นักธรรม
ห้องสมุด "นักธรรม" => หมวด : รวมเกร็ดธรรม, บทความธรรมะ => ข้อความที่เริ่มโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 16/04/2011, 19:32
-
พระโอวาทพระอาจารย์จี้กง
พวกเราศิษย์อนุตตรธรรมบำเพ็ญธรรมต้องบำเพ็ญเพียรใจ
ในการประกอบอนุตตรธรมกิจต้องพยายามจนสุดความสามารถ
พวกเราไม่เปรียบเทียบและวิจารณ์ผู้อื่น
พวกเราไม่แก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกับผู้อื่น
พวกเรายอมถูกปรักปรำเพื่อให้ทศทิศเกิดความกลมเกลียวสมานฉันท์
พวกเราคือสะพานที่เชื่อมต่อระหว่างทะเลทุกข์กับแดนอนุตตรภูมิ
แม้จะถูกผู้อื่นเหยียบย่ำและกล่าวให้ร้าย พวกเราก็ยังยอมทนและไม่ตอบโต้
พวกเราดำรงตนตามหลักครรลองครองธรรม
พวกเราสามารถพลิกแพลงตามสถานการณ์ได้ดั่งใจ
พวกเรามั่นคงในหลักสัจธรรม
การอุทิศเสียสละของพวกเราจะไม่สูญเปล่า
พวกเราจะไม่เกิดมาบนโลกมนุษย์โดยเปล่าประโยชน์
พวกเราจะไม่ปล่อยเวลาให้ล่วงเลยไปโดยเสียเปล่า
แม้นชีวิตเดียวของเราก็มีความเกี่ยวพันกับชีวิตของเวไนยสัตว์อีกจำนวนมาก
จึงควรเห็นคุณค่าของตนและไม่เคลือบแคลงสงสัย
เพื่อไม่เป็นอุปสรรคแก่ตนเอง กำหนดสัมมาวิถีสู่จุดหมายอย่างแน่วแน่
ให้มนุษย์ทั้งปวงได้ก้าวเดินไปอย่างมั่นคง
ให้มนุษย์ทั้งปวงได้รับประทีปแห่งความเมตตา
ให้มนุษย์ทั้งปวงได้อิ่มเอิบอยู่ภายใต้พระมหากรุณาธิคุณของฟ้าเบื้องบน
ให้บรรพชนเจ็ดชั้นและลูกหลานเก้าชั่วคนของมนุษย์ทั้งปวง
ได้รับบารมีแห่งแสงธรรมปรกแผ่ถ้วนทั่ว
-
"ถาม - ตอบ อนุตตรธรรม" เป็นหนังสือที่รวบรวมคำถามทั่ว ๆ ไป ซึ่งเกิดจากข้อกังขาของญาติธรรม ทั้งญาติธรรมใหม่ที่พึ่งก้าวเข้าสู่ประตูธรรม และญาติธรรมเก่าที่กำลังบำเพ็ญ ปฏิบัติธรรม ข้อสงสัยเหล่านี้ พระอาจารย์จี้กงซึ่งเปรียบเสมือนพระบิดาผู้มีคุณอนันต์ต่อศิษย์อนุตตรธรรม ได้ทรงตอบคำถามไขข้อกังขาด้วยพระองค์เอง ทั้งที่ตอบแบบตรงไปตรงมา และตอบแบบอุปมาอุปมัย
หนังสือเล่มนี้ยังให้ทัศนะเกี่ยวกับวิถีอนุตตรธรรม ในแง่ของการบำเพ็ญ และในการปฏิบัติงานธรรม อนึ่ง หนทางการบำเพ็ญปฏิบัติธรรมจำต้องมีพื้นฐานแห่งความเชื่อมั่นเป็นพลังศรัทธาผลักดันเพื่อบรรลุจุดหมาย และวิธีการเสริมสร้างศรัทธาความเชื่อมั่น ก็คือ "การขจัดข้อกังขา" นั่นเอง ดังพระพุทธจี้กงได้เมตตาว่า "เมื่อขจัดข้อกังขา ความเชื่อมั่นจึงบังเกิด"
หวังว่า หนังสือเล่มนี้จะเป็นประโยชน์แก่สาธุชนผู้บำเพ็ญทั้งในอาณาจักรธรรม และ นอกอาณาจักรธรรมไม่มากก็น้อย และหากการแปลพระวจนะ หรือการจักทำหนังสือมีข้อผิดพลาดใด ๆ ขอเบื้องบนได้โปรดเมตตาประทานอภัย ขอพระอาจารย์ทรงการุณย์เสริมปัญญาแก่ศิษย์โง่ด้วยเถิด
ด้วยจิตสำนึกคุณ
กลุ่มพัฒนาเพื่อฟื้นฟูธรรมญาณ
-
1. วิถีอนุตตรธรรม เป็นวิถีธรรมที่แท้จริง การดำเนินอนุตตรธรรมกิจก็ทรงมีพระกระแสรับสั่งโดยตรงจาก พระอนุตตรธรรมเจ้า แต่เหตุใดยังมีลัทธิต่าง ๆ มาก่อกวนอาณาจักรธรรม ?
@ พระพุทธจี้กงตอบ
ทั้งนี้เป็นเพราะพระประสงค์ของฟ้าเบื้องบน ถ้าไม่มีการทดสอบก็ไม่สามารถพิสูจน์ให้เห็นความมุ่งมั่นที่มีต่อวิถีธรรมได้ ดังที่กล่าวว่า : "อริยบุคคลจะอุบัติขึ้นเมื่อแผ่นดินวุ่นวาย ขุนนางที่ซื่อสัตย์ภักดีจะปรากฏเมื่อบ้านเมืองโกลาหล ผู้บำเพ็ญจริงและผู้เสแสร้งบำเพ็ญจะถูกแยกออก เมื่ออาณาจักรธรรมปั่นป่วน ด้วยเหตุนี้ ทั้งเทพเซียนและพุทธอริยเจ้าแต่อดีตกาลมา ล้วนสำเร็จธรรมท่ามกลางสถานการณ์เช่นนี้ทั้งนั้น
2. ความทุกข์ต่าง ๆ ที่ผู้บำเพ็ญธรรมได้รับในการบำเพ็ญปฏิบัติเป็นการทดสอบของฟ้าเบื้องบนทั้งสิ้น ใช่หรือไม่ ?
@ พระพุทธจี้กงตอบ
ผู้บำเพ็ญธรรมอาจเข้าใจว่าความทุกข์ต่าง ๆ ที่ได้รับในการบำเพ็ญปฏิบัติเป็นการทดสอบของฟ้าเบื้องบน ซึ่งอันที่จริงแล้วเป็นการบรรจบพบพานของต้นเหตุแห่งกรรมที่เคยปลูกสร้างมากับผลกรรมที่ตามตอบสนอง ส่วนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ มีเฉพาะหน้าที่ในการให้คะแนน อันจะเป็นเกณฑ์ในการลำดับอริยฐานะ ตามสภาพการณ์ที่ผู้บำเพ็ญได้ประสบ วิบากกรรมที่ผู้บำเพ็ญเคยสั่งสมมา ทั้งที่ติดหนี้คนอื่น และที่คนอื่นเป็นหนี้เรา ควรสะสางใหหมดสิ้นไป จึงเห็นได้ว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์ คือผู้ที่รู้จักอาศัยเหตุปัจจัยของการทดสอบที่เกิดขึ้น เนื่องจากการบรรจบพบพานแห่งต้นเหตุและผลกรรม ทำการชำระหนี้กรรมแล้วจึงสำเร็จธรรมเท่านั้นเอง
3. ดังที่ได้สดับมาเบื้องต้นว่า ผู้บำเพ็ญธรรมเข้าใจว่า การบรรจบพบพานของต้นเหตุและผลกรรมในการบำเพ็ญปฏิบัติเป็นการทดสอบ ส่วนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ มีเฉพาะหน้าที่ในการให้คะแนนตามสภาพการณ์ที่ผู้บำเพ็ญได้ประสบ จึงอยากทราบว่า การเผชิญกับความทุกข์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นอันเนื่องมาจากการบรรจบพบพานของต้นเหตุและผลกรรมนั้นจะได้รับบุญกุศลหรือไม่ ?
@ พระพุทธจี้กงตอบ
"ไหนเลยจะมีบุญกุศล" การที่ผู้บำเพ๊ญธรรมได้รับกับความทุกข์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นอันเนื่องมาจากการบรรจบพบพานของต้นเหตุและผลกรรมนั้น เป็นโอกาสที่เบื้องบนต้องการประจักษ์แจ้งในความมุ่งมั่นต่อวิถีธรรมของผู้บำเพ็ญเท่านั้น ครั้นผู้ที่ยังไม่กระจ่างแจ้งในวิถีธรรมได้รับความทุกข์ต่าง ๆ ในการบำเพ็ญปฏิบัติ ก็ย่อมโทษฟ้า และปรักปรำผู้อื่น แต่ทว่าผู้กระจ่างแจ้งในวิถีธรรม เมื่อได้รับความทุกข์ต่าง ๆ ในการบำเพ็ญปฏิบัติ ก็จะสำนึกเสียใจและตำหนิติเตียนแต่ตนเอง
เพราะฉะนั้น พื้นฐานในการให้คะแนน (เพื่อเป็นเกณฑ์ลำดับอริยฐานะ) ของสิ่งศักดิสิทธิ์ ก็ขึ้นอยู่กับความศรัทธาและความมุ่งมั่นที่ผู้บำเพ็ญแสดงให้เห็นต่อวิถีธรรมนั่นเอง
4. ผู้บำเพ็ญธรรมที่ตั้งปณิธานทานเจ มีบุญกุศลหรือไม่ ?
@ พระพุทธจี้กงตอบ
"ไร้ซึ่งบุญกุศล" เพราะการทานเจเป็นสิ่งที่มนุษย์พึงกระทำ แต่เดิมมนุษย์เป็นสัตว์ที่ไม่บริโภคเนื้อสัตว์เป็นอาหาร การทานอาหารเจจึงเป็นสิ่งที่ควรปฏิบัติ ไหนเลยจะมีบุญกุศล
-
5. เมื่อการทานอาหารเจไม่มีบุญกุศล แล้วเหตุใดผู้บำเพ็ญธรรมจึงต้องทานอาหารเจ ?
@ พระพุทธจี้กงตอบ
ดังที่กล่าวไปแล้วว่าการทานอาหารเจเป็นสิ่งที่มนุษย์พึงกระทำ เพราะเป็นการไม่ปลูกเหตุแห่งการทำลายชีวิตสรรพสัตว์ ผุ้บำเพ็ญจึงพึงละเว้นจากการปลูกเหตุแห่งหนี้กรรม ถ้ายังก่อเหตุแห่งหนี้กรรมด้วยการทำลายชีวิตสรรพสัตว์ต่อไปก็จะทำให้เจ้าหนี้นายเวรเกิดความอาฆาตแค้นมากยิ่งขึ้น จนในที่สุดทำให้ผู้บำเพ็ญธรรมเองไม่อาจหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดได้ หนี้กรรมเก่าในกาลก่อนยังไม่ทันได้ชำระสิ้น แต่กลับเพิ่มหนี้กรรมใหม่ในกาลนี้อีก อันเป็นต้นเหตุให้มีการเกิดและการตาย มีการตายและมีการเกิด มีการไปฆ่าเขาบ้างและมีการถูกเขาฆ่าบ้าง หมุนเวียนเป็นวัฏจักรไม่มีที่สิ้นสุด อนึ่ง ฟ้าเบื้องบนทรงไว้ซึ่งความเที่ยงธรรม เมื่อเรากินเนื้อเขา 1 ชั่ง ก็ต้องใช้เนื้อคืนเขา 16 ตำลึง เป็นแน่ เป็นไปไม่ได้ที่เนื้อ 1 /2 ชั่ง จะเท่ากับ 7.5 ตำลึง (ขาดหายไปครึ่งตำลึง)
6. เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว บุญกุศลจะได้มาจากไหน ?
@ พระพุทธจี้กงตอบ
แม้นคำว่า "บุญกุศล" ก็หามีไม่ เพราะการที่เวไนยบำเพ็ญธรรมและสร้างบุญกุศล โดยมุ่งหวังแต่จะรอรับผลบุญตอบสนอง ยึดติดในผลบุญจึงส่งผลให้พฤติกรมที่แสดงออกไม่ได้เกิดจากธรรมชาติของจิตเดิมแท้ หากเป็นเช่นนี้ก็เป็นเพียงการปลูกสร้างเนื้อนาบุญเพื่อยังผลให้ไปเกิดเป็นเทพยดาบนสวรรค์ชั้นเทวภูมิ หรือผู้มีลาภสักการะในมนุสภูมิเท่านั้น เพราะเป็นการกระทำเพื่อหวังผลบุญตอบแทน ผลบุญที่ได้รับจึงมีจำกัด เมื่อเสพบุญกรรมหมดสิ้นก็ต้องกลับลงมาเวียนว่ายต่อไป เปรียบได้ดั่งการยิงธนูขึ้นฟ้า พอแรงหนุนส่งหมดลูกธนูก็ตกลงมาฉันใดก็ฉันนั้น
คำว่า "บุญกุศล" เป็นเพียงศัพท์ที่บัญญัติขึ้น เพื่อสร้างพื้นฐานในการทำความเข้าใจ ซึ่งที่จริงแล้ว "บุญกุศล" เป็นสิ่งที่ไม่อาจเข้าใจได้โดยอาศัยลายลักษณ์์อักษรเพราะ "บุญกุศล"เป็นพฤติกรรมธรรมชาติที่แสดงออกจากธรรมญาณเดิมอันบริสุทธิ์ เป็นพฤติกรรมเดิมที่สอดคล้องกับหลักธรรมของฟ้าเบื้องบน "บุญกุศล" จะได้มา เมื่อกระทำอย่างไม่เสแสร้ง กระทำโดยไม่คำนึงถึงผลบุญที่จะได้รับ เดินตามมัชฌิมาปฏิปทา (ทางสายกลาง) อย่างสุขุมเยือกเย็น เช่นนี้จึงเป็น "บุญกุศล" ที่แท้จริง
ส่วนจิตใจที่คิดแต่จะรอรับผลบุญตอบสนอง ล้วนเป็นจิตที่เกิดจากความเพ้อฝันทั้งสิ้น เพราะความเพ้อฝันจึงทำให้โแมเดิมแห่งธรรมญาณที่บริสุทธิ์ไม่สามารถปรากฏออกมา เพราะเวไนย ฯ มีทิฐิ เห็นความแตกต่างกันระหว่าง อริยะกับปุถุชน จึงมีคำว่า "บุญกุศล" เกิดขึ้น เพราะฉะนั้น จิตใจที่ติดยึดในผลบุญ จึงเป็นเมล็ดพันธุ์แห่งการเวียนว่ายตายเกิดนั่นเอง
-
7. ขอกราบเรียนถามเกี่ยวกับสายทองในวิถีอนุตตรธรรม
@ พระพุทธจี้งกงตอบ
ตั้งแต่โบราณกาลมา วิถีอนุตตรธรรมมีพงศาธรรม (เชื้อสายแห่งธรรม) ที่สืบทอดต่อกันมาระหว่างบรรพจารย์สู่อีกบรรพจารย์อย่างไม่ขาดสาย ผู้มีธรรมย่อมเข้าถึง จิตใครว่างก็ได้รับไป ผู้ได้รับ หมายถึงผู้ที่ได้รับเบิกจุดญาณทวารจากรพะวิสุทธิอาจารย์ กำราบจิตที่ฟุ้งซ่านให้หมดสิ้นไป สำรวมปฏิบัติตามคุณธรรมแห่งธรรมญาณเดิมที่ฟ้่เบื้องบนประทานให้สร้างคุณประโยชน์แก่มนุษย์ชาติ และประกาศสัจธรรมแทนฟ้าเบื้องบน หากเป็นเช่นนี้ สายทองก็เชื่อมโยงกันได้ แต่ถ้าไม่ชำระกิเลสภายในให้บริสุทธิ์ กระทำการโดยเห็นแก่ตัว อย่างนี้แม้จะอยู่ร่วมกับพระวิสุทธิอาจารย์ สายทองก็เชื่อมโยงกันมิได้ ธาตุทอง เป็นสัญลักษณ์ของทิศตะวันตก เป็นโลหะธาตุชนิดเดียวที่มีสีขาวในบรรดาโลหะธาตุทั้ง 5 สีขาวบ่งบอกถึงความสะอาด และความบริสุทธิ์นั่นก็หมายถึงการกระจ่างแจ้งในความบริสุทธิ์ของสภาวะเดิมแห่งธรรมญาณ หลังจากที่เราได้รับวิถีธรรม ได้กระจ่างแจ้งในธรรมญาณเดิมแห่งตนแล้ว ลำดับต่อไปคือการเข้าถึงมวลเวไนย (ฉุดช่วยให้รับธรรม) ตลอดจนการบรรลุถึงที่สุดของความดี นั่นก็คือพุทธภูมิ วิธีการบำเพ็ญแบบรู้แจ้งโดยฉับพลันสำคัญที่การบรรลุถึง "สูญญภาวะ" ซึ่งหาใช่พิธีการที่มีรูปลักษณ์หรือไม่ สูญญภาวะคือ มรรคาแห่งการหลุดพ้น ส่วนรูปลักษณ์ทั้งปวง คือเหตุปัจจัยแห่งเนื้อนาบุญ
เมื่อเข้าใจในหลักธรรมนี้แล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องถามเกี่ยวกับสายทอง ขอเพียงระบบขั้นตอนการดำเนินงานธรรม ไม่สับสนวุ่นวาย สายทองก็ยังเชื่อมต่อกัน เหตุใดกฏพุทธระเบียบ 15 ข้อ จึงเป็นกฏพุทธระเบียบที่บัญญัติขึ้นเฉพาะกาล สิ่งเหล่านี้ควรนำไปพินิจพิจารณา เพราะการพินิจพิจารณาเป็นการ "สำนึกรู้"
"ผู้สำนึกรู้คือพุทธะ ผู้ที่ไม่พินิจพิจารณา ไม่สำนึกรู้คือเวไนย" ความแตกต่างระหว่างพุทธะกับเวไนย ก็อยู่ที่สภาพจิตใจเท่านั้นเอง
8. ผู้ที่ตั้งปณิธานทานเจแล้วผิดต่อปณิธาน ไม่ทราบว่าเบื้องบนจะพิจารณาโทษสถานใด ?
@ พระพุทธจี้กงตอบ
ฟ้าและดินคงไว้ซึ่งหลักสัจธรรม ตัดสินบาปบุญคุณโทษอย่างเที่ยงธรรม เมื่อตั้งปณิธานทานเจแล้วผิดต่อปณิธาน นอกจากความดีความชอบต่าง ๆ ที่เคยสร้างมาเท่ากับสูญเปล่าแล้ว ยังเป็นการทำลายชื่อเสียงของอาณาจักรธรรมอีก โทษที่ได้รับคือตกนรกอย่างไรก็ตาม จะมีการพิจารณาโทษตามสถานหนักเบาจากสาเหตุที่ผิดปณิธาน
-
9. ผู้บำเพ็ญที่ไปกราบไหว้ตามวัดวาอารามต่าง ๆ หรือ ไหว้เจ้าที่เจ้าทาง มึความเกี่ยวพันกับวิถีอนุตตรธรรมอย่าางไร ?
@ พระพุทธจี้กงตอบ
การบำเพ็ญธรรมเป็นการบำเพ็ญจิต ปุถุชนที่ยังไม่เข้าใจหลักธรรมอย่างถ่องแท้ย่อมหลงไปตามสภาพแวดล้อม น่าเป็นห่วงยิ่งนัก การบำเพ็ญธรรม เป็นการบำเพ็ญจิตหล่อเลี้ยงธรรมญาณ กำจัดความคิดฟุ้งซ่าน ส่วนการกราบไหว้ เป็นการแสดงความเคารพ และรำลึกคุณต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ในการบำเพ็ญธรรมนั้น ศิษย์อนุตตรธรรมควรปฏิบัติตามพุทธระเบียบอย่างเคร่งครัด อย่าเหยียบเรือสองแคม หรือกราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์อย่างงมงาย เพราะฉะนั้น การบำเพ็ญคือการบำเพ็ญ การกราบไหว้ก็คือการกราบไหว้ หากความศรัทธาในวิถีธรรมไม่เปลี่ยนแปลง การกราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์เพราะความเคารพนับถือจะไม่ได้เชียวหรือ !
10. เกี่ยวกับการทดสอบด้านทรัพย์สินเงินทอง จะอธิบายอย่างไร ?
@ พระพุทธจี้กงตอบ
การทดสอบด้านทรัพย์สินเงินทอง แบ่งออกเป็นการทดสอบครั้งใหญ่ และการทอสอบครั้งปลีกย่อย เกี่ยวกับเงินทำบุญที่ได้รับจากการขอรับวิถีธรรมของเวไนย ฯ ว่าซื่อตรงหรือไม่นั้น เป็นการทอสอบครั้งปลีกย่อย ส่วนทรัพย์สินของอาณาจักรธรรมเป็นการทดสอบครั้งใหญ่ เมื่อธรรมกิจได้ขยายกว้างไป ทรัพย์สินของอาณาจักรธรรมก็มีมากขึ้น ผู้มีความโลภย่อมคิดอยากได้มาครอบครอง จึงเกิดการแก่งแย่งอำนาจและแสวงหาผลประโยชน์ซึ่งกันและกัน ฉะนั้น การช่วงชิงทรัพย์สินของอาณาจักรธรรมจึงจัดเป็นการทดสอบด้านทรัพย์สินครั้งใหญ่
11. ศรัทธาแบบมิจฉาเป็นอย่างไร ?
@ พระพุทธจี้กงตอบ
คำว่า "มิจฉา" นั้น ตรงกันข้ามกับคำว่า "สัมมา" จิตศรัทธาทั้งมวลที่ไม่ได้บังเกิดจากจิตเดิมแท้อันเที่ยงตรงล้วนเป็นจิตศรัทธาแบบมิจฉา อาทิ จิตใจที่ฟุ้งซ่าานก็ดี ความคิดเพ้อฝันก็ดี ที่อยากเห็นปาติหาริย์ก็ดี และจิตใจที่ฝังลึกอยู่กับการหลุดพ้นจากการเกิดการตายเฉพาะตนก็ดี ล้วนเป็นจิตศรัทธาแบบมิจฉาที่โฉมหน้าเดิมแท้ยังไม่ปรากฏทั้งนั้น
12. ศรัทธาแบบโง่เขลาเป็นอย่างไร ?
@ พระพุทธจี้กงตอบ
ผู้ "โง่เขลา" คือผู้ที่ "ไร้ปัญญา" ซึ่งรู้แต่เพียงการกราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ไม่คิดแสวงหาสัจธรรม และก็ไม่กระจ่างในหลักธรรม อีกทั้งยังไม่รู้ความหมายที่แท้จริงของการบำเพ็ญธรรม หลับหูหลับตาคล้อยตามผู้อื่น เป็นความเลื่อมใสที่จัดอยู่ในยานระดับต่ำ
13 . ศรัทธาแบบฉลาดแกมโกง เป็นอย่างไร ?
@ พระพุทธจี้กงตอบ
ผู้ที่ฉลาดแกมโกง คือผู้ที่อาศัยกลอุบายและเล่ห์เหลี่ยมต่าง ๆ เอารัดเอาเปรียบผู้อื่น ไม่แสดงออกซึ่งปัญญเดิมอันประเสริฐ อาศัยเพียงความฉลาดเฉลียวเฉพาะตน สร้างบุญบังหน้ากระทำได้แม้กระทั่งยืมดอกไม้ของผู้อื่นมาบูชาพระ จึงทำให้ธรรมญาณเดิมแท้ไม่อาจปรากฏได้
-
14. ศรัทธาแบบเสแสร้งเป็นอย่างไร ?
@ พระพุทธจี้กงตอบ
คำว่า "เสแสร้ง" คือ "การแกล้งทำ" ความศรัทธาทั้ง 4 ระดับ ที่กล่าวมาข้างต้นล้วนเป็นพฤติกรรมที่สะท้อนจากจิตอันจอมปลอม เมื่อไม่ได้เกิดจากพุทธจิต จึงเป็นจิตที่ไม่บริสุทธิ์ทั้งสิ้น การเสแสร้ง คือ ความไม่จริงใจ เมื่อไม่ใช่จิตแรกแล้ว ก้ย่อมเป็นจิตที่ผ่านการปรุงแต่ง เป็นจิตที่หวังจะอาศัยบารมีธรรมของสิ่งศักดิ์สิทธิ์เพื่อประโยชน์ส่วนตัว ใช้ความศรัทธาต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาบังหน้า และเล่นละครเหมือนดั่งจริงเพื่อหลอกลวงผู้อื่น เพราะฉะนั้นความศรัทธาแบบเสแสร้ง จึงจัดเป็นความศรัทธา ที่มีระดับต่ำที่สุดใน มหาศรัทธาทั้ง 8
15. ศรัทธาแบบกระจ่างแจ้ง
@ พระพุทธจี้กงตอบ
คำว่า "กระจ่างแจ้ง" คือ การรู้แจ้งในหลักธรรม ไม่มีจิตใจที่เป็นมิจฉา โง่เขลา ฉลาดเแกมโกง และ เสแสร้ง อย่างไรก็ตามแม้ความศรัทธาแบบกระจ่างแจ้งจะยังไม่ถึงจุดสุดยอดของความดี แต่อย่างน้อยก็เป็นไปตามหลักทำนองคลองธรรม มีความบริสุทธิ์ผุดผ่อง มีหลักการที่ชัดแจ้ง รู้จักรักษาระเบียบวินัย อยู่ในหน้าที่ของตนโดยไม่ออกนอกลู่นอกทาง ไม่ข่มเหงผู้อื่น มีมโนธรรมสำนึกและยึดมั่นตามหลักสัจธรรม เช่นนี้เรียกว่า ความศรัทธาแบบกระจ่างแจ้ง
16. ศรัทธาแบบบรรลุถึง คืออะไร ?
@ พระพุทธจี้กงตอบ
คำว่า "บรรลุถึง" หมายถึง การเข้าถึงหลักของความเป็นมนุษย์ และเป็นการเข้าถึงโดยอาศัยจิต ความศรัทธาแบบกระจ่างแจ้งที่กล่าวมาแล้วนั้นเป็นการกระจ่างแจ้งในธรรมญาณแห่งตน ส่วนศรัทธาแบบบรรลุถึง เป็นการปฏิบัติตนเพื่อเปลี่ยนแปลงเป็นคนใหม่ ไม่ผิดต่อเพื่อนมนุษย์ ไม่ผิดต่อหน้าที่การงาน ไม่ผิดต่อคุณธรรมของฟ้าดิน และไม่ผิดต่อสรรพสิ่ง มีเพียงจิตที่คิดจะช่วยผู้อื่น เสียสละตนเองเพื่อมนูษยชาติ
17. มหาศรัทธา คืออะไร ?
@ พระพุทธจี้กงตอบ
คำว่า "มหา" เป็นคำตรงกันข้ามกับคำว่า "หีน" (ฮีนะ) ซึ่งเป็นความศรัทธาที่พัฒนาสูงขึ้น เหนือกว่าระดับความศรัทธาแบบกระจ่างแจ้ง มีความกลมเกลียวกันเพื่อนรอบด้านและความศรัทธาระดับนี้ ยังมีความกลมเกลียวสมานฉันท์กับทุกชนชั้น ดังที่กล่าวว่า "กล่าววาจาออกไปทั่วอาณาจักรโดยไม่ก่อวจีกรรม ประพฤติ ปฏิบัติทั่วปฐพี โดยไม่ถูกปรักปรำ ฟ้าดินและสรรพสิ่งยังสามารถสัมผัสในบารมีธรรม เงยหน้าไม่อายฟ้า ก้มหน้าไม่อายดิน" เช่นนี้จึงเรียกว่า "มหาศรัทธา"
-
18. สุดยอดแห่งความศรัทธาคือ อะไร ?
@ พระพุทธจี้กงตอบ
คำว่า "สุดยอด" เป็นภาวะที่สูงสุด ความศรัทธาระดับนี้ สามารถร่วมคุณธรรมกับฟ้าดิน สามารถร่วมแสงสว่างกับตะวันเดือน สามารถร่วมเกณฑ์การผันแปรของฤดูกาลทั้ง 4 และยังสามารถร่วมความดีร้ายกับเทพ ผี นอกจากนี้แล้ว สุดยอดแห่งความศรัทธายังมีความกลมเกลียวสมานฉันท์ในทุก ๆ เรื่อง และดำรงอยู่เหนือกาลเวลาทั้งในอดีตและในปัจจุบัน ดังเช่น คัมภีร์มหาบุรุษ ที่กล่าวว่า "ให้ยุติที่ที่สุดแห่งความดี" หากไม่กระทำเช่นนี้ ก้จะบังเกิดรัศมีธรรมที่เปล่งประกายเจิดจ้า ดังที่พระพุทธองค์ตรัสว่า "อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ" อันเป็นพุทธปฏิปทาอันประเสริฐสุด สุดยอดแห่งความศรัทธานี้ ยังมีส่วนร่วมในการอุ้มชู และพัฒนาสรรพสิ่งภายใต้ฟ้าดิน เป็นการพรั่งพรูออกมาซึ่งสัญชาดญาณเดิมของมนุษย์ที่เรืองรองรุ่งโรจน์ที่สุด สัญชาตญาณเดิมนี้ ได้ผสมผสานกลมกลืนอยู่ในอากาศธาตุทั่วจักรวาล จึงกล่าวได้ว่า ผู้บรรลุสภาวะนี้ ภายในไร้ซึ่งตนเองที่จะฉุดช่วย ภานนอกก็ไร้ซึ่งผู้คนที่ต้องฉุดช่วย พุทธอริยเจ้าเรียกสภาวะนี้ว่า "สภาวะที่ฟ้าดิน และสรรพสิ่งได้ผสานเป็นหนึ่งเดียว"
-
19. การทานเจมีประโยชน์ต่อการบำเพ็ญธรรมอย่างไร ?
@ พระพุทธจี้กงตอบ
ประโยชน์ของการทานเจมีประโยชน์มากมายเหลือคณานับ แต่จะกล่าวอย่างง่าย ๆ อาทิ
1. การทานเจทำให้ไม่ค่อยมีโรคภัยไข้เจ็บมาคุกคาม และทำให้อายุยืนยาว ด้วยเหตุที่มนุษย์เป็นสัตว์ที่บริโภคพืชพันธ์ธัญญาหาร ร่างกายจึงเหมาะสำหรับทานเจ สังเกตุได้จากโครงสร้างฟันของมนุษย์ที่มีลักษณะราบเรียบ จัดเรียงอย่างมีระเบียบเหมือนกับลักษณะโครงสร้างฟันของวัวและแพะซึ่งจัดเป็นสัตว์บริโภคพืขผักเป็นอาหาร ส่วนแมวและสุนัขนั้น มีฟันที่แหลมคม จัดเป็นสัตว์ที่บริโภคเนื้อสัตว์เป็นอาหหาร ฉะนั้น เมื่อพิจารณาตามความเหมาะสมของสภาพร่างกาย ประกอบกับโครงสร้างของฟันของมนุษย์แล้ว ก็รู้ได้ว่ามนุษย์ควรรับประทานอาหารประเภทใด เฉกเช่นเดียวกับเลือกใช้น้ำมันรถยนต์ทั่ว ๆ ไป ที่ต้องใช้ให้เหมาะกับสภาพของรถยนต์ที่กำหนดไว้หากรถยนต์ชนิดนี้ กำหนดให้ใช้น้ำมันซุปเปอร์ก็ควรเติมน้ำมันซุปเปอร์ รถยนต์ชนิดนั้นกำหนดให้ใช้น้ำมันดีเชลก็ควรเติมน้ำมันดีเชล การใช้น้ำมันให้ถูกต้องและเหมาะสมตามสภาพของรถ จะทำให้ยืดอายุการใช้งานของรถยนต์ออกไปอีก
สรุปแล้ว การใช้ชนิดน้ำมันให้ถูกต้องตามสภาพของรถยนต์ มีอิทธิพลต่ออายุการใช้งานของรถยนต์ฉันใด การบริโภคประเภทอาหารให้ถูกต้องก็มีอิทธิพลต่ออายุขัยของมนุษย์ฉันนั้น
2. การทานเจทำให้ไม่ก่อเหตุต้นผลกรรมจากการทำลายชีวิตสัตว์ โลกมนุษย์ คือโลกที่ประกอบด้วยเบญจธาตุ (ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุทอง ธาตุไม้ ) ที่อยู่ภายใต้วัฏจักรแห่งการตอบสนองของเหตุต้นผลกรรม ปลูกเหตุใดไว้ วัฏจักรของเบญจธาตุก็ผลักดันให้ได้รับในผลนั้นหรือที่เรียกว่าผลแห่งกรรม ซึ่งเป็นกฏแห่งจักรวาล
3. สามารถเสริมสร้างไอแห่งสภาวะหยัง เพราะกายธาตุของสัตว์เดรัจฉานมีสภาวะอิน เมื่อกินเข้าไปก็จะเป็นการสั่งสมไอที่เป็นสภาวะอินในร่างกายมนุษย์ แต่ทว่า อนุตตรธรรมซึ่งเป็นวิสุทธิภูมิ (แดนบริสุทธิ์) ที่มีแต่ไอแห่งสภาวะหยัง มนุษย์ที่มีจิตญาณห่อหุ้มไปด้วยสภาวะอินจึงเข้าสู่แดนอนุตตรภูมิไม่ได้
4. ช่วยเสริมสร้างสติปัญญาในการทำงาน การกินเนื้อสัตว์ที่มีสภาวะอิน จะทำให้มีอุปนิสัยที่รุนแรง และมีอารมณ์ฉุนเฉียวเร่าร้อน ส่วนอาหารเจที่มีสภาวะหยังจะช่วยเสริมสร้างบุคคลิกภาพที่อ่อนโยน มีสัมมาคารวะ และรู้จักอ่อนน้อมถ่อมตน