นักธรรม

ห้องสมุด "นักธรรม" => หนังสือ => ข้อความที่เริ่มโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 17/07/2011, 23:49

หัวข้อ: ท่องพุทธาลัย (1) หมายเหตุนำเรื่อง
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 17/07/2011, 23:49
                  ท่องพุทธาลัย ชุดที่ 1  ศุภนิมิต แปล เรียบเรียง 

                              ระหว่างพุทธาลัย
                       กับการเวียนว่ายในวัฏสงสาร
                       เราท่านกำหนดการไปได้เอง       
           ได้โปรดอ่านทบทวนหลาย ๆ ครั้ง  ก่อนที่ท่านจะตัดสินใจ                       

                    ท่องพุทธาลัย  (1)  หมายเหตุนำเรื่อง

เทียนฝอเอวี้ยน       :  พุทธาลัย  ดุสิตสวรรค์ที่สถิตของพระโพธิสัตว์ ฯ
จื่อหยังกวน            :  ด่านแรกที่ธรรมญาณของผู้บำเพ็ญจะต้องไปรายงานตัว ฯ
สัจธรรม                :  ชีวิตจริง จิตภาวะเดิมแท้ของทุกคน ฯ
อักษรทอง บททอง  :  หนังสือท่องพุทธาลัยนี้ ฯ
ซันเป่าเจินฉวน        :  ไตรรัตน์สัจธรรม  แก้ววิเศษทั้งสามในตน เป็นสัจธรรมที่ได้รับการถ่ายทอดสืบมา ฯ
เทียนมิ่งเจินฉวน      :  พระโองการหรือพลังกำเนิดชีวิตจากฟ้า อันเป็นสัจธรรมที่ได้รับการถ่ายทอดมา ฯ
เต้าถ่งเจินฉวน         :  พงศาธรรมการสืบต่อพระอริยภาระแ่ละสมัย อันเป็นสัจธรรมที่ได้รับถ่ายทอดสืบต่อมา ฯ
ซินฝ่าเจินฉวน         :  วิถีแห่งจิตอันเป็นสัจธรรมที่ได้รับถ่ายทอดสืบต่อมา ฯ
หมิงซินเจี้ยนซิ่ง       :  ใจสว่างเห็นจิตภาวะตน ฯ
หยูไหล                :  ตถตา ไม่ไปและไม่มา ความเป็นเช่นนั้นเอง
โซวเอวี๋ยน            :   เก็บงาน คือเก็บความกลมกลืน  ทุกดวงจิตสำรวมชีวิตจนงามพร้อม ปราศจากอาสวะกิเลส คือเก็บงานในตนเอง ฯ  พระศรีอาริย์ โปรดเก็บทุกดวงจิตชีวิตญาณที่ดีงามทั้งสามโลก เพื่อเตรียมการสร้างโลกใหม่พระศรีอาริยืเรียกว่า เก็บงาน โซวเอวี๋ยน ฯ
เหลียงจือ    :  จิตวิสัย ธรรมชาติของจิตที่สมบูรณ์พร้อมในคุณงาม ฯ
เหลียงเหนิง  :  จิตภาพ  ธรรมชาติของจิตที่สมบูรณ์ด้วยคัมภีรภาพ ศักยภาพ พลานุภาพ ฯ

หัวข้อ: ท่องพุทธาลัย (1) พระโพธิสัตว์กวนอิมประทานคำนำ
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 18/07/2011, 00:27
ท่องพุทธาลัย(1)   พระโพธิสัตว์กวนอิมประทานคำนำ

          ถึงกำหนดโปรดทอดถ่ายให้สัจธรรม
          แต่โบราณปลูกเมธีวิถีแท้
          อนุตตรหนทางใหญ่ได้เผยแผ่
          สำนึกแน่แลเห็นหมดตถาคตในตน
                  เราคือ
    พระบรรพพุทธาทะเลใต้ (พระโพธิสัตว์กวนอิม)      กราบตอบสนอง
พระแม่อนุตตร                                                           บัญชา ลงมายังคำหนักฯ กราบคารวะ
พระแม่ ฯ แล้ว

          ยกพู่กันบัญญัติกล่าวเหล่าเมธา
          เร่งลืมตาระฆังทองก้องนานหนา
          จงบำเพ็ญช่วยสงเคราะห์เพราะศรัทธา
          ช่วยชีวาเร่งพายเรือเกื้อการุณ
                                                                                   ไฮ *
ไฮ : เสียงถอนพระทัยด้วยความสงสารห่วงใยเวไนยสัตว์

        หนังสือ "ท่องพุทธาลัย" ได้สำเร็จเป็นรูปเล่ม เหล่าบัณฑิตผู้บำเพ็ญแห่งเทวสถาน "ฮุ่ยเฉียว" ต่างช่วยกันเผยแผ่ด้วยศรัทธา แม้ทางไกลก็เดินกันเรื่อยไปไม่รู้หน่าย การดำเนินอนุตตรวิถีจนถึงฝั่งก็เช่นกัน แม้จะลำบาก แต่หากมีความมุ่งมั่นก็บรรลุได้ไม่ยาก บัดนี้เป็นกำหนดสุดท้ายในยุคธรรมกาล ผู้บำเพ็ญมากมายยังคง "ทัศนาเวหาจากก้นบ่อ" (หมายถึงมองดูท้องฟ้าเพียงวงแคบจากก้นบ่อก็มิรู้ความเป็นไปของโลกกว้าง) มิรู้ปริศนาแยบยลของการเกิดตาย  หลงอยู่กับความสุขสบายมิได้กำจายเมตตาจิต  ซุกมือยืนดูดาย ไม่สะเทือนใจอยากช่วยกัน ไม่มีความแข็งแกร่งมุ่งมั่น หวั่นเกรงการเคี่ยวกรำบำเพ็ญ อีกทั้งถดถอยไม่ก้าวไปทำให้ถ่วงเวลาของอริยกิจ เคราะห์ดีที่ศิษย์แห่งเทวสถาน "ฮุ่ยเฉียว" ซาบซึ้งพระเมตตาแห่งพระแม่องค์ธรรม สู้อุตสาห์รวบรวมพระโอวาทอันประหนึ่งหยาดโลหิตของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งสามโลกไว้เป็นเล่ม เพื่อผลในการกล่อมเกลากิเลส น่าอนุโมทนาสดุดียิ่งนัก หนังสือเล่มนี้จารึกสัจธรรม กำจัดคนหลง ธำรงยุติธรรม สังหารความชั่วร้ายด้วยปลายพู่กันและวาจา ชี้ให้เห็นจิตโดยตรง นำคนหลงให้สำนึกโดยฉับพลัน เห็นชัดในพระเมตตาจะหาใดเสมือนได้  หนังสือสำคัญเล่มนี้ ได้รวมเอาหลักธรรมการบำเพ็ญไว้ด้วยกัน นับได้ดังระฆังทอง ดังกลองเกราะที่เคาะให้ชาวโลกได้ตื่นใจ  ในโอกาสที่ส่งพิมพ์ เราจึงได้ให้คำนำ หวังว่าสานุชนผู้มุ่งทางธรรม จะได้พิจารณาศึกษาโดยละเอียด รักษาสัทธรรม ปฏิบัติบำเพ็ญเช่นแนวทางในหนังสือนี้  

        บันไดฟ้ามีไว้ให้เหยียบย่าง กำหนดการบรรลุมรรคผลอยู่ไม่ไกล

เมื่อเข้ายุคสาม ตามบุญวาระ          พุทธะ  จิตรับ
วิเศษสดับ      พระ ฯ ทอดสะพาน  รับงานแล้วเร่ง  
สร้างบุญกุศล  ให้ผลกลมกลืน       กลับคืนเมืองแมน
ชีวิตรากแก่น   แม้นรู้ชูเชิด           ประเสริฐ "ฮุ่ยเฉียว"

ประทานคำนำไว้เมื่อสิบเก้าค่ำ เดือน ยี่ ปีกุน พระบรรพพุทธาทะเลใต้ ณ พุทธสถานเผิงไหลเทียนฮ่วน  
หัวข้อ: ท่องพุทธาลัย (1) พระองค์ประธานสอบสามโลกประทานความเข้าใจ
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 18/07/2011, 00:51
                   ท่องพุทธาลัย  (1)  พระองค์ประธานสอบสามโลกประทานความเข้าใจ

สามทาน  :  เต็มเปี่ยม  เยี่ยมยอดยุญญา ดินฟ้าคุ้มครอง  จิตประภัส ฯส่อง ท่องผ่านการสอบ  ชื่นชอบเยือกเย็น
                                                                                                                                             เราคือ
        องค์ประธานคุมสอบสามโลก เม่าเถียน พระฯ พี่เจ้า น้อมรับพระโองการเบื้องบน มาประกาศกฏเกณฑ์ทางโลก
กราบพระแม่ ฯ แล้วถือพู่กันบรรยายเคียมคัล เทพ ฯ คน จงพร้อมกันสดับพระโองการ

        กฏเกณฑ์ทางโลก

        1.  หนังสือเล่มนี้สร้างสนองพระโองการพระอนุตตรพระผู้เป็นเจ้า ด้วยถ้อยคำเรียบง่ายแต่แฝงสัจธรรมความนัย เป็นคัมภีร์วิเศษ ปลุกผู้บำเพ็ญและคนหลงให้ตื่นใจ
        2.  หนังสือเล่มนี้สำเร็จได้จากความเหนื่อยยากของเทพ ฯ คน ร่วมกัน  อีกทั้งผู้ทำหน้าที่ในเทวโลก ยมโลก มนุษยโลก ด่านเก้าเก้าจื่อหยัง และพุทธาลัยถ่ายทอดความลับของ "จิต" และ "อนุตตรธรรม" ที่กล่าวในศาสนาต่าง ๆ ดุจนาวาวิเศษกู้โลก ซึ่งยากนักจักได้พบ  หวังว่าชนทั้งหลายจะได้อ่าน เคารพ ทำตาม สำนึก และประจักษ์จริง
        3.  ผู้จัดพิมพ์ แจกจ่าย แพร่หลายหนังสือนี้ ไม่ว่าแจกทาน ออกทุนพิมพ์เอง  ร่วมทุนพิมพ์  บอกบุญร่วมพิมพ์  บอกเล่า  บรรยาย  กระจายเผยแผ่  ล้วนได้รับลดหย่อนบาปเวรแต่อดีตชาติ  ดาวมงคลจะโอบอุ้ม  โรคระบาด  อุบัติภัยจากน้ำ  ไฟ  ภยันตรายจากโจรผู้ร้าย ศาสตราอาวุธ คุกตะรางจะไม่กล้ำกราย เมื่อบุญกุศลถึงพร้อม จะพ้นทุกข์สู่สุขาวดีตามมรรคผลที่ตนสร้างไว้
        4.  หนังสือเล่มนี้อยู่ ณ ที่ใด สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายทั่วทุกสากลจะคุ้มครอง พึงเก็บไว้ในที่สะอาด  หากมีคำผิดในหนังสือ คือคำผิดจากผู้คัดลอก อย่าได้ดูแคลนว่าร้ายให้เกิดโทษแก่ตนเอง ขอจงระวัง   
หัวข้อ: ท่องพุทธาลัย (1) ตอนที่ 1 ณ เชิงเขาไร้เงาประกาศพระโองการ พระฯ
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 24/07/2011, 00:33
ใจคือพุทธะจะยังหันหน้ามองหาที่ไหน
บำเพ็ญภายในเจดีย์หลิงซันบรรพตศักดิ์สิทธิ์
ภูเขาหัวใจอยู่  ณ  ที่ใดจะใคร่ชมชิด
แท้จริงสนิทติดตัวทุกผู้รู้ได้ด้วยตน  

ตอนที่ 1  ณ เชิงเขาไร้เงา ประกาศพระโองการพระแม่องค์ธรรมโปรดประทานให้ท่องพุทธาลัย

          อัสนีบาตฟาดครืนตื่นคนหลง
          จิตเดิมองค์จตุทวารทหารเฝ้า
          มโนมั่นจิตจากฟ้าอย่ารนเล้า
          แม่ทัพเฝ้าปราบมังกรเสือเพื่อบำเพ็ญ
                    เราคือ
     แม่ทัพ - ทหารฟ้า             อารักษ์
พระแม่องค์ธรรม                    สู่พุทธสถาน ร้อยกราบ
พระองค์                             ทรงพระเกษมแล้วรักษาการข้างพระแท่น มิกล่าวต่อไป
                                                               ฮวา  ฮวา  พัก



          สองเก้าบอกเล่านัย            ปริศนา
          ไม้กางเขนกังขา               หมดสิ้น
          โป๊ยก้วยกระถาง มีจิต         เป็นเจ้า
          พระเทพ ฯ สถิตดวงดาว      เข้าร่วมเก็บงาน
                    เราคือ  
     พระเทพ ฯ สถิตทั้งยี่สิบแปด        เฝ้าอารักขาพระบาท
พระแม่ ฯ                                    พร้อมกันลงสู่พุทธสถาน กราบคารวะ พระแท่นร้อยกราบ
                                               ขอพระองค์ทรงเกษม ฯ แล้วต่างทำหน้าที่พิทักษ์พุทธสถาน
                                                                                                                                        ฮวา  ฮวา  พัก



          โลกธาตุสะเทือนด้วย                เก็บงาน
          พระ ฯ บัญชาการเคร่งครัด          เข้มงวด
          บุญบาปทุกพระองค์ทรง             สอดส่อง
          หญิงชายทุกหมวดกอง              ให้พร้อมงานธรรม
                    เราคือ
     กวน - จาง - หลวี่ - เอวี้ย  จอมเทพวินัยธรทุกฝ่าย            เฝ้า
พระยุคลบาท                               พร้อมกันสู่พุทธตำหนัก กราบเฝ้า
พระแม่ ฯ แล้ว                              ถามปราชญ์ทั้งหลายคงสุขสบายในการบำเพ็ญ จงรักษาจริยะพร้อมกริยา อย่าได้เอ็ดอึง
                                               จะมิกล่าวมากไป ถอยไว้ข้างหนึ่ง
                                                                                                                                         ฮวา ฮวา พัก  



          สามเกรงเคร่งครัดเบญจคุณ
          เทียนฮ่วนมีบุญเร่งรับ
          เจ้าชีวิตจิตราบญาณใส
          ถูกสอบคงเพียนต่อไปเห็นไซร้โคมทอง    
                    เราคือ
     องค์อำนวยการสอบสามโลก เม่าเถียนพระ ฯพี่เจ้า   กราบเฝ้า
พระแม่ ฯ                                                 สู่พุทธตำหนัก กราบคารวะ ณ เบื้องพระแท่นแล้ว ถามทุกข์สุขน้องชายหญิง
                                                            มิกล่าวอื่นใดถอยไปข้างหนึ่ง
                      

                                                                                                                    ฮา  ฮา  พัก
หมายเหตุ :  
พระ ฯ = ในที่นี้หมายถึงพระแม่องค์ธรรม        
จิตเดิมแท้ = คือองค์ชีวิตจริงแห่งตน
จตุทวาร = คือ หู ตา จมูก ปาก      
ทหาร = คือใจที่ไม่คล้อยตามอารมณ์      
แม่ทัพ = คือจิตเดิมแท้ที่รู้สัจธรรม    
มังกรเสือ = คืออารมณ์ต่ำทรามชั่วร้าย      
ฮวา ฮวา = เป็นเสียงสรวลของพระองค์ฝ่ายอิทธิฤทธิ์    
โป้ยก้วยกระถาง = คือญาณทวาร
สองเก้า = หมายถึงพระธรรมาจารย์สมัยที่ 18  สมัยสุดท้าย ผู้ถ่ายทอดให้รู้จิตเดิมแท้แห่งตน
เก็บงาน = คือการปฏิรูปมนุษย์และสามโลกในยุคสุดท้ายนี้    
เทียนฮ่วน = คือ ชื่อเทวสถาน    
โคมทอง = คือ จิตประภัสสรของตน
สามเกรง (ซันอุ้ย) = คือ เกรงพระโองการเบื้องบน  เกรงผู้เป็นใหญ่   เกรงพระอริยะ  
เบญจคุณ (อู่เต๋อ) = นอบน้อม  โอบอ้อม  สัตย์จริง  หมั่นเพียร  ให้คุณ      
ฮา ฮา = เป็นเสียงสรวลของพระองค์ฝ่ายบุ๋น หรือ บุญฤทธิ์      
          
หัวข้อ: ท่องพุทธาลัย (1) ตอนที่ 1 ณ เชิงเขาไร้เงาประกาศพระโองการ พระฯ
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 6/08/2011, 04:43
                                ใจคือพุทธะ   จะยังหันหน้า   มองหาที่ไหน
                             บำเพ็ญภายใน   เจดีย์หลิงซัน   บรรพตศักดิ์สิทธิ์
                             ภูเขาหัวใจ        อยู่  ณ  ที่ใด  จะใคร่ชมชิด
                             แท้จริงสนิท      ติดตัวทุกผู้      รู้ได้ด้วยตน 

                                              ตอนที่ 1
                           
                              ณ เชิงเขาไร้เงา ประกาศพระโองการ
 
                        พระแม่องค์ธรรมโปรดประทานให้ท่องพุทธาลัย

        อู่หลุน     คุณสัมพันธ์ห้า     ปาเต๋อ
ชูเชิดเลิศเลอ                           ตนแท้้
ศาสนาสอนเอาเยี่ยง                   อริยะ
นำจิตญาณมั่นสงเคราะห์              เหมาะเช่นคนดี
                                                                                                                                                                 เราคือ
        พระศาสดาห้าศาสนา พร้อมกันสนองพระบาทฯ สู่พุทธตำหนัก กราบคารวะพระแม่ฯ แล้ว มองดูเมธีคนดีถ้วน ทุกคนคงล้วนสุขสบาย ยกพู่กันบรรยาย ให้รู้
กำหนดกาลของฟ้าดิน คนหลงจะลำบาก มีวิบากเพทภัย หรือใครจะพ้นทุกข์ จงมีจิตใจเมตตาดั่งฟ้าเบื้องบน นำพาผู้คนให้ขึ้นฝั่งกัน  สวรรค์ - นรกได้ปรากฏเปิดเผยแล้ว พุทธบุตรที่ได้วิถีธรรม พอมีทางจะป่ายปีน แต่จะให้บรรลุรู้แจ้งคงยากนัก พระวิสุทธิอาจารย์แห่งกำหนดการยุคขาวสว่าง เทียนหยาน ธรรมาจารย์ที่สิบแปด ทรงห่วงใย จึงได้กราบขอพระอนุญาตจากพระแม่องค์ธรรมให้เผยแผ่ความนัย เพื่อนำคนเดิมขึ้นสู่พุทธเกษตร  เรา ( พระศาสดาทั้งห้า ) ต่างปิติยินดี จึงร่วม
ช่วยจิตญาณร่างทรง ( ที่จะนำท่องพุทธาลัยในหนังสือเล่มนี้ ) ให้ได้เที่ยวชมทัศนียภาพพุทธาลัย อธิบายถ้วนถี่ แต่ละพระธรรมาจารย์ที่ประกาศถ่ายทอดวิถีจริงอาศัยอักษรบรรยายนี้เก็บงานของสามพุทธา ( คือ พระทีปังกรพุทธเจ้า - พระศากยพุทธเจ้า - และ พระศรีอาริย์พุทธเจ้า ) เก็บธรรมญาณทั่วไปพร้อมกันกลับคืนญาณบรรพต ( หมายถึง ศูนย์ที่สถิตของจิตญาณ )
                                                                                                                                                             ฮา   ฮา   พัก
        จันทร์เพ็ญ        เห็นน้ำใส        ญาณในชัด
ปัญญาจรัส                สาดฉายส่อง    ผองเวไนย
ด้วยสัมมา                 สัมพุทธะ        ประจักษ์ไข
พระหฤทัย                ในพระสูตร       ดุษณี
                                                                                                                                                             เราคือ
        พระโพธิสัตว์เอวี้ยฮุ่ยจันทรปัญญา   
สนองพระบาทพระแม่องค์ธรรม  สู่ตำหนักพระเบื้องบน กราบพระพักตร์แล้ว ศิษย์ทั้งหลายสบายดีหรือ วันนี้ ภาระใหญ่ใกล้จะมาถึง ฟ้าเบื้องบนกับคนรวมกันเป็นหนึ่ง จึงจะเก็บงานอันกลมกลืนได้ กาลเวลาคับขัน ขอจงอย่าเกียจคร้าน ให้ทุกคนทำสมาธิไว้ที่ญาณทวาร ลัญจกรโอบอุ้มให้สมบูรณ์ สัจคัมภีร์ ( พุทธจิตแท้แห่งตน ) ใกล้จะได้เวลาแสดง จะปล่อยให้สับสนวุ่นวายได้หรือ พระเทียนหยานอาจารย์ของเจ้าจะต่อจากเราประทับทรงมา ศิษย์เมธาจงสงบ ชำระใจน้อมฟัง เราจะหยุดไว้ไม่ต่อความ
                                                                                                                                                              ฮา   ฮา   พัก
        ฟ้าเบิกการ        งานรวบรวม        ร่วมหลงฮว๋า  ( คืองานชุมนุมพระอริยะ ณ เบื้องบน ในกำหนดกาลสุดท้าย )
แต่ทว่า                    คนเดิมยาก        จักรู้ซึ้ง        ( คนเดิม คือพุทธบุตรที่เบื้องบนได้โปรดประทานมาให้เกิดโดยตรง )
โบราณมา                 อนุตตรวิถี         มีเพียงหนึ่ง
คุณธรรมหมื่น             กลืนกลมใส      ในพุทธญาณตน
                                                                                                                                                                เราคือ
        เทียนหยาน พระอาจารย์ของเจ้า
กราบเฝ้าพระแม่ฯ มาสู่พุทธตำหนัก กราบคารวะพระแม่ฯ แล้ว จึงหันมาถามศิษย์ทั้งหลาย  ศุภดิถีวันนี้ ปีจอ วันเพ็ญเดือนสิบสอง ศศิธรเต็มดวง ท้องฟ้าหมื่นลี้เวิ้งว้างสะอาดปราศจากเมฆ  แม้เศษฝุ่นละอองมิแปดเปื้อน ทะเลใจใสฉ่ำ  ลมหนาวพัดพา อากาศเยือกเย็น อุ่นอยู่ภายในคือหัวใจธรรม สัมมาพลานุภาพอาบเอิบ พุทธสถานสุขสมานกลมกลืน บุญวาระ เทศะสถาน บันดาลให้ จิตใจทุกคนสมบูรณ์ งามเป็นศุภนิมิตมั่น อีกทั้งเพียบพูนบุญญาธิการอันแยบยล งานใหญ่ทั้งสามโลก จะปรากฏในดินแดนนี้ ไก่ทอง ( หมายถึง พระศรีอาริย์ในพระภาคบรรพจารย์จินกง ) จะขันสามครั้ง เก็บงานสมบูรณ์ในกำหนดกาลมะแม ( กำหนดกาลของธรรมกาลนี้แบ่งเป็นสิบสองทัศ มะแมเป็นทัศที่แปด ซึ่งใกล้จะถึงกาลสิ้นสุดในธรรมกาลนี้แล้ว ) เวลามาถึงแล้ว เร่งฉุดนำคนบุญ พร้อมกันกลับคืนบ้านเดิม
                                                                                                                                                                ฮา   ฮา   พัก
หัวข้อ: ท่องพุทธาลัย (1) ตอนที่ 1 ณ เชิงเขาไร้เงาประกาศพระโองการ พระฯ
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 6/08/2011, 05:41
                                ใจคือพุทธะ   จะยังหันหน้า   มองหาที่ไหน
                             บำเพ็ญภายใน   เจดีย์หลิงซัน   บรรพตศักดิ์สิทธิ์
                             ภูเขาหัวใจ        อยู่  ณ  ที่ใด  จะใคร่ชมชิด
                             แท้จริงสนิท      ติดตัวทุกผู้      รู้ได้ด้วยตน

                                              ตอนที่ 1
                           
                              ณ เชิงเขาไร้เงา ประกาศพระโองการ
 
                        พระแม่องค์ธรรมโปรดประทานให้ท่องพุทธาลัย

        วิเศษมี        วิเศษว่าง        อย่างใจฟ้า
ซึ้งพระมารดา         พาตัวสมมุติ    หลุดพ้นได้     ( คือพระอนุตตรธรรมเจ้า พระแม่องค์ธรรม )
พิจารณา              ฟ้าดินถ้วน      ควรปลงใจ
รูปเสียงไซร์           มิใช่ญาณ      นิรันดร์มา
                                                                                                                                                          เราคือ
        บรรพพุทธาทะเลใต้ พระโพธิสัตว์กวนอิม
สนองพระยุคลบาทองค์พระเมตตาฯ มาสู่ตำหนักฟ้า มิว่าความใด สงบไว้ข้างพระองค์
                                                                                                                                                           ฮา   ฮา   พัก
        นาวาทอง        ล่องเต็มลำ        นำคนเดิม
แม้มิเพิ่ม                 เสริมฝึกฝน        จะพ้นไฉน
ทุกบรรพจารย์           ท่านถ่ายทอด     จิตภายใน
โปรดชี้ให้                ในวิเศษทวาร      คือฉันเอง
                                                                                                                                                           เราคือ
        พระบรรพจารย์จงอี ( จินกงจู่ซือ )
สนองพระมหากรุณาฯ พระแม่องค์ธรรมสู่พุทธตำหนัก กราบคารวะพระองค์ฯ แล้ว ได้พบหลานศิษย์อยู่ใกล้ชิดเฝ้าพระบาท ล้วนปราชญ์เมธี ครั้งนี้ เทียนหยาน พระอาจารย์ของเจ้า เพื่อนำเหล่าคนหลง จึงกราบขอพระองค์ฯ อนุตตรมารดา โปรดอนุญาตให้พาเข้าชมพุทธาลัย เรียกวิญญาณที่ได้ยกระดับ กับทิพย์ญาณของเซียนใหญ่ มาบอกกล่าวความเป็นไป เรื่องการเก็บธรรมญาณ บันทึกเป็นอักษร ทุกตอนเผยความจริง จากพระองค์ทุกฝ่ายในชั้นฟ้า เหตุที่มาของเรื่องนี้ เพราะพอดีได้กำหนดกาล
                                                                                                                                                          ฮา   ฮา   พัก
        เมฆขยาย        ฉายแอร่ม        แจ่มจันทรา
วิเศษนาวา               พาคนบุญ        หนุนกู้กอบ
เอกวิถี                   ไม่มีสอง          ตรองให้รอบ
จิต คืือชอบ              บริสุทธิ์           ดุจฟ้าดิน
                                                                                                                                                              เราคือ
        สองพระกุมาร   เหวิน - เป่า
เฝ้าพระธรรมมารดา มาสู่พุทธสถาน กราบคารวะพระองค์ทรงเมตตาแล้ว ถามบัณฑิตท่านทั้งหลายสบายดี วันนี้ศุภฤกษ์จงเบิกใจฟ้าให้ปรากฏ คำในบทล้วนมีนัย จะไม่กล่าวให้มากความ ร่างทรงทั้งสามจงสงบใจ รอเฝ้าพระองค์ประทานพระโอวาท ซึ่งวิลาศดังบททอง
                                                                                                                                                          ฮิ   ฮิ   พัก           
หมายเหตุ  :  ฮิ ฮิ เป็นเสียงสรวลของพระองค์กุมาร - กุมารี     

        ธำรงสัทธรรม        สามโลก        ทศทิศ
งามวิจิตร                     อภิภู             อยู่เหนือโลก
วิเศษชั้น                     มหายาน         ประทานโปรด
เรืองวิโรจน์                  โชติช่วงฐาน     บัลลังก์บัว
                                                                                                                                                             เราคือ
        อนุตตรธรรมมารดาเจ้า พระผู้เป็นเจ้าแห่งญาณทั้งมวล นำบุตรพุทธาสู่โลกาแผ่นดิน   มาสู่พุทธสถาน มิทันจะตรัสถ้อย น้ำพระเนตรก็ร้อยระเรียงลง เมื่อนึกถึงมหันตภัยสุดท้ายในครั้งนี้ พระฤดีก็วิปโยค เห็นลูกทั้งหลายให้สงสาร ถูกภัยพาลกันทุกคน ใครหรือช่วยให้พ้น ผจญภัยใครฉุดจูง
                                                                                                                                                            ไฮ   พัก   
หัวข้อ: ท่องพุทธาลัย (1) ตอนที่ 1 ณ เชิงเขาไร้เงาประกาศพระโองการ พระฯ
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 6/08/2011, 07:14
                                ใจคือพุทธะ   จะยังหันหน้า   มองหาที่ไหน
                             บำเพ็ญภายใน   เจดีย์หลิงซัน   บรรพตศักดิ์สิทธิ์
                             ภูเขาหัวใจ        อยู่  ณ  ที่ใด  จะใคร่ชมชิด
                             แท้จริงสนิท      ติดตัวทุกผู้      รู้ได้ด้วยตน

                                              ตอนที่ 1
                           
                              ณ เชิงเขาไร้เงา ประกาศพระโองการ
 
                        พระแม่องค์ธรรมโปรดประทานให้ท่องพุทธาลัย

        ในมหาสากลโลกธาตุอันมิอาจประมาณ มีหนึ่งทวารวิเศษล้ำ สามโลกต่างสะทกสะเทือนเรื่อง " เก็บงาน " เทพพรหมต่างแบ่งภาคลงมาเกิด ทำงานครั้งใหญ่ในโลกละคร (โลกมนุษย์) สำคัญนักในวาระ มะเมียมะแม คาบเกี่ยว พระบุตรเดิม ไม่เฉลียวช่วยไม่ได้ หลงมัวเมา รูปอบายใจมีดมิด วุ่นวายจิตโลภ โกรธ หลง และรักใคร่ หลงรูปกายตัวสมมุติ ลืมจิตใส ( จิตเดิมแท้ ) ดอกไม้ในกระจก ดวงจันทร์ในน้ำ ลับหายไปต่อหน้า ต่างฉุดคร่าประหัตประหารกันทั่วไป เกิดสงครามโจรภัยในบ้านเมือง ฟ้าดินใกล้จบสิ้นกาลกำหนด มหันตภัยจะบี้บดรอนราญ สรรพสัตว์ด้อยปัญญาน่าสงสาร ขยับพู่กันเผยความในใจ เพื่อฝากให้พระบุตรหลุดพ้นโลกีย์ หญิงชายล้วนแบ่งภาคไปจากธรรมมารดา แม้สักคนหนึ่งไม่กลับมา แม่ก็ร้อนใจดังไฟรน  ดูดูกาลเวลาคับขัน ก่อนอื่นเร่งเก็บงานให้พ้นภัย พระพุทธาบรรพจารย์ตั้งปณิธานกันยิ่งใหญ่ เผยแผ่วิถีธรรมให้ จะได้รู้ชีวิตจริง ในโลกจิตญาณ " เทียนหยาน "  คุณสูงสุด ในแดนวิมุตติ " เอวี้ยฮุ่ย " สืยสายใยโยง กวน จาง หลวี่ เอวี้ย  ( กวน คือกวนกง  จาง คือจางเฟย (เตียหุย)  หลวี่ คือหลวี่ต้งปิน  เอวี้ย คือเอวี้ยเฟย (งักฮุย) ทั้งสี่พระองค์สนองพระโองการเป็นสี่จอมเทพวินัยธร ในธรรมกาลยุคขาวนี้ ) แผ่บุญญาธิการ ประทับทรงตามเทวสถาน อรรถาสัจธรรมโน้มนำมนุษย์เซียน สัจธรรมจากชั้นอนุตตรเริ่มแพร่หลาย การบุกเบิกก็ขยาย ปรากฏกุมุท ( ได้ผู้บรรลุ ) ทุกอนุตตรพุทธสถานสืบทอดงานพระพุทธา ทุกเวลากล่อมเกลาใจธรรมให้มั่นคง แต่อนิจจาใจคนหนักในเบ็ญจขันธ์ จึงแบ่งแยกกันเป็นตรงข้าม ทำให้สายทองผิดแผกแบ่งเขาเรา ติดรูปลักษณ์ดีชั่ว มัวนินทา เป็นผลพาทำลายธรรมโองการธรรมนาวา ธรรมจักรวาล ( เต้าผัน : คือขอบข่ายการปกครองถ่ายทอดวิถีธรรมฯ ) ธรรมกาล ( เทียนผัน : กำหนดกาลการปกครองถ่ายทอดวิถีธรรม ) แปรไป ใครเลยจะรู้ชัด หมื่นพันศาสนาพากันเกิด ประตูนรก - สวรรค์เปิด เผยบันทึกได้พบเห็น พุทธะจี้กงนำขึ้นบัวบัลลังก์ ชี้ทางแนะนำพุทธบุตรให้รุดเดิน เพื่อฉุดช่วยผู้มีพื้นฐานบุญงาม ให้เสริมสร้างวิมานนิพพานกัน ทิวทัศน์ของสามโลกผู้คนเล่าขานกันระบือ แต่ " พุทธาลัย " หรือดู ยังเป็นม่านหมอก ไม่เคยพบประสบรู้ ไม่เคยดู ไม่เคยได้ยิน พุทธบุตรเพียรถวิล ได้แต่จินตนาการ กลางทางแยก ( คือจิตของตัวเอง คิดชั่ว คิดผิด เหมือนหัวเสือคอยทำร้ายตัวเอง การคิดร้ายต่อผู้อื่น ก็คือการทำร้ายตนเองเช่นกัน ) สี่แพร่งกากะบาด มีหัวเสืออ้าปากคอยทำร้าย แต่ละสายหน่วยธรรมต่างชิงดี บ้างยกตนขึ้นเป็นธรรมาจารย์ บ้างเป็นพระศรีอาริย์มาโปรดสัตว์ ซันเป่าไตรรัตน์บ้างตัดทอน พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นวิถีแห่งจิตในตนไม่เสาะค้นและศึกษา สู่รู้พูดพล่าม สิ้นพุทธภาวะ ยึดมั่นเวทมนต์คาถา ภาวนานั่งนิ่ง  พูดกันงามจริงว่าบำเพ็ญกายเนื้อ กายใน ละเลยพุทธระเบียบ หมิ่นเจตนาพระอาจารย์ ใจคอฮึกหาญประกาศเก็บงานด้วยตนเอง สามสิบหกพระศรีอาริย์ เจ็ดสิบสองพระธรรมาจารย์ปลอมจะอวดอ้างต่างมีพระโองการฯ หมู่มารพากันจำแลงเป็น " กงฉัง " อีกทั้งเป็นศรีอาริย์มาหลอกล่อ บ้างก็ลวงให้เบิกญาณทวารใหม่ บ้างแย่งชิงพระโองการบ้ากันไป อาศัยงานธรรมบำรุงพกห่อตน บ้างโลภอยากผลบุญสักการะ จนชื่อเสียงธรรมะต้องเสียหาย อลวนวุ่นวายสับสนล้วนกลลวง พุทธบุตรจะเคว้งคว้างน่าสงสาร การ "เก็บงาน " อาศัยฟ้าเบื้องบนเป็นหลักใหญ่ มิใช่เฉพาะใครเฉพาะสถานทำการได้ จงพิจารณาถ้าจะแก้หมอกควัน ให้ทุกคนเข้าใจกันถึงความจริง ศรีอาริย์ได้กราบทูลการดังว่า กวนอิมก็เมตตาขออนุญาต ให้ " เทียนหยาน " ธรรมจารย์ที่สิบแปด สนองพระโองการครั้งใหม่ รังรองให้ " อู้เอวี๋ยน " ท่องไปเยี่ยมพุทธธาลัยพร้อมกับพระอาจารย์ เพื่อไขสัจธรรมจารึกไว้เป็นบททอง ภาระนี้ยิ่งใหญ่สำคัญขั้น " เก็บงาน " จึงเผยสัจธรรมตามเหตุปัจจัยและวาระ ได้บัญชาทุกด่านทั้งสามโลก เปิดทวารร่วมงานบันทึกให้สมบูรณ์ มิให้ขัดข้องมองข้ามความสำคัญ  เทพฯ คน ร่วมแรงกันแพร่ธรรม ธงประกาศิตยุคขาวครอบคลุมมหาโลกธาตุ ( คือการเผยแผ่วิถีอนุตตรธรรมด้วยพระโองการจากพระอนุตตรธรรมเจ้าในครั้งนี้มีผลไปถึงชั้นเทพพรหม ) อย่าได้หลงดื้ออยู่ดูเป็นเล่น หกหมื่นปีมิเคยมีที่พุทธบุตรร่วมเทิดธรรมกาล บันทึก " ท่องนรก " ให้ขยาดบาปกรรม " ท่องสวรรค์ " เพื่อจรรโลงงานธรรม  " ด่านจิ่วหยัง " เพื่อเคี่ยวกรำมุ่งบำเพ็ญ  บนสวรรค์ชั้นดุสิตจะชมชิดสมานฉันท์ ศรีอาริย์ พระบุตร เปิดวิสุทธิ์แดนดิน วาระที่สามงาน " หลงฮว๋า " เก็บชีวิตเศษญาณที่ดื้อด้าน " กงฉัง " กวาดละอองโลกีย์แทนหน้าที่บรรพจารย์ " เมี่ยวซัน " บุญญาธิการช่วยรานทุกข์ จับปลูกโลกโลกีย์เป็นบัวบาน  ศรีอาริย์ประกาศเอกภาพแดนวิสุทธิ์ เป็นโอกาศ " เก็บงาน " ครั้งใหญ่ หญิงชายพากันบรรลุอรหันต์ สามพระพุทธาจะเก็บงานตามกำหนดจากบรรพกาล เพื่อช่วยให้บรรลุสุญตาญาณในธรรมกาลนี้
                                                                                                                                            ไฮ   ไฮ   พัก
หัวข้อ: ท่องพุทธาลัย (1) ตอนที่ 1 ณ เชิงเขาไร้เงาประกาศพระโองการ พระฯ
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 6/08/2011, 15:03
                              ใจคือพุทธะ   จะยังหันหน้า   มองหาที่ไหน
                             บำเพ็ญภายใน   เจดีย์หลิงซัน   บรรพตศักดิ์สิทธิ์
                             ภูเขาหัวใจ        อยู่  ณ  ที่ใด  จะใคร่ชมชิด
                             แท้จริงสนิท      ติดตัวทุกผู้      รู้ได้ด้วยตน

                                              ตอนที่ 1
                           
                              ณ เชิงเขาไร้เงา ประกาศพระโองการ
 
                        พระแม่องค์ธรรมโปรดประทานให้ท่องพุทธาลัย

        อันที่จริงอนุตตรภาวะปราศจากรูปนามแต่จำต้องกำหนดคำว่า " ธรรมะ " มรรค ( มีองค์ประกอบ คือเห็นชอบ ดำริชอบ เจรจาชอบ ทำการชอบ เลี้ยงชีพชอบ เพียรชอบ และสมาธิชอบ )เดิมที มิมีข้อวัตร จำต้องจัดองค์ประกอบเพื่อโน้นนำจิต ดังคำกล่าวว่า " ขาดความเป็นธรรมะเมื่อเป็นวจนะกลางอ้าง เมื่อจิตหลุดพ้นพลันสงขารก็ว่างเปล่า " หมื่นพันธรรมารมณ์จึงเกิดดับด้วย " จิตภาวะ " ฉะนี้ เหตุปัจจัยจึงไม่อาจทำให้จิตภาวะเปลี่ยนไป จิตภาวะจะไม่เปลี่ยน แม้ได้รับเหตุปัจจัย อีกทั้งไม่มัวหมอง ประภัสสรปราศจากอุปสรรค เป็นสัพพัญญูรู้ธรรมธาตุ ร่วมมหากรุณาสภาวะเดียวกัน บริบูรณ์ งดงาม เป็นมหาเมตตาเหนือเหตุเนื่องนำ ร่วมศักยภาพกับอนุตตรธาดา ( คือพระแม่องค์ธรรมพระผู้สร้าง ฯลฯ ) ฟ้าดิน ก่อกำเนิดสรรพสิ่ง เวียนธรรมจักร เบิกหนทางอมตะ รู้แจ้ง ทั้งนี้ มีบรรพจารย์สืบต่อตามสมัย ศาสดาทั้งห้าสนองบัญชาถ่ายทอดโดยสัตย์จริง กำหนดการของฟ้าดำเนินมาถึง "เอี๋ยนคัง " ( เพียบพร้อมโอฬาร ) เป็นทิศที่เจ็ด กำหนดกาลมะเมียคาบเกี่ยวมะแม ความรู้ของผู้คนเบิกบาน อารยธรรมล้ำเลิศ สมบูรณ์พูนสุขที่สุดกับวัตถุอยู่กิน ดังแดนดินบนวิมาน ที่น่าสงสารคือ หลงเปรมปลื้มกับอารมณ์รูปกายจนจิตใจเคว้งคว้างว่างเปล่า สูญเสีย " จิตภาวะ " อันเลิศล้ำเหนือสามโลกของตน ดังนั้นมโนธรรมจึงไม่ฟื้นสว่างใส ชีวิตเปลี่ยนไปเป็นมืดดำคร่ำนรก ขาด " คุณธรรม " ซึ่งสำคัญเช่นกระดูกเอ็นที่ค้ำคูณรูปกายให้อยู่ในกรอบ บัดนี้ ชีวิตจิตญาณจึงเคว้งคว้างขาดหลักอาศัย เหมือนล่องลอยอยู่ในทะเลวิญญาณดุจคนไม่มีหัวใจที่ปล่อยกายไปตามยถากรรม เมื่อหลักธรรมของจิตแฝงต่ำ สัจธรรมก็ยากจะปรากฏ พฤติการณ์ย่อมออกนอกลู่ และสร้างบาปเวรแห่งการเวียนว่าย อนิจจา วาสนาหรือทุกข์ภัยมิได้เปิดทาง แต่อยู่ที่ต่างนำกันเอง ใจฟ้าเมตตา จะหาเหตุเภทภัยให้มนุษย์มีหรือ ความทุกข์ร้อนเภทภัยในโลกขณะนี้ เป็นกรรมหมู่อันเป็นผลจากที่ทุกคนร่วมกันก่อมา น่าเวทนานัก คัมภีร์มีคำกล่าวว่า " จิตตน ตนฉุดช่วย พุทธะมิอาจช่วย "  บาปเวรของตน จะต้องแก้ไขลบล้างด้วยตนเอง ปุถุชนคนหลงได้แต่พึ่งพาอาศัยสิ่งนอกกาย ไม่รู้จักจิตตน ไม่กระจ่างในจิตภาวะธรรมญาณ ของตนอันเป็นหนึ่งเดียวกันกับอนุตตรมารดา หวังแต่จะให้พุทธะมาฉุดช่วย แต่ไม่พิจารณาก้มหน้าคราดไถพุทธจิตเนื้อนาตน เช่นนี้ จะมีวันคืนกลับร่วมสมานกับธรรมมารดาได้หรือ  ในครั้งกระโน้น แม่ได้บัญชาแบ่งห้าศาสนาใหญ่ ให้สืบสายอริยะ สืบต่อบรรพจารย์แต่ละสมัยในโลกโลกีย์ ถ่ายทอดสัจธรรมแทนฟ้าดิน ก่อตั้งศาสนานำพาสาธุชน แต่ละภาคพื้น  ทุกหลักการที่ยึดถือก็คือสัจอนุตตรหฤทัยแม่ อันเป็นสูญญตาอันวิเศษ  ตามเหตุแห่งบุญวาระอันสำควรสำหรับผู้คนในแต่ละดินแดน เพื่อง่ายแก่การสื่อความ ชาวโลกจึงจัดทำคัมภีร์หลักศาสนาสืบต่อมา ดังบันไดฟ้าพาชาวโลกก้าวขึ้นสัมมาวิถีอันจีรัง แต่น่าเสียดายที่ใจคนลุ่มหลง น้อยนักจักรู้แจ้งในสัจธรรมความเป็นหนึ่งเดียว จึงต่างแบ่งสถานภาพจับจ้องกัน ปิดกั้นด้วยกำแพงเหล็ก บ้านใครบ้านมัน อีกซ้ำห้ำหั่นทำลายกัน อนิจจา  เจ้าล้วนพี่น้องร่วมมารดา สัมพันธ์ดังแขนขา แต่กลับเข่นฆ่ากันดังเชื้อไฟ ต้นถั่ว ต้มถั่วเอง เช่นนี้มีหรือที่พระแม่จะทนได้
หัวข้อ: ท่องพุทธาลัย (1) ตอนที่ 1 ณ เชิงเขาไร้เงาประกาศพระโองการ พระฯ
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 7/08/2011, 02:01
                                 ใจคือพุทธะ   จะยังหันหน้า   มองหาที่ไหน
                             บำเพ็ญภายใน   เจดีย์หลิงซัน   บรรพตศักดิ์สิทธิ์
                             ภูเขาหัวใจ        อยู่  ณ  ที่ใด  จะใคร่ชมชิด
                             แท้จริงสนิท      ติดตัวทุกผู้      รู้ได้ด้วยตน

                                              ตอนที่ 1
                           
                              ณ เชิงเขาไร้เงา ประกาศพระโองการ
 
                        พระแม่องค์ธรรมโปรดประทานให้ท่องพุทธาลัย

        แม่รวดร้าวปวดใจ จึงได้บัญชาพระบุตรศรีอาริย์  จี้กง  กวนอิมฯ  พร้อมกันสนองพระโองการแบกภาระร่วมเก็บงานธรรมนับหมื่นที่แยกย้าย กลับคืนสู่อริยกิจต้นเดิมเดียวกัน จากนั้นก็บัญชาพระบุตร กวน  จาง หลวี่  เอวี้ย  ( กวนอู จางเฟย หลวี่ต้งปิน เอวี้ยเฟย ) นำเหล่าเทพเจ้าประจำดวงดาว เป็นแนวหน้าแผ้วถางทางโลก ช่วยเก็บงานในธรรมกาลนี้  ฉะนั้น  เมื่อโองการประกาศิตยุคขาวได้ประกาศ  ทั้งสามโลกจึงต้องฟังพระบัญชา จึงต้องแสดงบุญญาฯชักนำสานุศิษย์ตน ให้ละชั่วบำเพ็ญเพื่อแปรเปลี่ยนภัยพิบัติ จนถึงสร้างสรรค์แดนสุขาวดีแดนพุทธะ ให้เป็นเอกภาพในโลกมนุษย์ ทุกคาบสมุทรคืนสู่สัจวิถี ทั้งสี่ทิศและใจกลางต่างคืนสู่ต้นกำเนิดเิดิม เมื่อถึงเวลานั้น พระบุตรศรีอาริย์จะต้องลงสู่แดนดินบำเพ็ญบรรลุมหาพุทธาและเวียนธรรมจักรภายใต้ต้นโพธิ " หลงฮว๋า " กำหนดต้นจะฉุดช่วย เก้าพันหกร้อยล้านชีวิต  กำหนดที่สองจะฉุดช่วย เก้าพันสี่ร้อยล้านชีวิต  ให้คนเดิมในวิสุทธิแดนดิน พร้อมกันสดับสัมมาสัมพุทธธรรม พ้นจากเวียนว่ายตัดขาดจากเหตุปัจจัยในกิเลสกามทั้งปวง บรรลุเหนืออรหัตผลยิ่งขึ้นไป  นี่คือ ฟ้าเบิกดิถีหลงฮว๋า อันเป็นเหตุที่มาของการฉุดช่วยพุทธบุตรในธรรมกาลยุคขาวอย่างกว้างขวางครั้งนี้  อริยกิจแห่งธรรมกาลยุคขาว นับตั้งแต่พระบุตรกงฉัง และ จื่อซี่  สนองพระโองการคืนกลับ กระแสธรรมมุ่งสู่เกาะแก้วแดนสวรรค์ (ไต้หวัน) ก็เริ่มมีผู้สำแดงมิจฉาวาจาฮึกเหิม  บรรพจารย์ปลอม  กงฉังปลอม  ชิงกันปรากฏในอาณาจักรธรรม  บ้างอวดอ้างว่าตนได้รับสนองพระโองการเฉพาะจากพระธรรมาจารย์  พระธรรมจาริณี ( ซือจุน ซือหมู่ ) อวดอ้างว่าสืบสายโดยตรงจากพระธรรมจาริณี ถือดีว่าเป็นสายทองที่แท้จริง บ้างยกตนว่าเป็นเอกเพียงผู้เดียวที่สามารถเก็บงานในครั้งนี้ บ้างป่าวร้องอวดอ้างว่า " พระอาจารย์องค์น้อย " ( พระภาคใหม่ของพระศรีอาริย์ ) อยู่ในความอารักขาของตน บ้างแสดงตนเหนือท่านโดยอ้างว่ามี " ถุงย่าม " ( ถุงย่ามพระศรีอาริย์ )  อยู่ในครอบครอง  บ้างยกตนว่าเป็น " กงฉัง " องค์ต่อมา  ยิ่งกว่านั้น ยังมีผู้ก่อตั้งพงศาใหม่ ( แยกออกจากพงศาธรรมเดิม ) กำหนดไตรรัตน์เสียเอง มีแนวทางพฤติการณ์ต่าง ๆ มากมาย อนิจจา พวกมิจฉาปฏิบัติกำเริบเสิบสาน เอาความหลงมานำคนหลงให้หลงตาม ชาวโลกตาดำ ๆ จะเชื่อฟังใครดี  ทะเลมนุษย์อันกว้างใหญ่ พระพุทธะทั้งหลายสู้อุตส่าห์สร้างรากฐานอริยไว้ แต่จะต้องกลับถูกทำลายไปในคราวนี้  ในขณะที่ธรรมจักรวาลกำลังยุ่งเหยิงอยู่นี้ เมฆหมอกสถานการณ์กำลังเปลี่ยนสี ตะวันเดือนอับแสง  ( พระธรรมาจารย์  พระธรรมจาริณี  กลับคืนเบื้องบนไปแล้ว ) สามสิบหก " กงฉัง " ปลอม " เจ็ดสิบสอง " ศรีอาริย์ " ปลอม จะทยอยกันปรากฏมาก่อกวนอาณาจักรธรรม ทำลายปัญญาญาณของผุ้บำเพ็ญนับไม่ถ้วน
หัวข้อ: ท่องพุทธาลัย (1) ตอนที่ 1 ณ เชิงเขาไร้เงาประกาศพระโองการ พระฯ
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 7/08/2011, 02:42
                                          ใจคือพุทธะ   จะยังหันหน้า   มองหาที่ไหน
                             บำเพ็ญภายใน   เจดีย์หลิงซัน   บรรพตศักดิ์สิทธิ์
                             ภูเขาหัวใจ        อยู่  ณ  ที่ใด  จะใคร่ชมชิด
                             แท้จริงสนิท      ติดตัวทุกผู้      รู้ได้ด้วยตน

                                              ตอนที่ 1
                           
                              ณ เชิงเขาไร้เงา ประกาศพระโองการ
 
                        พระแม่องค์ธรรมโปรดประทานให้ท่องพุทธาลัย

        พระบุตรทั้งหลายให้รอบคอบจดจำ  พิจารณาให้ถ่องแท้ในไตรรัตน์แห่งธรรมกาลยุคขาว ซึ่งเป็นวิถีแห่งจิตอันแยบยลแท้จริง ก็จะไม่ถูกหลอกลวงด้วยคำพูดชวนหลง แต่หากยังหลับหูหลับตาติดตามบำเพ็ญตามคำสอนมิจฉาวิถีจะไม่มีวันหลุดพ้น รากโคนพุทธะก็จะขาดไป พุทธบุตรที่จริงใจใฝ่บำเพ็ญบนเกาะแก้วดินแดนพุทธะ จะจำแนกอย่างไรว่าใสหรือขุ่นตม  จงจำคำแม่ "" สัจธรรมเท่านั้นที่เป็นสายทองของลูก "" ดังคำกล่าวว่า ""เป็นธรรมะจงเข้าใกล้ มิใช่ให้ถอยห่าง""  ก่อนที่สุริยาจะส่องฟ้าอยู่รำไร จะต้องมีมารอสูรกายให้ร้ายหลอกล่อ เพื่อสอบปัญญา หรือว่ายังหลง เพื่อแบ่งแยกคนที่เป็นหยกหรือเป็นหิน แม่จึงหวังอย่างยิ่งว่า ลูกทั้งหลายจะระมัดระวังกายใจ มิให้ตกสู่บ่วงมาร รนหาทางนรกอเวจี เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ น้ำตาก็ปรี่ซับทรวง หวังว่าพระบุตรกงฉัง จะใช้โอกาสบันทึก
การท่องเที่ยว เปิดเผยความเป็นจริงของพุทธาลัย กวาดล้างบรรยากาศมารในธรรมจักรวาล เปลี่ยนแปลงโลกมนุษย์ให้เป็นดินแดนวิสุทธิ์โดยไว

        หกหมื่นปี             เพิ่งมีมา             ในครานี้
ฟ้า - ปฐพี                    สะเทือนลั่น         มารหวั่นไหว
ยุคเขียว แดง                แฝงคืนสู่             สุทธาลัย
ช่วยงานใหญ่                ธรรมกาล             งานหลงฮว๋า
        แสนเหนื่อยาก       ลำบากนำ            วิถีธรรมโปรด 
หวังชาวโลก                 สัมพันธบุญ           หนุนขึ้นฝั่ง
ทิ้งทะเลทุกข์               ปวงผูกพัน             พากันวาง
สู่สถาน                      ญาณวิสุทธิ์            วิมุติตน
        เก็บธรรมญาณ      เป็นงานใหญ่          ทำในโลก
ด้วยแปรโปรด              โลกโลกีย์              คลี่บัวฐาน
สามพุทธา                  สนองพระบัญชา      ร่วมรับงาน
ต่างวิ่งพล่าน                ถ่ายทอดให้           ได้สัจธรรม
        หมื่นเซียนพา       มาสู่โลก               โปรดโน้มน้าว
เทพฯ เดือนดาว           ช่วยเก็บงาน            กันแข็งขัน
กำหนดกาล                มะเมียมะแม            คาบเกี่ยวกัน
เกิดภัยมหันต์              จึงสู่หล้า                 มาชุมนุม     
        เกาะแก้วสวรรค์    ยึดมั่นใน                สายทองแท้
ลูกของแม่                  จงจดจำ                คำแม่กล่าว
งอนิ้วนับ                    จำกัดกาล              ไม่นานเนา
สู้เร่งเท้า                    ใฝ่ก้าวหน้า             ฝ่าบ่วงมาร
        ถ่ายทอดหลัก      สัจธรรมแท้            แผ่บันทึก     ( บันทึกท่องพุทธาลัย )
จงตรองตรึก                สำนึกมั่น               หมั่นศึกษา
จงซอกซอน               วอนบอกเล่า            กล่าวนำพา
ช่วยมารดา                 ฉุดเวไนย               หายโง่งม
        ทุกเท้ามือ          คือน้องพี่               ฤดีร่วม
"หลงฮว๋า" รวม             สรวงสมาน             สัมพันธ์ฟ้า    ( หมายถึง ทุกคนคือพี่น้องร่วมพระแม่องค์ธรรม )
ต่างบรรลุ                    ปณิธาน                ต่างนำพา
เพื่อธรรมา                  จะเปิดกว้าง            พร่ำปากใจ
        สำเร็จคุณงาม      ธรรมกาย               ได้อยู่ยง
เข้าร่วมวง                   พุทธบุตร               รุดฉลอง
ถึงตรงนี้                     หยุดพู่กัน               จำนรรกลอน
พระบุตรพร้อม              แม่นำขึ้น                คืนสุทธา ฯ
                                                                                                                      ไฮ   ไฮ   ถอย   
หัวข้อ: ท่องพุทธาลัย (1) ตอนที่ 2 : ใต้ภูเขาหัวใจ แฝงความนัย อันล้ำลึก ฯ
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 7/08/2011, 20:39
                                ไม่เห็นความแฝง        ไม่แสดงความอ่อน
                             ใจเพียงไหวคลอน         พลังซ่อนก็ตามมา   

                                                ตอนที่  2

                              ใต้ภูเขาหัวใจ     แฝงความนัย     อันล้ำลึก         
                           หญิงชายตรึก        นึกคิดเกิด        เปิดสามทาง
                ( จิตล้ำลึกบริสุทธิ์ จะถูกฉุดด้วยอารมณ์นึกคิดให้เวียนว่ายในสามโลก )               

        จิตเป็นสอง        พลันต้องตก        โลกโลกีย์
คลื่นฤดี                    มีลมหวน            ป่วนแปดทิศ
อยู่อาศัย                  ในโลกคน           จนหลงผิด
ญาณชีวิต                 จิตไม่ตื่น            หมื่นอาดูร
                                                                                                                                           เราคือ
        พระเทพสถิตยี่สิบแปดดวงดาว
กราบสนองพระโองการฯ พร้อมกันสู้พุทธสถาน กราบคารวะพระแท่นที่บูชา แล้วถามว่า เมธาทั้งหลายคงสบายดี วันนี้ชุมนุมอริยะ เบื้องบนประทานอักษรทอง เหล่าเราพร้อมคุ้มครองตำหนักพระ
                                                                                                                                      ฮวา   ฮวา    พัก
        ทั้งเทพฯ คน        ลนลานใจ        ใกล้คับขัน
จึงสร้างสรรค์                เรือเมตตา        มาหนุนนำ
สร้างโลกใหม่               ให้บริสุทธิ์       ผุดผ่องล้ำ
พระฯ ต้องจำ                สู่โลกมา        ดังปณิธาน
                                                                                                                                            เราคือ
        พระสงฆ์จี้เตียน  เทียนหยาน  พระอาจารย์ของเจ้า
วันนี้ได้กราบสนองพระโองการฯ ลงสู่ตำหนักพระ กราบคารวะพระแม่ ฯ แล้ว  จึงหันหาเหล่าเมธี วันนี้เป็นบุญใหญ่ร่วมท่องพุทธาลัย " อู้เอวี๋ยน " ศิษย์รัก องอาจจิตมั่น ร่วมสนองพระโองการ ประพันธ์อักษรทอง ภาระยิ่งใหญ่หนทางไกล หวังศิษย์เจ้าจงรอบคอบ เร่งสงบจิตญาณ ตามอาจารย์ขึ้นบงกชท่องโลกพระพุทธา พานหะพิเศษนั่งให้มั่น บันทึกความตามโอวาท ศิษย์อื่น ๆ ทั้งหลายให้สงบ ตั้งใจฟังคำสัตย์จริง  เรารับสนองพระโองการ ปกครองธรรมจักรวาลครั้งนี้ ยุคขาวที่สามกำหนดกาลเริ่มงานปรกโปรดทั่วไป พุทธะเซียนแบ่งภาคลงเกิดกาย พระแม่ฯ โปรดทอดถ่ายสัจธรรม ตั้งแต่โบราณจนบัดนี้ ธรรมะวิถีมีเพียงหนึ่งซึ่งสอดคล้องพระอริยเมธาเก่าก่อนแล้วขานไข ลึกล้ำความนัยว่า "เทพเจ้าแห่งหุบเขา" ( จิตเป็นภาวะสัจธรรมที่ไม่ตายสถิตในญาณทวารดังเทพเจ้าแห่งหุบเขา ) ชี้ให้เห็นทางเกิดตาย อาจารย์เจ้าคือเราพระอาจารย์ บุญบันดาลสืบพงศาฯธรรมาจารย์ที่สิบแปดเทียนหยาน สนองอนุตตรพระโองการฯ ยาวนานหมื่นแปดร้อยปี  มอบหมาย "เตี่ยนฉวน" ขยายงาน ช่วยสามโลกได้รู้ทางกลับต้นเดิม พุทธะ อริยะขวนขวาย เที่ยวไปแปรเปลี่ยนโลกกว้าง หลักคำสอนท่านขงจื้อ ท่านเมิ่งจื้อบรมครูช่วยกู้ภัยแปรโลกสะอาดใส อุบลทิพย์บังเกิดในแดนดิน บัดนี้วงการธรรมะเกิดหมอกควันอุบาทว์ หมายมาดแย่งยื้อชื่อลาภ ต้มถั่วด้วยต้นถั่วเดียวกัน ใจอาจารย์เหมือนเข็มเหน็บเจ็บกลางใจ แต่ละหน่วยล้วยถ่ายทอดสัจธรรม บัดนี้คร่ำวุ่นวายเหตุใดหรือ, " สายทอง "  " พระโองการ "  อะไรฤา จิตตนคือธาตุทองแกร่งมโนธรรม เมื่อเห็นวิถีธรรมสุดท้าย ใจคนยังถือดี แม้ไม่ก้องอัสนี จะฉุดช่วยเมธีคงยากนัก จึงกราบพระแม่ฯ โปรดเมตตา ประทานบันทึกท่องพุทธาลัย เผยความนัยเป็นบททอง เพื่อช่วยผองคนบุญได้ง่ายดาย
                                                                                                                                        ฮา   ฮา   พัก
หัวข้อ: ท่องพุทธาลัย (1) ตอนที่ 2 : ใต้ภูเขาหัวใจ แฝงความนัย อันล้ำลึก ฯ
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 7/08/2011, 21:28
                               ไม่เห็นความแฝง        ไม่แสดงความอ่อน
                             ใจเพียงไหวคลอน         พลังซ่อนก็ตามมา   

                                                ตอนที่  2

                              ใต้ภูเขาหัวใจ     แฝงความนัย     อันล้ำลึก         
                           หญิงชายตรึก        นึกคิดเกิด        เปิดสามทาง
                ( จิตล้ำลึกบริสุทธิ์ จะถูกฉุดด้วยอารมณ์นึกคิดให้เวียนว่ายในสามโลก )     

        เมื่อรับสนองพระโองการฟ้ามาไว้ ยิ่งห่วงใยชะตากรรมของชาวโลก ดูโลกีย์ธุลีเหลืองคละคลุ้ง ( หลงกามเมถุน ) คุณสัมพันธ์ต่อกันตกต่ำ ชายด้อยภักดีกตเวทิตา หญิงด้อยพรหมจรรย์ มองสิ่งศักดิ์สิทธิ์ว่าเหลวไหล ผีสางเทวดาว่าว่างเปล่า เอาแต่เสพสุขใฝ่หาค่าวัตถุจนจารีตสังคมเสื่อมทราม คุณงามความเป็นคนสิ้นสูญ พระทัยฟ้าอาดูร มิอาจดูดายชีวิตทั้งหลายมลายด้วยภัยพิบัติ จึงโปรดประทานทุกเหล่าเทพเทวากลับพระภาคเกิดมาช่วยฟ้าแพร่ธรรมชำระใจคน เพื่อลบล้างพิบัติภัย สร้างโลกใหม่เอกภาพวิสุทธิ์ดุจสวรรค์ โน้มนำพระมหาปณิธานพระศรีอาริย์และพระพุทธาบังเกิดมาสู่แดนดิน เมื่อนั้น งานชุมนุมพระอริยะหลงฮว๋าโอฬาร กว้านเก็บเศษวิญญาณดื้อรั้น โองการธงประกาศิตยุคขาวนำทาง บัดนี้อริยะวิถีแพร่หลาย ช่วยคนได้พัน ๆ หมื่น ๆ  ที่ยังไม่ดีพอคือมวลศิษย์ที่ปฏิบัติงานธรรมยังมิสำนึกในมหาเมตตาสภาวะเดียวกับฟ้า อันเป็นที่มาแห่งตน กลับใช้ใจคนแบ่งแยกแตกพวกเป็นนักฝ่านทอนถ่ายกำลังธรรมซึ่งกัน ไตรรัตน์แห่งธรรมกาลยุคขาว เป็นหัวใจของทุกแนวทางธรรมะในฟ้าดิน แฝงความนัยอันแยบยลจากการถ่ายทอดสัจธรรมของบรรพจารย์ สอดคล้องกับความนัยอันวิเศษ ซึงประจักษ์ชัดในพระธรรมคัมภีร์ทุกสมัย ผู้ได้ประสบล้วนเป็นพุทธบุตรที่ผ่านการบำเพ็ญ มีพุทธสัมพันธ์อันลึกซึ้งมาแต่อดีตชาติ แต่จนใจ ที่การมาบำเพ็ญวิถีสุดท้ายนี้ผู้คนติดสังขารวิญญาณกันมาก ปัญญามืดมัวไม่อาจรู้ซึ้งในภาวะตถาตา ( อันเป็นพระประสงค์แท้จริงที่โปรดถ่ายทอดวิถีอนุตตรธรรมให้ในครั้งนี้ ) บ้างหลงผิดติดรูปบูชา ติดพุทธสถาน พิธีการต่าง ๆ ติดเสียง ติดพระธรรมคำบรรยาย ติดสักการะฐานะ ประโยชน์ลาภผล ฯลฯ จึงเป็นความหลงไปสู่ความหลง ดังหมอกควันครอบคลุมโลกในธรรมกาลยุคขาว ซึ่งกำลังโปรดสัตว์อย่างกว้างขวางในขณะนี้  อาจารย์สะท้านจิต หวังให้ศิษย์ผู้ได้รับและปฏิบัติงานธรรมพิจารณาบันทึกล้ำค่า ทำความเข้าใจให้ลึกซึ้งต่อความหมายอันแท้จริงของธรรมะแห่งยุคขาว  รู้เรา  รู้เขา  สำเร็จตน  สำเร็จท่าน ร่วมช่วยเก็บงานเพื่อเบื้องบน
                                                                                                                                                   ไฮ   พัก
        พระเทพสถิตยี่สิบแปดดวงดาว ให้เข้ารักษาหน้าที่ คุ้มครองพุทธสถานเคร่งครัด

พระอาจารย์ ฯ  :  อู้เอวี๋ยนศิษย์รัก ญาณใจใสสงบ น้อมนบพระบัญชา รีบหลับตา อาสน์บัวพาขึ้นเบื้องบน

อู้เอวี๋ยน        :  อาจเอื้อมทูลถามพระอาจารย์ ที่นี่ที่ใดขอรับ เห็นภูเขาหนึงลูกอยู่เบื้องหน้า บนภูผาสลักอักษร " ภูเขาหัวใจ " (ซินโถวซัน) งดงามอร่ามเรือง

พระอาจารย์ ฯ :  ภูเขาลูกนี้ชื่อว่า "ซินโถวซัน" สูงขึ้นไปคือ "ประตูสวรรค์" เชิงเขาอีกด้านหนึงมีถ้ำขวางอยู่มืดมิดไม่เห็นก้นถ้ำ ซึ่งก็คือ "ถ้ำนรก" (ตี้-อวี้-ต้ง) คนมีจิตใจสว่างเที่ยงตรง ต่ยไปวิญญาณมีพลังสว่างใส (ชิงหยังซี่) เต็มที่ก็จะขึ้นภูเขาไป ตรงกันข้ามหากทำผิดคิดร้าย วิญญาณหนักอนาถ ก็จะลงจากภูเขาตกไปสู่ความมืดที่ไม่เห็นก้นถ้ำ ดังพุทธะวจนะที่ว่า " ใจสร้างสวรรค์ได้ ใจก็สร้างนรกได้ " ทั้งสามโลกขึ้นอยู่ที่ใจ โดยอาศัยคิดดีคิดชั่วเพียงวูบเดียว "

อู้เอวี๋ยน     :  เช่นนี้นั่นเอง ขอบพระคุณพระอาจารย์ประทานความเข้าใจ สวรรค์ - นรก สร้างด้วยใจ การมาท่อง " ภูเขาหัวใจ " จึงมีความนัยอยู่ มิน่าเล่าบันทึกท่องสวรรค์ - นรกและด่านจิ่วหยัง จึงนำท่องภูเขานี้ก่อนทั้งนั้น
หัวข้อ: ท่องพุทธาลัย (1) ตอนที่ 2 : ใต้ภูเขาหัวใจ แฝงความนัย อันล้ำลึก ฯ
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 8/08/2011, 09:23
                               ไม่เห็นความแฝง        ไม่แสดงความอ่อน
                             ใจเพียงไหวคลอน         พลังซ่อนก็ตามมา   

                                                ตอนที่  2

                              ใต้ภูเขาหัวใจ     แฝงความนัย     อันล้ำลึก         
                           หญิงชายตรึก        นึกคิดเกิด        เปิดสามทาง
                ( จิตล้ำลึกบริสุทธิ์ จะถูกฉุดด้วยอารมณ์นึกคิดให้เวียนว่ายในสามโลก )     

พระอาจารย์ ฯ  :  ใจคือพุทธะ        จะยังหันหน้า        มองหาที่ไหน
                    เพีัยรทำภายใต้     เจดีย์หลิงซัน        บรรพตศักดิ์สิทธิ์
                    ภูเขาหัว - ใจ       อยู่ ณ ที่ใด          จะใคร่ชมชิด
                    แท้จริงสนิท        ติดตัวทุกผู้           ตนรู้ซึ่งตน       
       
        ศิษย์รัก กลอนนี้เป็นปริศนาธรรมที่ไพเราะมาก วันนี้ สองเราศิษย์กับอาจารย์สนองพระบัญชาสร้างหนังสือทอง " ท่องพุทธาลัย " ก้ไม่ไกลไปจากภูเขาหัว - ใจ นี้ นั่นเอง

อู้เอวี๋ยน  :   ใจเกิด        สภาวะต่าง ๆ จึงเกิด
              ใจดับ         สภาวะต่าง ๆ ก็ดับ
       
        คืนนี้ท่องภูเขาหัว - ใจ  ได้เปิดนัยน์ตาใจครั้งใหญ่จริง ๆ ไม่ทราบว่าพระอาจารย์จะนำศิษย์ไปที่ไหนขอรับ

พระอาจารย์ ฯ :  ทุกคนเมื่อหมดอายุขัย ไม่ว่าชั่วดีล้วนยากที่จะหลีกเลี่ยง " ปากทางสามแพร่ง " เพื่อแบ่งสถานภาพ พระพุทธะ  พระอริยะฯ  เทพฯ พรหม วิญญาณผีในสามโลก  เราไปเยี่ยม " ที่ทำการตรวจสอบผู้ตาย " (หวังหลิงจีฉาสู่) หน้าปากทางสามแพร่งกันเถอะ   

อู้เอวี๋ยน  :  วันนี้เป็นครั้งแรกที่ศิษย์โง่ได้ติดตามพระอาจารย์ มาท่องแดนอริยะ ทุกอย่างล้วนแต่พระอาจารย์จะโปรดเถิดขอรับ ระหว่างสนทนาได้ล่วงทางมาไกลอีกหลายสิบลี้ โดยไม่ทันรู้ เห็นทางสามแพร่งอยู่เบื้องหน้า ผู้คนมากมายเอ็ดอึง เมื่อเข้าไปใกล้จึงเห็นไหล่เขา ด้านขวามีศิลาจารึกสูงประมาณหกฟุต กว้างสองฟุตแผ่นหนึ่ง  สลักอักษรสี่คำว่า " ปากทางสามแพร่ง " (ซันชาลู่โขว่)

พระอาจารย์ ฯ  :  บาป บุญ ที่ชาวโลกทำไว้จะต้องถูกสอบถามจากที่ทำการตรวจสอบตรงปากทางสามแพร่งนี้ เพื่อตรวจสอบยืนยันบาปบุญ  จากนั้นจึงส่งไปในธรรมโลก บุญโลก และยมโลก  ที่ทำการตรวจสอบ จึงเป็นจุดสำคัญที่สุดในการแบ่งแยกสามโลก ป้ายหนือประตูเทวาคารใหญ่เขียนไว้ว่า " ที่ทำการตรวจสอบวิญญาณผู้ตาย " ข้างประตูด้านขวามีกลอนคู่ สีทองอร่ามน่าคร้าม เขียนไว้ว่า " มีผลบุญ   ข้อมูลใส   พิจารณาให้ไม่สับสน  ขาดกุศล   ผลสอบชัด   ภัยพิบัติครั้งนี้หนีไม่พ้น "

พระอาจารย์ ฯ  :  อู้เอวี๋ยนศิษย์รัก เซียนผู้ปกครองที่ทำการ ออกมาต้อนรับแล้ว รีบคารวะ อย่าเสียจริยา

อู้เอวี๋ยน  :  คารวะเซียนผู้ปกครองฯ คืนนี้ข้าพเจ้าผู้โง่เขลา มีอริยสัมพันธ์ ได้ติดตามพระอาจารย์มาท่องที่ทำการของพระองค์ ขอได้โปรดเมตตาชี้แนะ           
หัวข้อ: ท่องพุทธาลัย (1) ตอนที่ 2 : ใต้ภูเขาหัวใจ แฝงความนัย อันล้ำลึก ฯ
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 8/08/2011, 10:11
                                ไม่เห็นความแฝง        ไม่แสดงความอ่อน
                             ใจเพียงไหวคลอน         พลังซ่อนก็ตามมา   

                                                ตอนที่  2

                              ใต้ภูเขาหัวใจ     แฝงความนัย     อันล้ำลึก         
                           หญิงชายตรึก        นึกคิดเกิด        เปิดสามทาง
                ( จิตล้ำลึกบริสุทธิ์ จะถูกฉุดด้วยอารมณ์นึกคิดให้เวียนว่ายในสามโลก )     

เซียนผู้ปกครองฯ  :  ผู้น้อยกราบคารวะพระบรรพจารย์ อู้เอวี๋ยน อย่าได้เกรงใจ ท่านเป็นผู้บำเพ็ญในโลก ครั้งนี้ได้สนองพระโองการติดตามพระอาจารย์มาท่องที่ทำการนี้ เราจะแนะนำรายละเอียดตามพระบัญชา เพื่อประกอบการประพันธ์หนังสือศักดิ์สิทธิ์ส่องทางสว่างแก่ชาวโลก

พระอาจารย์ฯ  :  ขอบคุณท่านเซียน อย่าได้มากจริยาเลย  คืนนี้เราทั้งสองมาถึงที่ทำการของท่านต้องขออภัยสำหรับทุกอย่างที่เป็นการรบกวน

เซียนผู้ปกครองฯ  :  พระบรรพจารย์ช่างเกรงใจ เมื่อพระโองการไปถึงที่ใด ทุกชีวิตญาณย่อมน้อมคารวะ ข้าพเจ้าเพียงแต่ปฏิบัติตามพระบัญชา ทำตามหน้าที่เท่านั้น ได้โปรดรับทูนน้ำชาข้างในก่อนเถิด

อู้เอวี๋ยน  :  ที่ทำการนี้กว้างขวางมาก เทวาคารหอเหลาใหญ่ ๆ หลังคาซับซ้อนลดหลั่น แบ่งสรรจัดส่วนเป็นระเบียบเรียบร้อย

เซียนผู้ปกครองฯ  :  ทั้งสองท่านเชิญประทับ เชิญนั่ง เซียนเจ้าหน้าที่ถวายน้ำชา เชิญดื่ม สักครู่ข้าพเจ้าจะนำชมสถานที่และการปฏิบัติงาน

พระอาจารย์ฯ  :  อู้เอวี๋ยน รีบดื่มน้ำชาเซียนร้อน ๆ ชำระละอองโลกีย์ในจิตญาณของเจ้าเสีย นัยน์ตาใจใสสว่าง จะช่วยงานท่องบันทึกได้

อู้เอวี๋ยน  :  โอ้ แปลกจริง ศิษย์รู้สึกชุ่มชื่นใจ ทัศนวิสัยสว่าง จิตแจ่มใสขึ้นมาทันที

เซียนผู้ปกครองฯ  :  สายแล้ว เชิญทั้งสองตามข้าพเจ้าเที่ยวชมที่ทำการเถิด  ที่นี่ เป็นสถานตรวจสอบผลบาปบุญของวิญญาณผู้ตายเมื่อครั้งมีชีวิต ห้องโถงมหึมาที่เราเพิ่งผ่านเข้ามา เป็นที่ทำการตรวจสอบวิญญาณ ลงทะเบียน ให้ป้ายประจำตัวเรียกว่า " กองอำนวยการตรวจสอบวิญญาณผู้ตาย "
ห้องแรกทางขวามือ คือ ห้องตรวจสอบวิญญาณผู้ตายที่ได้รับวิถีอนุตตรธรรม
ห้องที่สอง    คือ ห้องตรวจสอบวิญญาณผู้ตาย ศาสนิกของศาสนาขงจื้อ เหลาจื้อ และศาสนาพุทธ
ห้องที่สาม    คือ ห้องตรวจสอบวิญญาณผู้ตายทั่วไป
ห้องที่สี่       คือ ห้องตรวจสอบเหตุ และผลกรรม

อู้เอวี๋ยน  :  ทางด้านซ้ายมือมีอาคารธรรมดาเป็นแถวยาว ไม่ทราบคืออะไรขอรับ

เซียนผู้ปกครองฯ  :  อาคารแรกซ้ายมือคือ "ห้องพักวิญญาณสามัญ " ถัดไปไม่ไกลคือ " ห้องพักวิญญาณคนบุญ "

อู้เอวี๋ยน  :  ห่างออกไปอีกประมาณหนึ่งลี้ เป็นหอสูงสีแดงสะดุดตา ไม่ทราบว่าอะไรขอรับ

เซียนผู้ปกครองฯ  :  หอแดงนั้นคือ " ห้องพักวิญญาณผู้ได้รับวิถีธรรม " วิญญาณผู้ตายที่ได้รับวิถีธรรม จะมาพักรอการตรวจสอบทะเบียนและพักผ่อนที่นี่

อู้เอวี๋ยน  :  ถัดจากนั้นไปประมาณครึ่งลี้ ดูเหมือนวัดโบราณทางโลก เชิงชายคาเป็นลวดลายปลายงอน ผนังขื่อคาน สลักเสลาวิจิตรงดงาม นั่นคืออะไรขอรับ

เซียนผู้ปกครองฯ  :  ที่นั่นคือที่ " เตรียมการเก็บงานสมบูรณ์ของคนเดิม " พึงรู้ว่าบัดนี้เป็นช่วงปลายของการโปรดสามโลกตามกำหนดฟ้า หมื่นพันศาสนาจะปรากฏ เพื่อร่อนตะแกรงแบ่งแยกบาปบุญ ชาวโลกที่ตาย ไม่ว่าสูงส่งดีงามหรือไม่ ล้วนจะต้องผ่าน "ที่ทำการตรวจสอบวิญญาณผู้ตาย" แห่งนี้เพื่อยืนยันทะเบียนจากนั้นจึงแยกย้ายนำไปยังห้องตรวจสอบของแต่ละศาสนา ยืนยันหมายเลขตามป้ายประจำตัวและสอบบาปบุญต่อไป
หัวข้อ: ท่องพุทธาลัย (1) ตอนที่ 2 : ใต้ภูเขาหัวใจ แฝงความนัย อันล้ำลึก ฯ
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 12/08/2011, 10:35
                                ไม่เห็นความแฝง        ไม่แสดงความอ่อน
                             ใจเพียงไหวคลอน         พลังซ่อนก็ตามมา  

                                                ตอนที่  2

                              ใต้ภูเขาหัวใจ     แฝงความนัย     อันล้ำลึก        
                           หญิงชายตรึก        นึกคิดเกิด        เปิดสามทาง
                ( จิตล้ำลึกบริสุทธิ์ จะถูกฉุดด้วยอารมณ์นึกคิดให้เวียนว่ายในสามโลก )    

อู้เอวี๋ยน  :  ขอบพระคุณที่โปรดชี้แจง  หญิงชายมากมายเหล่านั้นมุงกันเต็มอยู่หน้าที่ทำการ ดูอย่างกับวิญญาณที่เพิ่งตายมา เจ้าหน้าที่ชาวฟ้ากำลังสอบทะเบียนขานชื่อ แจกป้ายประจำตัวสีแดง สีเขียว สีขาว สีดำ สีเหลือง ฯลฯ กันอยู่  เมื่อวิญญาณได้รับป้ายแล้ว เจ้าหน้าที่ก็นำส่งยังห้องตรวจสอบที่ระบุไว้บนป้ายประจำตัว จากนั้นก็ส่งไปยังห้องพัก แต่ละฝ่ายตามสีของป้าย เพื่อรอเจ้าหน้าที่เฉพาะมานำไปยัง ""สถานสนองบาปบุญที่ปากทางสามแพร่งหรือตำหนักตรีเทพฯ (ซันกวนเตี้ยน) หรือ เก้าเก้าด่านจื่อหยัง (จิ่วจิ่วจื่อหยังกวน) ""

เซียนผู้ปกครอง ฯ  :  อู้เอวี้ยน ทัศนาละเอียดแท้ เราจะอธิบายให้ฟังอีกทีเพื่อให้ชาวโลกเข้าใจ  วิญญาณผีทั่วไป เมื่อได้รับป้ายแล้วก็จะพักรออยู่ที่ห้องพักวิญญาณสามัญข้างหน้าโน้นจนกว่าเจ้าหน้าที่จะมานำไปยัง " สถานรวมวิญญาณ " (จวี้หุนสั่ว) เพื่อตรวจสอบบาปบุญที่ทำไว้ในโลก จากนั้นจึงรับการตัดสินว่าจะต้องรับทุกข์อยู่ในนรก หรือไปเกิดเป็นคนร่ำรวยสูงศักดิ์ ยากจนต่ำต้อยในโลกต่อไป  หากถวายตัวเป็นศิษย์ที่ตำหนักพระวัดวาใด หรือเป็นคนใจบุญสุนทานก็จะต้องนำไปรวมไว้ที่ "" ห้องพักวิญญาณคนบุญ ""  จนกว่าเจ้าหน้าที่ชาวฟ้าจะมานำไปยัง ""สถานสนองบาปบุญ "" ของแต่ละศาสนา ยืนยันผลบุญบำเพ็ญที่ทำมา เพื่อตัดสินระดับสูงต่ำต่อไป  ส่วนคนที่ได้รับวิถีธรรมในโลก ก็จะให้รอคอยอยู่บนหอแดงที่ ""ห้องพักวิญญาณผู้ได้รับวิถีธรรม "" จนกว่าเจ้าหน้าที่เซียนจะมานำไปสอบสวนไตรรัตน์ "" ณ ที่ทำการตรีเทพฯ "" แล้วส่งต่อไปยัง ""เก้าเก้าด่านจื่อหยัง "" เพื่อตรวจสอบผลบุญกุศลจากการบำเพ็ญ

พระอาจารย์ ฯ  :  สาธุ ท่านได้โปรดชี้แจงหน้าที่แต่ละฝ่ายในที่ทำการของท่าน ทำให้เนื้อหาสาระในบันทึกฯ นี้ สมบูรณ์ยิ่งขึ้น อนุโมทนายิ่งแล้ว

เซียนผู้ปกครอง ฯ  :  มิกล้า มิกล้า  เมื่อเห็นความวิปริตของชาวโลกปัจจุบัน ข้าพเจ้านั้นจนปัญญาจะช่วยเหลือ โชคดีที่พระบรรพจารย์มุ่งมั่นจะกอบกู้และได้รับพระบัญชาฯ บันทึกท่องพุทธาลัย ถือเป็นบุญอมตะดดยแท้  วันใดที่ที่หนังสือนี้เผยแพร่สู่ชาวโลก จะสามารถสร้างประโยชน์ปรกโปรดคนหลงแปรเปลี่ยนชาวโลก ปุถุชน ปฏิรูปอาณาจักรธรรมได้  ผู้น้อยสนองพระบัญชาคอยดูแลอยู่ ณ ที่นี้ ได้มีส่วนร่วมในงานศักดิ์สิทธิ์นี้เพียงน้อยนิดก็รู้สึกอิ่มเอิบใจแล้ว
หัวข้อ: ท่องพุทธาลัย (1) ตอนที่ 2 : ใต้ภูเขาหัวใจ แฝงความนัย อันล้ำลึก ฯ
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 12/08/2011, 14:44
                               ไม่เห็นความแฝง        ไม่แสดงความอ่อน
                             ใจเพียงไหวคลอน         พลังซ่อนก็ตามมา 

                                                ตอนที่  2

                              ใต้ภูเขาหัวใจ     แฝงความนัย     อันล้ำลึก       
                           หญิงชายตรึก        นึกคิดเกิด        เปิดสามทาง
                ( จิตล้ำลึกบริสุทธิ์ จะถูกฉุดด้วยอารมณ์นึกคิดให้เวียนว่ายในสามโลก )     

อู้เอวี๋ยน  :  การฉุดช่วยสามโลกเก็บสรรพญาณอันกลมกลืนไม่ใช่เรื่องเล็ก วันนี้กระผมได้มาพบเห็นยิ่งซาบซึ้งประทับใจ ไม่กล้าใจเบาอีกเลย

พระอาจารย์ฯ  :  ปัจจุบันวิทยาศาสตร์วัตถุก้าวหน้า ผู้คนสำคัญตนว่าปราดเปรื่อง เห็นเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์และวิญญาณเลวไหล จึงขอรบกวนเซียนผุ้ปกครองฯ นำเราไปทัศยาเพื่อบันทึกรายละเอียด ไว้เตือนชาวโลกด้วย

เซียนผู้ปกครองฯ   :  เป็นบุญยิ่งนักที่ีสามารถทำอะไรให้แก่งานเก็บธรรมญาณครั้งใหญ่นี้ได้บ้าง โปรดตามข้าพเจ้ามาเถิด   อาคารหลังที่อยู่เบื้องหน้านั้นกว้างขวางร่มรื่นน่าสบาย โต๊ะเก้าอี้เรียงรายเป็นระเบียบ บนโต๊ะเล็กมีผลไม้ ขนม น้ำชา หนังสือคัมภีร์ ชุดหมากรุกวางอยู่  ผู้เข้ามาพักต่างอ่านหนังสือ ดื่มน้ำชา เล่นหมากรุก สนทนากันโดยไม่กำจัดศิษย์ ที่นั่นก็คือ ""ห้องพักวิญญาณสามัญ "" เชิญเข้าชมได้

อู้เอวี๋ยน  : วิญญาณที่พักผ่อนอยู่ในอาคารประมาณได้ร้อยกว่าคน มือถือป้ายประจำตัวสีต่าง ๆ กัน สีหน้าก็ต่างกัน เพราะอะไรหรือขอรับ

เซียนผู้ปกครองฯ  :  วิญญาณของทุกคนเป็นอิสระ เพราะที่นี่จัดเฉพาะให้พักผ่อน ไม่มีสถานที่ลงทัณฑ์  ""วิญญาณที่มือถือป้ายสีขาวคือ ผู้สำรวมตนเจียมตัว""ที่ถือ ""ป้ายสีดำคือคนฮ้อฉลผิดคุณธรรม"" จึงทุกข์ร้อนกังวลขมวดคิ้ว เพราะสำนึกเสียใจในความผิดที่ได้ทำมา แสดงสีหน้าหวาดกลัวโทษทัณฑ์ ที่ถือป้ายสีขาวแม้มีชีวิตไม่ได้สร้างสมบุญกุศลอะไร แต่ก็เจียมตัวดีอยู่ จึงสงบกว่าและไม่แสดงสีหน้าทุกข์ร้อน วิญญาณในห้องจะพักผ่อนอยู่ที่นี่ชั่วคราว จนกว่ายมทูตจะนำไป ""สถานรวมวิญญาณ"" ในนรก เพื่อตรวจสอบชีวิตที่ผ่านมา แล้วจัดการไปตามเหตุและผลของกรรมนั้น

พระอาจารย์ ฯ  :
โลกอินหยาง        มืดสว่าง        ไม่ต่างกัน        (มาจากสัจธรรมเดียวกัน)
ทุกชีวัน              เกิดดับ         กับเหตุผล         (ตามกฏแห่งกรรม)
ยุติธรรม             คือนัยน์ตา      ฟ้าเบื้องบ         (นัยน์ตาฟ้าเห็นชัด)
แม้เสันขน          ไม่เลยละ        ปละปล่อยไป    (ผิดเล็กน้อยก็หนีไม่พ้น)
       
ขอเตือนชาวโลก อย่าสำคัญตนว่าฉลาด ทำผิดคิดร้ายในที่ลับ  พึงรู้ว่าเหนือศรษะสามฟุต มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์  เมื่อทำชั่วกฏหมายทางโลกไม่ละเว้น  กฏของโลกมึดยิ่งเล็งเห็นถี่ถ้วน เข้มงวดจนหนีไม่หรอด ฉะนั้นหากต้องการหนทางสว่างราบเรียบ ก็จะต้องรักษามโนธรรมไว้ทุกขณะ จึงจะนำมาซึ่งความผาสุก
หัวข้อ: ท่องพุทธาลัย (1) ตอนที่ 2 : ใต้ภูเขาหัวใจ แฝงความนัย อันล้ำลึก ฯ
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 12/08/2011, 20:49
                               ไม่เห็นความแฝง        ไม่แสดงความอ่อน
                             ใจเพียงไหวคลอน         พลังซ่อนก็ตามมา

                                                ตอนที่  2

                              ใต้ภูเขาหัวใจ     แฝงความนัย     อันล้ำลึก       
                           หญิงชายตรึก        นึกคิดเกิด        เปิดสามทาง
                ( จิตล้ำลึกบริสุทธิ์ จะถูกฉุดด้วยอารมณ์นึกคิดให้เวียนว่ายในสามโลก )   

อู้เอวี๋ยน  :  พระอาจารย์พูดถูก ชาวโลกไม่เชื่อกฏแห่งกรรมว่าเข้มงวดกวดขันไม่พลาด คนฉลาดจึงมักพลาดเพราะความฉลาดของตน คิอว่าตายแล้วอยากถือป้ายสีขาว จิตใจสงบก็ต้องรักษาคุณธรรมความดี จึงจะมีหลักประกันไม่ต้องเจอเรื่องกฏแห่งกรรม

เซียนผู้ปกครองฯ  :  คำพูดสะท้อนใจระหว่างอาจารย์กับศิศย์นี้ หวังว่าชาวโลกจะสำนึกดีและทำตม   จากนี้ เราจะไปเยี่ยม ""ห้องพักวิญญาณคนบุญกัน""

อู้เอวี๋ยน  :  ห้องนี้กว้างใหญ่งดงามสงบเงียบ อุปกรณ์เครื่องใช้คล้ายกับห้องพักวิญญาณสามัญแต่บรรยากาศยิ่งสงบเยือกเย็นกว่า โต๊ะเก้าอี้มีลายวิจิตรจัดตั้งเป็นระเบียบ สะอาดสะอ้าน  วิญญาณทุกตนถือป้ายสีเงิน ยิ้มแย้มสนทนากันอยุ่ในห้องอย่างสบายอารมณ์ บ้างเล่นหมากรุกกัน บ้างอ่านหนังสือพระธรรมคัมภีร์ สีหน้าท่าทางสุขุม  บนหน้าขื่อคานภายในห้องมีกระดานแผ่นใหญ่ สลักอักษรคำว่า ""ห้องพักวิญญาณคนบุญ"" แขวนอยู่

เซียนผู้ปกครอง ฯ  :  วิญญาณที่อยู่ในห้องนี้ล้วนมีอาการสงบเยือกเย็น เหนือศรีษะมีวงสว่างปรากฏอยู่ ซึ่งต่างกับวิญญาณที่อยู่ในห้องสามัญ บาปบุญคุณโทษของคนเราจะปรากฏเป็นวงสว่าง หรือ อับเฉาเหนือศรีษะ  วิญญาณในห้องนี้ได้ศรัทธาปฏิบัติธรรมกับวัดวาอารามสถานบุญ สวดมนต์ทำวัดเช้าเย็นอาบพุทธรัศมีกันมานาน พลังอับเฉา (อินซี่) ทีี่แฝงอยู่ในตัวจึงหมดไป อีกทั้งสร้างบุญทานบารมีหนุนเนื่อง พลังในกายจึงใส แล้วรวมตัวกันปรากฏเป็นวงสว่างเหนือศรีษะ  ผู้มีบุญกุศลมาก พลังจะสว่างใสสะอาด ส่วนบุญกุศลน้อยพลังก็จะกระจายและอับเฉาจึงกล่าวได้ว่า ""บุญเกิดพลังบุญ  บาปเกิดพลังบาป"" มองหน้าให้ดูราศี ก็จะรู้วาสนาชะตากรรมของผู้นั้น

พระอาจารย์ ฯ :  ""ไม่เห็นเมื่อแฝง          ไม่แสดงเมื่ออ่อน
                   ใจเพียงไหวคลอน         พลังซ่อนก็ตามมา""

อู้เอวี๋ยนศิษย์รัก อาจารย์จะเสริมเจ้าด้วยน้ำอมฤตสามหยด ล้างฝุ่นโลกีย์ที่นัยน์ตาเพื่อดุการเปลี่ยนแปลงของ " พลัง " นั้นได้ละเอียด

อู้เอวี๋ยน  :  ขอบพระคุณขอรับพระอาจารย์  ชำระด้วยน้ำอมฤต นัยน์ตาของศิษย์สว่างขึ้นฉับพลันดังสายฟ้า เห็นทุกอย่างไม่มีอุปสรรคเลย

เซียนผู้ปกครอง ฯ  :  เมธีอู้เอวี๋ยน นัยน์ตาของท่านขณะนี้คงได้ค้นพบอะไรในห้องนี้แล้วซิ
หัวข้อ: ท่องพุทธาลัย (1) ตอนที่ 2 : ใต้ภูเขาหัวใจ แฝงความนัย อันล้ำลึก ฯ
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 12/08/2011, 21:38
                               ไม่เห็นความแฝง        ไม่แสดงความอ่อน
                             ใจเพียงไหวคลอน         พลังซ่อนก็ตามมา

                                                ตอนที่  2

                              ใต้ภูเขาหัวใจ     แฝงความนัย     อันล้ำลึก       
                           หญิงชายตรึก        นึกคิดเกิด        เปิดสามทาง
                ( จิตล้ำลึกบริสุทธิ์ จะถูกฉุดด้วยอารมณ์นึกคิดให้เวียนว่ายในสามโลก )   

อู้เอวี๋ยน  :  ขอรับ ในห้องมีชายชราคนหนึ่ง หนวดเคราขาวโพลน นั่งอ่านหนังสือพระธรรมอยู่ข้างประตู เหนือศรีษะปรากฏแสงสีขาวผืนหนึ่งสูงประมาณ 2-3 นิ้ว กระจายอยู่กว้าง ๆ โดยไม่รวมตัวเป็นวงกลม  ข้างซ้ายมือของชายชรา มีชายกลางคนอายุประมาณสี่สิบ มือถือป้ายสีเขียว สีหน้าหม่นหมอง เหนือศรีษะมีเงาพยับสีดำกระจายอยู่  แม่เฒ่าที่อยู่ข้างขวามือ หน้าตาใจดี กำลังนั่งสบาย ๆ อยู่ใต้หน้าต่าง บนหน้าผากปรากฏแสงสีขาวสองสายฉายออกมา ส่วนหญิงวัยกลางคนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เหนือศรีษะมีเงาพยับสีคล้ำจาง ๆ กระจายอยู่  ทั้งหมดที่พักอยู่ในห้องนี้ ต่างปรากฏพลังแสงและพยับสีต่างกัน เช่นสีของป้ายประจำตัว

เซียนผู้ปกครอง ฯ  :   พลังแสงบนศรีษะของชายชรา คือ พลังกุศลผลบุญ  ยึดไตรสรณะในพุทธศาสนา มีศรัทธาน่าชื่นชม กุศลจิตยิ่งสูง บุญบารมียิ่งมาก พลังบุญยิ่งบริสุทธิ์ รัศมีบุญยิ่งเจิดจ้า   พลังบุญของชายชรา แม้จะเป็นแสงสีขาว แต่ครั้งมีชีวิต ""มิได้สร้างบุญด้วยการฉุดช่วยคนให้ได้รับธรรมะ ทานทั้งสามไม่ถึงพร้อม"" จึงเห็นแต่แสงสีขาว ยังไม่ปรากฏแสงสีแดง สีทอง สีเหลือง สีเขียว และสีน้ำงิน "พลังนี้ยังไม่เป็นพลังฉัพพรรณมงคล" จึงต้องมาอยู่ใน "ห้องพักวิญญาณคนบุญ" ไม่ถึงขั้นบรรลุอรหัตผลอุบลบัลลังก์เก้าระดับ (จิ่วผิ่นเหลียนไถ) วิญญาณอื่น ๆ ก็เช่นกัน ก็จะต้องฝึกฝนจนแสงทองแผ่รังสีเหนือศรีษะเป็นวงกลมเจิดจรัส อันเป็นรัศมีบุญอมตะ จึงจะสามารถยกระดับสู่อุบลบัลลังก์เก้าได้

พระอาจารย์ ฯ  :  อนุตตรภาวะจะไม่คงอยู่ หากผู้นั้นมิได้สูงส่งด้วยคุณงาม ผู้บำเพ็ญจึงอย่าเอาแต่เข้าฌาณนั่งเจริญภาวนาหาความดีเฉพาะตน   นอกจากได้รับรู้จิตญาณของตนจากพระวิสุทธิอาจารย์ชี้นำทางบำเพ็ญให้แล้ว ยังจะต้องสอดส่องให้ถึงพร้อมทั้งภายนอกภายใน (ช่วยตนช่วยคนอื่นด้วย) เข้าฌาณสมาธิด้วยการคุมจิตมิให้วุ่นวาย จึงอาจบรรลุอุบลบัลลังก์เก้าได้  ใน "พระสูตรเว่ยหล่าง" จารึกไว้ว่า "เกิดมานั่งไม่นอน ตายไปนอนไม่นั่ง กระดูกสังขารเน่าเหม็น บำเพ็ญมรรคผลอย่างไร" (ได้แต่นั่งเจริญภาวนาจนตายยังไม่รู้จักการสร้างมรรคผลที่แท้จริง)  ปราชญ์โบราณกล่าวว่า "ไม่มีอาจารย์ มิอาจกล่าวอ้างถึงพระอริยะ" ความหมายก้เช่นเดียวกัน  จากประวัติพระพุทธอริยะทั้งอดีตและปัจจุบันไม่มีเลยที่จะบรรลุโดยมิได้แสวงหาพระวิสุทธิอาจารย์  ดังนั้น ผู้บำเพ็ญจริงที่ใคร่พ้นเวียนว่ายมีหรือที่จะไม่สร้างคุณงาม พยายามแสวงหาพระวิสุทธิอาจารย์ชี้นำ บัดนี้ ฟ้าเบิกดิถียุคขาวสว่าง (ซันหยังไคไท่) สัจธรรมสืบสายถ่ายทอดสู่ชาวโลกอย่างกว้างขวาง ผู้ไม่รู้กาลกำหนดฟ้ายังคงถือทิษฐิดื้อรั้น ไม่แสวงหาพระวิสุทธิอาจารย์ชี้นำ เหมือนตาบอดบำเพ็ญจึงเข้าไม่ถึงสัจธรรม ไม่อาจกำหนดชีวิตจริง ผู้บำเพ็ญบุญเช่นนี้ แม้จะมากดั่งเมล็ดทรายในแม่น้ำคงคา แต่ไม่รู้แจ้งเห็นจิตภาวะแห่งตน ก็จะไม่เพียงเสวยสุขในชั้นเทวโลก มนุษยโลก หรือเป็นเทวะเจ้าที่ในสามโลกเท่านั้น  พระสูตรท่านเว่ยหล่างจารึกไว้ว่า "ไม่รู้จักจิตตน เรียนธรรมะไม่มีประโยชน์"  วันนี้เราได้มาชม ""ห้องพักวิญญาณคนบุญ"" วิญญาณเหล่านี้แม้จะทำบุญให้ทานสวดมนต์ไหว้พระ เรียนธรรมะบำเพ็ญ แต่พุทธจิตแห่งตนไม่อาจประจักษ์ แม้จะได้เสวยสุขเป็นชาวฟ้าแต่ยังห่างไกลจากการพ้นเวียนว่ายฯอีกมาก  หวังว่าชาวโลกผู้บำเพ็ญ เมื่อได้อ่านบันทึกฯเล่มนี้แล้ว ให้สำนึกพิจารณาจริง หมั่นบำเพ็ญเพียรที่ญาณบรรพตพระโพธิสัตว์ตน จะสามารถแปรเปลี่ยนกุศลผลบุญคุณงามความดีให้รวมเป็นวงกลมใสสว่าง เป็นโฉมหน้าแต่เดิมทีแวววาวของตน  คืนนี้หมดเวลาแล้ว ซึ่งได้รบกวนที่ทำการของท่านเซียนประกการใด ขอขอบคุณไว้ ณ ที่นี้ด้วย ต่อไปจะมาขอคำชี้แนะใหม่

เซียนผู้ปกครอง ฯ  :  เมื่อหมดเวลา ข้าพเจ้าก็มิอาจเชื้อเชิญไว้ แผนกที่ยังมิได้ชม ครั้งหน้าจะท่องต่อไป ขอน้อมส่งเพียงนี้

พระอาจารย์ ฯ  :  ศิษย์รัก หลับนัยน์ตาใจ ติดตามพระอาจารย์กลับตำหนักได้แล้ว ถึงพุทธสถาน วิญญาณกลับเข้าร่างดังเดิม  ยี่สิบแปดเทพสถิตประจำดวงดาวติดตามเรากลับเบื้องบน
หัวข้อ: ท่องพุทธาลัย (1) ตอนที่ 3 : ปรากฏสว่าง ทางญาณประตู ได้รู้ขุ่นใส ตื่นหรือหลงไหล
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 12/08/2011, 22:09
                                    อนุตตรวิถีใหญ่ถ่ายทอดสู่หล้า
                               หนึ่งนิ้วพาหมดทุกข์พลัน
                              ใบหน้าสรวลสันต์ ละตนเธอฉัน
                              เก็บญาณสมบูรณ์แต่เดิมมา

                                              ตอนที่ 3

                            ปรากฏสว่าง      ทางญาณประตู     ได้รู้ขุ่นใส
                        ตื่นหรือหลงใหล     ยองใยหรือโลกีย์  อยู่ที่คำนึง   

        สองจิตสองใจ        ทำการใดใด        ไปได้ลำบาก
แปดดี* พร้อมพรัก           รักษามนต์ใจ       ดังหฤทัยกัณฑ์ (แปดดี คือกตัญญู ปรองดองฯ จงรักฯ สัตย์จริงฯ จริยาฯ มโนธรรมฯ สุจริตฯ ละอายฯ)
ชาติก่อนวาสนา               พาบันดาลดล      ได้ผลอรหันต์
จิตใจสังขาร                   พร้อมกันสยบ      นบสงฆ์มุนี      (สงฆ์มุนี คือ ตนเป็นผู้ปฏิบัติดี)
                                                                                                                                                           เราคือ
        พระเทพสถิตยี่สิบแปดดวงดาว
สนองพระโองการพระแม่ ฯ สู่พุทธสถาน กราบพระพักตร์แล้วเรียงรายสองฝั่ง ปกป้องพุทธสถาน คุ้มกันร่างทรง ท่องเที่ยวบันทึกบททอง
                                                                                                                                                    ฮวา   ฮวา   พัก
        ช่วยชาวโลก        พาพ้นพิบัติภัย        ด้วยใจดั่งฟ้า
เที่ยงตรงทั่วหน้า           ชาวหล้ายอมรับ       นับถือถ้วนกัน  (พระ ฯ จี้กง)
ด้วยญาณนัยน์ตา          ทัศนาตื่นใจ            ในทุกสถาน    (ท่องพุทธาลัย)
พุทธบันดาล               ด้วยสัมพันธ์บุญ        หนุนนำสำเนียง
                                                                                                                                                           เราคือ
        พระพุทธจี้กงพระอาจารย์ของเจ้า
วันนี้ได้สนองพระโองการพระแม่ ฯ มาสู่ตำหนักพระกราบคารวะพระแม่ ฯ แล้ว จึงหันมาทางศิษย์ทั้งหลาย วันนี้พระตำหนักฟ้าจะสร้างอักษรทองสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายร่วมคุ้มครอง คนและเบื้องบนร่วมพุทธสถาน ร่างทรงสำรวมการ น้อมฟังโวหาร มิให้อึงคะนึง
                                                                                                                                                    ฮา   ฮา   พัก 
หัวข้อ: ท่องพุทธาลัย (1) ตอนที่ 3 : ปรากฏสว่าง ทางญาณประตู ได้รู้ขุ่นใส ตื่นหรือหลงไหล
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 15/08/2011, 02:19
                                    อนุตตรวิถีใหญ่ถ่ายทอดสู่หล้า
                               หนึ่งนิ้วพาหมดทุกข์พลัน
                              ใบหน้าสรวลสันต์ ละตนเธอฉัน
                              เก็บญาณสมบูรณ์แต่เดิมมา

                                              ตอนที่ 3

                            ปรากฏสว่าง      ทางญาณประตู     ได้รู้ขุ่นใส
                        ตื่นหรือหลงใหล     ยองใยหรือโลกีย์  อยู่ที่คำนึง   

        ไตรรัตน์เป็นวิถีแห่งจิตโดยแท้จริง (ซันเป่าซิน่ฝ่า) พุทธบุตรผู้ใดจะเข้าใจถ่องแท้ โดยไม่มีข้อแม้สงสัย หากไม่รักษาพุทธระเบีย จะได้แต่เพียงเลียบเคียงคาดเดา ไม่กระจ่างทางที่มาก็เสียเวลาคิดค้น ในตำนานพระศรีอาริย์ได้ขานไข กาลต่อไปกำหนดเก็บธรรมญาณ เป็นกำหนดกาลสร้างวิสุทธิแดนดิน ธรรมนาวายุคขาวสนองรับตามกำหนดฟ้า ชุมนุมพระอริยะครั้งที่สามงานหลงฮว๋า  ชุมนุมครั้งแรกเพื่อฉุดช่วยเหล่าสาวกเก้าพันหกร้อยล้านอรหันต์คืนสวรรค์  ชุมนุมครั้งต่อมาให้ตัดอวิชชาทะเลใหญ่ เก้าพันสี่ร้อยล้านสาวกได้ช่วยไปให้ได้ความรู้ความเป็นพุทธบุตรฟ้าฐานะตน  ครั้งที่สามงานหลงฮว๋าให้ควบคุมใจ จะช่วยไปอีกเก้าพันสองร้อยล้าน ให้บรรลุอมตะอรหันต์ บัดนี้พระพุทธะในชั้นดุสิต ต่างแบ่งพระภาคสู่โลกาด้วยมหาปณิธานเป็นวาระสำคัญอันแยบยลที่เบื้องบนแฝงความนัย พระวิสุทธิอาจารย์สนองงานเจตนาฟ้า กลับแบ่งพระภาคเกิดกายมา พาเรือเมตตาถ่ายทอดบทกลอนธรรม เที่ยวประกาศวิถีอริยะ ไม่ปฏิเสธความเหนื่อยยาก สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกสากลร่วมช่วยงานสำคัญ ต่างตั้งจิตปฏิญาณอวตารแบ่งภาคสู่โลกมนุษย์ แสดงอภินิหาริย์บุญญาฯ แตกกิ่งก้านสาขานำพาสาธุชนมากมาย ผู้ร่วมความมุ่งมั่น ร่วมบุญคุณงาม ร่วมรับถ่ายทอดสัจธรรม เป็นผู้นำธงชัยในแนวหน้า ด้วยพระบัญชาสร้างวิสุทธิ์แดนดิน ใครเลยที่รู้ว่าโลกมายาเป็นค่ายกล พุทธบุตรทุกคนพอเกิดเป็นตัวตน ปณิธานที่ตั้งไว้ก็มลายเป็นผงธุลี ชื่อลาภดังเมฆาดำเข้าครอบงำโฉมหน้า พุทธภาวะกลายเป็นอวิชชาไม่รู้ที่มาของตนเอง อันที่จริง การแพร่ธรรมก็เพื่อเปิดนำให้โลกเป็นบัวบานสันติ แต่ดูสิ บัดนี้เจ้าทั้งหลายกลับกลายแบ่งแยก พุทธบุตรต่างระงมตรมทรวง  เรา อาจารย์ของเจ้าเศร้าใจนัก พระอาจาริณีจื่อซี่สะอื้นไห้ พงศาธรรมแห่งยุคขาวเป็นโรคภัย ใครเลยช่วยเยียวยา พระแม่องค์ธรรมโปรดบัญชาจัดตั้งพุทธาลัย ในชั้นดุสิต สว่างใสคลายกังขา หวังว่าบันทึกการท่องทัศนาจะสำเร็จในเร็ววัน เพื่อสะกิดผู้นำธงชัย (คือ ผู้ที่ได้รับธรรมะก่อน เป็นผู้มีรากฐานบุญบารมีสูง เป็นผู้ศรัทธา) ให้รู้ความนัยของเหล่าพระพุทธา
                                                                                                                                                                         ไฮ  พัก

        ภาวะตัวจริงของคนเรา เป็นพลังว่างเปล่าอันศักดิ์สิทธิ์ กลมกลืน สว่างใส ไม่มีวัตถุลักษณะ จะแปดเปี้ยนได้อย่างไร จะต้องการหนทางปฏิบัติทำไมให้มากความ แต่เพราะตกสู่โลกโลกีย์ ยึดเห็นสิ่งที่มีรูปลักษณ์ ไม่อาจปลงตกจากตัวตน ทำให้ตถตาภาวะตัวจริง เหมือนดวงอาทิตย์ถูกเมฆบัง เหมือนแก้วมณีมีฝุ่นจับ จึงอับแสงไม่แวววาว บัดนี้ แม้ได้สดับสัทธรรมอันสูงส่ง แต่ด้วยเหตุที่ยังไม่รู้ซึ้งถึงตัวจริง อันว่างเปล่าแยบยล ยังคงตอดทฤษฏีมีรูปเสียง ไม่อาจนำพาจิตภาวะให้ปรากฏ ดุจดังวาดขนมเปี๊ยะกินแก้หิว สุดท้ายจะอย่างไรก็ไม่อิ่ม บ้างทำเป็นปราดเปรื่อง ติดอยู่ในเรื่องไสยศาสตร์ บ้างกำหนดลมปราณ กำหนดอาการท่วงท่า บ้างภาวนานั่งนิ่ง มรรคผลหนทางอ้อมทั้งสี่ ไม่รู้เลยว่ายิ่งพาตัวห่างไกลจากภาวะธรรมชาติอันสูงส่ง 
หัวข้อ: ท่องพุทธาลัย (1) ตอนที่ 3 : ปรากฏสว่าง ทางญาณประตู ได้รู้ขุ่นใส ตื่นหรือหลงไหล
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 15/08/2011, 03:13
                                   อนุตตรวิถีใหญ่ถ่ายทอดสู่หล้า
                               หนึ่งนิ้วพาหมดทุกข์พลัน
                              ใบหน้าสรวลสันต์ ละตนเธอฉัน
                              เก็บญาณสมบูรณ์แต่เดิมมา

                                              ตอนที่ 3

                            ปรากฏสว่าง      ทางญาณประตู     ได้รู้ขุ่นใส
                        ตื่นหรือหลงใหล     ยองใยหรือโลกีย์  อยู่ที่คำนึง   

        ด้วยพระมหากรุณาธิคุณฯ พระแม่องค์ธรรมมหาเมตตา และพระศรีอาริย์โปรดเปิดประตูการุณกว้างใหญ่ อนุญาตให้ถ่ายทอดไตรรัตน์วิถีแห่งจิตอันแยบยล เพื่อให้อนุตตรสัทธรรมดำเนินแพร่หลายในโลกโดยเร็ววัน เป็นแสงสว่างส่องสากล  ญาณทวาร รหัสคาถา ลัญจกร ไตรรัตน์ ที่พระอาจารย์ได้ถ่ายทอดให้ แต่โบราณมามิอาจแพร่หลาย เป็นความลับอันวิเศษ แม้มิใช่บุคคลอันควรจะมิอาจถ่ายทอดให้ เป็นสุดยอดของวิถีธรรม ครอบคลุมสามโลก เป็นวิถีแห่งจิตกระชับผู้มีพื้นฐานบารมีชั้นสูง กลาง ต่ำ ทั้งสามระดับเข้าไว้ ดังนั้น ความหมายของไตรรัตน์ ผู้มีบารมีสูงจะสัมผัสได้ลึกซึ้ง บารมีตื้นจะสัมผัสได้ผิวเผิน แต่ละระดับพื้นฐาฯบารมี จึงสัมผัสสัจธรรมความนัย ของไตรรัตน์ได้ต่างกัน  สัจธรรม ความนัยของไตรรัตน์ เป็นธรรมะอันประณีต สุขุม คัมภีรภาพ เป็นวิถีแห่งจิตที่ช่วยให้ชีวิตพ้นการเวียนว่ายตายเกิดได้อย่างแท้จริง  อีกทั้งแฝงความนัยของการถ่ายทอดสืบพงศาธรรมต่อมาจริง ถ่ายทอดด้วยพระโองการฟ้าจริง และถ่ายทอดด้วยวิถีแห่งจิตจริงแม้พุทธบุตรที่ได้รับธรรมะ จะได้รับการถ่ายทอดไตรรัตน์จากอาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรม (เตี่ยนฉวนซือ) ผู้ซึ่งแบกรับพระโองการสวรรค์ ไตรรัตน์อันเป็นสัจธรรมที่แฝงความวิเศษไว้ก็มิได้ลดหย่อนไปแม้แต่น้อย พุทธบุตรทั้งหลายที่ได้รับธรรมะแล้วยึดถือบำเพ็ญตามสัจธรรมที่แฝงอยู่ในตน บำเพ็ญชาตินี้ก็หลุดพ้นได้ในชาตินี้ ไม่ต้องเวียนว่ายต่อไปในชีววิถีหก (ลิ่วเต้าหลุนหุย) ยิ่งกว่านั้นยังอาจร่วมงานหลงฮว๋าชุมนุมพระอริยะ ได้เฝ้าพระพุทธะ ฟังธรรมสวนะ ประจักษ์มรรคผล ที่พระอาจารย์ผิดหวังค้างใจก็คือ ศิษย์ในธรรมกาลยุคขาว จะเห็นความสำคัญของพระโองการฯเสียส่วนใหญ่ ไม่สนใจการถ่ายทอดวิถีแห่งจิตจริง  พุทธเซียนได้เฝ้าชี้ให้เห็นว่า แม้ได้รับถ่ายทอดด้วยพระโองการฟ้าจริงแล้ว แต่มิได้บำเพ็ญเข้าถึงจริง ก็จะเหมือนมิได้รับการถ่ายทอดจากพระวิสุทธิอาจารย์ ฉะนั้น เมื่อได้รับจริงก็ต้องบำเพ็ญจริง จึงจะราบรื่นทั้งทางโลกและทางธรรม ไม่ต้องรับทุกข์จากการเวียนว่ายต่อไป มิฉะนั้น แม้ได้รับจริงแต่บำเพ็ญไม่จริง ก็ยังคงต้องตกอยู่ในวงเวียนชีววิถีหกต่อไป 
        คนที่พื้นฐานบารมีต่ำ ไม่อาจรู้แจ้งความหมายอันวิเศษลึกซึ้งของไตรรัตน์ จะเห็นเป็นเพียงเครื่องมือคุ้มครองให้อยู่เย็นเป็นสุข ขจัดเคราะห์ภัยเท่านั้น เช่นนี้ เมื่อได้ไตรรัตน์แล้ว จึงเข้าใกล้ถอยไปไม่แน่นอน อย่างมากก็ได้แค่รักษาเชื้อไฟของธรรมะไว้ เพราะยอมรับในบุญญาอภิหาริย์ของสิ่งศักดิ์สิทธิ์จากการใช้ไตรรัตน์เท่านั้น 
        ส่วนคนที่มีพื้นฐานระดับกลาง ก็จะเห็นไตรรัตน์เป็นหลักฐานผ่านทางเข้าสู่สวรรค์และเป็นเกราะคั้มกันให้พ้นจากภัยพิบัติ แม้จะศรัทธาบำเพ็ญ แต่ก็ยังห่างสัจธรรมความนัยของไตรรัตน์อยู่มาก  เสียแรงที่พระอาจารย์อุตสาห์ทุ่มเทหยาดเลือดในหัวใจส่งเสริมให้
        สำหรับคนที่มีพื้นฐานระดับสูง  ยึดถือว่าไตรรัตน์คือ คุณวิเศษของห้าศาสนา หมื่นพันคัมภีร์ไม่พ้นไปจากไตรรัตน์  เมื่อได้รับไตรรัตน์แล้ว จึงประคองรักษาไว้ แต่ยังมีจิตใจยยึดมั่น จึงยังคงห่างจากภาวะธรรมชาติเดิม  แต่หากคนที่มีบารมีสูงยิ่ง เมื่อได้รับไตรรัตน์จะรู้แจ้ง ในจิตภาวะอนุตตรพระแม่องค์ธรรมในตนเอง (จื้อซิ่งเหลาหมู่) ทันที เห็นอนุตตรภาวะนิพพานอันศักดิ์สิทธิ์ของตนเอง ซึ่งถึงพร้อมด้วยกุศล สมบูรณ์บารมีจิตเป็นวิมุติกลมกลืน ไม่มีอุปสรรคด้วยสัญญาอารมณ์ใด เกิดเหตุปัจจัย แต่จิตว่างเปล่า เข้าถึงธาตุแท้มหากรุณาร่วมกับฟ้าดิน เป็นทายาทพระศรีอริยเมตตตรัย ร่วมงานธรรมจักรวาลพระโองการฟ้า แปรโลกปฏิกูลให้เป็นวิสุทธิแดนดิน เป็นโลกบัวบานอันเป็นเอกภาพ  ดังกล่าวทุกคำล้วนเป็นความจริง หวังว่าพุทธบุตรทั้งหลายในโลกจะสำนึกให้รู้แจ้ง แล้วประกอบการพิจารณากับบันทึกท่องพุทธาลัยนี้ ก็จะสัมผัสชัดเจน  "อู้เอวี๋ยน ศิษย์รัก" เวลาท่องเที่ยวสำหรับคืนนี้มาถึงแล้ว รีบกำหนดจิตญาณตามพระอาจารย์ขึ้นอาสน์บัว พระเทพสถิตยี่สิบแปดดวงดาวได้โปรดคุ้มครองตำหนักพระ เราทั้งสองออกเดินทาง
หัวข้อ: ท่องพุทธาลัย (1) ตอนที่ 3 : ปรากฏสว่าง ทางญาณประตู ได้รู้ขุ่นใส ตื่นหรือหลงไหล
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 16/08/2011, 06:58
                                   อนุตตรวิถีใหญ่ถ่ายทอดสู่หล้า
                               หนึ่งนิ้วพาหมดทุกข์พลัน
                              ใบหน้าสรวลสันต์ ละตนเธอฉัน
                              เก็บญาณสมบูรณ์แต่เดิมมา

                                              ตอนที่ 3

                            ปรากฏสว่าง      ทางญาณประตู     ได้รู้ขุ่นใส
                        ตื่นหรือหลงใหล     ยองใยหรือโลกีย์  อยู่ที่คำนึง   

อู้เอวี๋ยน  :  กราบราตรีสวัสดิ์ขอรับพระอาจารย์  คืนนี้พระอาจารย์โปรดเมตตาอธิบายความหมายแยบยลของไตรรัตน์ เวไนยสัตว์มีบุญวาสนาได้สดับพระโอวาทอันประเสริฐ เชื่อว่าคงได้แผ้วถางหนทางจิตกันคราวนี้

พระอาจารย์ ฯ :  ธรรมะเดิมทีไม่มีชื่อ จำต้องให้ชื่อว่าธรรมะ หนทางปฏิบัติเดิมทีไม่มีการปฏิบัติ จำต้องกำหนดไตรรัตน์นำทาง วิถีแห่งจิตทั้งหมดล้วนแต่แปรเปลี่ยนไปตามเหตุปัจจัย หวังว่าเสียงจากใจในบทที่แล้ว จะเป็นกระจกเงาให้เหล่าพุทธบุตรผู้บำเพ็ญมองเห็นตนได้บ้าง  ค่ำแล้ว เราไปบันทึกข้อมูลยัง "ที่ทำการตรวจสอบวิญญาณผู้ตาย" กันดีกว่า

อู้เอวี๋ยน  :  เสียงลมผ่านหูอู้ ๆ  รู้สึกได้ว่าอาสน์บัวบินลอยไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วจนนัยน์ตาลืมไม่ขึ้น และแล้วความเร็วก็ค่อยลดลง ในที่สุดก็หยุดลง

พระอาจารย์ ฯ  :  อู้เอวี๋ยน ถึงที่ทำการ ฯ แล้ว รีบจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อย เข้าไปกราบคารวะท่านเซียนผู้ปกครอง ฯ

เซียนผู้ปกครอง ฯ  :  น้อมรับพระบรรพจารย์ที่กลับมาเยือนผู้น้อย น้อมรับพระบัญชาคอยอยู่ที่นี่นานแล้ว

อู้เอวี๋ยน  :  กราบคารวะพระองค์เซียนผู้ปกครอง ฯ ไม่ทราบ คืนนี้เราจะไปท่องที่ใดขอรับ

เซียนผู้ปกครอง ฯ  :  คืนนี้เราจะไปเยี่ยม "ห้องพักวิญญาณผู้ได้รับวิถีธรรม" กัน ว่าแล้วทั้งสามก็มุ่งตรงไปทางด้านซ้ายจนถึงระเบียงชั้นล่างของหอแดง ภายในห้องพักสว่างไสวสะอาดสะอ้าน แสงสีเรืองรอง เหนือประตูหน้าห้องมีแผ่นป้ายใหญ่จารึกว่า "ห้องพักวิญญาณผู้ได้รับวิถีธรรม"

อู้เอวี๋ยน  :  ห้องนี้โอ่งโถงสงบเงียบมีส่วนคล้ายกับห้องพักวิญญาณสามัญและวิญญาณคนบุญ มีวิญญาณมากมายถือป้ายสีทองตองตนนั่งพักผ่อน อ่านหนังสือสนทนากันตามสบาย

พระอาจารย์ ฯ  :  วิญญาณในห้องนี้ได้รับถ่ายทอดวิถีธรรมจากพระอาจารย์มาแล้วทั้งนั้น เจ้าเข้าไปเยี่ยมหาข้อมูลได้เอง

เซียนผู้ปกครอง ฯ  :  วิญญาณทั้งหลายฟังทางนี้ บัดนี้พระอาจารย์ของพวกเจ้าและอู้เอวี๋ยนมาหาข้อมูลที่นี่เพื่อเขียนหนังสือ " บันทึกท่องพุทธาลัย " เพื่อเตือนใจชาวโลก รีบพร้อมกันมากราบรับพระบาท

เหล่าวิญญาณ   :  กราบรับพระบาทพระอาจารย์ สวัสดีอู้เอวี๋ยนศิษย์ผู้พี่

พระอาจารย์ ฯ  :  ศิษย์ทั้งหลายมิต้องคารวะ

อู้เอวี๋ยน  :  ญาติธรรมทุกท่านอยากได้มากจริยา
หัวข้อ: ท่องพุทธาลัย (1) ตอนที่ 3 : ปรากฏสว่าง ทางญาณประตู ได้รู้ขุ่นใส ตื่นหรือหลงไหล
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 16/08/2011, 08:22
                                   อนุตตรวิถีใหญ่ถ่ายทอดสู่หล้า
                               หนึ่งนิ้วพาหมดทุกข์พลัน
                              ใบหน้าสรวลสันต์ ละตนเธอฉัน
                              เก็บญาณสมบูรณ์แต่เดิมมา

                                              ตอนที่ 3

                            ปรากฏสว่าง      ทางญาณประตู     ได้รู้ขุ่นใส
                        ตื่นหรือหลงใหล     ยองใยหรือโลกีย์  อยู่ที่คำนึง 

พระอาจารย์ ฯ  :  คนที่ได้รับวิถีธรรมที่ได้สร้างบาปบุญไว้ในโลก เจ้าหน้าที่วิญญาณสามโลก จะสอดส่องบันทึกบาปบุญทุกวัน แล้วส่งมายัง "ที่ทำการตรีเทพฯ และสภาบาปบุญจิ่วหยัง"  อู้เอวี๋ยน  เจ้าเห็นจุดเครื่องหมายบนหน้าผากของวิญญาณเหล่านั้นไหม นั่นคือจุดที่ได้รับจากพระอาจารย์ บุญกุศลยิ่งสูง จิตภาวะยิ่งใส จุดเครื่องหมายยิ่งสว่าง วงรัศมีเหนือศรีษะยิ่งอร่ามเรือง มีทั้งสีทอง สีเงิน สีม่วง รุ้งเลื่อม ที่เรียกว่า "หมื่นสายประกายทอง" (วั่นเต้าจินกวง) นั่นไง พลังมงคลพวยพุ่ง ชัชวาลย์จนมิอาจประมาณได้  แต่หลังจากการรับธรรมะแล้ว กลับต่ำทรามหรือถดถอย ดูถูกศาสนาอื่น ให้ร้ายพระอริยเมธา อบรมแพร่ธรรมสับสน ทำลายธรรมานุภาพฯ แม้จุดเครื่องหมายบนหน้าผากจะยังปรากฏอยู่ แต่สีจะขุ่นมัวเหมือนตม  ฉะนั้น บาปบุญของทุกคนจึงไม่อาจปิดบังเบื้องบน ซึ่งจะรู้ผลการบำเพ็ญชัดเจนด้วยการพิจารณาแสงสีและพลังรัศมีของผู้นั้น

อู้เอวี๋ยน  :  พระอาจารย์ ฯ และท่านเซียน ฯ ขอรับ กระผมศิษย์โง่จะพูดคุยกับวิญญาณเพื่อทำความเข้าใจยิ่งขึ้นได้ไหม ขอรับ

เซียนผู้ปกครอง ฯ  :  มาท่องก็เพื่อบันทึกเรื่องราวทัศนียภาพตามความเป็นจริง เพื่อเป็นอนุทาหรณ์แด่ชาวโลกผู้บำเพ็ญ ยิ่งกว่านั้น ยังเป็นการบันทึกโดยสนองพระโองการจาก พระอนุตตร ฯ พระอภิภูผู้เป็นใหญ่แห่งญาณทั้งมวล แน่นอน จึงเรียกวิญญาณมาสอบถามความเป็นจริงได้ (ว่าแล้วเซียนผู้ปกครอง ฯ ก็เรียกวิญญาณพ่อเฒ่า ผู้หญิง ชายหนุ่ม และเด็กชายรวมห้าวิญญาณออกมา)

เซียนผู้ปกครอง ฯ  :  อู้เอวี๋ยน สนองพระโองการมาท่องเที่ยวบันทึก เมื่อถามอะไรให้ตอบความเป็นจริงทุกประการ มิให้เคลือบแฝง เมื่อพิมพ์เป็นหนังสือ ตัวอย่างเรื่องราวของท่านกล่อมเกลาชาวโลกได้ก็จะเป็นกุศลผลบุญเพิ่มขึ้นแก่ตน

อู้เอวี๋ยน  :  ขอบพระคุณท่านเซียนที่โปรดให้ความสะดวก กระผมจะเรียนถามพ่อเฒ่าท่านนี้ก่อน  สวัสดีพ่อเฒ่านักธรรมผู้พี่ กระผมเห็นท่านสงบเสงี่ยม สะอาดสะอ้าน หน้าตาใจดี อีกทั้งมีแสงสีขาวสูงสองสามนิ้วเหนือศรีษะ ตรงญาณทวารมีจุดเครื่องหมายสีแดงใสสว่าง แสดงว่าเมื่อมีชีวิตอยู่ คงเป็นผู้บำเพ็ญจริง ท่านจะเล่าเรื่องการบำเ็ญพอสังเขป เพื่อเป็นแบบอย่างแก่ชาวโลกได้ไหม?.

พ่อเฒ่า  :  กราบคารวะพระอาจารย์ ขอบพระคุณท่านเซียน ฯ กระผมมีโอกาสมาถึงที่นี่ก็ด้วยพระคุณบารมีของพระอาจารย์เป็นที่พึ่งส่งเสริม เมื่อมีชีวิตกระผมเป็นชาวไทเป อำเภอเมืองซันฉง ลูกชายของกระผมชอบไหว้พระศึกษาธรรมตั้งแต่เล็ก กระผมจึงถูกชักจูงมารับธรรมะด้วย เป็นเพราะอายุมาก ลูกเต้าก็ตั้งตัวกันได้หมด กระผมจึงตั้งใจปฏิบัติธรรมได้ ซึ่งก็ต้องขอบพระคุณผู้อาวุโสและอาจารย์บรรยายธรรมที่เฝ้าส่งเสริม ตั้งแต่มุ่งศึกษาสัจธรรมโดยไม่หยุดยั้ง และได้รู้ว่าทุกอย่างทางโลกเหมือนภาพลวงตาแล้ว กระผมก็อุทิศชีวิตบั้นปลาย ให้ทรัพย์เป็นทาน วิทยาธรรมเป็นทาน แรงกาย (อภัยทาน) ให้พร้อมทั้งสามทาน ร่วมพิมพ์หนังสือธรรมะ ปล่อยชีวิตสัตว์ สงเคราะห์คนยากจนลำบากไม่เคยเกี่ยง อีกทั้งอรรถาธิบายสัจธรรมให้ญาติเพื่อนฝูงทุกโอกาสที่ทำได้ เจียดเวลาไปช่วยงานสาธารณประโยชน์เสมอ เช่น ทำถนน สร้างสะพาน กวาดทำความสะอาดพุทธสถาน ญาติธรรมต่างอนุโมทนาสาธุการ แต่กระผมเห็นว่าเป็นหน้าที่ของความเป็นคน ไม่กล้าคิดว่าเป็นบุญกุศลแม้แต่น้อย เมื่อได้ยินญาติธรรมวิจารณ์ดูแคลนศาสนา หรือลัทธิอื่นใด กระผมก็จะแนะนำความหมายอันแท้จริงของวิถีแห่งจิตอันเสมอภาคกัน เพื่อให้เขาเข้าใจพุทธะภาวะอันเท่าเทียมกันทุกคน กระผมปฏิบัติเช่นนี้ติดต่อกันอยู่เจ็ดปี ก็หมดอายุขัย เจ้าหน้าที่ที่นั่นก็นำพามายัง "ที่พักวิญญาณผู้ได้รับวิถีธรรม" ทั้งหมดเป็นประวัติการบำเพ็ญคร่าว ๆ ของกระผม ขอให้บอกต่อไปยังชาวโลก ให้รีบแสวงหาพระวิสุทธิอาจารย์เสียตั้งแต่เยาว์วัย ให้ท่านชี้หนทางสว่าง อย่าเหมือนกระผมจนแก่เฒ่าเหลือเวลาไมามาก ก็ต้องตายจากด้วยความเสียดาย

พระอาจารย์ ฯ  :  สามชาติที่ล่วงมา ได้ร่วมบุญกับพระพุทธา ชาตินี้จึงได้บำเพ็ญจริง อนุตตรวิถีไม่มีเข้าใครออกใคร ผู้ใดมีบุญก็รับไป ทรัพย์ วิทยา แรงกาย ให้เป็นทาน ไม่ยึดมั่นในกุศลผลบุญ วันรุ่นคนหนุ่มสาวมีค่า มีกำลัง เวลาบำเพ็ญได้บริบูรณ์  ศิษย์รัก แม้เจ้าจะได้รับธรรมะเพียงเจ็ดปี แต่ก็มีความจริงใจมัุ่งไปข้างหน้า อีกทั้งรักษาจิตอยู่ในสภาวะธรรม ทานทั้งสามก็ครบถ้วน จึงได้ผลบุญในวันนี้ เชื่อว่าเจ้าคงต้องผ่านการทดสอบจาก "เก้าเก้าด่านจื่อหยัง" และเข้าเสวยสุขใน "พุทธาลัย" ได้
หัวข้อ: ท่องพุทธาลัย (1) ตอนที่ 3 : ปรากฏสว่าง ทางญาณประตู ได้รู้ขุ่นใส ตื่นหรือหลงไหล
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 16/08/2011, 11:24
                                  อนุตตรวิถีใหญ่ถ่ายทอดสู่หล้า
                               หนึ่งนิ้วพาหมดทุกข์พลัน
                              ใบหน้าสรวลสันต์ ละตนเธอฉัน
                              เก็บญาณสมบูรณ์แต่เดิมมา

                                              ตอนที่ 3

                            ปรากฏสว่าง      ทางญาณประตู     ได้รู้ขุ่นใส
                        ตื่นหรือหลงใหล     ยองใยหรือโลกีย์  อยู่ที่คำนึง

อู้เอวี๋ยน  :  วิถีอนุตตรธรรมไม่ลำเอียง ใครมีคุณธรรมพอเพียงย่อมเกื้อหนุน  ตาบำเพ็ญตาก็ได้ ยายบำเพ็ญก็เป็นของยาย มุ่งหมายสูญญตา ลงแรงคราดไถ เหนื่อยเท่าไรจะได้เท่านั้น อุทิศตนตอบแทนพระมหากรุณาธิคุณเบื้องบน เมื่อไปพ้นได้ประจักษ์ในธรรมกาย การบำเพ็ญของพ่อเฒ่านักธรรมผู้พี่ เป็นที่น่าเคารพนัก เสียดายที่วันเวลามีจำกัด ไม่อาจบรรลุมรรคผลสูงสุด  สิ่งนี้เป็นกระจกเงาสำหรับหนุ่มสาวชาวโลกที่ไม่ใฝ่บำเพ็ญทีเดียว  เรียนถามนักธรรมหญิงผู้พี่ท่านนี้บ้างเมื่อสักครู่ เรื่องราวความเป็นจริงในการบำเพ็ญของพ่อเฒ่าเป็นที่น่าประทับใจ แต่เหตุใดท่านจึงร้องไห้เมื่อได้ฟัง อีกทั้งก้มหน้าเงียบกริบ ดูจุดเครื่องหมายบนหน้าผากกึ่งมืดกึ่งสว่าง ไม่ทราบว่าท่านจะให้ข้อมูลการบำเพ็ญเพื่อเรียบเรียงบันทึกได้หรือไม่

แม่เฒ่า  :  กราบพระบาทพระอาจารย์ ขออภัยท่านเซียน ฯ จะเอ่ยวาจาน้ำตาก็พรั่งพรู ครั้งมีชีวิตอยู่ไม่เรียนรู้อาวุโส ต่อมาไม่นานถึงกาลหมดอายุขัย บุญกุศลยังห่างไกลจะอย่างไรได้เป็นเซียน  ครั้งอยู่ในโลกดิฉันเป็นชาวเมืองเกาส-ยง สามีเสียชีวิตไปนานแล้ว เหลือแต่ลูกชายหญิงสองคน ดิฉันครองตัวเป็นหม้ายรับจ้างทำงานบ้าน เลี้ยงดูลูกมาด้วยความยากลำบาก จนลูกเป็นฝั่งเป็นฝาทั้งสองคน  เนื่องจากตรากตรำมามาก พอแก่ตัวร่างกายก็ทรุดโทรมเจ็บป่าย โชคดีที่ลูกยังรู้จักกตัญญู ครอบครัวก็อยู่เย็นเป็นสุขดี วันหนึ่ง เพื่อนบ้านมาเยี่ยม คุยกันถึงเรื่องกฏแห่งกรรม แล้วแสดงเจตนาดีพาดิฉันไปขอรับวิถีธรรม ดิฉันไม่รู้หลักธรรมแต่ศรัทธาจริงใจ  แม้ชั่วชีวิตจะไม่ได้สร้างบุญกุศล แต่ก็ไม่ได้ทำความผิดอะไรมากนัก จนอายุุเจ็ดสิบเอ็ดปีดิฉันก็ตาย วิญญาณได้กลับมาที่ "ห้องพักวิญญาณผู้ได้รับวิถีธรรม" เมื่อเทียบกับพ่อเฒ่านักธรรมผู้พี่ท่านนี้แล้ว น่าละอายเป็นที่สุด

พระอาจารย์ ฯ  :  กัลยาณีสงวนศรีเป็นแบบฉบับ             ทนลำบากเลี้ยงดูลูกจนเติบใหญ่
                ได้รับวิถีธรรมเพราะคุณงามประจักษ์ไว้        แม้ไม่ได้เก็บบุญสร้างยังเชิดชู

        ศิษย์ประเสริฐ เจ้าไม่ต้องร้องไห้เสียใจ ในโลกปัจจุบัน ข้าแผ่นดินผู้ซื่อสัตย์ หญิงหม้ายที่สำรวมกายใจไม่มีมาก แม้ชาติก่อนเจ้ามิได้สร้างบุญบำเพ็ญ จึงต้องยากเข็บเมื่อชาติที่แล้ว  แต่อาศัยจิตใจมั่นคนรักนวลสงวนศรี เท่ากับปลูกเหตุปัจจัยเป็นรากฐานพุทธสัมพันธ์ให้ได้รับวิถีธรรม แม้จะไม่รู้จักสร้างบุญกุศล แต่ก็มิได้ประพฤติชั่วผิดคุณงาม เชื่อว่าเจ้าก็จะสามารถผ่านเข้าไปรับการอบรมใน "เก้าเก้าด่านจื่อหยัง" และขึ้นเสวยสุขบน "พุทธาลัย" ได้

เซียนผู้ปกครอง ฯ  :  นักธรรมหญิงผู้พี่ท่านนี้ พุทธรังสีเหนือศรีษะแรงมาก พลังก็สว่าง แต่มีพลังดำแฝงอยู่ จุดเครื่องหมายที่ญาณทวารแม้จะเรืองรอง แต่ก้แฝงความสลัวไว้เล็กน้อย บัดนี้ ขอเชิญให้ท่านแนะนำการบำเพ็ญทุกอย่างในครั้งมีชีวิต เพื่อเพิ่มเติมบันทึกการท่องเที่ยวด้วย     
หัวข้อ: ท่องพุทธาลัย (1) ตอนที่ 3 : ปรากฏสว่าง ทางญาณประตู ได้รู้ขุ่นใส ตื่นหรือหลงไหล
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 16/08/2011, 13:20
                                   อนุตตรวิถีใหญ่ถ่ายทอดสู่หล้า
                               หนึ่งนิ้วพาหมดทุกข์พลัน
                              ใบหน้าสรวลสันต์ ละตนเธอฉัน
                              เก็บญาณสมบูรณ์แต่เดิมมา

                                              ตอนที่ 3

                            ปรากฏสว่าง      ทางญาณประตู     ได้รู้ขุ่นใส
                        ตื่นหรือหลงใหล     ยองใยหรือโลกีย์  อยู่ที่คำนึง

วิญญาณหญิง  :  กราบพระบาทพระอาจารย์ กราบท่านเซียนผู้ปกครอง ฯ 

ดิฉันเป็นเจ้าตำหนักพระขณะมีชีวิตอยู่                ได้ช่วยจิตผู้คนแพร่นำทางธรรมา
เพียงน้อยนิดผิดพลาดหมิ่นศาสนา                    ผิดกฏฟ้าจึงถูกขับจากอาสน์บัว

        เมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่ ดิฉันเป็นชาวอำเภอเฟิงเอวี๋ยน ฐานะร่ำรวยสุขสมบูรณ์ตั้งแต่น้อย พ่อแม่พี่น้องก็โปรดปราณมาก ส่งเสียให้ดิฉันเรียนจนจบมหาวิทยาลัยพอเรียนจบก็เข้าทำงานที่บริษัทอุตสาหกรรมแห่งหนึ่ง จึงได้รู้จักกับผู้จัดการอีกบริษัทหนึ่งด้วยเรื่องการค้า เขาเป็นชายหนุ่มรูปร่างหน้าตาดีและความประพฤติดี เราคบกันมานานและเข้าใจกันมาก เขาเป็นศิษย์ยุคขาวที่มีคุณสมบัติพร้อมทีเดียว ดิฉันได้รับการชี้แนะปรัชญาชีวิตจากเขาเสมอจนเข้าใจความหมายของชีวิต  ครั้งหนึ่ง  เขาพาดิฉันไปพุทธสถานกราบรับวิถีธรรมได้ไตรรัตน์ เนื่องจากดิฉันมีการศึกษาดี นักธรรมอาวุโสเห็นคุณค่า จึงนำพาให้ดิฉันเข้าร่วมชั้นศึกษาธรรมต่าง ๆทำให้ปัญญาธรรมแตกฉานไม่น้อย จากนั้น ดิฉันก็เข้าสุ่วงการธรรมไม่ถอย หลังจากแต่งงาน ดิฉันต้องลาออกจากบริษัทมาดูแลบ้านเลี้ยงลูก และต่อมาก็สร้างตำหนักพระในครัวเรือนตน ด้วยความเพียรดำเนินงานธรรม เรือธรรมะเล็ก ๆ ที่บ้านก็แพร่ธรรมเป็นการใหญ่ฉุดช่วยคนบุญมากมายให้ละชั่วกลับตัวเป็นคนดี เป็นเพราะดิฉันยังไม่เข้าใจถ่องแท้ถึงหัวใจในหมื่นพระธรรมขันธ์ จึงยึดถือผิด ๆ ว่า วิีธรรมของยุคขาวสูงส่งที่สุด เป็นสัจธรรมหนทางอันกว้างใหญ่แท้จริงพร้อมกับดูหมิ่นศาสนาอื่น ๆ  "ฟ้ามีเมฆลมแปรปรวนเกินเดาคาด"     "คนมีวาสนาเคราะห์กรรมค่ำเช้า"  ชีวิตไม่กี่สิบปี ล่วงเลยไปชั่วพริบตา ในปีนั้น ดิฉันอายุสี่สิบเก้า อยู่ ๆ ก็ป่วยหนักเสียชีวิต ซึ่งคิดว่าวิญญาณจะมุ่งสู่เบื้องบนประจักษ์มรรคผลได้กราบพระแม่องค์ธรรม แต่ท่านเจ้าที่ใหญ่มารับวิญญาณของดิฉันบอกว่า "เมื่อมีชีวิต แม้เจ้าจะถึงพร้อมด้วยทรัพย์เป็นทาน วิทยาธรรมเป็นทาน แรงกายเป็นทาน บุญกุศลดังภูเขาสูง ความมุ่งมั่นต่อธรรมะไม่ถดถอย แต่เหตุที่ยังไม่อาจรู้แจ้งในจิตภาวะเดิมแห่งตน  ไม่เข้าใจถึงถ่องแท้สัจธรรมเสมอภาคในหมื่นพระธรรมขันธ์ จิตพุทธะในตนจึงยังไม่กลมกลืน จึงได้แต่นำเจ้าไปส่งยัง "ห้องพักวิญญาณผู้รับวิถีธรรม" เพื่อรอการทดสอบในขั้น "เก้าเก้าด่านจื่อหยัง" ต่อไป  ฉันจึงได้รู้สำนึกว่า แท้จริงใจฟ้าสูงส่งและเมตตาเป็นที่สุด ยุติธรรมที่สุด แต่กว่าจะสำนึกก็สายเสียแล้ว

พระอาจารย์ ฯ   :  ศิษย์เมธาอย่าโศกเศร้า ดูสามชาติที่แล้วที่เจ้าได้บำเพ็ญมา กุศลผลบุญมากมาย เชื่อว่าจะผ่านการทดสอบจาก "เก้าเก้าด่านจื่อหยัง" ไปสู่ "พุทธาลัย" เพือสดับพระโอวาทจากพระโพธิสัตว์ทั้งหลายได้

อู้เอวี๋ยน  : 
             หนึ่งก้าวถลำ             สำนึกเสียใจ             สายไปไม่ทัน
            อยากกลับหันหลัง      โศกศัลย์อาดูร           สูญสิ้นโอกาส
            ชาวโลกทั้งหลาย       ใคร่ย้ำหลักธรรม        อย่าซ้ำผิดพลาด
            ยืนตรงองอาจ           หยัดดังเสาธง           คงแบบอย่างงาม

        พี่นักธรรมหญิง ญาติธรรมที่พากเพียรอย่างท่านมีไม่มาก คำพูดมีค่าดังหยกทองของท่าน แสดงว่าจิตใจของท่านรู้ซึ้งในมโนธรรมแล้ว ขอให้ได้ไปสู่ "พุทธาลัย" ได้รับการชำระจิตใจด้วยน้ำอมฤต แล้วบังเกิดปณิธานใหญ่ร่วมช่วยงานธรรมจักรวาลใหญ่ครั้งนี้เถิด

เซียนผู้ปกครอง ฯ  :  ชายหนุ่มที่ปิดหน้าอยู่หลังประตูรีบออกมาเล่ารายละเอียดของการบำเพ็ญเมื่อครั้งมีชีวิต เพื่อช่วยการบันทึกกล่อมเกลาชาวโลกด้วย

วิญญาณชาย  :  กราบพระบาทพระอาจารย์ ศิษย์คนบาปละอายใจเหลือเกิน ชั่วชีวิตไม่ได้เห็นความสำคัญของสัจธรรม ศิษย์ไม่มีหน้าจะกราบพระอาจารย์เลย

อู้เอวี๋ยน  :  บัดนี้ เบื้องบนทรงโปรดให้สร้างหนังสือ "บันทึกท่องพุทธาลัย" เพียงแต่ท่านเล่าความเป็นจริงทั้งหมดเพื่อเตือนใจคนรุ่นหลัง ก็จะเป็นมหากุศลได้
หัวข้อ: ท่องพุทธาลัย (1) ตอนที่ 3 : ปรากฏสว่าง ทางญาณประตู ได้รู้ขุ่นใส ตื่นหรือหลงไหล
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 17/08/2011, 04:24
                                  อนุตตรวิถีใหญ่ถ่ายทอดสู่หล้า
                               หนึ่งนิ้วพาหมดทุกข์พลัน
                              ใบหน้าสรวลสันต์ ละตนเธอฉัน
                              เก็บญาณสมบูรณ์แต่เดิมมา

                                              ตอนที่ 3

                            ปรากฏสว่าง      ทางญาณประตู     ได้รู้ขุ่นใส
                        ตื่นหรือหลงใหล     ยองใยหรือโลกีย์  อยู่ที่คำนึง

วิญญาณชาย  :  ครั้งมีชีวิต กระผมอยู่อำเภอโต่วหนัน เป็นลูกชาวบ้านชนบทยากจน กำพร้าแม่ตั้งแต่เล็ก พ่อต้องทำงานหนักเลี้ยงครอบครัว จึงขาดความเอาใจใส่การศึกษาของลูก ๆ  พอจบชั้นประถมแล้ว กระผมก็ไปรับจ้างเป็นเด็กฝึกงานที่โรงงาน พอโตขึ้นก็คบเพื่อนนักเลง ไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ ร่วมกลุ่มมั่วสุมหาความตื่นเต้นแสบทรวงเล่น ไม่ใช่ดื่มเหล้าก้เล่นการพนัน เที่ยวซ่องตีรันฟันแทง ซึ่งไม่เพียงแต่ไม่นึกละอายใจ กลับคิดว่าเป็นนักเลงใหญ่ชายฉกรรจ์  วันหนึ่ง บังเอิญได้พบชายชราท่านหนึ่งใกล้บ้าน ท่านเตือนให้ประพฤติดี อย่าทำตัวตกต่ำอย่างนี้  จากนั้นท่านก็พยายามใช้วิธีการต่าง ๆ มาชักจูงส่งเสริม นานเข้ากระผมก็เกิดความรู้สึกเคารพท่านเหมือนพ่อโดยไม่รู้ตัว ความประพฤติของผมก็ค่อยดีขึ้น เมื่อชายชราเห็นพฤติกรรมของผมเปลี่ยนแปลงดีขึ้น ก้พากระผมไปพุทธสถาน แล้วกระผมก้ได้รับถ่ายทอดไตรรัตน์สัจธรรมโดยไม่รู้อะไร เพราะจิตใจของกระผมยังลิงโลดอยู่ กราบพระวันนั้นแล้ว ก็ไม่ได้กลับไปศึกษาอีกเลย ไม่นาน ชายชราก็หมดอายุตายไป กระผมรู้สึกหมดที่พึ่งทันที จึงกลับไปสนิทสนมกับเพื่อนชั่วอีก และประพฤติเลวยิ่งกว่าเก่า  คืนหนึ่ง กระผมกินเหล้าแข่งกับเพื่อน เมามากจนใบหน้าร้อนผ่าว หูอื้อตาลาย แต่ยังกำแหงบึ่งจักรยานยนต์เต็มที่จะกลับโรงงาน  ระหว่างทางจึงพุ่งเข้าชนรถบรทุกสิบล้อที่ขับสวนมาอย่างจัง ตายคาที่ มารู้สึกตัวอีกทีก็เป็นวิญญาณมาปรากฏตัวที่นี่แล้ว เมื่อยล้าหมดแรง นัยน์ตาไม่กล้าสู้แสง ได้ยินเจ้าหน้าที่ที่นี่พูดว่า "กระผมแม้จะได้รับถ่ายทอดจุดเครื่องหมายจากพระวิสุทธิอาจารย์ แต่บาปมาก บุญไม่มี เห็นทีจะผ่านด่านการทดสอบ "เก้าเก้าด่านจื่อหยัง" ได้ยาก จะต้องให้ยมทูตพาไปไต่สวนตัดสินที่ยมโลก" พระอาจารย์ขอรับได้โปรดเมตตาช่วยกระผมด้วย

พระอาจารย์ ฯ  :  "ฟ้าวิปริตยังเลี่ยงได้     แต่ทำบาปไว้ไม่รอดชีวิต"   เนื่องจากบรรพบุรูษของเจ้าสร้างบุญแฝงไว้เล็กน้อย ทำให้เจ้าได้รับวิถีธรรมจริง แต่เสียดายที่เจ้าไม่เห็นคุณค่า ปิยะวาจาว่าขัดหู บัดนี้ทุกอย่างสิ้นสุดแล้ว อาจารย์ก็ช่วยเจ้าไม่ได้ หวังว่าคำสารภาพของเจ้า จะเกิดผลเป็นอุทาหรณ์ช่วยชาวโลกได้อย่าเข้าใจผิดว่าเมื่อได้รับไตรรัตน์แล้ว ทำผิดคิดร้าย ยังจะพ้นเวียนว่ายตายเกิดได้ รู้ไว้เถิดว่านัยน์ตาฟ้าละเอียดถี่ถ้วนนักที่สุดของที่สุดคือทำเองได้รับผลเอง ใครก็รับแทนไม่ได้ เจ้าเป็นตัวอย่างชัดเจน ได้บันทึกในหนังสือ ก็ได้หนึ่งคะแนนบุญ ซึ่งเป็นประโยชน์แก่เจ้ามาก

เซียนผู้ปกครอง ฯ  :  เจ้าหนู ทำไมอายุน้อย ๆ ก็มาเป็นวิญญาณผีที่นี่ ช่วยเล่าความเป็นมาเมื่อครั้งที่มีชีวิตในโลกให้ฟังสักหน่อยเพื่อประโยชน์ในการพิมพ์หนังสือ

วิญญาณเด็ก  :  กราบพระบาทพระอาจารย์ กราบคารวะท่านเซียนผู้ปกครอง ฯ สวัสดีนักธรรมพี่ กระผมอายุเก้าปี เกิดอยู่ที่เมืองไทเป ทั้งครอบครัวเป็นศิษย์ยุคขาว พอเกิดได้ไม่นาน พ่อแม่ก็อุ้มกระผมไปพุทธสถานรับไตรรัตน์ ทุกคนในบ้านกินเจ และมีจิตศรัทธาต่อธรรมมาก พ่อ - แม่ ของกระผมแต่งงานมานานไม่มีลูกจึงจุดธูปไหว้พระขอลูกทุกวัน ชาติก่อน กระผมเป็นเจ้าหนี้ของพ่อแม่  แต่พระโพธิสัตว์กวนอิมได้โปรดชี้นำจิตให้เลิกอาฆาตและ และประทานให้มาเกิดเป็นลูกของพ่อแม่ เพื่อลบล้างเหตุและผลกรรมที่จะต้องตอบสนองกัน อีกประการหนึ่งก็เพื่อให้สัมฤทธิ์ผลในการวิงวอนขอลูก ประการที่สอง ให้กระผมมีโอกาสรับวิถีธรรม เป็นการสิ้นสุดเหตุปัจจัยเกี่ยวเนื่องกันอย่างสมบูณ์  พ่อแม่ให้กำเนิดกระผมแล้วก็ยิ่งศรัทธายิ่งขึ้น สร้างบุญมากมาย เบื้องบนจึงโปรดประธานลูกชายคนที่สองไว้สืบสกุล ผลกรรมของกระผมสิ้นสุดเืมื่ออายุเก้าปี อาศัยเหตุจมน้ำเพื่อละกานสังขาร พ่อแม่ไม่เข้าใจในหลักธรรมนี้จึงเสียใจมากเป็นธรรมดา อาจจะโกรธเคืองโทษฟ้าโทษคนบ้าง รอไว้เมื่อครบร้อยวันแล้ว กระผมจะกลับไปอาศัยร่างทรงบอกกล่าวเหเตุและผล กรรมนี้ให้ทราบโดยละเอียด วันนี้เมื่อมาถึง "ห้องพักวิญญาณผู้รับวิถีธรรม" เบาสบายจริง ๆ เพราะไม่มีอะไรแปดเปื้อน ขอบพระคุณพระมหาบารมีพระอาจารย์ หวังว่าชาวโลกจะเห็นคุณค่าพุทธสัมพันธ์ที่วิถีธรรมช้ายตรงได้มาโปรดถึงครัวเรือน อย่าหน่ายหนีธรรมะ ให้จบสิ้นเหตุและผลกรรมที่ทำไว้ในดอีดชาติ บำเพ็ญให้ใจสว่าง เห็นจิตตนกลับคืนสู่ภาวะเดิิม
หัวข้อ: ท่องพุทธาลัย (1) ตอนที่ 3 : ปรากฏสว่าง ทางญาณประตู ได้รู้ขุ่นใส ตื่นหรือหลงไหล
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 17/08/2011, 11:48
                                  อนุตตรวิถีใหญ่ถ่ายทอดสู่หล้า
                               หนึ่งนิ้วพาหมดทุกข์พลัน
                              ใบหน้าสรวลสันต์ ละตนเธอฉัน
                              เก็บญาณสมบูรณ์แต่เดิมมา

                                              ตอนที่ 3

                            ปรากฏสว่าง      ทางญาณประตู     ได้รู้ขุ่นใส
                        ตื่นหรือหลงใหล     ยองใยหรือโลกีย์  อยู่ที่คำนึง

อู้เอวี๋ยน  :  พระอาจารย์และท่านเซียนฯ ได้โปรด ใน "ห้องพักวิญญาณผู้รับวิถีธรรม" นี้ ล้วนแต่วิญญาณที่ได้รับถ่ายทอดไตรรัตน์สัจธรรมเมื่อครั้งชีวิตอยู่ หมายความว่าวิญญาณใดก็ตามที่พระวิสุทธิอาจารย์ได้ชี้จุดนี้ให้จะต้องมารายงานตัวที่นี่ก่อนทั้งนั้น แล้วจึงไปรับการทดสอบต่าง ๆ จากด่าน "เก้าเก้าจื่อหยังกวน" ใช่หรือไม่ขอรับ

พระอาจารย์ ฯ  :  ไม่ใช่  ในไตรรัตน์สัจธรรม (ซันเป่าเจินฉวน) ได้ครอบคลุมไปถึงโองการสัจธรรม (เทียนมิ่งเจินฉวน) สืบเนื่องไปถึงพงศาสัจธรรม (เต้าถ่งเจินฉวน)และแฝงความนัยของวิถีแห่งจิตอันเป็นสัจธรรม (ซินฝ่าเจินฉวน) สำหรับคนที่มีพื้นฐานบุญบารมีขั้นสูง เมื่อได้ฟังความหมายอันแยบยลของไตรรัตน์ ฉับพลันใจก็จะสว่างเห็นแจ้งภาวะจิต ประจักษ์ในสถานภาพแห่งจิตของตน พ้นจากการเวียนว่ายในสามโลก เขาผู้นั้นก็จะเป็นอิสระไปสู่พุทธเกษรได้ทุกระดับ จึงไม่ต้องมารายงานตัวที่นี่ อีกทั้งศิษย์ของเรามีพื้นฐานบุญบารมีดี ชั่วชีวิตตนอุทิศเพื่องานธรรมะ พุทธบุตรที่บุญกุศลสมบูรณ์พร้อมเมื่อทิ้งกายสังขาร เทพบุตร เทพธิดาน้อยก็จะอันเชิญฉลององค์ (เสื้อคลุมและสายคาดหยก) เชิญธงเป็นขบวนกองวงมโหรีประทับเกี้ยว (เสลี่ยง) หรือเหินเมฆมาเชื้อเชิญไปสู่เทวาลัย "จิ่วหยังปากั้วเอวี้ยน" เพื่อพักฟื้นระยะหนึ่ง จากนั้น จึงเชื้อเชิญต่อไปยังพุทธาลัย (เทียนฝอเอวี้ยน) ให้เสวยวิมุติสุขรออยู่จนกว่าจะถึงวันเก็บงานรวบรวมญาณบริสุทธิ์เข้าร่วมชุมนุมพระอริยะหลงฮว๋าก็คือเซียนใหญ่ทั้งหลายนั่นเอง ซึ่งไม่ต้องมารายงานตัวที่นี่ คืนนี้ ค่ำแล้ว ขอบคุณท่านเชียนที่ติดตามท่องเที่ยวเพื่อให้ความสะดวกในการบันทึกเรื่องราว เราขออำลาเพียงเท่านี้

เซียนผู้ปกครอง ฯ  :  น้อมส่งพระบรพพุทธา ฯ ขอส่งอู้เอวี๋ยน

พระอาจารย์ ฯ  :  ถึงตำหนักพระแล้ว วิญญาณอู้เอวี๋ยนกลับเข้าร่างดังเดิม ท่านเทพสถิตประจำดวงดาวทั้งยี่สิบแปดอยู่คุ้มครองตำหนักพระ (ระหว่างที่พระอาจารย์นำญาณของอู้เอวี๋ยนออกไป) ลำบากนักแล้ว โปรดตามเรากลับเบื้องบน
หัวข้อ: ท่องพุทธาลัย (1) ตอนที่ 4 : ซึ้งคำกลอน ซ่อนความนัย ให้พิจารณ์ เรื่องเก็บงาน ฯ
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 17/08/2011, 12:27
                              มีผลบุญ     ข้อมูลใส     พิจารณาให้ไม่สับสน
                           ขาดกุศล       ผลสอบชัด   ภัยพิบัติครั้งนี้หนีไม่พ้น   

                                           ตอนที่ 4

                              ซึ้งคำกลอน     ซ่อนความนัย     ให้พิจารณ์
                          เรื่องเก็บงาน        หมากรุกวาง       อย่างแยบยล

             (ในคำกลอนอันลึกซึ้งได้ซ่อนความนัยให้ณุ้ขั้นตอนแผนการเก็บงานยุคนี้ไว้)

        นันย์ตาสอง        ซ่อนความนัย        ตรงใจกลาง
"โป๊ยก้วย" วาง            อยู่ข้างใน            ใจจึงเกิด
ดาวหนึ่งส่อง              ประคองฉาย          ให้พราวเพริด
ท่านล้ำเลิศ                เป็นหลักมั่น           ญาณทั้งมวล
                                                                                                                                                     เราคือ
        พระเทพสถิตยี่สิบแปดดวงดาว
กราบสนองพระโองการพระแม่ ฯ สุ๋พุทธสถาน กราบคารวะแล้วจึงหันมาหาเหล่าเมธา อริยกิจวันนี้ เคร่งครัดท่วงที ต่างทำหน้าที่คุ้มครองตำหนัก เราจะไม่พูดมากไป
                                                                                                                                                  ฮา   ฮา   พัก
        ฟ้าครามใส        ไกลหมื่นลี้        มีจิตผ่อง
ลอยละล่อง                เป็นอิสระ         วิเมลือง
ด้วยฟูเฟื่อง                คุณงามสูง        ได้มุ่งสรวง
จึงลุล่วง                    พุทธเกษร        เจตน์จิตตน
                                                                                                                                                      เราคือ
        เทียนหยาน พระอาจารย์ของเจ้า
วันนี้กราบสนองพระโองการสู่พุทธสถาน กราบคารวะพระแม่จงทรงพระเกษมสำราญแล้ว จึงพบกับศิษย์ต่อไป ด้วยธรรมะนำพา มาบันทึกบททอง ใจตนกับฟ้าสอดคล้อง พร้อม "จอมทัพพิทักษ์" ตำหนักนี้  อู้เอวี๋ยนสงบจิตตามอาจารย์ขึ้นฐานบัว
                                                                                                                                                   ฮา   ฮา   พัก
        ด่านใดใด        มิใช่ด่าน        วิเศษทวาร
ชี้จุดพลัน                จันทร์ฉายแสง  แหล่งกำเนิด
รู้จิตตน                   ภาวะว่าง        อันล้ำเลิศ
แม้มิเกิด                 อวิชายึดติด     จิตว่างกว้างไกล
       
        ทุกคัมภีร์        ที่ออกเสียง     เลียบเคียงธรรม     (มิใช่ธาตุธรรมในตน)
ยึดมือกำ                ยึดลัญจกร      ยิ่งจรจาก            (แม้ลัญจกรก็ไม่ให้ยึด) 
ผู้มีฐาน                  บุญบารใหญ่    รู้หมายชัด
มหาสัทธ์               พุทธะตน        ค้นพบพลัน

        หนึ่งนิ้วนำจิต        ชิดชมพุทธะ        ประจักษ์ในตน
ไม่ต้องคิดค้น               ตถตาแท้            แน่ชัดเป็นนิด
ทวารวิเศษ                  จักษุนิพพาน        ผ่านตาถึงจิต
คัมภีร์สกิด                   สะเทือนหูพลัน     รู้ญาณสัจธรรม

        ลัญจกรคือฐาน      สังขารร่างกาย      ให้ไว้ยืนยัน
ไตรรัตน์พร้อมกัน           มั่นกายวาจาใจ      ได้ร่วมสมาน
ประตูพุทธะ                 จะมุ่งวิถี               สี่หมื่นแปดพัน        (พระธรรมขันธ์)
ทุกทางร่วมกัน             สู่จุดเมตตา            พาเผยแผ่ไป     

        ทุกวิถีทาง        ต่างแสวงหา        การนำพาง่าย
ให้เหมาะกายใจ         จริตต่างต่าง         สร้างเพื่อเสริมส่ง
อนุตตรวิถี                 ไม่มีแบ่งชั้น        แยกกันขึ้นลง
ถ่อมใจรู้ปลง              น้อมนบยินดี       ไม่มีวิจารณ์

        ใครยึดถือมั่น        แก้กันให้หลุด        ผ่านจุดตลอด          (จากจุดญาณทวารถึงนิพพาน)
ยุคขาวโปร่งปลอด          ต่างชื่นชมได้         ดีใจถ้วนหน้า
ผู้รู้สัจจริง                    ไม่นิ่งหลงฟัง          พรั่งพรูวาจา
รู้ภาระว่า                     หน้าที่ช่วยงาน        ยุคกาลแพร่ธรรม
                                                                                                                                                     ไฮ   พัก   
หัวข้อ: ท่องพุทธาลัย (1) ตอนที่ 4 : ซึ้งคำกลอน ซ่อนความนัย ให้พิจารณ์ เรื่องเก็บงาน ฯ
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 18/08/2011, 10:45
                             มีผลบุญ     ข้อมูลใส     พิจารณาให้ไม่สับสน
                           ขาดกุศล       ผลสอบชัด   ภัยพิบัติครั้งนี้หนีไม่พ้น   

                                           ตอนที่ 4

                              ซึ้งคำกลอน     ซ่อนความนัย     ให้พิจารณ์
                          เรื่องเก็บงาน        หมากรุกวาง       อย่างแยบยล

             (ในคำกลอนอันลึกซึ้งได้ซ่อนความนัยให้ณุ้ขั้นตอนแผนการเก็บงานยุคนี้ไว้)

        ในคัมภีร์วัชรญาณสูตรจารึกไว้ว่า "ผู้ใดเห็นเราด้วยรูป วอนเราด้วยเสียง ผู้นั้นดำเนินมิจฉาปฏิปทา ไม่อาจเห็นตถาคต"  ในลังกาวตารสูตร จารึกไว้ว่า "ใดใดที่รู้ได้ด้วยวาจา ล้วนมิใช่สัจธรรม" ในคัมภีร์คุณธรรม (เต้าเต๋อจิง) จารึกบทต้นว่า "ที่กล่าวอ้างได้มิใช่ธรรมะ ที่กล่าวนามได้มิใช่นามจริง" ในคัมภีร์ทางสายกลาง (จง - อยง) ก็จารึกไว้ว่า "รูปเสียงอันสามารถแปรเปลี่ยนใจคนได้ นั่นคือปลายเหตุ ธรรมะซึ้งฟ้าค้ำจุนไว้ ปราศจากเสียง ปราศจากกลิ่น เป็นที่สุดแห่งรูปนามทั้งปวง" รวมความจากพระธรรมคัมภีร์ทั้งสามศาสนา ล้วนแต่ชี้ให้ชาวโลกรู้ว่าวาจาหรืออักขระใด ๆ ล้วนเป้นเพียงสัญลักษณ์ เครื่องหมายเป็นสื่อให้เท่านั้น หาใช่ธาตุแท้ไม่ จึงทำความเข้าใจได้ว่า "ทุกมรรควิถีไม่มีธาตุแท้จิตภาวะตน และล้วนคืนสู่ว่างเปล่า" บัดนี้ศิษย์สูงด้วยปัญญาทั้งหลายชอบแต่จะคิดค้นคำไขชอบทะยานทางไกล บ้างเน้นหนักให้แตกฉานประวัติการถ่ายทอดพงศาธรรมแท้ หรือมุ่งความสำคัญให้แก่สัจจะพระโองการ  มุ่งหน้าเจาะจงค้นคว้า จึงตกทะเลคัมภีร์ห้าศาสนาโดยง่าย อีกมักจะมองข้ามประจักษ์พยานหลักฐาน ขาดการปฏิบัติจริงต่อไตรรัตน์สัจธรรม ต่อความหมายแท้จริงแยบยลของความเป็นตถตา (พระยูไล) จึงเป็นเหตุให้ทิ้งต้นกำเนิดที่มาใฝ่หาปลายก้อย จมอยู่กับอักขระคำสอนจนถอนตัวไม่ขึ้น อันที่จริงหมื่นพันคัมภีร์ล้วนเป็นเพียงคำบรรยายชักนำตามจิตสำนึก ซึ่งมีสมบูรณ์พร้อมอยู่แล้ว ไม่ขาดหายแม้เส้นใยในจิตภาวะดังทะเลของทุกคน เพียงแต่ศิษย์เมธีจะทำความเข้าใจให้รู้แจ้งถึงธาตุแท้ของไตรรัตน์ในใจตน รู้จักคุมจิตสำรวมใจในชีวิตประจำวัน ก็จะกลมกลืนกับธาตุธรรมเช่นคำที่ว่า "ธรรมารมณ์เกิดแต่จิต และดับด้วยจิต" ฉะนี้  สำหรับคนปัญญาระดับกลางและต่ำมักจะเหมือน "กล้อมแกล้มกลืนพุทรา" ไม่ศึกษาให้ละเอียดถึงความหมายอันแท้จริงในไตรรัตน์  บ้างจดจ่ออยู่กับญาณทวาร  บ้างยึดมั่นในรูปนามของไตรรัตน์  บ้างหลงติดในอภินิหาริย์ของไตรรัตน์  ดูหมิ่นคัมภีร์ปิฏก ยกตนออกหากจากธรรมธาตุของจิตอันเท่าเทียมกัน สร้างกรรมรับกรรม  ตกอยู่ในกองทุกข์ของมิจฉาทิฐิ บำเพ็ญอย่างโดดเดี่ยว ถือดีในวงแคบเฉพาะตน พึงรู้ไว้ว่าคัมภีร์ปิฏกของห้าศาสนาล้วนเผยเมตตาจิตฟ้าเสริมสร้างธรรมะบุคลากร เช่นเดียวกับไตรรัตน์สัจธรรมวิถีแห่งจิต ซึ่งแม้อาจจะต่างกันด้วยนามรูป แต่ความหมายอันแท้จริงก็คือ "ไตรรัตน์สัจธรรม" นั่นเอง  ศิษย์เมธีทั้งหลายหากแม้เจ้าเข้าถึงลึกซึ้งในคัมภีร์ปิฏกของห้าศาสนา ก็จะยิ่งสำนึกรู้ความละเอียดประณีตอันกว้างใหญ่รายรอบของ "ไตรรัตน์สัจธรรม" ในยุคขาว

พระอาจารย์ ฯ  :  อู้เอวี๋ยน คืนนี้เราจะไปเยี่ยม "สถานเตรียมการเก็บวิญญาณสมบูรณ์"  กัน ในเวลานั้น จะมีพระเทวินทร์แสดงธรรมจะเปิดประตูใหญ่หัวใจฟ้าเก็บงานสมบูรณ์ ศิษย์เมธีเจ้าจะต้องสำรวมกายใจ อย่าได้เผลอไผล

อู้เอวี๋ยน  :  ศิษย์น้อยรับบัญชาพระอาจารย์ มิกล้าหละหลวม

พระอาจารย์ ฯ  :  สาธุ ฯ  ได้เวลาแล้ว ขอรบกวนยี่สิบแปดดาวเทพสถิต ได้กวดขันดูแลตำหนักพระ เราทั้งสองจะออกเดินทาง

อู้เอวี๋ยน  :  หอสูงสีแดงเบื้องหน้าคือ "ห้องพักวิญญาณผู้ได้รับวิถีธรรม" ที่เราได้มาเยือนเมื่อคืนก่อนใช่ไหมขอรับ

พระอาจารย์ ฯ  :  ใช่แล้ว  ความจำของศิษย์ไม่เลวเลย เนื่องจากเวลาและพระโองการกำหนดไว้ คืนนี้เราจะไม่หยุด ณ ที่นี้ "สถานเตรียมการเก็ยญาณสมบูรณ์" ยังห่างจากนี้อีกครึ่งลี้ ศิษย์เมธีรีบสงบจิตติดตามอาจารย์มา

อู้เอวี๋ยน  :  การเก็บงานเป็นเรื่องใหญ่ในสามโลก ไม่ทราบว่าสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่รับสนองเก็บงานฟ้าดินจะโอ่อ่าโอฬารเพียงใดหรือขอรับ
หัวข้อ: ท่องพุทธาลัย (1) ตอนที่ 4 : ซึ้งคำกลอน ซ่อนความนัย ให้พิจารณ์ เรื่องเก็บงาน ฯ
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 18/08/2011, 14:03
                              มีผลบุญ     ข้อมูลใส     พิจารณาให้ไม่สับสน
                           ขาดกุศล       ผลสอบชัด   ภัยพิบัติครั้งนี้หนีไม่พ้น   

                                           ตอนที่ 4

                              ซึ้งคำกลอน     ซ่อนความนัย     ให้พิจารณ์
                          เรื่องเก็บงาน        หมากรุกวาง       อย่างแยบยล

             (ในคำกลอนอันลึกซึ้งได้ซ่อนความนัยให้ณุ้ขั้นตอนแผนการเก็บงานยุคนี้ไว้)

พระอาจรย์ ฯ  :  แท้จริงสัทธรรมเป็นอสังขตะไร้รูปลักษณ์ "สถานเตรียมการเก็บญาณสมบูรณ์" ได้ก่อตัวขึ้นจากสัจจพลานุภาพของฟ้าดินเพื่อสนองรับกำหนดกาล ภายในที่ทำการเต็มไปด้วยเหล่าเซียนชาวฟ้า แยกลัทธิกายรับสนอง  เตรียมงาน  สร้างแผนงาน  แนะแนว  จัดส่งผู้บำเพ็ญจริงตามหลักสัจธรรมในทุกศาสนา เพียงแต่ผู้บำเพ็ญได้รู้แจ้งจิตตน ไม่ว่าศาสนาใด ล้วนจะได้ลงทะเบียน ณ "สถานเตรียมการเก็บญาณสมบูรณ์" สำหรับคนที่พาตนและผู้อื่นให้พ้นเวียนว่าย ถึงวันเก็บงานเมื่อใด ย่อมได้ร่วมงานชุมนุมพระอริยะหลงฮว๋า สดับเทศนาจากพระศรีอาริย์ บรรลุมรรคผลพ้นเวียนว่าย

อู้เอวี๋ยน  :  ตำหนักใหญ่ที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้า มีลักษณะเหมือนวัดโบราณในโลกมนุษย์ บนหลังคามีมังกรสีเขียวพันอยู่  มีนกเซียนหลายหลากจับเกาะ เสาคานบานผนังมีภาพสีลายนูน กลิ่นหอมกรุ่นโชยมาไม่ขาดสาย ทำให้รู้สึกว่ากำลังอยู่ในพลานุภาพของดินแดนวิสุทธิ์  เหนือทวารตำหนักกลาง เห็นแผ่นป้ายสี่เหลี่ยมผืนผ้าตามขวาง จารึกอักษรด้วยพู่กันจีนโฉบเฉี่ยวดังหงษ์ร่ายมังกรบิน เส้นแกร่งแรงตวัด ลักษณะเฉิดฉาย ได้ความว่า "สถานเตรียมการเก็บญาณสมบูรณ์" (โซวเอวี๋ยนโฉวเป้ยชู่)  สองข้างประตูตำหนักยังมีกลอนคู่จารึกไว้ว่า 

                                       อนุตตรวิถีใหญ่ถ่ายทอดสู่หล้า             หนึ่งนิ้วพาหมดทุกข์พลัน   
                                       ใบหน้าสรวลสันต์ ละตนเธอฉัน            เก็บญาณสมบูรณ์แต่เดิมมา

นับเป็นที่พึ่งพาของญาณทั้งหลาย เป็นเหตุปัจจัยครั้งใหญ่ที่เวไนยต่างมุ่งหวังทีเดียว

พระอาจารย์ ฯ  :  อู้เอวี๋ยน จัดเครื่องแต่งกายให้เรียบร้อย สงบใจ เทวมาตย์ กำลังออกจากตำหนักตรงมา อย่าลืม พุทธจริย อย่าได้เสียกิริยา

เทวมาตย์  :  กราบคารวะ พระพุทธบรรพจารย์เทียนหยาน ทรงพระสำราญ  คืนนี้ ข้าพเจ้าผู้โง่เขลา รับบัญชาทำหน้าที่เฝ้ารับพระองค์ผู้สนองงานพระโองการฟ้าอยู่ ณ ที่นี้เพื่อนำมาชมสถานที่ทำการ อีกทั้งไขข้อข้องใจแด่อู้เอวี๋ยน ตามพระประสงค์เบื้องบน ฝ่ายงานต่าง ๆ ก็กำลังรอน้อมรับท่านทั้งสอง โปรดตามข้าพเจ้าเข้าสู่ภายใน

อู้เอวี๋ยน  :  ผู้น้อย กราบคารวะองค์เทวมาตย์ ความโง่เขลาของศิษย์ประการใด ขอได้โปรดชี้แนะ

เทวมาตย์  :  อู้เอวี๋ยน ถ่อมตัวเกรงใจยิ่งแล้ว (ขณะสนทนา ทั้งสามดำเนินพลางผ่านพระตำหนักเข้าไป อู้เอวี๋ยนเห็นแต่ละองค์แต่งเครื่อง เซียนทั้งนั้น ภายในตำหนักโอ่โถงสงบเงียบ โต๊ะเก้าอี้เรียงรายเป็นระเบียบ บนโต๊ะทำงานมีสมุดบัญชีซ้อนเป็นตั้งสูง เซียนเจ้าหน้าที่ต่างก้มหน้าสาละวนวุ่นมากกับการตรวจสอบหลักฐาน พลันได้ยินเสีบง "กราบพระบรรพพุทธา" พร้อมกัน อู้เอวี๋ยนจึงรู้ตัวจากภวังค์)
หัวข้อ: ท่องพุทธาลัย (1) ตอนที่ 4 : ซึ้งคำกลอน ซ่อนความนัย ให้พิจารณ์ เรื่องเก็บงาน ฯ
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 18/08/2011, 15:05
                              มีผลบุญ     ข้อมูลใส     พิจารณาให้ไม่สับสน
                           ขาดกุศล       ผลสอบชัด   ภัยพิบัติครั้งนี้หนีไม่พ้น   

                                           ตอนที่ 4

                              ซึ้งคำกลอน     ซ่อนความนัย     ให้พิจารณ์
                          เรื่องเก็บงาน        หมากรุกวาง       อย่างแยบยล

             (ในคำกลอนอันลึกซึ้งได้ซ่อนความนัยให้ณุ้ขั้นตอนแผนการเก็บงานยุคนี้ไว้)

พระอาจารย์ ฯ  :  มิต้องคารวะ ขอจงพุทธสำราญ เซียนเจ้าหน้าที่ทั้งหลายต่างทำงานของท่านไปอย่าได้รบกวนงานรับผิดชอบของท่าน ด้วยการมาเยือนของเราเลยเราอาจารย์กับศิษย์มีเทวมาตย์นำชมแล้ว ด้วยสนองงานพระโองการอยู่ไม่มีเวลาสนทนากับท่านได้ ขออภัยจริง ๆ

เทวมาตย์  :  อู้เอวี๋ยน เธอดูนี่เป็นสมุดบันทึก "เงาใจ" ของผู้บำเพ็ญในทุกศาสนาทั่วโลกเอาไว้ทั้งหมด ไม่ว่าเป็นศิษย์สาวกในศาสนาใด ที่นี่จะมีความบันทึกเป็นไปในการบำเพ็ญของผู้นั้น เพียงแต่บำเพ็ญจริงตามหลักสัจธรรม และรู้แจ้งหนทางตรง ครั้งมีชีวิตก็ปฏิบัติมนุษย์ธรรมถูกต้อง เหล่านี้ล้วนจัดอยู่ใน "บัญชีญาณสมบูรณ์"  แต่หากผู้บำเพ็ญใดยังมีจิตใจบกพร่อง เช่น ผยองตน แบ่งฝักแบ่งฝ่าย มีทิฐิแบ่งแยก เหล่านี้ แต่ละหน่วยปกครองที่นี่ก็จะจำแนกผู้นั้นไปตามเหตุและผลของกรรมในสามชาติ ตามศาสนาที่ผู้นั้นยึดถือพร้อมทั้งแนวทางดำเนินชีวิต แล้วจัดการทดสอบ เสริมส่ง ชักนำหรือฉุดจูง จากเหตุและผลนั้น ๆ  รวมความก็คือเพื่อให้จิตใจของผู้นั้นรู้แจ้งอย่างแท้จริงในภาวะเดิมอันสมบูรณ์ของตน เนื่องจากเหตุและผลแห่งกรรมของแต่ละคนในอดีตชาติต่างกัน สภาพที่ประสบจึงต่างกันช่วงเวลาบรรลุแจ้งจะเร็วขึ้น ด้วยการ "ปลูกเนื้อนาบุญ ผูกบุญสัมพันธ์ สร้างกุศลจิตกุศลกรรม ในทางตรงกันข้าม คือเนิ่นนานช้าลง เพราะเหตุสร้างกรรมชั่วบาปเวรหรือละทิ้งจิตใจที่ใฝ่ธรรม จึงขอเตือนชาวโลกผู้บำเพ็ญ อย่าได้มีความคิดว่าจะเล็ดลอดไปพ้น "ภัยพิบัติและวาสนาไม่มีประตู อยู่ที่ตนต่างหาช่องทาง" เบื้องบนธำรงไว้ซึ่งความยุติธรรมโดยแท้  เหตุและผลกรรมจะถูกบันทึกอย่างซื่อตรงตามการกระทำของผู้นั้น  แม้ว่า พระอนุตตรธรรมมารดาจะโปรดเมตตาจะช่วยญาณเดิมกลับคืนไปให้ได้ แต่ยังคงต้องให้เป็นไปตามเหตุและผลแห่งกรรมของผู้นั้น แล้วตามด้วยการจัดวางชี้นำเท่านั้น

อู้เอวี๋ยน  :  ขอบพระคุณท่านเทวมาตย์ ที่ไขความลับฟ้าเพื่อสาธุชน บัดนี้เป็นโอกาสที่เบื้องบนโปรดสามโลกเพื่อเก็บงานอย่างกว้างขวาง จึงได้สดับข่าวดีจากสวรรค์ แต่การจะกลับคืนบ้านเดิมอันวิมุติ จะอาศัยพระทัยเมตตาจากฟ้ามาฉุดช่วยทั้งหมดไม่ได้ จะต้องอาศัยตนเองฝึกฝนจริงเป็นหลัก ถอนรากโคลนเหตุผลกรรมในอดีตชาติ หมั่นสร้างบุญทานคุณความดีผูกบุญสัมพันธ์กับธรรมะให้มั่นคง เช่นนี้ "สถานเตรียมการเก็บญาณสมบูรณ์" จึงจะจัดเตรียมให้เหล่าเวไนย ฯ ได้พบพระวิสุทธิอาจารย์ และถึงบุญวาระรู้แจ้งในเร็ววัน

พระอาจารย์ ฯ  :  สัทธรรมไม่เข้าข้างใคร คุณงามมีไว้ก็ได้ส่งหนุน  ตั้งแต่โบราณจนบัดนี้ สัจธรรมไม่เคยเปลี่ยนแปลงไปตามเวลาสภาวะ เพียงแต่วิธีฉุดช่วยกล่อมเกลาสอดคล้องไปตามการอันควร จึงมีคำกล่าวว่า "เวลาเคลื่อนย้าย ทางธรรมเปลี่ยนไปจะไม่ทอดถ่าย แม้มิใช่บุคคลอันควร" หวังว่าชาวโลกผู้บำเพ็ญ อย่าได้ชอนเข้าปลายเขาควาย  อย่าได้เปรียบเทียบสูงต่ำ ก่อเรื่องผิดใจ นินทาว่าร้าย แต่จะต้องตั้งใจเจาะลึก เข้าสู่เนื้อแท้อันเป็นหัวใจของจิตญาณซึ่งอยู่ในชั้นในสุด ของประตูธรรม ดังคำกล่าวว่า "อนุตตรสัทธรรมอันล้ำลึก ใคร่สำนึกความหมายในตถตา" นี่คือสัทธรรมที่ผู้บำเพ็ญควรรู้แจ้งอย่างยิ่งโดยแท้

อู้เอวี๋ยน  :  เอ๊ะ บนผนังมีโคลงกลอนแขวนอยู่หลายผืนเขียนตัวบรรจงเรียบร้อย ไม่ทราบผู้น้อยจะขออ่านและบันทึกลงในหนังสือได้หรือไม่ขอรับ

เทวมาตย์  :  โคลงกลอนบนผนัง เป็นปริศนาว่าด้วยชะตาฟ้าในยุคนี้ หากมิใช่เป็นผู้สนองพระโองการฟ้ามาเยือน เราจะมิให้ได้พบเห็น อาศัยพุทธสัมพันธ์ในคืนนี้ อนุญาตให้กลอนปริศนาแพร่หลายสู่โลกมนุษย์พร้อมกับหนังสือบันทึกท่องพุทธาลัยได้
หัวข้อ: ท่องพุทธาลัย (1) ตอนที่ 4 : ซึ้งคำกลอน ซ่อนความนัย ให้พิจารณ์ เรื่องเก็บงาน ฯ
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 19/08/2011, 17:25
                              มีผลบุญ     ข้อมูลใส     พิจารณาให้ไม่สับสน
                           ขาดกุศล       ผลสอบชัด   ภัยพิบัติครั้งนี้หนีไม่พ้น   

                                           ตอนที่ 4

                              ซึ้งคำกลอน     ซ่อนความนัย     ให้พิจารณ์
                          เรื่องเก็บงาน        หมากรุกวาง       อย่างแยบยล

             (ในคำกลอนอันลึกซึ้งได้ซ่อนความนัยให้ณุ้ขั้นตอนแผนการเก็บงานยุคนี้ไว้)

อู้เอวี๋ยน  :  บทกลอนที่อยู่ทางซ้ายเขียนไว้ว่า ประมาณความหมายตามตัวอักษรคือ :
                  1. ตาชั่งมังกรล้นหลามสามธารก็แปรผัน
                  2. คนไม่ผิดสันดานจะไม่เลยผ่านเรือเมตตา
                  3. ขุนพลสวมหมวกยศ โกรธแค้นแล่นถลา
                  4. พบกันชั่วยามระกา ปากทวารมีสองลูกปืน

            ประมาณความหมายในปริศนาธรรมคือ :
1. เมื่อกระแสพุทธะล้นหลากออกจากจิต ใจที่กระเจิงกับอดีต ปัจจุบัน  อนาคต (สามสายธาร) ก็เปลี่ยนไปเป็นสัมมาปัญญาสายเดียว
2. ผุ้ใดไม่หลงผิดคิดชั่วร้าย จะไม่เลยผ่านเรือเมตตาที่เบื้องบนส่งมารับ
3. ยุคนี้ภัยพิบัติและหมู่มารกำลังสังหารตามล่า
4. ได้พบวิถีธรรมใกล้ค่ำแล้ว ซึ่งจิตของตนยังเป็นอินกับหยาง มืดสว่างไปตามอารมณ์เหมือนสองลูกปืนยิงตัวเอง

        ปริศนาที่ค้นพบในตัวอักษรคือ :  พระพุทธะ (ขณะมีชีวิต) พระอาจารย์  ถัดไปมีหมายเหตุกำกับว่า  "คำกลอนแฝงความนัย ปกครองธรรมจักกรวาลหมื่นแปดร้อยปี "  ผนังข้างขวาก็มีกลอนอีกหลายผืน ความว่า

พระฯ  กงฉัง ง้างศรหนึ่ง ถึงสามโลก      ( นิ้วหนึ่งของพระอาจารย์ชี้ตลอดถึงสามโลก )
พระ ฯ อัคคี  ปลอดจรัส  แดนศักดิ์สิทธิ์   ( พระภาคก่อนของพระอาจารย์ืพระอัคคี )
หยกเม็ดงาม  ใครถามหา  ค่าควรคิด      ( จุดญาณทวารอันประมาณค่าบ่มิได้ )
ใครชมชิด  ซื้อหาไว้  ไม่หลงทาง         ( ใครรับไว้ได้หลุดพ้น )
คันเอย  ศรแกร่ง  ธนูยาว                   ( งานใหญ่ภาระหนัก )
"เรียบ"  เอา  ใจกลาง  ฐานรุ่งเรือง        ( เสมอภาค  สัจจะวิริยะ  เจริญไกล )
ดวงกลม  ส่องโลก  หยกร้อยจูง           ( เป็นดวงอาทิตย์ส่องโลก  โน้มนำความดีเหมือนหยกร้อยไว้เป็นสาย )
คนสูง  ละกาม  ไม่หยามตน               ( คนที่เป็นพุทะะย่อมละกาม ไม่ทำร้ายตนเอง )

        ปริศนาที่ค้นพบในตัวอักษรคือ จาง - กวง - ปี้ - พุทธะ (พระนามพระภาคหลังของพระพุทธจี้กง พระอาจารย์ ) ข้าง ๆ ก็หมายเหตุไว้อีกว่า "คำกลอนแฝงความนัย หมายถึงพระวิสุทธิอาจารย์ในโลก"  อักษรในคำกลอนแบบลึกซึ้ง อู้เอวี๋ยนเกิดมาปัญญาทึบ เข้าไม่ถึงความนัย ขอท่านเทวมาตย์ได้โปรดเมตตาชี้แจง

เทวมาตย์  :  อู้เอวี๋ยน ถ่อมตัวนัก บทกลอนที่แขวนไว้ข้างผนังซ้ายขวา ล้วนเผยความลับฟ้า และพระวิสุทธิอาจารย์ เชื่อว่าผู้ได้รับวิถีธรรมจริงแล้ว จะกระจ่างได้หากเอาใจใส่พิจารณา  ประจักษ์หลักฐานในวันนี้ เพียงเพื่อให้ผู้บำเพ็ญได้เข้าใจว่า การได้พบพระวิสุทธิอาจารย์เป็นโชคดีถึงสามชาติ ทั้งอดีตได้บำเพ็ญมา
หัวข้อ: ท่องพุทธาลัย (1) ตอนที่ 4 : ซึ้งคำกลอน ซ่อนความนัย ให้พิจารณ์ เรื่องเก็บงาน ฯ
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 19/08/2011, 18:03
                               มีผลบุญ     ข้อมูลใส     พิจารณาให้ไม่สับสน
                           ขาดกุศล       ผลสอบชัด   ภัยพิบัติครั้งนี้หนีไม่พ้น   

                                           ตอนที่ 4

                              ซึ้งคำกลอน     ซ่อนความนัย     ให้พิจารณ์
                          เรื่องเก็บงาน        หมากรุกวาง       อย่างแยบยล

             (ในคำกลอนอันลึกซึ้งได้ซ่อนความนัยให้ณุ้ขั้นตอนแผนการเก็บงานยุคนี้ไว้)

อู้เอวี๋ยน  :  ศิษย์โง่เก็บคำถามข้อหนึ่งในใจมานาน ไม่ทราบจะขอคำชี้แจงได้หรือไม่ขอรับพระอาจารย์

พระอาจารย์ ฯ  :  ศิษย์เมธี หนังสือบันทึกการท่องเที่ยวนี้ เพื่อแก้ข้อข้องใจ เพื่อให้ผู้บำเพ็ญเร่งคืนสู่สัจธรรม มีข้อสงสัยถามได้เลย

อู้เอวี๋ยน  :  เรียนถามท่านเทวมาตย์ เหตุใดในสถานเตรียมการแห่งนี้ เห็นมีแต่เจ้าหน้าที่เซียนที่สรวมใส่เครื่องแต่งกายแบบจีนโบราณทั้งนั้น ศิษย์เคยเห็นในหนังสือบุญอื่น ๆ เทวดานางฟ้าชาวสวรรค์ที่วาดไว้ไม่ใช่แบบนี้ ใช่หรือไม่ว่ามนุษย์ไม่ว่ายุคสมัยบ้านเมืองใด เมื่อได้บรรลุมรรคผลแล้ว ล้วนแต่จะสวมเครื่องแต่งกายลักษณะนี้ หรือเป็นกำหนดของเบื้องบน

เทวมาตย์  :  ฮะฮ่า  อู้เอวี๋ยน ถามได้แยบคาย เชื่อว่ายังมีคนไม่เข้าใจเรื่องนี้อีกมาก เราจะถือโอกาสแก้ข้อสงสัย ในคัมภีร์กล่าวไว้ "ธรรมารมณ์เกิดแต่จิต สภาวะดับด้วยจิต" หรือ "รูปเปลี่ยนไปตามจิต สภาวะเปลี่ยนไปตามจิต"  อู้เอวี๋ยน เจ้าได้รับผลสะท้อนจากความทรงจำ เจ้าเคยเห็นมาก่อนแล้วได้ปลูกฝังรูปลักษณ์ของเทพเทวาไว้ในจิตสำนึกมาแล้ว รูปลักษณ์จึงเป็นไปตามจิตปรากฏเป็นลักษณะจีนโบราณ  หนังสือบุญที่วาดภาพไว้แต่ไรมา ก็ได้รับผลสะท้อนมาอย่างนี้เหมือนกันเจ้าเคยดูผลงานของดังเต้ใช่ไหม ทำไม จอตรกรรม วรรณกรรม ของชาวตะวันตก สิ่งศักดิ์สิทธิ์จึงฉลองพระองค์ในรูปแบบของชาวตะวันตก แท้จริงก็คือความรู้สึกที่เกิดแบ่งแยกในใจของเขาเอง ด้วยทิฐิยึดมั่น ต่างได้หลงผิด ยึดติด "รูปลักษณ์" ไปโดยไม่รู้ตัว ธรรมะเป็นอสังขตะไร้ณุปลักษณ์ แต่เกิดรูปลักษณ์ต่าง ๆ สนองรับเหตุปัจจัยนั้น ๆ ได้ เทพเทวาพระพุทธาทั้งหลาย จึงไม่เคยเจาะจงแก้ไขทัศนคติของผู้ใด  ธรรมะมิใช่คำพูด ทุกแนวทางการบำเพ็ญจะบรรยายแต่พอเหมาะเพื่อหวังผลฉุดช่วยแปรเปลี่ยนผู้คนเท่านั้น อู้เอวี๋ยน จึงอย่าได้เข้าใจผิดเป็นอันขาดว่าเจ้าหน้าที่เซียนใน "สถานเตรียมการเก็บญาณสมบูรณ์" ล้วนเป็นชาวจีน จิตญาณไม่ได้แบ่งแยกชนชาติกาลเวลา จิตญาณเบาใสที่บรรลุสู่ภาวะหนึ่งได้ กายทิพย์จะเป็นไปตามเหตุปัจจัยที่จิตกำหนดตามความเหมาะสม  อู้เอวี๋ยน เจ้าคงเคยได้ยินว่าพระพุทธะมีสามกาย (ตรีจีวร) หากเข้าใจความแยบยลของธรรมกาย สัมโภคกาย  และนิรมานกาย แล้ว ก็จะเข้าใจความเป็นจริงในเรื่องนี้อย่างถูกต้อง

อู้เอวี๋ยน  :  ขอบพระคุณพระเทวมาตย์ที่ได้ไขข้อกังขา แท้จริงเป็นเพราะตนเอง นัยน์ตาอารมณ์ติดรูปลักาณ์ ภาวะจิตยังไม่กลมกลืน จึงได้กราบเรียนถามคำถามโง่ ๆ น่าขันเช่นนี้ อับอายยิ่งนัก ละอายใจ ละอายใจ

พระอาจารย์ ฯ  :  ศิษย์รัก อย่าได้ตำหนิตนเองเลย ความไม่รู้ไม่ใช่เรื่องน่าอาย ไม่เรียนไม่ถามต่างหากที่น่าอาย  ท่านขงจื้อกล่าวว่า "สิ้งที่รู้คือสิ่งที่รู้ สิ้งที่ไม่รู้คือสิ่งที่ไม่รู้อันเป็นความรู้" ชาวโลกมักจะรู้ครึ่งไม่รู้ครึ่ง แล้วอวดีตีฝีปากหลอกตัวเอง หลอกผู้อื่น  บำเพ็ญธรรมไม่ใช่บำเพ็ญ "งามหน้า" แต่อยู่ที่การรับผิดชอบอย่างซื่อสัตย์ที่ตนมีต่อตนเอง
หัวข้อ: ท่องพุทธาลัย (1) ตอนที่ 4 : ซึ้งคำกลอน ซ่อนความนัย ให้พิจารณ์ เรื่องเก็บงาน ฯ
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 20/08/2011, 20:15
                              มีผลบุญ     ข้อมูลใส     พิจารณาให้ไม่สับสน
                           ขาดกุศล       ผลสอบชัด   ภัยพิบัติครั้งนี้หนีไม่พ้น   

                                           ตอนที่ 4

                              ซึ้งคำกลอน     ซ่อนความนัย     ให้พิจารณ์
                          เรื่องเก็บงาน        หมากรุกวาง       อย่างแยบยล

             (ในคำกลอนอันลึกซึ้งได้ซ่อนความนัยให้ณุ้ขั้นตอนแผนการเก็บงานยุคนี้ไว้)

เทวมาตย์  :  พระโอวาทพระบรรพพุทธาแน่แท้นัก คนบำเพ็ญในยุคนี้ ผิดด้วยเรื่องยังไม่ประจักษ์แต่มักแอบอ้างกันมาก หวังว่าเมื่อได้อ่านเรื่องนี้แล้ว จะได้สำนึกแก้ไขเด็ดขาด ให้ใฝ่หาความเป็นจริงจากสัจจะ อนุตตรธรรมอย่างแท้จริง อย่าได้พูดตามกัน หรือชอบวิจารณ์อันเป็นการสร้างกรรมปาก

พระอาจารย์ ฯ  :  คืนนี้มาเยือนสถานที่ของท่าน เป้นพระมหากรุณาธิคุณ เบื้องบนทรงโปรดโดยแท้ ขอท่านเทวมาตย์ ได้โปรดอธิบายความหมายของการ "เก็บงาน" (โซวเอวี๋ยน) โดยละเอียด เพื่อบันทึกในหนังสือท่องพุทธาลัยเอาไว้เตือนใจชาวโลกด้วย

เทวมาตย์  :  น้อมรับพระบัญชาพระบรรพพุทธา ข้าพเจ้าจะแนะนำโดยละเอียดเท่าที่รู้ เพื่อชักนำจิตใจชาวโลกผู้บำเพ็ญ ในคัมภีร์อิ้งเจี๋ยจิง จารึกไว้ว่า "เมื่อโลกเบิกฟ้าสว่างแจ้ง ก็ได้กำหนอดทศพุทธ (พระพุทธเจ้าสิบพระองค์) ปกครองแพร่คำสอน (พระพุทธเจ้าเจ็ดพระองค์แรกทรงทำหน้าที่ปกครองพัฒนาจิตใจชาวโลก สามพระองค์สุดท้ายเก็บงานเก็บธรรมญาณ ที่บำเพ็ญสมบูรณ์แล้ว)  ก่อนกำเนิดโลก ในจักรวาลปรากฏธาตุคละเคล้าเป็นกลุ่มใหญ่ ไม่มีเสียง ไม่มีกลิ่น ไม่มีชื่อ ต่อมา ธาตุคละเคล้านั้นก็กระจายแยกตัวออกจากกัน เริ่มมีฟ้าดินอย่างชัดเจน (กำเนิดกาลของโลกแต่ระยะ อาศัยสอบสองนักษัตรเป็นเครื่องหมายในการนับ) เริ่มกำหนดกาลชวด  บรรยายกาศภายนอกที่ห่อหุ้มธาตุธาตุคละเคล้ากลุ่มใหญ่นั้นเริ่มกระจายเรียกว่า " เบิกฟ้า "  กำหนดกาลที่สองคือฉลู เริ่มพื้นฐานความมั่นคงของ " แผ่นดิน "  กำหนดกาลที่สามคือขาล เป็นกาล " กำเนิดมนุษย์ "  คนเดิมจึงได้ลงมาในโลก ปลูกฝังรากฐาฯมนุษย์ชาติ  ครั้งนั้น มนุษย์เป็นเพียงสัตว์โลกชาวป่าโง่เขลาไม่แตกต่างจากสัตว์ ไม่อาจปกครองโลก มีคนจึงเหมือนไม่มีคน โลกจึงไม่เป็นโลก จนกระทั้ง กำหนดกาลที่สี่คือ เถาะ เบื้องบนจึงส่งพุทธบุตรลงมาปกครองโลก 

- ปฐมพุทธา   ลงมาเกิด ณ ทิศใต้ พระนามว่า " ซื่อไ้อ้ฝอ " ปกครองธรรมกาล อยู่ หกพันปี   
- ทุติยพุทธา  ลงมาเกิด ณ ทิศเหนือ พระนามว่า " เซิงอวี้จื่อ " ปกครองธรรมกาล อยู่ สี่พันแปดร้อยปี
- ตติยพุทธา  ลงมาเกิด ณ ทิศตะวันออก พระนามว่า " เจี่ยซันซุน " ปกครองธรรมกาล อยู่ สามพันเจ็ดร้อยยี่สิบปี
- จตุตถพุทธา ลงมาเกิด ณ ทิศตะวันตก พระนามว่า " อิ่วฉังเกิง " ปกครองธรรมกาล อยู่ เจ็ดพันแปดสิบปี
- เบ็ญจพุทธา ลงมาเกิด ณ ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ พระนามว่า " คงกู่เสิน " ปกครองธรรมกาล อยู่ ห้าพันสองร้อยแปดสิบสี่ปี
- ฉัฐพุทธา ลงมาเกิด ณ ทิศตะวันออกเฉียงใต้ พระนามว่า " หลงเอี่ยซื่อ "  ปกครองธรรมกาล อยู่ ห้าพันห้าร้อยสิบหก
- สัตมพุทธะ ลงมาเกิด ณ ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ พระนามว่า " จี้เทียนฝอ " ปกครองธรรมกาล อยุ่ ห้าพันแปดร้อยปี

        หลังจากเจ็ดพระพุทธาแล้ว สามพระพุทธามาเก็บงาน  พุทธาลัย แห่งนี้ก็ได้กำเนิดขึ้นสนองรับกำหนดกาล

- พระทีปังกรพุทธเจ้า  อัฐมพระพุทธาสนองวาระใน "ธรรมกาลยุคเขียว" เป็น "ธรรมกาลแรก" ที่เริ่มเก็บงาน เปิดงานชุมนุมพระอริยะ โบกขรณี ปกครองธรรมกาลอยู่ หนึ่งพันห้าร้อยปี
- พระศากยะพุทธเจ้า  นว-มพระพุทธา สนองวาระใน "ธรรมกาลยุคแดง" เก็บงานในธรรมกาลที่สอง เปิดงานชุมนุมพระอริยะ คิชฌกูฏ  ปกครองธรรมกาล อยู่ สามพันปี
- พระเมตเตยยะพุทธเจ้า ทศ-มพระพุทธา สนองวาระใน "ธรรมกาลยุคขาว " เก็บงานในธรรมกาลที่สาม เปิดชุมนุมพระอริยะนาคะประทีป (นาคะภัทระหลงฮว๋า) ปกครองธรรมกาล อยู่ หนึ่งหมื่นแปดร้อยปี

        เมื่อถึงกำหนดกาลมะแม ก็สิ้นสุดวาระการปกครองโลกครบถ้วน  กำหนดกาลวอก เก็บญาณเดิมคืนไป  กำหนดกาลระกา มนุษย์โลกคืนสู่ความว่างเปล่า  กำหนดกาลจอ เทวโลกคืนสู่ความว่างเปล่า  จนถึงกำหนดกาลกุน  โลกจักรวาลกลับคืนสภาพเป็นธาตูคละเคล้าอลวน  ครบรอบกำหนดโคจรในหนึ่งธรรมกา (  หนึ่งแสนสองหมื่นเก้าพันหกร้อยปี )  ขณะนี้ เป็นกำหนดกาลมะเมีย คาบเกี่ยวกับมะแม พระศากยะนวพระพุทธาเข้าสู่ปรินิพพานแล้ว วิถีธรรมสุดท้ายกำลังถ่ายทอดสู่ชาวโลก ด้วยเหตุที่ชาวโลกมิได้รับสัทธรรมนำพา อีกทั้งใจคนเสื่อมทรามลงทุกวัน คุณธรรมสูญสิ้นปรากฏความวุ่นวายให้เห็นมาช้านาน พุทธาลัยนี้จึงรับสนองพระโองการเบื้องบน เหล่าเทพพรหมก็ขะมักเขม้น วุ่นกันทั้งวันทั้งคืน เพื่อเตรียมงานที่ทศ-มพุทธาพระเมตเตยยะจะเสวยอายุกัปล์ในกำหนดกาลสุดท้ายนี้อันเป็นการลุล่วงพระภาระอันศักดิ์สิทธิ์ ในการปกครองโลกเสร็จสิ้นแล้ว ตามกำหนดครบถ้วนสิบพระพุทธาบริบูรณ์  ฉะนั้น เทพเทวาประจำดวงดาว จึงต่างลงมาเกิดกายในโลก พระพุทธะ เซียนทั้งหลาย ก้เยี่ยมเยือนชาวโลกด้วยพระองค์เอง ทั้งหมดก็เพื่องานใหญ่พระศรีอาริย์เก็บงานสามโลกในครั้งสุดท้ายนี้  จึงหวังว่าชาวโลกจะเข้าใจกำหนดกาล  กำหนดกาลนี้ นอกจากจะสืบทอดไฟธูปของพระบรรพจารย์แต่ละสมัยต่อไป ยังจะต้องถ่ายทอดเสียงสวรรค์ เพื่อให้พี่น้องร่วมพระแม่องค์ธรรมในโลกได้ร่วมรับพระมหากรุณาธิคุณจากเบื้องบน มุ่งสู่งานใหญ่นาคะประทีป (หลงฮว๋า)  ( นี้ก็คือความหมายอันศักดิ์สืทธิ์สูงส่งของการบุกเบิกแพร่ธรรม )
หัวข้อ: ท่องพุทธาลัย (1) ตอนที่ 4 : ซึ้งคำกลอน ซ่อนความนัย ให้พิจารณ์ เรื่องเก็บงาน ฯ
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 20/08/2011, 23:02
                              มีผลบุญ     ข้อมูลใส     พิจารณาให้ไม่สับสน
                           ขาดกุศล       ผลสอบชัด   ภัยพิบัติครั้งนี้หนีไม่พ้น   

                                           ตอนที่ 4

                              ซึ้งคำกลอน     ซ่อนความนัย     ให้พิจารณ์
                          เรื่องเก็บงาน        หมากรุกวาง       อย่างแยบยล

             (ในคำกลอนอันลึกซึ้งได้ซ่อนความนัยให้ณุ้ขั้นตอนแผนการเก็บงานยุคนี้ไว้)

อู้เอวี๋ยน   :  ขอบพระคุณพระเทวมาตย์ที่ได้โปรดชี้แนะ สำหรับความหมายของการ " เก็บงาน " ศิษย์โง่ยังคงเลอะเลือน เข้าใจไม่ชัดเจน หวังว่าจะได้โปรดอธิบายเพิ่มเติม

เทวมาตย์  :  สาธุ อู้เอวี๋ยนถามปัญหาได้เหมาะแท้ ในเมื่อเราได้รับสนองพระโองการให้เป็นผู้ไขปัญหาก็จะต้องอธิบายให้เข้าใจ  " เก็บงาน " ก็คือทำให้ทุกอย่างบรรลุสู่ภาวะจริงแท้ดีงามสมบูรณ์กลมกลืน  ธรรมกาลนี้เบื้องบนกำหนดสิบพระพุทธาแพร่ธรรมคำสอน โดย เจ็ดพระพุทธาปกครองพัฒนาจิตใจชาวโลกสามพระพุทธาเก็บงาน เป็นความครบถ้วนสมบูรณ์ของหนึ่งธรรมกาลที่ดำเนินไปตามกำหนดกาลของฟ้า จึงเป็นหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญที่พระศรีอาริย์จะเก็บงานครั้งสุดท้าย อีกประการหนึ่ง การเก็บงานก็คือรวมการแบ่งแยกให้เป็นเอกภาพ (ประทับลัญจกรเหอถง)
- แปรเปลี่ยนความโหดร้ายให้เป็นสมานฉันท์  แปรความสับสนวุ่นวายให้สงบสุข
- แปรความทุกข์ยากให้เกษมสานต์   
- แปรความจนยากขาดแคลนให้อุดมสมบูรณ์ 
- เก็บแขนงที่แยกออกเป็นหมื่นสายให้คืนสู่ความเป็นหนึ่งกำเนิดเดียวกัน
- ขจัดความลุ่มหลงให้คงเหลือแต่สัจธรรม
- ตัดมิจฉาให้สัมมาปรากฏ
- กวาดล้างคนชั่วเหลือแต่คนดี
        ฉะนั้น ไม่ว่าจะเป็นงานชุมนุมโบกขรณีของพระทีปังกรพุทธเจ้า ชุมนุมคิชฌกูฏ ของพระศากยะพุทธเจ้า หรือ ชุมนุมนาคะประทีปของพระเมตเตยยะก็ตามสัจธรรมที่ถ่ายทอดล้วนเป็นเช่นเดียวกัน เพียงแต่วิธีการสนองรับเหตุปัจจัยและแบบอย่างขอภาระกิจแห่งกำหนดเวลานั้นต่างกันเท่านั้น  พระพุทธาเก้าพระองค์ได้ผ่านไปแล้ว เหลือแต่พระพุทธาแห่งอนาคตกาลที่สืบต่อธาตุแท้แห่งพุทธจิตเดียวกันของพระพุทธาทั้งหลาย จะมาปรกโปรดฉุดช่วยอย่างทัวถึงและเก็บงานอันเป้นพระภาระอันยิ่งใหญ่ให้สำเร็จลุล่วงในครั้งนี้
-  สำหรับมนุษย์ชาติ การเก็บงานก็คือการแปรคนพันล้านให้เป็นคนบ้านเดียวกัน (ลัญจกรเหอถง) แปรโลกวุ่นวายไม่สงบให้เป็นเอกภาพ  แปรโลกสกปรกทุกข์ยากให้เป็นสุขาวดีแดนวิสุทธิ์ 
- สำหรับศาสนานับหมื่นพัน การเก็บงานก็คือรวมเอาสัญชาติ ภาคพื้นถิ่นอาศัย เผ่าพันธุ์ลัทธินิกาย ฯลฯ ให้สมานฉันท์
        นั่นก็คือไม่มีข้อขัดแย้งระหว่างลัทธินิกาย  ศาสนา  จิตใจ  และสัจธรรม  เมื่อพระเมตเตยยะอุบัติในโลกปัจจุบันตามกำหนดกาล พระองค์ก็เท่ากับพระภาคของพระศาสดาทั้งห้านั่นเอง 
- พุทธศาสนิกชนจะเห็นว่าพระเมตเตยยะพระพุทธเจ้า
- สาวกของศาสนาเต๋า และศาสนาปราชญ์ จะเห็นว่าเป็นจอมปราชญ์เหลาจื้อ  ขงจื้อ  มาโปรดใหม่
- คริสต์ ศาสนิกชน ก็จะเชิดชูว่าเป็นพระเยซูเจ้ากลับมาอีกครั้ง
- มุสลิมทั้งหลาย ก็จะเห็นว่าเป็นพระมูฮัมมัดกลับชาติมาเกิด
        เช่นนี้ ศาสนิกชนของแต่ละศาสนาก็ยังคงรักษาภาษา แบบแผน และ วิธีการปฏิบัติเดิมทางศาสนาของตนไว้ แต่ทุกคนก็ร่วมกันยึดถือพระปณิธานและสัจธรรมของพระเมตเตยยะเป็นสรณะ 
- สำหรับสามโลก ไม่ว่า่โลกมนุษย์ เทวโลก หรือยมโลก ผู้คน  เทพเทวา และวิญญาณผี ที่ได้รับการฉุดช่วย สามารถจะได้รับอนุตตรธรมคุณบรรลุมรรคผลไปสู่งานชุมนุมพระอริยะนาคะประทีป (หลงฮว๋า) พบพระ (พระเมตเตยยะ) สดับพระธรรมเทศนาร่วมกันทั้งสิ้น
- สำหรับตัวบุคคล คนระดับยานที่สาม ในกำหนดกาลเก็บงานนี้ จะเก็บใจบาปให้เป็นใจบุญ เก็บมิจฉาทัศนะให้เป้นสัมมาทัศนะ  เก็บโมหะจริตให้เป็นจริงใจ  ให้ภาวะจิตของความเป็นคนกลมกลืนตรงต่อมนุษย์ธรรม เพียบพร้อมคุณธรรมทางโลกให้คู่ควรกับอนุตตรธรรม  คนที่รากฐานสูงส่ง จะรู้เห็นพุทธะภาวะตนจากการเก็บงาน มิได้ยึดถือทั้งรูปและว่าง ไม่ละคายชั่วไม่ยึดติดความดี ไม่กล้ำกรายมิจฉาสมาธิ และไม่ลำพองในสัมมาทิฐิ ไม่เกิดโมหะจริตและไม่ใฝ่หาความจริงใจ รู้ภาวะจิตเดิมแท้แห่งตน ณ บัดนั้น   รู้แจ้งชาตินี้และรู้แจ้งทุกชาติภพ จะไม่ลุ่มหลงอีกตลอดไป ไม่เพียงแต่จะเป็นเมล็ดพันธุ์ของธรรมจักรในธรรมกาลหน้า แต่จะเป้นในทุกธรมกาล อีกทั้งจะกอบกู้โลกให้พ้นภัย เจริญเมตตาแผ่บารมี กลมกลืนอยู่ในไตรรัตน์อย่างแท้จริงร่วมอยู่ในธรรมธาตุ บรรลุสู่ภาวะ  "เมื่อสำแดงจะครอบคลุมทุกสารทิศ  เมื่อแฝงเร้น จะสนิทมิดชิด " อันเป็นธรรมกายเช่นเดียวกับตถตา  อู้เอวี๋ยน เจ้ายังจำคำบรรยายทัศนียภาพการเก็บงานครั้งใหญ่ของฟ้าดินใน "พระโอวาทอนุตตรธรรมมารดาสิบบัญญัติ" ได้ไหม
หัวข้อ: ท่องพุทธาลัย (1) ตอนที่ 4 : ซึ้งคำกลอน ซ่อนความนัย ให้พิจารณ์ เรื่องเก็บงาน ฯ
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 21/08/2011, 00:47
                              มีผลบุญ     ข้อมูลใส     พิจารณาให้ไม่สับสน
                           ขาดกุศล       ผลสอบชัด   ภัยพิบัติครั้งนี้หนีไม่พ้น   

                                           ตอนที่ 4

                              ซึ้งคำกลอน     ซ่อนความนัย     ให้พิจารณ์
                          เรื่องเก็บงาน        หมากรุกวาง       อย่างแยบยล

             (ในคำกลอนอันลึกซึ้งได้ซ่อนความนัยให้ณุ้ขั้นตอนแผนการเก็บงานยุคนี้ไว้)

อู้เอวี๋ยน  :  จำได้ขอรับ ไม่ทราบเป็นท่อนนี้ใช่หรือไม่่
                           "..........             ..........             ..........
                            ..........              ..........             ..........
                           เมื่อหักล้างหนี้       ไม่มีกรรมแล้ว       ทั่วทั้งสามภพ
                           จะเริ่มกำหนด         ยุคขาวคงมั่น       ตั้งแต่นั้นมา

                         @ จะกวาดให้พ้น     คนเลวชั่วร้าย      เหลือไว้คนดี
                             แปรเปลี่ยนโลกนี้  จากทะเลทุกข์    ปลูกเป็นกุมุท
                             ให้โลกโลกีย์       เป็นแดนพุทธะ   สะอาดบริสุทธิ์
                             ให้ได้ชื่นสุข        อย่างพระพุทธะ   ระยะสี่พันปี

                        @  ห้าวันลมเย็น        สิบวันฝนฉ่ำ        นำสู่โลกเหยา
                             พุทธะอริยเจ้า       ฉุดช่วยหญิงชาย  ได้สมใจหวัง
                             พระศรีอริยะ         ประทับทิพย์อาสน์  ประกาศประทาน
                             ใครสร้างบุญบาร    แต่งตั้งมอบหมาย   เป็นไปตามบุญ

                        @  พุทธบุตรหลุดพ้น     จากทะเลทุกข์     ร่วมขึ้นฝั่งกัน
                             ลูกรักเทียนหยาน     นำพาคนเดิม       มากราบพระแม่ ฯ
                             ..........                ..........            ..........
                             ..........                ..........            ..........             

เทวมาตย์  :  ฮะฮา  ถูกต้อง   ในสัจคาถาพระศรีอริย์ก็จารึกไว้ว่า
                                 "...จอมเทพสถิตประจำดวงดาวทั่วท้องฟ้าต่างลงโลกา
                                  เซียนห้าฝ่ายทุกชั้นพร้อมกันลงจากปราสาทสวรรค์
                                  ยมบาลประจำเมืองทุกทิศร่วมตรวจสอบยืนยัน
                                  ทิพย์กุมารสื่อสาร (เป้าซื่อหลิงถง) พิจารณ์แน่ชัด
                                  ตรีเทพพิทักษ์มหาราช (ซันกวนเต้าตี้) เมตตาลงทะเบียน
- เบื้องบนได้นิรโทษโปรดสัตว์ พระพุทธเมตตา ปลดเปลื้องทุกข์ ฉุดช่วยโลก นำพระบริวารมาเปิดจิตนำญาณสาธุชน
- แปดพระมหาวัชรมาปกป้องกายธรรม
- พระโพธิสัตว์สี่พระองค์ทรงช่วยเวไนย เร่งนำสามสิบหกพระองค์จอมทัพกับบริวาร
- ห้าร้อยพระพิทักษ์ศักดิสิทธิ์เร่งติดตาม ชูช่วยพระศรีอาริย์บรรลุมหาวิถีอนุตตร ฯ คุ้มครองญาณเดิมบุตรสวรรค์ให้ศานติ   
- สัทธะพระผู้สว่าง (จิต) เป็นจอมทัพ พระพักตร์เขียวพระเกศาแดงสำแดงบุญญฤทธิ์ ยกธงดำขึ้นบดบังตะวันเืดือน เหนือศรีษะดาระดาดดวงดาวเจ็ดสีวิเศษ
- พระเดชานุภาพเป็นจอมทัพผุ้นำทางทิศเหนือ กวาดล้างหมู่มารประกาศกำลังพล ฉุดช่วยคนเดิมบุตรธิดาสวรรค์แสงอัคคีสู่ปฐพีแปรเป็นละอองดิน
- พญานาคทั้งสี่คาบสมุทร มาร่วมช่วยงานธรรม ต่างเหินเมฆมงคลทะยานฟ้า
- สิบทิศทหารฟ้าคุ้มครองพุทธบาท อารักษ์พระเมตเตยยะประสบผล...
        จากนี้จะเห็นได้ว่าการเก็บงานครั้งใหญ่ สะเทือนไปทั่วสามโลก ฉะนั้น การเก็บงานนาคะประทีป (หลงฮว๋า) ครั้งนี้ เป็นงานขั้นสุดท้ายในธรรมกาลนี้โดยแท้สายทองที่ญาณเดิมจะยึดถือกลับคืนบ้านเดิม หากจะบรรยายด้วยอักษร เกรงว่าแม้จะชุมนุมฟ้าดินจนสะเทือนเลือนลั่น ผีสางเทวดาน้ำตาตกก็ยังไม่อาจบรรยายเหตุการณ์สักหนึ่งหรือสองส่วนได้

พระอาจารย์ ฯ  :  ใช่แล้ว การ  " เก็บงาน " เป็นที่ยึดถือพึ่งพิงของเหล่าเวไนย เห็นชีวิตในทะเลทุกข์อันเวิ้งว้างของชาวโลกปัจจุบันภัยพิบัติไม่ขาดสาย ล้วนเกิดจากใจคนขาดความกลมกลืน หากจะแปรเปลี่ยนทะเลทุกข์ ให้เป้นแดนวิสุทธิ์ จะต้องอาศัยพระปณิธานที่จะกอบกู้โลกของพระเมตเตยยะพุทธเจ้าแห่งอนาคตกาลจริง ๆ

เทวมาตย์  :  สุขาวดีอันกลมกลืนสมบูรณ์อันเป็นแดนวิสุทธิ์ในโลก ใครเลยไม่ใฝ่ฝัน แต่ใครเลยที่พร้อมด้วยคุณสมบัติ ที่จะเข้าไปอยู่ในดินแดนวิเศษนั้น ทั้งหมดจึงขึ้นอยู่กับมนุษย์เอง จะสามารถเก็บงานตัวเองให้กลมกลืนหรือไม่เสียก่อน ใครก็ตามที่ไม่อาจเก็บงาน (กลมกลืนคืนสู่สภาวะวิสุทธิ์) ของตนได้จะต้องถูกกำจัดออกไปอยู่นอกข่ายการเก็บงานใหญ่และจมปลักสู่การเวียนว่ายในชีววิถีหกตลอดไป จึงมีแต่เก็บความกลมกลืนของตน ละนิสัยอารมณ์ความเคยชินไม่ดี ปฏิบัติคุณธรรม รักษาคุณความดีในหน้าที่ มีเบญจธรรม ตรงต่อมนุษย์ธรรม ซื่อสัตย์กตัญญูไม่บกพร่อง ไม่ด้อยเมตตาธรรมความสัตย์จริงเป็นเกณฑ์ สงบเยือกเย็นและอ่อนโยน จึงจะสอดคล้องกับการเก็บงานใหญ่ของฟ้าดิน จึงจะอยู่ได้ในแดนวิสุทธิ์ ของโลกและอยู่ร่วมกับพระแม่องค์ธรรม

อู้เอวี๋ยน  :  เพียงความคิดต่างกัน ก็ก่อผลต่างกันใหญ่หลวง ถึงเพียงนี้ ผู้คนในยุคปัจจุบันแม้วิทยาศาสตร์จะเจริญไกล ชีวิตทางวัตถุจะก้าวหน้าสะดวกสบาย แต่เรื่องเกิดแก่เจ็บตายก็ยังเป้นปัญหาที่ปัญญาของมนุษย์ยังเอาชนะไม่ได้ ภัยธรรมชาติเช่น ลมมรสุม พายุฝน น้ำท่วม แห้งแล้ง ร้อนจัด กระแสลมหนาว โรคระบาด อดอยาก แผ่นดินไหว ฯลฯ ยังคงเป็นทุกข์ภัยที่มนุษย์หลีกเลี่ยงไม่ได้ตั้งแต่โบราณมา  โดยเฉพาะโลกของเราตั้งแต่ปี ค.ศ. 1980 เป็นต้นมาได้เข้าสู่"ยุคน้ำแข็ง" ลมฟ้าอากาศแปรปรวนมาก ปัญหาดาวพระเคราะห์โคจรคลาดเคลื่อน ความเปลี่ยนแปลงของจุดดับในดวงอาทิตย์เหล่านี้ล้วนนำความวิตกและคุกคามมนุษย์ชาติอย่างไม่มีทางต่อสู้ได้เลย ปัญหาการอยู่ร่วมกันของคนในสังคของมนุษย์ ที่ต้องแก่งแย่งกันเพื่อความอยุ่รอด ยิ่งปรัชญาว่าด้วยลาภยศ อรรถประโยชน์นำหน้ามา กำลังใจในคุณธรรมแตกสลาย ความทุกข์ร้อนในกายใจแสดงความรุนแรงทวีคูณขึ้น เช่น การถูกควบคุมบังคับ การแย่งชิง ประทุษร้าย คุมขัง ขับไล่ กวาดต้อนย่ำยีบีทา เข่นฆ่า จากพราก เคียดแค้น ชิงชังใส่ร้ายป้ายสี อิจฉาริษยา รังเกียจเดียดฉันท์ ยะโสโอหัง วิตกร้อนรน โลภมากฟุ้งซ่าน เคว้งคว้างเลื่อนลอย อดอยาก หนาวร้อน เจ็บป่วย แก่เฒ่า ทรุดโทรม พิกลพิการ กำพร้าว้าเหว่ ฯลฯ เหล่านี้ ล้วนเป็นความทุกข์ที่มนุษย์ต้องยอมรับ

พระอาจารย์ ฯ  :  กฏแห่งกรรมไม่พลาดแม้แต่น้อย ความทุกข์ต่าง ๆ ของมนุษย์สร้างขึ้นด้วยมือมนุษย์ทั้งสิ้น เบื้องบนโปรดเมตตาสงสาร พระศรีอาริย์จึงโปรดลงเก็บงาน สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายจึงลงมาเกิดกาย ถ่ายทอดวิถีธรรม ฉุดช่วยแปรเปลี่ยนโลกให้พ้นทุกข์ สังคมที่ดีงาม เกษมสานต์ สมบูรณ์ ก็คือแดนวิสุทธิ์ในโลก เป็นความหวังร่วมกันของมนุษย์ชาติทุกยุคสมัย   เรามิใช่จะไปจากโลกตรงหน้า เพื่อค้นหาแดนวิสุทธิ์แห่งอื่น  แต่จะสร้างโลกมนุษย์ให้เป้นแดนวิสุทธื์ ด้วยการแก้ไขหมอกควัญอุบาทว์ที่กระจายปกคลุมขณะนี้  แก้ไขทะเลทุกข์ไร้ของเขตในโลก เสริมสร้างคุณธรรมขึ้นมาใหม่ โดยมนุษย์เป็นผู้ชำระจิตญาณตนเอง  การที่พระศรีอาริย์เก็บงานตามกำหนดกาล เป็นเสียงสวรรค์และความหวังของมนุษย์ชาติ และเป็นศูนย์รวมที่ยึดเหนี่ยวของทุกชีวิตโดยแท้จึงหวังว่าศิษย์เมธีแห่งยุคขาว จะเข้าใจในภาระสำคัญที่ตนแบกรับกันไว้ทุกคน ซึ่งเป็นแสงสว่างเป็นที่ฝากฝังของชีวิตน้อยใหญ่  ให้ทุกคนทำหน้าที่ของตนเป็นแบบอย่างที่ดีของความจงรักซื่อสัตย์กตัญญูเมตตา มโนธรรมสมบูรณ์สัตย์จริง เมตตาทุกขณะ จึงจะไม่ผิดต่อโอกาสที่ได้พบสัจธรรม เพื่อบรรลุปณิธาน ร่วมช่วยงานปกครองธรรมกาล  คืนนี้ค่ำแล้ว  เราขออำลาก่อนขอบคุณท่านเทวมาตย์ที่ช่วยงานบันทึกท่องเที่ยวเต็มที่และเพิ่มเติมอรรถรสล้ำค่าไว้

อู้เอวี๋ยน  :  ศิษย์กราบขอบพระคุณท่านเทวมาตย์ ที่เมตตาชี้ชัด ขอกราบลาเพียงนี้

เทวมาตย์  :  เป็นหน้าที่ มิต้องขอบคุณ ขอน้อมส่ง

พระอาจารย ฯ   :  อู้เอวี๋ยน หลับตาขึ้นอาสน์บัว... ถึงตำหนักพระ วิญญาณอู้เอวี๋ยนกลับเข้าร่างดังเดิม ยี่สิบแปดเทพสถิตประจำดวงดาวพร้อมกัน ติดตามคืนยังเบื้องบน 
 
หัวข้อ: ท่องพุทธาลัย (1) ตอนที่ 5 : ตรวจสอบไตรรัตน์ จัดวิญญาณเดิม เสริมคัดหยกหิน จริยฯ
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 21/08/2011, 10:10
                                        ยืนยงพลานุภาพคุณงาม
                                   โลกสามบาปบุญคุณครบ
                                   วัฏจักรเวียนไปไม่จบ
                                   รูปภพสูงต่ำตามกรรม

                                            ตอนที่ 5

                              ตรวจสอบไตรรัตน์     จิตวิญญาณเดิม
                        เสริมคัดหยกหิน             จริยะสูงยิ่ง
                        พุทธะระเบียบ               ไป่เทียบล้ำลึก       

        สองคนรวมใจ        ร่วมอยู่คู่กาย         ในพระพุทธา        (สองคนคือกายสังขารกับญาณชีวิตตน)
คุ้มครองกายา                ด้วยแปดคุณงาม    มุ่งทางธรรมะ
ดาวเคลื่อนครรลอง          ผองชีวิตได้          เติบใหญ่ดาษดะ
อยู่โลกียะ                    ไม่ประเปื้อนได้      แน่ไซร์ญาณเดิม
                                                                                                                                                    เราคือ
        พระเทพสถิตทั้งยี่สิบแปด
น้อมสนองพระแม่บัญชา              มาตำหนักพระ             ได้กราบคารวะ
พระแม่ทรงสำราญ                    จึงหันหาศิษย์               ขณะนี้มีอริยกิจ
ให้ต่างสงบ                             ครบถ้วนพุทธระเบียบ      อย่าได้เอ็ดอึง
เราจะคุ้มครองตำหนักพระ            จะไม่กล่าวมากไป
                                                                                                                                             ฮวา   ฮวา   พัก
        ภูเขาหนันซัน        อยู่ยง  คงมั่น        ดังพระชันษา ฯ      (หนันจี๋เซียน - อง)
อดกลั้นอุรา                  ใจเบาเร่าร้อน        ผ่อนพักแปดลม     (ลมโทสะทั้งแปด)
คนไม่คุมใจ                  ปล่อยให้บ้าคลั่ง     ดั่งคลื่นถาโถม
กายสงฆ์นำโน้ม             สำรวมรู้จุด            ดุจไร้เดียงสา
                                                                                                                                                   เราคือ
        พระสงฆ์วิปลาส             แห่งหนานผิง             เทียนหยานพระอาจารย์เจ้า
สนองพระโองการ                  สู่พุทธสถาน               กราบคารวะ
พระแม่ ฯ แล้ว                     หยิบหยกพู่กัน             จำนรรจ์ต่อศิษย์

        บันทึกท่องพุทธาลัย สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย หวังไว้เป็นสำคัญ ยุคขาวสัจธรรมจะถือจะถือโอกาสบันทึกแพร่ไป ใครมีคุณงาม มีบุญสัมพันธ์ พบสิ่งล้ำค่าเทพย์คนต้องใช้ ชีวิตเลือดใจ ผนึกคำสัตย์จริง หวังผู้บำเพ็ญ พิจารณ์จงดี บันทึกคืนนี้ นาทีมาถึง อู้เอวี๋ยนสงบใจ ตามพระอาจารย์ไป ย่างขึ้นอาสน์บัว
                                                                                                                                           
                                                                                                                                                ฮา   ฮา   พัก 

        (เดิมที) หมื่นศาสนามาจากหลักธรรม กำเนิดเดียวกัน (ภายหลัง) แบ่งลัทธิฝ่าย แนวสายหลายชั้น ผันจากธรรมชาติ อนุตตรเป็นอสังขตะ ฯ อิสระว่างเปล่า สายทองเส้นเดียว เกี่ยวโยงสามโลก ตั้งแต่บรรพกาล เทพย์คนร่วมหนึ่งซึ่งสัจธรรมเดียว พระอริยปราชญ์ ประกาศสัจธรรมนำแต่โบราณไม่ได้หายผ่านจากการกินอยู่แม้ชั่วครู่ยาม ตาสียายสา ล้วนรู้ดีว่า " สัจธรรม คือชีวิต จิตแท้ดั้งเดิม " แม้ขั้นสูงสุดบรรลุอริยะ สัจธรรมไม่เปลี่ยน ภาวะนั้นเพียงลุ่มลึกตื้นเขินวิเศษแท้จริง ตริตรึกนึกยุ่งมุ่งรู้ธรรมยาก เพียรไปเพราะอยากหวังผลตามมาเป็นมิจฉาเอนเอียง ตั้งแต่โบราณ แม้ไม่มีอาจารย์ จะไม่กล่าวขานเรื่องจิต (จะต้อง) สนองพระโองการตามกำหนดกาล อาจารย์ถ่ายทอด จึงได้รู้กัน พันลี้ดันดั้นตามหาอาจารย์ผ่านทุกข์หนักหนา หมื่นลี้แสวงหา รหัสคาถาช่างน่าสงสาร ร้อยรายไม่เคยจะประสบผล เพราะยังไม่ถึง ซึ่งกำหนดกาล ได้แต่บำเพ็ญ ค่อยเป็นค่อยไป ให้บุญสัมพันธ์ เข้าฌาณนั่งนิ่ง ยากจะรู้จริง จิตญาณของตน ไม่มีสักคนรู้วิเศษสุดอนุตตร ฯจริง ครั้งนั้น อาตมา (พระสงฆ์จี้กง) ไซร์ ก็หน่ายนั่งภาวนา สงฆ์เจ้าอาวาสฟาดกล่างแสกหน้า บริภาษว่า " ลืมความเป็นมา จะกลับคืนไป ไม่รู้หนทาง " เพียงนิ้วหนึ่งชี้ ทันทีอาตมา ก็รู้แจ้งพลัน ปิติสุขสันต์ แสร้งทำวิปลาส เที่ยวล้อชีวิต อุทิศพาตน สงเคราะห์ทั่วไป จวบจนบัดนี้ ผู้คนยังสดุดี เล่าขานกันต่อมา ใครเลยเข้าใจ จิตตนนั้นไซร์ คือพระพุทธา นิ้วหนึ่งนำพา ให้พ้นเวียนว่ายได้ฌาณแท้จริง พุทธะแท้ ๆคือพุทธเป็น ๆ คนไม่รู้จัก กลับยึดถือหลัก มิจฉาแนวทาง ฟาดฟันตัวเองบัดนี้ถึงกาล กำหนดถ่ายทอดสัจธรรมจริง แพร่งพรายทุกสิ่ง คำพูดล้ำค่า ประพันธ์บันทึก กำหนดแน่ชัด ธรรมจักรวาล ฐานที่สิบแปด (พระธรรมาจารย์เทียนหยานสนองพระโองการปกครองธรรมจักรวาลเป็นสมัยที่สิบแปดสุดท้ายในยุคนี้้)  สองเก้า ตั้งฐาน เป็นงานปฏิรูป ความหมายลึกล้ำ (เป็นยุคปฏิรูปสามโลกเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งใหม่หมด) ประพันธ์บันทึก ท่องพุทธาลัย แจ้งในโป้ยก้วย (โป้ยก้วย เปรียบดังโปรแกรมคอมพิวเตอร์โบราณได้ปรากฏแสดงข้อมูลนี้ไว้แล้ว) หวังต่างเข้าใจ ในตารางนิ้ว นาบุญของตน (ตรงจุดญาณทวาร) ที่เป็นไปได้ ก็ด้วยวาระ ชะตาชีวิต ทุกอย่างวางเกณฑ์ เป็นกำหนดกาล พิจารณ์ให้ชัด ความหมายยุคขาว ทำความเข้าใจ ให้หมั่นสำนึก ตรึกรู้ใจฟ้า แล้วมาร่วมงาน จักรวาลธรรม
                                                                                                                                                 ฮา   ฮา   พัก               
หัวข้อ: ท่องพุทธาลัย (1) ตอนที่ 5 : ตรวจสอบไตรรัตน์ จัดวิญญาณเดิม เสริมคัดหยกหิน จริยฯ
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 21/08/2011, 17:09
                                       ยืนยงพลานุภาพคุณงาม
                                   โลกสามบาปบุญคุณครบ
                                   วัฏจักรเวียนไปไม่จบ
                                   รูปภพสูงต่ำตามกรรม

                                            ตอนที่ 5

                              ตรวจสอบไตรรัตน์     จิตวิญญาณเดิม
                        เสริมคัดหยกหิน             จริยะสูงยิ่ง
                        พุทธะระเบียบ               ไป่เทียบล้ำลึก     

        พุทธพจน์ถ่ายทอดวิถีธรรมตอนหนึ่งว่า " ขั้นสุดท้ายแต่กาลก่อนมิกล่าวอ้าง ผู้กระจ่างจะบอกกล่าว ณ ที่นี้ ผู้ด้อยปัญญาให้รู้ทางกลับบ้านเดิม เกิดมาตายไม่เห็นได้ตรงหน้า ณ บัดนี้ (ม่อโฮ่วอี้เจา  สีอุ้ยเอี๋ยน  หมิงเหยิน ไจ้ฉื่อซู้อี้ฟัน  อวี๋ฟูซือเต๋อหวนเซียงเต้าเซิงไหลสื่อชวี่เจี้ยนตังเฉียน) คำว่า " สุดท้าย " คือท้ายที่สุด หมายถึง กำหนดที่ทศพุทธปกครองศาสนา ได้ล่วงพ้นมา เก้าพระพุทธาแล้ว คงเหลือแต่พระองค์ที่สิบ คือ พระเมตเตยยะจะเก็บงานนาคะประทีป บัดนี้กำหนดชะตาของฟ้าดิน ดำเนินมาถึงช่วงมะเมียคาบเกี่ยวกับมะแม สิ้นกำหนดกาลมะเมียแล้ว ช่วงรวบรัดเก็บงาน (เก็บเกี่ยว) กระชั้นอยู่ตรงหน้า พระแม่จึงโปรดบัญชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายแสดงพระภาคสู่โลกา ปรากฏพระบุญญา ฯ วิ่งเต้นซอกซอนฉุดช่วยคนเดิมขึ้นธรรมนาวา รอเวลามุ่งนาคะประทีป นั่นคือ ได้พบพระสดับธรรม บรรลุมรรคผล  จิตตุปบาทศรัทธาเบื้องบนของพระศรีอาริย์ก็คือ " เมตตาสมาธิ "  จากนับไม่ถ้วนกัปล์จนบัดนี้ สมบูรณ์ผลตามเหตุปัจจัยรังสีเมตตา จึงแผ่พลาครอบคลุมถึงสามโลก สำเร็จผลในกำหนดกาลมะแม แผ่บารมีให้โลกนี้เป็นเอกภาพ โลกมนุษย์เป็นวิสุทธิแดนดินให้จิตญาณที่มีบุญสัมพันธ์ ประจักษ์อนุตตรขันติธรรม บรรลุอรหัตผล พ้นการเกิดตาย ได้อิสระอย่างแท้จริง
- " กำหนดกาลมะแมนี้ จึงเป็นโลกของผู้บรรลุมรรคผล มิใช่สมัยบำเพ็ญเหตุเบื้องต้นของชนสามัญ "  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ กำหนดกาลมะแม ชาวโลกที่มีธรรมจะจรรโลงคุณงาม ผู้ไม่มีธรรมและขาดคุณงามจะอยู่ไม่ได้
- "เมื่อถึงกำหนดกาลระกา เป็นเวลาเริ่มเก็บมนุษย์ ไม่มีสภาพแวดล้อมของการบำเพ็ญได้อีก จึงมีแต่กำหนดมหันตภัยครั้งสุดท้าย ในช่วงคาบเกี่ยวกันระหว่างมะเมียมะแมนี้เท่านั้นที่เหมาะแก่การบำเพ็ญที่สุด และสร้างบุญบรรลุปณิธานให้ทันโอกาสได้
        บัดนี้ หัวเลี้ยวหัวต่อสุดท้ายระหว่างความเป็นความตาย (จะล่วงพ้นหรือตกต่ำ เป้นครั้งสุดท้ายที่ได้รับการฉุดช่วย เป็นบุญวาระโอกาสพิเศษ ที่จะรอดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด)  พระอนุตตร ฯ มารดา ได้โปรด ครั้งสำคัญหย่อนเรือลงมา เพียงขึ้นสู่เรือธรรมกาลยุคขาว  ได้รับถ่ายทอดไตรรัตน์ สัจธรรม บำเพ็ญปฏิบัติ ศรัทธามั่นคง ไม่ย่อยั่นจริงใจอย่างเต็มที่ ก็จะได้พบพระ สดับพระธรรม ประจักษ์มรรคผลในงานชุมนุมพระอริยะนาคะประทีป ในกำหนดกาลที่สามนี้อย่างแน่นอน  คำว่า " หมิงเหยิน " หมายถึง ผู้ถ่องแท้ในไตรรัตน์ที่ได้ถ่ายทอดสัจธรรมอย่างแท้จริง  ความหมายของพุทธพจน์ในพิธีตอนนี้ หมายความว่า " เป็นครั้งสุดท้ายของการฉุดช่วยอย่างกว้างขวางทั่วไป และการเก็บงานซึ่งเป็นงานใหญ่ พระพุทธเจ้าทั้งหลายในกาลก่อนมิเคยตรัสไว้ บัดนี้เป็นมหันต์ภัยสุดท้ายในยุคสาม ณ ที่นี้ " ผู้กระจ่าง " (ขณะที่ทำพิธีถ่ายทอดฯ) จะได้ประกาศขานไข ให้หญิงชายผู้ด้อยปัญญารู้จักหนทางกลับคืนอนุตตร ฯ บ้านเดิม เกิดมาจากไหนตายไปที่ใด ณ ตรงหน้านี้ คือ จิตอันจะรู้กระจ่างอย่างหมดสิ้น " คำว่า " ม่อโฮ่วอี้เจา " หมายความว่า การฉุดช่วยสามโลกเพื่อเก็บงานครั้งนี้ เป็นบุญวาระที่เบื้องบนได้โปรดประทานให้เป็นครั้งสุดท้าย หากเสียโอกาสไป ก็จะต้องเป็นธรรมกาลหน้า เบื้องบนเบิกดิถีเก็บงานใหม่ จึงจะมีโอกาส  ลองคิดดูว่าระยะเวลายาวนานที่จะต้องผ่านการเวียนว่ายตายเกิดเปลี่ยนโฉมหน้า ใครหรือ กล้ารับรองว่าธรรมกาลหน้าเมื่อเบื้องบนโปรดฉุดช่วยเก็บงาน เราจะได้เกิดมาเป็นคนอีก และ ได้พบพระวิสุทธิอาจารย์  จะเห็นได้ว่า " บุญวาระสุดท้าย " นี้สำคัญเพียงไร และบุญวาระสุดท้ายนี้ อาศัยอะไรทำให้ทุกชีวิตวิญญาณในสามโลกพ้นจากการเวียนว่ายในชาติกำเนิดสี่และภูมิวิถีหกต่อไป และการฉุดช่วยเก็บงานยิ่งจะต้องอาศัยอะไรทำให้สำเร็จได้  "มิใช่อื่นไกลเลย ทั้งหมดนี้อาศัยผลบุญบารมีแห่งมหาเมตตาปณิธานของพระเมตเตยยะนั่นเอง  การถ่ายทอดไตรรัตน์สัจธรรมของพระอาจารย์ อีกทั้งสัจจะพงศาธรรม สัจจะพระโองการ ล้วนได้มาจากทศพุทธปกครองศาสนาที่เบื้องบนกำหนดไว้ทั้งสิ้น "  ยิ่งกว่านั้น พลานุภาพในการฉุดช่วยแปรเปลี่ยนโลกโลกีย์ก็เผยแผ่ออกไปได้ด้วยพระโองการจากเบื้องบนและพระมหาปณิธานแห่งพระเมตเตยยะโดยแท้  " สำหรับการถ่ายทอดสัจวิถีแห่งจิตนั้น คือคบไฟธรรมะ ที่พระพุทธะอริยะพระบรรพจารย์ แต่ละสมัยส่งต่อกันมา สิ่งซึ่งยึดถือนั้นล้วนเป็นหนึ่งเดียว เป็นสิ่งซึ่งทุกคนมีอยู่คือ "ภาวะความเป็นจริงของจิตภาวะสัจพุทธะในตน" นั่นเอง  ฉะนั้น คนที่มีรากบุญขั้นสูงยิ่ง เมื่อได้รับถ่ายทอดสัจธรรม ชี้พลันก็จะสำนึกรู้พลัน สำนึกรู้พลันก็จะบรรลุพลันมิพักต้องบำเพ็ญ
หัวข้อ: ท่องพุทธาลัย (1) ตอนที่ 5 : ตรวจสอบไตรรัตน์ จัดวิญญาณเดิม เสริมคัดหยกหิน จริยฯ
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 21/08/2011, 18:03
                                        ยืนยงพลานุภาพคุณงาม
                                   โลกสามบาปบุญคุณครบ
                                   วัฏจักรเวียนไปไม่จบ
                                   รูปภพสูงต่ำตามกรรม

                                            ตอนที่ 5

                              ตรวจสอบไตรรัตน์     จิตวิญญาณเดิม
                        เสริมคัดหยกหิน             จริยะสูงยิ่ง
                        พุทธะระเบียบ               ไป่เทียบล้ำลึก     

        สำหรับคนที่มีรากบุญระดับขั้นที่สาม ได้รับถ่ายทอด พลันก็บำเพ็ญทันที ก็ผูกบุญสัมพันธ์พบพระสดับธรรม ประจักษ์มรรคผลกับพระเมตเตยยะ ไม่ถูกผูกมัดอยู่กับสามโลกพ้นจากบรรยายกาศทั้งห้า ของโลกทันที แม้มิใช่ฉุดช่วยเพื่อชีวิตน้อยใหญ่นับไม่ถ้วน ให้พ้นจากชาติกำเนิดสี่และภูมิวิถีหก เก็บไว้เป็นพันธุ์มนุษย์ในโลกของธรรมกาลต่อไป เหตุไฉน จึงร้อนถึงพระเมตเตยยะ พุทธะอริยเจ้าทั้งหลายในอดีต อีกทั้งศิษย์สาวกศาสนาปราชญ์เหลาจื้อและศาสนาพุทธ ซึ่งบรรลุไปแล้วให้กลับลงมาร่วมช่วยงานแพร่ธรรมนี้ด้วย  เราพระอาจารย์ก็เพื่อโปรดสัตว์เก็บงานด้วยวิถีธรรมสุดท้ายนี้ จึงได้พร้อมกับพระโพธิสัตว์จันทรปัญญา (เอวี้ยฮุ่ยผูซ่า ) นำเอาไตรรัตน์สัจธรรมที่พระพุทธเจ้าในอดีตกาลถ่ายทอดต่อมาเฉพาะพระองค์ เปิดเผยสู่ชาวโลก  ครั้งนี้ มีผู้ศึกษาธรรมไม่น้อยที่ไม่เข้าใจคุณวิเศษของไตรรัตน์สัจธรรมจากพระอนุตตร ฯ พระโองการ  ไม่รู้หลักญาณสัจธรรมของวิถีแห่งจิตที่หาได้ยาก ยิ่งไม่เข้าใจพระมหาเมตตาปณิธานของพระเมตเตยยะพระบรรพจารย์จึงต่างอวดอ้างหลักการบำเพ็ญอันแยบยลของตนหรือติดปากถึงการบำเพ็ญชีวิตจิตญาณพร้อมกัน บ้างเอาแต่นั่งนิ่งภาวนา ทั้งอ้างว่าจะต้องบำเพ็ญอย่างนี้้  จะต้องปฏิบัติตามวิธีการอย่างนี้ ซึงไม่ณุ้ว่าหมื่นพระธรรมขันธ์นั้นเสมอกัน จะต่างกันที่ความสะดวกในการโน้มนำเท่านั้น  ดังนั้น จึงมักจะมีการวิจารณ์แนวทางการศึกษาของผู้อื่นด้วยความเห็นอันจำกัดเฉพาะตน หรือสำคัญว่าวิธีการบำเพ็ญของตนเท่านั้นที่ถูกต้องแน่นอน สามารถบรรลุจุดสูงสุดได้ ส่วนการบำเพ็ญของคนอื่น อ้อมไกลและผิดทาง บ้างก็วาดฝีปากถกเถียงกัน ยกตนข่มท่าน อนิจจา เหตุที่ผู้บำเพ็ญเหล่านี้เป็นเช่นนี้ นอกจากความอวดดีและสิ่งที่ได้เรียนรู้มา ความสำนึกรู้ไม่สมบูรณ์กลมกลืน กว้างใหญ่และเข้าใจต่อกำหนด การเปลี่ยนแปลงของฤดูกาลของฟ้าดินไม่ถ่องแท้พอแล้ว ยังมิได้ศึกษาให้ลึกซึ้งถึงเหตุปัจจัยอันยิ่งใหญ่ที่พระพุทธเจ้าจะอุบัติในกาลนี้อีกด้วย ต่างเข้าใจแต่เพียงว่า พระเมตเตยยะเป็นพระพุทะเจ้าจากหมื่นพันพระองค์หนึ่ง แต่ไม่รู้ว่าพระพุทธเจ้าเป็นพระอาจารย์ในกำหนดกาลนี้ และต่างเข้าใจแต่เพียงว่า วิถีแห่งธรรมกาลยุคขาวเป็นวิถีธรรมหนึ่งในหมื่น ๆ พระธรรมขันธ์ แต่ไม่รู้ว่าเป็นวิถีที่ไม่โปรดถ่ายทอด แม้มิใช่การสมควร  มิใช่บุคคลอันควรได้รับ แต่เป็นวิถีธรรมที่อุบัติตามกาลกำหนด เช่นนี้จึงได้สดับแล้วก็ละทิ้งไป หรือยากแก่การเข้าถึงได้ หวังว่า ศิษย์ธรรมกาลยุคขาวของพระอาจารย์จะได้เข้าใจถึงคุณวิเศษแห่งวิถีธรรมยุคขาว เกิดความเชื่อโดยแท้ด้วยจิตเสมอภาค เผยแผ่ข่าวดีจากสวรรค์ในบุญวาระสุดท้ายนี้ให้ไพศาล

                                                                                                                                                ไฮ   พัก

        ..... อู้เอวี๋ยน ขึ้นนั่งบัลลังก์บัวให้ดี คืนนี้เราจะไปเยี่ยม " ทิพย์ตำหนักตรีเทพย์ "  ทัศนาเหตุการณ์จริง ในการตรวจสอบไตรรัตน์จากพุทธบุตรคนเดิมเพื่อเป็นกระจกเงาให้ความกระจ่างแก่ผู้บำเพ็ญ   

อู้เอวี๋ยน  :  ศิษย์เตรียมพร้อมแล้วขอรับ พระอาจารย์ได้โปรดออกเดินทางได้... อาสน์บัวได้ลอยขึ้นสู่ขอบฟ้าตามพระบัญชาชี้นิ้วของพระอาจารย์ รวดเร็วปานลูกธนูฝ่าอากาศ  ณ เบื้องหน้าไกลโพ้น เห็นเทือกเขาสลับซับซ้อน เมฆละเลื่อมหลากสีรายรอบขอบภูเขา เมฆหมอกก็ปกคลุมเป็นเชิงชั้น ต้นไม้ใบหญ้าหนาทึบชะอุ่มงามก่ำเขียว เป็นเทือกเขาแดนมงคลอันศักดิ์สิทธิ์  ได้ยินนกร้องประสานเสียง ได้สัมผัสลมเย็นแผ่วพัด ทำให้สดชื่นเบิกบานใจยิ่งนัก มองดูหุบเขาข้างหน้าเห็นปราสาทตำหนักเก๋งทิพย์เทวาคารมากมาย จุดประทีปโคมไฟสว่างไสว แพรพราว

พระอาจารย์ ฯ  :  ข้างหน้า คือทัศนียภาพของภูเขา "ซุ่ยอุ๋ย"  อู้เอวี๋ยน ลงจากอาสน์บัวตามอาจารย์มา...

อู้เอวี๋ยน  :  มีท่านผู้หนึ่งกำลังเดินตรงมา รูปร่างสูงสง่า สรวมเกราะคาดดาบครบครัน     

ทิพยมาตย์  :  ผุ้น้อย กราบคารวะพระบรรพจารย์  ด้วยพระบัญชาจากพระมหาราช จึงล่วงหน้ามาต้อนรับพระองค์ และนักบุญอู้เอวี๋ยน ได้โปรดเข้าพักผ่อนในพระตำหนักสักครู่
หัวข้อ: ท่องพุทธาลัย (1) ตอนที่ 5 : ตรวจสอบไตรรัตน์ จัดวิญญาณเดิม เสริมคัดหยกหิน จริยฯ
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 22/08/2011, 08:22
                                       ยืนยงพลานุภาพคุณงาม
                                   โลกสามบาปบุญคุณครบ
                                   วัฏจักรเวียนไปไม่จบ
                                   รูปภพสูงต่ำตามกรรม

                                            ตอนที่ 5

                              ตรวจสอบไตรรัตน์     จิตวิญญาณเดิม
                        เสริมคัดหยกหิน             จริยะสูงยิ่ง
                        พุทธะระเบียบ               ไป่เทียบล้ำลึก     

พระอาจารย์ ฯ  :  อู้เอวี๋ยน เข้าตำหนักในให้สำรวมระวัง เคารพนบนอบและจัดเครื่องแต่งกายให้เรียบร้อย... ว่าแล้ว ทั้งสามก็ดำเนินสู่พระตำหนัก... เมื่ออู้เอวี๋ยนแหงนมองก็ต้องตะลึงในความโอฬารความวิจิตรพิศดาร พระตำหนักตระหง่านงามนี้ ด้านหน้ามีป้ายกระดานแผ่นมหึมาจารึกชื่อเป็นอักษรสี่ตัวว่า "พระตำหนักตรีเทพ " (ซันกวนเป่าเตี้ยน) ด้วยสีทองอร่าม สองข้างยังมีกลอนคู่ความว่า
                       ยืนยงพลานุภาพคุณงาม
                       โลกสามบาปบุญคุมครบ
                       วัฏจักรเวียนไปไม่จบ
                       รูปภพสูงต่ำตามกรรม         
        ภายในพระตำหนัก เงียบสงัดสบายตา เหล่าเทพกร เทวะเจ้าหน้าที่ต่างนั่งทำงานกันขะมักเขม้น       

ทิพย์มาตย์  :  พระเทวบดีที่ประทับนั่งอยู่โต๊ะกลาง ทำหน้าที่รับสาร " ใบคำขอ " (เปี่ยวอุ๋น) ที่ถวายเจตจำนงค์ขอรับวิถีธรรม ซึ่งสาธุชนคนเดิมถวายขึ้นมา
-  เทพกร ทางโต๊ะซ้ายมือ ทำหน้าที่นำคนเดิมไปยัง "สถานตรวจสอบกำหนดบาปบุญ"  แต่ละวิมานเขตุ ในเก้าเก้าด่านจื่อหยัง 
- พระองค์ทางโต๊ะขวามือ  ทำหน้าที่รับรายงานบันทึกบาปบุญของผู้บำเพ็ญทั้งสามโลก
        เมื่อ ทิพย์มาตย์กล่าวจบ เจ้าหน้าที่ชาวสวรรค์ทั้งหมดในตำหนัก เมื่อเห็นพระบรรพจารย์มาเยือน ต่างก็ลุกขึ้นยืนตัวตรงต้อนรับพระบาทพร้อมกับกล่าวทักทายว่า "พระบรรพจารย์ทรงสำราญ"  เมื่อน้อมคารวะต่อกันแล้ว อู้เอวี่ยน เงยหน้าขึ้นก็เห็นเหนือประตูตำหนักกลางมีแผ่นป้ายสีทองเขียนเป็นสง่าจารึกอักษรสี่คำว่า "สอบชัดสารพัดกรรม" (หมิงฉาวั่นสู) บนผนังซ้ายขวาก็แขวนแผ่นภาพคำกลอนไว้อีกหลายแผ่น ซึ่งไม่มีเวลาพอที่จะพิจารณาอ่านได้ทั้งหมด พระองค์ทิพย์มาตย์นำหน้าพาอู้เอวี๋ยนติดตามพระอาจารย์จากตำหนักที่หนึ่งเข้าสู่ตำหนักที่สอง พลันก็เห็นแผ่นป้ายสีทองระยับงามสง่าจารึกอักษรสี่คำความว่า : "ตรวจสอบญาณเดิม" (เอวี๋ยนหลิงเข่าเจิ้ง) กลอนคู่ที่ประดับอยู่สองข้างมีความว่า ...
                         ดูหลักฐานอ่านป้าย        ถามไถ่รู้ธรรมจำเท่าใด
                         ยืนยันถูกต้องได้           กำหนดหมายให้สั้นยาว
        พระตำหนักนี้โอ่งโถง กว้างยาวนับได้หลายวา ตรงกลางห้องมีโต๊ะหยกตั้งอยู่ ซ้ายขวายังมีโต๊ะอีกหลายตัว เทพกร ประทับเป้นสง่าก้มหน้าทำงานกัน มือถือแส้ด้ามหยกทรงชุดเพ้ายาว สวมมาลาประณีตเป็นระเบียบ เมื่อเห็นพระบรรพจารย์ ต่างก็ลุกจากโต๊ะออกมาคารวะต้อนรับ

พระอาจารย์ ฯ  :  อู้เอวี๋ยนเจ้าลืมเสียแล้วว่าให้เคร่งจริยา เมื่อมาถึง อย่าเอาแต่ยืนงง รีบมาคารวะพระเทวบดีเสีย

อู้เอวี๋ยน  :  ศิษย์ผู้น้อยกราบคารวะพระเทวบดีทรงเกษม ขอได้โปรดอภัยที่ผู้น้อยหละหลวมจริยา

เทวบดี  :  อู้เอวี๋ยน มิต้องมากจริยา วันนี้เจ้ารับสนองพระโองการไม่ครั่นคร้ามติดตามพระอาจารย์มาบันทึกประพันธ์บททองเพื่อฉุดผองเวไนย เราจึงต้องให้กำลังใจ วันใดที่หนังสือเสร็จสรรพ บุญกุศลของเจ้าจะเหนือคณานับทีเดียว

ทิพย์มาตย์  :  ตำหนักนี้ทำหน้าที่ตรวจสอบไตรรัตน์จากคนเดิมที่ได้รับธรรมแล้ว ขอพระบรรพจารย์และอู้เอวี๋ยน ได้โปรดพักอยู่ ณ ที่นี่สักครู่ เพื่อทัศนาดูการเก็บงานญาณเดิม และตรวจสอบไตรรัตน์ เพื่อบันทึกบททองท่องเที่ยว คงจะดี               
หัวข้อ: ท่องพุทธาลัย (1) ตอนที่ 5 : ตรวจสอบไตรรัตน์ จัดวิญญาณเดิม เสริมคัดหยกหิน จริยฯ
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 22/08/2011, 09:20
                                       ยืนยงพลานุภาพคุณงาม
                                   โลกสามบาปบุญคุณครบ
                                   วัฏจักรเวียนไปไม่จบ
                                   รูปภพสูงต่ำตามกรรม

                                            ตอนที่ 5

                              ตรวจสอบไตรรัตน์     จิตวิญญาณเดิม
                        เสริมคัดหยกหิน             จริยะสูงยิ่ง
                        พุทธะระเบียบ               ไป่เทียบล้ำลึก     

พระอาจารย์ ฯ  :  สาธุ  สัจธรรมแท้ในไตรรัตน์ เป็นหัวใจของคัมภีร์พระสูตรทั้งหลาย แทงตลอดโลกุตตรเทวโลก และโลกมนุษย์ รวมความทั้งรูป ภพ สุญตา และนิพพาน ผู้บำเพ็ญแม้ซึมซาบสมานความเข้าใจ ปฏิบัติด้วยความเป็นอย่างกลมกลืน ก็จะบรรลุพุทธะได้อย่างไม่ต้องสงสัย คืนนี้ก็จะได้รับพระมหากรุณาธิคุณทัศนาสภาพความเป็นจริง ซึ่งเปิดเผยความนัยทุกสิ่งอัน

เทพกร  :  (เข้ามารายงานตัว) บัดนี้ข้าพเจ้าเทพกรผู้นำทางจากที่ทำการตรวจสอบจากปากทางสามแพร่ง ได้นำ "คนเดิมผู้ได้รับธรรม ฯ" มาถึงพระตำหนักเพื่อตรวจสอบไตรรัตน์แล้ว

เทวบดี  :  "รับทราบ ให้คนเดิมเข้ามาได้"

เทพกร  :  "คนเดิมเข้าไปได้" (เห็นคนเดิมสิบกว่าคน มือถือป้ายประจำตัวตน แต่งกายสุภาพเรียบร้อย สีหน้าอาการสงบอ่อนน้อม ตามเทพกร ผู้นำทางเดินเข้าไปจนปถึงหน้าโต๊ะ คำนับแล้วน้อมศรีษะยืนตรงอยู่

เทพกรประจำโต๊ะที่ 1  :  ขอแสดงความยินดีต่อทุกท่าน ด่านนี้จะตรวจสอบ  " สัญญลักษณ์ไตรรัตน์ "  ชาตินี้ที่ได้รับวิถีธรรมเพราะคุณงามสามชาติที่บำเพ็ญมาจึงได้รับถ่ายทอดไตรรัตน์จากพระวิสุทธิอาจารย์ ขอให้ต่างแสดงหลักฐาน  (เมื่อเทพกรกล่าวจบ คนเดิมผู้ได้รับธรรม บ้างก็ยิ้มแย้มสดชื่น บ้างก็หน้าซีดเผือดเขียวคล้ำอ้ำอึ้ง จำไตรรัตน์ไม่ได้ กระอักกระอ่วยอับอาย)

เทพกรโต๊ะที่ 2 :  ด่านนี้จะสอบถาม "อาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรม"  "ผู้นำพาและรับรอง"  "พุทธะจริยะระเบียบ"  ผู้ละทิ้งพุทธะจริยะระเบียบ ไม่เข้าใจศีลข้อห้ามและความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันแท้จริง จะมอบให้เทพกรผู้นำทาง นำไปมอบหมายให้  " ทัณฑสถานจื่อหยังกวน "

เทพกรโต๊ะที่ 3  :  ด่านนี้จะตรวจสอบป้ายประจำตัว สอบถามความเป็นไปที่บำเพ็ญอยู่ในโลก เช่น แม้ผู้บำเพ็ญจะสร้างบุญกุศลไว้ในโลก แต่นิสัยความเคยชินไม่ดีไม่หมดสิ้นหรือถือมั่น แบ่งชั้นสูงต่ำ ล้วนแต่มอบให้เทพกรผู้นำทางนำไปขอสำนึกผิดในสถานเคี่ยวกรำบำเพ็ญในวิมานเขตุต่าง ๆ ให้ได้สงบใจบำเพ็ญจิตต่อไป

เทพกรโต๊ะที่ 1  :  ญาณเดิมคนแรกเชิญเข้ามาตรวจสอบสัญลักษณ์ไตรรัตน์ได้

ญาณเดิม ก.  :  ศิษย์ผู้น้อยแซ่หวัง...ชื่อ...กราบคารวะท่านเทพกร

เทพกรโต๊ะที่ 1  :  ยินดีด้วยที่ท่านทั้งหลายได้รับวิถีธรรมแล้ว ดังคำกล่าวว่า " มีบุญสัมพันธ์ห่างกันพันลี้ มีวันได้พบ ขาดบุญสัมพันธ์ อยู่กันตรงหน้าหาเห็นไม่ "มีบุญสัมพันธ์ก็คือมีรากฐานบุญบารมีมาก่อน แม้อยู่ห่างกันพันลี้ก็จะมีผู้มีคุณมานำพาให้ได้ รับวิถีอนุตตรธรรม มิฉะนั้น ก็จะได้แต่อยู่บนทางแยกหรือข้างทางวิถีธรรม จะไม่เป็นหนึ่งเดียวกับธรรมะ บัดนี้ ท่านจะแสดงสัญลักษณ์ไตรรัตน์ที่ได้รับมาเป็นหลักฐาน

ญาณเดิมนาย ก.  :  รับพระบัญชา   เท่าที่กระผมได้รับทราบมา เมื่อตอนรับธรรมะ ไตรรัตน์ที่ได้รู้ก็คือ
1. ญาณทวาร  เป็นด่านสำคัญที่คนกับฟ้าเชื่อมถึงกันเป็นที่สถิตจิตญาณ ซึ่งก็เป็นประตูที่จิตญาณผ่านเข้าออกเมื่อเกิดมา - ตายไปนั่นเอง
2. รหัสคาถา   มีคำว่า 1,2,3,4,5 เป็นสัจคาถา เมื่อประสบภัยพิบัติ เหนือความสามารถที่ใครจะช่วยได้ เพียงแต่ศรัทธาจริงถึงเบื้องบน ท่องสัจคาถาในใจ เบื้องบนก็จะส่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ลงมาคุ้มครองให้ เหตุร้ายกลายเป็นมงคล เพทภัยกลายเป็นสันติ
3. ลัญจกร     คือตราประทับรหัส "จื่อไฮ่"  (สัญลักษณ์บริสุทธิ์จิตทุกชั่วยาม) เป็นรหัสพาให้ผ่านพ้น  เป็นตราประทับศักดิ์สิทธิ์

เทพกรโต๊ะที่ 1  :  สาธุ  สาธุ  ศิษย์แซ่หวังจดจำสัญลักษณ์ของไตรรัตน์ไว้แม่นยำ ผ่านไปได้ แต่ท่านยังไม่เข้าใจเนื้อแท้สัจธรรมการถ่ายทอดจริงของไตรรัตน์เท่ากับยังไม่ถ่องแท้ หวังว่าท่านจะผ่านด่านที่สองไปสู่ " ตำหนักบำเพ็ญตน " (จื้อซิวถัง) เข้าถึงเนื้อแท้สัจธรรมของไตรรัตน์ให้ดียิ่งขึ้น 
หัวข้อ: ท่องพุทธาลัย (1) ตอนที่ 5 : ตรวจสอบไตรรัตน์ จัดวิญญาณเดิม เสริมคัดหยกหิน จริยฯ
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 22/08/2011, 11:01
                                       ยืนยงพลานุภาพคุณงาม
                                   โลกสามบาปบุญคุณครบ
                                   วัฏจักรเวียนไปไม่จบ
                                   รูปภพสูงต่ำตามกรรม

                                            ตอนที่ 5

                              ตรวจสอบไตรรัตน์     จิตวิญญาณเดิม
                        เสริมคัดหยกหิน             จริยะสูงยิ่ง
                        พุทธะระเบียบ               ไป่เทียบล้ำลึก   

ญาณเดิมนาย ก.  :  ขอบพระคุณท่านเทพกรเมตตาประทานโอวาท  เมื่อมีชีวิต ศิษย์ไม่ลึกซึ้งเข้าถึงไตรรัตน์วิถีแห่งจิตได้ แต่ใส่ใจกับเรื่องพระโองการ ฯ กับพงศาธรรม เพิ่งจะรู้ความสำคัญของ "จิตตน ตนฉุดช่วย" จึงหวังว่าผู้บำเพ็ญในโลกจะถือโอกาสเวลาอันมีค่า นอกจากบำเพ็ญเพียรจากสัญลักษณ์ของไตรรัตน์แล้ว สำคัญที่สุดคือ จะต้องเข้าถึงพระเจตนาของฟ้าเบื้องบน จิตใจของพระอาจารย์  ประจักษ์จิตญาณของตนแล้ว จึงเข้าถึงการบรรลุปณิธาน สำเร็จภาระกิจศักดิ์สิทธิ์ในการช่วยงานธรรมะ ฉุดช่วยตนเอง ฉุดช่วยผู้อื่น อย่างฉันเพิ่งจะเข้าใจก็สายเสียแล้วจึงต้องไปบำเพ็ญเพียรที่ "ห้องฝึกจิตในตำหนักบำเพ็ญตน" ต่อไป

เทพกรโต๊ะที่ 1  :  ญาณเดิมท่านที่สองเชิญเข้ามารับการตรวจสอบไตรรัตน์ได้

ญาณเดิม ข.  :  กราบท่านเทพกร  ผู้น้อยแซ๋หลี...

เทพกรโต๊ะที่ 1  :  มิต้องคารวะ ศิษย์แซ่หลี แสดงไตรรัตน์ตามที่ได้รับมาเถิด

ญาณเดิม ข  :  รับพระบัญชา 
1. ญาณทวาร  ศาสนาขงจื้อเรียกว่า "วิสุทธิ์แดนดินถิ่นวิเศษสถานสำรวมจิตญาณ (จื้อซั่นเป่าตี้ ไซว่ซิ่งจือสั่ว) พระพุทธะตรัสว่า "จักษุครรภนิพพานอันวิเศษ" ศาสนาเต๋าเรียกว่า "ทวารวิเศษ รากฐาฯของฟ้าดิน"  ทวารวิเศษนี้เป็นศูนย์กล่างของฟ้าดินกับคน มีความวิเศษแยบยล แม่ผีสางเทวดาก็มิอาจคาดหมาย เป็นความวิเศษลี้ลับของเบื้องบน ซึ่งมิให้ถ่ายทอดตั้งแต่บรรพกาลจนถึงบัดนี้ ผู้ได้รับจะพ้นจากปุถุชนไปสู่พระอริย ผู้ได้บำเพ็ญจะบรรลุเป็นพระพุทธ พระอรหันต์
2. รหัสคาถา   พระพุทธะ พระอรหันต์ ตรัสไว้ว่า "เมื่อท่องสัจคาถา เทวา ฯ ภูตผี ต่างกลัวเกรงพุทธประกาศิตสามโลกเร่งพระโพธิสัตว์เองโปรดลง" จึงพึงรักษาไว้ด้วยจิตศรัทธา  สำนึกขอขมาบำเพ็ญเพียรอย่างจริงใจ  จะสัมผัสจิตสัมฤทธิ์ผลศักดิ์สิทธิ์ ภายหน้าเมื่อจะผ่านเข้าประตูชั้นฟ้า ก็จะต้องใช้รหัสสัจคาถานี้ "เช่นเดียวกับที่ข้าพเจ้ากำลังถูกตรวจสอบยืนยันอยู่นี้" จะลืมไม่ได้เป็นอันขาด ดูแคลนไม่ได้จะต้องใส่ใจให้ดี
3. ลัญจกร   ผู้เป็นขุนนางยืนยันด้วยตราประทับประจำตำแหน่ง ผู้บำเพ็ญธรรมยืนยันด้วยลัญจกร ลัญจกรคือรหัสจื่อไฮ่ (สัญลักษณ์บริสุทธิ์จิตทุกชั่วยาม) เป็นหลักฐานการได้รับวิถีธรรม "เรากล่าวแก่ท่านทั้งหลายตามความจริงว่า ถ้าหากท่านไม่กลับใจให้เหมือนเด็กเล็ก ๆ ท่านจะเข้าไปในแผ่นดินสวรรค์ไม่ได้เลย" แล้วพระองค์จึงทรงวางพระหัตถ์บนศรีษะเด็กอวยชัยให้แก่เขา เหล่านี้ล้วนเป็นพระวจนะแยบยลสำคัญเกี่ยวกับสัญลักษณ์ไตรรัตน์ ทั้งหมดคือความเข้าใจที่ผู้น้้อยมีต่อไตรรัตน์

เทพกร  :  ที่ศิษย์แซ่หลี พูดมา แม้จะเทียบเคียงความหมายและสัญลักษณ์ของไตรรัตน์ได้ แต่ยังคงวนเวียนอยู่ภายนอก กล่าวคือ รู้ความเป็นไปแต่ไม่รู้เหตุแห่งความเป็นนั้น ภาวะของความสำนึกรู้จึงยังอยู่ที่สังขตะธรรมความมีตัวตน  ไม่อาจสำแดงจิตตนให้สอดคล้องกับไตรัตน์สัจธรรมได้ แต่ศิษย์แซ่หลี ก็มีรากฐานบุญไม่เบา เมื่อได้สดับพระธรรมก็มั่นคงในธรรม ไม่ละทิ้งไตรรัตน์ จึงผ่านด่านนี้ไปได้ หวังว่าเมื่อผ่านด่านอื่น ๆ ไปแล้ว จะได้ไปตั้งใจศึกษาสำนึกรู้ที่ "ตำหนักสำนึกจิต" (อู้ซินถัง) ให้ดี

ญาณเดิม ข.  :  กราบขอบพระคุณท่านเทพกรโปรดเมตตาอบรม แม้ชาตินี้ผู้น้อยจะมิอาจเข้าถึงปริศนาวิเศษของอนุตตรธรรม แต่ยังได้รับพระมหากรุณาธิคุณ ฯ จากเบื้องบน ได้รับจุดเบิกฯ จากพระวิสุทธิอาจารย์ อีกทั้งได้เชื่อมบุญสัมพันธ์ ได้พบพระ ได้สดับธรรมจากพระพุทธะผู้เสวยวาระ (พระพุทธเจ้า) พระพุทธเจ้าผู้รวบรวมธรรมญาณ เก็บงาน (พระพุทธจี้กง  พระโพธิสัตว์จันทรปัญญา)  และ พระศรีอริยเมตตรัย ก้ไม่เสียเปล่าที่ศรัทธามั่นคงต่อธรรมะในชีวิตนี้

เทพกร  :  ญาณเดิมท่านที่สาม เข้าตรวจสอบไตรรัตน์ได้

ญาณเดิม ค.  :  ผู้น้อยแซ่เฉิน กราบคารวะท่านเทพกร กระผม... จำไตรรัตน์ไม่ได้เสียแล้ว

เทพกร  :  เฮ้อ !  มาถึงขั้นนี้แล้ว ท่านก็จะต้องรับโทษอันควรไป แม้เราจะเมตตา ไม่ทนเห็นญาณเดิมถูกส่งไปรับทุกข์ในนรก ท่านได้รับบุญบารมีจากบรรพบุรุษ ทำให้ได้รับวิถีอนุตตรธรรม แต่ก็มิได้เกิดศรัทธา กลับเห็นหลักเที่ยงธรรมของจักรวาลเป็นเรื่องเหลวไหลงมงาย ผละจากประตูธรรมไปหาสักการะวัตถุประโยชน์บัดนี้ก็ได้แต่อาศัยเหตุและผลกรรมที่ทำไว้ในโลก เป็นเครื่องตัดสินความสูงต่ำของตนเองแล้ว

ญาณเดิม ค.  :  ท่านเทพกรได้โปรดเมตตา เมื่อครั้งมีชีวิตเนื่องจากไม่อาจเข้าใจความแยบยลของการฉุดช่วยโปรดทั้งสามโลก และกำหนดกาลวาระเปลี่ยนแปลงของฟ้าดิน ผู้น้อยจึง... ขอท่านเทพกรได้โปรดให้ทางชีวิตแก่ผู้น้อยด้วย ให้ผู้น้อยผ่านด่านนี้ไปเถิด

เทพกร  :  กฏบัญญัติฟ้าเคร่งครัด แม้เราจะเปี่ยมด้วยเมตตา แต่เหตุและผลกรรมใครทำต้องรับเอง ท่านตามเทพกรผู้นำทางไปเสียเถิด
หัวข้อ: ท่องพุทธาลัย (1) ตอนที่ 5 : ตรวจสอบไตรรัตน์ จัดวิญญาณเดิม เสริมคัดหยกหิน จริยฯ
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 22/08/2011, 13:05
                                       ยืนยงพลานุภาพคุณงาม
                                   โลกสามบาปบุญคุณครบ
                                   วัฏจักรเวียนไปไม่จบ
                                   รูปภพสูงต่ำตามกรรม

                                            ตอนที่ 5

                              ตรวจสอบไตรรัตน์     จิตวิญญาณเดิม
                        เสริมคัดหยกหิน             จริยะสูงยิ่ง
                        พุทธะระเบียบ               ไป่เทียบล้ำลึก   

พระอาจารย์ ฯ  :  จุดประสงค์ของธรรมะก็คือต้องการให้ญาณเดิมอาศัยหลักสัจธรรม ชำระโลกีย์กลับคืนเป็นจิตญาณบริสุทธิ์ จึงได้สอนให้ผู้คนเคารพฟ้าดิน บูชาพระพุทธะเทพเจ้า ฯ รักชาติ ซื่อสัตย์ต่อหน้าที่ เชิดชูวัฒนะจริยธรรม กตัญญูกตเวทีต่อบิดามารดา ถือความสัตย์ จริงใจต่อเพื่อน มีอัธยาศัยไมตรีต่อเพื่อนบ้าน ละบาปบำเพ็ญบุญ อันเป็นพื้นฐานการเผยแผ่ กล่อมเกลา ให้จรรโลงคุณวิเศษหัวใจของคำสอนในพระศาสดาทั้งห้า ยึดถือระดับการปกครองสาม เบญจธรรมและประเพณีวัฒนธรรมอันดีงามแต่โบราณ ชำระจิตใจให้ผ่องแผ้ว อาศัยกายสมมุติบำเพ็ญธรรมจริง ฟื้นฟูความดีงามของจิตภาพและสมรรถภาพของจอตวิสัยแห่งตนตั้งมั่นตนให้เป็นคนสมบูรณ์และช่วยผู้อื่น บรรเรา บรรลุเขา วางตนดีและกล่อมเกลาผู้อื่น ฉุดช่วยโลกให้เกิดสันติสุข แปรเปลี่ยนใจคนให้ดีงาม เพื่อประโยชน์ในการนำโลกไปสู่เอกภาพ เช่นนี้ มีหรือจะเป็นการเหลวใหล งมงาย  ชาวโลกปัจจุบัน วิทยาการและอารยะวัตถุก้าวหน้าจึงมักจะละเลยกิจกรรมของจิตญาณและความกล้าที่จะเผชิญกับคุณธรรม ดังนั้นจึงทุกข์ใจยิ่งขึ้น  ไตรรัตน์แห่งธรรมกาลยุคขาวเป็นขุมทรัพย์อันล้ำค่าที่รวมเอาฟ้าดินไว้โดยแท้ หาใช่ตัดสินคุณค่าจากรูปนามสัญลักษณ์ภายนอกที่มองเห็นได้เท่านั้น

อู้เอวี๋ยน  :  ปัจจุบันมีศิษย์ธรรมกาลยุคขาวไม่น้อยที่เข้าใจว่า "ปริศนาธรรมความลี้ลับของไตรรัตน์ถูกแพร่งพรายบนหน้าหนังสือพิมพ์แล้ว ขาดความศักดิ์สิทธิ์เสียสิ้น " ไม่ทราบว่า "เหตุผลเช่นนี้ถูกต้องหรือไม่ อีกทั้งยังมีผู้บำเพ็ญอีกไม่น้อยที่เห็นว่าการขอรับไตรรัตน์เป็นเพียงรูปแบบอย่างหนึ่ง ในการขอรับวิถีธรรมเท่านั้น ไม่มีคุณค่าอะไร ขอพระอาจารย์ได้โปรดประทานความสว่าง"

พระอาจารย์ ฯ  :  ฮะ ฮา  ภาวะของสัทธรรมจะเผยตามความอักษรได้หรือ  ความหมายของปริศนา ความลับฟ้าอยู่ที่กระจ่างในความสำนึกรู้หรือไม่เท่านั้น ผู้สำนึกรู้แล้วปริศนาฟ้าก็มิใช่ปริศนา ไม่สำนึกรู้ก็จะจดจำกลืนเอาไตรรัตน์ตามรูปแบบเข้าไปทั้งดุ้น เพราะเหตุว่ายัง "ไม่ได้รับอย่างแท้จริง" จึงยังเป็น  "ปริศนาความลับฟ้า"  อู้เอวี๋ยน เมื่อเข้าใจหลักดังกล่าวก็จะประกอบความเข้าใจกับ "หมื่นธรรมารมณ์เกิดแต่จิต"  "แนวทางธรรมะเป็นเพียงตัวนำ" ได้  ไตรรัตน์สัจธรรมสำหรับผู้ได้รับวิถีธรรมที่ยังไม่เกิดความสำนึกรู้ จะเป็นเพียง "รูปแบบ" เป็นขั้นตอนจำเป็น  แต่สำหรับ  "การนำจิตไปพบจิต"  เป็นปริศนาความลับฟ้าอย่างแท้จริง เป็นสัจพระโองการฟ้าที่แท้จริงและเป็นวิถีแห่งจิตที่แท้จริง  เอาละ เราจะมาดูการทำงานของเทพกรโต๊ะที่สอง ว่าจะตรวจสอบพุทธจริยะ ระเบียบอย่างไรเพื่อประจักษ์ในข้อเท็จจริง

เทพกรโต๊ะที่ 2.  :  ญาณเดิมท่านที่ห้า เชิญเข้ามารายงานชื่อผูนำพา รับรองและอาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรมได้

ญาณเดิม ง.  :  กราบคารวะท่านเทพกร ผุ้น้อยแซ่เซี่ย...ชื่อ...รับธรรมะในปีหมินกั๋วที่สี่สิบแปด อาจารย์ผู้ถ่ายทอดเบิกธรรม แซ่หลี ชื่อ...อาจารย์นำพาแซ่หวัง ชื้อ...อาจารย์รับรอง แซ่ไซ่่ ชื่อ...

เทพกร  :  สาธุ  ดื่มน้ำรู้จักรำลึกถึงต้นน้ำ สำนึกในบุญคุณไม่รู้ลืม หลักฐานที่บันทึกไว้ตรงกับที่ท่านรายงาน บัดนี้ จะถามว่า "ตำหนักพระสับสนผิดพลาด (ฝอถังเตียนเต่าชั่วล่วน) หมายถึงอะไร

ญาณเดิม ง.  :  หมายถึงบนโต๊ะบูชา เครื่องสักการะ เบาะที่กราบพระ การถวายธูป จริยพิธี ไม่ถูกต้องตามพุทธระเบียบขอรับ

เทพการ  :  นั่นเป็นตำหนักพระที่มีรูปลักษณ์ แม้จะสำคัญแต่พระแท้มิได้อยู่นอกกายตน สำคัญที่สุดยังคงเป็น "ตำหนักในตนเอง"  ตนเองจึงจะเป็นตำหนักพระที่ถูกต้องกับความเป็นจริง  "แขน ขา ดังเครื่องสักการะ  สองตาดังตะเกียงฟ้า  ปาก ลิ้น ของตนท่องบ่นคัมภีร์"  ฉะนั้น ความไม่สำรวมในชีวิตประจำวัน ยุแหย่่นินทาว่าร้าย ใจไม่ซื่อ ฯลฯ เหล่านี้ ล้วนเป็นตำหนักพระสับสนผิดพลาด  "จิตศรัทธา เป็นธูปบูชา ใจ เคารพ เป็นจริยะ" การจุดธูปบูชาพระก็คือ นำตำหนักพระในตนเองประสานเข้ากับตำหนักพระที่เป็นรูปลักษณ์ภายนอก

เทพกร  :  ขณะที่ท่านเกิดความมุ่งมั่นจะบำเพ็ญ ตำหนักพระในจิตตนก็เริ่มก่อสร้าง (ตั้งตำหนัก) พื้นที่ตารางนิ้ว (จุดญาณทวาร) นั้นเป็นพุทธสถาน 
- จึงหวังว่าผู้บำเพ็ญในโลก จะรักษาพุทธะระเบียบไม่ใช่อยู่ในตำหนักพระจึงสำรวมวาจาอ่อนน้อม เมื่ออกจากตำหนักพระแล้ว ในชีวิตประจำวันก็พากันลืมพุทธะระเบียบตำหนักพระในตน" 
- พึงรู้ไว้ว่า "เมื่อตั้งปณิธานแล้วไม่ปฏิบัติตามปณิธาน ไม่บรรลุปณิธานอย่างแท้จริงก็คือ ไม่รักษาพุทธระเบียบ
- ผู้ที่ผิดพลาดทำให้เสียหายแก่งานใหญ่ฉุดช่วยสามโลกก็นับว่าผิดพุทธระเบียบ 
- ความสะเพร่าจากกายวาจา ทำให้เป็นผลเสียต่อการบำเพ็ญของญาติธรรมหรือผู้น้อย ก็นับว่าผิดพุทธระเบียบ
- จิตใจไม่เสมอภาคดูหมิ่นศาสนาอื่น (เช่นดูถูกศาลเจ้าของธรรมกาลยุคแดง) ก้นับว่าไม่เคารพพุทธระเบียบ
- แม้ยังมิได้แสดงออกด้วยกายวาจา แต่จิตคิดไม่ซื่อ ไม่ตรง เช่น ตระหนี่  โลภ  โกรธ  เกลียดโมโหโง่หลง  ฟุ้งซ่าน  ตอบโต้เคียดแค้น  เห็นผิดติดอบาย  คิดชั่วร้าย  ใจคดมดเท็จ  หยาบย่าม  ลำพอง  เห็นแก่ตัว  อิจฉาริษยา  หลงตัณหากามารมณ์ ฯลฯ  เหล่านี้  อันเป็นความคิดจิตใจไม่ดีงาม ล้วนเป็นความสับสนผิดพลาด ณ ตำหนักพระในตนเอง  จึงมีคำกล่าวว่า  "ไม่กลัวความคิดเกิด กลัวแต่รู้ตัวช้า" 
        "ตำหนักพระในตนเองสับสนผิดพลาด"  จะต้องรู้ตัวทันที แล้วกราบสำนึกผิดขอนิรโทษกรรมต่อเบื้องพระแท่นพระศรีอาริย์ด้วยความจริงใจ กลับตัวเสัยใหม่อย่างแท้จริง  ตั้งปณิธานแล้วบรรลุปณิธาน พูดจริง ทำจริง  แบกรับพระภาระศักดิ์สิทธิ์ เป็นเรือธรรมะยุคขาวที่ฉุดช่วยชาวโลกแทนเบื้องบน  เมื่อมีพุทะะพลัง อัตตาพลังดังนี้ก็จะไม่มีที่บาปเวรจะไม่ลบล้างไปได้ ไม่มีที่จิตฟุ้งซ่านจะไม่ถูกกำหราบลง

อู้เอวียน  :  ท่านเทพกร ขอรับ เหตุใดเมื่อตำหนักพระสับสนผิดพลาด จะต้องวิงวอนพระศรีอาริย์โปรดประทานนิรโทษผ่อนผัน แต่มิได้วิงวอนพระองค์อื่นโปรดประทานนิรโทษผ่อนผันพระองค์อื่นจะไม่จะไม่โปรดเมตตาอย่างนั้นหรือ       
หัวข้อ: ท่องพุทธาลัย (1) ตอนที่ 5 : ตรวจสอบไตรรัตน์ จัดวิญญาณเดิม เสริมคัดหยกหิน จริยฯ
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 22/08/2011, 15:03
                                       ยืนยงพลานุภาพคุณงาม
                                   โลกสามบาปบุญคุณครบ
                                   วัฏจักรเวียนไปไม่จบ
                                   รูปภพสูงต่ำตามกรรม

                                            ตอนที่ 5

                              ตรวจสอบไตรรัตน์     จิตวิญญาณเดิม
                        เสริมคัดหยกหิน             จริยะสูงยิ่ง
                        พุทธะระเบียบ               ไป่เทียบล้ำลึก   

เทพกร  :  สาธุ  คำถามนี้ดีนัก  มิใช่ว่าพระองค์อื่นจะไม่โปรดเมตตา แต่เพราะเหตุนี้ พระศรีอาริย์เป็นพระบรรพพุทธา รับสนองพระบัญชาตามกำหนดเก็บงาน พระองค์จะอุบัติในโลกตามพุทธทำนาย จะจัดงานชุมนุมพระอริยะหลงฮว๋าในยุคสามสุดท้ายนี้ มีบุญสัมพันธ์กับสัตว์โลกเป็นพิเศษและด้วยเหตุที่สนองตามกำหนดบุญวาระ ฉะนั้น พระพุทธะอริยเจ้า สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในสากลโลก พระเทพย์นาคาแปดฝ่าย (เทียนหลงปาปู้) พระจักกวัตตี (จ่วนหลุนเซิ่งอวง) ต่างทรงทุ่มเทช่วยพระศรีอาริย์เก็บงาน ฉุดช่วยคนดีปลุกใจคนหลง เตรียมไว้เป็นพุทธบุตรในการเบิกฟ้าดินในธรรมกาลใหม่ต่อไป 
- อีกขั้นหนึ่งคือกวาดล้างคนบาป (ไม่รู้เมตตาฯ ขาดมโนธรรมน้ำใจ ไร้จริยะ ไม่ละอายต่อบาป ไม่กตัญญู ไม่ปรองดองพี่น้อง ไม่ซื่อสัตย์จงรักภักดี ไม่มีความสัตย์จริง ผิดด้วยอกุศลกรรมบทสิบ คือ ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ลักทรัพย์จาบจ้วง ประพฤติผิดในกาม โกหกพูดเท็จ ส่อเสียดเหยียดหยาม วาจาหยาบคาย พูดเพ้อเจ้อไร้สาระ โลภมากอยากได้ พยาบาทมาดร้าย เห็นผิดจากทำนองคลองธรรม ดำเนินชีวิตผิดทั้งกายใจ อีกทั้งแบ่งแยก สร้างฐานอำนาจในวงการธรรมะ โลภหลงเงินทอง เสพสุข หลงการปรนเปรอจากผู้น้อย แย่งชิงบุญกุศล มรรคผล  วางอำนาจบาทใหญ่ หลอกลวงลบล้างบรรพจารย์  ผยองลำพองตน  หลบหลู่นักธรรมอาวุโสหรือถือเอาผู้น้อยและตำหนักพระเป็นสมบัติส่วนตัว
- คนบาปเหล่านี้แม้ไม่กวาดล้างจะปฏิรูปโลกยุ่งเหยิง และจัดระเบียบกับงานธรรมะอย่างไร โลกสกปรกจะกลายเป็นวิสุทธิ์แดนดินได้อย่างไร และโลกสงบสุขในสมัยพระเจ้าเหยาฮ่องเต้ พระเจ้าซุ่นฮ่องเต้  จะปรากฏคืนมาในโลกใหม่ได้อย่างไร ฉะนั้น เมื่อ "ตำหนักพระในตนเอง" เกิดสับสนผิดพลาด จึงจำต้องวอนขอต่อพระศรีอาริย์โปรดประทานนิรโทษผ่อนผัน มิฉะนั้นจะถูกกำจัดออกไปนอกขอบข่ายของการเก็บงานอันกลมกลืน ต้องฝังจมอยู่กับวัฏจักรการเวียนว่ายตลอดไป และแน่นอน การจะขอนิรโทษกรรมต่อพระองค์ใดของศาสนิกในศาสนาต่าง ๆ เพียงแต่เกิดความจริงใจ ขอขมากรรมต่อพระองค์ อันเป็นพระภาคของสัจธรรม ก็ล้วนเป็นที่ยอมรับของเบื้องบน ญาณเดิมท่านที่หก เชิญเข้ามารับการตรวจสอบพุทธระเบียบได้

ญาณคนเดิมที่ 6  :  กราบท่านเทพกร อาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรม นำพาและรับรอง  ผู้น้อยแซ่ จู คือ...

เทพกร  :  ว่าอย่างไรล่ะ 

ญาณคนเดิมที่ 6  :  ท่านเทพกร เป็นเพราะศิษย์หลงเชื่อคำชาวบ้านว่าไตรรัตน์ถูกหนังสือพิมพ์ตีแผ่เปิดเผยปริศนาความลับฟ้า ไม่ศักดิ์สิทธิ์เสียแล้ว ดังนั้น จึงไปขอรับธรรมะ รับสัจคาถาใหม่ จึงลืมอาจารย์ถ่ายทอดเบิกธรรม นำพา และรับรอง  ในครั้งก่อนเสียหมด...

เทพกร  :  เฮ้อ !  คนที่สองจิตสองใจ ไม่มั่นคงในธรรมะอย่างนี้ จะต้องถูกมิจฉาวาจาหลอกลวงเข้าจนได้ หลักฐานบันทึกของเจ้าที่นี่ก็ลงไว้อย่างนี้  เห็นแก่เจ้าที่รับสารภาพตามความเป็นจริง ทำให้ได้บันทึกลงในหนังสือท่องพุทธาลัย ช่วยการปฏิรูปธรรมจักรวาลได้ เราจึงไม่เอาโทษต่อเจ้า พึงรู้ไว้ว่าศิษย์ยุคขาว แม้ได้รับจุดเบิกทางตรง จากพระวิสุทธิอาจารย์แล้วก็ตาม แต่หากนัยน์ตา หู จมูก ลิ้นกายใจ อินทรีย์ทั้งหก ไม่เดินทางตรง (ไม่เอาพุทธจิตเป็นอารมณ์) ยังคงออกทางประตูข้าง (เอาอินทรีย์ทั้งหกเป็นอารมณ์บดบังจิตผู้เป็นใหญ่ อินทรีย์ทั้งหกก็กลายเป็นโจร เช่นนี้ แม้จะจุดเบิกประตูทางตรง ก็ไม่ได้ช่วยอะไรในการบำเพ็ญได้จะต่างอะไรกับไม่ได้รับจุดเบิกจากพระวิสุทธิอาจารย์ สำหรับพวกใจบาปมีแต่มิจฉาทิษฐิ จะเห็นไตรรัตน์สัจธรรมเป็นเพียงของขลังไว้คุ้มตัว ฉะนั้น เมื่อวันใดหนังสือพิมพ์ตีแผ่ออกมา จึงคิดว่าปริศนาความลับฟ้ารั่วไหล ไตรรัตน์ไม่ศักดิ์สิทธิ์เสียแล้ว  จึงไปรับถ่ายทอดญาณทวารลัญจกรและสัจคาถาใหม่)  ฮะ ฮ่า  นัยน์ตาหลงผิดของคนประเภทนี้ รู้จักแต่รูปนามของไตรรัตน์ ไม่เห็นชัดในไตรรัตน์อันเป้นวิถีแห่งจิต ไม่รู้จักอาศัยไตรรัตน์วิถีแห่งจิตไปบำเพ็ญ เพื่อสำนึกรู้ใน "จิตภาวะวิสุทธิ์พุทธะ"  พึงรู้ความหมายในคัมภีร์วัชรญาณสูตรที่จารึกไว้ว่า "จงยั้งจิตอย่ายึดมั่นผูกติดในสภาวะะใด" ฉะนั้น จุดนั้นพระวิสุทธิอาจารย์ จึงมิให้ใฝ่ใจในจุดนั้น คือ "จิตภาวะวิสุทธิ์พุทธะ  อันเป็นอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ" ในตน  ฉะนั้น ลักษณะแท้ของไตรรัตน์สัจธรรม จึงมิใช่หนังสือพิมพ์จะตีแผ่ให้รั่วไหลได้ จะพูดถึง "ปริศนาความลับฟ้า"  ก็มีความหมายหลายชั้น คือ
1. สิ่งที่บอกกล่าวไม่ได้เรียกว่าปริศนาความลับฟ้า เพราะบอกกล่าวแล้วจะเป้นการก่อกวนหรือให้ร้ายผู้นั้น
2. บอกกล่าวได้แต่มิให้รู้ความจริงแท้ ก็เรียกว่าปริศนาความลับฟ้า  ศิษย์ยุคขาวบัดนี้้ แม้จะได้รับรู้รูปนามของไตรรัตน์ แต่จะมีสักกี่คนที่เข้าใจในลักษณะแท้ของไตรรัตน์สัจธรรม ฉะนั้น ปริศนาความลับฟ้าของไตรรัตน์จึงอยู่ที่สำนึกรู้หรือไม่ หนังสือพิมพ์ตีแผ่ได้แต่รูปนาม แต่จะแพร่งพรายปริศนาความลับฟ้านั้นได้หรือ
3. เรื่องที่ยังไม่ถึงเวลา ก็เรียกว่าปริศนาความลับฟ้า เช่น พระศรีอาริย์เป็นพระพุทธเจ้า ซึ่งจะทรงเก็บงานสุดท้ายในธรรมกาลนี้ กำหนดกาลนี้คือ กำหนดกาลมะแม แต่บัดนี้เพิ่งจะเป็นกำหนด " กาลมะเมียคาบเกี่ยวมะแม "  เท่านั้น ฉะนั้น เรื่องนี้จึงยังคงเป็นปริศนาความลับฟ้าเช่นกัน

อู้เอวี๋ยน  :  คืนนี้ศิษย์ได้รับประโยชน์มากมายเหลือเกิน เชื่อว่า หากผู้บำเพ็ญได้อ่านหนังสือเล่มนี้ก็จะไขข้อข้องใจได้ไม่น้อย ผู้ที่ถดถอยไปจากธรรมะก็จะฟื้นฟูความมุ่งมั่นในธรรมะได้ใหม่ ผู้ปกป้องจรรโลงธรรมะก็จะยิ่งเพิ่มความเชื่อมั่น อุทิศตนเพื่องานธรรมะยิ่งขึ้น

พระอาจารย์ ฯ  :  คืนนี้ ขอบพระคุณเทพกรทุกท่านที่ยอมเหน็ดเหนื่อยเพื่อธรรมจักรวาลกันไม่น้อย ติดที่เวลา จึงต้องขอลาเพียงนี้ พบกันใหม่ครั้งหน้า อู้เอวี๋ยนกราบลาเซียนผู้ปกครองทำการทุกพระองค์ เรากลับตำหนักพระกัน...ถึงตำหนักพระแล้ววิญญาณอู้เอวี๋ยนกลับเข้าร่างดังเดิม เรากลับคืน

  โลกอิน - หยาง    มืดสว่าง   ไม่ต่างกัน
ทุกชีวัน      เกิดดับ      กับเหตุผล
ยุติธรรม      คือนันย์ตา  ฟ้าเบื้องบน
แม้เส้นขน   ไม่เลยละ    ปละ ปล่อย ไป                                         
                                                                               จบเล่ม ที่ 1