นักธรรม
ห้องสมุด "นักธรรม" => หมวด : รวมเกร็ดธรรม, บทความธรรมะ => นิทานดีมีคติ => ข้อความที่เริ่มโดย: หนึ่งเดียว หลุดพ้น ที่ 21/01/2011, 18:12
-
:) “ถ้าทางม่านเขาแบ่งแผ่นดิน---
แบ่งประเทศหื้อพี่น้องไตปกครองกันเอง
พ่อเฒ่าจะเมือบ้านจะกลับ
ไปอยู่ก่อ...”
"เมือๆ อยากไปอยู่ฝั่งโน้น...ครูไปตวยกั๋นน่อ"
จู่ๆ ถ้อยคำ บทสนทนาระหว่างผมกับพ่อเฒ่าไทยใหญ่คนนั้นก็ผุดล่องลอยเข้ามาในโสตประสาทอีก ครั้ง ในวันที่ฟ้าหม่น อากาศหมองของฤดูแล้งแห้งแห่งปี
:) นานมาแล้ว นับกว่าสิบปีที่ผมขึ้นไปเป็นครูดอย สอนหนังสือให้กับเด็กๆ และพี่น้องชนเผ่าลีซูบ้านน้ำบ่อใหม่ บนดอยสูงไม่ใกล้ไม่ไกลจากรอยตะเข็บชายแดนไทย-พม่า ของอำเภอเวียงแหง อำเภอเล็กๆ ในหุบเขาของจังหวัดเชียงใหม่ และทำให้ผมได้รู้จักและคุ้นเคยกับชายชราผู้นี้
ชาวบ้านลีซูจะเรียกแก ว่า 'พ่อเฒ่าหน่อยหน่อย' แต่ผมมักเรียก 'พ่อเฒ่าไทยใหญ่' จนติดปาก เพราะในหมู่บ้านกลางป่าลึกแห่งนี้ มีพ่อเฒ่าเป็นคนไทยใหญ่เพียงคนเดียวเท่านั้น
แล้วภาพเก่าๆ เริ่มไหลรี่เข้ามาเหมือนสายน้ำในลำห้วยของความทรงจำ
บ่ายวันนั้น ขณะที่ผมกำลังนั่งสอนหนังสืออยู่ที่ศูนย์การเรียนฯ อะตาผะ หลานชายผู้นำอาวุโสของหมู่บ้านชักชวนผมไปหาพ่อเฒ่า
ไทย ใหญ่ในป่าลึก ผมตอบตกลงทันใด ก่อนชวนเด็กๆ พากันเดินไปตามทางดินเล็กๆ ผ่านลำห้วย ไต่ขึ้นไปบนเนินไร่ ผ่านป่าดิบชื้นเหนือหมู่บ้าน นานหลายชั่วโมงกว่าเราจะไปถึงกระท่อมของพ่อเฒ่าไทยใหญ่
:)ภาพที่ผม เห็นตรงหน้านั้นช่างคล้ายกับภาพวาดที่ระบายสีสันของธรรมชาติที่สะท้อนความ เรียบง่ายและงดงาม แสงตะวันใกล้ค่ำสาดกระทบกระท่อมไม้ไผ่หลังเก่าใกล้โย้เย้ซ่อนตัวในหุบเขาให้ เด่นขึ้นมา รอบๆ กระท่อมนั้นมีขุนเขาและผืนป่ารกครึ้มรายล้อม มีลำห้วยเล็กๆ ไหลคดเคี้ยวเลี้ยวอ้อมผ่านหน้ากระท่อม พื้นที่ตรงนี้จึงเป็นดินดำน้ำชุ่มอยู่ตลอดเวลา บนแปลงเล็กๆ นั้นเต็มไปด้วยผักกาดดอยรสชาติขม ผักชีอวบอ้วน พริก ฟักทอง แตงกวา ข้างๆ กระท่อมมีค้างถั่วฝักยาว และยอดตำลึงกำลังทอดยอดลามเลื้อยคลุมค้างเต็มไปหมด ส่วนผืนดิน ด้านหลังกระท่อม แกจะปลูกงาดำ ข้าวโพด และปลูกยาสูบเอาไว้ ส่วนมะแว้ง ผักกูด ผักกุ่มนั้นไม่จำเป็นต้องปลูก เพราะมันขึ้นเองตามธรรมชาติริมลำห้วย
แหละนั่นภาพของพ่อเฒ่าร่างสูงใหญ่กำยำ แม้ว่าร่างกายจะดูอ่อนล้าโรยแรง กำลังร้องเรียกเราเข้าไปในกระท่อม แกหยิบเอาใบชาเครือ เป็นชาป่าที่คล้ายเถาวัลย์แต่มีรสชาติหอมกรุ่น นำมาคั่วในกระทะใบเก่าบุบๆ บี้ๆ ในเตาไฟที่ยังร้อนแรง ก่อนจะหยิบใส่ในกาพร้อมกับเทน้ำจนเต็ม รอสักครู่จนน้ำเดือด ไอน้ำพุ่งพวยออกมา แกยกนำมารินใส่กระบอกไม้ไผ่ปากตัดขนาดเหมาะมือ ยื่นให้เรานั่งจิบน้ำชาหอบกรุ่นอยู่ในเตาไฟ
ขณะที่เรานั่งพัก ผ่อนกันในกระท่อม พ่อเฒ่าไทยใหญ่ เอาใบยาสูบสีเหลืองแก่ที่เด็ดมาจากสวนหลังบ้าน นำมากองไว้ข้างๆ หยิบเขียง หยิบมีดมานั่งหั่นใบยาให้เป็นเส้นฝอยเล็กๆ อย่างช้าๆ ไม่รีบเร่ง เพียงชั่วครู่ แกก็จะได้เส้นยาสูบกองใหญ่ๆ แกเอาไปคลี่วางบนแตะสานไม้ไผ่ แล้วยกไปวางไว้บนตอไม้ใกล้ๆ กระท่อม เพื่อให้แสงแดดส่องและบ่มเพาะให้ความชื้นให้แห้งเหือดหาย อีกสองสามวันแกคงจะได้เส้นยาสูบสีน้ำตาลแห้ง หอมกรุ่น ให้แกได้นำใส่กล้องยาสูบพ่นควันโชยไปทั่วกระท่อม
ผมจ้องมองใบ หน้าอันเหี่ยวย่นของพ่อเฒ่าและมีรอยแผลเป็นบริเวณโหนกแก้ม แสดงถึงความหยาบกร้านต่อโลกมามากต่อมาก และในยามที่แกเปลือยกายท่อนบน ตามร่างกายของแก ทั้งแขน ขา หน้าอก และแผ่นหลังล้วนเต็มไปด้วยรอยสักลวดลายสีดำให้เห็นจนดูแปลกตา
พ่อเฒ่าไทยใหญ่ได้พาตัวเองมาอยู่กลางป่าลึกนี้นานหลายปีแล้ว แกมาเป็นคนเลี้ยงควายนับร้อยตัวให้กับพ่อเฒ่ายี่นาเดอ ผู้นำอาวุโสของหมู่บ้าน เพื่อแลกกับข้าวสารและอาหารแห้งจำพวกถั่วเน่า น้ำมันหมู แป้งหวาน หรือผงชูรสที่ผู้นำอาวุโสชาวลีซูหยิบยื่นให้ โดยจะมีลูกหลานของเจ้าของควายนำมาส่งให้เดือนละสองครั้ง
จำได้ ว่า ผมรู้จักกับแกตอนแรกนั้น ยังไม่รู้ตัวตนและไม่รู้ที่มาที่ไปของพ่อเฒ่าคนนี้ แต่พอรับรู้จากชาวบ้านและเด็กๆ ว่าแกเป็นชาวไตที่อพยพมาจากรัฐฉานฝั่งพม่า และมาตัวคนเดียว เด็กๆ จะรู้จักแกในฐานะของคนแก่ใจดี ในหมู่บ้านมีร้านค้าเป็นเพิงเล็กๆ อยู่ร้านหนึ่ง ในยามที่แกเดินเข้ามาซื้อของใช้บางอย่างจำพวกเกลือและยาแก้ปวดทีไร พวกเด็กๆ บนดอยนี้จะร้องเฮด้วยความดีใจและร้องเรียกพรรคพวกเข้ามารุมล้อม แกจะโอบกอด ลูบหัวไปมา พร้อมส่งเสียงหัวเราะเสียงดังชอบใจ เด็กๆ จะรู้ว่าแกชอบซื้อขนมให้พวกเขา บางครั้งเมื่อเห็นเด็กๆ กำลังเล่นลูกข่าง กระโดดเชือก แกก็มักจะขอเข้าไปเล่นด้วยอารมณ์เบิกบานทุกครั้ง
ผม ยังจำภาพของพ่อเฒ่าในเช้าวันนั้นได้ดี ขณะที่ผมพาเด็กๆ ล้อมวงบนลานดินหน้าศูนย์การเรียนเพื่อออกกำลังกาย พ่อเฒ่าได้เดินเข้ามาทักทาย ก่อนวาดลวดลายรำฟ้อนเจิง รำมวยไตให้เด็กๆ ดู โดยมีเด็กๆ ลีซูปรบมือร้องเชียร์ด้วยความชอบใจ ดูๆ แล้ว แกช่างมีความสุขกับการใช้ชีวิตอยู่อย่างเรียบง่าย ไม่ต้องเดือดเนื้อร้อนใจอะไรเลย แต่ก็อย่างว่านั่นแหละเหมือนที่หลายคนบอกไว้ ว่าชีวิตคนเรานั้นไม่ใช่เรื่องง่าย และใช่ว่าคนเราจะเกิดมาเพื่อจะพานพบ ความสุขอยู่ฝ่ายเดียว มันจึงมีทั้งสุขทุกข์ผสมปนเปกันไป
แท้ จริงบนเส้นทางชีวิตของคนเรานั้น มักผ่านพบทั้งความรื่นรมย์และเจ็บปวด เหมือนกับแกพ่อเฒ่าไทยใหญ่คนนี้จริงสิ หากเราจ้องมองดูลึกลงไปในดวงตาเศร้าคู่นั้นของพ่อเฒ่า เราจะสัมผัสรับรู้ว่าแกเป็นคนที่ซ่อนความรู้สึกลึกๆ ไว้ข้างในมากมาย
บาง ครั้งแกชอบหลบไปนั่งเงียบๆ บนเนินเขาเหนือหมู่บ้าน นั่งบนโขดหิน จดจ้องมองไปยังเทือกเขาตะวันตก เหม่อมองดวงตะวันที่ใกล้ลาลับขอบเขา จ้องดูปุยเมฆขาวที่ลอยล่องกลางเวิ้งฟ้า เฝ้ามองเหยี่ยวภูเขาบินถลาวนไปมาเหนือยอดสน และบางครั้ง เราจะได้ยินเสียงแกบ่นเพ้อพึมพำๆ อยู่อย่างเพียงลำพัง
แต่พี่ น้องลีซูในหมู่บ้านจะรู้กันดีว่า ก่อนหน้านั้น พ่อเฒ่าเคยอยู่ฝั่งพม่า หมู่บ้านที่เคยอาศัยถูกทหารพม่ารุกราน เมียถูกฆ่าตายกลางป่า ลูกสาวสองคนถูกทหารพม่าจับตัวไป ส่วนลูกชายคนสุดท้องหนีหายไปในป่าไม่รู้ชะตากรรม พ่อเฒ่าต้องหนีมาเป็นทหารไทยใหญ่นับแต่นั้นมา หันมาจับปืนสู้รบ กระทั่งจนร่างกายแก่เฒ่า ดวงตาฝ้าฟาง ไม่สามารถสู้รบได้ จึงข้ามป่าข้ามดอยมาเป็นคนเลี้ยงควายอยู่ฝั่งไทยที่นี่ ผมฟังดูแล้วเรื่องราวของพ่อเฒ่าไทยใหญ่คนนี้แล้ว มันยิ่งกว่าเรื่องสั้นหรือนวนิยาย และมันโหดร้ายเกินไปสำหรับมนุษย์คนหนึ่งจะ แบกรับเอาไว้ได้
"แม่น แล้ว แกเคยเป็นทหารไตมาก่อน ยศอะไรไม่รู้ รู้แต่ว่าเคยเป็นหัวหน้าหน่วยที่สู้รบกับพวกทหารม่านในรัฐฉานมานานหลายสิบปี มาแล้ว แต่เหตุการณ์ก็ยังเหมือนเดิม ไม่มีใครแพ้ไม่มีใครชนะ มีแต่การบาดเจ็บล้มตายทั้งสองฝ่าย ดูขาแกกะโผลกกะเผลกนั่นสิ แกโดนยิงลูกปืนยังฝังอยู่ข้างใน..." พ่อเฒ่ายี่นาเดอ ผู้นำอาวุโสของหมู่บ้าน บอกเล่าให้ผมฟังในค่ำคืนหนึ่ง
ใช่ จำได้ว่าวันนั้น พ่อเฒ่าไทยใหญ่นั่งคุยกับผมแล้วยังคว้าจับมือผมไปคลำๆ ดูต้นขาขวาของแกดู ว่ามีลูกกระสุนเม็ดหนึ่งยังฝังอยู่ข้างในอยู่จริง
"ทำไมพ่อเฒ่าไม่เอาออกหละ..." ผมแกล้งถาม
"เอาไว้อย่างนี้แหละ..." พ่อเฒ่าพูดออกมาเบาๆ ก่อนจะหัวเราะหึๆ ด้วยน้ำเสียงเหมือนอยากจะเย้ยหยันและชาเฉยต่อชะตากรรม
:) ค่ำนั้น ผมมีโอกาสขึ้นไปเยือนหมู่บ้านน้ำบ่อใหม่อีกครั้งในช่วงเทศกาลปีใหม่ลีซูหลัง จากที่โยกย้ายลงมาทำงานข้างล่างนานหลายปี และผมได้พบเจอกับพ่อเฒ่าไทยใหญ่ในวัยแปดสิบกว่าปีอีกหน แกกำลังนั่งอยู่บนแคร่ไม้ไผ่หน้ากระท่อมของบ้านหมอผี และจ้องมองหนุ่มสาวลีซูกำลังเต้นรำกันไปรอบหินตู้ฟู่บนลานดินตรงหน้า
พ่อ เฒ่าไทยใหญ่ที่ผมพบเห็นนั้นยังดูเหมือนเดิม ที่เปลี่ยนไปก็คือ ผมมองเห็นแกถือไม้เท้าไว้ข้างกายตลอดเวลา ผมเข้าไปนั่งพูดคุยกับแกหลายเรื่องสัพเพเหระซึ่งเป็นครั้งสุดท้ายที่ผมได้พบ เจอกับพ่อเฒ่าไทยใหญ่คนนี้ และแน่นอนว่าเราได้คุยกันถึงเรื่องราวการสู้รบทางฟากฝั่งโน้นผมยังจำภาพใน วันนั้นได้ดีว่า ตอนที่ผมถอดเสื้อทหารไตที่ผมสวมใส่อยู่มอบให้แก
"ใหม่ สูงๆ ..." แกพึมพำๆ กับผม ก่อนจะสวมทับกับเสื้อตัวที่แกสวมใส่อยู่ทันที ก่อนยืดอกและจ้องมองไปบนเนินเขาทางทิศตะวันตก ในห้วงเวลานั้น ผมรู้สึกได้เลยว่า มองเหมือนเห็นประกายไฟในดวงตาของพ่อเฒ่าลุกโชนขึ้นมาอีกครั้ง...
'มนุษย์ไม่ได้เกิดมาเพื่อจะพ่ายแพ้' ผมรู้สึกสะดุดและสะเทือนกับถ้อยคำของ 'เออร์เนส เฮมิ่งเวย์' นักเขียนผู้ยิ่งใหญ่ท่านนั้นที่เขาได้บันทึกเอาไว้ขึ้นมาทันใด
หลังผมกลับลงจากดอยเข้ามาในตัวเมืองเชียงใหม่ได้ไม่กี่วัน ผมได้ยินเสียงเพื่อนครูดอยคนหนึ่งส่งข่าวผ่านมาทางโทรศัพท์บอกกับผมว่า
"พ่อเฒ่าไทยใหญ่ตายแล้ว..."
ผมนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ...ก่อนจะรับฟังคำบอกเล่าของเพื่อนครูล่องลอยมาจากดอยสูง ไม่ใกล้ไม่ไกลจากรอยตะเข็บชายแดน
เพื่อน ครูบอกเล่าให้ฟังว่า หลังจากเสร็จสิ้นงานปีใหม่ลีซูไปไม่นาน พ่อเฒ่าได้เดินเท้ากลับไปยังกระท่อมของแกในหุบเขา กระทั่งลูกหลานของเจ้าของควายแบกกระสอบข้าวและอาหารแห้งจะเอาไปให้แก จึง พบว่า พ่อเฒ่าได้ใช้มีดคู่กายของแกปาดคอตัวเองอยู่ข้างในกระท่อมนั้น
"ในมือแกนั้นยังกำมีดเอาไว้แน่นเลย..."
เสียงของเพื่อนครูบอกเล่ามา ด้วยน้ำเสียงกระท่อนกระแท่นว่า หลังจากนั้น ทั้งเพื่อนครูและลูกหลานเจ้าของควายสามสี่คนไม่รู้จะทำอย่างไรดี ก็พากันหามใส่แคร่ไม้ไผ่เอาไปทำพิธีเผาอย่างเรียบง่ายใกล้ๆ กับกระท่อมหลังนั้น
เป็นอีกค่ำคืนหนึ่งที่ผมนั่งนิ่งอยู่กับ ความมืดและความเงียบ ครุ่นคิดไปต่างๆ นานา กับการเดินทางไกลครั้งสุดท้ายของพ่อเฒ่าไทยใหญ่ คนนี้ และผมไม่กล้าแม้จะล่วงละเมิด คาดเดา หรือตั้งคำถามว่า เหตุใดพ่อเฒ่าถึงตัดสินใจปลิดชีพตัวเองอย่างนี้!? หากผมยังมองเห็นภาพและคำพูดของพ่อเฒ่าที่ผุดล่องลอยวนเวียนเข้ามาให้ผมได้ ระลึกถึงภาพในวันที่ผมถอดเสื้อทหารไตให้กับพ่อเฒ่าสวมใส่ด้วยสีหน้าเบิกบาน และฮึกเหิม ภาพใบหน้าดวงตากร้าวและแกร่ง หากบางครั้งกลับแฝงด้วยความเหงาเศร้า ซึ่งผมจ้องมองดูแล้วว่า ในดวงตาคู่นั้นมันซ้อนทับไปมาด้วยความหวังและความสิ้นหวังในคราเดียวกัน
"ถ้าทางม่านเขาแบ่งแผ่นดิน แบ่งประเทศหื้อพี่น้องไตปกครองกันเอง พ่อเฒ่าจะเมือบ้าน จะกลับไปอยู่ก่อ..."
"เมือๆ อยากไปอยู่ฝั่งโน้น..."
แต่ถ้ามนุษย์สามารถสื่อสารกับดวงวิญญาณได้จริง ผมอยากตะโกนร้องถามว่า พ่อเฒ่าไทยใหญ่ได้เดินทางไกลไปถึงขอบฟ้าตะวันตกแล้วหรือยัง!?.
(หนึ่งในผลงานที่ได้รับคัดเลือกจากการประกวดเรื่องเล่าในโครงการ เพื่อนจากชายแดนตะวันตก) : ภู เชียงดาว