นักธรรม

ห้องสมุด "นักธรรม" => หนังสือ => ข้อความที่เริ่มโดย: tik ที่ 5/04/2554, 20:23

หัวข้อ: ลังกาวตารสูตร
เริ่มหัวข้อโดย: tik ที่ 5/04/2554, 20:23
     
ชื่อหนังสือ  ลังกาวตารสูตร
หนังสือร้องทุกข์ของสัตว์เดรัจฉาน
.
ISBN :  *
ผู้เขียน :  *
ผู้แปล :  ท่านพุทธทาสภิกขุ
ขนาดรูปเล่ม :  * มม.
จำนวน :  96 หน้า
ชนิดกระดาษ :  ปก 4 สี  เนื้อในกระดาษถนอมสายตา
สำนักพิมพ์ :  บุญศิริการพิมพ์ 02-561-1379, 02-9416650-1
เดือน/ปีที่พิมพ์ :  พิมพ์ครั้งที่ *
ราคา :  XXX บาท
อ่านหนังสือไฟล์ PDF :  คลิ๊กที่นี่ (http://shopping.mindcyber.com/contentlunggka.pdf)
สนใจติดต่อ :  mindcyber.com (http://shopping.mindcyber.com/products/%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B8%95%E0%B8%A3-%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B8%E0%B8%81%E0%B8%82%E0%B9%8C%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%A7%E0%B9%8C%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%88%E0%B8%89%E0%B8%B2%E0%B8%99.html)

ขอขอบคุณข้อมูลจาก : mindcyber.com


หัวข้อ: Re: ลังกาวตารสูตร
เริ่มหัวข้อโดย: tik ที่ 5/04/2554, 20:35
คำนำ

          สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงเปี่ยมล้นไปด้วยพระมหาเมตตากรุณาธิคุณ ต่อเวไนยสัตว์ทั่วไป แต่ละชีวิตมีค่ายิ่งนัก สัตว์โลก ทั้งหลายมีความรักตัวกลัวตาย เกลียดความทุกข์ รักความสุข ไม่ยอมให้ผู้อื่นใดมารังแกข่มเหง ถ้าแม้นว่าผู้อื่นใดมารังแกข่มเหง มันก็จะต่อสู้อย่างสุดความสามารถทีเดียว อันความสำนึกเช่นนี้นั้นอยู่ในสำนึกของสามัญสัตว์ทั่วไป ดังนั้น พระพุทธองค์จึงได้ทรงบัญญัติสิกขาข้อปาณาไว้ เพื่อคุ้มครองความสวัสดิภาพแห่งชีวิตทั้งมวล จะด้วยตนเองฆ่าก็ดี จะด้วยเสี้ยมสอนให้ผู้อื่นฆ่าก็ดี จะด้วยเห็นดีเห็นชอบในการฆ่าก็ดี ทั้งสามข้อนี้เป็นการกระทำที่ละเมิดผิดต่อพุทธสิกขาบัญญัติ ฉะนั้น ท่านผู้เจริญทั้งหลายควรละเว้นพฤติกรรมเหล่านี้เสียหวังว่าหนังสือเล่มนี้ จะมีส่วนช่วยเปิดความเมตตาที่ปิดตายมานาน หากท่านไม่เจริญเมตตาจิต ไม่มีความรู้สึกเห็นอกเห็นใจ แล้วจะเรียกร้องขอความเห็นใจจากใครได้

โครงการหนังสือธรรมะแจกฟรี
เดือน สิงหาคม 2552
หัวข้อ: Re: ลังกาวตารสูตร
เริ่มหัวข้อโดย: tik ที่ 5/04/2554, 20:36
สารบัญ

ลังกาวตารสูตร ท่านพุทธทาสภิกขุ 4
ข้อคิดพิจารณาธรรม ท่านพุทธทาสภิกขุ 15
ความเจ็บปวดของสัตว์ โดย ลี่อี้เจ๋ง 25
หนังสือร้องทุกข์ของสัตว์เดรัจฉาน 61
สารจากยมบาล 70
ภาพแห่งความเมตตา 74
บทกลอนเตือนให้กินเจ 95
คำเตือนจากพระอินทร์ 96
รายนามผู้ร่วมบริจาคพิมพ์ 97
หัวข้อ: Re: ลังกาวตารสูตร
เริ่มหัวข้อโดย: tik ที่ 5/04/2554, 20:39
ลังกาวตารสูตร
แปลโดย “ท่านพุทธทาสภิกขุ”

          พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสพระสูตรนี้ไว้ที่เกาะลังกาเพื่อที่จะโปรดคน ให้ได้สติสำนึกรู้ถึงเวรภัยแห่งการฆ่าฟัน และเบียดเบียนชีวิตเลือดเนื้อซึ่งกันและกันท่านอริยะครูหลาย ๆ ยุค ท่านกล่าวว่าถ้าใครอ่านพระสูตรนี้ครบ ๑๐ จบ แล้วจิตใจไม่เศร้าสลด ยังแข็งกระด้างอยู่ ใจยังไม่อ่อนลงแล้วบุคคลนั้น ชาติหน้าจะมีหวังที่จะเกิดเป็นมนุษย์อีกหรือ?

          กรรม ผูกมัดกายเนื้อดึงดูดวิญญาณธรรมชาติแห่งจิตหรือกรรมร่วมบังคับตัวไว้แล้วลังกาวตารสูตร เป็นพระคัมภีร์หลัก (Text)ของพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน เป็นหนึ่งในเก้าคัมภีร์ ซึ่งเป็นคัมภีร์สำคัญที่เรียกว่า “สูตร” สูตรหนึ่งนั้นมิใช่สั้น ๆ เช่นที่เราเข้าใจกัน แต่เป็นหนังสือเล่มขนาดใหญ่หรือคัมภีร์หนึ่งนั่นเอง ลังกาวตารสูตรพิมพ์ขึ้นเป็นภาษาสันสกฤต เมื่อ ค.ศ.๑๗๒๒ โดยท่าน Bunyin Nangio. M.A. (oxon) D.Litt. Kvoto. สูตรนี้แปลเป็นภาษาจีนครั้งแรก เมื่อ
ค.ศ. ๔๓๓ โดยท่านคุณภัทรแห่งอินเดีย ครั้งที่สองเมื่อ ค.ศ. ๕๑๓ โดยท่านโพธิรุจิแห่งอินเดียและครั้งที่สามเมื่อ ค.ศ. ๗๐๐ โดยท่านศึกษานันทะแห่งอินเดียเช่นกัน เป็นสูตรที่ว่าด้วยศึกษาด้วยศีลธรรมล้วน ๆ ภาคที่แปดแห่งลังกาวตารสูตรนี้ กล่าวถึงเรื่องการกินเนื้อสัตว์โดยเฉพาะ เรียกว่า ภาคมางสภักษนปริวรรตจากข้อความในภาคนี้ ย่อมเป็นการพิสูจน์ไว้อย่างเต็มที่ว่า สาวกในพระพุทธศาสนาจะเป็นบรรพชิตหรือฆราวาสก็ตาม จะไม่รับประทานเนื้อปลาหรือเนื้อสัตว์ ชนิดใดชนิดหนึ่งเลยต่อไปนี้เป็นข้อความบางตอน ซึ่งตัดตอนมาจากข้อความในภาคนั้น ๆ โดยเห็นว่าพวกเราแม้เป็นฝ่ายเถรวาท (หินยาน) ก็ควรได้อ่านฟังกันไว้บ้างเป็นการประกอบการศึกษาเรื่องนี้ ด้วยใจอันเป็นอิสระ
หัวข้อ: ลังกาวตารสูตร : พระพุทธเจ้าตรัสไว้เพิ่อห้ามกินเนื้อสัตว์
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 5/08/2554, 00:10
                     ลังกาวตารสูตร  :  พระพุทธเจ้าตรัสไว้เพิ่อห้ามกินเนื้อสัตว์

             ข้อความในพระสูตรนั้นมีดังนี้  :

        พระตถาคตเจ้า ผู้ทรงอรหันต์ได้ตรัสรู้อย่างดีถ้วนแล้ว และได้ตรัสความเป็นกุศลหรืออกุศลแห่งการบริโภคเนื้อสัตว์แก่เรา เพื่อว่าเราและสาวกอื่น ๆ ในพระพุทธศาสนาทั้งในปัจจุบันและอนาคตจะได้ประกาศสัจธรรมอันนี้แก่เขาเหล่านั้นผู้บริโภคเนื้อสัตว์ เพื่อเป็นการทมำลายความอยากในเนื้อสัตว์ของเขาเหล่านั้นเสีย

        พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสว่า  :  โอ มหาบัณฑิต !  ด้วยน้ำหนักแห่งเหตุผลอันมากมายเหลือจะประมาณ บ่งแสดงว่าเนื้อสัตว์ทุกชนิดเป็นสิ่งที่ควรปฏิเสธ โดยสาวกแห่งพระพุทธศาสนา ผู้มีใจเปี่ยมด้วยความกรุณาสำหรับเขาเหล่านั้น เราจักกล่าวแต่โดยย่อ ๆ ดังนี้  โอ มหาบัณฑิต ! ในวัฏสงสารอันไม่มีใครทราบที่สุดในเบื้องต้นนี้ สัตว์ผู้มีชีพได้พากันท่องเที่ยวไปในการเวียนว่ายตายเกิด  ไม่มีสัตว์แม้แต่ตัวเดียวที่บางสมัยไม่เคยเป็นแม่ พ่อ พี่น้องชาย พี่น้องหญิง  ลูกชาย  ลูกหญิงหรือเครือญาติอย่างอื่น ๆ แก่กัน สัตว์ตัวเดียวกันย่อมถือปฏิสนธิในภพต่าง ๆ เป็นกวางหรือสัตว์สองเท้า สัตว์สี่เท้าอื่น ๆ หรือเป็นนก ฯลฯ ซึ่งยังนับได้ว่าเป็นเครือญาติของเราโดยตรง สาวกแห่งพระพุทธศาสนา จะทำลงไปได้อย่างไรหนอ จัดเป็นผู้สำเร็จแล้วหรือยัง ? เป็นสาวกธรรมดาอยู่ก็ตาม ผุ้เห็นอยู่ว่าเป็นสัตว์เหล่านี้ทั้งหมดเป็นภราดร (พี่ชาย น้องชาย) ของตนแล้ว จะเชือดเนื้อเถือหนังของมันอีกหรือ ?  โอ มหาบัณฑิต !  เนื้อสุนัข เนื้อลา อูฐ ม้า โค และเนื้อมนุษย์ ฯลฯ เหล่านี้เป็นเนื้อที่ผู้คนไม่รับประทาน แม้กระทั่งเนื้อของสัตว์เหล่านี้ถูกนำมาปลอมขาย ในนามของเนื้อแกะ ฯลฯ เพราะเห็นแก่เงิน ด้วยเหตุนี้เนื้อสัตว์จึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรกินโดยสาวกแห่งพระพุทธศาสนา  โอ มหาบัณฑิต ! เพราะว่าเนื้อย่อมเกิดมาจากเลือดและน้ำอสุจิ เพราะฉะนั้นมันจึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรบริโภค สำหรับสาวกแห่งพระพุทธศาสนา ผู้ประสงค์ต่อธรรมอันบริสุทธิ์ และเป็นการสร้างความหวาดกลัวให้เกิดขึ้นในระหว่างกันและกัน  โอ มหาบัณฑิต ! เพราะฉะนั้น เนื้อจึงเป็นของที่ไม่ควรบริโภค  โดยบรรพชิตแห่งพระพุทธศาสนา ผู้ประสงค์เพื่อนมิตรภาพในสัตว์ด้วยกันถ้วนหน้า ตัวอย่างอันประจักษ์ เช่น เมื่อสัตว์ได้เห็นนายพรานป่า ชาวประมงหรือนักกินเนื้ออื่น ๆ เดินมาแม้ในระยะอันไกล สัตว์ทั้งหลายก็สะดุ้งกลัวเสียแล้ว บางครั้ง สัตว์บางชนิดก็ขาดใจตาย เพราะความกลัว เนื่องจากมันรู้ดีว่าเขาจะฆ่ามัน ทำนองเดียวกันกับสัตว์ตัวน้อยอื่น ๆ ในท้องฟ้า บนบกหรือในน้ำก็ตาม เมื่อได้เห็นนักกินเนื้อแต่ที่ไกล หรือได้กลิ่นด้วยจมูกอันไวของมันก็จะพากันวิ่งหนีไปไกล พร้อมกับความรู้สึกอยู่ในใจว่า เขาเหล่านั้นเป็นผี ยักษ์ อสูรกาย ( คือสัตว์ที่เกิดในอบายภูมิพวกหนึ่ง คล้ายเปรต ) ผู้ล้างผลาญนั่นเป็นเพราะ ความกลัวต่อความตายของมัน  เนื้อ เป็นสิ่งที่ควรกินสำหรับผู้ใจดำอำมหิต เป็นสิ่งที่มีกลิ่นอันน่ารังเกียจ เป็นต้นเหตุแห่งความเสื่อมเสีย และเป็นสิ่งที่ถูกห้ามกินโดยสัตบุรุษ โอ มหาบัณฑิต !  เนื้อนี้เป็นของไม่ควรบริโภคโดยพุทธสาวก  โอ มหาบัณฑิต ! สัตบุรุษย่อมบริโภคแต่อาหารที่สมควรแด่ท่านผู้บริสุทธิ์ ไม่ยอมบริโภคเนื้อและเลือด เพราะฉะนั้น... ควรที่สาวกแห่งพระพุทธศาสนาจะต้องไม่บริโภคเนื้อสัตว์เลย
หัวข้อ: ลังกาวตารสูตร : พระพุทธเจ้าตรัสไว้เพิ่อห้ามกินเนื้อสัตว์
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 5/08/2554, 00:55
                    ลังกาวตารสูตร  :  พระพุทธเจ้าตรัสไว้เพิ่อห้ามกินเนื้อสัตว์

             ข้อความในพระสูตรนั้นมีดังนี้  :

        พระพุทธเจ้า ผู้ซึ่งเยือกเย็นไปด้วยพระมหากรุณา มีพระทัยเปี่ยมล้นไปด้วยความเป็นที่พึ่ง ที่ป้องกันแก่ดวงใจของปวงสัตว์น้อยใหญ่และมีพระสัมปชัญญะ(ความรู้ตัวอยู่เสมอ ความไม่เผลอตัว) สมบูรณ์ พอที่จะไม่ปล่อยให้เป็นโอกาสสำหรับความเสื่อมเสียระบาดขึ้นได้เลยนั้น ย่อมจะทรงบัญญัติเนื้อสัตว์ว่าเป็นสิ่งไม่ควรบริโภค  โอ มหาบัณฑิต ! ในโลกนี้มีคนอันมากได้กล่าวคำเท็จเทียมต่อพระพุทธดำรัส ให้ผิดไปจากความจริง เขากล่าวกันว่าบรรดาผู้ซึ่งคัดค้านอาหารอันสมควรแด่ท่านผู้บริสุทธิ์ แห่งสมัยบรรพการนั้น ก็กินอาหารเหมือนนักกินเนื้อเช่นนี้แล้ว พวกเขาย่อมเที่ยวสร้างความทุกข์ความเจ็บปวดให้แก่สัตว์น้อยใหญ่ ที่มีชีวิตอยู่ในอากาศ บนบก และในน้ำ  พวกเขารบกวนรังควานมันอยู่เสมอ สมณภาพ (คือภาวะผู้สงบกิเลสแล้ว) ของเขาถูกทำลายเสียย่อยยับแล้ว พราหมณ์ภาพของเขาถูกทำให้เศร้าหมองเสียแล้ว เขามิได้ประกอบด้วยศรัทธา และสมาจาร ( คือ ความประพฤติที่ดี ธรรมเนียม ประเพณี ) คนชนิดนี้แหละที่กล่าวคำเท็จเทียมมากมายหลายชนิดแก่พระพุทธวจนะ  โอ มหาบัณฑิต ! มีกลิ่นที่น่ารังเกียจ ไม่น่าบริโภคอยู่ในเนื้อสัตวืเช่นเดียวกัน กับกลิ่นแห่งศพ แม้เหตุผลเพียงเท่านี้ เนื้อสัตว์ก็เป็นสิ่งของไม่ควรบริโภค สำหรับพุทธศาสนิกชนอยู่แล้ว ถ้าหากว่าศพถูกเผา และเนื้อสัตว์อย่างใดอย่างหนึ่งถูกเผา มันก็จะมีกลิ่นอันน่ารังเกียจไม่แตกต่างอะไรกันเลย  ดังนั้น  บรรพชิตในพระพุทธศาสนา ผู้หวังความบริสุทธิ์จะไม่บริโภคเนื้อใด ๆ เลย เพราะว่ามันเป็นสิ่งที่ถูกรังเกียจกันแล้ว สำหรับท่านผู้บริสุทธิ์ และสาวกของท่าน ในกรณีที่จะพยายามเพื่อโมกษะและความตรัสรู้ เพราะฉะนั้น สาวกผู้เดินตามทางอันสูงยิ่งนี้ ทั้งครอบครัวลูกหญิงชาย ย่อมอยู่อย่างเต็มใจ ว่ามันเป็นสิ่งที่ถูกรังเกียจกันในทุก ๆ กรณีที่พยายามเพื่อสมาธิ  โอ มหบัณฑิต !   เพราะฉะนั้น เนื้อทุกชนิดเป็นสิ่งที่ไม่ควรบริโภค สำหรับพุทธศาสนิกชน ซึ่งเป็นผู้ที่ปรารถนาจะมีสาธุคุณในทางจิตทั้งเพื่อตนเองและผู้อื่น นักกินเนื้อย่อมเป็นเหยื่อแห่งโรคหลายชนิด เช่น โรคไส้เดือน โรคพยาธิ โรคเรื้อน โรคเจ็บในท้อง ฯลฯ  โอ มหาบัณฑิต ! เรากำลังประกาศว่าการกินเนื้อสัตว์ เป็นการกินเนื้อบุตรของตนเองอยู่ ดังนี้แล้ว จะกล่าวไปอย่างไรได้ ที่เราจะบัญญัติให้สาวกของเรากินเนื้อสัตว์  ซึ่งเป็นของจัดไว้ต้อนรับของพวกคนใจดำอำมหิต เป็นของควรห้ามโดยท่านสัตบุรุษทั่วไป เต็มไปด้วยมลทินปราศจากคุณใด ๆ ไม่เหมาะที่จะบริโภค สำหรับผู้บริสุทธิ์ และเป็นของควรห้ามเด็ดขาดโดยประการทั้งปวง  โอ มหาบัณฑิต !  เราได้บัญญัติไว้แล้วว่า สำหรับอาหารอันสมควร ซึ่งได้กำหนดนิยมกันมาแล้ว โดยบรรดาท่านบริสุทธิ์แห่งสมัยบรรพกาลได้แก่ อาหารที่ปรุงขึ้นจากข้าว ลูกเดือย ข้าวสาลี สารแห่งหญ้ามุญชะ ( คือพืชจำพวกหญ้าปล้อง )  อูรทะและมสุร นมส้ม น้ำนม น้ำตาลสด น้ำตาลกรวด ฯลฯ  โอ มหาบัณฑิต ! ในกาลก่อน มีพระราชาครองราชสมบัติอย่างผาสุก พระองค์หนึ่ง นามว่าราชาสิงหะเสาทโส ต่อมาได้กลายเป็นผู้ละโมบในการบริโภคเนื้อ จนในที่สุดถึงกับใช้เนื้อคนเป็นอาหาร เนื่องจากความอยากเป็นไปแก่กล้าหนักเข้า เพราะเหตุนี้ พระองค์จึงถูกปลดออกจากความเป็นพระราชา โดยพระสหายเสนาบดี และ พระประยูรญาติของพระองค์เอง พร้อมทั้งคนอื่น ๆ  จนกระทั่งต้องสละราชสมบัติและถูกเนรเทศ ออกไปจากแคว้นของพระองค์โดยประชาชนต้องรับทุกข์ทรมานอันใหญ่หลวง เนื่องจากเนื้อสัตว์เป็นเหตุ
หัวข้อ: ลังกาวตารสูตร : พระพุทธเจ้าตรัสไว้เพิ่อห้ามกินเนื้อสัตว์
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 21/08/2554, 12:14
                    ลังกาวตารสูตร  :  พระพุทธเจ้าตรัสไว้เพิ่อห้ามกินเนื้อสัตว์

             ข้อความในพระสูตรนั้นมีดังนี้  :

        โอ มหาบัณฑิต ! ก็ในปัจจุบันชาตินี้เองเขาเหล่านั้น ซึ่งเคยชินกับการกินเนื้อสัตว์ในมาตรฐานนี้ เมื่อความอยากเป็นไปรุนแรงเข้าก็กินเนื้อคนได้ ย่อมเป็นผู้ละโมบในการกินและเป็นเหมือนยักษ์ ปีศาจร้าย ครั้นถึงอนาคตกาลเพราะอำนาจจิตติดฝังแน่นในการอยากกินเนื้อสัตว์ เขาย่อมตกไปสู่กำเนิดแห่งสัตว์ที่กินเนื้อเป็นอาหาร เช่น สิงโต เสือ จรเข้ สุนัขจิ้งจอก แมว นกเค้าแมว ฯลฯ  โอ มหาบัณฑิต ! มิใช่เพราะเนื้อจะเป็นของที่ต้องกินหรือการฆ่าเป็นของต้องทำก็หามิได้ ในกรณีนั้น ๆ ส่วนมากทั้งหมดเป็นเพราะการเห็นแก่เงินจึงฆ่าสัตว์ที่มีชีวิต ถึงแม้จะเป็นสัตว์เชื่องและปราศจากอันตรายแต่อย่างใดก็ถูกฆ่า  การฆ่า เพราะเหตุอื่นมีน้อยที่สุดมันเป็นการทรมานเขามาก ในเมื่อใจเต็มไปด้วยความอยากกินเนื้อ อย่างแรงกล้า คนก็กินเนื้อคนได้อยู่เสมอจะต้องกล่าวไปทำไมกับเนื้อสัตว์ เนื้อนก ฯลฯ โดยส่วนมาก ก้เนื่องจากความโง่เขลาเข้าใจผิด มนุษย์จึงได้รับ "กรรมเกิดความกระวนกระวาย" โดยความอยากในเนื้อสัตว์ คนฆ่านก ฆ่าแกะ และปลา โดยใช้ข่ายหรือเครื่องกลการฆ่ามันเหล่านั้น ซึ่งเป็นสัตว์ที่เชื่องและหาอันตรายมิได้ นั่นก็ดพื่อหวังจะให้ได้เงิน  โอ มหาบัณฑิต ! กรณีแห่งอาหารที่ "เราได้บัญญัติแก่สาวกนั้น มิใช่เนื้อสัตว์ชนิดใดชนิดหนึ่งเลยซึ่งเป้นของควรกิน สัตว์ซึ่งเป็นของไม่ควรกิน" ไม่เป็นเหตุควรถูกกิน ไม่ใช่่สิ่งที่ควรสมมุติว่าควรกินในอนาคตกาลสงฆ์สาวกของเรา จะเกิดมีคนบางคน ซึ่งกำลังสมาทานข้อปฏิบัติแห่งบรรพชิตและกำลังปฏิญาณตนเป็นศากยบุตรกำลังครองผ้ากาสาวพัตร์สีแดงหม่น จะเป็นผุ้มัวเมาและประกอบตนคลุกเคล้า อยู่ในความเพลิดเพลิน เขาจะมีจิตที่เต็มไปด้วยความปรารถนาลามกบัญญัติข้อปฏิบัติที่ผิดแบบนแผนขึ้นใหม่ เขาเหล่านั้นเป็นผุ้อยากเสพเะราะติดรส และจะเรียบเรียงพระคัมภีร์ให้มีข้อความเท็จ อันจะเป็นเครื่องยืนยัน และโต้แย้งอย่างพอเพียง สำหรับการกินเนื้อสัตว์กัน เขาจะบัญญัติสิ่งที่ตถาคตมิได้บัญญัติไว้ เขาจะกล่าวข้อความที่ส่งเสริมการกินเนื้อสัตว์ เขาจะกล่าวว่าเราตถาคตได้บัญญัติไว้ในเรื่องนี้ และว่าเราตถาคตนับมันเข้าไว้ในสิ่งทั้งหลายที่ควรกิน และว่าพระภควันต์ (ภควา..ภควาน..นามพระผู้เป็นเจ้า) ก็ได้ทรงเสวยเนื้อสัตว์ด้วยพระองค์เอง แต่ โอ มหาบีณฑิต ! เรามิได้เคยบัญญัติเนื้อสัตว์ไว้ในสูตรใด ๆ  หรือกล่าวว่ามันเป็นของควรกิน หรือนับมันเข้าประเภทของดีที่ควรกิน  โอ มหาบัณฑิต ! อริยสาวกทั้งหลายไม่บริโภคแม้แต่สิ่งที่คนธรรมดาชอบกินนิยมกันว่าดี เขาเหล่านั้นจะมาบริโภคเนื้อและเลือดซึ่งเป็นของควรปฏิเสธได้อย่างไรเล่า ? เหล่าสาวกของตถาคตเป็นผู้เดินตามแนวสัจธรรม คนผู้มีปัญญาเป็นเครื่องคิดค้นของตนเอง และบรรดาพุทธศาสนิกชนทั้งหลายอื่น ๆ (แห่งพระพุทธเจ้าองค์อื่น ๆ ) ก็เป็นเช่นเดียวกัน เขาเหล่านั้นมิใช่ผู้กินเนื้อสัตว์ พระตถาคตเจ้าทั้งหลาย ในกาลก่อน ๆ ก็เป็นดังนี้ พระตถาคตเจ้าทั้งหลายมีสัจธรรม เป้นพระกายของพระองค์ ทรงดำรงค์พระชนชีพอยู่ด้วยสัจธรรมไม่ทรงดำรงกายด้วยเนื้อสัตว์ ท่านเหล่านั้นไม่เคยเสวยเนื้อสัตว์ พระองค์ทรงเพิกถอนความอยากในโลกีย์วัตถุได้ทั้งหมดแล้ว ท่านเหล่านั้นปราศจากมลจิตอันเป็นมูลแห่งความทุกข์ ท่านเต็มเปี่ยมไปด้วยปรีชาญาณอันไม่ขัดข้อง ในอันจะหยั่งทราบสิ่งที่เป็นกุศลและอกุศล ทรงทราบสิ่งทั้งปวง เห็นแจ้งสิ่งทั้งปวง พระองค์ทรงมองไปที่สรรพสัตว์ คล้ายกับบุตรของพระองค์เอง ทรงกอปรด้วยมหาเมตตามหากรุณา โดยทำนองเดียวกัน เราตถาคต สรรพสัตว์เช่นเดียวกับบุตรของเราเอง เราจะบัญญัติให้สาวกของเราบริโภคเนื้อลูกของเราได้อย่างไรเล่ามันไม่มีข้อควรสงสัยเลย ในเรื่องที่ว่าเราบัญญัติให้สาวกบริโภค หรือเราได้บริโภคมันโดยตนเองหรือไม่ ? (ในที่สุด ได้ตรัสคำที่ผูกเข้าเป็นคาถา ซึ่งจะยกมาในที่นี้แต่บางคาถา มีใจความว่า)  โอ มหาบัฯฑิต ! พระชินวร ได้ตรัสไว้แล้วว่า "สุรา เนื้อและหอม กระเทียม " เป็นสิ่งที่พุทธศาสนิกชนไม่ควรบริโภค บรรพชิตควรละเว้นเสมอจากเนื้อสัตว์ หัวหอม กระเทียม และนานาประเภทแห่งเครื่องดื่มอันมึนเมา  เขาผู้่ฆ่าสัตว์ชนิดใด ๆ ก็ตามเพื่อเงินและเขาผู้ซึ่งจ่ายเงินเพื่อซื้อเนื้อนั้น  ทั้งสองพวกได้ชื่อว่า เป็นผู้ประกอบ "อกุศลกรรม" และจักจมลงสู่โรรุวะนรกและนรกอื่น ๆ เราบัญญัติ ห้ามกินเนื้อสัตว์ไว้ในข้อความแห่งคัมภีร์ เหล่านี้คือ 1. หัสติกักสยะ  2. มหาเมฆะ  3. นิรวาณางคลีมาลิกา  4. ลังกาวตารสูตร  ฉันเดียวกันกับที่ ความถูกพันธธนาการเป้นข้าศึกของความหลุดพ้นเป็นอิสรภาพ เนื้อสัตว์ สุรา ฯลฯ ก็เป็นข้าศึกของนิรวาณ (นิพพาน) ฉันนั้น  ดังนั้น เนื้อสัตว์ซึ่งเป็นของดูน่ากลัวแก่สรรพสัตว์ และเป็นอุปสรรคแก่การปฏิบัติเพื่อ " วิมุตติ " จึงเป็นของไม่ควรกิน นี่คือ ธงชัยแห่งอารยชน
หัวข้อ: ลังกาวตารสูตร : ข้อคิดพิจารณาธรรม ทำไมเราจึงไม่ควรกินเนื้อสัตว์ ?
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 21/08/2554, 13:45
                                 ลังกาวตารสูตร  :  พระพุทธเจ้าตรัสไว้เพิ่อห้ามกินเนื้อสัตว์

        ข้อคิดพิจารณาธรรม : ทำไมเราจึงไม่ควรกินเนื้อสัตว์  (ท่านพุทธทาสภิกขุ แห่งสวนโมกข์ จังหวัดสุราษฏร์ธานี)

        เพราะเป็นการปฏิบัติเพื่อยึดเอาประโยชน์ ทั้งฝ่ายโลกและฝ่ายธรรม การไม่กินเนื้อสัตว์เป็นทางก้าวหน้าของสัมมาปฏิบัติอย่างหนึ่ง ซึ่งได้ผลมากทางใจ

ประโยชน์ทางฝ่ายธรรม  :

        ข้อที่ 1. เป็นการเลี้ยงง่ายยิ่งขึ้น  เพราะพวกพืชผัก เป็นของหาง่ายในหมู่คนยากจนเข็ญใจ ซึ่งมีการปรุงอาหารด้วยผักเป็นพื้น นักกินผักย่อมไม่มีเวลาไปกระวนกระวาย เพราะอาหารไม่ค่อยจะถูกปากถูกลิ้นนักเลย ในขณะที่นักกินเนื้อมักต้องเลียบ ๆ เคียง ๆ เพื่อให้ได้มาซึ่งภัตตาหารเนื้อบ่อย ๆ ญา๖ืโยมเสียไม่ได้ในท่าทีก็พยายามหามาถวาย ศรัทธาญาติโยมที่มีใจเป็นกลางเคยปรารภกับข้าพเจ้าหลายต่อหลายครั้งว่า เขาสามารถจะเลี้ยงพระได้ ๕๐ รูป โดยไม่รู้สึกลำบากอะไรเลย  หากเป็นอาหารที่ไม่เกี่ยวกับเนื้อกับปลา แต่ที่ผ่านมาต้องฝืนใจทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้อย่างมาก ๆ ไม่ใช่ว่าจะคิดว่า เนื้อมีราคาแพงกว่าผัก แต่เป็นเพราะรู้ว่าสัตว์ถูกฆ่าตาย เพื่อการทำบุญเลี้ยงพระของเรา มีอีกหลายคน ที่ทีแรกค้านว่าการทำอาหารมังสวิรัติวุ่นวายลำบาก แต่เมื่อทดลองทำไปได้ ๒ - ๓ ครั้ง กลับสารภาพว่าเป็นการง่ายเสียยิ่งกว่าง่าย เพราะบางคราวไม่ต้องไปติดไฟเลยก็มี ตัณหาของนักกินผักกับกินเนื้อ มีความแตกต่างกันอย่างไร จะกล่าวในข้อหลัง เฉพาะข้อนี้ขอจงทราบไว้ว่า "คนกินเนื้อสัตว์  เพราะแพ้รสตัณหา  กินเพราะตัณหา  ไม่ใชเพราะเลี้ยงง่าย"

        ข้อที่ 2. เป็นการฝึกในส่วน " สัจธรรม "  คนเราห่างไกลจากความพ้นทุกข์ ก็เพราะมีนิสัยเหลวไหลต่อตนเอง สัจจะในการกินผักนั้น เป็นแบบฝึกหัดที่น่าเพลินบริสุทธิ์ ได้ผลสูงเกินกว่าที่คนไม่เคยทดลองจะคาดถึง พืชผักเป็นอาหารที่จะหล่อเลี้ยง "ดวงธรรมแห่งสัจจะ" ในใจของเราให้สมบูรณ์แข็งแรง ดังนั้น การฝึกกินผัก อาหารพืชผักจึงเป็นแบบฝึกหัดสำหรับผู้ปฏิบัติธรรม ที่ยอดเยี่ยม กว่าแบบฝึกหัดอย่างอื่น ๆ เพราะแบบฝึกหัดบางอย่างค่อนข้างง่าย แต่บางอย่างก็ยากเกินจะฝึก ทำให้ไม่สามารถนำมาเป็นเกมฝึกหัดประจำทุก ๆ วัน แต่เราผู้ปฏิบัติธรรม ต้องฝึกทุกวัน จึงจะได้ผลเร็ว เหตุฉะนี้ การฝึกใจด้วยเรื่องอาหารอันเป็นสิ่งที่เราต้องบริโภคอยู่ทุกวันจึงเหมาะมาก อย่าลืม พระพุทธภาษิตที่มีใจความว่า " สัจจะเป็นคู่กับกาสาวพัสตร์ "

        ข้อที่ 3 . เป็นการฝึกในส่่วน "ทมะ" ธรรม   "ทมะ" คือ การข่มใจให้อยู่ในอำนาจ คนเราเป็นทุกข์เพราะตัณหาอันได้แก่ ความอยากที่ข่มใจไว้ไม่อยู่ มีข้อพิสูจน์เฉพาะเรื่องผักกับเนื้อ ง่าย ๆ เช่น ข้าพเจ้าเคยเห็นชาวบ้านที่มาจากป่าดอนสูง ๆ อุตสาห์หาบเอาพวกพืชผักลงมาแลกปลาแห้ง ๆ จากชาวบ้านริมทะเลขึ้นไปกินทั้ง ๆ ที่ต้องเสียเวลาเป็นวัน ๆ ในขณะที่กลางบ้านของเขาก็มีอาหารพวกพืชผัก เผือก มัน ฟัก มะพร้าว ฯลฯ อย่างอุดมสมบูรณ์ อีกทั้งอาหารเหล่านี้ยังเป็นของสด สามารถบำรุงร่างกายได้มากกว่าปลาแห้ง ๆ  และขึ้นรา ที่พวกเขาอุตส่าห์ลงมาหามหิ้วขึ้นไปเก็บไว้กินเป็นไหน ๆ  ดังนั้น... ผู้ที่ไม่มีการข่มรสตัณหาจักต้องเป็นทาสของความทุกข์ และถอยหลังต่อการปฏิบัติธรรม เหตุนี้การข่มจิตด้วยเรื่องอาหารการกินจึงเหมาะมาก เพราะจะมีการข่มได้ทุกวัน การข่มจิตอยู่เสมอเป็นของคู่กับผ้ากาสาวพัสตร์เช่นกัน  โปรดทราบ ! ว่ามันเป็นการยากยิ่งที่คนแพ้ลิ้นจะข่มตัณหา โดยพยายามเลือกกินแต่ผักจากจานอาหารที่เขาปรุงด้วยเนื้อ และผักปนกันมา จงยึดเอาเกมกีฬาฝึกข่มจิต ที่เป็นเครื่องชนะตนอันนี้เถิด การเลี้ยงพระในงานต่าง ๆ ข้าพเจ้าเคยเห็น เคยได้ยินเสียงเอ็ดตะโร เรียกเอาแต่อาหารเนื้อ ส่วนอาหารผักล้วนดูเหมือนว่าเป็นการยากที่จะถูกเลือกกับเขา มิหนำซ้ำยังเหลือกลับไปอีก แม้กระทั่งอาหารที่ปรุงระคนกันมาก็หายไปแต่ชิ้นเนื้อ คงเหลือแต่ผักติดจานกลับไป และยิ่งไปกว่านั้น ก็คือ ควรรู้ไว้ด้วยว่า บรรดาพ่อครัวแม่ครัว และเจ้าภาพ เขารู้ตัวก่อนด้วยซ้ำไป จึงปรุงอาหารเนื้อสัตว์เอาไว้ให้มากกว่าอาหารผักหลายเท่านัก ทั้งนี้ ก็เพราะตัณหาทั้งของฝ่ายแขกเหรื่อ ชาวบ้าน และฝ่ายบรรพชิต ทั้งหลายร่วมมือกัน "แบ่งอิทธิพล"

        ข้อที่ 4 . เป็นการฝึกในส่วน " สันโดษ "     สันโดษ คือ ความพอใจเฉพาะสิ่งที่มีอยู่ตามฐานะของตน โดยทั่วไปชีวิตของผู้ออกบวช ย่อมดำรงอยู่ด้วยอาหารชั้นเลว ทว่า ข้าพเจ้าเคยเห็นบรรพชิตบางรูป เว้นไม่ยอมรับอาหารจากคนจนเพราะเห็นว่าเลยเกินไป คือเป็นเพียงผักหรือผลไม้ชั้นต่ำ และ ถึงแม้จะรับมาก็เพื่อทิ้ง นี่เป็นตัวอย่างของผู้ที่ไม่เคยมีความสันโดษและถ่อมตน  ดังนั้น... การฝึกเป็นนักกินผัก กินอาหารอย่างง่าย ๆ จะแก้ได้หมด "สันโดษเป็นทรัพย์อย่างเอกของบรรพชิต"

        ข้อที่ 5 . เป็นการฝึกในส่วน " จาคะ "    จาคะ คือ การสละสิ่งที่เป็นข้าศึกต่อความสงบหรือความพ้นทุกข์ นักกินผักที่แท้จริงมีดวงจิตบริสุทธิ์ผ่องใส เกินกว่าที่จะมีใจนึกอยากในเรื่องจะบริโภคอาหารที่มีรสหลากหลาย เพราะผักไม่ยั่วในการบริโภคมากไป กว่ากินเพื่ออย่าให้ตาย  ซึ่งต่างไปจากเนื้อสัตว์ ที่ยั่วให้ติดรสและมัวเมาอยู่เสมอ ความอยากในรสที่เกินจำเป็นของชีวิต ความหลงใหลในรส ความหงุดหงิด เมื่อไม่มีเนื้อที่อร่อยมาเป็นอาหาร ฯลฯ เรื่องเหล่านี้ ข้าพเจ้ารับรองได้ว่า ไม่มีดวงจิตของนักกินผักเลย ส่วนนักกินเนื้อนั้น ท่านจะทราบของท่านได้เองเป็นปัจจัตตัง เช่นเดียวกับธรรมะอย่างอื่น ๆ

      ข้อที่ 6 . เป็นที่ฝึกในส่วน " ปัญญา "    ปัญญา คือ ความรู้เท่าทันดวงจิตที่กลับกลอก การใช้ปัญญาพิจารณาให้เห็นโทษ ของการยึดมั่น และให้ใจละวางความยึดมั่นในการกินอาหาร แบบฝึกหัดที่ยากและเป็นก้าวที่ใหญ่ของการปฏิบัติธรรมเช่นนี้  ไม่มีอะไรดีไปกว่าการฝึกบริโภคอาหารผัก ที่จะเป็นอารมณ์อันบังคับให้ท่าน ต้องใช้พิจารณาตัวเองอยู่เสมอทุกมื้อ เพราะเนื้อทำให้หลงในรส ส่วนผักทำให้ยกใจขึ้นไป ซึ่งเหมาะแก่สันดานของสัตว์ ผู้มีกิเลสย้อมใจจนจับแน่นเป็นน้ำฝาดมาต่อเติม ปัญญาของท่านต้องรู้อยู่เสมอว่า ไม่ใช่ไปนิพพาน ได้เพราะกินผัก แต่เป็นการกินผักจะช่วยขัดเกลากิเลสทุก ๆ วัน   แท้จริงแล้วข้าพเจ้าไม่ได้มีความเห็นว่า ฝ่ายที่จะช่วยขัดเกลาจิตใจต้องเป็นผัก ความจริงอาจจะถือว่า ผักเป็นอาหารชั้นเลว หรือไม่ประณีตก็พอแล้ว แต่เมื่อมาพิจารณาใคร่ครวญให้ดีแล้วมันมาตรงกับอาหารผักเพราะจะทำอย่างไร เนื้อก็เป็นของชวนกินเพียงแต่ต้มเฉยๆ พอได้กลิ่นมันก็ยั่วตัณหาอยู่ดี !  เพราะฉะนั้น ฝ่ายที่จะปราบตัณหา จึงกลายเป็นเกียรติยศของผักไป อาหารผักเป็นอาหารที่ข่มตัณหาได้  และมีความบริสุทธิ์จึงเหมาะสม สำหรับผู้ที่ระแวงภัย และตั้งอยู่ในความไม่ประมาทอยู่เสมอ  ผลดีในฝ่ายโลก อาหารผักมีคุณประโยชน์ ต่อร่างกายยิ่งกว่าเนื้อสัตว์หรือไม่ ?   เรื่องนี้ วิทยาศาสตร์ในปัจจุบัน ก็บอกแก่เราชัดแจ้งอยู่แล้วว่า อาหารผัก จะทำให้ผุ้บริโภคมีกำลังแข็งแรง โรคน้อย ดวงจิตสงบ ช่วยให้ความกระหาย ในความอยาก ความโกรธ ความมัวเมา บรรเทาลงเป็นอันมาก
หัวข้อ: ลังกาวตารสูตร : ความเจ็บปวดของสัตว์ โดย ลี่อี้เอ๋ง
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 23/08/2554, 11:18
                    ลังกาวตารสูตร   :   ความเจ็บปวดของสัตว์        โดย ลี่อี้เอ๋ง

        ๑. คุณธรรมอันยิ่งใหญ่ของฟ้าดิน คือ "ชีวิต" ความโหดร้ายอันมหันต์ของมนุษย์โลก คือ "ฆ่า" ซึ่งเป็นคำกล่าวที่กระจ่างที่สุดของคนโบราณเป็นคำพูดที่สั่นและเข้าใจง่ายที่สุด เป็นคำพูดที่เจ็บปวดที่สุด พวกเราควรจะรู้ว่าชีวิตเป็นสิ่งที่มีคุณค่าที่สุด การฆ่าเป็นสิ่งที่โหดร้ายเจ็บปวดที่สุดเหมือนกัน พวกเราเคยอ่านหนังสือถึงโทษทัณฑ์ที่หนักที่สุดของมนุษย์ก็คือ "ตาย" เท่านั้น ก็จะรู้ถึงความชั่วร้ายที่ก่อไว้ ความโหดร้ายแม้จะท้วมท้นเลวทรามที่สุด เมื่อตายลงแล้วทุกอย่างก็สิ้นสุด ไม่สามารถจะเพิ่มโทษได้มากกว่านี้อีกแล้ว แต่กลับกัน พวกสัตว์ที่ไม่มีพิษร้ายต่อผู้คน ถึงมีโทษก็ไม่ถึงตาย ฟ้าดินยังอภัยให้โทษ ผู้คนกับไม่คำนึงถึงสิ่งใด ๆ  จับมาฆ่าแกงทารุณกรรมอย่างโหดร้าย แล้วก็กินมันเข้าไปแทบถือเป็นเรื่องธรรมดา  เฮ้อ !  โลกนี้ช่างโหดร้าย ไร้เหตุผล ยังมีอะไรหนักมากยิ่งไปกว่านี้บ้างไหม?. ทุกชีวิตของสัตว์ที่มีอยู่ในโลกนี้ ตั้งแต่มนุษย์จนกระทั่งสัตว์บกสัตว์น้ำ  ถึงแม้จะมีความแตกกันทางรูปร่าง และน้ำหนัก แต่วิญญาณนั้นเหมือนกัน หรือจะกล่าวอีกแบบหนึ่งคือ สัตว์แม้ไม่มีรูปร่างเหมือนกัน แต่ก็มีน้ำจิตน้ำใจเหมือนคน ต่างก็รู้จักรักชีวิตตน รู้จักกลัว รู้จักเจ็บปวด  ดังนั้น คนควรมีอัธยาศัยต่อสัตว์ เหมือนมีอัธยาศัยต่อคน ไม่ควรเห็นความแตกต่างจากร่างกายสังขาร เป็นข้ออ้างในการแบ่งแยกที่จุดนี้ อย่างน้อยที่สุดพวกเราต้องจดจำว่า มูลฐานของชีวิตต่างก็มีชีวิตขึ้นตรงต่อฟ้าดิน ต่างก็ส่งกระแสจิตต่อกันได้ ไม่อาจที่จะดูหมิ่นเหยียดหยามกันได้ เธอลองคิดดูซิว่า เวลาเราถอนขนสักเส้นหนึ่ง เราก็จะรู้สึกสะดุ้งสะเทือนไปทั้งตัวเพียงไร เข็มแทงอันเดียว ซึ่งเป็นเพียงส่วนหนึ่งของร่างกายเท่านั้น หาใช่ร่างทั้งร่างก็ไม่ นั้นก็คือ ทุกชีวิตก็มีชีวิตเหมือนตัวเราเอง เลือดเนื้อก็เหมือนกัน ความเจ็บปวดทรมานจะต่างกันอย่างไร ?. ที่ยกย่องกันว่า มนุษย์เป็นสัตว์ประเสริฐ มีคุณธรรม ย่อมไม่มีเหตุผลที่จะกินสรรพสัตว์ได้  ควรจะรู้ว่าฟ้าดินได้ให้กำเนิดชีวิตที่โง่เขลา เฉลียวฉลาดตั้งชื่อว่า "มนุษย์" แล้วก็ให้กำเนิดชีวิตที่โง่เขลาเบาปัญญา ตั้งชื่อว่า "สัตว์" ทั้งสองอยู่ร่วมกัน เพียงแต่ต่างกันเหมือนกับชีวิตของคนที่มีลูกคนโต ล้วนมีลูกคนเล็กถัด ๆกันไป แม้มีความต่างกันเป็นพี่เป็นน้อง แต่ก็มีเลือดเนื้อ มีความสนิทสนมดุจเดียวกัน หากแต่ว่า คนมีสติปัญญาและพละพลังสมบูรณ์ สมกับชีวิตสัตว์ประเสริฐ พวกที่หลงงมงาย และเข้าข้างตัวเอง็ทึกทักเอาว่า สวรรค์ส่งสรรพสัตว์มาให้คนกิน คำพูดเหล่านี้มีหลักฐานอะไร?. ถ้าอย่างนั้น เวลาเสือมาเจอคนเข้ามันก็กินคนเลย ก็น่าจะพูดว่า สวรรค์ส่งคนมาให้เสือกินบ้าง การดำรงชีพของคน จำเป็นต้องพึ่งชีวิตสัตว์อีก พูดถึงคำว่า "ทุกชีวิตคือร่างเดียวกัน" ผู้คนคงรู้สึกว่าตนเองใหญ่ที่สุดแล้ว แต่ละคนก็มีร่างของแต่ละคน จะเป็นร่างเดียวกันได้อย่างไร?. ที่แท้แ้แล้วในครอบครัวหนึ่ง ก็เหมือนร่างเดียวกัน  เช่นแม่ลูกเป็นต้น นี่เป็นความจริงที่แน่แท้ แต่ปัจจุบัน จะไปแลดูได้อย่างไรว่า ทุกชีวิตจะมีร่างกายอันเดียวกัน?. ถ้าอย่างนั้น เมื่อร่างของแม่เห็นลูกน้อยดีใจ แม่ก็ดีใจด้วย ถ้าลูกน้อยเกืดเจ็บป่วยและตายไป ถ้าเป็นไปได้แม่ก็พร้อมจะเจ็บป่วยและตายแทน  
หัวข้อ: ลังกาวตารสูตร : ความเจ็บปวดของสัตว์ โดย ลี่อี้เอ๋ง
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 23/08/2554, 12:03
                        ลังกาวตารสูตร   :   ความเจ็บปวดของสัตว์        โดยลี่อี้เอ๋ง

        ภายใต้จักรวาลนี้ คนที่เป็นแม่จะไม่นับว่าลูกน้อย และตนเองมีร่างดุจเดียวกัน  ดุจเช่นผู้ที่รักบ้าน รักชาติ รักประเทศดุจเดียวกัน ซึ่งก็เป็นเหตุผลเดียวกับการรักมนุษยชาติ รักผู้คน  เมิ้งจื้อ กล่าวว่าพระเจ้าแผ่นดิน "อู้" เห็นไพร่ฟ้าจมน้ำก็เหมือนกับตนเองจมน้ำด้วย พระเจ้าแผ่นดิน "เจ็ก" เห็นไพร่ฟ้าอดอยากก็เหมือนตนเองอดอยากด้วย พระกษิติครรภ์มหาโพธิสัตว์กล่าวว่า "ถ้าผู้คนยังไม่สำเร็จเป็นพระอรหันต์ ข้าก็จะไม่เข้าสุ๋พระนิพพาน" ด้วยเหตุอันนี้ก็เช่นเดียวกับแม่ที่คอยดูแลลูกน้อย ที่มีความจริงใจคอยเฝ้าห่วงใย ประดุจมีชีวิตอันเดียวกัน ซึ่งไม่สามารถจะแบ่งแยกความสัมพันธ์อันนี้ได้ คนๆนี้ คนๆนั้น และอีกหลายๆคน ก็มีดวงจิตที่เหมือนกัน เพียงแต่ว่าบนร่างกายนั้น ภายใต้หนังที่หุ้มอยู่ ถ้าเอาเนื้อที่หนักไม่กี่สิบกิโลกรัมออกเสีย ก็จะกลายเป็นว่านี่เป็นของฉัน นั่นเป็นของเขา  ในกรณีที่เราไม่สามารถแยกหนังออกได้ ถ้ามีโอกาส ก็เอาส่วนที่มีคุณสมบัติเหมือนกันมารวบรวมกันเข้า จากความน้อยนิดของฉันก็เพิ่มให้มันใหญ่ขึ้น  เพิ่มเข้าไปอีกเรื่อย ๆ จนใหญ่คับฟ้ากลายเป็น "ฉันแท้ ๆ " ไม่บกพร่องเลย !  สิ่งที่ต้องรู้ก็คือ เมื่อเปรียบเทียบส่วนที่ใหญ่ของฉัน กับความประพฤติที่สูงหรือต่ำ  ก็รู้ว่าคนที่เลวทรามที่สุด ก็คืคนที่เอาเนื้อไม่กี่สิบกิโลกรัมนั้นมาเป็นของฉันนั่นแหละ ดังนั้น พฤติกรรมของเขา ก็จะกลายเป็นความเห็นแก่ตัวอย่างที่สุด ความชั่วร้ายขนาดไหน ก็ทำมาแล้ว ความชั่วร้ายที่ฆ่าชีวิต ก้เนื่องจากขาด "ความเห็นอกเห็นใจ" อันสืบเนื่องมาจากความเห็นของผู้คนไม่มีร่างเป็นดุจอันเดียวกัน ! 

        ๒. ไม่ว่าใครฆ่าใครก็ตาม มันเป็นเรื่องที่ไม่ควรจะมีเกิดขึ้น แต่ชาวโลกมีความเห็นที่ไม่ตรงกัน "การฆ่า" มีคนฆ่าคน มีคนฆ่าสัตว์และสัตว์ฆ่าคน ๓ ชนิด แต่ผู้คนกับเห็นว่า "คนฆ่าคน" เป็นเรื่องร้ายแรงที่สุด "คนฆ่าสัตว์" เป็นเรื่องธรรมดาที่สุด "สัตว์ฆ่าคน" เป็นเรื่องน่ากลัวและแตกตื่นมาก !  ข้าอยากให้พวกเราเปิดใจโดยที่จริงแล้วคนฆ่าสัตว์นั้นดุร้ายกว่าคนฆ่าคนมาก ยังดุร้ายกว่าสัตว์ฆ่าคนด้วย !  เป็นเพราะอะไรหรือ?. เพราะว่า คนฆ่าคนอาจเกิดจากคดโกงทางกฏหมาย หรือไม่ก็เพื่อป้องกันตนเอง หรือไม่ก็ด้วยสาเหตุอื่น ๆ สัตว์แม้จะฆ่ากันก็มีขอบเขตจำกัด เช่น เสือก็ไม่อาจทำร้ายพวกนกได้ สัตว์น้ำก็ไม่ทำลายสัตว์บก เป็นต้น มีแต่คนที่ฆ่าสัตว์ ฆ่าได้แม้แต่อยู่ในอากาศ อยู่ในท้องทะเลลึก ในป่า และบนภูเขา ไม่มีที่ไหน ที่ไม่ถูกฆ่า ทุกชนิดถูกฆ่าเพื่อมาบำเรอปากท้องทั้งสิ้น ก่อให้เกิดสิ่งน่าเสร้าสะเทือนใจ  ทำให้นกไร้เพื่อน บินโดเดี่ยว สัตว์ป่าหลงฝูง น่าสมเพชยิ่ง "ลิ้นคนแลบถึงฟ้าถึงทะเลลึก" การกระทำของคนเช่นนี้ กฏหมายก็ไม่สามารถเอาโทษได้ แต่ยังได้รับการยกย่องจากพวกเดียวกันอีก การเข่นฆ่าของสัตว์ยังมีขอบเขต แต่การฆ่าของคนนั้น ไร้ขอบเขตจริง ๆ เมื่อพิจารณาจากสิ่งเหล่านี้แล้ว จะเห็นว่า "คนฆ่าสัตว์" นั้นดุร้ายกว่า "คนฆ่าคน" อย่างโหดเหี้ยมที่สุดใช่ไหม?.  แล้วยังมีน้ำหน้ายกย่องตัวเองว่า "เป็นสัตว์ประเสริฐ" น่าจะเรียกว่า "สัตว์โหดเหี้ยม" จะเหมาะกว่า?.           
หัวข้อ: ลังกาวตารสูตร : ความเจ็บปวดของสัตว์ โดย ลี่อี้เอ๋ง
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 23/08/2554, 13:23
                     ลังกาวตารสูตร   :  ความเจ็บปวดของสัตว์        โดย ลี่อี้เอ๋ง

        น่าสังเวชที่ชั่วชีวิตของคนเรานี้ ตั้งแต่เล็กจนโต ตั้งแต่โตจนแก่ไม่เคยที่ไม่พ้นการฆ่าตั้งแต่แรกเริ่มคลอดครรภ์มารดาก็ถือโอกาสเลี้ยงฉลองด้วยการฆ่าชีวิต เพียงไม่นานพออายุครบเดือน ก็ฆ่าชีวิตเลี้ยงกันอีก พอครบขวบปีก็ฆ่าชีวิตกันอีก จนกระทั่งเติบโตได้เวลาแต่งงานถือว่าเป็นงานมงคลก็ฆ่าชีวิตอีก  โดยถือโอกาสไหว้เจ้าฆ่าชีวิต แต่งงานก็ฆ๋าชีวิต ซึ่งวนเวียนไปวนเวียนมา ฆ่ากันตลอดศก ล้วนแล้วแต่สังเวยปากท้องทั้งนั้น "ตลอดชีวิตสะสมแต่บาปเวร" ชีวิตที่ถูกเราฆ่านั้นไม่รู้จักกี่ร้อยกี่พัน ยังมีอีกตอนที่เจ็บป่วย ก็อยากต่อชีวิต ร้องขอชีวิตอยู่ แต่กลับทพลายชีวิต แล้วอย่างนี้จะมีชีวิตยืนยาวได้อย่างไร ชีวิตการแต่งงาน เป็นชีวิตคู่ที่เริ่มรักสมานฉันท์ เหตุไฉนกลับเชือดเฉือนพรากมันจากกัน การให้กำเนิดบุตรนั้นถึอว่าเป็นนิมิตอันดี แต่เหตุไฉนต้องฆ่าแม่ "ไก่" พรากลูกมันมีเหตุผลอะไรหรือ ?. โดยปกติคนเราเมื่อมีงานมงคล ก็ควรหาฤกษ์ยามและปฏิบัติสิ่งที่เป็นสิริมงคล จึงจะถูกต้อง เช่น อวยพรงานวันเกิด ควรใช้คำอวยพรให้อายุยืนยาวเหมือนเต่าเหมือนนกกระเรียน ถ้าอวยพรเพื่อให้เพิ่มบุตร ควรใช้คำพูดว่ามีบุญวาสนามีโชค ได้บุตรประเสริฐรุ่งเรืองสืบสกุล ในขณะที่เราอยู่ในความคิดที่ดี ๆ ก็เกิดมีการฆ่ากันอย่างมาก ๆ ขึ้นมา ก้จะบั่นทอนอายุที่ยืนยาวให้สั้นเข้า พวกที่ลูกมาก ก็มักจะด่าว่าให้ลูกฉิบหายตายเร็ว หน้าบ้านก็กล่าวอวยพรกันเอิกเกริก หลังบ้านก็เป็นแดนประหาร เสียงร้องอย่างตระหนกตกใจ เมื่อจวนจะตายมันน่าฉงนจริง ๆ ชีวิตบางชีวิต เหมือนตัวละครถูกฆ่าชีวิต  บางชีวิจอยู่ดี ๆ ก็ถูกฆ่า บางชีวิจก็ทรงอำนาจแล้วถูกฆ่าน่าแปลกแท้ ๆ ลองมาดูกันว่าอาหารมื้อหนึ่ง ๆ ของคนเราก้ไม่พ้นการฆ่าชีวิต เช่น นกกระจาบจานหนึ่ง ๆ ไม่น้อยกว่าสิบชีวิต พวกหอย พวกกุ้ง เป็นร้อยชีวิต จึงจะได้สักมื้อหนึ่ง แค่นั้นยังไม่พอต้องแต่งกลิ่น แต่งรส หาวิธีปรุงอาหารต่าง ๆ เพื่อให้รสชาติเหมาะชวนกิน บางอย่างก็กินกันสด ๆ เลือดสด ๆ กินกันอย่างพิสดาร กินกันอิ่มแล้วก็พออกพอใจ ถ้าหากทำมาช้าหน่อย ก้พาลอารมณ์เสีย ไม่เคยคิดถึงบุญคุณของ ของที่อยู่ในจาน ล้วนมาจากความเคียดแค้น ความทุกข์แสนสาหัส เพื่อปรนเปรอความสุขขั้นสุดยอดของท่าน โดยกลืนกินชิ้นส่วนของมัน ไม่เคยคิดถึงกรรมจะสนองอย่างไร?. เราลองคิดให้ลึกซึ้งอีกนิดว่าฉากแห่งความเหี้ยมโหดเกิดขึ้นขนาดไหน?. เพื่อสนองความต้องการของปากท้อง  ดังนั้น เมื่อฟ้าเริ่มสางของทุก ๆ วัน เพชฌฆาตที่นับจำนวนไม่ถ้วนมือถือมืด เพียงไม่ถึงชั่วยาม ชีวิตของสรรพสัตว์ เป็นแสนเป็นล้านต้องดับจมลง  ถ้าเอาซากศพมันมากองก็จะได้ภูเขาสูงมหึมา แล้วเลือดของมันมารวมกันก็จะไหลหลั่ง สามารถย้อมแม่น้ำได้ทั้งสายทีเดียว ดูสภาพอนาจน่าเวทนายิ่งนัก พวกมันทุกข์ยิ่งกว่าถูกโจรปล้นผลาญล้างเมือง ฟังเสียงร้องของพวกมัน สะเทือนยิ่งกว่าเสียงฟ้าร้อง  ตั้งแต่เช้าจรดค่ำจะพบแต่คมมีดกรีดแหวะท้อง ปลายแหลมทิ่มแทงหัวใจ  ถลกหนัง ถอดกระดูก ถอดเกล็ด เชือดคอลอกคราบ เอาน้ำร้อนต้มตุ๋น อีกทั้งเกลือเหล้าหมักดอง ทั้งหอย กุ้ง ปู ปลา ฟ้าเอ๋ย ! น่าสงสารเจ็บซ้ำยิ่งนัก ยากที่จะหาทางระบายออกมาได้ สร้างบาปมหันต์ จมปลักอยู่ในความแค้นนับหมื่อน ๆ ชาติ ซึ่งสืบเนื่องแต่ปากท้องทำให้ก่อเวรกรรมขึ้น 
หัวข้อ: ลังกาวตารสูตร : ความเจ็บปวดของสัตว์ โดย ลี่อี้เอ๋ง
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 28/08/2554, 11:56
                       ลังกาวตารสูตร   :  ความเจ็บปวดของสัตว์        โดย ลี่อี้เอ๋ง

        ๓. ความมีพรหมวิหารสี่  ความจงรักภักดี ความมีสัมมาคารวะ ความมีปัญญา และความดี สัจจะเป็นสิ่งที่มนุษย์ควรมีไว้ประจำตัว คุณธรรม ๕ ประการนี้ ถ้ารักษาได้เป็นปกติ ก็จะไม่ละอายตนเองเป็นบุคคลที่สง่าผ่าเผย อันชีวิตมนุษย์ที่อยู่ใต้ฟ้าดินนี้ มีสังขารเล็ก ๆ แค่เพียงเจ็ดฟุต เมิ่อยืนหยัดอยู่กับความกว้างใหญ่ของฟ้าดินที่แท้อาศัยกับอะไรเล่า?.มนุษย์ที่ยกย่องว่าเป็นสัตว์ประเสริฐ  พึ่งพิงอยู่กับอะไร? ก็เพรราะมนุษย์มีคุณธรรมห้าประการ ที่สามารถยืนหยัดอยู่กับฟ้าดินอย่างไม่ละอายใจ และไม่ลอายในที่ยกย่องตนเองเป็นสัตว์ประเสริฐเลย แต่ทว่าที่ขาดศีลห้าข้อ ห้ามฆ่าสัตว์ เกิดการฆ่าชีวิตขึ้น ก็เป็นการทำลายความเป็นมนุษย์ที่มีคุณธรรมประจำใจ เช่น ฆ่าตัวเขาเพื่อความอ้วนท้วนของตัวเรา ก็จะขาดพรหมวิหารสี่ พรากญาติขาดมิตรเขา เพื่อเลี้ยงดูเพื่อนพ้องตนเอง ก็เป็นผู้ขาดความจงรักภักดี ถ้าเอาเนื้อหนังมันมาไหว้เจ้า ก็จะขาดคุณธรรมข้อสัมมาคารวะ และที่ยกย่องว่าชะตาชีวิตล้ำเลิศต้องเสพกินคาวเลือด ก็เป็นผู้ที่ขาดสติปัญญาเอาเหยื่อล่อหลอกให้เหยื่อติดกับก็เป็นผู้ไร้สัจจะ เฮ้อ ! มันอาศัยอยู่ในโลกกิเลส ถ้าไม่รักษาคุณธรรมทั้งห้าก็จะไร้ความเป็นมนุษย์ไป เมื่อเปรียบเทียบกับสัตว์เดรัจฉานแล้วมันจะแตกต่างกันมากน้อยเท่าไร จิวอันสือ กล่าวว่า "ความมีพรหมวิหารสี่เป็นธรรมข้อแรก ของคุณธรรม ความรักความเมตตาเกิดก่อนบุญกุศลทั้งหลาย" ถ้าหากเราต้องการมีคุณสมบัติครบถ้วนก็ควรปลุกใจเรา ให้มีพรหมวิหาร และการให้อภัย อะไรคือพรหมวิหาร อะไรคือการให้อภัย? นั่นคือ ทำจิตใจเราให้เผื่อแผ่ไปยังสัตว์ทั้งหลาย คิดเพื่อมันถ้าหากทำได้ แม้แต่คนที่ใจคอโหดเหี้ยมก็จะรู้สึกหวั่นไหวอ่อนลงได้ เมื่อทนทำต่อสังคมไม่ได้ ก็ยิ่งทนทำต่อคนคนด้วยกัน ก็เมตตาต่อสัตว์ด้วยเช่นกัน ผุ้ที่มีจิตใจรักสัตว์ก็ย่อมมีจิตใจรักคนทั้งหลายด้วย ดังนั้นจะพูดแทนสัตว์ว่า ใจที่ไม่ทนทำสิ่งเลวร้ายได้นี้ จะเห็นคนทั้งหลายดั่งพี่น้องร่วมท้องเดียวกัน ก็จะพ้นภัยพิบัติการฆ่าฟันกัน ได้อยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข ! ท่านลองหวนคิดดูซิ ตอนที่จะจับมันฆ่า มันตกใจกลัวขนาดไหน ถ้าบินหนีได้ก็จะบินหนี ถ้ามุดดินได้ก็จะมุด มันก็จะโทษฟ้าดินไม่ปราณีในเช่นเดียวกัน ถ้าเราถูกโจรจับ ขวัญหนีดีฝ่อมันมีอะไรต่างกันเล่า? มันก็น่าสงสารเหมือนกับสัตว์อย่างเดียวกัน ฆ่าไก่สักตัวหนึ่ง ฝูงไก่ที่เหลือก็ลนลาน ฆ่าหมูสักตัวหนึ่ง หมูที่เหลือก็ไม่ยอมกินอาหาร ถ้าพวกเราถูกโจรมันขังทั้งบ้านก็จะตกใจกลัวหรือหากมีใครตายลง ญาติมิตรของเราก็ร้องไห้ที่ต้องตายจากกัน มันก็ไม่ต่างกันใช่ไหม? ให้คิดถึงทุกชีวิตที่ถูกฆ่าเสียงร้องจะโหยหวน หวังจะได้รอดชีวิตมาแม้นเลือดจะหยุดหยด ลมหายใจจะขาดลง แต่เสียงร้องจะยังไม่หยุดลงทันที เหมือนกับพวกเรายามต้องโทษประหารก็หวังให้เทพเจ้าช่วยเหลือให้พระคุ้มครอง จิตวิญญาณกำลังแยกจากกัน ในเสี้ยววินาทีนั้นจะมีอะไรแตกต่างกันไหม?ถ้าหากคนกินเนื่อพูดว่ราสัตว์มันพูดไม่ได้ ถ้าเช่นนั้นพวกใบ้ก็น่าจะถูกฆ่าด้วยใช่ไหม? ถ้าพูดว่าสัตว์มันมีบาปตกต่ำลง ถ้าเช่นนั้นพวกยากจนตกต่ำก็ควรฆ่าใช่ไหม? โอ ! มนุษย์หนอ? ชอบโทษว่ามันเป็นสัตว์ต่างประเภทต้องถูกกิน ตอนที่กินมันก็ถือว่าฉันเก่งกว่ามัน แต่ตอนที่จะฃดใช้กรรมมันก็น่าจะพูดว่ามันถูกต้องฉันนั้นผิดเอง ควรรู้ไว้ว่า คนและสัตว์ก็เหมือนกันรักชีวิตกลัวตาย รักใคร่เพื่อนพ้อง ถ้าถูกฆ่าก็รู้สึกทุกข์ร้อนเหมือนกัน ที่ต่างกันก็คือ คนมีปัญญา สัตว์โง่เขลา คนพูดได้ สัตว์พูดไม่ได้ คนเก่งกว่าสัตว์เช่นนี้เป็นต้น คนถ้าหากไม่มีปัญญาก็ไม่สามารถป้องกันตัวได้ ถ้าพูดกันไม่ได้ ก็บอกกันไม่ได้ ถ้าหากเทียบพละกำลัง ถ้าน้อยกว่าเราก็ถือว่าแตกต่างกันอย่างนั้นหรือ? ก็ควรถูกฆ่าเอามากินใช่ไหม? พูดแบบนี้ไม่มีเหตุผล ผิดคุณธรรม แต่คนก็พูดออกมาได้ !
หัวข้อ: ลังกาวตารสูตร : ความเจ็บปวดของสัตว์ โดย ลี่อี้เอ๋ง
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 28/08/2554, 12:34
                  ลังกาวตารสูตร   :  ความเจ็บปวดของสัตว์        โดย ลี่อี้เอ๋ง

        ชาวโลกเมื่อประสพภัยจวนตัว ไม่มีใครที่ไม่เรียกร้องให้ช่วยชีวิต จะหยุดต่อเมื่อตามองไม่เห็น ถ้าได้รับอันตรายจากมีดหรือปืน หรือพวกโจรผู้ร้าย จะไม่ตัวสั่นขวัญผวาหรือถ้าหากพบว่าโจรมันใจอ่อนลง ก็อดไม่ได้จะดีใจแต่ก็ตกใจ เกิดบังเอิญมีคนช่วยเหลือชีวิตรอดมาได้ ก็จะรู้สึกขอบคุณจนโศกสะอื้นจดจำบุญคุณไม่ลืมจนวันตาย แต่ถ้าจับสัตว์มาได้ความสมเพชเวทนาต่างๆ จนกระทั่งเสียงร้องอันโหยหวน ก็เหมือนกับไม่ได้ยิน ไม่ได้ฟังเลย น่าสมเพชคนพวกนี้ เมื่อถูกยุงกัดก็เกิดรำคาญ แต่สัตว์ที่อยู่บนเขียงนั้น ก็ไม่เวทนาสงสาร แต่พอปวดหลัง ปวดตาเข้าหน่อย ก็รีบหาหมอหายาหรือได้รับบาดเจ็บจากมีด เข็มหรือไฟลวกก็ร้องโอดโอย ขอความช่วยเหลือ รักตัวสงวนชีวิตถึงเพียงนี้ แล้วทำไมต่อสัตว์กลับไม่ให้ความเวทนาสงสารบ้าง ฆ่าแกงได้ตามอำเภอใจเรา จะไม่พูดถึงกฏแห่งกรรม จะไม่พูดถึงห้ามฆ่าสัตว์ของพุทธศาสนา เราพูดกฏแห่งกรรมรักตนเอง แต่ไม่รู้ไม่มีจิตใจของความรักสัตว์ ความไม่มีเมตตาอารี แลอภัยเช่นนี้ รู้แต่ผลประโยชน์ส่วนตนเห็นแก่ตัวที่สุด สุภาพบุรุษผู้รักศักดิ์ศรีของตนเองอยู่บ้าง ก็ไม่ควรประพฤติแบบนี้ ผู้คนหากอยูในสภาพที่โง่กว่าหรืออ่อนแอกว่า ขณะนั้นจิตใจก็อยากให้คนสงสาร ถึงแม้ใจจะโหดเหี้ยม เสือ หมาป่า จะโง่เขลาคนก็ยังหวังว่าในตอนนั้น ในเวลานั้น ก็เปลี่ยนสภาพไปอีกแบบหนึ่ง ไม่ยอมสงสารแก่ผู้ที่อ่อนแอกว่าตนล่ะ ! น่าหัวเราะ คนเราที่กลัวคนดุร้ายแต่กลับไปรังแกคนที่ดีๆ  ใจในก็เกิดการดูหมิ่นและรังแกคนดี ตลอดชีวิตที่ชอบรังแกคนดีๆ แต่กลัวคนดุร้าย ก็จับคนดีไปรังแกแทน วิธีที่ใช้กำลังที่เหนือกว่าไปรังแกคนทื่อ่อนแอกว่า หรืออาศัยจำนวนคนที่กำลังมากกว่าไปรังแกคนที่จำนวนน้อยกว่า จิตใจที่เลวทรามชั่วช้าเช่นนี้ ล้วนแล้วแต่เป็นบ่อเกิดของการสร้างบาปก่อเวร เราเริ่มสังเกตุพวกมนุษย์จากจุดนี้ ว่าแตกต่างจากสัตว์หรือไม่ บางทีมนุษย์แย่กว่ามันด้วยซ้ำไป เป็นสิ่งน่าละอายใจมนุษย์แท้ๆ ดังนั้น ศาสดาเมื่อจะเริ่มสอนคน ก็จะเริ่มด้วยความเมตตา และให้อภัย เมตตา และให้อภัยก็คือ เอาตนเองไปเปรียบเสมือนผู้อื่น เมตตาต่อผู้คน และมีจิตใจรักสัตว์ไงล่ะ !  เมื่อไม่กี่ปีมานี้ มีข้อความที่ห้ามฆ่าสัตว์ขอบงสมาคม "อี้เก้ย" สาระสำคัญของข้อความนี้คือ เอาใจเราไปเปรียบใจสัตว์เพื่อน้ำใจอันดีงามที่ถูกปิดตายด้วยประตูเหล็ก บุรุษนิรนามพวกนี้ตั้งคำถาม 10 ข้อ ถามใจที่ถูกปิดด้วยประตูเหล็ก แรงดลใจของเขาใหญ่หลวงนัก เขาต้องการให้ประตูเหล็กเปิดออก จะได้เห็นใจอันงามอีกครั้งหนึ่งดังนี้
  
หัวข้อ: ลังกาวตารสูตร : ความเจ็บปวดของสัตว์ โดย ลี่อี้เอ๋ง
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 29/08/2554, 16:03
                     ลังกาวตารสูตร   :  ความเจ็บปวดของสัตว์        โดย ลี่อี้เอ๋ง

        ๓.๑  ในสมัยสงคราม พวกเราต้องหนีภัยสงคราม อาศัยโชคดีที่สุด ก็รอดชีวิตมา ถ้าหากในเวลานั้น ถูกศัตรูไล่ตามเข้ามาทุกๆ ระยะ เมื่อรู้ว่าไม่มีโอกาสจะรอดแน่ จิตใจขณะนั้นไม่แตกตื่นผวาขึ้นมาบ้างหรือ?
        ๓.๒  ขณะนั้น ถ้าถูกจับได้ลากเดินเหมือลากหมู  ลากหมา  รู้แน่ว่าต้องถูกฆ่า จิตใจอยู่ในสภาพอะไร? ไม่แตกกระเจิงหรอกหรือ?
        ๓.๓  ในขณะนั้น ถ้าพบคู่ชีวิตกำลังถูกโจรเชือดเฉือนเลือดไหลเนืองนอง จิตใจเราจะอยู่ในสภาพอย่างไร? ไม่ขวัญหนีดีฝ่อหรอกหรือ?
        ๓.๔  ในขณะนั้น ถ้าพบว่าเพื่อนฝูงญาติมิตรกำลังถูกโจรมัด หมดทางช่วยเหลือ จิตใจเราจะเป็นอย่างไร? จะไม่รู้สึกสงสารเจ็บปวดบ้างหรือ?
        ๓.๕  ในขณะนั้น ถ้าเราถูกฆ่า กำลังถูกชำแหละ เสียงร้องเจ็บปวดโหยหวน ชีวิตยังไม่สิ้นอยากให้ตายโดยเร็ว จิตใจเราขณะนั้นเป็นอย่างไร? ไม่โกรธแค้นหรอกหรือ?
        ๓.๖  ในขณะนั้น เราต้องถูกฆ่าแน่นอน เกิดมีโจรหนึ่งใจดีปล่อยเราไป จิตใจของเราขณะนั้นเป็นอย่างไร? ไม่รู้สึกดีใจหรอกหรือ?
        ๓.๗  และแล้วมีอีกโจรหนึ่ง ไม่เคยมีเรื่องบาดหมางกันมาก่อน เข้ามาห้ามปรามไม่ให้ปล่อย ต้องการฆ่าเราลูกเดียว จิตใจเราขณะนั้นเป็นอย่างไร? ไม่เคียดแค้นบ้างหรอกหรือ?
        ๓.๘  อีกแบบหนึ่งคือโจรทุกคนให้ปลดปล่อยนักโทษหมด ผู้ถูกจับมาก็มีหวังรอดตายได้ แต่บังเอิญมีโจรอีกคนหนึ่งว่า พวกเรานั้นเกิดมามีเคราะห์กรรมควรฆ่าให้หมด ใจเราขณะนั้นเป็นอย่างไร? ไม่รู้สึกโกรธเคืองหรอกหรือ?
        ๓.๙  ในขณะนั้น คู่ชีวิตของเรากำลังเจ็บป่วยอยู่ที่จริงควรปล่อยตัวเราไป แต่มีโจรหนึ่่งคัดค้านว่า ป่วยหนักอย่างนี้ ฆ่าเสียดีกว่าเพื่อหมดปัญหา อยากรู้ว่าใจเราขณะนั้นไม่เคียดแค้นบ้างหรอกหรือ
        ๓.๑๐  อีกอย่างหนึ่งในบรรดาญาติมิตรเรากว่าครึ่งเป็นเด็กอยู่ ที่จริงควรปล่อยไป แต่มีโจรหนึ่งคัดค้านขึ้นพูดว่า ชีวิตน้อย ๆ อย่างนี้ไม่ฆ่าก็ต้องตาย เอามาฆ่าแกงกินจะไม่อร่อยปากหรือ? ใจเราขณะนั้นรู้สึกอย่างไร? จะไม่เจ็บซ้ำปวดร้าวหรอกหรือ?
        เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว เขาเรียกเราให้ถามใจเราเองด้วยข้อคิดต่าง ๆ ถามใจเราว่า เพื่อปากท้องของเรา ไปเชือดเฉือนจับแกงพวกสัตว์ พวกกุ้ง หอย ปู ปลา เมื่อถูกจับมาอยู่เคียงข้างหม้อน้ำร้อนมันต้องเจ็บปวดแสนสาหัส อีกไม่นานมันก็ต้องจากคู่ครอง ญาติมิตร ต้องจบชีวิตลงแสนทรมาน ปากก็พูดไม่ได้ ดิ้นรนรอดตายเทียบสภาพต่าง ๆ ที่ตนถูกโจรจับปล้นในขณะนั้นและความนึกคิดในเวลานั้น จะมีอะไรแตกต่างกัน เอาใจเราไปใส่ใจเขา เอาใจเขามาใส่ใจเรากับคำพูดของข้าที่ว่า บังเอิญเจอะโจรปล้นฆ่าตายเสียเก้าคนรอดตายมาได้หนึ่งคน จากการปลดปล่อยแต่เกิดมีโจรหนึ่งขัดขวาง ในที่สุดก็ต้องถูกฆ่า สภาพต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น นึกคิดดูว่าเหมือนกับตอนนี้หรือไม่? สุดท้ายนี้ขอพูดว่า พวกเราทุกคน ภาวนาห้ามฆ่าสัตว์ ไม่ใช่ขอบุญ ไม่ใช่หลีกเลี่ยงภัย คือ เพื่อตัวเอง รู้เจ็บกลัวตาย ใจนี้ยากที่จะปกปิด พูดแทนสัตว์ให้เปรียบเทียบตัวเรา คิดไปคิดมาไม่อาจทนได้ ใจนี้ทำไม่ได้จริง ๆ ใจอันประเสริฐของเรานี้ควรตื่นจากภวังค์ได้แล้ว
หัวข้อ: ลังกาวตารสูตร : ความเจ็บปวดของสัตว์ โดย ลี่อี้เอ๋ง
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 29/08/2554, 18:39
                   ลังกาวตารสูตร   :  ความเจ็บปวดของสัตว์        โดย ลี่อี้เอ๋ง

        ๔.  ถ้าหากชาวโลก ยังไม่ทำใจให้งดฆ่าสัตว์ได้ ก็ควรจะพิจารณาดูสัตว์ที่ถูกปล่อยรอดชีวิตมาได้ ก็เหมือนกับตัวเองรอดชีวิตมาได้ ก็ดุจเช่นเดียวกับสรรพสัตว์ ที่ไม่ต้องแตกตื่นตกใจ หากเป็นไปได้วันหนึ่ง ๆ ๒๔ ชั่วโมง คิดแต่จะปล่อยชีวิตโดยไม่คิดลังเล อย่าให้สัตว์ต้องถูกขังนาน จนทนไม่ไหว อย่าได้ไหว้วานผู้อื่นเดี๋ยวจะได้รับอันตราย และอย่าได้กำหนดวันเวลา เพราะจะมีผู้คอยดักจับสัตว์ และอย่าได้กำหนดสถานที่ เพราะมีคนคอยสืบรู้ไปคอยดักจับ เอาเป็นว่า เมื่อตาได้พบเห็นก็ซื้อปล่อยทันที ปล่อยยังที่ที่เปลี่ยน ยิ่งไกลยิ่งดี นานๆ เข้าใจที่อยากฆ่าสัตว์ก็จะสูญหายไป โอกาสเกิดของสัตว์ก็มากขึ้น ทุกชีวิตอยู่อย่างสันติ ไม่เพียงแต่ในโลกนี้เท่านั้น แม้แต่ทุกตารางนิ้วของภายในของเรา โดยอย่าคิดว่าฆ่าชีวิตเพียงเล็ก ๆ แล้วจะไม่เป็นไร อย่าคิดว่าการปล่อยชีวิตน้อย ๆ ก็ไม่มีประโยชน์อะไร อย่าคิดว่ายุ่งยากลำบาก จงคิดแต่กุศลท่าเดียว และอย่าเป็นเพราะราคาสูงเลยละทิ้งการสร้างกุศล ควรรู้ว่าชีวิตหนึ่งก็ไม่ใช่น้อย แม้สรรพสัตว์ชีวิตก็ไม่ใช่มาก แม้ มด ยุง ชีวิตก็ไม่ใช่เล็ก วัว ควาย ก็ไม่ใช่ชีวิตใหญ่ เงินเหรียญเดียวก็ไม่พอเพียง แม้เงินหมื่นแสนก็ไม่ใช่มาก ขอเพียงจิตใจตนเองมีจิตตั้งมั่นแน่วแน่ เราควรตระหนักถึงชีวิตอันละเอียดอ่อนย่อมถูกฆ่าได้ง่ายขึ้น ดังนั้น เมื่อตนเอง งดฆ่าสัตว์แล้ว ยังต้องใช้วาจาสุภาพมาตักเตือนเพื่อนฝูงพี่น้อง ทำให้ทุกคนมีจิตเวทนาก็จะเป็นการสร้างบุญกุศลอันยิ่งใหญ่ โดยใช้ปากเท่านั้น ผู้คนมักพูดว่า "ใจดีก็พอแล้ว ทำไมต้องกินเจอีกเล่า?" อยากถามว่าฆ่ามันแล้วกินเนื้อของมัน ภายใต้ฟ้าดินนี้ยังมีใครโหดเหี้ยมอำมหิตเกินกว่านนี้อีกบ้างไหม? แล้วใจดีที่แท้อยู่ที่ไหนกัน? โดยปกติใจที่ทนดูไม่ได้นั้น ใคร ๆ ก็มีอยู่ ดังนั้นใครเห็นผู้ร้ายมือสังหารก็ทำให้น้ำลายหกอยากจะกินขึ้นมาแล้ว แล้วก็พากันพูดว่าชีวิตคนเรามันหลีกเลี่ยงไม่ได้ หรือคิดแต่ว่าจะเอาบาปกรรมป้ายให้เขาไป ข้าขอเพียงแต่อร่อยปากอิ่มท้องก็พอแล้ว  ทำไมไม่คิดว่าผู้ซื้อถ้าเลิกกินเนื้อแล้ว ผู้ขายก็ย่อมจะหยุดฆ่าลงเอง ควรจะรู้ด้วยว่าฟ้าดินได้บันดาลให้อาหารแก่คนนั้น มีทั้งข้าวต่าง ๆ ผลไม้ และผักทั้งบนบกและในน้ำก็มากเกินพอ มนุษย์ก็ยังสามารถหาวิธีต่าง ๆ ในการปรุงแต่งรสได้อีกมากเกินพอเสียด้วยซ้ำ ทำไมยังต้องฆ่าแกงสัตว์ ที่มีเลือดเนื้อเช่นเรา ซึ่งมีชีวิตที่มีความรู้สึกอย่างเดียวกัน จับมากินเพื่อความอร่อยปากชั่วประเดี๋ยวเดียว เพียงวางช้อนส้อมลงรสชาติก็หมดไปแต่บาปกรรมนั้นคงอยู่ซึ่งไม่ควรทำผิดแบบนี้เลย ผู้คนเสียเงินเป็นหมื่นเพราะรสชาติ เพียงขยับนิ้วหลายพันชีวิตก็จบลง หากเอาอาหารเจมาแทนเนื้อ ก็จะแทนการตายได้มาก ผลได้กับ
ผลเสียนี้ไม่อาจคำนวณได้ถูกต้องเลย !  หากกินเจกันจริง ๆ ใจของเราก็จะมีความสงบสุขอย่างไร้ขอบเขต ทั้งยังคุณประโยชน์ต่อร่างกายเป็นอย่างยิ่ง ไม่กี่ปีมานี้แต่ละแประเทศมีผู้หันมาบริโภคกันมาก สาเหตุเนื่องมาจากวิทยาการก้าวหน้า มีการค้นคว้าคุณค่าในการบริโภคอาหารเจ  กับอันตรายที่เกิดจากการบริโภคเนื้อสัตว์ ซึ่งมีหลักฐานที่จะพิสูจน์ได้และมีข่าวร้ายต่าง ๆ ที่จะแจ้งให้ทราบ ชีวิตของแต่ละบุคคลย่อมรักและหวงแหน  ดังนั้น การกินอาหารเจเริ่มถือเป็นเรื่องธรรมดา ความนิยมการกินอาหารเจนี้ที่ประเทศอเมริกันตื่นตัวมากที่สุด การกินอาหารเจนี้มีการอธิบาย และแสดงความเห็น ถึงแม้จะไม่เด็ดขาด แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัย การบริโภคไปในแง่ดีของสังคม ถึงแม้ชีวิตจะดับลง เราต้องยึดหลักไว้โดยไม่ยอมบริโภคเนื้อสัตว์และก็ไม่ได้ขึ้นกับที่ว่าจะถูกหลักอนามัยหรือไม่ถูกหลักอนามัย มาเป็นข้ออ้างในการบริโภคเนื้อสัตว์หรือไม่ มีการวิจารณ์อย่างหนักแน่น บริโภคผักมีประโยชน์อย่างแน่นอนเช่นกัน ดังนั้นการห้ามฆ่าสัตว์ก็มีพื้นฐานที่ได้จัดตั้งขึ้นแล้ว เสียงโศรกเศร้าโหยหวนของสัตว์ที่ถูกฆ่าได้สะท้านสะเทือนจิตคนได้ง่ายที่สุด ในหลักวิทยาศาสตร์ได้มีการพิสูจน์ถึงผลร้ายในการบริโภคเนื้อสัตว์ ข้าใคร่นำเอา "พิษ" ต่าง ๆ ในการบริโภคเนื้อสัตว์มาอธิบายเป็นข้อ ๆ ดังนี้
หัวข้อ: ลังกาวตารสูตร : ความเจ็บปวดของสัตว์ โดย ลี่อี้เอ๋ง
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 30/08/2554, 00:15
                         ลังกาวตารสูตร   :  ความเจ็บปวดของสัตว์        โดย ลี่อี้เอ๋ง

        ข้อที่ ๑.  นักวิทยาศาสตร์ชาวฝรั่งเศส นายชารส์ ค้นพบว่าภายในเนื้อของสัตว์ มีสารพิษอยู่ชนิดหนึ่ง ตอนที่สัตว์ได้รับความเจ็บปวดทรมานก็จะเพิ่มสารพิษมากขึ้นเป็นลำดับ แล้วก็จะแผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย ถ้าหากเรากินเนื้อชนิดนี้แล้ว ก็จะได้รับอันตรายอย่างมาก  มีนักวิทยาศาสตร์ชาวอเมริกา ชื่อว่า ไอด์ มาไคร์ กล่าวว่า "ตอนที่ร่างกายคนเรามีอารมณ์เปล่ยนแปลงขนาดหนักอยู่นั้น ก็จะมีสารหลายชนิดระบายออกจากร่างกาย เช่น ตอนที่มีโทสะโกรธอยู่นั้นเหงื่อที่ไหลออกมา ก็จะมีสีแตกต่างจากเหงื่อที่ไหลตอนที่ร่างกายกำลังโศกเศร้า แม้แต่ลมหายใจที่เป่าออกจากร่างกายก็จะมีสารต่าง ๆ ออกมาด้วย เขาเองได้ทดลองเป่าลมหายใจเข้าไปในหลอดแก้วที่แช่เย็นแล้วสังเกตุดูพบว่า ตอนที่เขามีร่างกายปกติก็จะมีหยดน้ำที่ปราศจากสี แต่ตอนที่เขากำลังโกรธจัด ๆ หยดน้ำที่ได้ก็ไม่เหมือนกัน หลังจากเป่าลมเข้าไปหลอดแก้วได้ห้านาที หยดน้ำที่ได้จะมีสีและสารขุ่น ๆ นั่นก็แสดงว่าตอนที่ร่างกายมีอารมณ์โกรธก็จะมีสารบางชนิดเกิดขึ้น เขาก็เลยใช้วิธีดังกล่าว ทดลองสภาพของจิตต่าง ๆ ก็พบว่า ตอนที่จิตใจโกรธก็จะมีสารสีฝ้ามัว ในขณะเศร้าเสียใจ ร่างกายจะขับสารสีเทาขาว และขณะเจ็บแค้นร่างกายจะขับสีเขียวไผ่ออกมา ต่อมาเขาได้ทดลองต่อไปพบว่า  ถ้าเอาสารฝ้ามัวที่อารมณ์โกรธของนาย ก. ฉีดเข้าไปให้นาย ข. หรือสัตว์ทดลอง  นาย ข.จะมีอารมณ์โกรธขึ้นมา  แน่นอนสัตว์ก็จะแสดงอารมณ์โกรธขึ้นมาทันทีเช่นกัน เขาเอาสารที่เป่าออกจากคนที่มีอารมณ์เศร้าเสียใจ ฉีดเข้าไปให้หนู และหมู ภายในไม่กี่นาทีสัตว์ทดลองก็ตายลง  จากการทดลองต่าง ๆ พอสรุปได้ดังนี้ ถ้าร่างกายมีอารมณ์เคียดแค้น  จะสูญเสียพลังงานไปมากทีเดียว ถ้าสารพิษปะปนกัน ยิ่งมีหลายชนิดพิษร้ายก็ยิ่งมาก ในขณะที่ทารกกำลังดูดนมมารดา ประเหมาะมารดาเกิดมีอารมณ์เปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงภายหลังลูกดูด  ทารกน้อยจะเกิดอาการไม่สบายเจ็บป่วยลง อันนี้ก็สืบเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ ร่างกายก็จะปล่อยพิษร้ายออกมาอย่างแน่นอน ด้วยเหตุฉะนีเนื้อสัตว์ที่เรารับประทานเข้าไปในท้องทุก ๆ วัน ซึ่งมีพิษร้ายอย่างแน่นอน สัตว์ย่อมเกิดความเคียดแค้น และเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส ย่อมมีสารพิษขึ้น และเจือปนอยู่ในเนื้ออย่างแน่นอน กินเข้าไปแล้วจะมีอะไรบำรุงอีกหรือ? อันตรายจริง ๆ

        ข้อที่ ๒.  ปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์การแพทย์ค้นพบว่า ภายใต้กล้องจุลทัศน์ที่ส่องลงบนเนื้อสัตว์ จะพบจุลชีพชนิดต่าง ๆ  จุลชีพร้ายเหล่านี้เมื่อเข้าไปในร่างกาย ก็มีผลไม่น้อยต่อร่างกายอย่างเบา ๆ ก็ทำให้เกิดความเจ็บป่วยอย่างหนัก ๆ ก็ถึงแก่ชีวิต ในเนื้อวัวเนื้อหมูมีเชื้อหนอนเป็นเส้น ๆ อยู่ไม่น้อย ดังนั้นจากการสำรวจของประเทศสหรัฐอเมริกา เชื้อหนอนเส้นของคนที่เป็นได้ ติดมาจากเนื้อหมู และเนื้อวัว ๙๐ % และยังตรวจพบว่า วัวควายที่เป็นโรคปอดมีกว่าครึ่ง และสาเหคุคนเป็นโรคปอดก็ติดมาจากเนื้อวัวเป็นส่วนใหญ่ ในโรคท้องเสีย (อหิวาต์) เชื้อนี้ได้รับจากเนื้อหมูในประเทศอังกฤษ มีโรคลมอาการปวดมาก 
หัวข้อ: ลังกาวตารสูตร : ความเจ็บปวดของสัตว์ โดย ลี่อี้เอ๋ง
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 30/08/2554, 01:15
                      ลังกาวตารสูตร   :  ความเจ็บปวดของสัตว์        โดย ลี่อี้เอ๋ง

        สมัยก่อนคิดว่ามาจากพิษเหล้า แต่ปัจจุบันพบแล้วว่ามาจากบริโภคเนื้อสัตว์มากและยังพบอีกว่าพวกบริโภคเนื้อ มักจะเป็นโรคเบาหวาน การสูบฉีดของเลือดไม่ดี เป็นผลทำให้สมองผิดปกติ ซึ่งทำให้เกิดการช็อคขึ้น เป็นลมหมดสติไป การบริโภคเนื้อได้ลดสารต่อต้านมะเ็ร็ง จึงเกิดเป็นมะเร็งกันมาก บริโภคเนื้อดื่มเหล้ามากไป เกิดโรคไตอักเสบได้ง่าย เอาเถอะ !  ข้าจะไม่พูดเรื่องการแพทย์กับท่านมากนัก ข้าเพียงแต่อยากให้พวกท่านได้รู้ว่าปัจจุบันมีความจริงมีหลักฐานพิสูจน์กันได้เพื่อแสดงให้เห็นว่า การบริโภคเนื้อมีโทษอย่างแน่นอน มิใช่พูดลอย ๆ โดยไม่มีหลักฐาน ในฤดูร้อนเนื้อก็เน่าเสียได้ง่าย พูดไปพูดมาก็ไม่พ้นกินเนื้ออันตรายมากซึ่งเป็นเรื่องพื้น ๆ ไม่จำเป็นต้องพูดมาก เนื้อที่เกิดหนอนขึ้นเป็นประจำนี้ ก็เข้าไปในปากของเราทุก ๆ วัน ระวังเถอะ สักวันหนึ่งก็จะเจอดีขึ้น น่ากลัวจริง ๆ !  ข้าจะพูดเกี่ยวกับการกินเจอีกครั้งหนึ่ง การกิน การดื่ม มีปัจจัยที่สำคัญคือ เพื่อการดำรงชีวิต ดังนั้นอาหารที่เรารับประทาน จำเป้นต้องหาสิ่งที่มีคุณค่าด้านพลังงาน สิ่งควรรู้ก็คือพลังงานที่ได้เป็นพลังงานจากดวงอาทิตย์ ซึ่งเป็นพลังงานความร้อน ภายใต้ฟ้าดินนี้ก็มีเพียงธัญพืชที่เติบโตภายใต้แสงอาทิตย์ สามารถดูดซึมพลังงานได้มากที่สุด และสามารถให้พลังงานได้สูงสุดก็คือ พืชพวกให้เมล็ด  ถ้าหากเราแยกธาตุต่าง ๆ จากเนื้อสัตว์เราจะพบ "กรดอะิมิโน แลคโต๊ด" และเกลือเร่ต่าง ๆ พวกพืชที่ให้เมล็ดเช่น ข้าว ข้าวสาลี และถั่วต่าง ๆ  ก็มีธาตุต่าง ๆ เหล่านี้ครบถ้วน แถมยังมีกรดอะมิโนซึ่งเป็นพวกโปรตีนถึง ๔๐ % มากกว่าในเนื้อสัตว์เสียอีกซึ่งมีเพียง ๒๐ % เท่านั้น โปรตีนเนื้อสัตว์ย่อยลำบาก เนื่องจากโครงสร้างประกอบการขึ้นเป็นเนื้อของสัตว์ และมีคุณค่าด้อยกว่า ดีเลว ระหว่างโปรตีนของพืชและเนื้อสัตว์แล้ว ท่านก็จะได้เห็นอย่างกระจ่างชัด ! อาหารการกินของเราที่จริง ควรเลือกจากใหม่สดมิใช่หรือ ภายใต้ฟ้าดินนี้การเจริญเติบโของธัญพืชอาศัยแสงอาทิตย์ ฝนฟ้าซึ่งบริบูรณ์ในการเลี้ยงชีวิต ไม่จำเป็นต้องไปกินของเก่าที่เน่าเปื่อยง่าย และไร้คุณค่าอย่างเนื้อสัตว์นั้นเลย ! ถ้าหากเปรียบเทียบ การกินเจกับเนื้อสัตว์ แล้วละก็ เราจะเห็นความแตกต่างได้หลาย ๆ อย่างเช่น คนกินเจจะมีอายุยืนกว่า พวกกินเนื้อสัตว์จะอ่อนแอง่าย การบริโภคเนื้อสัตว์ก่อให้เกิดกามราคะมากกว่าการกินเจ พวกกินเจจะมีประสาทที่สดชื่น การบริโภคเนื้อประสาทจะขุ่นเครียด ผู้กินเจจะมีสมองที่ฉับไว ส่วนผู้ที่บริโภคเนื้อสมองจะทื่อทึบ กินเจจะมีพลังวังชายาวนาน เลือดจะสดใส ทำให้มีความต้านทานโรคสูง ผู้บริโภคเนื้อพลังวังชาจะน้อย และเส้นเลือดจะขุ่นข้นและทำให้เจ็บป่วยง่าย ในการแข่งขันกีฬานานาชาติ ผู้ที่ได้รับชัยชนะส่วนใหญ่จะเป็นผู้บริโภคพืชผัก  ซึ่งเป็นหลักฐษนยืนยันได้ เราจะพบว่าผู้ที่สามารถตั้งตัวได้ ไม่ว่าส่วนบุคคลหรือส่วนรวม ส่วนใหญ่จะเป็นคนที่ไม่มีเลือดร้อน อารมณ์รุนแรง คนโบราณกล่าวได้ดีว่า "ผู้บริโภคเนื้อคนชั้นต่ำ" ถ้าหากเราจะเป็นคนมีสง่าราศีละก็ ต้องขจัดการบริโภคเนื้อเสีย หันมากินเจมันไม่เพียงแต่มีประโยชน์สูงสุดต่อร่างกายเท่านั้น มันยังก่อให้เกิดสันติสุขอันไร้ขอบเขตของจิตใจด้วย
หัวข้อ: ลังกาวตารสูตร : ความเจ็บปวดของสัตว์ โดย ลี่อี้เอ๋ง
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 30/08/2554, 10:08
                  ลังกาวตารสูตร   :  ความเจ็บปวดของสัตว์        โดย ลี่อี้เอ๋ง

        ๕ ตอนนี้เป็นบทสุดท้ายแล้ว ข้าเป็นพุทธศาสนิกชน ข้าขอใคร่วิจารณ์เกี่ยวกับศีลข้อห้ามการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต มิใช่มีเพียงแต่ศาสนาพุทธเท่านั้น มันเป็นหลักข้อสำคัญที่มีอยู่ในธรรมของหลักศาสนาอื่น ๆ ทั่วไป เป็นหลักปฏิบัติของมนุษย์ธรรม ด้วยศาสนาพุทธมีข้อห้ามฆ่าสัตว์ตัดชีวิต มีเหตุผลที่เคร่งครัด ไม่ว่าศีล๕  ศีล๑๐ หรือศีล ๒๒๗  หรือศีลโพธิสัตว์ ต่างก็มีศีลข้อห้ามฆ่าสัตว์ตัดชีวิตเป็นข้อแรกด้วยกันทั้งนั้น ถ้าพร้อมที่จะก่อกุศล ต้องเริ่มจากศีลข้อนี้ อันว่าผู้คนในโลกนี้ ทุก ๆ คนก็ล้วนแล้วแต่บริโภคเนื้อกันทั้งนั้น และก้ไม่ได้รับโทษเพิ่มอะไรเลย จะไปกลัวอะไรกัน? เฮ้อ ! คนที่มีใจแบบนี้ ก็ไม่ต้องไปถามเขาอะไรอีกแล้ว ลองพิจารณาพื้นจิตของพวกเขา ถ้าหากปล่อยปละละเลยศีลข้อนี้  เรื่องเกี่ยวกับชีวิตก็ไม่อยู่ในสายตาเช่นกัน แน่นอนเราต้องเข้าใจการห้ามฆ่า และการคุ้มครอง ซึ่งต้องมีอยู่ในทุกตารางนิ้วของจิตใจ โดยไม่ต้องคำนึงว่าข้างนอกจะมีกฏการห้ามฆ่าหรือไม่? หากไม่ถือโอกาสนี้ทดสอบพื้นจิตตนให้แผ่เมตตาจิตออกไปละก็ สักวันหนึ่งโอกาสนี้จะสูญไป เมื่อถึงเวลานั้นหน้าตาเปลี่ยนไป (เกิดเป็นสัตว์) แม้จะมีร่างกายก็จะทำอะไรได้? แม้จะมีหู มีตา ก็ไม่สามารถจะเห็นจะได้ยินได้ แม้มีความในใจก็ไม่สามารถจะเปิดเผยออกมาได้  ท่านทั้งหลาย ! อย่าคิดว่ามีอายุยืนได้ถึงร้อยปี ชั่วพริบตาก็จะเปลี่ยนชาติกำเนิด คิดแล้วใจหาย !  ทุกคนรู้แต่เพียงว่าชาตินี้ข้าเกิดมาเป็นคน หารู้ไม่ว่า ชาติที่แล้วมาได้เกิดเป็นสัตว์อื่นประเภทไหนบ้าง แล้วชาติต่อไปข้างหน้า จะไปเกิดเป็นอะไรอีกเล่า? ดังนั้น พระพุทธเจ้าจึงกล่าว "สัตว์ที่ถูกฆ่าตายในชาตินี้ ก็เป็นญาติมิตรของข้าในชาติก่อน"  กล่าวอย่างเชือดเฉือนที่สุด มิได้กล่าวเท็จ พุทธพจน์ที่ว่า "คนมีความคิดความจำดุจผืนนากุศล และอกุศลที่เกิดขึ้น เป็นเมล็ดพันธุ์ หากมีจิตคิดฆ่าเกิดขึ้น เมล็ดพันธุ์นี้ก็จะฝังเข้าไปในผืนนาแห่งความคิด ความจำ กลายเป็นเคราะห์กรรม ที่ต้องเวียนเกิดเวียนตายไปตลอด"  สรรพสัตว์ที่ถูกฆ่า ก็จะเกิดความเคียดแค้นขึ้น ก็จะถูกฝังเข้าไปในผืนนาแห่งความคิดความจำนี้ กลายเป็นเวรกรรมที่เคียดแค้นไปตลอดไม่มีสิ้นสุด ชาติแล้วชาติเล่า  ด้วยกฏแห่งกรรมนี้ จะตามล้างตามสนองซึ่งกันและกัน โดยไม่มีเวลาที่จะสิ้นสุดลง  พระแห่งสระประทุมกล่าวว่า "ข้าร้องต่อผู้คนว่าไม่กล้าบังคับเจ้ากินเจ แต่จะเตือนเจ้าห้ามฆ่าสัตว์ ครอบครัวที่ไม่ฆ่าสัตว์ เทวดาคุ้มครอง เคราะห์กรรมลบล้างไปอายุยืนยาว ลูกหลานกตัญญู ทุกสิ่งเป็นสิริมงคล" ซึ่งไม่อาจกล่าวได้หมด  คำพูดที่กล่าวมานี้ ไม่ใช่เอาใจคน ความจริงเป็นกฏแห่งกรรม อะไรคือกฏแห่งกรรม?  ข้าจะกล่าวเป็นการปิดท้ายรายการนี้ !  เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในโลกนี้  ล้วนแล้วแต่เป็นผลของกรรมเกี่ยวข้อง  การเกิดการตายในชีวิตของคนเรานั้น บุญมากหรือบุญน้อย เจริญรุ่งเรืองหรือเสื่อมลง อยู่ในประเทศหนึ่งหรือที่ที่หนึ่ง ที่เจริญหรือเสื่อมลง มิใช่เกิดขึ้นโดยการบังเอิญ และไม่ใช่เกิดจากการว่างเปล่า ดั่งคนโบราณกล่าวว่า "สั่งสมบุญกุศลเป็นสิริมงคลเหลือล้น สั่งสมอกุศลรับเคราะห์กรรมเหลือล้น"  คำว่า สั่งสม กับ เหลือล้น  ก็เป้นธรรมะของกฏแห่งกรรม  แล้วธรรมข้อนี้กับกฏการคำนวนเหมือนกัน  หนึ่งบวกหนึ่งต้องเป็นสอง สามคูณสามย่อมได้เก้า ซึ่งได้ผลลัพท์ที่แน่นอน เมื่อมีเหตุดังนี้ก็ต้องมีผลดังนี้ เนื่องจากเหตุที่มีอยู่ ผลที่ได้ย่อมปรากฏปริมาณของผลที่ได้ย่อมสมดุลกับเหตุที่มีอยู่  ด้วยเหตุผลง่าย ๆ ของกฏแห่งกรรมนี้ หวังว่าผู้คนคงเข้าใจ เหตุและผลที่สับสนก็ไม่อาจเข้าใจได้ เหตุอันหนึ่งที่ปลูกลงไปไว้แล้ว เมื่อถึงเวลาหากไม่สนองตอบมาให้นั้น ย่อมต้องมีเหตุการณ์อื่นสร้างไว้ปะปนเข้าไป  แต่ก็ไม่พ้นการสนองตอบให้เช่นเดียวกัน ทำให้เหตุผลอันนี้ไม่ใช่เหตุผลอันเดียวกัน แแต่กลายเป็นเหตุและผลหลาย ๆ อัน สับสนกันเท่านั้นแหละ การเปลี่ยนแปลงสับสนร้อยแปดของคนในโลกนี้ กับการเปลี่ยนแปลงร้อยแปดของใจคนนั้น มีการเกี่ยวพันสนองตอบซึ่งกันและกัน ดังนั้น ในช่องทางเกิดทั้งหกช่องทางนั้น จะมีสภาพต่าง ๆ ปรากฏขึ้น เนื่องจากเหตุการณ์ความนึกคิดของจิตใจคนนั้น ไม่เคยหยุดยั้งเลย จึงเกิดมีผลดีและผลร้ายสนองตอบซึ่งกันและกัน 
หัวข้อ: ลังกาวตารสูตร : ความเจ็บปวดของสัตว์ โดย ลี่อี้เอ๋ง
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 30/08/2554, 11:17
                   ลังกาวตารสูตร   :  ความเจ็บปวดของสัตว์        โดย ลี่อี้เอ๋ง

        ดังนั้น กรรมดี หรือ กรรมชั่ว ที่สนองตอบก่อนหลัง ล้วนมาจากเหตุการณ์กระทำที่เปลี่ยนแปลง จะเปลี่ยนตามไปด้วย ้หตุของกรรมเทื่อมีโอกาสเปลี่ยนไปตามเวลา ผลการตอบสนองก็เปลี่ยนไปตามกาลเวลา ถึงแม้การเปลี่ยนแปลงนั้น  จะมีการสับสนแต่เหตุและผลเปรียบเสมือนเจ้าหนี้มาทวงหนี้  ฝ่ายใดมีกำลังกว่าก็ดึงไปเอาก่อนเท่านั้น ดังคำที่ว่า "ชั่วหรือดีย่อมตอบสนองในที่สุด"  เพียงแต่จะเร็วหรือช้าเท่านั้น เหมือนปลูกแตงย่อมได้แตง ปลูกถั่วย่อมได้ถั่ว เป็นสิ่งแน่แท้ที่สุด เนื่องจากพระพุทธเจ้ามีทิพย์เนตร ส่องได้ทั่วทุกทิศแจ้งทะลุทั้งสามโลก ไม่มีสิ่งบดบังจึงกล่าวว่า การตอบสนองตามกฏแห่งกรรมล้วนยึดหลักที่แท้จริง เนื่องจากพระพุทธเจ้า ทรงแลเห็นอย่างนั้น เนื่องจากได้หลุดพ้นจากกาลสมัย  ไกลสุดถึงความเป็นมาของเคราะห์กรรม เห็นได้ชัดเจนเหมือนเราแลเห็นสิ่งของต่าง ๆ ต่อหน้าต่อตา แต่ตาเนื้อของเราเห็นเพียงสิ่งของที่วางอยู่ต่อหน้าเท่านั้น ซึ่งไม่สามารถเห็นเหตุผลที่อยู่เหนือกาลเวลา ตาเนื้อแลเห็นสิ่งของไม่ว่าจะชัดเจนเพียงไร ถ้ามีกระดาษมาคั่นกลางก็ไม่สามารถเห็นของได้อีกแล้ว อย่าว่าเหตุผลที่อยู่เหนือกาลเวลาเลย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเนื่องจากสรรพสัตว์อยู่ในวัฏสงสาร เวียนตายเวียนเกิดติดต่อกันไป ความจำกัดก็เปลี่ยนแปลงไป ขันธ์ห้าบดบัง เหมือนกระดาษบังตารู้แต่ชาตินี้ ชาติที่แล้วหารู้ไม่ เราควรรู้ว่า ปัญญากับความรู้นั้นต่างกัน  ปัญญาเกิดจากบรรลุฉับพลันฉายส่องไม่มีบดบัง ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในโลกนี้ ไม่มีที่ไม่รู้เรื่องของความรู้ จะเป็นเรื่องที่มีขอบเขต เป็นเรื่องธรรมดาที่สามารถจะตรึกตรองนึกคิด ซึ่งคนธรรมดาสามารถมองเห็นจับต้องได้ และคิดถึงได้ ปัจจุบันนี้ความรู้ทั้งหลายนี้ เช่น วิทยาศาสตร์ วิชาปรัชญา เราเป็นพุทธศาสนิกชนที่ศรัทธาไม่มีข้อขัดแย้ง ยังต้องยินดีส่งเสริมด้วยซ้ำ !  ถ้าหากคิดจะเอาความรู้ มาตำหนิพุทธศาสนา ตีคุณค่าของพุทธพจน์หรือกล่าวร้ายต่อพระธรรมซึ่งไม่สมควร
และไม่มีความสามารถด้วย พวกเราเข้าใจหลักของวิทยาศาสตร์ซึ่งหนักไปทางด้านพิสูจน์ได้ จึงจะเชื่อถือ แล้วเอาวิธีการอะไรพิสูจน์ล่ะ? ก็คงไม่พ้น อวัยวะทั้งห้าบนใบหน้าไปพิสูจน์ใช่ไหม? วิธีพิสูจน์จะละเอียดแค่ไหน ก็ไม่พ้นจากอวัยวะทั้งห้านี้ ขอถามหน่อยเถอะว่า อวัยวะทั้งห้านี้เชื่อถือได้มากแค่ไหน? ตัวอย่างอุจจาระ คนจะรู้สึกเหม็นจนไม่อยากเข้าใกล้  แต่สุนัขสามารถกินได้ จะพบว่าลิ้นที่ใช้ชิมรสก้ไม่สามารถเป็นมาตรฐานได้ แล้วรอยเท้าที่คนเดินผ่านไป สุนัขสามารถดมตามกลิ่นได้ แต่คนมีความสามารถไหม ?  ที่เหลืออีกมากมายก็เช่นเดียวกัน เมื่อมองดูแล้ว คำถามคำตอบของวิทยาศาสตร์ ก็ล้วยอาศัยอวัยวะทั้งห้าไปค้นคว้า จะมีความสามารถไปเสียทุกอย่าง ใครเชื่อก็บ้าล่ะ ?  ถ้าเราถอยหลังมาพูดว่า เชื่อถือวิทยาศาสตร์ที่ค้นคว้ามานั้น เป็นสิ่งที่แน่แท้ แต่ว่าฟ้าดินกว้างใหญ่ไพศาล สภาพของคนนนั้นเล็กจนไม่อาจเทียมกันได้  ยิ่งความคิดเห็นของที่มีมายิ่งมีขอบเขตจำกัดเหลือเกิน แถมด้วยความคิดเห็นอันจำกัดแค่นี้ ยังยึดมั่นเชื่อถือไม่ได้ด้วย? ฉะนั้น จึงต้องใช้ปัญญาธรรม จึงจะยืนยันได้ และให้ความสว่างแจ้งถึงกฏเกณฑ์ของทุกอย่างในโลกที่เกิดขึ้น  หากใช้เอาแต่ความรู้จะทำไม่ได้แน่นอน ยังมีคนอีกจำนวนหนึ่ง ที่ไม่ยอมเชื่อกฏแห่งกรรม ก็ยังคงยึดถือหลักของวิทยาศาสตร์ ที่ต้องพิสูจน์ได้จึงจะเชื่อ แต่ถ้าพูดถึงการพิสูจน์ ไม่ควรเพียงพิสูจน์โดยหูและตาเท่านั้น ควรจะเชื่อผลพิสูจน์จากส่วนรวมที่กว้างใหญ่ หลักฐานก็ควรเอาคำกล่าวอ้างของนักปราชญ์ตั้งแต่โบราณจนถึงนักปราชญ์ปัจจุับัน มาเป็นหลักฐานถึงจะถูกต้อง ตั้งแต่โบราณมามีหลักฐานมากมายก่ายกองให้เราได้เห็น ถ้าหากยังเหลือข้อสงสัย ยังต้องรอให้ตนเองไปพิสูจน์ค้นพบแล้วจึงจะเชื่อ แม้จะมีหลักฐานยืนยันแล้ว ก็ยังมีข้อสงสัยไม่ยอมเชื่องั้นหรือ?  พระอิ้งกวง กล่าวว่า "การสนองของกฏแห่งกรรม มีมากมายในคัมภีร์ น่าเสียดายที่นักปราชญ์ไม่ยึดถือ เป็นเรื่องเกิดเรื่องตาย" ดังนั้น การได้เห็นก็ถือว่าไม่เห็น เพราะฉะนั้น ผู้ที่มีบุญกุศลดีอยู่แล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องมีหลักฐานจึงจะยอมเชื่อถือ ส่วนพวกที่บาปหนัก ถึงแม้มีหลักฐานก็ตามก็ยังไม่เชื่อถือ แต่จะเชื่อหรือไม่เป็นเรื่องของแต่ละคน หลักฐานก็ยังเป็นหลักฐาน กรรมตามสนองเป็นของจริงที่แน่แท้ ไม่ใช่ว่าไม่เชื่อแล้วไม่ยอมรับ แล้วจะสามารถเปลี่ยนแปลงกฏเกณฑ์ได้ ชาวบ้านส่วนใหญ่เห็นเป็นเรื่องยุ่งยากเฉพาะหน้า ในที่สุดก็ไม่สามารถจะหลีกเลี่ยงผลกรรมที่ก่อไว้ได้น่าอนาถจริง ๆ
หัวข้อ: ลังกาวตารสูตร : หนังสือร้องทุกข์ของสัตว์เดรัจฉาน
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 31/08/2554, 01:13
                        ลังกาวตารสูตร   :   หนังสือร้องทุกข์ของสัตว์เดรัจฉาน

        เจ้าแม่ถือมังสวิรัติ อย่าฆ่าสัตว์ตัดชีวิตเอามาเซ่นไหว้  ประวัติเจ้าแม่เป็นชาวเมืองมี้จิว อำเภอโป้วชั้ง มณฑลฮกเฮี้ยน ในสมัยราชวงศ์ซ้อง ชื่อฮุ้งมิก แซ่ลิ้ม ตั้งแต่เล็กก็กินเจสวดมนต์ไหว้พระ ฝึกฝนความเพียรจนบรรลุนิพพาน ได้รับราชโองการจากเง็กอ้วงฮ่องเต้ ให้เป็นเจ้าแม่แห่งสรวงสวรรค์ โดยปกติมักอวตารมาช่วยชาวประมงอยู่เป็นนิจด้วยเหตุฉะนี้ ชาวเมืองทางมณฑลตะวันออกเฉียงใต้ จึงนับถือยิ่งนัก เจ้าแม่มีความเมตตากรุณา ผู้สวดอ้อนวอนมักจะได้รับการช่วยเหลือ มีปรากฏหลักฐานสืบทอดกันมาเป็าร้อย ๆ ปีจึงเป็นที่นับถือของชาวประมงทางทิศตะวันออกเฉียงใต้  ชาวประมงจึงเซ่นไหว้นับถือเป็น "เจ้าแห่งท้องสมุทร" ไม่กี่ปีมานี้ด้วยการปกครองของรัฐบาลไต้หวัน ทำให้เศรฐกิจเจริญรุ่งเรืองประชาชนมั่งมีศรีสุข ถึงแม้วิทยาศาสตร์ก้าวหน้าก็ตาม แม้แต่ชาวเมืองที่ไม่ได้เป็นชาวประมงก้พากันเคารพนับถือมากมายนับไม่ถ้วน เนื่องจากคมนาคมสะดวก ศาลเจ้าทุกแห่งจะมีพวกนับถือไปกราบไหว้มากมาย โดยเฉพาะวันคล้ายวันเกิดในวันที่ ๒๓ เดือนสาม ของปฏิทินจันทรคติจะคลาคล่ำไปด้วยผู้คนมากมาย อย่างไรก็ตาม พวกที่นับถืออย่างจริงใจ ก้ยังมีความผิดพลาดมหันต์อยู่อันหนึ่ง นั่นก็คือ เมื่อเจ้าแม่ยังมีชีวิตอยู่ เจ้าแม่ถือมังสวิรัติ แต่ปัจจุบันพวกสาธุชนก็ยังคงฆ่าสัตว์ตัดชีวิตเอาสัตว์ไปเซ่นไหว้เจ้าแม่ แม้จะได้รับการเซ่นไหว้เช่นนี้  แต่เจ้าแม่รับไม่ได้ยังไม่พอ เจ้าแม่ทุกข์โศกหลั่งน้ำตา  สงสารสัตว์เหล่านั้นที่ถูกฆ่า อันนี้เป็นนิสัยที่สืบทอดกันมา  และก็ไม่มีใครแนะนำชักจูงให้ใช้ดอกไม้สด และผลไม้มาเซ่นไหว้ก็พอ เนื่องจากเจ้าแม่มีเมตตามหากรุณา ช่วยเหลือมวลมนุษย์มากมายให้พ้นจากเคราะห์กรรม ถ้าหากพวกเราจะตอบแทนบุญคุณเจ้าแม่  นับถือเจ้าแม่ละก็ พยายามทำความดีก่อกุศล ช่วยเหลือผู้คน ช่วยสังคม จึงจะเป็นที่ต้องประสงค์ ประกอบความเพียร และกินเจ  ถ้าจะมากราบไหว้ที่ศาลเจ้า ก็ควรกินเจอาบน้ำให้สะอาด  จิตใจผ่องใส สำรวมมารยาทเพียงคำนับหรือไหว้ หรือคุกเข่าไหว้ก็ตาม จิตใจเต็มไปด้วยความนับถือ เท่านี้ก็เป็นการเพียงพอแล้ว ทำไมต้องตัดชีวิตสัตว์มาเซ่นไหว้ ? หรือพวกที่อยากจะขอความเมตตาให้ช่วยเหลือเพียงธูปเทียนดอกไม้ และผลไม้ แล้วนั่งอธิษฐาน แสดงความในใจ เจ้าแม่ก็จะรับรู้ ก็เป็นการเพียงพอแล้ว ทำไมต้องฆ่าสัตว์อีกเล่า? หากว่าระลึกถึงบุญคุณ เมื่อเข้ามายังศาลเจ้าแล้วกล่าวถวายสิ่งที่ปฏิบัติดี คุณธรรมที่สร้างไว้ กราบเรียนต่อหน้าเจ้าแม่ ก็จะเป็นที่ชื่นชมของเจ้าแม่มาก ?  ดีกว่าต้องเสียเงินเสียทองไปซื้อกระดาษเงินกระดาษทองมาไหว้เจ้าแม่ ซึ่งท่านไม่ได้ใช้ ? หากจะฉลองวันคล้ายวันเกิด ของเจ้าแม่ยิ่งไม่ควรฆ่าสัตว์ตัดชีวิตเป็นอันขาด มีประวัติกล่าวว่า ตอนเจ้าแม่มีชีวิตอยู่ในโลกเป็นลูกที่กตัญญูมาก วันลาโลกของแม่ จะต้องสวดมนต์สักการะบูชาพระ เพื่ออุทิศกุศลให้พ่อแม่อายุยืนยาว  แต่ทุกวันนี้ เมื่อถึงวันคล้ายวันเกิดเจ้าแม่ มีการฆ่าสัตว์เป็นการใหญ่ เป็นวันที่สูญเสียชีวิตสัตว์ แล้วเอาสัตว์นั้นมาไว้บนโต๊ะบูชา เพื่อขอพรให้พ่อแม่อายุยืนยาว หรือขอพรกับเจ้าแม่ หรือเอามาแก้บนต่อเทพเจ้า ยิ่งดูน่าเศร้าสลด แม้แต่มดน้อยตัวหนึ่งที่ไร้ปัญญา เจ้าแม่ก็ยังเมตตาไม่ถือโทษ เจ้าแม่ผู้มีมหาเมตตา จะไม่เศร้าสลดใจได้อย่างไร? กับการกระทำข้างต้นนี้ เจริญพร !  สวรรค์อยากเอ่ยแต่ไม่มีวจี อยากพูดก็ไม่มีเสียง มีใครรู้บ้างไหมว่าวันคล้ายวันเกิดเจ้าแม่เพ่งมองมายังเบื้องล่างสรรพสัตว์ไม่ยอมฝึกฝนความเพียร เอาแต่เล่ห์เหลี่ยมต้มตุ๋นเงินทอง  "ไม่สะสมบุญบารมี ตรงกันข้ามก็เอาแต่ขอให้พระช่วยเหลือ" หรือถามหมอดูวุ่นวายไม่หยุดหย่อน สูญเปล่าไปชั่วชีวิต ตกอยู่ในทะเลทุกข์วนเวียนไม่จบ ตอนนี้จิตของเจ้าแม่คงทุกข์โศกยิ่งไม่ใช่หรือ? และยิ่งได้เห็นวันคล้ายวันเกิดของตนเอง ผู้คนกลับสร้างบาปก่อเวรหนักยิ่งขึ้น (ฆ่าสัตว์เอามาเซ่นไหว้) ชาวบ้านไม่เข้าใจ "กฏแห่งกรรม" กันเลย ตรงข้ามซากสัตว์บนโต๊ะบูชา เอามาขอบุญต่อชีวิต เจ้าแม่ก็ได้แต่เศร้าเสียใจหลั่งน้ำตามิใช่หรือ?     
หัวข้อ: ลังกาวตารสูตร : หนังสือร้องทุกข์ของสัตว์เดรัจฉาน
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 31/08/2554, 02:15
                     ลังกาวตารสูตร   :   หนังสือร้องทุกข์ของสัตว์เดรัจฉาน

        ดังนั้น จึงใคร่วิงวอนผู้คนที่อยากกราบไหว้เจ้าแม่ จงประพฤติแต่กรรมดี อ้อมอกสวรรค์แผ่กรุณา โดยเฉพาะผู้ที่จะตอบแทนเจ้าแม่ ควรประพฤติดีต่อสังคม สร้างคุณงามความดี ตัดโลภ โกรธ หลง เคารพฟ้าดิน เคารพเจ้าเทวดา เคารพพ่อแม่ เคารพบัณฑิต ต้องไม่พูดกล่าวร้าย พูดแต่ความดี อย่าพูดปลิ้นปล้อน อย่าพูดส่อเสียด จงพูดแต่หลักธรรมตักเตือนผู้อื่นประพฤติดี รักษาศีล ประกอบความเพียร ถ้าจะสร้างบุญบารมี ก็จงบริจาคข้าว โลงศพ สร้างสะพาน สร้างทาง ซ่อมสร้างศาลเจ้า วัดวาอาราม สร้างพระ พิมพ์หนังสือธรรมะ "บริจาคทรัพย์อย่าขี้เหนียว ออกแรงก็ไม่บ่น ไม่คิดให้ผลตอบแทน ไม่ต้องให้คนรู้" ทำบุญอยู่ตลอด ถ้าหากอวยพรให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ก็ใช้แต่มังสวิรัติ เช่น ขนมท้อ เส้นหมี่ ผลไม้ ถ้าหากใคร่ใช้สัตว์ก็ใช้ถั่วจำลองร่างสัตว์ ไม่ควรฆ่าสัตว์ต่าง ๆ เหล่านี้ แม้จะไม่ขอพรสวรรค์ก็บันดาลให้ เจ้าแม่ก็คุ้มครองด้วย  ถ้าหากจิตศรัทธา ก็ใช้ "อาหารเจและผลไม้"  ถ้าหากท่านอยากจะเลี้ยงแขก ที่กินเจสักคนหนึ่ง แต่ท่านก็เอาอาหารเนื้อสัตว์มาเลี้ยง ท่านลองคิดดูซิว่า แขกผู้นั้นจะกล้ากินหรือ ? การกระทำเช่นนี้จะมีความเกรงใจหรือไม่?  เหตุผลก็เช่นเดียวกัน ถ้าหากเธอรู้ว่าเจ้าแม่เป็นผู้ถือมังสวิรัติ แล้วเราเอาอาหารเนื้อไปเซ่นไหว้ เธอคิดดูว่่าเจ้าแม่จะรับหรือ ? แต่ก็มีคนพูดว่า ลูกศิษย์ลูกหาของเจ้าแม่อาจกินเนื้อ แต่ชื่อที่เราเซ่นไหว้ก็คงเป็นชื่อของเจ้าแม่ มิใช่หรือ? ดังนั้น "ถ้าหากเป็นเทพเทวา ก็ต้องไม่เสพเนื้อสัตว์" เทพเทวาที่เที่ยงธรรม ย่อมพอใจลูกศิษย์ลูกหากราบไหว้แต่ของเจ งดเว้นการฆ่าสัตว์ เพื่อตอบแทนฟ้าดินที่รักทุกชีวิต เมื่อเจ้าแม่ถือเจ ลูกศิษย์ลูกหาย่อมได้รับการขัดเกลาอบรมบ่มนิสัยจากเจ้าแม่มานานแล้ว  ก็ย่อมไม่ชอบเสพเนื้อ มิฉะนั้นจะได้รับเป็นลูกศิษย์เจ้าแม่หรอกหรือ ดังนั้น เมื่อเธอมีจิตศรัทธาจริงก็จงใช้อาหารเจไหว้พระ ย่อมได้รับการคุ้มครองจากพระแน่นอน "ถามไม่ตอบ เนื่องจากไม่ควรใช้ซากสัตว์"  ประมาณ ๒ ปี ได้ยินเขาเล่าว่า ในหมู่บ้านฮกเฮง มีบ้านแซ่อึ้ง เป็นครอบครัวที่ซื่อสัตย์ และประพฤติธรรมอันดีงามมีแม่ผัวและลูกสะใภ้ ๒ คน ใช้อาหารเจไหว้พระ เนื่องจากในครอบครัวมีคนกินเนื้ออยู่มาก ปีนั้น วันคล้ายวันเกิดของเจ้าแม่ ลูกสะใภ้คนเล็กของตระกูลอึ้ง ได้เตรียมเป็ดไก่ไปไหว้เจ้าแม่ชุดหนึ่งไปไหว้เจ้าแมีที่ศาลเจ้า พอไหว้เสร็จก็เอาไม่ปวย ( คือไม้คู่รูปร่างคล้ายรูปไต่ผ่าซีกมักวางไว้บนโต๊ะบูชา ใกล้ ๆ กับกระบอกเซียมซี  มีไว้ถามเจ้าว่าดีหรือว่าไม่ดี ได้หรือไม่ได้ โดยการโยนไม้คู่ขึ้นไปบนอากาศแล้วปล่อยให้ตกลงมายังพื้น ถ้าไม้ข้างหนึ่งหงายอีกข้างหนึ่งคว่ำ ก็ถือว่าเจ้าเห็นด้วย หรือว่าดีหรือได้ แล้วแต่คำถาม ถ้าไม้ออกมาในรูปคว่ำทั้งสองอัน แสดงว่าไม่ตอบ ถ้าไม้หงายทั้งคู่ แสดงว่าไม่เห็นด้วย ) ขึ้นมาทำท่าไหว้ แล้วก็ถามเจ้าแม่ไปว่า ของที่นำมาไหว้นี้ พอใจหรือไม่ ผลปรากฏว่าไม่ทรงตอบ แม้จะโยนสักี่ครั้ง ๆ ก็คงเหมือนเดิม เลยถามว่ากระดาษเงินกระดาษทองน้อยไปหรือ? ก็ไม่ใช่ เพราะลืมเอาเหล้ามาถวายใช่หรือไม่? ก็ไม่ตอบ หรือไก่ที่นำมาไหว้เล็กไปหรือ ? ก็ไม่ใช่ หรือเพราะของนำมาไหว้น้อยไปหรือ? ก็ไม่ใช่ ถามไปถามมาคิดไม่ออก ฉับพลันจิตใต้สำนึกก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ เลยตอบไปว่า "เป็นเพราะว่าศิษย์กับแม่ย่ากินเจ แล้วนำอาหารสัตว์มาไหว้ เจ้าแม่ไม่พอใจใช่หรือไม่ ถ้าใช่ก็โปรดตอบ " พอถามเสร็จก็โยนไม้ปวย ปรากฏว่าไม้คว่ำหงายอัน แสดงว่า "ใช่" เธอรู้สึกกลัว เลยบอกว่า ถ้างั้นก็ขออภัยและคราวต่อไปจะงดอาหาร เธอรู้สึกกลัวเลยบอกว่า ถ้างั้นก็ขออภัยและคราวต่อไปจะงดอาหารสัตว์มาไหว้ จะนำอาหารเจมาไหว้ ดังนั้น สองปีที่ผ่านมานี้ ลูกสะใภ้บ้านแซ่อึ้ง ก็นำแต่ของเจมาไหว้ "อาหารเนื้อสัตว์ หมูเห็ดเป็ดไก่ เต็มโต๊ะ เจ้าได้รับแต่เพียงอาหารเจชุดเดียว" มีตระกูลแซ่จัง  ในเมืองจั้งฮัว ตั้งแต่ปู่ ย่า จนถึงลูกหลานต่างก็กินเจทั้งสามชั่วโคตร ทั้งครอบครัวมีสุข บุญบารมีล้นฟ้ามีวันหนึ่งเป็นวันคล้ายวันเกิดของเจ้าองค์หนึ่ง ผู้คนนำหมู เห็ดเป็ดไก่ ไปไหว้กันเต็มโต๊ะไปหมด ยังกับแข่งขัน แสดงอวดกัน คุณนายจังไปทีหลัง เนื่องจากครอบครัวกินเจ ก็เลยใช้ถั่วลิสงทำเป็นรูปสัตว์ต่าง ๆ กัน ชุดเล็ก ๆ หนึ่งชุดมาไหว้ ตอนนี้บนโต๊ะก็เต็มไปด้วยเป็ดไก่ ไม่มีที่จะวางได้ คนเฝ้าศาลเห็นดังนั้น ก็เลยนำอาหารเจชุดนี้ไปไว้เหนือโต๊ะ พอดีลูกสะใภ้ตระกูลจังมาถึง แลเห็นว่า อาหารข้างบ้านตนเป็นอาหารชุดเล็ก ๆ เป็นที่สนใจของผู้พบเห็น ในใจรู้สึกไม่ค่อยสบายใจแต่ว่าไม่นานนัก พอเจ้าเข้าทรงเขียนออกมาว่า ในบรรดาของที่นำมาไหว้มากมาย เจ้าได้รับเพียงอาหารเจชุดเดียว เป็นของศิษย์ตระกูลจัง ทำให้บรรดาเทพเทวาต่างยินดีเป็นอย่างยิ่ง  จากจุดนี้เอง ทำให้รู้ว่าเทพเทวาไม่ต้องการให้ผู้คนฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ดีใจที่คนเอาอาหารเจมาไหว้ ดังนั้น ที่ ๆ เทพเทวาอยู่จะปราศจากคาวโลกีย์ ก็ย่อมพอใจ ความสะอาดของอาหารเจ เกลียดอาหารเหม็นคาวของเนื้อสัตว์
หัวข้อ: ลังกาวตารสูตร : สารจากยมบาล
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 31/08/2554, 03:06
                    ลังกาวตารสูตร   :   สารจากยมบาล

        ผู้คนอย่าดูชาตินี้เพียงชาติเดียว ควรพิจารณาว่ากฏแห่งกรรมนั้นมีจริง ผลที่ได้รับในชาตินี้ สืบเนื่องจากการกระทำในชาติก่อน ดังนั้นผู้ที่ยากจน หรือมีโรคมากก็จงอย่าโทษฟ้าดิน หรือคนอื่น ควรรีบสร้างบุญสร้างกุศล ผู้ที่มีบุญวาสนา ก็ยิ่งต้องรักบุญกุศลสะสมบุญบารมีอีก มิฉะนั้นพอหมดบุญลง "เคราะห์กรรมมาถึงก็จะได้ลิ้มรสผลชั่วของตนเอง" ตลอดชีวิตของคน ตอนที่ใกล้จะตายได้สังเกตุอวัยวะทั้งห้าว่าเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร ร่างกายแข็งทื่อหรืออ่อนนิ่ม ใบหน้าปกติหรือไม่จะได้รู้ว่าผู้ตายจะไปสู่สุขคติหรือลงสู่ขุมนรก ให้พิจารณาดูดังนี้  : 
        ๑. ตอนตายใหม่ ๆ ถ้าหากหน้าตาปกติร่างกายอ่อนนิ่ม สีหน้าเหมือนคนมีชีวิตอยู่ก็เนื่องจากได้บรรลุธรรมดวงวิญญาณไปสู่สุขคติ
        ๒. ตอนตายใหม่ ๆ ถ้าหากร่างกายแข็งทื่อ หน้าตาซีดเผือดเหมือนคนตกใจ นั่นแสดงว่า วิญญาณได้ตกสู่นรกแล้ว
        ๓. ถ้าตอนตายใหม่ ๆ ร่างกายแข็งทื่อ หน้าตาน่ากลัวเพราะความตกใจกลัว ทำให้เนื้อกายเปลี่ยนไป ซึ่งเรียกว่าเปลี่ยนลักษณะ จะไปเกิดเป็นสัตว์สี่ชนิดด้วยกัน เราก็ดูได้จาก " ตา  หู  จมูก  ปาก " เป็นทวารทั้งสี่ ที่ดวงวิญญาณจะไปเกิด เพราะตามีน้ำตา หูก็มีขี้หู จมูกก็มีน้ำมูก ปากก็มีน้ำลาย เป็นทวารที่ไม่สะอาดสี่ช่องทาง ดังนั้นเมื่อตายลงแล้ว ถ้าวิญญาณออกจากทวารต่าง ๆ นี้ ชาติหน้าไปเกิดเป็นสัตว์สี่ประเภทคือ สัตว์เกิดจากรก  เกิดจากไข่  เกิดเป็นสัตว์น้ำ  และเกิดเป็นพวกแมลง
       
         " ตา "  พวกที่หลงกามคุณมากเกินไป พอจวนจะตายดวงตาจะเบิกกว้าง วิญญาณจะออกจากร่างทางทวารตา ชาติหน้าจะไปเกิดเป็นสัตว์ปีก (เกิดจากไข่) เช่นพวกนกต่าง ๆ อันได้แก่ นกเหยี่ยว นกพิราบ นกนางแอ่น ฯลฯ เป็นต้น พวกนี้ ตาจะได้เห็นทั่วทั้งสี่ทิศ
       
         " หู "  พวกที่ชอบฟังเรื่องราวไม่ดี เรื่องร้าย ๆ ต่าง ๆ มากมาย พอตายลงหูทั้งสองข้างจะชันขึ้น วิญญาณออกจากทวารหู ชาติหน้าก็เกิดเป็นสัตว์ที่เกิดจากรก ได้แก่ ช้าง ม้า วัว ควาย หูจะเข้าใจภาษาคน ให้คนได้เรียกใช้สอย
       
         " ปาก "  พวกที่กล่าวร้ายทำลายผู้อื่น พูดจาเสียดสีนินทา กล่าวหาเกินเลย ก่อนจะตาย ปากจะอ้ากว้างไม่หุบ วิญญาณออกทวารปาก จะไปเกิดเป็นพวกสัตว์น้ำ เช่น กุ้ง หอย ปู ปลา เป็นต้น ปากจะลิ้มรสของเหม็นของสกปรก
       
         " จมูก "  พวกที่ชอบหลงไหลกับกลิ่นหอม ชอบหาเงินที่สกปรก ก่อนจะตายจมูกจะเบิกกว้าง วิญญาณออกทางจมูก ชาติหน้าจะเกิดเป็นพวกแมลง เช่น ยุง แมลงวัน มด หนอนต่าง ๆ เป็นต้น เพราะจมูกชอบดมของเหม็นที่สกปรก ชอบอกชอบใจตนเอง พวกนี้เกิดในที่ชื้นแฉะ มีการเปลี่ยนแปลง เนื่องจากบาปหนักวิญญาณจะถูกตีแตกกระจายไปเกิดเป็นแมลงต่าง ๆ

        เวลาคนตายลง วิญญาณที่ออกทางทวาร ตา  หู  จมูก  ปาก  นี้ล้วนมีเคราะห์ร้ายมากกว่าเคราะห์ดี เนื่องจากทวารทั้งสี่เป็นทวารสำลอง ที่คอยช่วยเหลือ "เจ้าของธาตุแท้"  ถ้าหากใช้ทวารทั้งสี่ไปในทางที่ถูกต้อง ก็จะเป็น "ผู้เที่ยง ตรงทั้งสี่" หากใช้ในทางตรงข้ามก็จะกลายเป็น "สี่มหาโจร" ซึ่งจะทำลายเจ้าของในเวลาปกติ ถ้าใช้ทวารทั้งสี่ในทางเลวร้าย พอตายลง วิญญาณก็จะออกทางทวารเหล่านี้ โดยธรรมชาติ ทำให้ไปเกิดเป็นสัตว์ต่าง ๆ  ๔ ประเภท จากหน้าตาของผู้วายชนม์ ก็สามารถหยั่งรู้ทางไปของเขา แต่ก็ต้องอาศัย เหตุต้นผลกรรม และบาปบุญคุณโทษที่มีอยู่ มาชำระคดีความ จึงสามารถได้ผลที่ถูกต้อง แต่ส่วนใหญ่แล้วจากรูปลักษณ์ก่อนตายก็สามารถจะรู้ได้ถึงที่ทางที่เขาจะได้ไปดีหรือร้ายอย่างไร  ดังนั้น ทิศทางหมุนเวียนของคน ก็ขึ้นอยู่กับตัวของคนเอง ผู้ที่มีตาทิพย์ย่อมเห็นได้เองโดยตลอด ขอให้ผู้คนเดินในทางตรง (สร้างบุญกุศล) อย่าเดินทางอ้อม (ก่อกรรมทำเข็ญ) ตอนจะจากโลกนี้ไป จะได้เดินทางโดยสวัดิภาพ
หัวข้อ: ลังกาวตารสูตร : ภาพแห่งความเมตตา
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 31/08/2554, 03:26
                    ลังกาวตารสูตร   :  ภาพแห่งความเมตตา

        ภาพแห่งความน่ารักของเพื่อน (เกิด แก่ เจ็็บ ตาย)  หยุดการเข่นฆ่ากินเจกันเถอะ !  สัตว์ก็มีหัวใจ   
สัตว์ก็แสดงความรักได้   
สัตว์เขามีครอบครัวน่ารัก 
สัตว์ก็รักลูกเหมือนเรา   
เขาก็ง่วงนอนเหมือนเรา 
เขาก็เพื่อนเหมือนเรา

            เวไนย์คือเรา  เราคือเวไนย์

สุกรและ         มนุษย์นี้               มีชีวิต
ถูกลิขิต          จากกรรม             ที่ทำไว้
มีเจ็บปวด        มีกลัวตาย            มีจิตใจ
เหตุไฉน         จึงประหาร            ทุกวารวัน
เป็นอาหาร       ของมนุษย์           สุดอร่อย
เพื่อบำรุง         น้ำย่อย               ช่างหฤหรรย์
เป็นร้อยพัน       สรรมาฆ่า            พรรวยกัน
แต่กรรมนั้น       ใครได้รับ            ไว้กับคน
ยามสิ้นชีพ        ทรมา                น่าอดสู
ต้องมาร้อง        เสียงเหมือนหมู     ดูสับสน
มีสภาพ            คล้ายสัตว์            ไม่เหมือนคน
กรรมให้ผล        ในชาตินี้              นี่ของจริง
                                                        บทกลอน  :  ประภาพรรณ  เสน่ห์มิตร   
หัวข้อ: ลังกาวตารสูตร : รักสัตว์ ไยจึงกินเนื้อสัตว์
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 31/08/2554, 03:51
                      ลังกาวตารสูตร   :   รักสัตว์  ไยจึงกินเนื้อสัตว์

        สุกรไก่             แพะโค             กุ้งเป็ดปลา
ต่างต้องมา                เป็นอาหาร          รับทานลิ้น
สัตว์ทั้งหลาย             ถูกฆ่าตาย           กายถมดิน
ช่างชาชิน                  กินเลือดเนื้อ        ไม่เบื่อกัน
คนกับสัตว์                 มีชีวิต                 รักชีวี
ต่างก็มี                     ความรู้สึก             มีโศกศัลย์
เปลี่ยนพฤติกรรม         การกิน                เสียใหม่พลัน
รับทาน                     มังสวิรัติกัน           ไม่ก่อเวร

                      ค่ำคืนอันเงียบเหงา

        ทุกราตรี            มีไก้ขัน               กันเซ็งแซ่
ช่างเงียบแท้               ตีห้า                  พาเปล่าเปลี่ยว
เจ้าคงเลือดนอง           เปื้อนมีด             พันเล่มเทียว
เขาคงเคี้ยว                แกล้มสุรา            พาเพลิดเพลิน
เป็นเพราะว่า               คืนนี้                  ส่งปีเก่า
สังหารเจ้า                  ทุกครัวเรือน         ไม่ขัดเขิน
ชีวิตสัตว์                    น่าสงสาร             เสียเหลือเกิน
เพราะบังเอิญ              คนเห็น                เป็นธรรมดา
ถ้ามนุษย์                   หยุดฆ่าสัตว์          ตัดชีวิต
เปลี่ยนความคิด            ที่ผิด                  กันทั่วหน้า
รับทาน                      มังสวิรัติ              ชั่วชีวา
มีศีลห้า                     บริสุทธิ์                หยุดสร้างกรรม

                      ขนของแม่   

แม่เพิ่งคลอด              ลูกนี้                   สี่ชีวิต
คนอำมหิต                 ปลิดชีวี                แม่ดับดิ้น
เหลือแต่กอง              ขนไก่                  บนพื้นดิน
ลูกจำกลิ่น                 แม่ได้                  ไม่คลายจาง
ต่อไปนี้                    จะมีใคร                 กางปีกปก
ลูกมีอก                    แม่อุ่น                   ไม่เคยห่าง
โอ๋แม่จ๋า                   ลูกมีแม่                  เคยนำทาง
ลูกอ้างว้าง                เพราะใครหนอ          เขาก่อเวร

                       ลูกแม่

โอ้ลูกแม่                  อยู่ไหน                 ใครรู้บ้าง
แม่อ้างว้าง                ว้าเหว่                   ถวิลหา
เคยกกไข่                 ด้วยยินดี                เสมอมา
อนิจจาเขา                เอาไปกิน               กันอิ่มใจ
เห็นเปลือกไข่            จำได้                    ใช่ลูกฉัน
ทุกคืนวัน                  เคยกอดกก             และชิดใกล้
มีมือมาร                   ประหารลูก              จากแม่ไป
มนุษยธรรม               อยู่ที่ไหน                ช่วยบอกที                                                                           
หัวข้อ: ลังกาวตารสูตร : ทุกข์ทรมานจนตาย ได้โปรด ! ไว้ชีวิตฉันเถิด
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 31/08/2554, 11:21
                  ลังกาวตารสูตร   :  ทุกข์ทรมานจนตาย

        ความเจ็บปวด             รวดร้าว             ถูกเชือดคอ
จะร้องขอ                          ความปราณี        ได้ที่ไหน
ต้องด่าวดิ้น                        หลายนาที         จึงสิ้นใจ
โอ้เป็ดไก่                          ยามถูกเชือด       เลือดไหลนอง
ช่างเป็นภาพ                       ที่เวทนา            น่าเศร้านัก
โปรดตระหนัก                      ภาพพจน์           สยดสยอง
เมื่อรับประทาน                     สัตว์ทุกครั้ง        ควรตรึกตรอง
เขาทั้งหลาย                        คือพี่น้อง          ร่วมโลกเรา

                      ได้โปรด !  ไว้ชีวิตฉันเถิด

        เสียงทอดถอน               โทมนัล            พ่อโคเฒ่า
นั่งคุกเข่า                             วอนเพชรฆาต     ขอชีวิต   
มีดขาววับ                             ระดับคอ           รอชีพปลิด
ในดวงจิต                             ปวดร้าว            น้ำตาริน
เคยรับใช้                             ไถนา               มานานปี
ไม่เคยมี                              ความชอบ          ช่างลืมสิ้น
ต้องถูกฆ่า                            เป็นอาหาร         ให้เขากิน
ชั่วชีวิน                                วัวควาย            คืออาหารคน

                        รู้คุณไม่เบียดเบียน

        คนในภาพ                    เป็นชาวนา          กัลยาณจิต
ชั่วชีวิต                                มีสัจจะ              จิตใจสูง
มีเมตตา                              กรุณา                คอยชักจูง
ใจนั้นมุ่ง                              แทนพระคุณ        การุณธรรม
เมื่อเยาว์วัย                          ได้อาศัย             ดื่มนมโค
ยามเติบโต                           เลี้ยงไว้              ให้อิ่มหนำ
อันโคนี้                               เคยใช้งาน           อย่างตรากตรำ
ถึงแก่เฒ่า                            ก็ไม่นำ               ไปฆ่ากิน
เขาเข้าใจ                            ในหลัก               กฏแห่งกรรม
ไม่กระทำ                            ชั่วซ้ำ                 ให้ผิดศีล
เขารับประทาน                      มังสวิรัติ               เป็นอาจิณ
ชั่วชีวิน                               กตัญญู                รู้พระคุณ                     
หัวข้อ: ลังกาวตารสูตร : ลูกจ๋า ! แม่ลาก่อน - อาลัยเจ้าเพื่อนยาก
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 31/08/2554, 11:47
                  ลังกาวตารสูตร   :  ลูกจ๋า !  แม่ลาก่อน

        ภาพแม่แกะ             ถูกจูง             ไปเข่นฆ่า
เหมือนรู้ว่า                       ต้องพราก        จากลูกขวัญ
แม่กับลูก                        ต่างมองหน้า      กันและกัน   
ต่างโศกศัลย์                    เศร้านัก            ความรักเรา
แม่จ๋าอย่าไป                    อย่าไป             ให้เขาฆ่า
จงกลับมา                       อยู่กับลูก           ให้คลายเหงา
ในที่สุด                         แม่ต้องไป           จากพวกเรา
เป็นเรื่องเศร้า                  พลัดพราก           ตายจากกัน
ถ้ามนุษย์                       หยุดฆ่า              หยุดรับทาน
คงไม่ต้อง                      ถูกประหาร           อย่างหฤหรรษ์   
คงไม่ต้อง                      เห็นภาพ             บาดชีวัน
ด้วยยึดมั่น                     ศีลข้อหนึ่ง           พึงจดจำ

                        อาลัยเจ้าเพื่อนยาก
        โอ้เพื่อนเอ๋ย             เคยเห็น             ทุกเช้าค่ำ
ฉันเคยนำ                        เอาหญ้า             มาเลี้ยงเจ้า
เจ้าแพะน้อย                    ตัวนิด                 เพื่อนชิดเรา
เคยคลอเคล้า                   เคลียขา              พากันเดิน
เราคือเพื่อน                     รู้ใจ                   กันนานปี
คงไม่มี                          ใครมาพราก          ให้ห่างเหิน
เคยวิ่งเล่น                       ทุกเย็นเช้า           อย่างเพลิดเพลิน
ช่างบังเอิญ                      มีเหตุการณ์          ประหารใจ
อนิจา                            เจ้าโดนฆ่า            คอถูกเชือด
เห็นกองเลือด                  และศพเจ้า            เศร้าไฉน
เจ้าต้องกลาย                  เป็นอาหาร             ทำทานไป
ตั้งสัจจะไว้                     ไม่กินเจ้า               เราเพื่อนกัน

                           น้ำมือคน
        เกล็ดของปลา           เปรียบเสมือน           เล็บมนุษย์
ถ้าเล็บหลุด                      สุดเจ็บปวด              อย่างมหันต์
ต้องหาหมอ                     ทำแผล                  ดูแลกัน
แต่สัตว์นั้น                       ไม่มีปัญญา             รักษาตน
เราขอดเกล็ด                    ปลาเป็น                เห็นธรรมดา
แต่อนิจา                         หารู้ไม่                  เขาเจ็บล้น
ต้องเกลือกกลิ้ง                 ดิ้นหนี                  น้ำมือคน
สุดจะทน                        ภาพเช่นนี้              มีทุกวัน
ถ้ามนุษย์                        หยุดทำร้าย            ทำลายสัตว์
โลกคงจัด                       อยู่ในทาง              ที่สร้างสรรค์
ยึดมั่น                            อยู่ในศีล               ชั่วชีวัน
รับทาน                           มังสวิรัติกัน             ทั้งครอบครัว             
หัวข้อ: ลังกาวตารสูตร : ลานประหาร - เสียงจากกันชั่วนิรันดร์
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 31/08/2554, 12:17
                    ลังกาวตารสูตร   :  ลานประหาร 

        สัตว์น้ำ             ทุกชีวิต             ถูกปลิดชีพ
ต่างก็รีบ                    เอาตัวรอด         ดิ้นรนหนี
มีดฟันขาด                 สองท่อน          ยังอยู่ดี
แหวกว่ายหนี              มือมาร             กลัวการตาย
บางชีวิต                   นำไปทอด         ในกระทะ
ก็ยังจะ                    ดิ้นได้               น่าใจหาย
เขารักชีวี                 หวงชีวิต             ห่วงร่างกาย
โปรดละอาย             อย่าฆ่าสัตว์          วิรัติกรรม

                      เสียงจากกันชั่วนิรันดร์
        ยามสายัณห์             ตะวันรอน          จวนลับฟ้า
เจ้าปักษา                        ผัวเมีย              บินเริงร่า
ช่างไม่รู้                          อันตราย            ติดตามมา
ต่างปรารถนา                    ในรัก                สลักใจ
ธนูพิษ                            มือเพชฌฆาต     บังอาจนัก
มาพรากรัก                       พวกเรา            เศร้าไฉน
เสียงบอกเจ้า                     บาดเจ็บ           จนขาดใจ
เสียงร่ำไห้                        พี่จ๋า               น้องลาที

                     แม่ใกล้จะกลับแล้ว
        สิ้นเสียงปืน              ดังลั่น               สนั่นป่า
ถูกแม่นก                        ตกลงมา            ชีวาสิ้น
เหตุมัวมอง                      หาเหยื่อ            เพื่อลูกกิน
กายพังภินท์                     เพราะมนุษย์       สุดบรรยาย
แสนสงสาร                      ลูกนกน้อย         เฝ้าคอยแม่
ต่างชะแง้                        ชูคอร่อน           รอรอหาย
พี่ปลอบน้อง                     อย่าร้องไห้        ใจวุ่นวาย
ตอนสายสาย                    แม่คงกลับ         รับขวัญเรา
โปรดยุติ                         การสร้างกรรม      และทำร้าย
สัตว์ทั้งหลาย                   คงเป็นสุข           ไม่โศกเศร้า
ช่วยพิทักษ์                     รักสัตว์ด้วย          สองมือเรา
คนรุ่นเยาว์                      คงเอาอย่าง         ในทางดี

                        เพชฌฆาตเลือดเย็น
        ผ้าต่วนแพร             ต่างถักทอ             ด้วยใยไหม
เราสวมใส่                      ด้วยนิยม               สมศักดิ์ศรี
ถ้าจะคิด                        ให้ลึกซึ้ง               คงทราบดี
ผ้าสวยนี้                        กรรมวิธี                มีเช่นไร
เขาใช้ไหม                     มีชีวิต                  ใส่หม้อต้ม
สัตว์ตายล้ม                    เพราะแพรพรรณ      ให้สมใจ
โปรดคิดใหม่                  ใช้ใยรัก                 ถักทอแทน                       
หัวข้อ: ลังกาวตารสูตร : ชีวิตใคร ใครก็รัก - เห็นผิดเห็นชอบ - ฉุดช่วยเขา เราพ้นเคราะห์
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 31/08/2554, 12:42
                        ลังกาวตารสูตร   :  ชีวิตใคร ใครก็รัก

        กิเลน             สัตว์โบราณ             จิตเมตตา
มักกรุณา                สัตว์ตัวน้อย              อยู่เสมอ
ยามเดินไป             ในถนน                   ได้เจอะเจอ
เขาไม่เผลอ            เหยียบตาย               ให้วายปราณ
มนุษย์เรา               ยกตน                     เป็นคนฉลาด
เหตุไฉน                จึงพิฆาต                  อย่างอาจหาญ
มนุษยธรรม             นั้นอยู่ไหน               ใครต้องการ
โปรดไขขาน            คำตอบ                   จะขอบคุณ

                     เห็นผิดเห็นชอบ 
        พวกเด็ก          ไร้เดียงสา               ทรมานสัตว์
ชอบใช้พัด                ตบตี                     พวกผีเสื้อ
แม้หิ่งห้อย                ตัวเล็ก                   ตายเป็นเบือ
เขาไม่เชื่อ                บาปเวร                   เพราะเยาว์วัย
พ่อแม่                    ควรสอนลูก               ปลูกความคิด
ให้มีจิต                   เมตตา                     อย่าสงสัย
สัตว์ทั้งหลาย            รักชีวี                      ล้วนหนีภัย
สร้างปัจจัย               คือความดี                มีคุณธรรม

                    ฉุดช่วยเขา เราพ้นเคราะห์     
        ไม่สมควร           จับแมลง               มาฆ่าเล่น
เป็นบาปเวร                 ก่อกรรม                อันยิ่งใหญ่
เมื่อเห็นสัตว์               จะจมน้ำ                 รีบช่วยไว
ด้วยจิตใจ                  เมตตา                   พ้นภัยพาล
สัตว์หรือคน               รักชีวิต                    เช่นเดียวกัน
ต่างหนีพลัน              ความตาย                 กลัวประหาร
โปรดพิทักษ์              อนุรักษ์ไว้                ให้อยู่นาน   
พวกลูกหลาน            ตามแบบอย่าง            ทางที่ดี

                    เพรียกพร้องร้องร่ำ
        เห็นนกน้อย         ถูกขัง                  คงโศกเศร้า
ด้วยตัวเจ้า                  นั้นยังมี                 ซึ่งพี่น้อง
มีพ่อแม่                     เมียลูก                 เคยคุ้มครอง
แต่เจ้าต้อง                  มาพราก               จากมือคน
เขาฟังเสียง                 นกร้อง                 รื่นรมย์หู
เขาไม่รู้                      ว่าเจ้านี้                ช่างสับสน
คิดถึงลูก                    คิดถึงแม่               แสนมืดมน
ต้องทุกข์ทน                เหมือนนักโทษ       โปรดเห็นใจ
ถ้ามนุษย์                    ถูกพราก               จากของรัก
คงต้องจัก                   เจ็บจน                  ทนไม่ไหว
กรุณาให้                    อภัยทาน               สราญใจ
ปล่อยเขาไป                จากกรง                คงหมดกรรม

                   สำนึกขอขมา 
        มีเมตตา               ไม่ฆ่าสัตว์           ตัดชีวิต
ด้วยดวงจิต                    แน่วแน่่              ไม่แปรผัน
จะรับทาน                      มังสวิรัติ             ชั่วขีวัน
เปิดศักราช                     อันแจ่มจรัส         เพื่อตัดกรรม
มีหิริ                             โอตตัปปะ          สละชั่ว
ไม่เกลือกกลั้ว                 กลัวบาปเก่า        มากลายกล้ำ
ตั้งแต่นี้                         แต่ไป               จะใฝ่ธรรม
อโหสิกรรม                    ชาตินี้                อย่ามีเวร             
หัวข้อ: ลังกาวตารสูตร : บทกลอนเตือนใจให้กินเจ - คำเตือนจากพระอินทร์ ฯ(พระเจ้ากวนอู)
เริ่มหัวข้อโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 31/08/2554, 13:23
                    ลังกาวตารสูตร   :   บทกลอนเตือนใจให้กินเจ

        ประนมกราบ             แทนบาทพระ             อธิษฐาน
ขอพบพาน                      แต่สิ่งดี                     ที่ประสงค์
ก้มสักการ                       ไม้ดอกผล                  จิตมั่นคง
หากปลิดปลง                   ชีพสัตว์                      อย่าหวังบุญ
เรื่องเวียนว่าย                   ตายเกิด                     เจ้าไม่เชื่อ
ญาติมิตรเมื่อ                    สิ้นชีพลง                   กรรมนำหนุน
ก. ฆ่าไก่                        เหมือนฆ่าลูก               สุดทารุณ
ข. ฆ่าหมู                        เหมือนฆ่าลูก               ฆ่ามารดา
พระกวนอิม                      โปรดเจ                     ไม่ใช้เหล้า
พุทธเจ้า                          เกลียดที่สุด                คือฆ่าสัตว์
พระเจ้า                           ล้วนมีจิต                    โพธิสัตว์
จงปฏิบัติ                         ตามรอย                     พุทธธรรม
เว้นแต่                           เจ้ามาร                       หลงลาภปาก
แต่ทำบาป                       หลอกลวง                   ผิดศีลธรรม 
ขอเตือนอย่า                    เซ่นไหว้สัตว์                ทำบาปกรรม
น้อมจิตนำ                       จุดธูป                        เพียงสามดอก
บริจาค                           ทรัพย์สิน                    ช่วยคนยาก
บุญจะมาก                       ลูกหลาน                    สุขสบาย
กินเจ                             มีประโยชน์                  ทั้งกายใจ
หมดมารร้าย                     อยู่สุข                        ทุกฤดู   

                  คำเตือนจากพระอินทร์ พระผู้เป็นเจ้าบนสรวงสวรรค์ (พระเจ้ากวนอู)
        ข้ากวนอูผู้เลิศ               ในทางรบ
ได้ค้นพบสัจธรรม                   ล้ำสดใส
แม้ทางวิทยาศาสตร์                อันเกรียงไกร
ยอมรับให้ชาวโลก                  บริโภคเจ
        ถือศีลห้ากินเจ               จะจำเริญ
อย่าเพลิดเพลินหลงทาง           ที่หักเห
เบียดเบียนสัตว์ไร้สุข                ทุกข์ทั้งเพ
อย่ารวนเรเร่งทำ                     แต่กรรมดี
        อันเนื้อสัตว์สะสม            อมเชื้อโรค
ควรบริโภคพืชผัก                    จักสุขี
ข้ากวนอูรับประกัน                   ในความดี
เพราะข้ามีเมตตา                    จึงกล้าเตือน
        ข้าเป็นชายนักรบ             เจนจบสิ้น
น้ำตารินไหลอาบ                     ดังดาบเฉือน
การกระทำของมนุษย์                สุดแชเชือน
จักตักเตือนใช่หลอก                 บอกความจริง
 
       ดูกรภิกษุทั้งหลาย :  สัตว์กลับมาเกิดในหมู่มนุษย์มีประมาณน้อย สัตว์เกิดในกำเนิดอื่นจากมนุษย์มีมากกว่า มากทีเดียวฉันนั้นเหมือนกัน  โอ มหาบัณฑิต !  ในวัฏสงสารอันไม่มีใครทราบที่สุด สัตว์ผู้มีชีพได้พากันเวียนว่ายในการเกิดอีกตายอีก ไม่มีสัตว์แม้แต่ตัวเดียวที่ในบางสมัยไม่เคยเป็น พ่อแม่พี่น้องชาย พี่น้องหญิง ลูกชาย ลูกหญิง หรือเครือญาติอย่างอื่น ๆ แก่กัน

                                            จบเล่ม