนี้แล้ว สิ่งอื่นไม่มีอะไรคงอยู่ยั่งยืนเลย วันนี้อาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรมทั้งหลาย ผู้ช่วยธรรมอธิการ ผุ้อาวุโสทั้งหลาย ได้ถือโอกาสนี้ตั้งปณิธาน สำเร็จปณิธาน สำเร็จปณิธานก็คือการสร้างบุญกุศล การแพร่ธรรมแทนเบื้องบน ถ้าหากผู้แนะนำรับรองไม่บอกเรา เราจะได้รับวิถีธรรมอย่างไร เราคงไม่มีโอกาสได้รู้ญาณทวารประตูที่เกิดและที่ตายนี้ หนังสือมากมายได้ยืนยันไว้ ศาสนาพุทธพูดถึง "ช่องกุญแจที่ไร้ร่องรอย" ศาสนาคริสต์บอกว่า "ไม้กางเขน" ศาสนาเต๋าบอกว่า "เทพเจ้าแห่งหุบเขา" ศาสนาปราชญ์บอกว่า "แดนวิสุทธิ์" เมื่อเกิดภายในโลกโลกีย์ใจของความเป็นคนจะมีการตอบโต้ด้วยสามัญสำนึก เช่น เธอดีต่อฉัน ฉันจึงดีต่อเธอ เธอไม่ดีต่อฉัน ฉันจะไม่ดีต่อเธอ นี่คือความเห็นแก่ตัว ความเอนเอียงในความคิด จิตใจของเราไม่ตรง ฉะนั้นการบำเพ็ญธรรมคือบำเพ็ญใจ บำเพ็ญให้ใจมันตรง
-
โอวาทท่านธรรมอธิการ
เมื่อโปรดเยือนประเทศไทยครั้งที่ 2
พระอริยเจ้าจึงตรัสไว้ว่า "ใจตรงบำเพ็ญกาย หรือ บำเพ็ญกายด้วยใจตรง" เช่นนี้ คนจึงมีคุณสมบัติของความเป็นคน เราอยู่ในโลกนี้อย่าเอาของสมมุติมาถือว่าเป็นจริง พระศากยพุทธเจ้าเป็นถึงเจ้าชาย พระองค์ไม่ยอมเป็นกษัตริย์ ศาสดาจารย์ขงจื้อเป็นถึงขุนนางใหญ่ ตำแหน่งเทียบได้กับรฐมนตรียุติธรรมของเมืองหลู่ ท่านไม่เป็นรัฐมนตรีเพราะท่านรู้สัจธรรมชีวิต ท่านรับราชการพร้อมกับประกาศธรรม แต่เจ้าเมืองไม่ยอมฟังดังนั้น ท่านจึงจาริกไปตามเมืองต่าง ๆ แพร่ธรรมกล่อมเกลาลูกศิษย์ได้ถึงสามพันคน วันนี้เราค้นพบเจ้าตัวจริงของเราแล้ว เราได้รู้แล้ว แต่จิตเดิมแท้ตัวนี้ยังไม่สว่างเปรียบเช่นกระจกเงาบานหนึ่ง เมื่อแรกทีเดียวได้พบเรายังไม่รู้ว่ามันคือกระจกเงา มีคนบอกเราว่าในกระจกเงาบานนั้นมีตัวเราอยู่ แต่ทำไมเราส่องไม่เห็นล่ะ จะต้องเช็ดให้ใสเสียก่อน เมื่อได้มาแล้วยังไม่ใส เราจึงต้องบำเพ็ญ พระอริยเจ้าตรัสว่า "ใจตรงบำเพ็ญกาย" (บำเพ็ญกายด้วยใจตรง) ฉันทาเจ็ด กิเลสหก จะต้องกำจัดให้สิ้น มันไม่ให้ผลดีอะไรแก่เราเลย เมื่อเรากำจัดมันออกไปได้หมดแล้ว จิตเดิมแท้ของเราก็จะใสสว่างขึ้นได้เอง กลับคืนสู่สภาพธาตุแท้ ธาตุแท้เป็นอย่างไร เรามองเห็นหรือเปล่า ไม่เห็น เคยเห็นเด็กเล็ก ๆ 2 -3 ขวบไหมพ่อแม่ยิ่งตีก็ยิ่งเข้ามากอด ขอเล่นมีค่าเพียงไรเล่นอยู่สักพักหนึ่งก็ไม่เอาแล้ว เด็กไม่โกหกหลอกลวง เขารักพ่อแม่ ฉะนั้น พระอริยเจ้าจึงตรัสว่า "กลับคืนสู่จิตไร้เดียงสา" (จิตบริสุทธิ์) อย่างนี้เราเรียกว่า จิตที่มีคุณธรรมเป็นจิตดั้งเดิมที่มีมาแต่กำเนิด แต่บัดนี้คุณธรรมของจิตไม่มีแล้ว จึงเกิดความชิงชัง ความกลัดกลุ้ม ความเคียดแค้น ข้าพเจ้าเองก็เช่นกัน เมื่อก่อนโน้นเป็นโรคปอด พอได้รับวิถีธรรมแล้ว พระอาจารย์ตรัสว่า "เจ้ามีทรัพย์สมบัติเจ้ามีโทษ ทั้งหมดเป็นของสมมุติ เมื่อคอมมิวนิสต์ขึ้นมาแล้ว คนที่มีเงินทองทั้งหมดจะประสบภัยพิบัติ" สิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่โกหกใคร แต่บางคนแย้งว่า เงินของเราเองไม่ได้ไปแย่งชิงหรือขโมยใครมา ทำไมจึงมีโทษ เจ้าไม่เชื่อก็ลองดูซิ เจ้ามีเงินเจ้าเป็นทุกข์อยู่ทุกวัน ฉะนั้น อาจารย์ตรัสว่า "สิ่งสมมุติทั้งหลายทิ้งมันไปเสีย เพียงแต่เจ้าจะทำงานเพื่อเบื้องบน โรคเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างนี้ แม้ตายแล้วก็จะให้เจ้าฟื้นคืนชีพใหม่..." ปีนี้ ข้าพเจ้าอายุแปดสิบปีแล้ว พบกันวันนี้เวลามีค่านัก พบกันครั้งหนึ่ง โอกาสที่จะได้พบกันอีกก็น้อยลงไปอีกครั้งหนึ่ง แม้กับพ่อแม่ของเราก็เช่นกัน สิ่งนี้ ใช้เงินซื้อหามาไม่ได้เลย ได้รับไรรัตน์แล้วเวลาปกติก็ต้องศึกษา เช่น ใบคำขอรับวิถีธรรม คำตั้งปณิธานของอาจารย์ผู้แนะนำรับรอง คำตั้งปณิธานของผู้ขอรับวิถีธรรม การบำเพ็ญก็มีการบ้านให้ทำคือ ทุกวันจะต้องกราบขอขมาสำนึกผิด เรามีความผิดไม่ได้ ฉะนั้น คำขอขมาสำนึกผิดจะต้องเข้าใจ ยังมีพุทธระเบียบพิธีกรรมต่าง ๆ การถวายธูป ถวายผลาหาร อาราธนา เหล่านี้จะต้องเรียน ธรรมะนั้นรายรอบครอบคลุมฟ้าดิน ในธรรมจักรวาลอันไพศาล พระอนุตตรธรรมมารดาทรงควบคุมทั้งหมด ในส่วนเล็กคือตัวเรา จิตเดิมแท้ของตัวเราควบคุมตัวของเราเอง จุดจุดนี้ครอบคลุมฟ้าดิน ธรรมญาณที่สว่างใสจุดนี้มาจากเบื้องบน จิตเดิมแท้ก็คือ ธาตุแท้รากฐานของเรา ทุกศาสนาล้วนมีคุณประเสริฐ ล้วนเป็นคำสอนกล่อมเกลาจิตใจแต่ไม่ถ่ายทอดวิถีธรรม วิถีธรรมไม่ใช่คำพูด เราได้รับวิถีธรรมคือค้นพบรากฐานของเราแล้ว แต่ที่พูด ๆ กันนี้คือพระธรรมคำสอนและจะต้องมีวิถีธรรม มีรากฐานเบื้องต้นจนถึงที่สุดด้วย
-
โอวาทท่านธรรมอธิการ
เมื่อโปรดเยือนประเทศไทยครั้งที่ 2
เมื่อตอนข้าพเจ้าอายุยี่สิบสองปี ก้เคยอรรถาพระธรรมคัมภีร์ของพุทธศาสนา ข้าพเจ้าเคยถามท่านศาสดาจารย์หลายท่านว่า "ธาตุแท้ของตัวเราอยู่ตรงไหน" ท่านเหล่านั้นตอบว่า อยู่ทั่วสรรพางค์กาย ท่านว่า "ฉันหยิกตรงนี้ ตรงนี้ก็เจ็บ หยิกตรงโน้น ตรงโน้นก็เจ็บ" คำตอบนี้คิด ๆ ดูแล้วก็มีเหตุผล แต่หลังจากรับวิถีธรรมแล้ว จึงรู้ว่าธาตุแท้ตัวจริงของเราต่างหากที่เจ็บ ไม่เชื่อก็ลองดู ฉะนั้น ถ้าขาดจุดนี้เราก็ไม่อาจบรรลุธรรม ในวัชรคัมภีร์กล่าวถึงคำว่า "ที่สุดแห่งอนัตตา" (คือความไม่มีตัวตน) ในธรรมบทที่สิบเจ็ด พระศากยะพุทธะเจ้าทรงตรัสไว้ว่า "พระทีปังกรพุทธเจ้า ทรงประทานสัญลักษณ์ธรรมแด่พระศากยพุทธ" เราทั้งหลายได้รับวิถีธรรมก็ได้รับภายใต้การประทานสัญลักษณ์ธรรมของพระทีปังกรพุทธเจ้า หากแต่เราได้มาโดยง่ายจึงดูเบากันง่าย วันนี้ จะเตือนพวกเราอีกทีถึงการจุดเบิกญาณทวารจุดนี้ว่า ในทวารอันวิเศษนี้มีสิ่งวิเศษแยบยล ซึ่งเหนือกว่าคำกล่าวอ้างและนึกคิดคำนึงใด ๆทั้งสิ้น ซึ่งจะต้องเข้าถึงรู้แจ้งด้วยตนเอง เช่นเดียวกับอาหาร จะต้องลองลิ้มเองจึงจะรู้ว่ารสชาติเป็นอย่างไร หากไม่ลองก็ไม่มีวันรู้เลย ในพระโอวาทของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ก็ตรัสไว้ว่า เราจะต้องเข้าถึง จะต้องรู้แจ้ง จะต้องศึกษา เวลาที่ได้รับวิถีธรรมที่อาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรมใช้มือซ้ายวาดไปมานั้น ความหมายก็คือ "สะท้อนแสงส่องตน" หรือ ย้อนมองส่องตน" ให้ตัวเองย้อนกลับมาพิจารณาตัวเองให้เข้าถึงรู้แจ้งว่าพุทธะอยู่ตรงนี้ ข้างนอกไม่มี พระอริยเจ้าเคยตรัสว่า "ธรรมะไม่ไกลไปจากตัวตน" นอกกายไม่มีธรรมะ ฉะนั้น ธรรมะก็คือ ชีวิตของเราให้ใจใสสว่างเห็นจิตสว่างคือเข้าใจในจุดนี้ พวกเธอเข้าใจหรือยัง เข้าใจไหม ยังไม่เข้าใจ โลภ โกรธ หลง ยังไม่พ้นไป ในคัมภีร์มหาสัตถ์ (ต้าเสวีย) พูดถึง หมิงหมิงเต๋อ คือ รู้แจ้งในคุณธรรมอันสว่างใสแต่เดิมมา เช่นเดียวกับจิตเดิมแท้ของเด็กที่ตรงไปตรงมา ตอนนี้เรายังไม่สว่าง ยังไม่รู้ ฉะนั้นจึงต้องบำเพ็ญ บำเพ็ญเพื่อซ่อมแซมจิตใจให้มันตรง ทำอะไรก็ให้ทำตามหลักธรรมของฟ้าเบื้องบนและมโนธรรม (กัลยาณจิต) ทำด้วยธาตุแท้ไม่เคลือบแฝงจอมปลอมคือจิตเดิมแท้จรงไปตรงมา เหมือนอะไรนะ ในหนังสือมีอยู่ เหมือนจิตของฟ้าเบื้องบน เหมือนฟ้าดินที่ให้กำเนิดสรรพสิ่ง ให้เราได้กินได้ใช้ ไม่เลือกที่รักมักที่ชัง
ให้คนโน้นใช้ไม่ให้คนนี้ใช้ สว่างใสกว้างใหญ่ไพศาล เที่่ยงธรรม ไม่ลำเอียง ถ้าทั่วโลกเป็นเช่นนี้จะไม่มีใครบลากันเลย ฉะนั้น จุดนี้เรียกว่า "จิตสว่าง" เมื่อแก้นิสัยอารมณ์เลว ๆ ทิ้งไปแล้ว และทำตามหลักฟ้าเบื้องบนได้ ก้เรียกว่า "เห็นธาตุแท้แห่งตน" จิตเดิมแท้ก็เรียกว่าธรรมะ ทำอะไรก็ไม่ขัดกับจิตของฟ้าเบื้องบนและไม่ยึดถืออัตตาตัวตน แบ่งเขาแบ่งเรา ก็เรียกว่าธรรมะ ครเรายึดถือรูปลักษณ์อัตตาตัวตน เป็นสภาวะของปัจฉิมกาล ภายหลังก็เกิดกายสังขารแล้ว เกิดท่ามกลางฟ้าดิน ทำให้มีจิตใจตอบสนองและปฏิกิริยาตอบโต้ จึงต้องใช้จิตที่มีคุณธรรม ที่เรียกว่าพุทธจิตมากล่อมเกลา คือจิตที่พระพุทธตรัสไว้ว่าเป็นมหาเมตตากรุณา ปฏิบัติได้เดี๋ยวนี้ก็คือพระพุทธาที่มีชีวิตอยู่เดี๋ยวนี้ ศาสดาจารย์ขงจื้อ รู้แจ้งในคุณธรรมอันสว่างใสและให้คุณนั้นแก่ชนทั้งหลายเรียกว่ามหาเมตตาคุณ ช่วยชนทั้งหลายให้พ้นทุกข์ เรียกว่ามหากรุณาคุณ พระอริยะโสดาทั้งหลาย ล้วนบำเพ็ญจนสำเร็จแต่ครั้งยังดำรงชีวิตอยู่ในโลกนี้ ฉะนั้น จะต้องเข้าใจ "ธรรมะ" เข้าใจ"เจ้าตัว ตัวจริง" จะขึ้นสวรรค์จะลงนรก ทั้งสองทางนี้อยู่ที่ตัวเองจะเดินไป
-
โอวาทท่านธรรมอธิการ
เมื่อโปรดเยือนประเทศไทยครั้งที่ 2
จุดประสงค์ของการชุมนุมธรรมก็เพื่อให้เราเข้าใจหนทางนี้ เมื่อเข้าใจแล้วก็จะต้องเดินไปเอง คนอื่นไม่อาจจะเดินแทนเราได้ สวรรค์นรกตัวเองเป็นคนสร้างเองทั้งนั้น เราช่วยชีวิตคนอยู่ทุกวัน ทำงานอย่างพุทธะทุกวัน เราก็คือพระพุทธะ ถ้าไม่ทำก็ไม่ใช่ ที่สำคัญที่สุดคือ เราค้นพบรากฐานเดิมนี้แล้ว ก็จะต้องเข้าถึง จะต้องรู้แจ้งว่า ข้างนอกไม่มีธรรมะ สัจจคาถาห้าคำ เมื่อก่อนนี้ก้ไม่มี เมื่อเริ่มต้นมีดินฟ้าใหม่ ๆ คนยังไม่มีความรู้ ฉะนั้น พระอริยฟู่ซีจึงเริ่มเบิกฟ้าด้วยหนึ่งขีดขวาง ตามด้วยขีดสั้นยาวประกอบสลับกัน เป็นสัญญลักษณ์ของ ฟ้า ดิน น้ำ ลม ไฟ ฯลฯ เรียกว่าโป๊ยก่วย ดวงสัจธรรมของเรามาจากนิพพาน ขณะที่อยู่ในครรภ์ มารดานั้นยังไม่มีความนึกคิด พอถือกำเนิดมีรูปมีร่างมีอินมีหยาง (มืดสว่าง - ขาวดำ ฯลฯ) เข้ากับบรรยากาศโลกโลกีย์ จึงเริ่มมีจิตใจตอบสนอง เมื่อตอนเป็นเด็กทารกยังไม่มีความรู้ความเข้าใจ ยังเป็นสภาวะที่รวมตัวอยู่ แต่เมื่อเติบโตขึ้น นัยน์ตาได้เห็น หูได้ฟัง รู้ว่าตัวตนนี้ คือ ตัวกู รู้รูป รู้สัญญาตามอารมณ์ กำหนดแล้วก็ยึดมั่นถือว่าเป็นจริง นี่คือพุทธะในชั้นสมมุติเทพ ฉะนั้น ในชั้นอนุตตรคือสัจธรรม ชั้นเทวโลกคือบรรยายกาศธรรม ชั้นมนุษย์โลกคือรูปธรรม ธาตุแท้ของคนเราจุดนี้ก็คือสัจธรรมชั้นอนุตตร พระคาถาห้าคำที่ปราศจากรูปลักษณ์อักษรคือ บรรยายกาศธรรม ลัญจกรก็คือรูปธรรม เป็นเครื่องหมายรับรองของผู้บำเพ็ญธรรม ฉะนั้น แปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์จึงไม่พ้นจิตเดิม แต่ก่อนครั้งธรรมกาลยุคแดง ลัญจกร ที่พระศากยะพุทธเจ้าถ่ายทอดนั้น เป็นรหัสยุคกลางสัญญลักษณ์ดอกบัว บัดนี้เข้าสู่ธรรมกาลยุคขาว เป็นรหัสยุคสุดท้ายสัญญลักษณ์รากบัว สัญญลักษณ์รหัสนั้น ๆ เปลี่ยนแปลงไปแต่ละยุค มีแต่สัจอนุตตรธรรมเท่านั้นที่ไม่เปลี่ยน ที่เราได้รับกันวันนี้ก็คือ วิถีอนุตตรธรรม เป็นเอกสัจธรรม ซึ่งอยู่เหนือความศักดิ์สิทธิ์ทั้งมวล แต่จะต้องปฏิบัติธรรมจริงด้วยศรัทธาจึงจะประจักษ์จริงได้ พระบรมธรรมาจารย์จิน-
กง เคยโปรดว่า "แม้ได้รับวิถีธรรมไปแล้ว ไตรรัตน์ก็ไม่อาจช่วยให้เขาพ้นเวียนว่ายตายเกิดได้ มีแต่ยึดถือปฏิบัติไตรรัตน์ด้วยศรัทธามั่นคงเท่านั้น จึงจะปรากฏบุญญาธิการได้มากที่สุด" ฉะนั้น หากได้รับวิถีธรรมแล้วไม่ตั้งมั่นศรัทธาบำเพ็ญธรรม พอประสบทุกข์ภัยจึงกราบวิงวอนให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองรักษา อย่างนี้มีประโยชน์ไหม ท่านจะคุ้มครองไหม เอาอะไรไปวิงวอนก็ไม่ได้ ถ้าหากวิงวอนได้พระท่านก็ "รับสินบน" น่ะซิ ที่เราถวายผลาหารกัน ก็กินกันเอง เบื้องบนท่านไม่ได้เสวย เบื้องบนไม่ต้องการอะไร ต้องการแต่จิตใจของเรา เราทุกคนมีจิตใจดีงามก็คือลูกศิษย์ที่ดีของพระอาจารย์จี้กง ไม่ใฝ่ใจให้ดีงาม ไม่สร้างคุณธรรมก็ป่วยการ หนทางตรงก็ไม่เดิน ฉะนั้น จะต้องเข้าใจวิถีธรรม เราจะต้องเดินไปเอง สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยเราไม่ได้ เราบำเพ็ญธรรมก็อย่าบำเพ็ญโดยเห็นแก่หน้าคน หนทางบำเพ็ญธรรม ไม่มีความสัมพันธ์ส่วนตัวมาเกี่ยวข้องด้วย จะต้องอาศัยบุญกุศลจริง ๆ ทั้งหมด หวังว่าพวกเราทุกคนจะได้สำเร็จมรรคผล
-
โอวาทท่านธรรมอธิการ
เมื่อโปรดเยือนประเทศไทยครั้งที่ 2
ไม่มีใครเรียกให้เรามารับวิถีธรรมแล้วประพฤติชั่ว มีแต่ให้เราทำดีเท่านั้น แต่เราจะต้องเดินไปด้วยตัวเอง บำเพ็ญด้วยตัวเอง บำเพ็ญธรรมก็คือบำเพ็ญใจของเรา การตั้งปณิธาน บรรลุปณิธาน ปฏิบัติงานธรรม เราพยายามให้เต็มความสามารถ เสียสละตัวเอง คือให้คนอื่นทั้งหมดได้ดี เธอเคารพยกย่องเขา เขาก็เคารพยกย่องเธอ เธอเคารพพ่อแม่ของพวกเธอหรือเปล่า พ่อแม่เลี้ยงดูเรามายี่สิบสามสิบปี หุงหาอาหารซักเสื้อผ้าให้เรา มีอะไรดีก็เอาไว้ให้เรากิน เรากินเหลือพ่อแม่จึงได้กิน แล้วเราซักเสื้อผ้าให้พ่อแม่กี่ครั้ง หุงหาอาหารให้พ่อแม่กินกี่ครั้ง หนี้ที่เราค้างชำระพ่อแม่ยังจ่ายไม่หมด ฉะนั้นเราจะต้องสำนึกของขมาทุกวัน บาปกรรมยังติดตัวอยู่จะกลับคืนสู่เบื้องบนได้อย่างไร สิ่งศักดิ์สิทธิ์ตรัสไว้ว่า "ต่อไปถึงปีกลียุค คนชั่วคนดีจะถูกแบ่งแยกออกจากกัน" มีแต่คนบำเพ็ญธรรมเท่านั้นที่สามารถรอดพ้นปีกลียุคได้ หลังจากรอดพ้นไปแล้วยังมีภารกิจ เราจะต้องทำหน้าที่ปรับปรุงโลก สร้างมนุษย์ขึ้นมาใหม่ คนชั่วร้ายได้ตายไปหมดสิ้นแล้ว คนดีก็เหลืออยู่ไม่มาก เมื่อโลกนี้ดีแล้ว พระศรีอาริย์บรมธรรมาจารย์ก็จะถึงกาลอุบัติ พระองค์จะรวมศาสนาทั้งหมดให้เป็นหนึ่งเดียว ทั่วโลกจะรวมเป็นเอกภาพ เหตุใดในยุคนี้ ศาสนาขงจื้อจึงต้องทำหน้าที่เก็บงานขั้นสุดท้ายให้สมบูรณ์รู้ไหม เหตุเพราะว่าศาสนาต่าง ๆ มักจะขัดแย้งกัน ศาสนาทำหน้าที่ช่วยชีวิตชาวโลก ตัวเองกลับพิพาทกัน ดังนั้น ศาสดาของศาสนาใหญ่ ๆ ทั้งห้า จึงกราบสนองต่อพระอนุตตรธรรมเจ้า พระองค์จึงทรงโปรดเลือกศาสนาขงจื้อขึ้นรวมศาสนาทั้งหมดไว้ด้วยกัน ศาสนาขงจื้อสอนให้คนบำเพ็ญธรรม โดยเริ่มจากมนษย์ธรรม บำเพ็ญใจให้ตรง สำรวมกายให้ถูกต้องเป็นเบื้องต้น จากนั้นโลกก็จะเกิดสันติสุข นักวิชาการทั่วโลกที่ศึกษาปรัชญาชีวิตล้วนเชิญเอาขงจื้อไปทั้งนั้น โดยเหตุที่ว่าปรัชญาอื่น ๆ มักแฝงไว้ด้วยลัทธิวัตถุนิยม นักปรัชญาเอกชาวอเมริกัน จอห์น ดิวอี้ มีชื่อเสียงอยู่ในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง แต่บัดนี้แนวความคิดปรัชญาของเขาถูกล้มล้างเสียแล้วและกลับยกย่องขงจื้อ เม่งจื้อ เหลาจื้อ เป็นต้นสกุลแห่งปราชญ์ คำพูดนี้ชาวต่างชาติเขาพูดกันเอง หากจะใฝ่หาสันติภาพ ชั่วกาลนานในโลกนี้ วิทยาศาสตร์โน้มนำไม่ได้ จะต้องใช้ทฤษฏีว่าด้วยธรรมะสายตรง ธรรมะกับศานารวมกันเป็นหนึ่ง คือหนทางธรรมที่รวมทุกศาสนาไว้ให้เป็นหนึ่งเดียว โลกจึงจะเกิดสันติสุขได้ นี่เป็นคำกล่าวของอดีตประธานาธิบดีทรูแมนแห่งสกรัฐอเมริกา ธรรมะเป็นหัวใจของปรัชญา ฉะนั้น จึงกล่าวว่าเหนือกว่ารูปลักษณ์ทั้งหลายคือ "ธรรมะ" ที่คนมองไม่เห็น คนจะเห็นแต่ว่าวิทยาศาสตร์ดี วิทยาศาสตร์เลิศล้ำ แต่วิทยาศาตร์ก็สร้างต้นหญ้าจริง ๆ ขึ้นมาไม่ได้สักต้น หรือแม้มดจริง ๆ สักตัว สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นได้ด้วยธรรมชาติ ฉะนั้นวิถีธรรมจึงเป็นสิ่งวิเศษสุด ที่จะไม่ถ่ายทอดสู่กันง่าย ๆ นับแต่โบราณกาลมา เพราะนั่นคือรากฐานเบื้องต้นของสรรพสิ่งทั้งหลาย และต้นกำเนิดก็คือบ้านเดิมของเรา ขอเพียงแต่ให้เราได้ปฏิบัติบำเพ็ญให้เกิดกุศลผลบุญ เราก็จะคืนสู่บ้านเดิมโดยมิใช่ด้วยการภาวนาวิงวอน ยิ่งกว่านั้นพ่อแม่ของเรา ก็จะพร้อมกันได้รับบารมีธรรมไปด้วยและเมื่อรอจนถึงวันนั้น พระอาจารย์ก็จะนำศิษย์ทั้งหลายพร้อมกันขึ้นกราบเฝ้าพระอนุตตรธรรมมารดา นั่นแหละคือวาระแห่งปิติสุข บรรพบุรุษเหนือขึ้นไปจากเราอีกเจ็ดชั้นชั่วโคตรก็จะได้รับการปรกโปรด ลูกหลานเหลนก็เช่นกัน สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายล้วนบำเพ็ญสำเร็จได้ไปจากคน ธสตุแท้ของจิตนั้นเป็นเช่นเดียวกันยืนยันได้ว่าพระธรรมโองการ และพระวิสุทธิอาจารย์ได้โปรดจริง หากวิถีธรรมนี้เป็นเรื่องหลอกลวง ธรรมะจะแพร่หลายไปทั่วโลกได้อย่างไร บัดนี้ วิถีธรรมได้ปรากฏให้เห็นแจ้งแล้ว เมื่อปรากฏให้เห็นแจ้งแล้ว พระธรรมาจารย์กงฉังปลอมก้จะเกิดขึ้น ยิ่งกว่านี้ยังจะมีเวทมนต์คาถาไสยศาตร์ของขลัง มีพระธรรมาจารย์องค์ที่สามแห่งยุคขาว พระธรรมาจารย์สมัยที่ 19 พระศรีอาริย์ปลอม ฯลฯ แห่กันออกมาหลอกลวงโลก เบื้องบนจะเริ่มทดสอบเป็นการใหญ่ ใครบำเพ็ญรักษาธรรมะของตนไว้ไม่มั่นคงก็จะคล้อยตามไป ชื่อในบัญชีเบื้องบนก็จะถูกลบไป ฉะนั้น จะต้องรักษาธรรมะไว้ให้มั่น รักษาไว้ให้อยู่ มุ่งมั่นในปณิธานที่ตั้งไว้ นำทางรุ่นหลังกว่าไว้ให้ดี ที่สุดจะได้พร้อมกันคืนกลับไปกราบถวายดวงธรรมเบื้องบน เราลองคิดดูซิว่าที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ตรัสไว้นั้นถูกต้องหรือไม่ ถ้าถูกต้องดีงามเราก็ทำตามไปไม่ต้องสงสัยแคลงใจ ตัวเองจะต้องเป็นผู้ช่วยชีวิตของตัวเอง แม้เราจะได้เห็นพระพักตร์ของพระอาจารย์ก็ช่วยอะไรไม่ได้ พระอนุตตรธรรมมารดาเคยตรัสไว้ว่า "แม้เจ้าจะเป็นเทพพรหมชั้นสูงมาเกิดหากชาตินี้ไม่ปฏิบัติบำเพ็ญก็กลับคืนไปไม่ได้" ในสมัยขงจื้อ ศาสนาทั้งสามอุบัติขึ้นในโลกนี้ด้วยภารกิจ "สอบเสริมธรรมจักรวาล" โดยเทศนาสั่งสอนให้คนรู้คุณธรรมซ่อมแซมจิตใจที่เลวร้ายของคน เช่นเดียวกับการซ่อมแซมบ้าน บัดนี้บ้านอยู่ในสภาพเสียหายหมดแล้ว ซ่อมแซมไม่ได้แล้ว พญามารรื้อถอนทำลายบ้านของเราแล้ว แต่ท่านมาสร้างบ้านใหม่ให้เราไม่เป็น เมื่อสร้างไม่เป็น บัดนี้จึงตกเป็นหน้าที่ของเราที่จะต้องสร้าง จะต้องค้ดเลือกปราชญ์ปัญญาชน แทนเบื้องบน รับวิถีธรรมบำเพ็ญกันทั้งครอบครัว รู้คุณาปการของธรรมะแล้วจะต้องช่วยคนให้หลุดพ้นจากทะเลทุกข์ คนในบ้านใกล้ชิดกับเราที่สุดที่จะต้องช่วยเขา ถ้าเขาไม่ยอมรับแสดงว่า เรายังศรัทธาไม่จริง คุกเข่าลงไปโขกศรีษะกับพื้นซิ ถ้ายังไม่ยอมไปรับเราจะไม่ยอมลุกขึ้น คุกเข่าสามวันสามคืนมีหรือเขาจะไม่รับ หกหมื่นปีก็เพิ่งจะมีครั้งนี้ครั้งเดียวที่จะช่วยชีวิตคนเราให้พ้นจากทะเลทุกข์ ขอเพียงแต่ให้เรามีศรัทธาจริงใจ มุ่งอยู่ที่พระอนุตตรธรรมมารดา ดับขันธ์ไปแล้วเราก็จะไปสู่พระอนุตตรธรรมมารดาอย่างแน่นอน
วันที่ 11 มิ.ย. 2530
-
โอวาทท่านธรรมอธิการ
ธรรมะ (เต๋า) กับศาสนา
โดย ท่านธรมอธิการหันเหล่าเฉียนเหยิน
เต๋า คือความเป็นสัจธรรมหรือหลักธรรมซึ่งเป็นความเที่ยงแท้ของธรรมชาติในเบื้องต้น ศาสนา คือพระธรรมคำสอนสำหรับอบรมกล่อมเกลาผู้คนให้ทำดีในภายหลัง เต๋า เปรียบเสมือนตัวตนอันเป็นหลัก หรือรากฐาน ศาสนา เปรียบเหมือนพฤติกรรมอันเป็นงาน หรือผล เมื่อมีตัวตนมีหลักมีรากฐาน ควบคู่กันไปกับพฤติกรรมอันเป็น "งาน" และเป็นผลโดยไม่ขัดขืนต่อกันแล้ว ธรรมะกับศาสนาจึงจะยังประโยชน์สุขแก่มนุษย์ชาติได้อย่างสมบูรณ์และแท้จริง มีเต๋า (ธรรมะ) แต่ไม่มีศาสนา เท่ากับมี หลัก แต่ไม่มี งาน เช่นนี้ จะไม่อาจนำทางชีวิตไปในทางที่เหมาะที่ควรได้ อุปมา เช่น บ้านเมืองใดหากมีแต่ประมุข แต่ขาดราษฏรจะเป็นบ้านเมืองไม่ได้ มีศาสนาแต่ไม่มีเต๋า (ธรรมะ) เท่ากับมี งาน แต่ไม่มี หลัก เหมือนมีราษฏรแต่ขาดผู้นำเป็นจุดยืนมั่นคง บ้านเมืองก็จะสับสนวุ่นวายและตกต่ำ จะเป็นบ้านเมืองไม่ได้อีกเช่นกัน ฉะนั้นจึงกล่าวว่า ฟ้ามีหลักสัจธรรมของฟ้า ดินมีหลักสัจธรรมของดิน สรรพสิ่งมีหลักสัจธรรมของสรรพสิ่ง คนมีหลักสัจธรรม (ธาตุแท้ธรรมญาณ) ของคน หากคนไม่รู้หลักสัจธรรมแห่งตนจะทำตนหลงใหลตกต่ำ ทำให้สังคมบ้านเมืองยุ่งเหยิงวุ่นวาย อยากให้สังคงและบ้านเมืองเกิดประโยชน์สุขทั่วกัน จำเป็นจะต้องวางรากฐานของการศึกษา โดยเริ่มจากเด็กเล็กเป็นเบื้องต้น อบรมฟูมฟักเขาด้วยหลักธรรมและคุณความดี ปลูกฝังให้เขารู้คุณสมบัติของความเป็นคน ให้เขาถ่องแท้ในหลักของมนุษยธรรม โลกจะเกิดสันติสุขได้เอง แม้คนจะเป็นสัตว์ประเสริฐ แต่หากเกิดมาโดยไม่ได้รับการอบรมสั่งสอน ก็จะไม่ต่างอะไรกับนกกาเดรัจฉาน จึงกล่าวว่ามีศาสนาแต่ไม่มีเต๋า จะเหมือนเรือที่ขาดเข็มชี้ทิศ จะไม่รู้จุดหมาย ธรรมะหรือเต๋าจึงเป็นหลัก เป็นศูนย์กลางเป็นแกนของชีวิตทั้งมวล ศุภวาระนี้เบื้องบนได้ปรกโปรดครั้งใหญ่ทั่วไป ชี้ให้เห็นจุดหมายอันเป็นรากฐานของคน ให้ทุกคนปฏิบัติตนตามหลักสัจธรรม เมื่อเป็น
เช่นนี้ทั่วโลกจึงจะเกิดสันติสุข เบื้องบนได้โปรดประทานวิถีธรรม โปรดบัญชาพระวิสุทธิอาจารย์ลงมากอบกู้โลกเรา ด้วยการโปรดสัตว์ครั้งใหญ่ทั่วไป ชี้ให้เห็น
จิตเดิมแท้ของตนเป็นเบื้องต้นให้รู้แจ้งในรากฐานความเป็นมาแห่งตน เที่ยงตรงแล้วบำเพ็ญตน ที่สำคัญที่สุดคือกล่อมเกลาและส่งเสริมความประพฤติชอบฝึกฝนสำรวมตนอยู่ในจารีตอันดีงาม สุจริตขาวสะอาด ยุติธรรมไม่มีความเคลือบแคลง ปลูกฝังบำเพ็ญตนให้มีคุณธรรม มีความประพฤติสูงส่ง จึงจะเป็นแบบอย่างที่ดี และเป็นที่เคารพยกย่องของคนภายหลังได้ ทุกคนรับพระภาระเบื้องบนไว้กับตน การจะเป็นผู้นำคนรุ่นหลัง หากบกพร่องในคุณธรรมความประพฤติผู้คนจะไม่ยอมรับนับถือ แม้จะชื่อว่าเป็นผู้ปฏิบัติบำเพ็ญ ก็ยากจะประสบความเจริญได้ การบำเพ็ญธรรมคือบำเพ็ญจิต อันเป็นหลักสัจธรรมแห่งตน การบำเพ็ญงานธรรมเป็นพฤติกรรมเป็นงานเป็นผล หากตนไม่เที่ยงตรงจะช่วยให้ผู้อื่นตรงได้หรือ มีตัวตนแต่ไม่เกิดพฤติกรรม มีหลักแต่ไม่เกิดงาน มีรากฐานแต่ไม่เกิดผล จะไม่อาจฉุดช่วยสงเคราะห์ชาวโลกได้ จะเกิดความดีเฉพาะตน ไม่มีบุญกุศลหนุนนำ ไม่อาจสำเร็จธรรม ไม่อาจบรรลุมรรคผลได้ มีแต่งานไม่มีหลัก จะเหมือนกับดอกไม้
ได้แต่บานแล้วร่วงโรยไปไม่เกิดผล ฉะนั้น การปฏิบัติบำเพ็ญ จึงต้องมีตัวตน มีหลัก มีรากฐาน ควบคู่กับพฤติกรรม งานและผลจึงจะสำเร็จได้
-
โอวาทท่านธรรมอธิการ
ท่านเหล่าเฉียนเหยินได้โปรดให้โอวาทต่อญาติธรรมชาวไทย
ณ พุทธบรรพตฝูซัน
วันที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2532
ปีหมินกั๋วที่ 37 (พ.ศ. 2491) เราเดินทางจากนครเทียนจิน มาสู่ไต้หวันด้วยกันสี่สิบคน มาเพื่อที่จะทำงานธรรมะ บัดนี้ คนที่มีอายุมากกว่าข้าพเจ้าสองคนได้กลับคืนเบื้องบไปแล้ว คนที่อายุน้อยกว่าข้าพเจ้าสองคนก็กลับคืนเบื้องบนไปแล้ว ขณะนี้ คงเหลือแต่รองธรรมอธิการ ฉีเฉียนเหยิน ที่อยู่พุทธตำหนัก "เทียนเอินกง" ที่ไทเป อีกท่านหนึ่งหนึ่งรองธรรมอธิการ จางเฉียนเหยิน หรือ เฉาไท่ไท่ (ท่านได้ถึงกาลดับขันธ์หลังจากนี้ไม่นาน) อีกท่านหนึ่งอยู่ที่เมืองผิงตง แล้วก็ข้าพเจ้าและรองธรรมอธิการเฉินเฉียนเหยิน (เฉินต้ากู) ห้าคนเท่านั้นที่ยังมีชีวิตอยู่ พวกเราไม่ใช่ติดตามคณะรัฐบาลมาสู่ไต้หวัน เราไม่ได้มาเพื่อลาถยศ
แต่เรามาทำงานธรรมะ ผลงานธรรมะที่เกิดขึ้นได้ทั้งหมดนี้ไม่ใช่กำลังความสามารถของคน คนไม่มีกำลังความสามารถถึงเพียงนี้ได้ พวกเราเป็นคนธรรมดา ๆ
แต่เผยแผ่วิถีธรรมนี้ไปได้ทั่วเป็นพระโองการจากเบื้องบน เราไม่รู้จะว่าอย่างไร คณะญาติธรรมไทยที่มาไต้หวันกันคราวนี้ ทุกคนมีหน้าที่ต่อประเทศชาติบ้านเมือง วิถีธรรมนี้ถ้าจะให้คนระดับสูงเป็นผู้ขยายงานจะไม่แพร่หลาย ดังเช่นที่ไต้หวันมีพุทธสมาคมข่งเมิ่ง ผู้ดำเนินการล้วนเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ เป็นผู้มีคุณสมบัติสูงทั้งนั้น แต่งานธรรมะขยายไม่ออก เพราะผู้ดำเนินงานสูงส่งเกินไป ชาวบ้านไม่กล้าเข้ามาร่วมด้วย ในสังคมเรามีชาวบ้านธรรมดา ๆ เสียมากกว่าทางการจะต้องเข้าใจเหตุผลข้อนี้ ถ้าทางการไม่เข้ามาควบคุมเกี่ยวข้อง แต่ให้การสนับสนุนช่วยเหลือประชาชน การขยายงานก็จะไปได้ไกล การศึกษาของชาติเป็นเรื่องสำคัญที่สุด แต่ไม่ใช่ศึกษาวิชาการโดยไม่มีธรรมะ เช่นการศึกษาวิทยาศาสตร์ ธรรมะเป็นรากฐานของสัจธรรม เราเอาสัจธรรมมาเป็นรากฐานเสียก่อน แล้วค่อยขยายการศึกษาวิทยาศาสตร์ ออกไป ถ้าเอาแต่จะเรียนวิทยาศาสตร์อย่างเดียว สาขาวิชาไหนทำเงินได้ดีกว่าก็ตั้งหน้าตั้งตาศึกษาสาขาวิชานั้น เสร็จแล้วก็พยามยามค้นคว้าสังสรรค์ของแปลก ๆ ใหม่ ๆ ประหลาด ๆ กันออกมา แต่ไม่มีความหมายของคุณธรรมหลงเหลืออยู่เลย สมัยนี้ทั่วโลกต่างให้ความสำคัญกับวิทยาศาสตร์เป็นที่สุด วิทยาศาสตร์ยิ่งก้าวหน้าโลกยิ่งวุ่นวาย ใครเหนือกว่าเราก็จะถีบตัวให้เหนือกว่าเขาให้ได้ แต่ในเรื่องของคุณธรรมเราจะพูดถึงความเสมอภาค ทุกคนได้ดีด้วยกัน คนอื่น ๆ ดี เราจึงจะดียิ่งขึ้น บัดนี้ เบื้องบนได้โปรดประทานวิถีอนุตตรธรรมเป็นพระโองการ หากเบื้องบนไม่ประทานพระโองการลงมากำลังความสามารถของข้าพเจ้าคนเดียวจะทำงานนี้ไม่ได้ ฉะนั้นจะต้องเข้าใจว่า นี่เป็นบุญวาระพิเศษ เป็นกำหนดกาลของฟ้าดินเหมือนอย่างประเทศต่าง ๆ เช่น ไทย อินโดนีเซีย มาเลเซีย เหล่านี้ไม่มีฤดูหนาวฤดูร้อนที่ชัดเจน แต่ขณะนี้ที่ปักกิ่งหิมะกำลังตกหนัก นี่เป็นกฏเกณฑ์ของธรรมชาติ แม้คนและวิทยาศาสตร์จะล้ำเลิศก็ทำไม่ได้ การใด ๆ ในโลกนี้ ครึ่งหนึ่งอยู่ที่ความสามารถของคนครึ่งหนึ่งขึ้นอยู่กับเบื้องบน หลักธรรมชาติเป็นรากฐานของสรรพสิ่ง คนที่มีจิต (ธรรมญาณ) เป็นรากฐานของคน ทุกอย่างจึงมีหลัก แล้วเกิดผลงาน มีฐานเบื้องต้นแล้วขยายเป็นปลายเหตุ ต้องมีหลักธรรมโลกจึงจะดีได้ ครอบครัวสังคมและประเทศชาติก็เป็นอย่างเดียวกัน ประเทศนี้มีแต่ประมุข แต่ไม่มีประชาชน จะเป็นประมุขเพื่ออะไร มีประชาชนไม่มีประมุขขาดผู้ปกครองก็ยุ่งเหยิงวุ่นวายไม่มีระเบียบธรรมญาณของเราก็คือประมุขของเรา ประมุขมีความเที่ยงธรรมก้จะชี้นำให้ หู ตา จมูก ปาก ร่างกาย ประพฤติชอบ ถ้าประมุขขาดความเที่ยงธรรมพวกหูตาเหล่านี้ก็จะฝ่าฝืน ฉะนั้น เมื่อเราทุกคนได้รับถ่ายทอดวิถีธรรมเปิดจุดนี้ของตัวเองแล้ว ได้พบประมุขที่แท้จริงของตัวเองแล้วให้ประมุของค์นี้เป็นหลักชีวิตของเรา ควบคุมความเป็นไปทั้งหลายทั้งปวง โลกจะดีได้แน่ ๆ
-
โอวาทท่านธรรมอธิการ
ท่านเหล่าเฉียนเหยินได้โปรดให้โอวาทต่อญาติธรรมชาวไทย
ณ พุทธบรรพตฝูซัน
วันที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2532
คนทั่ว ๆ ไปที่ยังไม่รู้จักประมุของค์จริงของตน นันย์ตาเห็นชอบอะไรก็ดูให้วุ่นไปหมด เขาขาดผู้ปกครอง ฉะนั้นเขาจึงเรียนรู้ในสิ่งที่ไม่ควรเรียนรู้ต่าง ๆ ที่มีอยู่ทั่วไปในสังคมเข้าไว้ หู ตา จมูก ปาก ก็เปรียบได้ดั่งข้าราชบริพาร ถ้าประมุขเที่ยงธรรม เขาจะเที่ยงธรรมไปด้วย ประชาชนที่เขาเหล่านั้นดูแลอยู่ก็จะเที่ยงธรรมตามไป พระพุทธองค์และพระอริยเจ้าล้วนบ่งบอกถ่ายทอดจุดนี้ทั้งนั้น ใครที่ไม่ได้รับการเปิดจุดนี้ เขายิ่งเรียนสูงเท่าไรก็ยิ่งไปไกลจากตังเองเท่านั้น ถ้าทุกคนในโลกเข้าใจหลักธรรมนี้และเดินสู่วิถีธรรมนี้ สภาพการณ์ของโลกจะดีขึ้นทันที ฉะนั้นการศึกษาจึงสำคัญมาก และจะต้องเริ่มต้นจากเด็กเล็กทีเดียว เพราะเมื่อโตแล้วจะรู้มากและมักจะรู้สิ่งที่เป็นมิจฉาปัญญา ทางเบี่ยง ทางคด การจะพาเขากลับมาได้ไม่ใช่เรื่องง่าย การศึกษาของชาติเป็นเรื่องสำคัญมาก ประเทศจีนปกครองด้วยระบอบคอมมิวนิสต์มาห้าสิบปี การศึกษาของชาติในช่วงสิบปีแรก เขาไม่ให้เรียนหนังสือ มีแต่ลบล้างเปลี่ยนแปลง ในที่สุดก็ไม่ได้ผล บัดนี้ คอมมิวนิสต์กลับมาบูชาบรมครูขงจื้อใหม่ อีกทั้งเร่งฟื้นฟูการศึกษาวัฒนธรรมโบราณของจีนที่มีมาแต่ดั้งเดิม เขาดูออกแล้วว่า ยิ่งเดินต่อไปก็ยิ่งจะต้องมองย้อนหลัง ยิ่งเดินก็ยิ่งย่ำแย่ลงทุกที ฉะนั้นจึงต้องหันหลังเดินย้อนกลับมา เบื้องบนได้โปรดเมตตาประทานวิถีธรรมลงฉุดช่วยครั้งนี้ เรามีบุญได้รับกัน เราทุกคนมีความเชื่อมั่น ปฏิบัติดีต่อไป ยิ่งทำก็ยิ่งปิติ ยิ่งปิติก็ยิ่งอยากทำ ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกล้วนมีหลักธรรมเดียวกัน หลักธรรมในการเป็นคนที่เราจะให้ไว้แก่โลกนี้ได้ ล้วนแต่จะต้องเริ่มต้นด้วยการเป็นผู้มีใจตรง (รู้จิตเดิมแท้ของตน) และสำรวมกาย ในครั้งกระนั้น พระพุทธอริยเจ้าทั้งนั้น ทำไมท่านจึงไม่ยินดีกับตำแหน่งขุนนาง สมัยนี้โลกยุ่งเหยิง บ้านไม่เป็นบ้าน สังคมไม่เป็นสังคม พระอริยเจ้าล้วนอุทิศตนเพื่อฉุดช่วยแปรเปลี่ยนจิตใจของผู้คน เดี๋ยวนี้ทั่วโลกมีสภาพการณ์เป็นอย่างเดียวกัน จี้ ปล้น ฆ่า ฟัน คนดี ๆ ก็พลอยรับกรรมไปด้วย เมื่อเบื้องบนได้โปรดฉุดช่วยทั่วไป จึงได้บัญชาเหล่าพุทธบุตรลงมาเกิดกายในโลก เพื่อแปรเปลี่ยนจิตใจของผู้คน ปีหมินกั๋วที่ 37 (พ.ศ. 2491) ข้าพเจ้ามาบุกเบิกแพร่ธรรมที่ไต้หวัน ยังไม่มีญาติธรรมที่นี่เลย ชั่วระยะเวลาสี่สิบเอ็ดปี ต่อมา จากไต้หวันวิถีธรรมก็ได้ขยายไปสู่ประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก นี่ไม่ใช่กำลังความสามารถของคน ลำพังคนทำอย่างนี้ไม่ได้ ทุกท่านที่อยู่ที่นี่ มีความเชื่อมั่นศรัทธาต่อธรรมะอยู่บ้าง แสดงว่าเรามีรากฐานของบุญบารมีมาก่อน เธอสัมผัสได้แล้วเธอจึงยินดี ไม่ว่าจะไปถึงพุทธตำหนักไหน ก็จะมีญาติธรรมกุลีกุจอทำอาหารมาเลี้ยงรับรองด้วยความยินดีด้วยความเต็มใจ ทุกคนอาสาสมัครเอง ปีหมินกั๋วที่ 27 (พ.ศ. 2481) เมื่อข้าพเจ้าได้รับวิถีธรรม สิ่งศักดิ์สิทธิ์ประทับทรง ประทานพระโอวาทว่า อีกไม่นานวิถีอนุตตรธรรมจะแผ่ขยายไปทั่วโลก บัดนี้ก็ได้แผ่ขยายไปทั่วโลกแล้ว วันนี้เราได้มาชุมนุมพบกันด้วยเหตุปัจจัยแห่งบุญสัมพันธ์ที่เราเคยมีพระธรรมาจารย์และพระธรรมจาริณีมาก่อน ไม่รู้กี่ชาติที่ผ่านมา ธรรมะไม่ได้แบ่งแยกเชื้อชาติ มีจุดมุ่งหมายที่จะแปรเปลี่ยนโลกนี้ให้เป็นครอบครัวเดียวกัน ให้โลกนี้เกิดความเสมอภาคถ้าจะหาความพิเศษพิศดารจากวิถีธรรมนี้ไม่มี จะมีแต่สัจธรรมที่เป็นธรรมชาติ แล้วเราปฏิบัติไปตามหลักสัจธรรม ให้ทุก ๆ คนรู้จิตเดิมแท้ธรรมญาณของตน รักษาจิตของตนไว้ให้ตรง บำเพ็ญกายให้สำรวม ให้บ้านเมืองบรรลุความสงบสุขสมบูรณ์ ให้โลกเกิดสันติภาพโดยทั่วกันเท่านั้น
-
โอวาทท่านธรรมอธิการ
ท่านธรรมอธิการหันเหล่าเฉียนเหยิน
ได้โปรดให้สัมภาษณ์นิตยสารไทม์
และนิตยสารเอเซียรายสัปดาห์
เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2533
เรียนถาม - ระยะเวลาสี่สิบปีที่การเผยแพร่อนุตตรธรรม ถูกทางการไต้หวันควบคุมสั่งห้าม ท่านมีความเห็นอย่างไร กับวิกฤติการณ์ที่ผ่านมานั้น
ตอบ - "การบำเพ็ญของเราเป็นไปตามปกติธรรมชาติ คือบำเพ็ญจิตของตน การควบคุมของทางการจะใช้ได้กับคนที่ทำผิดกฏหมายเท่านั้น พวกเรานักธรรมไม่ได้ทำผิดกฏหมาย ไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง มีแต่จะฉุดช่วยให้คนเป็นคนดี ทำได้ก็ทำต่อไป ทำไม่ได้ก็หยุด ไม่มีปัญหาอะไร ทางการควบคุมดูแลประชาชน เป็นหน้าที่ของทางการ การควบคุมสั่งห้ามมิให้เผยแผ่วิถีอนุตตรธรรม เป็นการทดสอบจิตใจความมุ่งมั่นของเรา เป็นการเคี่ยวกรำอีกอย่างหนึ่งสำหรับเราเท่านั้นเอง"
เรียนถาม - เมื่อแรกเริ่มท่านเคยถูกฝ่ายศาสนาคุกคามหรือไม่ เหตุการณ์นั้นเป็นเช่นไร
ตอบ - "ที่ทางการสั่งห้าม เป็นผลมีจากที่ทางการถูกคอมมิวนิสต์บีบบังคับจนจำต้องโยกย้ายมาสู่ไต้หวัน ทางการเกรงว่าเราจะเป็นกลุ่มบุคคลนอกกฏหมายอันมิชอบ ซึ่งการเผยแพร่ธรรมะของเรา ก็จำเป็นจะต้องมีการชุมนุมกัน ฉะนั้นเราจึงถูกลงโทษ ถูกให้ร้ายในข้อหาว่าฝ่าฝืน จนถึงขนาดว่าเป็นพวกก่อการร้าย เราถูกทางการเข้าใจผิดไประยะหนึ่ง ถูกเชิญไปเข้าคุก ซึ่งเราคิดว่าเป็นการเคี่ยวกรำที่เบื้องบนได้โปรดจึงยอมรับโดยดุษณี อีกด้านหนึ่งคือเราเสริมสร้างความอดทนในการบำเพ็ญ เราไม่ถือว่าเป็นการคุกคามทำร้าย เราไม่โทษเบื้องบนเราไม่โทษใคร เรารับเอาไว้เป็นบทเคี่ยวกรำอีกบทหนึ่งเท่านั้น"
เรียนถาม - เมื่อแรกที่ท่านมาถึงไต้หวัน ท่านถ่ายทอดวิถีธรรมแก่คนไต้หวันได้อย่างไร
ตอบ - เราเดินทางมาไต้หวัน ด้วยจุดประสงค์ที่จะเผยแผ่วิถีอนุตตรธรรม แรกเริ่มภาษาเป็นอุปสรรคลำบากมาก เราไปพบนักบุญในท้องถิ่นก่อน อีกทั้งคนที่นับถือศาสนาพุทธและพูดภาษาจีนกลางอย่างเราได้ พูดให้เขาเข้าใจ ความสำคัญของชีวิต ให้รู้ว่าการบำเพ็ญธรรมจะช่วยให้คนพ้นทุกข์ได้ ในครั้งนั้นไต้หวันอยู่ในความยึดครองของญี่ปุ่น ประชาชนมีชีวิตอยู่อย่างอดทน และเป็นคนที่มีจิตใจดี จึงยอมรับวิถีธรรมกันได้มาก งานนี้ช่วยคนสังคมและบ้านเมืองอยู่เย็นเป็นสุข นานเข้าทุกคนก็รู้เอง งานนี้จึงได้เจริญเฟื่องฟูยิ่งขึ้นทุกวัน
เรียนถาม - ในระยะที่ทางการสั่งห้ามอยู่ ท่านเผยแพร่ธรรมต่อไปได้อย่างไร
ตอบ - การถ่ายทอดวิถีธรรมเป็นเรื่องดีงาม ทางการสั่งห้ามเพราะไม่เข้าใจความเป็นจริง เขาไม่เข้าใจ เราก็ไม่ขัดเคืองใจ ท่านจอมปราชญ์เหลาจื้อกล่าวว่า "สร้างบุญเหมือนลักลอบ" ยิ่งถูกสั่งห้ามก็ยิ่งเพิ่มความสมัครสมานระหว่างเราที่ต้องเผชิญชะตากรรมมาด้วยกัน ยิ่งเพิ่มความอุตสาหะแพร่ธรรม ทุกคนยิ่งจะได้เห็นว่าคำที่ทางการกล่าวหาเราเป็นมิจฉาศาสนานั้นไม่จริงเลย จึงยิ่งกลับทำให้ทุกคนมั่นคงในศรัทธา งานแพร่ธรรมยิ่งเฟื่องฟูก้าวไกล เพียงแต่ในระยะนั้น เราระวังตัวกันหน่อย ไม่ชุมนุมกันมากคนนักเท่านั้น
เรียนถาม - การเผยแผ่วิถีธรรม เหตุใดจึงทำความเข้าใจผิดแก่คนนอกมากมายเช่นนี้ ซึ่งรวมทั้งคำกล่าวหาที่ว่า "เป็นจารกรรม" "หลอกลวงมอมเมาประชาชน" และ "เป็นพวกเปลือยกายไหว้เจ้า"
-
โอวาทท่านธรรมอธิการ
ท่านธรรมอธิการหันเหล่าเฉียนเหยิน
ได้โปรดให้สัมภาษณ์นิตยสารไทม์
และนิตยสารเอเซียรายสัปดาห์
เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2533
ตอบ - "ระยะแรกที่มาเผยแผ่วิถีธรรมที่ไต้หวัน เป็นเพราะทางการ ชาวบ้านและบุคคลในศาสนาต่าง ๆ ไม่รู้ว่าธรรมะของเรมีหลักธรรมอย่างไร อีกทั้งพิธีการขอรับธรรมของเราไม่อนุญาตให้ผู้ไม่ยินดีขอรับเข้าไปชม จึงทำให้คนภายนอกคิดวาดภาพไปต่าง ๆ นานา คิดว่าการชุมนุมของเราเป็นจารชน ธรรมะที่เราถ่ายทอดเป็นการหลอกลวงมอมเมาประชาชน และที่เราไม่ยอมให้คนภายนอกเข้าไปชมเป็นเพราะเราเปลือยกายไหว้พระกัน ซึ่งคนที่ไม่รู้ความจริงก็จะวาดภาพแต่งเติมสีสันกันอย่างนี้ เราบำเพ็ญธรรมไม่มีความผิด ไม่มีอะไรน่าละอายแก่ใจ จึงปล่อยให้เหตุการณ์เป็นไปตามธรรมชาติ
เรียนถาม - ทำไมท่านไม่แสดงความบริสุทธิ์ให้ประจักษ์แก่สายตาประชาชน
ตอบ - "การบำเพ็ญธรรมไม่ใช่เพื่อชื่อเสียงผลประโยชน์ ในคัมภีร์เต้าเต๋อจิงได้กล่าวไว้ว่า "คนดีมิจำต้องชี้แจง จำต้องชี้แจงมิใช่คนดี" คนบริสุทธิ์ย่อมบริสุทธิ์ได้เอง คนสกปรกย่อมสกปรกไปเอง เหมือนฟ้าเบื้องบนที่ปราศจาคำโต้แย้ง"
เรียนถาม - เหตุใดเหล่าญาติธรรมจึงไม่เคยตอบโต้การบีบบังคับของทางการด้วยเช่นกัน
ตอบ - การปฏิบัติบำเพ็ญเป็นความมุ่งมั่นเฉพาะบุคคล ทำได้ก็ทำ ทำไม่ได้ก็หยุด ท่านจอมปราชญ์เหลาจื้อจึงกล่าวว่า "ผู้มีทิษฐิในตัวเองย่อมขาดความกระจ่าง ผู้เข้าข้างตัวเองย่อมไม่อาจประกาศเกียรติคุณ" การตอบโต้ การบับบังคับ จึงเหมือนยิ่งเช็ดยิ่งเลอะเทอะ อีกอย่างหนึ่งคนบำเพ็ญธรรม มีแต่จะตักเตือนให้คนทำดี บำเพ็ญจิตกล่อมเกลี้ยงธรรมญาณของตน ซึ่งเป็นเรื่องเฉพาะตน จึงไม่มีความจำเป็นต้องตอบโต้
เรียนถาม - งานถ่ายทอดวิถีอนุตตรธรรม สามารถบรรลุความสำเร็จได้เช่นนี้ ท่านคิดว่าเป็นเพราะเหตุใด
ตอบ - การถ่ายทอดวิถีอนุตตรธรรมเป็นการถ่ายทอดวิถีธรรมจริง อบรมผู้คนตามหลักคำสอนของพระศาสดาทั้งสาม ประจักษ์จริงมาแล้วนับพันปี เป็นการศึกษาปรัชญาชีวิต คุณธรรม เพื่อค้นให้พบคุณสมบัติของชีวิตจิตใจ ค้นให้พบคุณูปการอันเป็นศักย - พลานุภาพ ของจิตเดิมแท้ของตน จุดหมายของการแพร่ธรรมคือ สร้างสันติภาพตลอดกาลให้เกิดแก่โลกนี้ ผู้บำเพ็ญต่างทำตามหน้าที่ของตนอย่างเต็มความสามารถ ช่วยให้คนเป็นคนดี ให้ทุกคนมีจิตใจเที่ยงตรง บำเพ็ญตนสำรวมตน ฉะนั้น นานวันเข้าทุก ๆ คนจึงต่างรู้กันทั่ว ทุกคนมีหน้าที่ทำงานนี้แทนเบื้องบน ทุกคนมีความรู้สึกถึงภาระนี้และรู้ว่าจะต้องเดินตามวิถีธรรมนี้จึงจะเป็นผลสำเร็จได้ เช่นนี้ จะทำให้งานแพร่ธรรมเจริญก้าวไกลไปถึงประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก
เรียนถาม - วิถีอนุตตรธรรม มีวิธีการอย่างไรในอันที่จะแก้ไขความเสื่อมของสังคมไต้หวันอย่างจริงจัง
ตอบ - "ประเทศชาติมีประชาชนเป็นหลัก ประชาชนมีจิตใจเป็นหลักของชีวิต สังคมเสื่อมลงเพราะคุณธรรมของคนในสังคมตกต่ำ จิตใจของคนไม่ดีงามคนบำเพ็ญธรรมจึงต้องเป็นแรงฉุดช่วยแปรเปลี่ยนจิตใจคนอยู่เบื้องหลัง การตักเตือนให้คนทำดี จะต้องเริ่มจากจิตใจเที่ยงตรง สำรวมกาย เสริมส่งการศึกษาและคุณสมบัติของคนเป็นสำคัญ ให้การศึกษาแก่จิตใจของคนให้มาก และให้ส่งเสริมวิถีธรรมของท่านจอมปราชญ์ขงจื้อ เมิ่งจื้อ เป็นหลัก
เรียนถาม - การบำเพ็ญอนุตตรธรรมเป็นการบำเพ็ญคุณธรรมเก่าก่อนตามพงศาธรรมสืบต่อมา มีความลำบากหรือไม่ เมื่อเอามาใช้กับสังคมปัจจุบัน
ตอบ - ปัจจุบันจิตใจของคนไม่เป็นธรรมะ คุณธรรมเสื่อมสูญ ไม่เห็นแก่ประโยชน์สุขส่วนรวม แน่นอนจึงเป็นการยากที่จะเผยแผ่คุณธรรมก่อนเก่าให้เขายอมรับได้ แต่ธรรมะมีผลที่จะทำให้คนเป็นคนดี เมื่อวิทยาศาสตร์เจริญขึ้น วัตถุนิยมสูงขึ้น คุณธรรมก็ควรจะสูงขึ้นด้วยจึงจะถูก การปฏิบัติคุณธรรมเก่าก่อนเป็นการกระทำตามหน้าที่ของตนเท่านั้น ท่านจอมปราชย์ขงจื้อถ่ายทอดวิถีธรรมก็เพื่อสันติภาพของโลก แต่ท่านเดินทางเผยแผ่อบรมคุณธรรมแก่ผู้คนอยู่ชั่วชีวิต ก็ยังมิได้บังเกิดผล วิถีอนุตตรธรรมเผยแผ่ส่งเสริมคุณธรรมก็เป็นหน้าที่ที่ต้องทำอย่างเต็มความสามารถอยู่แล้ว จะลำบากหรือไม่อย่างไรก็ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ
เรียนถาม - ในระยะนี้ วงการธรรมะมีแนวโน้มจะเข้าร่วมเป็นฝ่ายสนับสนุนคณะรัฐบาล และอาจจะเข้าไปมีส่วนพัวพันกับการแข่งขันเลือกตั้งด้วย เรื่องนี้ท่านเห็นเป็นอย่างไร
ตอบ - จุดหมายของการเผยแพร่ธรรมะ ไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง แต่อาจจะมีนักการเมืองบางคนได้รับวิถีธรรม นั่นเป็นเรื่องส่วนตัวของเขา วงการอนุตตรธรรม มิใช่กลุ่มบุคคลที่ก่อตั้งเป็นหมู่คณะ จึงมิได้มีส่วนสนับสนุนพัวพันกับวงการเมือง
เรียนถาม - วงการธรรมะได้แบ่งแยกการเผยแพร่ออกไปเป็นสาย แล้วแต่บุญสัมพันธ์ที่มีต่อกัน มิได้ขึ้นอยู่กับการปกครองของใคร ท่านคิดว่าเป็นไปได้ไหมที่ทุกสายจะรวมกันเป็นเอกภาพ
ตอบ - วิถีธรรมเป็นเรื่องของธรรมชาติ ไม่มีอะไรขัดแย้งกันกับตัวของผู้บำเพ็ญ ทุกคนต่างก็ทำเต็มความสามารถของตัว ใครยินดีจะบำเพ็ญก็บำเพ็ญ ไม่ยิรดีจะบำเพ็ญก็หยุด เป็นธรรมชาติโดยไม่มีใครควบคุม ต่างคนต่างไปสร้างบุญสัมพันธ์ให้งอกงาม จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องรวมกัน
-
โอวาทท่านธรรมอธิการ
หมายกำหนดการปฏิบัติงานธรรม
ของท่านธรรมอธิการหันเหล่าเฉียนเหยิน
ระหว่างวันที่่ 5 - 18 เดือนเมษายน พ.ศ. 2533
วันที่
5. ท่านเหล่าเฉียนเหยินพร้อมด้วยคณะติดตามรวม 6 ท่าน เดินทางมาถึงท่าอากาศยานดอนเมืองโดยสายการบินไชน่าแอร์ไลน์ เวลา 19.30 น. ของวันพฤหัสบดีที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2533
6. เวลา 10.00 น. โปรดเดินทางไปทำพิธีขุดหน้าดินเป็นมงคลแก่สถานที่ ซึ่งเตียมไว้สำหรับสร้างมหาวิทยาลัยธรรมะ จังหวัดสระบุรี
7. เวลา 14.00 น. สภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ กราบเรียนเชิญ เยี่ยมที่ทำการ
8. 11.00 น. เดินทางโดยสารการบินภายในประเทศไปถึงจังหวัดสุราษฏร์ธานี
9. 10.00 น. นายกเทศมนตรีจังหวัดสุราษฏร์ธานี กราบเรียนเชิญเยี่ยมที่ทำการเทศบาลบ้านดอน จังหวัดสุราษฏร์ธานี
10. 9.00 น. ทำพิธีอาราธนาพระ ณ ตำหนัก ชั้นบนของพุทธสถานข่งเมี่ยว เปิดแพรคลุมพระบรมรูปบรมครูขงจื้อ และที่ทำการสภาสังคมสงเคราะห์สาขาที่ 8
11. เป็นประธานในพิธีเปิดชั้นเรียนสำนึกบาปขอขมา ซึ่งประกอบด้วยผู้ปฏิบัติธรรมจากไต้หวัน มาเลเซีย สิงคโปร์ และไทย นับพันคน
12. โปรดเมตตาอบรมญาติธรรมที่จังหวัดสุราษฏร์ธานี
13. 9.00 น. เยี่ยมชมกิจการสงฆ์ ตามคำเรียนเชิญของพระเถระผู้ใหญ่จังหวัดสุราษฏร์ธานี 21.00 น. โดยสารเครื่องบินกลับกรุงเทพฯ
14. 8.00 น. พุทธสถานบางไผ่ กราบเรียนเชิญเปิดพระตำหนักใหม่และโปรดถ่ายทอดวิถีธรรมแด่สาธุชน 306 คน อีกทั้งทำพิธีฉุดช่วยวิญญาณบุพการีของญาติธรรมอีก 20 ราย
19.00 น. ญาติธรรมสายฉีเฉียนเหยิน จางเฉียนเหยิน หลี่เฉียนเหยิน ร่วมกราบชมบุญท่านธรรมอธิการ ณ พุทธสถานเทียนจง
15. โปรดเป็นประธานชั้นทบทวนศึกษาธรรม ณ พุทธสถานไท่จง
16. เยี่ยมชมพุทธมณฑล พุทธสถานของอาจารย์หลันหงชิง และพิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้ง
17. เปิดประชุมคณะอาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรม
18. 9.30 น. โดยสารเครื่องบินไชน่าแอร๋ไลน์กลับไต้หวัน เดินทางถึงสนามบินเถาเอวี๋ยน เวลา 14.00 น.
-
โอวาทท่านธรรมอธิการ
ท่านธรรมอธิการหันเหล่าเฉียนเหยิน
แสดงธรรมตามคำกราบเรียนเชิญของ
ท่านนายกเทศมนตรี
อ.เมือง จ.สุราษฏร์ธานี
ยินดียิ่งที่ได้มาเยือนที่ทำการเทศบาลเมืองจังหวัดสุราษฏร์ธานีวันนี้ ได้ยินมาว่าทุกคนในที่นี้ ต่างได้รับวิถีอนุตตรธรรมกันหมดแล้ว ข้าพเจ้าก็จะไม่ถือเป็นแขก จะสนทนากับทุกคนในฐานะญาิติธรรมกัน เหตุใดเบื้องบจึงได้ประทานวิถีธรรม เหตุเพราะภัยพิบัติเกิดขึ้นมากมายเหลือเกิน คนดี ๆ ต้องพลอยรับเคราะห์ภัยไปด้วย สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายไม่อาจทนดูคนดี ๆ ต้องประสบภัยพิบัติเช่นนี้ต่อไป จึงโปรดพากันลงมาเกิดกายในโลกมนุษย์นี้อีก ทุกคนในที่นี้ต่างได้รับวิถีธรรมกันแล้ว เราทุกคนเป็นธรรมทายาทพี่น้องกัน พระธรรมาจารย์ พระธรรมจาริณีของเรากลับคืนไปแล้ว ข้าพเจ้าเป็นตัวแทนของทั้งสองพระองค์ สืบทอดพระภาระงานธรรมนี้ ช่วงเวลาที่พระวิสุทธิอาจารย์อุบัติในโลกนี้ผ่านไปแล้วก้เรียกคืนมาอีกไม่ได้ ประเทศไทยมีศาสนาพุทธเป็นศาสนาของชาติ เรารู้กันว่าพระพุทธองค์ก็บรรลุโดยอาศัยกายสังขารอย่างเรา ๆ นี้ พระองค์มีมเหสี โอรส แต่เมื่อพระองค์เห็นความไม่เสมอภาคของมนุษย์ด้วยกัน เห็นความทุกข์ของการเกิด แก่ เจ็บ ตาย จึงได้เกิดพระมหาเมตตาจิตคิดจะฉุดช่วยให้คนทั้งหลายได้พ้นทุกข์ แต่สุดท้ายในสมั้ยต่อมา วิถีธรรมจริงที่พระองค์เคยโปรดถ่ายทอดก็กลายเป็นศาสนาไป อย่างเช่นประเทศไทยเรา ถ้าหากพระสงฆ์จะทำแต่กิจบิณฑบาต มนุษย์ชาติจะเจริญธรรมได้อย่างไรปฏิปทาของพระผู้มีพระภาคมิได้เป็นเช่นนี้ บัดนี้ พระพุทธะอรหันต์ทั่วทุกสากลโลกต่างพากันอุบัติในโลกมนุษย์ เริ่มการถ่ายทอดวิถีธรรมจริงกันใหม่ ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า "จักษุครรภ์นิพพาน" นั่นก็คือจุดนี้ที่เราทุกคนได้รับกันแล้ว พบตัวตนที่แท้จริงของเราแล้ว ธรรมญาณของเรา ได้รับพระธรรมโองการให้จุติลงมาเกิดกายในโลก แต่กายสังขารนี้มิใช่ของเราจริง ๆ เราไม่มีสิทธิอำนาจรักษาเขาไว้ได้ตลอดไป ธรรมญาณคือชีวิตจริงของเรามีพระอนุตตรธรรมเจ้าเบื้องบนทรงกำหนด บัดนี้ เราได้รู้จุดสถิตจุดนี้ในตัว ได้ค้นพบตัวตนชีวิตจริงของเราแล้ว ได้รู้ชัดกับกายสังขารที่มีรูปลักษณ์นี้บำเพ็ญชีวิตจริง ภายหน้าเราจึงจะกลับสู่นิพพานได้ วันนี้เราได้รับวิถีธรรมกันแล้ว ได้รู้ว่าชีวิตของเราคือธรรมญาณหรือพระธรรมโองการที่มีภาระหน้าที่ เราทำงานให้แก่สาธารณชน รับใช้สังคม ให้ประชาชนอยู่ดีมีสุข นั่นคือภาระหน้าที่ของเรา เราจะสำนึกในหน้าที่ได้อย่างไร กฏหมายบังคับเราไม่ได้ ตัวบทกฏหมายยิ่งแผ่กว้าง คนทุจริตผิดกฏหมายยิ่งมากทวี ฉะนั้น เบื้องบนจึงได้โปรดประทานวิถีธรรมฯ ลงฉุดช่วยแปรเปลี่ยนจิตใจคน รากฐานของความเป็นคนคือจิตใจ ถ้าทุกคนมีจิตใจดี โลกก็จะดีขึ้นเอง คนเราไม่ใช่สัตว์เดรัจฉาน จึงควรจะรู้หลักธรรมของความเป็นคน เมื่อทุกคนทำตามหลักธรรม โลกก็จะเกิดสันติสุข
-
โอวาทท่านธรรมอธิการ
ท่านธรรมอธิการหันเหล่าเฉียนเหยิน
แสดงธรรมตามคำกราบเรียนเชิญของ
ท่านนายกเทศมนตรี
อ.เมือง จ.สุราษฏร์ธานี
ในครั้งกระนั้น พระศาสดาของทุกศาสนาล้วนตั้งพระปณิธานที่จะฉุดช่วยชาวโลก ล้วนมุ่งหมายถ่ายทอดวิถีธรรมนี้ แต่ในสมัยต่อมา งานถ่ายทอดวิถีธรรมจึงกลับกลายเป็นเรื่องของแต่ละกลุ่มที่อาศัยศาสนาบังหน้า หาประโยชน์ส่วนตนจนเกิดสงครามระหว่างกัน หลังสงครามโลกครั้งที่สอง ประธานาธิบดีทรูแมนของสหรัฐฯ เคยแสดงสุนทรพจน์ความตอนหนึ่งว่า "วิทยาศาสตร์ยิ่งเจริญรุดหน้า โลกจะยิ่งเสื่อมทราม ยิ่งสร้างระเบิดปรมาณูกัน โลกก็ยิ่งจะถูกทำลายล้าง จะหาทางอย่างไรเพื่อให้โลกเกิดสันติภาพได้ ทุกประเทศต่างก็ศึกษาปรัชญาชีวิตมนุษย์" ปรัชญาของดิวอี้ สหรัฐฯ โลเครติส ของกรีก เปลโล
ก็เป็นนักปรัชญา ทฤษฏีของท่านเหล่านนี้มีอยู่ครึ่งหนึ่งซึ่งยังคงเป็นปรัชญาที่แฝงไว้ด้วยวัตถุประโยชน์ ยังไม่บรรลุเป้าหมายของความเป็นปรัชญาแท้ ๆ ปัจจุบัน ทั่วโลกต่างศึกษาปรัชญาชีวิตมนุษย์ และยกย่องท่าน ขงจื้อ เม่งจื้อ เหลาจื้อ เป็นบิดาแห่งปราชญ์ ทฤษฏีของท่านขงจื้อสอนให้ชาวโลกอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขทุกเมื่อกาล จะต้องปฏิบัติตามทฤษฏีของขงจื้อ เมื่งจื้อ เหลาจื้อ โลกจึงจะมีสันติภาพตลอดไป ท่านเหล่านี้มีทฤษฏีอย่างไร ท่านสอนให้มีคุณธรรมในการปกครองกันสามระดับ (ผู้อยู่เหนือกับผู้อยู่ใต้บัญชา - บิดากับบุตร - และสามีกับภรรยา) คุณธรรมสามัญห้าประการ (เมตตา - มโนธรรม - จริย ฯ - ปัญญา - สัจจา ฯ ) คุณสัมพันธ์ห้า ( ผู้อยู่เหนือกับใต้บัญชา - บิดามารดากับบุตร - สามีภรรยา - พี่กับน้อง - และเพื่อนกับเพื่อน ) คุณธรรมแปด ( กตัญญู - พี่น้องปรองดอง - จงรักภักดี - มีสัจจะ - จริยะ - มโนธรรม - สุจริต - ละอายต่อบาป ) คนเราจะต้องมีหลักคุณสัมพันธ์ต่อกัน จะต้องใจตรง กายสำรวม เมื่อทุกคนใจตรงสำรวมกาย โลกก็จะเกิดสันติภาพได้ ฉะนั้น เหตุที่เบื้องบนประทานวิถีธรรม ก็คือจะฉุดช่วยคนดี วันนี้เราได้พบกัน เราก็จะพูดถึงวิถีธรรมนี้ หวังว่าทุกคน จะได้เห็นความเป็นจริงของชีวิตจริงในตัวตน เขาเป็นชีวิตจริงที่ไม่ตาย เป็นอมตะนิรันดร์ หากกายสังขารตายแล้วเป็นอันดับสูญ ก็จะไม่มีผีสางเทวดา เราทุกคนล้วนมีความหวังในชีวิต เราอยากมีครอบครัวดี บ้านเมืองดี มีลูกหลานดี สิ่งเหล่านี้กฏหมายควบคุมไม่ถึง แต่เราจะต้องมีวิถี นั่นก็คือ พระอริยเจ้าตรัสไว้ว่า ให้ทุกคน "ฝึกจิตแท้ และบำเพ็ญกาย" เราเป็นปุถุชน จับจิตตัวเองไว้ไม่ถูก แต่บัดนี้ได้รับจุดนี้แล้ว ได้ประจักษ์ในตัวตนชีวิตจริงของตนแล้ว ในคัมภีร์พระไตรปิฏกก็กล่าวถึง พุทธภาวะแห่งตน ทุกคนมีพุทธภาวะในตนเอง จะต้องใช้ความเป็นพุทธะแห่งตนกำหนดการกระทำแห่งตน เมื่อทุกคนใจตรง กายสำรวม สังคม และบ้านเมืองย่อมดีได้ เมื่อมีโอกาสทุกคนจะต้องศึกษาหนังสือธรรมะ คัมภีร์เกี่ยวกับอนุตตรธรรม ศึกษาคัมภีร์พระไตรปิฏกของพุทธศาสนา บัดนี้ พุทธสถานบรมครูขงจื้อ (ข่งเมี่ยว) ได้สร้างขึ้นแล้ว กเพื่อจะส่งเสริมหลักธรรมคำสอนอันยิ่งใหญ่ของท่านจอมปราชญ์ เบื้องบนได้โปรดบัญชา ให้ศาสนาปราชญ์นำความสันติสุขมาสู่ชาวโลก ศาสนาปราชญ์ของศาสนาขงจื้อ เป็นที่ยอมรับของทุกศาสนาท่านสอนคนให้มีคุณธรรม วิทยาศาสตร์ก้าวหน้า แต่คุณธรรมหมดไป โลกจะดีขึ้นไม่ได้ เราจะต้องใช้วิทยาศาสตร์มาเป็นประโยชน์ภายนอก แต่จะต้องมีคุณธรรมเป็นรากฐานอยู่ภายใน ทุกคนมีคุณความดีต่อกัน โลกก็จะเกิดสันติสุขได้อย่างแน่นอน เราทุกคนล้วนเป็นศิษย์ในพระอาจารย์องค์เดียวกัน ถ้าอยู่กลางถนนข้าพเจ้าจะแสดงธรรมอย่างนี้ไม่ได้ วันนี้เราได้พบกันด้วยบุญสัมพันธ์ จึงหวังว่าทุกคนจะตั้งใจทำตัวให้เป็นแบบอย่างที่ดีแก่ผู้คนทั้งหลายในโลกเราทุกคนจะสำรวมระวังไม่หลงผิดติดในอบายมุขใด ๆ ลูก ๆ ของเราก็จะเป็นคนดี แต่นี่ไม่ใช่เรื่องชั่ววันสองวันเท่านั้น เราตั้งความหวังไว้ และต้องปฏิบัติด้วยการกระทำ เมื่อไรโลกจะถึงกาลสันติสุขเสมอภาค เป็นเรื่องของเบื้องบนไม่ใช่เรื่องของเราคนใดคนหนึ่ง พบกันสนทนาธรรมกันวันนี้ ทำให้ทุกคนต้องเสียเวลา ขอบคุณทุกคน
-
โอวาทท่านธรรมอธิการ
ท่านธรรมอธิการหันเหล่าเฉียนเหยิน
แสดงธรรมตามคำกราบเรียนเชิญของ
ท่านนายกเทศมนตรี
อ.เมือง จ.สุราษฏร์ธานี
เลขา ฯ นายกเทศมนตรี กราบเรียนถามท่านธรรมอธิการถึงการบำเพ็ญกายใจ การบำเพ็ญในครอบครัว และการปกครอง ซึ่งท่านได้โปรดเมตตาดังนี้คนทั่วไปจะสนองตอบกันตามอารมณ์ของจิตปุถุชน เขาดีด้วยเราก็ดีตอบ เขาร้ายด้วยเราก็ร้ายตอบ พระพุทธะจะสอนให้เราบำเพ็ญจิต ทิ้งจิตปุถุชนไม่ให้เกิดอารมณ์สนองตอบ พระพุทธะตรัสว่า ให้กำหนดจิตเมตตาดังพระพุทธะ พระอริยะตรัสว่า ให้กำหนดจิตด้วยความรักอันไพศาลดังฟ้าเบื้องบน ไม่มีมิจฉแทิษฐิเห็นในตัวตน ที่พระพุทธะตรสว่า เป็นพระมหากรุณาธิคุณก็คือมโนธรรมน้ำใจอันเป็นหลักของฟ้าเบื้องบนนั่นเอง ให้เห็นทุกชีวิตในโลกนี้ล้วนเป็นพุทธะเิดินดิน คนนี้ไม่ดีทำความชั่วให้เมตตาสงสารหาทางช่วยเขา อย่าเกลียดเขา นี่ก็คือจิตของพุทธะ จิตของฟ้าเบื้องบน ทุกคนมีจิตสำนึกขอบคุณ ไม่ชิงชังกัน โลกจะสงบสุขทันที ทุกคนจะค่อย ๆ สำนึกรู้ เราได้รับจุดนี้แล้วได้พบจิตเดิมแท้เบื้องบนของเราแล้ว พ่อแม่เลี้ยงดูเรามาจนเติบใหญ่ ให้รู้จักขอบพระคุณทุกครั้งเมื่อพบเห็นท่าน เจ้าหน้าที่ตำรวจรักษาความเป็นระเบียบอยู่บนท้องถนน เราต้องรู้จักขอบคุณเขา คนงานซ่อมสร้างถนนอำนวยความสะดวกแก่เรา เราต้องสงสารเห็นใจ ต้องขอบคุณเขา โดยเฉพาะชาวนาถ้าเขาไม่ทำนา เราจะเอาข้าวที่ไหนกิน หากเรามีจิตสำนึกขอบคุณใคร ๆ ทุกวันเราจะไม่มีความทุกข์ใจเลย คนทั่วไปมักจะเห็นแก่ได้เห็นแก่ตัว ทำเพื่อตัวเอง ให้ตัวเองดี ใครดุว่าเรา เราไม่พอใจ ตัวเองทำผิดกลับโกรธแค้นผู้อื่น ตัวเองต้องทุกข์อยู่ในทะเลทุกข์ ถ้าเราจะเปลี่ยนเสียใหม่ หันกลับมายอมรับคำว่ากล่าวตักเตือนของคนอื่น รู้สำนึกขอบคุณ เช่นนี้ สวรรค์ก็อยู่ในใจของเราแล้ว
เลขาฯ กราบเรียนถามอีกว่า เบื้องบนได้โปรดประทานธรรมญาณแด่เรา ธรรมญาณมีการแสดงออกเช่นไร และการเป็นคนดีเป็นได้อย่างไร... จงถามตัวเอง ถ้าความกตัญญูต่อพ่อแม่เป็นสิ่งที่ดีก็จงทำ ที่ใดรกสกปรก เราก็กวาดเสีย เห็นใครไม่ดี เราช่วยเขาให้ดี เหล่านี้เป็นเรื่องง่าย ๆ และนี่ก็คือจิตใจของฟ้าเบื้องบน ทำทุกอย่างโดยเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม ไม่เห็นแก่ตัว นี่คือการแสดงออกของธรรมญาณ... กราบเรียนถามว่า ที่ท่านกล่าวว่า "การกระทำอยู่ที่คน ผลสำเร็จอยู่กับเบื้องบน"... ทุกคนจะต้องทำเต็มความสามารถของตน คน ๆ เดียวมีกำลังจำกัด กำลังของทุกคนรวมกัน ร่วมแรงร่วมใจกันทำ โลกก็จะสำเร็จสมบูรณ์โดยง่าย บัดนี้ เบื้องบนได้โปรดฉุดช่วยทั่วไป แบ่งแยกระหว่างคนดีกับคนชั่ว คนที่บาปหนาจะต้องประสบภัยทั้งหมด จะต้องฉุดช่วยคนดีออกมาจากคนบาปเหล่านั้น เราจะเห็นได้ว่า ในวงการธรรม ทุกคนสำรวมระวังดี เหตุใดวิถีอนุตตรธรรมอันสูงส่ง จึงได้โปรดถ่ายทอดแด่คนธรรมดาสามัญควรจะต้องเริ่มต้นจากผู้คนชาวบ้าน หากเป็นคำสั่งของทางการ เรื่องนี้จะทำได้ยาก สมมุติว่าเทศมนตรีเช่นคุณ จะตั้งพุทธสถาน ชาวบ้านธรรมดาก้ไม่อยากจะไปร่วมด้วยนัก คุณเป็นข้าราชการจะต้องให้ทางการเป็นฝ่ายช่วยเหลือสนับสนุนชาวบ้าน ช่วยส่งเสริมคุณธรรม แล้วให้ชาวบ้านไปดำเนินการเอาเอง งานก็จะสำเร็จได้โดยง่าย เอาละ ยังมีอะไรอีกไหม... ไม่มีขอรับ ถ้าเช่นนั้น ขอบคุณทุกคน ขอให้ทุกคนจงอยู่ดีมีสุข
-
โอวาทท่านธรรมอธิการ
ท่านธรรมอธิการหันเหล่าเฉียนเหยิน
ได้โปรดสนทนาธรรม
เมื่อมาถึงห้องรับรองพุทธสถานข่งเมี่ยว
เมื่อสามพันปีก่อน พระพุทธอริยะ ฯ ล้วนแต่ปรกโปรดฉุดช่วยชาวโลก สมัยนั้นไม่มีการแบ่งแยกชัดเจนอย่างนี้ สมัยต่อมากลับกลายเป็นกิจของกลุ่มบุคคล จึงมีชื่อเรียกเป็นศาสนา นิกาย สาย ลัทธิ ชมรม ฯ แต่ละศาสนา ก็เหมาะแต่ละขนบธรรมเนียมของที่นั้น ๆ จิตใจของคนก็ต่างกัน ฉะนั้น จึงรวมกันไม่ได้ บัดนี้ เบื้องบนได้โปรดฉุดช่วยทั่วโลก หมื่นพันศาสนาจะรวมไว้ในวิถีธรรมเดียวกัน วิถีอนุตตรธรรม ไม่แบ่งแยกให้เป็นไปตามบุคคลหรือหมู่เหล่า เมื่อเรารู้แจ้งในต้นตอชีวิตแล้วก็ควรดำเนินชีวิตไปตามวิถีธรรม เมื่อทุกคนทำตามหลักธรรม โลกก็จะเกิดสันติสุข พระอริยเจ้าตรัสว่า "ปฏิบัติการนั้นขึ้นอยู่กับคน ส่วนผลนั้นอยู่ที่พระ ฯ เบื้องบน" เราทุกคนได้แต่ตั้งใจทำให้เต็มกำลังของตน ชีวิตคนเรานั้นสั้นนัก เพียงชั่วเวลาไม่กี่สิบปี ฉะนั้น การที่จะให้โลกเราดีได้ จึงไม่ใช่ทำให้สำเร็จในวันเดียว จะต้องค่อยเป็นค่อยไป ช่วงนี้การทะนุบำรุงเด็กวัยรุ่นเป็นเรื่องสำคัญที่สุด เพราะเขาจะเป็นผู้ครอบครองทุกสิ่งในวันข้างหน้า จะต้องปลูกเลี้ยงเขาให้ดี วันข้างหน้าจึงจะมีหวังในสิ่งที่ดี ฉะนั้นทุกท่านที่จะบำรุงเลี้ยงเด็กวัยรุ่นสำคัญที่สุด คือปลูกเลี้ยงพวกเขาให้มีมนุษย์ธรรมดี ทุกคนที่ทำงานนี้เท่ากับสร้างบุญกุศล มีบุญมีกุศลภายหน้าจึงจะไว้ชื่อในโลกนี้ได้
ท่านรองประธานสภาสังคมสงเคราะห์ฯ คุณสมพร เทพสิทธา กราบเรียนว่า อยากให้พุทธสถานข่งเมี่ยว สร้างสถานสงเคราะห์คนชราไว้ด้วย
-
โอวาทท่านธรรมอธิการ
ท่านธรรมอธิการหันเหล่าเฉียนเหยิน
ได้โปรดสนทนาธรรม
เมื่อมาถึงห้องรับรองพุทธสถานข่งเมี่ยว
ท่านธรรมอธิการ ฯ โปรดตอบว่า เราดำเนินการส่งเสริมได้ สมัยนี้ต่างกับเมื่อก่อน ซึ่งเป็นสมัยของการเกษตร มีประเทศชาติจึงมีบ้าน สมัยนี้อุตสาหกรรมและวิทยาศาสตร์เจริญก้าวหน้า ทุกประเทศเป็นอย่างเดียวกัน สมัยนี้ลูก ๆ ของเราจะต้องออกไปทำงานนอกบ้าน คนแก่ที่บ้านจึงขาดคนดูแล ฉะนั้น เราจึงส่งเสริมสถานสงเคราะห์คนชรา ให้มีคนดูแลคนแก่โดยเฉพาะ ท่านขงจื้อกล่าวไว้ว่า "ให้เคารพคนแก่ ยกย่องปราชญ์บัณฑิต" สังคมปัจจุบันคนแก่ไม่มีใครสนใจ เราจะต้องสอนให้เด็ก ๆ รู้ว่า ไม่มีคนแก่จะมีเขาได้อย่างไร จะต้องเคารพคนแก่ ไม่มีบ้านเมืองจะมีสังคมได้อย่างไร เรายิ่งจะต้องเคารพผู้ปกครองบ้านเมือง เพราะท่านเป็นผู้ช่วยเหลือสังคม คุณธรรมที่พระอริยะมอบไว้ให้ คือการแสดงออกซึ่งความเคารพจริงใจ ที่มีต่อทุกคนในโลก ทุก
คนมีความเคารพจริงใจต่อกัน โลกก็จะเกิดสันติภาพได้เอง นี่เป็นหลักธรรมของความเป็นคน การริเริ่มโครงการสถานสงเคราะห์คนชราในประเทศไทยครั้งนี้ข้าพเจ้าจะช่วยเต็มที่ ญาติธรรมของเรายิ่งมากขึ้นเรื่อย ๆ ช่วยกันคนละหนึ่งบาท หนึ่งล้านคนก็หนึ่งล้านบาทแล้ว กำลังของคนหมู่มากจะสำเร็จได้ง่าย เปิดใจของเราเป็นคนแรก เราไม่มีความเห็นแก่ตัว ไม่บวกลบคูณหารเพื่อตัวเอง ให้ปลง เห็นความสมมุติของโลกนี้ แค่หลับตาลงก็ไม่มีอะไรแล้ว ถ้าคนรู้แจ้งในหลักธรรมนี้ก็จะไม่มีความโลภ ถ้าไม่มีความโลภก็จะไม่โกรธเกลียดเคียดแค้นใคร โลกมนุษย์นี้ก็จะเป็นแดนสวรรค์ คนทั่วไปจะกลัดกลุ้มทุกข์ร้อนอย่างนี้ จะเห็นแต่ความไม่ดีของคนอื่น เรื่องนี้ไม่ถูก คนนั้นก็ไม่ดี จิตใจของตัวเองก็จะกลัดกลุ้ม นั่นก็คือทะเลทุกข์ เฉพาะอย่างยิ่งสุภาพสตรี หัวหน้าครอบครัว ลูกเต้าจะดีหรือเลวอยู่ที่เรา ถ้าเราเป็นแบบอย่างที่ดีแก่เขา ลูกที่เราเลี้ยงดูมาก็จะต้องดีแน่ ๆ นี่ก็คือคุณธรรม ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ เราไหว้พระขอความอยู่เย็นเป็นสุข นั่นเรียกว่าศรัทธางมงาย พระพุทธอริยะล้วนเป็นแบบอย่างที่ดีแก่เรา เรากราบไหว้พระเพราะเราจะเจริญรอยตามพระบาทของพระองค์ ถ้าเอาแต่จะกราบ วิงวอนขอให้พระองค์คุ้มครองรักษา ขอความร่มเย็นเป็นสุข ขอไม่ได้เลย ถ้าเรามีจิตใจเป็นพุทธะ เราเองก็คือพระพุทธะ พระพุทธะไม่ได้อยู่ข้างนอก รูปบูชาตามวัดวาเหล่านั้นเป็นเพียงรูปสมมุติ ในยุคนี้ เป็นกำหนดกาลพิเศษของสตรี ครั้งพุทธกาลอัครสาวกของพระพุทะองค์ไม่มีสตรีเลย เมธีศิษย์ขงจื้อก็ไม่มีสตรีเลย พวกเราล้วนแต่เป็นเทพพรหมมาเกิดใหม่ เบื้องบนได้ดปรดประทานวิถีอนุตตรธรรมมากอบกู้ หญิงชายให้ได้รับวิถีธรรมอย่างเดียวกัน ดวงธรรมญาณไม่จำแนกหญิงชาย อย่างที่พระพุทธะตรัสว่า เป็นพุทะะภาวะอันเสมอภาค ครั้งนี้ชายก็บรรลุธรรมได้ หญิงก็บรรลุได้ เราจะดูถูกตัวเองไม่ได้ ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ บำเพ็ญธรรมคือบำเพ็ญจิต เราได้รับจุดนี้ ค้นพบตัวจริงของตนแล้ว รู้ว่าในโลกล้วนเป็นสิ่งสมมุติ ให้อาศัยสิ่งสมมุติบำเพ็ญธรรมแท้ ภายหน้าคืนสู่เบื้องบนไปเป็นตัวของตัวเองแท้ ๆ ไม่ใช่กายสังขารตัวนี้ ธรรมะเป็นสิ่งเสมอภาค ใครมีบุญหนุนนำก็มารับได้เอง ใครไม่มีบุญหนุนนำก้ไม่มา คนในศาสนาอื่น ๆ ก็เหมือนกัน มีทั้งคนศรัทธาเชื่อถือและไม่เชื่อถือ ธรรมะนั้นครอบคลุมทุกศาสนา จุดนี้ก็คือธรรมะ ธรรมะจุดนี้เป็นเจ้าชีวิตของเรา เรามีเจ้าชีวิตตัวจริงปกครองกายสังขารอยู่ ฟ้าเบื้องบมีพระผุ้เป็นเจ้าปกครอง คนก็มีพระผู้เป็นเจ้าในตัวตนปกครอง พระผู้เป็นเจ้าในตัวตนของเราก็คือชีวิตจริงเป็นจิตเดิมแท้ ที่รู้จักควบคุมให้กายเนื้อของเรามีมโนธรรมสำนึก รับผิดชอบต่อสังคม เมื่อใดที่เจ้าชีวิตของเราไปพ้นจากกายสังขาร เนื้อเน่า ๆ แท่งนี้ก้ไม่มีประโยชน์อีกเลย ธรรมะจึงเป็นรากฐานของสรรพสิ่งทั้งมวล ( ภริยาผู้ว่าราชการจังหวัดสุราษฏร์ธานีได้เสริมรับด้วยความปิติธรรมว่า เป็นหลักธรรมที่สูงส่งจริง ๆ ) ความเป็นปกติธรรมดาที่สุด คือที่สุดของความสูงส่ง (คุณสมพร เทพสิทธา กราบเรียนว่า เวลาอยู่ใกล้ชิดท่าน ท่านได้โปรดอบรมแนะนำตลอดเวลาโปรดให้หัวใจที่อบอุ่นแก่เรา นอกจากหลักธรรมของการเป็นคนที่สมบูรณ์แล้ว จิตใจของเรายังได้รับความชุ่มชื่นอีกด้วย) เป็นเพราะบุญสัมพันธ์ที่เราเคยมีต่อกันมา คนอื่น ๆ ที่เขาไม่เห็นด้วย และที่เขาวิจารณ์ข้าพเจ้าก็มี (คุณสมพร เทพสิทธา กราบเรียนอีกว่า ท่านพูดถูกเพราะคนมีดีมีชั่ว คนสว่างก็จะพบผู้มีคุณธรรม คนหลงก็จะพบกับความมืด ซึ่งเขาจะไม่ได้พบท่านธรรมอธิการอย่างนี้) ข้าราชการผู้ปกครองบ้านเมืองก็เหมือนกันมีทั้งคนด่าว่า มีทั้งคนชื่นชม มนุษย์มีความแตกต่างกันอย่างนี้ (คุณสมพร เทพสิทธา กราบเรียนอีกว่า จะจดจำธรรมะของท่านธรรมอธิการไว้ คนทั่วไปเป็นคนหลง เหมือนตกอยู่ในน้ำ และไม่รู้ว่าตนจะจมน้ำตาย เราจึงมีหน้าที่ต้องฉุดช่วยเขา อย่างที่ท่านธรรมอธิการกล่าว) เมื่อก่อน ครั้งที่ข้าพเจ้าไม่ได้รับวิถีธรรมก็เหมือนคนทั่วไป ทำทุกสิ่งเพื่อผลประโยชน์ตน เพื่อชื่อเสียงตน บัดนี้เข้าใจแล้ว ข้าพเจ้าจึงไม่ต้องการอะไรเลย ไปถึงไหนจึงมีแต่ผู้ยินดีต้อนรับ เอาละ ข้าพเจ้าจะไปทำพิธีอาราธนาพระ ฯ ( ทุกคนในที่นั้นมีอาทิ คุณประวิทย์ นิลวัชรมณี นายกเทศมนตรีเทศบาลเมืองสุราษฏร์ธานี คุณสมพร เทพสิทธา รองประธานสภาสังคมสงเคราะห์ ฯ พ.อ. (พิเศษ) ทองอินทร์ ดีธรรมะ คุณจรัสพักตร์ วัฒนสิงหะ ภริยาผู้ว่าราชการจังหวัด อาจารย์มานิตา การพิศิษฐ์ ฯลฯ กล่าวขอบคุณ
-
โอวาทท่านธรรมอธิการ
โอวาทจาก
ท่านธรรมอธิการหันเหลาเฉียนเหยิน
ก่อนทำพิธีเบิกพระเนตรพระพุทธรูปบูชา
ณ พุทธสถานข่งเมี่ยว
เธอทำงานเขาก็เรียกว่าคนทำงาน ข้าพเจ้าอนุเคราะห์ผู้คน ฉุดช่วยชาวโลกทำพุทธกิจ ก็เป็นพระพุทธะ พระพุทธะล้วนต้องเป็นเมื่อมีชีวิตอยู่ วันนี้ทุกคนก็ได้เห็นข้าพเจ้าแล้ว เมื่อแรกที่ข้าพเจ้าไปบุกเบิกแพร่ธรรมที่ไต้หวัน ข้าพเจ้ากวาดท่อน้ำล้างส้วมเอง ในครั้งนั้น การอนามัยเรื่องสุขภัณฑ์ยังไม่มี บัดนี้ข้าพเจ้าได้รับการต้อนรับอย่างยินดีทุกประเทศที่ไป หากพวกเธอก็ปฏิบัติพุทธกิจ เช่นเดียวกับพระพุทธองค์ ไปถึงไหนก็จะมีคนยินดีต้อนรับเช่นกัน บัดนี้เราจะต้องเผยแผ่ธรรมะแทนเบื้องบน ในสมัยก่อน เบื้องบนยังไม่โปรดประทานวิถีธรรมในหมู่สามัญชนทั่วไปอย่างกว้างขวางเช่นนี้ การเจริญภาวนา ทำสมาธิ การสวดมนต์ทำวัตร การบูชานับถือในศาสนาต่าง ๆ เรียกว่า การปฏิบัติบำเพ็ญธรรมทั้งนั้น " เราไม่ทำผิดศีลธรรม สำรวมตนดี แต่ไม่สร้างบุญบารมีฉุดช่วยผู้อื่นเลย ชาติหน้าเกิดมาใหม่เราก็จะได้แต่เป็นคนดี นั่นเป็นบุญวาสนาที่บำเพ็ญมาเพื่อตัวเอง" บัดนี้ เบื้องบนได้ปรกโปรดฉุดช่วยอย่างกว้างขวาง เพื่อให้ธรรมญาณทั้งหลาย ได้พ้นเวียนว่ายในทะเลทุกข์ ฉะนั้น จุดนี้เองทำให้เราได้รู้ว่าธรรมญาณของเรากำเนิดมาแต่เบื้องบน เรารู้ชัดในหนทางที่จะกลับคืนสู่เบื้องบนแล้ว เราจะต้องเดินไปเอง ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ เรากราบวิงวอน ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์โปรดคุ้มครองรักษา ท่านรับรองเราไม่ได้ชีวิตของเรา เราต้องช่วยเอง ใครก็ช่วยเราไม่ได้ เมื่อวานนี้ ได้พูดที่ที่ทำการเทศบาลแล้วว่าเราจะต้องมีจิตสำนึกขอบคุณทุกคนอยู่ทุกเมื่อ (หลายคนในที่ประชุม ยังไม่ได้รับการถ่ายทอดวิถีธรรม) เราได้พบกัน ก็คือมีบุญสัมพันธ์ต่อกัน ถ้าได้รับวิถีธรรมแล้วไม่บำเพ็ญ ก็เปล่าประโยชน์ ได้รับแล้วจะต้องบำเพ็ญ จะต้องปฏิบัติ ฯ ภายหน้าจึงจะบรรลุ ฯ ได้อย่างเดียวกับพระผู้มีภาค ฯ ซึ่งได้รับวิถีธรรมจากพระทีปังกรพุทธเจ้า และบำเพ็ญจนบรรลุ ฯ ในคัมภีร์วัชรสูตรบัมทึกไว้ชัดเจน พระองค์ฉุดช่วยเวไนยสัตว์ พระองค์จึงได้บรรลุ ฯ แต่ถ้าหากบวชเรียนบำเพ็ญเพื่อการหลุดพ้นเฉพาะตัว ก็จะไม่บรรลุ เราได้พบกันมีบุญสัมพันธ์ต่อกัน มนุษย์ในโลกล้วนกำเนิดมาจากพระองค์ธรรมเบื้องบนด้วยกัน พระเยซูเรียกพระองค์เบื้องบนว่า "พระผู้เป็นเจ้า" ในคัมภีร์เขียนว่า "พระยโฮวา" พระผู้สร้าง พระผู้กำหนดกำเนิด ในหนังสือจีนบันทึกว่า "พระอนุตตรธรรมเจ้าแห่งธรรมญาณทั้งมวล ฯ" คำนี้เคยอ่านพบมานานนักหนาแล้ว แต่ไม่รู้ธรรมญาณในตัวเอง ฉะนั้น แม้ไม่รู้จุดนี้ ไม่มีทางบรรลุ เรามักจะกล่าวว่า ขาดอยู่จุดเดียว ในคัมภีร์ก็บันทึกว่า : เจนจบหมื่นพันคัมภีร์ศาส์น ไม่สู้พระวิสุทธิอาจารย์ประทานจุด"
-
โอวาทท่านธรรมอธิการ
ท่านธรรมอธิการหันเหล่าเฉียนเหยิน
กล่าวปฏิสันถาร
ในโอกาสเปิดพุทธสถานข่งเมี่ยว
ได้มาถึงบ้านเมืองของท่าน ขอบคุณทุกฝ่ายให้การต้อนรับอย่างยินดี ขอบคุณท่านผู้ว่าราชการจังหวัด , ท่านรองประธานสภาสังคมสงเคราะห์ ฯ ท่านผู้มีเกียรติมากมาย ได้มาเป็นแขกในพิธีนี้ ในที่นี้ ส่วนใหญ่จะเป็นศิษย์ของพระธรรมาจารย์ พระธรรมจาริณี เราทุกคนได้ตั้งปณิธานแล้วว่าจะเผยแผ่วิถีธรรมไปยังประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก เบื้องบได้โปรดบัญชาให้ฉุดช่วยสาธุชนชายหญิงทั่วไปในโลกนี้อย่างกว้างขวาง ข้าพเจ้ามาเมืองไทยครั้งนี้เป็นครั้งที่สาม ได้เห็นความเจริญของงานธรรมะ ดียิ่งขึ้นทุกปี และบัดนี้ก็ได้สร้างพุทธสถานข่งเมี่ยวนี้ขึ้นอีก ทุกประเทศทั่วโลกล้วนมีศาสนาประจำชาติ แต่บางศาสนาก็มีเรื่องพิพาทบาดหมางกัน ศาสนาปราชญ์ของท่านขงจื้อ เป็นที่ยอมรับของทุกศาสนา เบื้องบนจึงได้โปรดบัญชา ให้ศาสนาปราชญ์สร้างสันติภาพให้เกิดขึ้นในโลกนี้ เราบำเพ็ญธรรมะ จะต้องเริ่มจากมนุษยธรรมก่อน หลักปรัชญาชีวิตของท่านขงจื้อ เริ่มจากการคุมใจให้ตรง สำรวมกายให้ถูกต้อง ตนเองเที่ยงตรงแล้วจึงส่งเสริมผู้อื่นได้ อย่างเดียวกับที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า "รู้จักตัวตน จึงรู้จักผู้อื่น" หลักธรรมเป็นอย่างเดียวกัน เราได้มาชุมนุมกัน ณ ที่นี้วันนี้ ก็ด้วยพระมหากรุณาธิคุณเบื้องบนและพระบารมีธรรมแห่งพระอาจารย์ หากทุก ๆ คนมีจิตสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเบื้องบน โลกจะเกิดสันติสุขได้เอง วันนี้เวลามีค่า ขอเชิญท่านผู้มีเกียรติ ขึ้นมากล่าวสุนทรพจน์กันต่อไป ขอบคุณทุก ๆ คน
ก่อนกราบอาราธนาพระอนุตตรธรรมเจ้า ท่านธรรมอธิการหันเหล่าเฉียนเหยิน โปรดให้โอวาท : พระวิสุทธิอาจารย์แห่งยุค อุบัติมาโปรดสัตว์ถ่ายทอดวิถีธรรม เมื่อสิ้นยุคของพระองค์ไป ที่เหลือไว้ก็จะเป็นเพียงคำสอน เป็นเพียงศาสนา เรามาทันโอกาสนี้พอดี จึงหวังว่าคนที่ตั้งใจจะสร้างบุญกุศล จะได้ตั้งความมุ่งมั่นก้าวไปโดยไว แต่หากใครไม่มีความมุ่งมั่นนี้ ก็ขอให้รักษาปณิธานของตนไว้ให้มั่นคง หากผิดต่อสัจปณิธาน จะมีโทษต่อฟ้าดิน " เราได้รับวิถีธรรมแล้ว จารึกชื่อไว้ในบัญชีเบื้องบนแล้ว หากผิดต่อพระอาจารย์ หลงไปกราบไหว้นอกลู่นอกทาง ชื่อของเราที่จารึกไว้เบื้องบนจะถูกลบล้างไป จะไม่นับว่าเราเป็นศิษย์ของพระพุทธจี้กงอีกต่อไป " พระอาจารย์ของเราได้ดปรดกำชับไว้ ก็สองประโยคนี้คือ หากเราไม่มีความมุ่งมั่นจะปฏิบัติพุทธกิจงานธรรม ก็จงรักษาปณิธานไว้ให้มั่นคง เพื่อพาตนให้พ้นจากมหันตภัยในกลียุคนี้ แต่หากใคร หวังจะบรรลุความเป็นพระพุทธะ เป็นอริยปราชญ์นั่นเป็นเรื่องของตนเอง ที่จะต้องไปปฏิบัติจึงจะบรรลุได้ ถ้าเราดีแต่มีความเชื่อในธรรมะ เท่านี้บรรลุไม่ได้ วันนี้ ได้มาเปิดพุทธสถานข่งเมี่ยว ทำพิธีเบิกพระเนตรอาราธนาพระ ฯ ได้ใช้โอกาสและสถานที่นี้สร้างธรรมนาวา ถวายแด่พระอนุตตรธรรมเจ้า พระแม่องค์ธรรม เราทุกคนไดมาชุมนุมกัน ณ ที่นี้บัดนี้จะกราบอาราธนาพระแม่องค์ธรรมได้โปรดประทับ ฯ ประทานพระอักษรโอวาท ขอให้ทุกคนอยู่ในความสงบ ตั้งจิตให้เป็นสมาธิ อากาศจะร้อนสักหน่อย ผ่านไปแล้วก็จะไม่มีโอกาสนี้อีก ขอให้ทุกคนรักษาค่าแห่งบูญวาระนี้ไว้ให้ดี
-
โอวาทท่านธรรมอธิการ
ข้อคิดเห็นเกี่ยวกับอนุตตรธรรม
โดย นายสมพร เทพสิทธา
รองประธานสภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย
การเดินทางไปศึกษาดูงานเรื่องศาสนาและวัฒนธรรมที่ไต้หวัน ระหว่างวันที่ 3 - 11 พฤศจิกายน 2532 ได้รับความรู้และข้อคิดเห็นที่เป็นประโยชน์หลายประการ ได้มีโอกาสพบปะสนทนากับผู้นำระดับสูงของวงการอนุตตรธรรมในไต้หวันถึง 4 ท่านคือ ท่านเหล่าเฉียนเหยิน ซึ่งเป็นผู้นำอาวุโส อายุ 90 ปีท่านเฉินเฉียนเหยิน อายุ 75 ปี แห่งสำนักธรรมหลินอิ่นซื่อ ท่านจางเฉียนเหยิน อายุ 80 ปี แห่งสำนักธรรมเหยินหยวนกง เฉียนเหยินอีก 1 ท่าน ที่ไม่ได้พบคือ ท่านเฉินต้ากู ซึ่งเป็นเฉียนเหยิน แห่งสำนักธรรมหมิงซันซื่อ เมื่อคณะผู้แทนสภาสังคมสงเคราะห์ ฯ เดินทางไปเยือนสำนักธรรมแห่งนี้ ท่านเฉินต้ากู ไปต่างประเทศ จึงไม่มีโอกาสได้พบ นอกจากนี้ ยังได้พบปะรู้จักกับอาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรมะ (เตี่ยนฉวนซือ) อาจารย์ผู้บรรยายธรรมะ (เจี่ยงซือ) และญาติธรรม (เต้าชิง) อีกหลายท่าน ท่านเหล่าเฉียนเหยิน ท่านเฉียนเหยิน และบรรดาญาติธรรม ได้ให้การต้อนรับและการดูแลคณะผู้แทนสภาสังคมสงเคราะห์ ฯ ด้วยไมตรีจิตมิตรภาพและความเอาใจใส่อย่างดียิ่ง ตลอดระยะเวลาที่อยู่ไต้หวัน เมื่อเวลารับประทานอาหาร ท่านเหล่าเฉียนเหยิน ท่านเฉียนเหยิน และญาติธรรมจะคอยตักอาหารและบริการพวกเราตลอดเวลา เมื่อรู้ว่าพวกเราชอบรสเผ็ด ก้อุตสาห์หาพริกมาไว้บนโต๊ะอาหารอาหารที่รับประทานทุกมื้อก็ทำโดยอาสาสมัครที่เป็นญาติธรรม ผู้ที่มาเสิร์ฟอาหารตามโต๊ะก็เป็นอาสาสมัคร อาสามสมัครหลายคนได้ลางานมาเพื่อบริการและติดตามดูแลคณะผู้แทนสภาสังคมสงเคราะห์ ฯ บางคนเป็นถึงนายแพทย์ โดยเฉพาะอาจารย์ หลัน ซิวนี่ ได้เอารถยนต์ส่วนตัวมาให้ใช้ เป็นผู้ขับรถยนต์เอง และยังช่วยออกเงินค่าใช้จ่ายในการต้อนรับคณะผู้แทนสภาสังคมสงเคราะห์ ฯ ท่านเหล่าเฉียนเหยิน ท่านเฉียนเหยิน และญาติธรรม ที่เป็นผู้นำล้วนเป็นบุคคลที่มีคุณธรรม ที่น่าเคารพนับถือ เป็นผู้ปฏิบัติธรรม และเผยแพร่ธรรมะด้วยความเสียสละ และด้วยปณิธานอันมั่นคง ที่จะช่วยเหลือมนุษย์ให้ได้พบสัจธรรม พ้นจากความทุกข์และภัยพิบัติ ช่วยสังคม และโลก ให้ได้รับสันติสุขและสันติภาพอย่างแท้จริง โดยเฉพาะท่านเหล่าเฉียนเหยิน แม้จะมีอายุถึง 90 ปี ก็ยังมีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรง และยังปฏิบัติงานด้วยความเข้มแข็ง เป็นผู้ทรงคุณวุติ และทรงคุณธรรมที่ควรแก่การเคารพยกย่อง เป็นผู้สุภาพอ่อนโยน และเปียมไปด้วยเมตตากรุณา แม้ท่านจะอยู่ในตำแหน่งที่สูง เป็นประมุขสูงสุดของวงการอนุตตรธรรมในไต้หวัน เป็นผู้ที่สูงด้วยคุณวุติ และวัยวุติ เป็นที่เคารพยกย่องอย่างสูงจากบรรดาผู้บำเพ็ญธรรมทั้งในไต้หวันและประเทศต่าง ๆ แต่ท่านก็เป็นสุภาพอ่อนน้อมถ่อมตนอยู่ตลอดเวลา ไม่ได้ถือว่าตนเป็นคนพิเศษหรือวิเศษกว่าคนอื่น ทั้งที่ท่านเป็นผู้นำทางจิตใจ และทางวิญญาณ ที่สำคัญคนหนึ่งของโลกในยุคปัจจุบันนี้ แต่ท่านไม่ได้ประชาสัมพันธ์ตนเองเหมือนกับผู้นำคนอื่น ในการเดินทางไปไต้หวันในครั้งนี้ ได้มีโอกาสไปเยี่ยมชมสำนักธรรม เหยินไอ้จือเจีย (บ้านเมตตาธรรม) ซึ่งเป็นศูนย์กลางของวงการอนุตตรธรรมในไต้หวัน ตั้งอยู่บนเขาท่ามกลางธรรมชาติที่สงบสวยงาม แวดล้อมด้วยภูเขาและต้นไม้ มีอากาศและน้ำจากภูเขาที่บริสุทธิ์ มีอาคารที่ใหญ่โตสร้างอย่างวิจิตรพิสดาร ประกอบด้วยห้องไหว้พระ ห้องประชุม ห้องทำงาน ห้องพัก ใช้เงินค่าก่อสร้างทั้งสิ้นประมาณ 200 ล้านบาทเงินจำนวนนี้ได้มาจากการบริจาคของญาติธรรมทั้งหมด อนุตตรธรรมถือการไหว้พระเป็นกิจวัตรรที่ำสำคัญที่ขาดไม่ได้ จะต้องมีพิธีไหว้พระตอนเช้า ตอนค่ำ ก่อนการรับประทานอาหาร ก่อนการบรรยาย ก่อนจะจากสำนักธรรมไปก็ต้องไหว้พระ และเมื่อมาถึงสำนักธรรม ไม่ว่าจะเป็นเวลาใด ดึกเพียงใด ก็จะต้องไหว้พระก่อน และจะต้องกราบลงไปกับพื้น 19 ครั้ง กราบคารวะอนุตตรธรรม 5 ครั้ง สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในสากลโลก 3 ครั้ง พระศรีอริยเมตตรัย 3 ครั้ง พระโพธิสัตว์กวนอิม 1 ครั้ง พระอาจารย์จี้กง 1 ครั้ง พระโพธิสัตว์จันทรา 1 ครั้ง พระอาจารย์ 1 ครั้ง พระอาจาริณี 1 ครั้ง อาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรม 1 ครั้ง และนักธรรมอาวุโส 1 ครั้ง ประโยชน์ที่สำคัญที่ได้รับจากการเดินทางมาไต้หวัน ครั้งนี้คือ ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับคำสอนของอนุตตรธรรมและโอวาทของท่านเหล่าเฉียนเหยิน และท่านเฉียนเหยิน คำสอนของอนุตตรธรรมมาจากศาสนาที่สำคัญ 3 ท่านคือ พระพุทธเจ้า ท่านขงจื้อ และท่านเล่าจื้อ อนุตตรธรรมไม่ใช่ศาสนา แต่เป็นวิถีธรรม (เทียนเต้า) ที่นำไปสู่นิพพาน พ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด ความเป็นพุทธะมีอยู่ในทุกคน จึงมีสิทธิเท่าเทียมกันในการที่จะรับธรรมะ และปฏิบัติธรรม เพื่อชำระจิตใจให้สะอาด การนับถือศาสนาเพียงแต่สวดมนต์ ถ้าไม่ทำความดี ก้ไม่มีทางที่จะสำเร็จ รัตนะ 3 ประการของอนุตตรธรรมคือ ญาณทวาร รหัสคาถา และลัญจกร ญาณทวารคือประตูทวารที่ธรรมญาณผ่านเข้าออกเพื่อกลับคืนสู่นิพพาน รหัสคาถา คือสัจจคาถาที่ถ่ายทอดจากปากสู่จิต ลัญจกรคือสัญญลักษณ์ตราประทับของสิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นหลักฐานของผู้ที่ได้รับวิถีอนุตตรธรรม อนุตตรธรรมมีความกตัญญูเป็นคุณธรรมที่มีความสำคัญเป็นอันดับแรก เป็นต้นกำเนิดของความดีงาม เป็นคุณธรรมสำนึกที่ควรปฏิบัติรักษาเป็นสำคัญ ที่คนจะขาดเสียมิได้ขาดความกตัญญูเหมือนต้นไม้ที่ไม่มีราก ท่านเหล่าเฉียนเหยิน ได้ให้โอวาทที่มีคุณค่าหลายประการ อาทิ ประเทศชาติมีหลักที่ประชาชน ประชาชนมีหลักที่ใจ ศีลธรรมและวัฒนธรรมจึงเป็นรากฐานที่สำคัญของประเทศ ธรรมะอยู่ที่ตัวของเราเอง อยู่ในบ้านของเรา การปฏิบัติธรรม จึงต้องเริ่มจากตัวเราเองและครอบครัวของเรา จุดมุ่งหมายของอนุตตรธรรมคือทำให้ทั้งโลกเป็นครอบครัวเดียวกัน ประชาชนของประเทศต่าง ๆ มีความรักใคร่กันอยู่กันด้วยความสงบปราศจากสงคราม มีประชาชนในไต้หวันจำนวนหลายล้านคน ได้รับวิถีอนุตตรธรรม รวมทั้งเยาวชน นักศึกษา อาจารย์มหาวิทยาลัย นักธุรกิจ นักอุตสาหกรรม อนุตตรธรรมได้มีส่วนช่วยส่งเสริมคุณภาพชีวิตของชาวไต้หวันให้ดีขึ้น ช่วยทำให้สังคมและเศรษฐกิจของไต้หวันมีความเจริญรุ่งเรือง อนุตตรธรรมได้เผยแผ่ไปยังประเทศต่าง ๆ ทั้งในเอเชีย ยุโรป และอเมริกา รวมทั้งประเทศไทย โดยมีความมุ่งหมายที่จะให้ประชาชนของประเทศต่าง มีความรักใคร่กันเหมือนพี่น้อง ที่อยู่ในครอบครัวเดียวกัน ต้องการที่จะให้สังคมและโลกซึ่งเต็มไปด้วยความวุ่นวายและความขัดแย้ง มีสันติสุขและสันติภาพอย่างแท้จริง คำสอนของอนุตตรธรรมส่วนใหญ่สอดคล้องกับพระพุทธศาสนา เข้ากันได้ไม่มีอะไรขัดแย้งกัน พระพุทธศาสนาและอนุตตรธรรมจึงอาจจะร่วมมือและประสานงานกัน ในการพัฒนาจิตใจของคนให้สูงขึ้น พัฒนาคุณภาพชีวิตของคนให้ดีขึ้น พัฒนาสังคมให้มีความสงบเรียบร้อย พัฒนาประเทศให้มีความเจริญและมั่งคั่ง และสร้างโลกที่เต็มไปด้วยปัญหาและความขัดแย้ง ให้เป็นโลกที่น่าอยู่ยิ่งขึ้น เป็นโลกที่มีสันติสุขและสันติภาพอย่างแท้จริง สภาสังคมสงเคราะห์ อาจจะร่วมมือกับวงการอนุตตรธรรมในไต้หวันและในประเทศไทย ในการร่วมมือกัน เพื่อเผยแพร่คำสอนของพระพุทธศาสนาและคำสอนของอนุตตรธรรม ใน 2 โครงการคือ โครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนให้ดีขึ้น และ โครงการพัฒนาตามอุดมการ์แผ่นดินธรรมแผ่นดินทอง ซึ่งถือการพัฒนาจิตใจเป็นรากฐานที่ำสำคัญ โดยอาจจะร่วมมือกันในการอบรมเยาวชนและประชาชน ในการฝึกอบรมบุคลากรหรือวิทยากรด้านการพัฒนาจิตใจ และ การเผยแพร่แผ่นดินธรรม แผ่นดินทอง และ ในการจัดตั้งสถาบันฝึกอบรมเพื่อการพัฒนาจิตใจ
-
โอวาทท่านธรรมอธิการ
ผู้เฒ่าน้ำใส
ฝากเตือนบัณฑิตคนดี
ขอบอกกล่าวเหล่าบัณฑิตคนดี
เหลือเวลากี่ปีบำเพ็ญอยู่
ตั้งจุดหมายงานธรรมมุ่งมั่นรู้
เป็นงานคู่ชีวิตไว้ให้แบกมา
ภารกิจปณิธานอย่าลืมได้
ชีวิตใช่ละครเล่นเกมหรรษา
ไม่นานแล้วโลกวุ่นวายคล้ายโลกบ้า
ทุกชีวาสรรพสิ่งถูกทำลาย
คนดีได้รับธรรมจะพ้นภัย
สร้างบาปไว้ตกนรกเป็นแม่นหมาย
เมื่อดีชั่วแบ่งแยกแล้วแต่ละราย
จะเกิดกายอริยองค์ลงปกครอง
ทุกประเทศทั่วโลกฟังบัญชา
ทุกศาสนารวมเป็นหนึ่งไม่มีสอง
อนุตตรธรรมคำสอนปราชญ์จะรวมพ้อง
ชนทั้งผองทั่วโลกล้วนศรัทธา
หลังคริสต์ศักราชสองพันครันครบ
ทั่วพิภพประเทศจีนนำหน้า
ถึงคราวที่ผู้นำธรรมอาวุโสได้เวลา
เป็นสง่าหน้าชื่นได้รื่นเริง
โลกถูกจัดแต่งใหม่ให้สันติสุข
สร้างสรรค์ทุกทัศนะใหม่ได้เฉลิม
เสมอภาคทั่วโลกเห็นเป็นประเดิม
ทุกชาติเสริมคัดเมธีอริยา
พระวิสุทธีมีบุญประทับอาสน์
จะประกาศผลบุญใครได้ยศฐา ฯ
งานใหญ่ "หลงฮว๋า" เลือกพุทธา
แต่งตั้งอริยาบันทึกหมายในธรรมกาล
ยุคขาวเกณฑ์กัลป์ภัยได้กำหนด
เพียรธรรมหมด *เหล่า "ห้า" "สี่" คืนที่ฐาน
เพียรธรรมแท้ทำแน่เป็นเมธาจารย์
น่าสงสารผู้เสแสร้งจำแลงใจ
บรรลุธรรมเป็นศักดิ์ศรีแก่บรรพบุรุษ
สวยประดุจประดับนางงามสดใส
อีกลูกหลานได้รับบุญต่อ ๆ ไป
เป็นบุญใหญ่เสวยสุขหมื่นกว่าปี
เราผู้เฒ่าพยากรณ์ไว้ให้พิเคราะห์
ถึงเวลาเกิดจำเพาะเป็นสักขี
ใครผ่านเกณฑ์กัลป์ภัยไปครั้งนี้
ทุกชีวีจะอยู่อย่างพระพุทธา
ผู้เฒ่าน้ำใส
ฤดูหนาว ปีจอ ณ ฝูซันยงเอวี้ยน
หมายเหตุ : " ห้าเหล่า " คือ เหล่าฟ้า เหล่าคน, เหล่าป่าเขา, เช่น รุกขเทวดา, เหล่าคงคา, เหล่าธรณี
" สี่เหล่า " คือ เทพ พรหม พุทธะ อริยะ
~ จบเล่ม ~